#SootinClaimon.Com : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์แนวหน้า
https://www.naewna.com/local/621198

วันศุกร์ ที่ 10 ธันวาคม พ.ศ. 2564, 06.00 น.
ตลอดระยะเวลากว่า 70 ปีแห่งการครองราชย์ของพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร รัชกาลที่ 9 ทรงศึกษาข้อมูลรายละเอียดในการดำเนินโครงการต่างๆ อย่างเป็นระบบ เพื่อให้การดำเนินโครงการนั้นๆเกิดประสิทธิภาพสูงสุดตรงตามความต้องการของประชาชน และสอดคล้องกับสภาพแวดล้อม โดยเฉพาะโครงการด้านพัฒนาแหล่งน้ำ จนได้รับสมัญญานามว่า “ปราชญ์แห่งการบริหารจัดการน้ำ”
.jpg)
นายประพิศ จันทร์มา อธิบดีกรมชลประทานเปิดเผยว่า “โครงการเพิ่มปริมาณน้ำในอ่างเก็บน้ำเขื่อนแม่กวงอุดมธารา” ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างการดำเนินงานก่อสร้างคาดว่าจะแล้วเสร็จในปี 2567 เป็นโครงการพัฒนาแหล่งน้ำขนาดใหญ่อีกโครงการหนึ่งที่กรมชลประทาน ได้นำศาสตร์ความรู้จาก “โครงการอุโมงค์ผันน้ำลำพะยังภูมิพัฒน์ อันเนื่องมาจากพระราชดำริ” อ.เขาวง จ.กาฬสินธุ์ มาใช้แก้ปัญหาขาดแคลนน้ำในพื้นที่จังหวัดเชียงใหม่และพื้นที่ใกล้เคียง
กรมชลประทานได้น้อมนำแนวพระราชดำริให้กรมชลประทานพิจารณาดำเนินการเกี่ยวกับการพัฒนาลุ่มน้ำลำพะยังตอนบน มาดำเนินโครงการพัฒนาลุ่มน้ำลำพะยังตอนบน อันเนื่องมาจากพระราชดำริ โดยได้มีการดำเนินงานก่อสร้างอ่างเก็บน้ำลำพะยังตอนบน ที่ต.สงเปลือย อ.เขาวง จ.กาฬสินธุ์ เสร็จในปี 2538 สามารถกักเก็บน้ำได้ 4.00 ล้าน ลบ.ม. มีพื้นที่เกษตรกรรมได้รับประโยชน์ประมาณ 4,600 ไร่ และสร้างอุโมงค์ผันน้ำลำพะยังภูมิพัฒน์ ครอบคลุมพื้นที่ 2 จังหวัด คือ จ.กาฬสินธุ์ และมุกดาหาร แล้วเสร็จในปี 2549
โครงการอุโมงค์ผันน้ำลำพะยังภูมิพัฒน์ เป็นการบริหารจัดการน้ำจากพื้นที่ที่มีปริมาณน้ำมากไปยังพื้นที่ขาดแคลนน้ำ โดยทำการผันน้ำจากอ่างเก็บน้ำห้วยไผ่ อ.ดงหลวง จ.มุกดาหาร ซึ่งมีปริมาณน้ำมาก มายังอ่างเก็บน้ำลำพะยังตอนบน ซึ่งมีปริมาณน้ำน้อย จากนั้นก็จะทำการกระจายน้ำให้กับพื้นที่การเกษตรของลุ่มน้ำลำพะยังตอนบนสามารถสร้างประโยชน์ครอบคลุมพื้นที่ในเขตอ.เขาวง มากถึงประมาณ 12,000 ไร่ และยังทำให้ข้าวมีผลผลิตเพิ่มมากขึ้นถึง 2-3 เท่า
“กรมชลประทานได้น้อมนำหลักการบริหารจัดการน้ำจากพื้นที่ที่มีปริมาณน้ำมากไปยังพื้นที่ขาดแคลนน้ำ ของในหลวงรัชกาลที่ 9 มาศึกษาขยายผลดำเนินโครงการเพิ่มปริมาณน้ำในอ่างเก็บน้ำเขื่อนแม่กวงอุดมธารา” อธิบดีกรมชลประทานกล่าว
โครงการเพิ่มปริมาณนํ้าในอ่างเก็บนํ้าเขื่อนแม่กวงอุดมธารา เป็นการพัฒนาลุ่มน้ำปิงตอนบน ซึ่งมีลุ่มน้ำสาขาสำคัญๆ 3 ลุ่มน้ำคือ ลุ่มน้ำแม่กวง ลุ่มน้ำแม่งัด และลุ่มน้ำแม่แตง โดยในพื้นที่ลุ่มน้ำแม่กวงนั้นได้มีการสร้างเขื่อนแม่กวงอุดมธารา จ.เชียงใหม่ แล้วเสร็จเมื่อปี 2530 มีความจุ 263 ล้านลบ.ม. ลุ่มน้ำแม่งัดได้มีการสร้างเขื่อนแม่งัดสมบูรณ์ชลจ.เชียงใหม่ แล้วเสร็จเมื่อปี 2529 มีความจุ 265 ล้านลบ.ม. ซึ่งเป็นเขื่อนในโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริ ของรัชกาลที่ 9 ทั้ง 2 แห่ง ส่วนลุ่มน้ำแม่แตง ไม่มีเขื่อนเก็บกักน้ำ แต่มีฝายแม่แตง จ.เชียงใหม่ พร้อมแก้มลิงบริเวณฝาย 2 แห่ง ความจุรวมกันประมาณ 2.97 ล้านลบ.ม.
