#SootinClaimon.Com : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์แนวหน้า
https://www.naewna.com/lady/691531

มูลนิธิเจริญโภคภัณฑ์ฯ สานต่อ ‘โครงการครอบครัวอุปการะในชุมชนวัฒนธรรม’ เติมเต็ม ‘เด็กกำพร้า’ ด้วย ‘ครอบครัว’ พร้อมปลูกฝังให้เติบโตเป็นพลเมืองดีของสังคม
วันเสาร์ ที่ 12 พฤศจิกายน พ.ศ. 2565, 06.00 น.
“โครงการครอบครัวอุปการะในชุมชนวัฒนธรรม เกิดขึ้นจากการที่ประธานอาวุโส ธนินท์ เจียรวนนท์ ได้รับการถ่ายทอดจาก ดร.โทมัส หยีนักวิชาการด้านการเกษตรจากประเทศไต้หวันที่กล่าวไว้ว่า สถิติอาชญากรรมในประเทศไต้หวัน ผู้กระทำผิดส่วนใหญ่ มีประวัติเป็นเด็กกำพร้าจากสถานสงเคราะห์เพราะเติบโตมาในสภาพแวดล้อมที่ขาดความรัก ความอบอุ่นขาดความผูกพัน เป็นเหมือนระเบิดเวลาของสังคมควรหาครอบครัวช่วยดูแลทดแทนพ่อแม่ที่เด็กขาดไปการทำให้เด็กๆ เติบโตมาในครอบครัวที่อบอุ่น อยู่ในสิ่งแวดล้อมที่ดี อยู่ในชุมชนที่มีวัฒนธรรมอันดีงามมีสถาบันครอบครัวและชุมชนเป็นแกนหลัก พัฒนาหล่อหลอม อบรมบ่มนิสัยให้เด็กๆ เจริญเติบโตทั้งด้านร่างกายและจิตใจ จึงมีความสำคัญอย่างยิ่ง” จอมกิตติศิริกุล รองกรรมการผู้จัดการใหญ่อาวุโส ด้านพัฒนาความยั่งยืนภาครัฐและกิจการสัมพันธ์ เครือเจริญโภคภัณฑ์และผู้ช่วยบริหารสำนักประธานคณะกรรมการบริหาร บริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) ในฐานะกรรมการและเลขาธิการมูลนิธิเจริญโภคภัณฑ์พัฒนาชีวิตชนบท เล่าถึงที่มาของโครงการฯ
.jpg)
ด้วยความเชื่อมั่นว่าเยาวชนที่ได้เรียนรู้ถึงความรัก ความผูกพัน ความเอื้ออาทร การเกื้อกูล และมีหลักยึดเหนี่ยวจิตใจให้มุ่งมั่นสร้างความดี เพื่อครอบครัวและชุมชน รวมทั้งสามารถดำเนินชีวิตต่อไปได้อย่างมีคุณค่า และสำหรับเด็กกำพร้า แม้จะได้รับการเลี้ยงดูให้เจริญเติบโตตามวัยในสถานสงเคราะห์ แต่ยังขาด “ครอบครัว” ที่เป็นองค์ประกอบสำคัญในการทำหน้าที่ดูแลให้พวกเขามีพัฒนาการ ทั้งทางร่างกาย อารมณ์ และสังคมไปพร้อมๆ กัน และถือเป็นสถาบันแรกที่สอนให้เรียนรู้กฎเกณฑ์ทางสังคม การให้เด็กกำพร้าได้เติบโตในครอบครัวทดแทน ที่มีวิถีชีวิตและวัฒนธรรมชุมชนอันดีงาม “ครอบครัวอุปการะ” จึงทำหน้าที่เป็นครอบครัวทดแทนให้กับพวกเขา ถือเป็นการแสดงความรับผิดชอบของสังคมที่มีต่อเด็กด้วย
.jpg)
“โครงการครอบครัวอุปการะในชุมชนวัฒนธรรม”เริ่มดำเนินการเมื่อ พ.ศ. 2545 เพื่อส่งเสริม สนับสนุน พัฒนา กล่อมเกลาให้เด็กกลุ่มนี้เป็นคนดี พลเมืองดีที่มีประสิทธิภาพ เป็นกระบวนการหนึ่งของการร่วมสร้างสรรค์อนาคตที่ดี และร่วมแก้ไขปัญหาระยะยาวของประเทศชาติอย่างมีเป้าหมายต่อไป โดยมุ่งหวังให้เด็กกำพร้าได้รับการเลี้ยงดูด้วยความรักความอบอุ่นจากครอบครัวทดแทน ในสภาพแวดล้อมของชุมชนวัฒนธรรมอีสาน ให้พวกเขามีพัฒนาการสมวัย มีความมั่นคงทางอารมณ์และจิตใจ และให้เด็กๆ ได้รับการศึกษาสูงสุดตามศักยภาพ และเป็นคนดีของสังคม ที่ผ่านมาเครือซีพี และมูลนิธิฯ ได้ผนึกกำลังกับหน่วยงานร่วมเจตนารมณ์ ทั้งกรมกิจการเด็กและเยาวชน กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ สหทัยมูลนิธิ องค์กร Care for Children (Thailand) องค์กร Step Ahead Bangkok และหน่วยงานในพื้นที่ดำเนินโครงการฯทั้งจังหวัด อำเภอ ตำบล สถานศึกษา สถานพยาบาลและวัด ในการเดินหน้ายุทธศาสตร์การพัฒนาคุณภาพชีวิตให้เกิดประสิทธิภาพ ประสิทธิผล และตอบสนองความต้องการของเด็กอุปการะ ให้ได้มากที่สุด
.jpg)
“การดำเนินโครงการที่ผ่านมามูลนิธิฯ ไม่สามารถทำเพียงลำพังได้ ต้องอาศัยการบูรณาการแบบมีส่วนร่วมจากทั้งภาครัฐ และภาคเอกชน เนื่องจากกระบวนการบางขั้นตอนต้องทำด้วยความระมัดระวัง และอยู่บนพื้นฐานของกฎหมาย ระเบียบ และหลักการดำเนินงานทางสังคมสงเคราะห์ศาสตร์ เพื่อไม่ให้เกิดผลกระทบต่อความเป็นอยู่ของเด็กและครอบครัวอุปการะ ภายใต้กระบวนการดำเนินโครงการฯ 12 ขั้นตอนโดยเริ่มจากพื้นที่อำเภอลำปลายมาศ จังหวัดบุรีรัมย์ และอำเภอบางไทร จังหวัดพระนครศรีอยุธยา จากนั้นในปี 2563 ได้ร่วมกับกรมกิจการเด็กและเยาวชน ขยายโครงการไปยังพื้นที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ นำร่อง 3 จังหวัด คือ ขอนแก่น อุดรธานี และหนองคาย”จอมกิตติ กล่าว
.jpg)
สำหรับการดำเนินโครงการฯ นั้นเริ่มจากการรับเด็กอายุ 5-6 ปี จากสถานสงเคราะห์ ในสังกัดกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ และสหทัยมูลนิธิในฐานะสถานสงเคราะห์เอกชน เพื่อให้ไปอยู่กับครอบครัวอุปการะที่มูลนิธิฯ พิจารณาคัดเลือกตามความเหมาะสมให้กับเด็กแต่ละราย เป็นผู้เลี้ยงดูเด็กให้เติบโตอย่างมีคุณภาพ ในสภาพแวดล้อมชุมชน ที่เอื้อต่อการมีวิถีชีวิตที่ดีงาม พร้อมให้ได้รับการศึกษาสูงสุดตามศักยภาพจนถึงอุดมศึกษา หรือการศึกษาสายอาชีพตามความสามารถและความถนัด เพื่อให้สามารถดำรงชีวิตอยู่ในสังคมได้อย่างภาคภูมิใจ
.jpg)
ผลลัพธ์ของโครงการที่มุ่งดูแลให้เด็กๆ ได้มีครอบครัวเติมเต็มความรักและความอบอุ่น ทำให้เกิดการร่วมสร้างสรรค์สังคม และการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ที่ดีให้สังคม เกิดกระบวนการกล่อมเกลาในชุมชน จากการเติมเต็มในส่วนที่ขาดคือ “ครอบครัว ความรัก และความอบอุ่น” ทั้งยังเป็นการแบ่งเบาภาระภาครัฐในการดูแลเด็กกำพร้า และก่อให้เกิดรูปแบบนวัตกรรมด้านสังคม คือครอบครัวอุปการะหรือครอบครัวทดแทน โดยมีชุมชนวัฒนธรรมเป็นพื้นฐานร่วมอุปถัมภ์ เป็นการสร้างความมั่นคงในจิตใจแก่เด็กที่ขาดองค์ประกอบของชีวิตที่เรียกว่า Social Foundation-Community Psychological Perspective คือการนำมิติครอบครัว ชุมชน เพื่อนบ้าน ไปประกอบกับกระบวนการใช้ชีวิตประจำวันได้อย่างสอดคล้องกัน จากการดำเนินงานกว่า 19 ปี มีเด็กอุปการะร่วมโครงการครอบครัวอุปการะฯรวม 346 คน แบ่งเป็น 2 กลุ่ม คือ กลุ่มที่ออกจากโครงการฯไปแล้ว 272 คน โดยไปอยู่กับครอบครัวบุญธรรมต่างประเทศและไทย 50 คน กลับคืนสู่ครอบครัวเดิม212 คน และกลับคืนสถานสงเคราะห์ 13 คน มีเด็กที่จบการศึกษาระดับปริญญาตรี 4 คน ส่วนอีกกลุ่มเป็นเยาวชนที่กำลังอยู่ภายใต้การดูแลของมูลนิธิฯ รวม 67 คน
.jpg)
พ่อบุญเพ็ง นาคสูงเนิน อายุ 62 ปี หนึ่งในครอบครัวอุปการะ ชาวตำบลเมืองแฝก อ.ลำปลายมาศ จ.บุรีรัมย์ ผู้เข้าร่วมโครงการฯ มาตั้งแต่ปี 2546กล่าวว่าครอบครัวประกอบอาชีพเกษตรกรรมทำนาไร่มันสำปะหลัง เลี้ยงวัว เลี้ยงปลาและเกษตรผสมผสานมีชาย 1 คน หญิง 1 คน ที่ผ่านมาครอบครัวเคยอุปการะเด็กมาแล้ว 3 คน จบปริญญาตรี 1 คน และกลับครอบครัวเดิม 2 คน ปัจจุบันยังดูแลเด็กอุปการะเด็กหญิงอยู่ 2 คน ส่วนจุดเริ่มเกิดจากตนเองร่วมโครงการเกษตรผสมผสานอาชีพ 7 อาชีพ 7 รายได้ของมูลนิธิเจริญโภคภัณฑ์ฯและโครงการธนาคารโคกระบือของมูลนิธิเจริญโภคภัณฑ์อยู่แล้ว เมื่อเจ้าหน้าที่มูลนิธิฯแจ้งว่าต้องการครอบครัวเกษตรกรที่มีจิตอาสา สามารถเป็นครอบครัวอุปการะเลี้ยงดูเด็กกำพร้า เพื่อช่วยบ่มเพาะเด็กๆ ได้เรียนรู้และมีทักษะด้านการเกษตรให้มีคุณภาพชีวิตที่ดี ซึ่งครอบครัวมีคุณสมบัติตรงตามความต้องการของโครงการ ประกอบกับอยากช่วยเหลือเด็กๆให้มีบ้านและครอบครัวดูแล จึงสมัครเข้าร่วมโครงการ
การเลี้ยงเด็กอุปการะ พ่อบุญเพ็งบอกว่าไม่แตกต่างกับการเลี้ยงดูบุตรของตนเอง คือครอบครัวต้องดูแล ให้ความรัก ความอบอุ่นกับเด็กอย่างเพียงพอ ตนเองมีแนวคิดในการเลี้ยงดูเด็กๆ คือ การพาพวกเขาลงมือทำเกษตร เพราะนอกจากจะเป็นการเสริมสร้างทักษะให้กับเด็กๆ แล้วยังถือเป็นกิจกรรมที่ได้มีเวลาอยู่ร่วมกันใช้เวลาที่ทำกิจกรรมเกษตร เช่น เลี้ยงปลา เลี้ยงหมูเลี้ยงไก่ ปลูกผักในการสอนเด็กๆ ให้เรียนรู้เรื่องอื่นๆ ไปพร้อมกันด้วย ถือเป็นการสร้างความสัมพันธ์ในครอบครัว บ่มเพาะเด็กให้มีความรับผิดชอบและเป็นคนใจเย็น ดีใจที่ครอบครัวนาคสูงเนินได้เป็นส่วนหนึ่งในการช่วยสร้างอนาคตให้กับเด็กๆ และภูมิใจที่ลูกอุปการะเรียนจบปริญญาตรี มีอาชีพการงานทำที่ดี และขอบคุณมูลนิธิฯ ที่เข้ามาช่วยดูแลเด็กๆ คอยให้คำแนะนำ เป็นที่ปรึกษาสนับสนุนและช่วยเหลือค่าใช้จ่ายต่างๆ ให้กับเด็กด้วย
ทางด้าน แม่บุตรศรี ศรีสุธีวรรณ อายุ 59 ปี อีกหนึ่งครอบครัวอุปการะ ชาวตำบลบุโพธิ์ อ.ปลายมาศ จ.บุรีรัมย์ ที่เข้าร่วมโครงการมาแต่ปี 2549 เล่าว่าครอบครัวมีอาชีพทำนา ทำไร่อ้อยและเลี้ยงวัว มีลูกสาว2 คน ที่ผ่านมาได้อุปการะเด็กชายมาแล้ว 1 คน ซึ่งได้ไปเป็นบุตรบุญธรรมของครอบครัวต่างชาติแล้ว ปัจจุบันยังอุปการะเด็กชายอีก 2 คน ที่ตัดสินใจร่วมเป็นครอบครัวอุปการะเพราะอยากมีลูกชาย ซึ่งการเป็นพ่อแม่อุปการะมีความยากในช่วงแรกที่รับเด็กมาเลี้ยงเนื่องจากต้องปรับตัว เรียนรู้ซึ่งกันและกัน การเลี้ยงดูไม่ได้แตกต่างจากการเลี้ยงลูกแท้ๆ จะเน้นเรื่องการมีเวลาให้กับเด็กอย่างเพียงพอ ให้ความรักและความอบอุ่นอย่างเต็มที่ เอาใจใส่ดูแล ไม่ปล่อยปละละเลย เพราะเชื่อว่าเด็กจะรับรู้ถึงความรักและความห่วงใยที่ครอบครัวมีให้ส่งผลให้เค้าเติบโตเป็นคนดีต่อไป ขอบคุณมูลนิธิฯที่ทำให้ครอบครัวได้มีลูกชายตามที่ต้องการ แม้จะไม่ได้รับเป็นบุตรบุญธรรม แต่ก็จะขอเลี้ยงดูพวกเขาให้ดีที่สุดให้เติบโตเป็นคนดีมีอนาคตต่อไป
โครงการครอบครัวอุปการะในชุมชนวัฒนธรรม ถือเป็นตัวอย่างของความตระหนักรู้ถึงความสำคัญของ “ครอบครัว” ที่เป็นพื้นฐานสำคัญของเด็กที่จะเติบโตเป็นอนาคตของชาติ ซึ่งนอกเหนือจากครอบครัวเป็นฐานสำคัญในการสร้างความรัก ความอบอุ่นแล้วยังมีชุมชนเป็นเบ้าหล่อหลอม สร้างความผูกพัน เหมือนบ้านเกิดที่เขาจะรักและคิดถึง อยากกลับมาร่วมพัฒนาบ้านเกิด และมิติเชิงจิตวิทยาสังคมวัฒนธรรม การคิดถึงการเกื้อกูล การทำความดี ตอบแทนบุณคุณ การรู้กตัญญูต่อผู้มีพระคุณ เป็นที่ยึดเหนี่ยวทางจิตใจอย่างมั่นคงเกิดการร่วมสร้างสรรค์สังคมที่ดี พัฒนาทรัพยากรมนุษย์ที่ดีสู่สังคม