แหวกฟ้าหาฝัน : Camille Pissarro in National Museum of Western Art Tokyo

แหวกฟ้าหาฝัน : Camille Pissarro in National Museum of Western Art Tokyo

แหวกฟ้าหาฝัน : Camille Pissarro in National Museum of Western Art Tokyo

วันอาทิตย์ ที่ 4 พฤษภาคม พ.ศ. 2568, 06.00 น.

นอกจากใน National Museum of Western Art Tokyo จะมีผลงานของ Manet, Monet และ Renoir ศิลปินแนว Impressionism ผู้ก่อตั้ง 3 คนนี้แล้ว ที่นี่ยังมีผลงานของ Camille Pissarro ศิลปินผู้ร่วมก่อตั้งศิลปะแนว Impressionism อยู่อีกหลายชิ้นด้วยเช่นกัน Camille Pissarro หรือ Jacob Abraham Camille Pissarro เกิดเมื่อวันที่ 10 กรกฎาคม 1830 บนเกาะ St. Thomas หรือ US Virgin ในปัจจุบันซึ่งในช่วงเวลานั้นเป็นเขตปกครองของชาวดัชท์จากบิดาที่เป็นลูกหลานของชาวโปรตุเกสยิว แต่ถือสัญชาติฝรั่งเศส มารดาของเขามาจากครอบครัวฝรั่งเศสยิวที่อาศัยอยู่ที่เกาะ St. Thomas นี้ เมื่อบิดาของเขาเดินทางมาค้าขาย ณ เกาะ St. Thomas จึงได้แต่งงานกับมารดา การแต่งงานของทั้งสองสร้างความวุ่นวายให้กับชุมชนนี้ ทั้งนี้เพราะก่อนที่มารดาของเขาจะแต่งงานกับบิดา แม่ของเขาเคยเป็นภรรยาของลุงของบิดาเขามาก่อน และชุมชนแห่งนี้มีข้อห้ามในการแต่งงานระหว่างเครือญาติทำนองนี้ ถึงกระนั้นก็ตาม เขาก็อาศัยอยู่ที่เกาะจวบจนเข้าวัยรุ่นจึงย้ายไปเรียนหนังสือที่ฝรั่งเศสที่ Savary Academy of Passy ใกล้กรุงปารีส

ในช่วงที่เขาเข้าเรียนศิลปะ เขาได้เข้ารับการฝึกฝนงานกับ Monsieur Savary และได้รับคำแนะนำให้รังสรรค์งานที่เกี่ยวกับธรรมชาติ เขาจึงตัดสินใจเดินทางกลับไปบ้านเกิดที่ St. Thomas เมื่อเขากลับบ้าน บิดาของเขาดีใจมาก เลยให้เขาช่วยงานเป็นผู้ดูแลท่าเรือ เขาอาศัยโอกาสที่มีอยู่ฝึกฝนภาพร่างเกี่ยวกับธรรมชาติอยู่ 5 ปีโดยอาศัยแรงบันดาลใจจากผลงานของ James Gay Sawkins จิตรกรชาวอังกฤษ เมื่ออายุได้ 20 ปีเขาได้พบกับ Fritz Melbye จิตรกรชาวดัชท์ที่ไปอาศัย ณ เกาะ St. Thomas ซึ่งได้สอนศิลปะแก่เขาและชักชวนให้เขาหันมาเป็นศิลปินเต็มเวลา เขาตัดสินใจย้ายไปทำงานที่เวเนซูเอล่า และทำงานกับ Melbye ต่อ เขาได้อาศัยทิวทัศน์แถว Caracas และ La Guaira เป็นแรงบันดาลใจในการสร้างงานทั้งทิวทัศน์ และหมู่บ้านจนสมุดร่างภาพเต็มไปด้วยผลงานละแวกนั้น

 ปี 1855 เข้าย้ายกลับไปปารีสและเข้าทำงานเป็นผู้ช่วยของ Anton Melbye และศึกษากับศิลปินอื่น ๆ อาทิ Courbet, Charles Francois Daubigny, Corot และ Jean Francois Millet รวมทั้งเข้าเรียนที่ Ecole des Beaux-Arts และ Academie Suisse ในที่สุดเขาก็ค้นพบแนวทางของตัวเองที่แตกต่างจากอาจารย์ทุกคน ในปี 1873 เขาได้ร่วมก่อตั้งสมาคมกับเพื่อนที่มีแรงบันดาลใจใกล้เคียงกันซึ่ง John Rewald นักประวัติศาสตร์ศิลป์เรียกเขาว่า Dean of the Impressionist Painters ไม่ใช่เพราะเขาอายุมากกว่าคนอื่น แต่เป็นเพราะเขาเป็นคนที่เฉลียวฉลาดและรู้จักที่จะสร้างสมดุล อีกทั้งยังมีบุคลิกภาพที่อบอุ่น แม้แต่ Paul Cezanne ศิลปินที่มีชื่อเสียงยังยกย่องให้เขาเป็นพ่อของตัวเองเลย ทั้งนี้เพราะเขาเป็นคนที่มีความเห็นอกเห็นใจและให้คำปรึกษากับศิลปินทุกคนได้ไม่ว่าเรื่องเล็กน้อยเพียงใดเฉกเช่นเดียวกับพระเจ้า

The Harvest ผลงานใน National Museum of Western Art Tokyo ชิ้นนี้เป็นหนึ่งในผลงานที่สำคัญของศิลปินที่เขารังสรรค์ขึ้นจากนาข้าวสาลีที่ Pontoise ชานกรุงปารีสตามแนวทางที่ใช้การตกแต่ง นั่นคือ ใช้เทคนิคที่ซับซ้อนด้วยการเคลือบด้านด้วยเทมเพอราเฉกเช่นเดียวกันกับการวาดภาพบนผนังด้วยสีปูนเปียกแบบโบราณ อีกทั้งรังสรรค์ด้วยองค์ประกอบที่ยาวมากซึ่งชวนให้นึกถึงผลงานของ Degas และมุมมองที่เกินจริงเล็กน้อยจากการจัดวางรูปร่างในแนวทแยงมุมทำให้ภาพวาดดูสวยงามสดชื่นขึ้น ผลงานที่ถูกจัดแสดงในงานนิทรรศการ Impressionism ครั้งที่ 7 ชิ้นนี้ยังใช้เทคนิคพิเศษเพิ่มอีกตรงที่ใช้สีละลายในไข่ขาวแทนน้ำมันเฉกเช่นสมัยเรอเนสซองส์ ยิ่งกว่านั้น หากนักท่องเที่ยวขยายภาพออกดูจะเห็นว่า เขาให้รายละเอียดมากมายแม้ในส่วนที่ดูไกลสุดลูกหูลูกตาด้วย

ส่วนภาพ Winter Landscape กลับตรงข้ามกับ The Harvest อย่างสิ้นเชิงตรงที่ทิวทัศน์ดูเงียบขรึมหมองหม่นส่งความหนาวเหน็บผ่านมายังผู้ชมอย่างเต็มที่ แม้ภาพ Conversation จะสร้างสรรค์ด้วยแนวทางศิลปะแบบ Impressionism ที่ไม่ค่อยให้รายละเอียด แต่ศิลปินก็รังสรรค์สีหน้าท่าทางของคู่สนทนาจนดูออกว่าเรื่องราวที่คุยน่าจะออกแนวเคร่งเครียดซึ่งเป็นเรื่องแปลกสำหรับผลงานแนวนี้

Leave a comment