ทั้งนี้ที่่ผ่านมาเขื่อนแม่กวงอุดมธารา มีปริมาณน้ำท่าที่ไหลลงอ่างฯโดยเฉลี่ยในแต่ละปีจะมีน้อยกว่าปริมาณความจุ ทำให้น้ำต้นทุนไม่เพียงพอกับความต้องการทั้งทางด้านอุปโภค-บริโภค และการเกษตร ในเขตพื้นที่ จ.เชียงใหม่ และลำพูน
ขณะเดียวกันปริมาณน้ำท่าในลุ่มน้ำสาขาอีก 2 สาขา คือ ลุ่มน้ำแม่งัด และลุ่มน้ำแม่แตง ในฤดูฝนกลับมีจะปริมาณน้ำมากเกินความต้องการ จนเกิดภาวะ
น้ำท่วมเป็นประจำ
ดังนั้นเพื่อให้การใช้ประโยชน์จากเขื่อนแม่กวงอุดมธาราเต็มศักยภาพ กรมชลประทานจึงได้ดำเนินโครงการเพิ่มปริมาณน้ำในอ่างเก็บน้ำเขื่อนแม่กวงอุดมธารา ซึ่งเป็นการก่อสร้างอุโมงค์ส่งน้ำที่มีความยาวมากที่สุดในประเทศไทยคือ ประมาณ 49 กิโลเมตร เพื่อผันน้ำส่วนเกินช่วงฤดูน้ำหลาก(กรกฎาคม–พฤศจิกายนของทุกปี) ในลำน้ำแม่แตงผ่านอุโมงค์ส่งน้ำช่วงแรก คือ ช่วงแม่แตง-แม่งัด ความยาวประมาณ 26 กิโลเมตร มาพักไว้ที่เขื่อนแม่งัดสมบูรณ์ชล จำนวน 113 ล้านลบ.ม.ต่อปี จากนั้นก็จะผันน้ำในส่วนนี้ ร่วมกับปริมาณน้ำส่วนเกินของเขื่อนแม่งัดสมบูรณ์ชล ประมาณ 47 ล้านลบ.ม.ต่อปี ส่งผ่านอุโมงค์ส่งน้ำช่วงที่ 2 คือ ช่วงแม่งัด-แม่กวง ความยาวประมาณ 23 กิโลเมตร ไปลงเขื่อนแม่กวงอุดมธารา ซึ่งจะได้ปริมาณน้ำรวมปีละประมาณ 160 ล้านลบ.ม.
“โครงการเพิ่มปริมาณนํ้าในอ่างเก็บนํ้าเขื่อนแม่กวงอุดมธารา ขณะนี้มีความคืบหน้าในการก่อสร้างมากกว่าร้อยละ 65 เมื่อแล้วเสร็จจะทำให้เขื่อนแม่กวงอุดมธารา มีปริมาณที่มั่นคงเพียงพอกับความต้องการใช้น้ำในทุกกิจกรรม ในพื้นที่จ.เชียงใหม่ และจ.ลำพูน ที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะภาคการเกษตรนั้น จะสามารถส่งน้ำให้พื้นที่ชลประทานของโครงการส่งน้ำและบำรุงรักษาเขื่อนแม่กวงอุดมธารา ในช่วงฤดูฝนได้ถึง 175,000 ไร่ และในช่วงฤดูแล้งอีก 76,129 ไร่ นอกจากนี้ ยังจะสามารถส่งน้ำอีกจำนวนประมาณ 25 ล้านลบ.ม.ให้กับโครงการส่งน้ำและบำรุงรักษาแม่แตง ใช้ในการจัดสรรเพื่อการปลูกพืชในฤดูแล้งได้อีกกว่า 14,500 ไร่” อธิบดีกรมชลประทานกล่าว
นอกจากนี้กรมชลประทานยังได้ นำศาสตร์ความรู้จาก “โครงการอุโมงค์ผันน้ำลำพะยังภูมิพัฒน์อันเนื่องมาจากพระราชดำริ” ดังกล่าวมาต่อยอดขยายผลแก้ไขปัญหาน้ำขาดแคลนในลุ่มน้ำเจ้าพระยา “อู่ข่าวอู่น้ำ” ของประเทศด้วยการดำเนิน“โครงการเพิ่มปริมาณน้ำต้นทุนให้เขื่อนภูมิพล” อีกด้วย ซึ่งได้ผ่านการพิจารณาจากคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ ที่มีพล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรีเป็นประธานแล้ว ขณะนี้อยู่ระหว่างการชี้แจง ประชาสัมพันธ์สร้างการรับรู้และ
การมีส่วนร่วมของประชาชนในพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบรวมทั้งจัดเตรียมรายละเอียดของโครงการเพื่อเสนอต่อคณะกรรมการนโยบายน้ำแห่งชาติ(กนช.)และคณะรัฐมนตรีเพื่อพิจารณา ภายในปี 2565
โครงการเพิ่มปริมาณน้ำต้นทุนให้เขื่อนภูมิพลเป็นการผันน้ำจากแม่น้ำยวม จ.แม่ฮ่องสอน มากักเก็บไว้ที่เขื่อนภูมิพล ประมาณปีละ 1,800 ล้านลบ.ม. ผ่านอุโมงค์ผันน้ำความยาวประมาณ 62 กิโลเมตร เพื่อแก้ปัญหาขาดแคลนน้ำในลุ่มเจ้าพระยา ซึ่งปัจจุบันความต้องการใช้น้ำประมาณ 20,415 ล้านลบ.ม.ต่อปี อีก 20 ปี ข้างหน้าความต้องการใช้เพิ่มเป็น 22,676 ล้านลบ.ม. ปริมาณน้ำต้นทุนที่มีอยู่ไม่เพียงพอกับความต้องการขาดแคลนอีกประมาณ 2,633 ล้านลบ.ม. ดังนั้นหากไม่หาแหล่งน้ำต้นทุนเพิ่มเติมลุ่มเจ้าพระยาวิกฤตขาดแคลนน้ำแน่นอน
ขณะที่เขื่อนภูมิพล จ.ตาก เป็น 1 ใน 4 เขื่อนขนาดใหญ่ที่เป็นแหล่งน้ำต้นทุนหลักของลุ่มเจ้าพระยา มีความจุ 13,462 ล้าน ลบ.ม. แต่จากสถิติ พบว่าน้ำไหลเข้าเขื่อนยังไม่เต็มความจุประมาณปีละ 6,000-7,000 ล้านลบ.ม.เท่านั้น ทำให้เขื่อนภูมิพลยังเหลือช่องว่างที่สามารถกักเก็บน้ำได้อีกไม่น้อยกว่า 4,000 ล้านลบ.ม.
“หากสามารถดำเนินโครงการเพิ่มปริมาณน้ำต้นทุนให้เขื่อนภูมิพล จะสร้างความมั่นคงให้น้ำเพื่อการอุปโภค-บริโภคอีกปีละ 300 ล้านลบ.ม. คิดเป็นมูลค่า 4,290 ล้านบาทต่อปี ทำให้สามารถทำการเกษตรในฤดูแล้งเพิ่มขึ้นอีก 1.6 ล้านไร่ คิดเป็น มูลค่าประมาณ 11,910 ล้านบาทต่อปี สิ่งสำคัญยังช่วยเพิ่มกำลังผลิตกระแสไฟฟ้าให้โรงไฟฟ้าท้ายเขื่อนภูมิพล อีกประมาณ 417 ล้านหน่วยต่อปี คิดเป็นมูลค่า 1,147 ล้านบาทต่อปี นอกจากนี้ยังช่วยรักษาระบบนิเวศในการผลักดันน้ำเค็มที่รุกแม่น้ำเจ้าพระยาที่ทวีรุนแรงมากขึ้น ป้องกันค่าความเค็มของน้ำประปา เพื่อการอุปโภค-บริโภค การแพทย์ การเกษตร การอุตสาหกรรม และการท่องเที่ยว” อธิบดีกรมชลประทานกล่าว
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 9 เปรียบเสมือน “ครูของแผ่นดิน” ซึ่งกรมชลประทานได้น้อมนำความรู้ที่พระองค์ได้ถ่ายทอดไว้ มาศึกษา พัฒนาต่อยอดขยายผลดำเนินแก้ไขปัญหาสร้างความมั่นคงเรื่องน้ำให้กับประเทศชาติและประชาชนตามพระราชปณิธานจะสืบสาน รักษา และต่อยอด ของพระบาทสมเด็จพระปรเมนทรรามาธิบดีศรีสินทรมหาวชิราลงกรณ พระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลปัจจุบัน