
LIFE & HEALTH : ทำความเข้าใจ
วันพุธ ที่ 1 ตุลาคม พ.ศ. 2568, 06.34 น.
ประเทศไทยกำลังก้าวเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุอย่างเต็มรูปแบบ โดยมีประชากรอายุ 60 ปีขึ้นไปกว่า 14 ล้านคน หรือราว 20% ของประชากรทั้งหมด ผู้หญิงมีจำนวนมากกว่าผู้ชาย และกลุ่มใหญ่ที่สุดคือวัย 60–69 ปี ผู้สูงอายุส่วนใหญ่ยังอาศัยร่วมกับครอบครัว แต่มีแนวโน้มอยู่คนเดียวเพิ่มขึ้น รายได้หลักมาจากบุตรหลานและสวัสดิการรัฐ โดยประมาณ 1 ใน 3 ยังทำงานอยู่ สำหรับอัตราการพึ่งพิงเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้สังคมต้องปรับตัวทั้งด้านเศรษฐกิจ สุขภาพ และการออกแบบบริการรองรับวัยเกษียณ การเตรียมตัวล่วงหน้า เช่น การออมและดูแลสุขภาพ จึงเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับประชากรวัยทำงานทุกคน
.jpg)
ข้อมูลจาก อาจารย์ ดร.ภญ.ชญานิน กีรติไพบูลย์ ภาควิชาสรีรวิทยา คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล เปิดเผยว่า เมื่อเข้าสู่ช่วงวัยสูงอายุ การเปลี่ยนแปลงทางร่างกาย เช่น การเคลื่อนไหวที่ช้าลง หรือความรู้สึกเหนื่อยง่าย ถือเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นได้ตามปกติ อย่างไรก็ตาม หากอาการเหล่านี้ทวีความรุนแรงจนส่งผลกระทบต่อการใช้ชีวิตประจำวัน อาจเป็นสัญญาณของกลุ่มอาการที่เรียกว่า “ภาวะเปราะบาง” (Frailty) ซึ่งเป็นภาวะสุขภาพที่ซับซ้อนและไม่ใช่เพียงส่วนหนึ่งของการแก่ชราตามธรรมชาติ
ภาวะเปราะบางในผู้สูงอายุคือกลุ่มอาการที่ร่างกายเสื่อมถอยในหลายระบบพร้อมกัน ทำให้ความสามารถในการฟื้นตัวจากความเจ็บป่วยหรือความเครียดลดลง โดยทางการแพทย์มักพิจารณาจาก 2 ลักษณะสำคัญร่วมกัน ได้แก่ ความรู้สึกอ่อนเพลียรุนแรง และ น้ำหนักตัวลดลงอย่างมีนัยสำคัญโดยไม่ทราบสาเหตุ ทั้งนี้ ภาวะเปราะบางมักพบในผู้หญิงมากกว่าผู้ชาย ซึ่งอาจสัมพันธ์กับอายุขัยที่ยืนยาวกว่า
.jpg)
6 สัญญาณเตือนของภาวะเปราะบาง
ภาวะเปราะบางส่งผลให้ผู้สูงอายุทำกิจกรรมพื้นฐานในชีวิตประจำวันได้ยากลำบากขึ้น เช่น การลุกจากเตียง การแต่งตัว หรือการเดินเหินในบ้าน และมักมาพร้อมกับความกังวลเรื่องการทรงตัวและการหกล้ม เราสามารถประเมินความเสี่ยงของภาวะเปราะบางได้ หากผู้สูงอายุมีลักษณะต่อไปนี้ตั้งแต่ 3 ข้อขึ้นไป:
- น้ำหนักลดโดยไม่ได้ตั้งใจ: น้ำหนักลดลง 5% หรือมากกว่า ภายในระยะเวลา 1 ปี
- อ่อนแรง: รู้สึกกล้ามเนื้อไม่มีแรง มีปัญหาในการลุกขึ้นยืนโดยไม่มีคนช่วย
- แรงบีบมือลดลง: ความสามารถในการกำหรือบีบวัตถุลดลงอย่างชัดเจน
- อ่อนเพลียรุนแรง: รู้สึกเหนื่อยล้า หมดแรง หรือต้องใช้ความพยายามอย่างสูงในการทำกิจกรรมต่างๆ เป็นเวลา 3 วันต่อสัปดาห์หรือมากกว่า
- กิจกรรมทางกายลดลง: เคลื่อนไหวน้อยลงอย่างเห็นได้ชัด ทั้งกิจกรรมในบ้านและการออกกำลังกาย
- เดินช้าลง: ใช้เวลามากกว่า 6-7 วินาทีในการเดินเป็นระยะทาง 5 เมตร
.jpg)
สาเหตุและปัจจัยเสี่ยง ภาวะเปราะบางเกิดจากหลายปัจจัยที่ทำงานร่วมกัน ได้แก่:
- อายุ: เป็นปัจจัยเสี่ยงหลัก เนื่องจากความเสื่อมของระบบต่างๆ ในร่างกายตามวัย
- โรคประจำตัวเรื้อรัง: ภาวะสุขภาพ เช่น โรคเบาหวาน โรคหัวใจ หรือภาวะสมองเสื่อม สามารถเร่งให้เกิดภาวะเปราะบางได้
- การอักเสบเรื้อรัง (Chronic Inflammation): ในผู้ที่มีภาวะเปราะบาง ร่างกายมักอยู่ในภาวะอักเสบอย่างต่อเนื่อง ซึ่งสร้างความเครียดให้แก่ร่างกาย ส่งผลเสียต่อการทำงานของกล้ามเนื้อ ทำให้เกิดภาวะโลหิตจาง และลดประสิทธิภาพการทำงานของหัวใจ
- ภาวะมวลกล้ามเนื้อน้อย (Sarcopenia): คือการสูญเสียมวลและความแข็งแรงของกล้ามเนื้อตามวัย ถือเป็นปัจจัยสำคัญและเป็นสัญญาณบ่งชี้ที่ชัดเจนของภาวะเปราะบาง นอกจากนี้ ระดับฮอร์โมนเพศ (เช่น เอสโตรเจนและเทสโทสเตอโรน) ที่ลดลงก็มีส่วนทำให้ภาวะนี้รุนแรงขึ้น
.jpg)
แนวทางการดูแลและป้องกันภาวะเปราะบาง
แม้ภาวะเปราะบางจะเป็นภาวะที่ซับซ้อน แต่สามารถดูแล จัดการ และป้องกันได้ผ่านการปรับเปลี่ยนวิถีชีวิตอย่างเหมาะสม ทั้งสำหรับตนเองและคนที่คุณรัก
1. ด้านโภชนาการ
เน้นอาหารให้พลังงานและโปรตีนสูง: เพื่อป้องกันน้ำหนักลดและเสริมสร้างความแข็งแรงของกล้ามเนื้อ อาจพิจารณาเสริมด้วยผงโปรตีน
เสริมวิตามินดี: มีส่วนสำคัญต่อสุขภาพกระดูกและการทำงานของกล้ามเนื้อ
ปรับรูปแบบการรับประทาน: หากเบื่ออาหาร อาจแบ่งมื้ออาหารเป็นมื้อเล็กๆ หลายมื้อ หรือเสริมด้วยเครื่องดื่มที่มีคุณค่าทางโภชนาการสูง เช่น สมูทตี้ หรือนม
2. ด้านการออกกำลังกายและกิจกรรม
ออกกำลังกายแบบมีแรงต้าน: เพื่อเสริมสร้างความแข็งแรงของกล้ามเนื้อ เช่น การยกขาขณะนั่งบนเก้าอี้ หรือการดันกำแพง
เพิ่มกิจกรรมการเดิน: เดินให้บ่อยขึ้นตามคำแนะนำของแพทย์ เพื่อรักษาสมรรถภาพของร่างกาย
ฝึกการทรงตัว: กิจกรรมอย่างไทเก็ก ซึ่งเป็นการเคลื่อนไหวช้าๆ อย่างต่อเนื่อง ช่วยพัฒนาการทรงตัวและความแข็งแรงได้เป็นอย่างดี
กระตุ้นการทำงานของสมอง: ทำกิจกรรมที่ท้าทายความคิด เช่น การไขปริศนาอักษรไขว้ หรือการเรียนรู้สิ่งใหม่ๆ
บทสรุป
ภาวะเปราะบางไม่ใช่สิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ของการสูงวัย แต่เป็นภาวะสุขภาพที่สามารถป้องกันและจัดการได้ การรักษาวิถีชีวิตที่สมดุล ทั้งการออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ การรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ และการเข้ารับการดูแลทางการแพทย์อย่างเหมาะสม จะช่วยให้ผู้สูงอายุสามารถรักษาคุณภาพชีวิตที่ดีและใช้ชีวิตในบั้นปลายได้อย่างแข็งแรงและมีความสุข สำหรับผู้สนใจข้อมูลสุขภาพและการใช้ยาของคณะเภสัชศาสตร์ ม.มหิดล สามารถติดตามได้ที่ https://pharmacy.mahidol.ac.th/th/service-knowledge.php