บทความพิเศษ : ภาคเกษตรยังมีความหวัง #SootinClaimon.Com

#SootinClaimon.Com : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์แนวหน้า

https://www.naewna.com/local/603502

บทความพิเศษ : ภาคเกษตรยังมีความหวัง

วันอังคาร ที่ 21 กันยายน พ.ศ. 2564, 06.00 น.

ผลการอภิปรายไม่ไว้วางใจนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีเป็นรายบุคคลระหว่างวันที่ 31 สิงหาคม 2564 และลงมติวันที่ 4 กันยายน 2564 ไม่เกินความคาดหมายของทุกฝ่าย คือ ฯพณฯ ท่านนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีอีก 5 ท่านทุกท่านได้รับความไว้วางใจ คะแนนมากบ้างน้อยบ้าง ต่างกันไม่กี่คะแนน แต่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ได้รับคะแนนไว้วางใจมากที่สุด 270 คะแนน พวกเราที่อยู่ในแวดวงการเกษตรและพี่น้องเกษตรกรก็ขอแสดงความยินดีกับท่านด้วย

แต่ถ้าพิจารณาถึงผลงานของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ในช่วงที่ผ่านมาพบว่าปัญหาของเกษตรกรมากมายหลายประการที่ยังไม่ได้รับการแก้ไขโดยเฉพาะปัญหาปัจจัยการผลิตที่มีราคาสูง ราคาผลผลิตเกือบทุกชนิดตกต่ำ รวมทั้งปัญหาภัยธรรมชาติโดยเฉพาะน้ำท่วมพื้นที่การเกษตรในบริเวณภาคเหนือตอนล่างและภาคตะวันออกเฉียงเหนืออีกหลายจังหวัด

ปัญหาปัจจัยการผลิตที่มีราคาสูงโดยเฉพาะปุ๋ยเคมีที่ราคาปรับตัวสูงขึ้นทุกชนิดประมาณ 30% ถึงแม้กระทรวงพาณิชย์พยายามออกมาตรการขอความร่วมมือ สมาคมที่เกี่ยวข้องกับปุ๋ยเคมีให้สมาชิกของสมาคมนำปุ๋ยเคมีสูตรที่ได้รับความนิยมจากเกษตรกรมาจำหน่ายในราคาถูกกว่าท้องตลาด โดยจำหน่ายผ่านกลุ่มสหกรณ์ หรือสถาบันเกษตรกร ซึ่งกลุ่มสหกรณ์และสถาบันเกษตรกรที่จะร่วมโครงการต้องติดต่อผ่านหน่วยงานของกระทรวงเกษตรฯ คือ กรมส่งเสริมการเกษตร และกรมส่งเสริมสหกรณ์ เป็นมาตรการที่ดูเหมือนจะช่วยเกษตรกรโดยตรง แต่เกษตรกรที่เข้าถึงปุ๋ยราคาดังกล่าวมีจำนวนเพียงเล็กน้อยเมื่อเทียบกับจำนวนเกษตรกรทั้งประเทศเพราะมีจำนวนปุ๋ยที่อยู่ในมาตรการดังกล่าวเพียง 4.5 ล้านกระสอบเท่านั้น

ไม่เพียงแต่ปุ๋ยเคมีปัจจัยการผลิตอื่นๆ เช่น เมล็ดพันธุ์ วัสดุเพาะกล้า เช่น พีทมอส อุปกรณ์เพื่อการเกษตร เช่น ถาดหลุม ถุงพลาสติก กระถาง รวมไปถึงพลาสติกสร้างโรงเรือน พลาสติกปูแปลงและเหล็กที่ใช้ในการก่อสร้างโรงเรือน ล้วนแต่พากันปรับราคาสูงขึ้นจนเกษตรกรไม่ทันตั้งตัว

ที่สำคัญคือ สารเคมีป้องกันกำจัดศัตรูพืช และวัชพืชโดยเฉพาะสารกำจัดวัชพืชที่ห้ามใช้ อย่างพาราควอต ยังมีการลักลอบขายด้วยราคาที่สูงกว่าเดิมเกือบ 2 เท่า ที่พาราควอตยังแอบขายได้แม้ราคาสูงขึ้น เพราะเป็นสารเคมีกำจัดวัชพืชที่มีประสิทธิภาพ และไม่ได้เป็นอันตรายอย่างที่กล่าวหากัน ผิดกับ กลูโฟซิเนต ที่ประกาศว่าเป็นสารทดแทน ทั้งจำหน่ายในราคาที่สูง และไม่มีประสิทธิภาพในการกำจัดวัชพืชตามที่เกษตรกรต้องการ และมีข่าวว่าได้มีบริษัทกำลังขอขึ้นทะเบียนสารกำจัดวัชพืชตัวใหม่ที่มีชื่อการค้าว่า“ไดควอต”ซึ่งนักวิชาการหรือผู้มีความรู้เกี่ยวกับสารกำจัดวัชพืชได้บอกว่าเป็นสารชนิดเดียวกันกับพาราควอต หากกรมวิชาการเกษตรอนุญาตให้ขึ้นทะเบียนได้จะเป็นเรื่องใหญ่ที่อาจมีผลตามมาอย่างที่คาดไม่ถึง

การที่ปัจจัยการผลิตปุ๋ยเคมี สารเคมีป้องกันกำจัดโรงแมลงศัตรูพืช เมล็ดพันธุ์ วัสดุปลูก อุปกรณ์ในการเกษตรทุกชนิดที่มีราคาสูงขึ้น บริษัทผู้ลิต นำเข้า และจำหน่ายปัจจัยการผลิตเหล่านี้ไม่เดือดร้อน เพราะสามารถโยนภาระให้กับเกษตรกรได้ ส่วนเกษตรกรจะโยนภาระให้ผู้บริโภคด้วยการขึ้นราคาผลผลิตก็คงทำได้ยากในสถานการณ์เศรษฐกิจอย่างปัจจุบัน ซึ่งอย่าว่าแต่ขึ้นราคาเลย แค่ขายให้ได้ราคาเดิมก็ยากแล้ว

นำมาซึ่งอีกปัญหาหนึ่งที่สำคัญ คือ ราคาผลผลิตตกต่ำทั้งยางพารา พืชผัก ผลไม้หลายชนิด ที่เกษตรกรพยายามช่วยเหลือตัวเองด้านการตลาด ด้วยการขายออนไลน์บ้าง แปรรูปบ้าง แต่ก็ทำได้ในระดับหนึ่ง เพราะกลไกตลาดได้รับผลกระทบจากสถานการณ์การระบาดของโรคติดเชื้อโควิด-19 ที่รุนแรง ทั้งตลาดชุมชน ตลาดนัด ร้านอาหาร ภัตตาคาร โรงแรม ซึ่งเป็นแหล่งระบายผลผลิตของเกษตรกรยามปกติถูกปิดไปเป็นจำนวนมากทุกพื้นที่

ในสถานการณ์ความรุนแรงของโรคติดเชื้อโควิด–19 เกษตรกรไม่ตกงานเพราะทำงานในเรือกสวนไร่นาของตนเองได้ตามปกติ แต่ต้องลงทุนสูงขึ้น เพราะปัจจัยการผลิตแทบทุกตัวขึ้นราคา มิหนำซ้ำผลผลิตที่เกิดจากน้ำพักน้ำแรงกลับขายไม่ได้ราคา….ภาพเกษตรกรชาวสวนลำไยโค่นลำไยทิ้ง เพราะราคาตกต่ำ และสู้ค่าแรงงานเก็บลำไยไม่ไหว กระทรวงเกษตรฯ เห็นภาพนี้แล้วรู้สึกอย่างไรไม่รู้ แต่สำหรับผมซึ่งเคยรับราชการอยู่ที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และได้ผันตัวมาเป็นเกษตรกรในปัจจุบัน ได้รับประสบการณ์ตรงเผชิญกับปัญหาร่วมกับพี่น้องเกษตรกรรู้สึกหดหู่และสิ้นหวังกับภาคเกษตรไทย

การแก้ปัญหาของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์โดยเฉพาะปุ๋ยเคมีที่มีราคาสูงขึ้น โดยขอความร่วมมือกับบริษัทค้าปุ๋ยที่ได้กล่าวมาแล้ว และยังมีนโยบายให้เกษตรกรทำปุ๋ยอินทรีย์ใช้ทดแทน และมีเป้าหมายว่าในปี 2565 จะมีพื้นที่เกษตรอินทรีย์เพิ่มขึ้น 1.3 ล้านไร่ (จากพื้นที่การเกษตรทั้งประเทศ 149 ล้านไร่) แต่ท่านทราบหรือไม่ว่าการทำปุ๋ยอินทรีย์มีองค์ประกอบที่สำคัญคือปุ๋ยคอก เช่น มูลวัว, มูลไก่, มูลสุกร,แกลบดำ, แกลบดิบ, ขุยมะพร้าว ฯลฯ ซึ่งองค์ประกอบที่สำคัญเหล่านี้ล้วนมีราคาสูงขึ้นประมาณ 10-20%เกือบทุกชนิด เพราะผมเป็นผู้หนึ่งที่ได้ทำปุ๋ยอินทรีย์เพื่อใช้ปลูกผักอินทรีย์ตามระบบเกษตรอินทรีย์ และใช้รวมกับปุ๋ยเคมีตามระบบ GAP

นอกเหนือจากปัญหาปัจจัยการผลิตที่มีราคาสูงขึ้นเกือบทุกชนิดอย่างที่ไม่เคยปรากฏมาก่อน ราคาผลผลิตตกต่ำ ภัยธรรมชาติอันเกิดจากน้ำท่วม ที่พี่น้องเกษตรกรประสบอยู่ในขณะนี้ ยังมีปัจจัยการผลิตอีกอย่างหนึ่งที่เกษตรกรต้องใช้สำหรับขับเคลื่อนเครื่องจักรกลการเกษตรคือน้ำมันดีเซลซึ่งปัจจุบันราคาลิตรละ 29 บาทเศษ ติดต่อกันมานานแล้วเกือบแตะเพดานราคาควบคุมที่รัฐบาลกำหนดไว้ลิตรละ 30 บาท

ปัญหาเหล่านี้พรรคประชาธิปัตย์ซึ่งรับผิดชอบนโยบายทั้งด้านการผลิตและการตลาด โดยมีเจ้ากระทรวงทั้งกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และกระทรวงพาณิชย์ อยู่ในพรรคเดียวกันน่าจะเป็นโอกาสดีที่ทำให้ปัญหาการผลิต และการตลาดของผลผลิตทางการเกษตร ซึ่งสั่งสมมานานได้รับการแก้ไขอย่างเป็นระบบ ช่วยเหลือเกษตรกร และเศรษฐกิจของประเทศได้อย่างยั่งยืน

ว่างๆ ท่านลองจับมือกันลงพื้นที่ ค้นหาปัญหาที่เกิดขึ้นด้วยตนเองโดยไม่ต้องรอให้ใครรายงาน..จริงใจและจริงจังในการบูรณาการนโยบายของทั้ง 2 กระทรวงเพื่อแก้ปัญหาให้ตรงประเด็น ซึ่งอาจจะจุดประกายความหวังให้เกษตรกรไทยได้บ้าง “ภาคเกษตรยังมีความหวัง”

อนันต์ ดาโลดม

นายกสมาคมพืชสวนแห่งประเทศไทย

Leave a comment