
ตะลอนเที่ยว : สัมผัสความงามด้วยตาและใจ ด้วยการย่างก้าวเข้าไปชม
วันอาทิตย์ ที่ 4 พฤษภาคม พ.ศ. 2568, 06.00 น.
ในยามที่รัฐบาลไทยกำลังเดือดเนื้อร้อนใจ เพราะวิตกว่าเศรษฐกิจไทยจะตกเหวลึกมากไปกว่าเดิม เนื่องจากคนจีนเข้ามาเที่ยวประเทศไทยน้อยลง แต่ก็นับเป็นเรื่องธรรมดาที่รัฐบาลไทยจะเกิดความปริวิตก เพราะเขาเห็นแค่เพียงว่าเงินจากนักท่องเที่ยวจีนคือตัวกระตุ้นเศรษฐกิจไทย แต่ทว่ารัฐบาลไม่เคยมีปัญญาคิดว่า อันที่จริงแล้ว เศรษฐกิจของบ้านเราจะดีขึ้นมาได้ก็ต้องมาจากปัจจัยภายในประเทศด้วย นั่นคือจากการซื้อหา ค้าขาย แลกเปลี่ยนด้วยกันเองของผู้คนภายในบ้านในเมืองของเรา
คนไทยเท่านั้นที่จะช่วยกันดูแล แก้ไขปัญหาเศรษฐกิจของไทยได่อย่างเป็นรูปธรรม ส่วนนักท่องเที่ยวต่างชาติเป็นเพียงตัวช่วยเสริมให้เศรษฐกิจไทยเติบโตขึ้น เพราะฉะนั้น เราจึงต้องให้ความสำคัญกับผู้คนของเราเป็นอันดับแรก ต้องเน้นให้ตลาดในบ้านของเราดำเนินต่อไปด้วยแรงสนับสนุนของคนไทยด้วยกันเอง
วันนี้ Mr. Flower ชวนคุณ ๆ ไปเที่ยว ไปชม ไปช้อป ไปชิม และไปประทับใจกับความงดงาม และมนต์เสน่ห์ของสถานที่สำคัญต่าง ๆ ในบ้านเมืองของเราด้วยกัน โดยเราจะเน้นการเดินทอดน่อง แล้วค่อย ๆ ละเลียดความงดงามของศิลปวัฒนธรรมในบ้านเมืองของเรา แม้ศิลปวัฒนธรรมบางอย่างจะไม่ใช่ของไทยแท้แต่ดั่งเดิม เพราะว่ามีรากเหง้ามาจากชนเชื้อชาติอื่นที่เข้ามาดำเนิดชีวิตบนแผ่นดินสยาม (ไทย) ตั้งแต่โบราณกาลแล้ว แต่คนไทย (สยาม) ก็สามารถผสมกลมกลืนศิลปวัฒนธรรมของต่างชาติให้ผสมผสานไปกับของไทยได้อย่างงดงามและลงตัว ไม่ทำให้เกิดความรู้สึกแตกแยกแปลกประหลาด
วันนี้ เราไปกราบไหว้นมัสการพระพุทธรูป และเที่ยวชมวัดเครือวัลย์ วัดกัลยาณมิตร และไปกราบมมัสการพระเยซูเจ้า และเที่ยวชมวัดซางตาครูส กราบไหว้ศาลเจ้าเกียงอันเกง แล้วเดินเที่ยวชมชิมช้อปย่านกุฎีจีน อันที่จริงหากจะให้ครบรสชาติของการผสมกลมกลืนกันระหว่างพุทธ คริสต์ อิสลาม และศาลเจ้าจีน ก็ต้องไปเจริญพาสน์ด้วย แต่เพียงแค่มีเวลาจำกัด ดังนั้น ทริปนี้จึงไม่ได้พาไปเที่ยวเจริญพาสน์
เริ่มจากวัดเครือวัลย์ วรวิหาร วัดที่สร้างในรัชสมัยรัชกาลที่ 3 พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ โดยผู้สร้างวัดคือเจ้าพระยาอภัยภูธร (น้อย บุณยรัตพันธุ์) และพระธิดาคือเจ้าจอมเครือวัลย์ ในรัชกาลที่ 3
ภายในพระอุโบสถของวัดเครือวัลย์มีความแตกต่างจากพระอุโบสถอื่น ๆ คือพระประธานเป็นปางห้ามพยาธิ ประทับยืน ยกพระหัตถ์ขวาขึ้นเสมอพระอุระ หงายพระหัตถ์ขาวออก ส่วนพระกรซ้ายทอดยาววางแนบพระวรกาย ภายในพระอุโบสถมีภาพจิตรกรรมฝาผนังพระเจ้า 500 พระชาติ และที่สำคัญคือยังมีภาพจิตรกรรมบนบานประดูและหน้าต่างเป็นภาพฉัตร โดยที่บานประตูคือภาพฉัตร 5 ชั้น ส่วนที่หน้าต่างคือฉัตร 7 ชั้น
วัดต่อไปคือวัดกัลยาณมิตร วรมหาวิหาร วัดนี้สร้างในรัชสมัยรัชกาลที่ 3 สร้างโดยเจ้าสัวโต เจ้าพระยานิกรบดินทร์ (โต กัลยาณมิตร) แล้วรัชกาลที่ 3 พระราชทานนามว่าวัดกัลยาณมิตร
พระประธานในพระอุโบสถวัดกัลยาณมิตรคือพระพุทธไตรรัตนนายก หรือหลวงพ่อโต ซำปอกง พระพุทธรูปปางมารวิชัย
ภายในเขตวัดกัลยาฯ มีศิลปกรรมและสถาปัตยกรรมแบบจีนผสมกลมกลืมอยู่อย่างลงตัว และยังมีระฆังใบใหญ่มหึมาด้วย ส่วนใกล้ ๆ กับวันกัลยาฯ คือศาลเจ้าเกียนอันเกง คือศาลของเจ้าแม่กวนอิม ของคนจีนฮกเกี้ยนที่เข้ามาพึ่งพระบรมโพธิสมภารพระมหากษัตริย์ไทยตั้งแต่สมัยกรุงรัตนโกสินทร์ตอนต้น
ไม่ไกลจากวัดกัลยาฯ คือที่ตั้งของอาสนวิหารวัดซางตาครูส หรือวัดกุฎีจีน ของคริสต์ศาสนานิกายโรมันคาธอลิค โบสถ์คริสต์แห่งนี้สร้างในสมัยกรุงธนบุรี แต่เดิมโบสถ์นี้สร้างด้วยไม้ทั้งหลัง แต่ถูกไฟไหม้ จึงต้องสร้างใหม่แบบก่ออิฐถือปูน เป็นสถาปัตยกรรมแบบนิโอคลาสสิคผสมเรเนอซองส์ โดยโดมของโบสถ์ถอนแบบมาจากมหาวิหารฟลอเรนซ์ แคว้นทัสคานี อิตาลี
และยังมีชุมชนกุฏีจีนอยู่ใกล้ ๆ กับโบสถ์ซางตาครูส วัดกัลยาฯ ศาลเจ้าเกียนอันเกง ชุมชนกุฏีจีนคือที่อยู่ของชาวไทยเชื้อสายจีนผสมกับโปรตุเกส ที่อพยพหนีภัยสงครามเมื่อครั้งเสียกรุงศรีอยุธยา ครั้งที่สอง แล้วมาตั้งรกราก ณ บริเวณนี้ ในชุมชนยังคงมีบ้านเรือนเก่าที่แสนคลาสสิคหลงเหลืออยู่ แต่บางหลังก็ทรุดโทรมมาก คงแค่เพียงรอยอดีตที่แสนงดงาม แต่เมื่อมาชุมชนกุฎีจีนแล้ว สิ่งที่ต้องซื้อหามากินคือขนมฝรั่งกุฎีจีน เป็นลูกผสมระหว่างขนมของโปรตุเกสกับจีน
วันหน้าจะพาคุณไปเที่ยวชุมชนอื่น ๆ ในกรุงเทพฯ ด้วยกันอีก เพราะยังมีอีกหลายสิบชุมชนที่น่าจะเที่ยวชมและสัมผัสมนต์เสน่ห์ของชุมชน หากสนใจร่วมทริปเดินทอดน่อง ท่องทั่วกรุงเทพฯ กับ Mr. Flower โปรดติดต่อ 091 7233615
หมายเหตุ ขอบคุณภาพประกอบจากกลุ่มเที่ยว อิ่ม บุญ
by Mr. Flower








