#SootinClaimon.Com : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์แนวหน้า
https://www.naewna.com/lady/623179

วันจันทร์ ที่ 20 ธันวาคม พ.ศ. 2564, 06.00 น.
หน้าหนาวมาแล้ว หลายคนอาจดีใจ เพราะจะได้สวมเสื้อกันหนาวสวยๆ กับเขาสักที แต่อย่าลืมว่าหน้าหนาวในบ้านเรา โดยเฉพาะกรุงเทพฯ และหลายจังหวัดในภาคเหนือมักจะมาพร้อมกับฝุ่นละออง โดยเฉพาะPM2.5 ดังนั้นหน้าหนาวจึงอาจจะทำให้คนหลายคนมีอาการโรคภูมิแพ้กำเริบได้ เพราะทั้งความเย็นของอากาศผสมกับฝุ่นขนาดเล็กจิ๋ว ทำให้เกิดอาการคัดจมูก น้ำมูกไหล ไอ จาม เป็นต้น
อาการเหล่านี้เกิดจากร่างกายหลั่งสารฮิสตามีน (histamine) มากเกินไป แต่ทั้งนี้คนแต่ละคนก็จะมีปัจจัยกระตุ้นอาการแพ้ไม่เหมือนกัน บางคนแพ้อากาศ บางคนแพ้ฝุ่น บางคนแพ้อาหารบางชนิด คนที่มีอาการแพ้บ่อยๆ ควรสังเกตว่าตนเองถูกกระตุ้นจากปัจจัยอะไร เพื่อจะได้หลีกเลี่ยงปัจจัยนั้นให้ได้
เมื่อมีอาการแพ้ ก็ต้องกินยาแก้แพ้ (anti-histamine) ที่จริงยาแก้แพ้ดูเหมือนเป็นยาที่เราทุกคนรู้จักดีและมีโอกาสได้ใช้บ่อยๆ รองจากยาลดไข้แก้ปวด เพราะทุกคนคงจะเคยแพ้อะไรสักอย่างมาก่อน ยาแก้แพ้ที่คนส่วนใหญ่คุ้นเคย ได้แก่ คลอเฟนิรามีน (chlorpheniramine) หรือบางคนเรียกชื่อย่อว่ายา CPM เป็นเม็ดกลมสีเหลืองขนาดเล็ก วิธีใช้ยาคือ กินครั้งละ 1 เม็ด ทุก 6 ชั่วโมง เมื่อมีอาการแพ้ ยานี้ถูกใช้มายาวนานหลายสิบปี เพราะมีประสิทธิภาพช่วยบรรเทาอาการแพ้ที่เกิดขึ้นได้ดีลดอาการน้ำมูกไหล จาม ผื่นคันที่เกิดขึ้นจากการแพ้ต่างๆ
แต่อาการข้างเคียงที่สำคัญหลังกินยานี้คือ ง่วงนอนมาก บางคนถึงกับหลับหลังกินยา จนบางคนประยุกต์เอายาแก้แพ้มากินเพื่อให้หลับ (ซึ่งเภสัชกรไม่แนะนำเด็ดขาด) นอกจากง่วงแล้ว ยา CPM ยังทำให้เกิดอาการปากแห้ง คอแห้ง ตาพร่าได้ด้วย จึงมีคำเตือนว่า หลังกินยานี้ไม่ควรขับขี่ยานพาหนะ ควบคุมเครื่องจักร หรือทำงานในที่สูง เพราะทำให้เสี่ยงต่อการเกิดอุบัติเหตุ
ยา CPM เป็นยาแก้แพ้รุ่นเก่าดั่งเดิม ซึ่งผลข้างเคียงจากยาโดยเฉพาะอย่างยิ่งความง่วงส่งผลกระทบต่อการใช้ชีวิตประจำวัน ในรายที่ภูมิแพ้กำเริบรุนแรงและต่อเนื่องจึงต้องกินยาตลอด ผู้ใช้ยาอาจไม่สามารถเรียนหรือทำงานได้ตามปกติ นักวิจัยจึงพยายามค้นคิดยาแก้แพ้รุ่นใหม่ที่มีประสิทธิภาพดีขึ้น ผลข้างเคียงเรื่องง่วงซึมน้อยลง จนแทบไม่ง่วง และออกฤทธิ์ได้นานขึ้น ทำให้ความถี่ของการกินยาลดลงจากวันละหลายครั้ง เป็นวันละครั้ง หรืออย่างมากไม่เกิน 2 ครั้ง เพิ่มความสะดวกสบายให้ผู้ป่วย ตัวอย่างยาแก้แพ้รุ่นใหม่ที่นิยมใช้คือ ลอราทาดีน (loratadine) เซทิริซีน (cetirizine) ส่วนราคายาแก้แพ้รุ่นแรกมีราคาถูกมาก กระปุกบรรจุ 100 เม็ดอาจมีราคาเพียง 25-30 บาทเท่านั้น แต่ยาแก้แพ้รุ่นใหม่มีราคาแพงขึ้น
ยาแก้แพ้ทั้งสองชนิดข้างต้นมีหลากหลายยี่ห้อและราคาต่างกัน ตั้งแต่เม็ดละประมาณ 1-2 บาท จนถึงเกือบ 20 บาท ผู้ใช้ยาเลือกใช้ได้ตามเศรษฐานะของตน
แต่อย่าลืมว่า แม้ยาแก้แพ้ดูเหมือนจะเป็นยาที่ค่อนข้างปลอดภัย แต่ขึ้นชื่อว่ายาแล้ว ย่อมต้องมีแง่มุมให้ต้องระมัดระวังเสมอ ไม่ใช่ทุกคนจะใช้ยาแก้แพ้ได้ทุกตัว ผู้สูงอายุไม่ควรใช้ยาแก้แพ้กลุ่มเก่า เนื่องจากอาจเพิ่มปัญหาเกี่ยวกับต้อหินและต่อม
ลูกหมาก เพราะยามีผลเพิ่มความดันในลูกตาและทำให้ปัสสาวะคั่งได้ อีกทั้งอาการง่วงซึมที่เกิดขึ้นอาจเพิ่มความเสี่ยงในการพลัดตกหกล้ม ซึ่งอาจเป็นอันตรายถึงชีวิต
ส่วนผู้ใช้ยาที่แม้ว่าจะยังไม่สูงวัย แต่มีโรคประจำตัวหรือมีการใช้ยาที่มีฤทธิ์กดประสาท เช่น ยาคลายเครียด ยาต้านซึมเศร้า ก็ต้องระวังการใช้ยาแก้แพ้ร่วมกับยารักษาโรคประจำตัวด้วย
นอกจากนั้นยาแก้แพ้กลุ่มใหม่ก็ต้องปรับขนาดยาในรายที่มีอาการไตบกพร่องรุนแรง ขอย้ำว่าผู้มีภูมิแพ้ที่ต้องใช้ยา โปรดปรึกษาแพทย์และเภสัชกรก่อนใช้ยาโดยเฉพาะอย่างยิ่งคนที่มีปัญหาสุขภาพซึ่งต้องใช้ยาอื่นๆ ในชีวิตประจำวัน ยิ่งต้องระวังการใช้ยาแก้แพ้ ดังนั้นจึงไม่ควรซื้อยาแก้แพ้มากินเองเป็นอันขาด
ผศ.ภญ.ดร.ณัฎฐดา อารีเปี่ยม
คณะเภสัชศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย