จัดแคมเปญ สับปะรดภูเก็ต ขายลูกละพันห้า มท.1 โดม-ปกรณ์ ลัม ฐาปน สิริวัฒนภักดี สั่งซื้อ

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือเส้นทางเศรษฐี

http://info.matichon.co.th/rich/rich.php?srctag=0730151059&srcday=2016-10-15&search=no

วันที่ 15 ตุลาคม พ.ศ. 2559 ปีที่ 22 ฉบับที่ 407

ช่องทางสร้างอาชีพ

ภาวิณีย์ เจริญยิ่ง srangbun@hotmail.com

จัดแคมเปญ สับปะรดภูเก็ต ขายลูกละพันห้า มท.1 โดม-ปกรณ์ ลัม ฐาปน สิริวัฒนภักดี สั่งซื้อ

คงไม่ใช่เรื่องเวอร์เกินไปที่จะบอกว่าสับปะรดภูเก็ตแพงสุดในเวลานี้ เพราะขายกันถึงลูกละ 1,500 บาท เรื่องนี้เป็นความจริงแท้แน่นอน เพียงแต่เป็นแคมเปญที่ทางบริษัท ประชารัฐรักสามัคคีภูเก็ต จำกัด หยิบยกขึ้นมาเพื่อโปรโมตสินค้าหลักๆ ของเมืองท่องเที่ยวสำคัญแห่งนี้ โดยสับปะรดภูเก็ต หรือที่คนใต้เรียกกันว่า ยาหนัด เป็น 1 ใน 3 อย่างของสินค้าขึ้นชื่อภูเก็ต อันได้แก่ กุ้งมังกรเจ็ดสี ผ้าบาติก และสับปะรดภูเก็ต

เปิดให้จองแค่คนละลูก

ประเด็นนี้ คุณอรสา โตสว่าง เลขานุการคณะทำงาน บริษัท ประชารัฐรักสามัคคีภูเก็ต จำกัด ให้รายละเอียดว่า ประมาณปลายเดือนตุลาคม ทางบริษัทจะเปิดให้จองสับปะรดภูเก็ตที่ดีที่สุด 100 ลูก เป็นสับปะรดภูเก็ตแท้ ขายในราคาลูกละ 1,500 บาท โดยทำแคมเปญแค่ 100 ลูก เพื่อให้เกษตรกรและชุมชนดูแลประคบประหงมเป็นอย่างดี ซึ่งตอนนี้มี คุณโดม-ปกรณ์ ลัม จองแล้วเป็นคนแรก นอกนั้นก็มี พล.อ. อนุพงษ์ เผ่าจินดา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย คุณฐาปน สิริวัฒนภักดี กรรมการผู้อำนวยการใหญ่ บริษัท ไทยเบฟเวอเรจ จำกัด (มหาชน) และภรรยา รวมทั้งยังมีคนในวงการบันเทิงจองอีกหลายคน ทางบริษัทให้สิทธิ์จองได้คนละลูกเดียวเท่านั้น

คุณอรสา บอกว่า ภูเก็ตเป็นเกาะเล็กมาก มีไร่ปลูกสับปะรดแค่ 2,200 ไร่ ดังนั้น จะหาทานสับปะรดภูเก็ตแท้ได้ยากมาก ซึ่งสับปะรดภูเก็ตเป็นต้นกำเนิดของสับปะรดภูแล ทั้งนี้ จะจัดแถลงข่าวในปลายเดือนตุลาคม และจะส่งสับปะรดให้ถึงบ้านได้ในเดือนกุมภาพันธ์ก่อนตรุษจีน เพราะคนภูเก็ตเชื่อว่าสับปะรดเป็นผลไม้มงคล ภาษาจีนเรียกว่า อ่องหลาย แปลว่า โชคดี คนภูเก็ตเชื่อมั่นว่าการไหว้เทวดาด้วยสับปะรดจะทำให้ชีวิตเจริญรุ่งเรือง และเริ่มต้นวันปีใหม่ด้วยดี

“เวลานี้เกษตรกรที่ได้รับการคัดเลือกให้ขายสับปะรดลูกละ 1,500 บาท ต่างดูแลเอาใจใส่สับปะรดที่อยู่ในแคมเปญนี้อย่างมาก จุดประสงค์ของบริษัทที่ขายในราคานี้ เพราะอยากให้เกษตรกรนำเงินก้อนนี้ไปต่อยอดไปซื้อปุ๋ย เป็นการหาเงินให้ก้อนแรกให้เขาเดินต่อ ก้อนต่อไปก็จะหมุนได้เอง”

เลขานุการคณะทำงาน บริษัท ประชารัฐรักสามัคคีภูเก็ต จำกัด ระบุว่า สับปะรดภูเก็ตนิยมเสิร์ฟหลังอาหาร เพราะอาหารภูเก็ตมัน หากทานอิ่มเกินไป จะช่วยย่อย เป็นผลไม้ที่มีสรรพคุณมาก

มีรายงานผลวิจัยออกมาแล้วว่า สับปะรดภูเก็ตมีแอนตี้ออกซิแดนต์สูงมาก สูงกว่าสับปะรดทั่วไป ทานแล้วทำให้ผิวใส ไม่เหี่ยว เป็นสับปะรดที่มีรสชาติหวาน ตรงแกนมีวิตามินซีสูงมาก เป็นสับปะรดชนิดเดียวที่คนแย่งกันทานแกน เพราะแกนกรอบและอร่อยมาก มีสรรพคุณแก้โรคหัวใจ แก้ความดัน

ที่ดินแพง ปลูกกันน้อยลง

คุณอรสา บอกด้วยว่า ช่วงแรกที่ทางคณะทำงานเข้าไปหาชุมชน ไปหาเกษตรกร โดนไล่และว่ามาทำไม ทำให้เสียเวลา แต่หลังจากที่ชุมชนเห็นว่าเข้าไปทำงานช่วยเหลือจริงๆ ทั้งเรื่องการตลาดและการขาย โดยเริ่มจากการปลุกกระแสชุมชนเพื่อให้ขายได้ลูกละ 1,500 บาท ทุกวันนี้คณะทำงานถือเป็นส่วนหนึ่งของชุมชนเพราะทำงานร่วมกัน และชุมชนต่างเข้าใจจุดประสงค์ของบริษัท

ในฐานะที่เธอเป็นชาวภูเก็ตคนหนึ่ง จึงรู้เรื่องของสับปะรดภูเก็ตค่อนข้างดี ซึ่งนับวันจะปลูกกันน้อยลง

“ปัญหาแรกที่ดินไม่มี ไร่ละ 4 ล้านบาท ปลูกสับปะรดไม่ไหว แถมติดทะเลไร่ละ 40 ล้านบาท ที่ดินน้อยลง และชุมชนที่ปลูกสับปะรดภูเก็ตโดนโจมตีจากที่อื่น แล้วเอามาอุปโลกน์เป็นสับปะรดภูเก็ต มาขายลูกละ 10-20 บาท แล้วเขียนว่าเป็นสับปะรดภูเก็ต ฝรั่งซื้อไปกินแล้วถามว่าอร่อยตรงไหน สับปะรดภูเก็ตโดนแบบนี้เยอะ ของแท้ตรงก้นสับปะรดจะอ้วน หัวจะลีบ หงอนสูงมาก หน้าตาเป็นเอกลักษณ์ ลูกใหญ่กว่าจังหวัดอื่น”

หากใครอยากจะหาทานสับปะรดภูเก็ตแท้ๆ เธอว่า หลังจากลงเครื่องที่สนามบินภูเก็ต ระหว่างทางเข้าเมืองจะมีสับปะรดขายสองข้างทาง ส่วนใหญ่เกษตรกรมาขายกันเอง ปกติขายกันลูกละ 35 บาท 3 ลูก 100 บาท แต่ประมาณเดือนกันยายน-ตุลาคม เป็นช่วงที่สับปะรดออกเยอะ ขายเพียงลูกละ 20 บาท ปอกให้ทานกันตรงนั้นเลย บางเจ้าก็มีน้ำคั้นสดขาย

หักแล้วมีรายได้ปีละล้านบาท

ทีนี้มาคุยกับเกษตรกรตัวจริงเสียงจริงกันบ้าง นั่นคือ คุณวิชัย แซ่ตัน ซึ่งเป็นรายหนึ่งที่ได้รับจัดสรรโควต้าให้ขายลูกละ 1,500 บาท จำนวน 25 ลูก

หนุ่มใหญ่วัย 48 ปีรายนี้เรียนจบ ปวส. สาขาอิเล็กทรอนิกส์ ก่อนหน้าที่จะมายึดอาชีพเกษตรกรเต็มตัวเคยทำงานโรงแรมมาก่อน พอปี 2535 ไม่มีคนช่วยพ่อที่ปลูกสับปะรดมานานกว่า 50 ปี จึงตัดสินใจลาออกจากงานประจำหันมาเป็นเกษตรกรเพียงอย่างเดียว

เขาเล่าว่า ครอบครัวมีไร่สับปะรดที่ดูแลรับผิดชอบอยู่ 2 แปลง คือที่ ตำบลป่าคลอก อำเภอถลาง จำนวน 30 ไร่ และอีก 40 ไร่ ที่บ้านบางโจ ตำบลศรีสุนทร โดยปลูกมานานกว่า 20 ปีแล้ว ซึ่งเป็นการปลูกแซมในสวนยางพาราที่หมดอายุการใช้งาน จำเป็นต้องปลูกต้นยางพาราใหม่ และช่วงที่ต้นยางพารายังไม่โตประมาณ 1-4 ปี สามารถปลูกสับปะรดแซมได้ เจ้าของสวนยางพาราจึงให้ไปปลูกสับปะรด พร้อมคอยดูแลต้นยางพาราให้ด้วย เป็นการแลกเปลี่ยนผลประโยชน์ซึ่งกันและกัน

รวมแล้วคุณวิชัยมีสวนยางพาราที่ดูแล 70 ไร่ มีสับปะรดประมาณ 200,000 ต้น ไร่หนึ่งมี 3,300 ต้น ตั้งแต่ปลูกจนเก็บลูกได้ใช้เวลา 14-20 เดือน เพราะมีลูกหลายรุ่น สามารถเก็บได้เรื่อยๆ

คุณวิชัย ให้ข้อมูลว่า ราคาขายสับปะรดไม่แน่นอน ขึ้นอยู่กับตลาด บางปีลูกเล็กขายได้ลูกละ 5-6 บาท ลูกกลางขายได้ลูกละ 19 บาท ส่วนลูกใหญ่ขายได้ลูกละ 24 บาท คิดแล้วขายได้เฉลี่ยลูกละ 10-12 บาท ตกแล้วกำไรลูกละ 6 บาท อย่างไรก็ตาม แม้ราคาไม่แน่นอน แต่ปีหนึ่งๆ มีรายได้หักค่าใช้จ่ายต่างๆ แล้วเหลือประมาณ 1 ล้านบาท โดยมีคนในครอบครัวช่วยกันทำรวม 4 คน และจ้างคนช่วยอีก 4-5 คน

“ปีนี้เป็นปีแรกที่จะขายได้ลูกละ 1,500 บาท มีเกษตรกรได้รับคัดเลือกให้เข้าโครงการ 4 ราย ที่ไร่ได้โควต้าขาย 25 ลูก จากที่บริษัท ประชารัฐฯ สั่งมา 100 ลูก ตอนนี้เตรียมการไว้แล้ว เพื่อให้ได้ผลผลิตในช่วงวันที่ 26 มกราคมปีหน้า ช่วงตรุษจีน เริ่มปลูกเมื่อปีที่แล้ว รอบังคับให้ออกลูกในเดือนกันยายน ใช้เวลาอีก 140 วัน จึงต้องบังคับให้ออกลูก โดยใช้ฮอร์โมน ขอยืนยันว่าแม้จะใช้ปุ๋ยและสารเคมีแต่ก็ปลอดภัย เพราะก่อนตัดผล 3 เดือนไม่ได้ใช้สารเคมี และไม่ได้ใช้ยาฆ่าหญ้าเลย”

หน้าแล้งรสชาติดี อร่อย

คุณวิชัย บอกว่า แคมเปญนี้ดี ทำให้คนรู้ว่าสับปะรดภูเก็ตรสชาติดีเยี่ยม ทำให้ได้ราคาสูง อยากให้จัดแบบนี้ต่อไปเรื่อยๆ เนื่องจากทำให้เกษตรกรมีรายได้ และเป็นการสร้างกระแสให้คนมาชิมว่าอร่อยจริง ทั้งหวาน กรอบ หอม อร่อย ซึ่งหากอยากทานสับปะรดภูเก็ตที่รสชาติอร่อยสุดต้องทานในหน้าแล้งประมาณเดือนมกราคมถึงเดือนเมษายน รสชาติจะหวาน น้ำน้อย

สำหรับขั้นตอนการปลูกสับปะรด เริ่มทำในช่วงหน้าแล้ง เริ่มจากการไถดิน ตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์-มีนาคม เป็นการเตรียมดิน แล้วตากแดดไว้ 7-10 วัน พร้อมใส่สารให้วัชพืชตาย จากนั้นไถดินซ้ำอีกรอบ เพื่อให้ดินร่วนซุยจะได้ปลูกง่าย เสร็จแล้วเตรียมหน่อสับปะรด โดยเลือกหน่อที่สมบูรณ์ ไม่มีโรค ต้องเลือกหัวที่มีขนาดใหญ่ ความกว้างประมาณ 1 นิ้ว ขุดหลุมใส่ในดินลึก 5-10 เซนติเมตร เอียงประมาณ 45 องศาขึ้นไป ระยะปลูกห่างกัน 40-45 เซนติเมตร เว้นทางเดินไว้ 1.20 เมตร ห่างจากต้นยางพารา 1 เมตร

ทั้งนี้ จำเป็นต้องใช้สารเคมีและปุ๋ยเคมีด้วย แต่ใช้น้อยที่สุด อย่างเช่น การใช้สารกำจัดวัชพืช กำจัดหญ้า ใช้ครั้งเดียวก่อนปลูก โดยพ่นลงในดิน ต่อมาใช้ปุ๋ยบำรุงดินเพื่อให้สับปะรดได้ธาตุอาหารครบ เพื่อให้ต้นสมบูรณ์

คุณวิชัย ระบุว่า การปลูกสับปะรดแซมในสวนยางพาราไปกันได้ดี เพราะกว่าต้นยางจะโตใช้เวลา 4 ปี ปลูกสับปะรดได้ถึง 2 รอบ ถ้าต้นยางพาราใหญ่แล้วปลูกสับปะรดไม่ได้ เพราะรากจะแย่งอาหารกัน เนื่องจากต้นสับปะรดต้องการแสงแดดเกินกว่า 50 เปอร์เซ็นต์ ที่ผ่านมามีปัญหาเรื่องแล้งทำให้เกิดโรคเหี่ยว และมีเพลี้ยมาดูดน้ำเลี้ยง

เกษตรกรรายนี้ เล่าให้ฟังอีกว่า สมัยก่อนมักมีคนมาติดต่อให้ไปโค่นต้นยางพารา ปลูกยางพาราใหม่ และปลูกสับปะรดแซม แต่มาช่วงหลังนี้สวนยางพาราหายากขึ้น เพราะคนภูเก็ตไม่ปลูกยางพารา ทำธุรกิจอย่างอื่น อย่างที่อำเภอเมืองและอำเภอกะทู้ ทำธุรกิจท่องเที่ยว ดังนั้น ต่อไปอาจจะต้องขยันไปหาสวนยางพาราที่จังหวัดใกล้เคียงแทน อย่างเช่นที่พังงา

คุณวิชัย บอกอีกว่า ที่ผ่านมาแม้จะมีการนำสับปะรดภูเก็ตไปปลูกในหลายพื้นที่ แต่รสชาติสู้ที่ภูเก็ตไม่ได้ เนื่องมาจากดินที่ภูเก็ตมีธาตุอาหารและภูมิอากาศเหมาะสม ซึ่งมีผลการวิจัยพบว่า ชั้นใต้ดินของเกาะภูเก็ตเป็นหินแกรนิตทำให้ปลูกสับปะรดได้รสชาติดี อร่อย เมื่อนำสับปะรดภูเก็ตไปปลูกที่อื่น รสชาติจะไม่เหมือนกัน ไม่ว่าจะเป็นปลูกที่พังงาหรือกระบี่ ซึ่งสับปะรดภูเก็ตได้เครื่องหมายรับรอง GI (สิ่งบ่งชี้ทางภูมิศาสตร์) ด้วย เคยไปทานที่พังงารสชาติคล้ายๆ กัน ขึ้นอยู่กับการบำรุงรักษาและการเก็บเกี่ยวด้วย ส่วนที่กระบี่ต่างกันเยอะ ไม่กรอบ

“ออโซ” แป้งฝุ่นร้อยล้าน ธุรกิจอดีตเด็กวัดสุดเฟี้ยว

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือเส้นทางเศรษฐี

http://info.matichon.co.th/rich/rich.php?srctag=0739151059&srcday=2016-10-15&search=no

