สกู๊ปพิเศษ : ติดอาวุธคณะกรรมการลุ่มน้ำ ขับเคลื่อนการบริหารทรัพยากรน้ำสู่ระดับชาติ

#SootinClaimon.Com : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์แนวหน้า

https://www.naewna.com/local/658553

สกู๊ปพิเศษ : ติดอาวุธคณะกรรมการลุ่มน้ำ ขับเคลื่อนการบริหารทรัพยากรน้ำสู่ระดับชาติ

วันอังคาร ที่ 7 มิถุนายน พ.ศ. 2565, 06.00 น.

ตามพระราชบัญญัติทรัพยากรน้ำ พ.ศ. 2561 กำหนดให้องค์กรในการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำของประเทศ มี 3 ระดับ ระดับบน คือ ระดับชาติ ได้แก่ คณะกรรมการทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (กนช.) จะมีนายกรัฐมนตรีเป็นประธานกรรมการ และรองนายกรัฐมนตรีที่นายกรัฐมนตรีมอบหมายเป็นรองประธานกรรมการ นอกจากนี้ กรรมการโดยตำแหน่งจากหน่วยงานราชการที่เกี่ยวข้อง 9 คน กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ 4 คน และกรรมการผู้แทนคณะกรรมการลุ่มน้ำ 6 คน โดยมีเลขาธิการ สทนช. ปฏิบัติหน้าที่กรรมการและเลขานุการ คาดว่าจะสามารถประกาศ
รายชื่อ กนช.ชุดใหม่ไม่เกินเดือนกรกฎาคม 2565 นี้อย่างแน่นอน

ระดับล่างหรือระดับพื้นที่คือ องค์กรผู้ใช้น้ำ เป็นการรวมตัวกันของกลุ่มบุคคลธรรมดา หรือนิติบุคคล ที่ใช้น้ำในบริเวณใกล้เคียงกันและอยู่ในเขตลุ่มน้ำเดียวกัน รวมตัวกัน จำนวนไม่น้อยกว่า 30 ราย องค์กรผู้ใช้น้ำจะเข้าใจสภาพปัญหาและความต้องการใช้น้ำ สามารถสะท้อนแนวทางแก้ไขตามบริบทของพื้นที่ได้ดีที่สุด ซึ่งจะเป็นฟันเฟืองสำคัญที่จะช่วยให้การบริหารจัดการและการแก้ไขปัญหาทรัพยากรน้ำตรงต่อตามความต้องการของประชาชนในพื้นที่อย่างแท้จริง ขณะนี้มีองค์กรผู้ใช่้น้ำที่จดทะเบียนแล้วจำนวน 3,342 องค์กร

องค์กรในการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำอีกระดับ คือ ระดับกลาง คณะกรรมการลุ่มน้ำ เปรียบเสมือน “โซ่ข้อกลาง” ในการขับเคลื่อนแนวทางการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำและการแก้ปัญหาน้ำ ในระดับพื้นที่และระดับลุ่มน้ำ ขึ้นสู่ระดับชาติ

คณะกรรมการลุ่มน้ำแต่ละลุ่มน้ำมาจาก 4 กลุ่มสำคัญได้แก่ 1.กรรมการลุ่มน้ำโดยตำแหน่ง ประกอบด้วย ผู้ว่าราชการจังหวัดในเขตลุ่มน้ำนั้น และผู้แทนจากหน่วยงานภาครัฐ 13 หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง แต่ถ้าเป็นลุ่มน้ำที่อยู่ในพื้นที่ชายแดนจะมีผู้แทนจากทหาร ถ้าลุ่มน้ำที่มีพื้นที่ติดชายฝั่งทะเล จะมีผู้แทนจากกรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง และถ้าเป็นลุ่มน้ำอยู่ในพื้นที่ 3 จังชายแดนภาคใต้ จะมีผู้แทนจากศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้(ศอ.บต.) ร่วมเป็นกรรมการลุ่มน้ำนั้นๆด้วย 2.กรรมการลุ่มน้ำผู้แทนองค์กรผู้ใช้น้ำมาจากตัวแทนองค์กรผู้ใช้น้ำที่อยู่ในลุ่มน้ำนั้นๆ ลุ่มน้ำละ 9 คน แบ่งเป็นมาจากภาคเกษตรกรรม 3 คน ภาคอุตสาหกรรม 3 คน และภาคพาณิชยกรรมอีก 3 คน 3.กรรมการผู้แทนองค์การปกครองส่วนท้องถิ่น(อปท.) มาจากผู้บริหารอปท.ลุ่มน้ำละ 1 คน และ 4.กรรมการลุ่มน้ำผู้ทรงคุณวุฒิ มาจากผู้ที่มีความรู้และประสบการณ์เกี่ยวกับทรัพยากรน้ำ ลุ่มน้ำละ 4 คน

ปัจจุบันได้มีการคัดเลือกและสรรหาคณะกรรมการลุ่มน้ำครบทั้ง 22 ลุ่มน้ำแล้ว โดยมีผู้ว่าราชการจังหวัดในเขตลุ่มน้ำที่ได้รับเลือกเป็นประธาน อย่างไรก็ตามเพื่อให้คณะกรรมการลุ่มน้ำเข้าใจบทบาท หน้าที่ และภารกิจในการขับเคลื่อนการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำ เมื่อเร็วๆ นี้ สำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (สทนช.) ได้มีการจัดประชุมมอบนโยบายขับเคลื่อนการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำโดยคณะกรรมการลุ่มน้ำและการอบรม “คณะกรรมการลุ่มน้ำและเครื่องมือขับเคลื่อนการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำ” ผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์

พลเอกประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ได้กล่าวมอบนโยบายว่า คณะกรรมการลุ่มน้ำถือเป็นกลไกสำคัญในการบริหารจัดการน้ำในพื้นที่ให้สัมฤทธิผลโดยเร็ว ซึ่งจะทำให้ประเทศชาติมีความมั่นคงด้านน้ำอย่างยั่งยืน ทั้งนี้คณะกรรมการลุ่มน้ำจะต้องเร่งดำเนินการจัดทําแผนแมบทลุ่มน้ำให้สอดคล้องเชื่อมโยงกับแผนแม่บทการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำ 20 ปี ยุทธศาสตร์ชาติ และแผนปฏิรูปประเทศ โดยบูรณาการการมีส่วนร่วมของทุกภาคส่วน เพื่อให้การแก้ไขปัญหาเชิงพื้นที่ครอบคลุมในทุกมิติ พร้อมจัดทําแผนป้องกันและแก้ไขภาวะน้ำแล้งและน้ำท่วม ตลอดจนบริหารจัดการความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นจากภาวะน้ำท่วมโดยดำเนินการร่วมกับกระทรวงมหาดไทยในการจัดทําระบบเตือนภัยน้ำท่วม ให้มีความเหมาะสมสอดคล้องกับสภาพอากาศและสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงไป เพื่อการแจ้งเตือนภัยล่วงหน้าและเตรียมการให้ความช่วยเหลือประชาชนได้ทันท่วงที

ดร.สุรสีห์ กิตติมณฑล เลขาธิการสทนช. กล่าวว่า ในการจัดประชุมและอบรมในครั้งนั้น ยังได้มีการบรรยายพิเศษเรื่อง เป้าหมายขับเคลื่อนการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำ โดยมีคณะกรรมการลุ่มน้ำเป็นแกนกลาง และการบรรยายในเรื่องสำคัญต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการจัดทำแผนแม่บทลุ่มน้ำและการติดตามประเมินผล แนวทางการจัดทำแผนปฏิบัติการด้านทรัพยากรน้ำในเขตพื้นที่ลุ่มน้ำ
ผังน้ำและการใช้ประโยชน์ที่ดินในขอบเขตผังน้ำ และการดำเนินงานแผนป้องกันและแก้ไขภาวะน้ำแล้ง/น้ำท่วม

“ติดอาวุธ” ให้คณะกรรมการลุ่มน้ำเรียบร้อย ซึ่งพร้อมที่จะเป็นโซ่ข้อกลางในการขับเคลื่อนการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำจากระดับล่างสู่ระดับชาติ เพื่อให้เป็นตามเจตนารมณ์ของพระราชบัญญัติทรัพยากรน้ำ พ.ศ. 2561 ที่ต้องการให้ทุกภาคส่วน ทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน และภาคประชาชน ได้มีส่วนร่วมบูรณาการการทำงานให้การขับเคลื่อนภารกิจด้านน้ำทั้งในด้านการใช้น้ำ การพัฒนา การบริหารจัดการ การบำรุงรักษา และการฟื้นฟูอนุรักษ์ทรัพยากรน้ำเป็นไปในทิศทางเดียวกัน ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ครอบคลุมในทุกมิติ มีความสมดุลและยั่งยืน รวมทั้งสะท้อนกระบวนการมี
ส่วนร่วมของทุกภาคส่วนอย่างแท้จริง

Leave a comment