#SootinClaimon.Com : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์แนวหน้า
https://www.naewna.com/lady/629451

วันพุธ ที่ 19 มกราคม พ.ศ. 2565, 06.00 น.
ยุคนี้ไม่ว่าจะเป็นสาวหรือหนุ่มต่างก็ให้ความสำคัญกับการมีผิวหน้าที่เนียน สวย สดใส แต่เมื่อมีอายุที่มากขึ้น ทำให้การดูแลผิวเป็นไปได้ยากมากขึ้นโดยเฉพาะปัญหาผิวหน้าหย่อนคล้อย นับเป็นปัญหาผิวที่พบได้บ่อยเมื่ออายุเริ่มมากขึ้น อย่างไรก็ตามปัจจุบันมีเทคโนโลยีจำนวนมากที่ช่วยยกกระชับผิวหน้า โดยไม่ต้องผ่าตัดศัลยกรรม
ข้อมูลจาก พญ.ดวงกมลทัศนพงศากุล แพทย์ประจำศูนย์ผิวหนัง รพ.เวชธานี เปิดเผยว่า ผิวหน้าหย่อนคล้อยและริ้วรอยบนใบหน้า เกิดได้ทั้งปัจจัยภายในและภายในนอกร่างกาย ปัจจัยภายใน คืออายุที่มากขึ้น ผิวหนังบางลง ความสามารถในการกักเก็บน้ำของผิวหนังลดลง ทำให้ผิวเสียความชุ่มชื้นได้ง่าย ขณะที่ ปัจจัยภายนอก ได้แก่ แสงแดด ความเครียด การดื่มสุรา และการสูบบุหรี่ โดยความหย่อนคล้อยของใบหน้า สามารถเกิดได้จากการเปลี่ยนแปลงของผิวชั้นหนังแท้ ชั้นไขมัน กระดูก และชั้นกล้ามเนื้อส่วนบนหรือที่เราเรียกกันว่า ชั้น SMAS และ เกิดจากแรงโน้มถ่วงของโลก
ปัจจุบันมีเทคโนโลยีหลากหลายวิธีที่ช่วยในการยกกระชับผิว การจะเลือกเครื่องมือหรือวิธีการใดนั้นขึ้นอยู่กับสภาพผิวหน้าของแต่ละบุคคล โดยมีเทคโนโลยียกกระชับที่แบ่งตามความลึกของชั้นผิว ดังนี้
l เลเซอร์-เนื่องจากความหย่อนคล้อยเกิดจากคอลลาเจนในชั้นผิวลดลง ดังนั้นเลเซอร์จะช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนให้กับชั้นผิวและยกกระชับใบหน้าได้ เช่น, Long pulse Nd Yag Laser, Fractional Erbium Glass Laser เป็นต้น
l Botulinum toxin-การฉีดสาร Botulinum toxin (Botox) แพทย์มักจะใช้ฉีดเพื่อรักษาริ้วรอยบนใบหน้าที่เกิดจากการหดตัวของกล้ามเนื้อ เช่น ริ้วรอยที่บริเวณระหว่างคิ้ว รอบดวงตา และหน้าผาก โดย Botulinum toxin จะทำให้กล้ามเนื้อคลายตัวเฉพาะจุด และหยุดทำงานชั่วคราว ทำให้รอยย่นที่เกิดจากการทำงานของกล้ามเนื้อจะลดเลือนลงหรือจางไป นอกจากนี้เรายังใช้ Botulinum toxinในการฉีดเพื่อปรับเปลี่ยนรูปหน้าจากใบหน้ารูปเหลี่ยม ซึ่งเกิดจากกล้ามเนื้อที่ใช้การเคี้ยวที่มีขนาดใหญ่ ให้ดูเรียวขึ้น โดยไม่ต้องผ่าตัด รวมถึงการใช้เทคนิคพิเศษในฉีด Botulinum toxin (Botox Lift) ซึ่งเป็นการฉีดไปที่บริเวณกรอบหน้า เพื่อให้เห็นแนวกรอบหน้าชัดเจนขึ้น ทำให้ผิวดูกระชับขึ้น โดยทั่วไปผลของการฉีดจะอยู่ได้นานประมาณ 4-6 เดือน
l สารเติมเต็ม Hyaluronic acid-หรือการฉีดฟิลเลอร์ เพื่อช่วยเติมเต็มร่องต่างๆบนใบหน้า และยังมีเทคนิคที่ฉีดในการยกกระชับหน้า ได้ด้วย ข้อดีคือจะเห็นผลหลังทำทันที
l HIFU (High Intensity Focused Ultrasound)-นวัตกรรมยกกระชับผิวโดยการปล่อยพลังงานคลื่นอัลตราซาวนด์ความเข้มข้นสูงเข้าไปยังเนื้อเยื่อในชั้นผิวหนังระดับลึกชั้นกล้ามเนื้อส่วนบน (SMAS) ทำให้เกิดการกระตุ้นให้เกิดการสร้างคอลลาเจนและเนื้อเยื่อขึ้นมาใหม่ ผลลัพธ์ของการทำ HIFU จะคงสภาพอยู่ได้ประมาณ 6 เดือน ถึง 1 ปี ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับบุคคลและการดูแลผิว
l Thermage-เป็นเทคโนโลยียกกระชับผิวด้วยคลื่นวิทยุความถี่สูง (High Radio Frequency) ชนิดขั้วเดียวหรือ monopolar หัวยิงสามารถส่งพลังงานในลักษณะเป็นก้อนใหญ่ๆ ลงลึกได้ถึงชั้นหนังแท้ และชั้นไขมันใต้ชั้นผิวแต่ไม่ถึงชั้นเนื้อเยื่อ SMAS อยู่ได้นาน 1-2 ปีเหมาะสำหรับผู้ที่มีปัญหาผิวหย่อนคล้อยเล็กน้อย ถึงปานกลาง มีไขมันใต้ชั้นผิวค่อนข้างมาก เช่น มีแก้มเยอะ หรือมีเหนียง แต่ไม่เหมาะกับผู้ที่มีแก้มตอบ
l Ulthera หรือ Ultherapy- นวัตกรรมที่ใช้คลื่นเสียงที่มีความถี่สูง และมีความเฉพาะเจาะจง (Focused Ultrasound) ยิงลงไปยังใต้ชั้นผิวเพื่อให้เกิดการยกกระชับและลดริ้วรอย หลักการทำงานคือ การส่งผ่านพลังงานขนาดเล็กจำนวนมากตรงสู่ผิวหนังชั้นลึก และยังสามารถลงลึกได้ถึงตำแหน่งที่ต้องการจะทำการรักษา นอกจากนี้ยังไปกระตุ้นการเสริมสร้างคอลลาเจนใหม่อย่างต่อเนื่อง ทำให้ผิวค่อยๆ ตึง เรียบเนียนขึ้นทีละน้อยเป็นธรรมชาติ โดยมีการนำมาใช้ยกกระชับและลดริ้วรอยบนผิวหน้า และคอที่หย่อนคล้อยให้ตึงขึ้น เพิ่มความชัดเจนของกรอบหน้า ปรับรูปหน้าให้เรียว ยกคิ้วและหางตา ทั้งนี้ ระหว่างการยกกระชับผิวหน้าด้วย Ulthera แพทย์สามารถมองเห็นภาพของชั้นผิวหนังทุกชั้นผ่านหน้าจอของเครื่อง จึงสามารถปรับคลื่นเสียงที่เหมาะกับสภาพผิวของแต่ละคนได้ ทำให้เกิดความแม่นยำสูงในการยกกระชับผิวหน้า และทำให้ผลการรักษามีประสิทธิภาพมากที่สุดโดยไม่มีอันตรายกับผิวบริเวณข้างเคียง โดยนวัตกรรมนี้มีประสิทธิภาพเทียบเท่าการผ่าตัด เนื่องจาก Focused Ultrasound สามารถปล่อยพลังงานให้ลงลึกถึงรอยต่อของชั้นกล้ามเนื้อส่วนบน (SMAS) ซึ่งเป็นชั้นที่ศัลยแพทย์ใช้ในการผ่าตัดดึงหน้า ปัจจุบันยังไม่มีเทคโนโลยีอื่นๆที่สามารถยกกระชับผิวระดับนี้ได้ ยกเว้นการทำศัลยกรรม แต่การทำ Ulthera เพียงแค่ 1 ครั้ง จะให้ผลการรักษายาวนานถึง 1-2 ปี โดยไม่มีแผล แต่ไม่ต้องเสียเวลาพักฟื้น โดยผลการรักษาจะดีขึ้นเรื่อยๆ และเห็นผลชัดเจนหลังทำการรักษาประมาณ 2-6 เดือน ทั้งนี้ ก่อนเข้ารับการรักษาด้วย Ulthera ควรงดการทาครีมที่มีส่วนผสมของกรดวิตามินเอ กรดผลไม้ และงดการทายารักษาสิว ฝ้า และรอยดำอย่างน้อย 2-3 วัน และจำเป็นต้องให้ข้อมูลเกี่ยวกับโรคประจำตัว ประวัติการผ่าตัด หรือการฉีดสารต่างๆ บนใบหน้าอย่างตรงไปตรงมากับแพทย์ เพื่อแพทย์จะได้ประเมินการทำ Ulthera ได้อย่างเหมาะสมโดยการทำ 1 ครั้ง จะใช้เวลาประมาณ30-90 นาที หลังทำไม่มีบาดแผล ในบางคนอาจมีผิวแดงขึ้นเล็กน้อย แต่จะหายไปเองภายในเวลา 2-3 ชั่วโมง และสามารถแต่งหน้าและทำกิจวัตรประจำวันตามปกติ โดยไม่ต้องพักฟื้นผิว
อย่างไรก็ตาม การเลือกใช้วิธียกกระชับแบบใดนั้น แนะนำว่าให้ปรึกษากับแพทย์ผู้เชี่ยวชาญก็จะได้รับคำตอบที่ตรงกับความต้องการเรามากที่สุด เพราะการได้รับคำแนะนำและการพิจารณาความเหมาะสม ของวิธีการรักษาจากแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ ทั้งนี้เพื่อความปลอดภัยและประสิทธิภาพสูงสุดของการรักษา
ผศ.(พิเศษ)ดร.อภิสิทธิ์ ฉัตรทนานนท์
ประธานกรรมการ มูลนิธิคุณแม่คุณภาพ