วันที่ 15 ตุลาคม พ.ศ. 2559 ปีที่ 22 ฉบับที่ 407

ช่องทางสร้างอาชีพ

ดวงกมล

“ออโซ” แป้งฝุ่นร้อยล้าน ธุรกิจอดีตเด็กวัดสุดเฟี้ยว

การทำสินค้าเกี่ยวกับเครื่องสำอางจะขายได้ มีอยู่ 2 ประเภทคือ อย่างแรก ดังแล้วขายได้ แต่คุณภาพค่อยว่ากัน ส่วนแป้งฝุ่นออโซ ถือเป็นประเภทที่สอง แม้ไม่ดังแต่ขายได้ เพราะแค่ออกมาขายทดลองตลาด 2-3 เดือน ยอดขายก็เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ เพราะตลาดเครื่องสำอางในประเทศไทยยังโตต่อไปได้

คุณอนุศิษฏ์ ลิ้มสุขเจริญกุล หรือ คุณริน อดีตลูกชาวสวนที่มุ่งหน้าเข้ามาหาอนาคตในเมืองกรุง เลือกที่จะอยู่วัดเพื่อควบคุมความประพฤติ เลือกเรียนวิศวกร สาขาเครื่องยนต์ จบมาทำงานบริษัทแถวหน้ารับเงินเดือนเป็นแสน แต่แล้วด้วยความฝันอยากมีธุรกิจเป็นของตัวเอง หนที่สุดปฏิเสธบทบาทพนักงานออฟฟิศ แล้วมุ่งหน้าสานฝันให้เป็นจริง แต่กว่าจะเป็นนักธุรกิจแป้งฝุ่นร้อยล้านในวันนี้ ก้าวข้ามปัญหาและอุปสรรคต่างๆ มานับไม่ถ้วน ทั้งถูกโกงจนหมดตัว ลูกค้าไม่จ่ายเงิน แม้กระทั่งลูกน้องเคยฆ่าตัวตาย

ถูกโกงเกือบหมดตัว

ตั้งหลักทำหลายธุรกิจ

คุณริน เล่าว่า หลังจากจบมัธยมศึกษาปีที่ 3 เลือกเรียนอาชีวะปวช. วิทยาลัยเทคนิคสมุทรสงคราม ก่อนจะไปต่อปริญญาตรี ที่มหาวิทยาลัยเอเชียอาคเนย์ สาขาวิศวะเครื่องกล จบมาทำงานที่แรกเป็นวิศวกรบริษัทอุปกรณ์ไฟฟ้า หลังจากนั้น ย้ายไปอยู่ฝ่ายวิจัยและพัฒนาชิ้นส่วนรถยนต์ ไม่นานนักมาอยู่แผนก QC และเขียนแบบตู้เซฟ งานประจำที่สุดท้ายคือ เป็นวิศวกรดูแลระบบเครื่องทำความเย็น อาทิ แอร์บ้าน แอร์สำนักงาน สรุปทำงานประจำได้ราว 3 ปี ก่อนจะลาออกไปเปิดบริษัทรับติดตั้งแอร์บ้าน

“ปี 2544 ผมทำธุรกิจติดแอร์บ้าน ทำได้ 6 เดือน ต้องปิดตัวลงเพราะลูกค้าไม่จ่ายเงิน ลูกน้องมีปัญหา เลยเปลี่ยนมาเปิดร้านขายมือถือ 2 ปี มีเงินหมุนเวียนเดือนละ 5-10 ล้านบาท เก็บเงินได้ก้อนหนึ่งมาเปิด บริษัท รินไวเลส จำกัด เป็นบริษัทที่เกี่ยวกับสัญญาณอินเตอร์เน็ต แต่สุดท้ายโดนโกง 6.5 ล้านบาท ต้องปิดตัวลง เมื่อปี 2551 จากนั้นหันมาขายกรอบจตุคาม-รามเทพอยู่ช่วงหนึ่ง ได้กำไรมาหลายล้านบาท ก่อนที่จะเปิดอู่ซ่อมรถยนต์ ชื่อร้าน นานาประดับยนต์ อยู่ที่พุทธมณฑล สาย 4 เน้นซ่อมงานแก๊ส LPG มีฐานลูกค้า 60,000 คน เปิดอู่ซ่อมรถยนต์ได้ 8 ปีมีเงินเก็บ ตัดสินใจเข้ามาลงทุนทำแป้งฝุ่นทาผิวหน้าผู้หญิง เมื่อปี 2558 ที่ผ่านมา โดยใช้ชื่อแบรนด์ว่า แป้งฝุ่นออโซ”

สาเหตุที่คุณรินเข้าสู่ธุรกิจความงาม ชายหนุ่ม เผยว่า เห็น คุณลดามณี หรือภรรยา ขายเครื่องสำอางออนไลน์ ลักษณะซื้อมา-ขายไป ซึ่งรายได้ดี เกิดความคิดว่า ขนาดเป็นคนกลางยังรายได้ดี ถ้าเป็นเจ้าของเอง รายได้น่าจะดีกว่า จึงตัดสินใจทำแบรนด์สินค้าเป็นของตัวเอง

ทำไมต้องเป็นแป้งฝุ่น ชายหนุ่ม ตอบว่า แป้งฝุ่นเป็นสินค้าความงามที่กำไรดีในบรรดาเครื่องสำอางของผู้หญิง เลยไปศึกษาตลาดแป้งทาหน้าผู้หญิงว่ามีประเภทอะไรบ้าง แต่ละชนิดมีข้อดี ข้อด้อย อย่างไร รวมถึงดูสารสกัดส่วนประกอบต่างๆ ซึ่งพบว่า อยากทำแป้งฝุ่นที่กันน้ำ มีสารกันแดด มีสารบำรุงผิว ตอบโจทย์ผู้หญิงยุคใหม่ที่ชอบความรวดเร็วในการแต่งหน้า

“ผมศึกษาตลาดแป้งฝุ่น พบว่า แป้งฝุ่นทั่วไปไม่กันน้ำ ไม่คุมมัน ไม่กันแดด ไม่มีสารบำรุงผิว ไม่มีรองพื้น จึงเป็นโอกาสที่ดี ถ้าคิดนอกกรอบ คิดแปลก คิดไม่เหมือนใคร ทำในสิ่งที่ไม่เหมือนใคร จะเด่นกว่าแป้งฝุ่นตัวอื่นๆ อย่างแน่นอน จึงตัดสินใจว่าต้องผลิตแป้งฝุ่นกันน้ำ ควบคุมความมัน กันแดด มีรองพื้นในตัว และมีสารบำรุงผิว เมื่อทาแล้วให้ติดทนนาน เนียน บางเบา ดูเป็นธรรมชาติ”

เจาะตลาดเพื่อนบ้าน

ตั้งเป้ารายได้ 100 ล้าน

คุณริน เสริมว่า การทำสินค้าเกี่ยวกับเครื่องสำอางจะขายได้มีอยู่ 2 ประเภทคือ อย่างแรก ดังแล้วขายได้ แต่คุณภาพค่อยว่ากัน ส่วนแป้งฝุ่นออโซ ถือเป็นประเภทที่สอง แม้ไม่ดังแต่ขายได้ เพราะแค่ออกมาขายทดลองตลาด 2-3 เดือน ยอดขายก็เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ เพราะตลาดเครื่องสำอางในประเทศไทยยังโตต่อไปได้

“ตลอด 1 ปีแม้ที่ผ่านมา แป้งฝุ่นออโซ เป็นแบรนด์ที่ไม่มีคนรู้จัก เพราะช่วงแรกไม่ได้ทำการตลาดอย่างชัดเจน ผมอาศัยไปวางขายที่สำเพ็ง เจออุปสรรคหลายอย่าง อาทิ ลูกค้าคิดว่าเป็นของปลอม ของไม่มีคุณภาพ ควบคุมราคาไม่ได้ สุดท้ายตัดสินใจถอดสินค้าทั้งหมดออกจากตลาดสำเพ็ง มาเน้นขายออนไลน์เป็นหลัก มีใบรับรองมาตรฐานตามที่สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) กำหนดไว้ จึงกล้าพูดได้เลยว่าแป้งฝุ่นออโซให้ความเป็นธรรมชาติกับผิว

สำหรับผลิตภัณฑ์มี 2 แบบคือ 1. แป้งฝุ่นกันน้ำ โดยคุณสมบัติมีรองพื้นในตัว บำรุงผิวด้วยสารสกัดจากวิตามินอี นอกจากนี้ ยังกันน้ำ กันแดด และควบคุมความมันได้ ซึ่งเหมาะกับทุกสภาพผิว ทำให้ผิวหน้าเป็นธรรมชาติ 2. คลีนซิ่งโฟม เป็นโฟมล้างหน้าที่ทั้งทำความสะอาดผิวหน้าปกติ และล้างเครื่องสำอางได้ สามารถใช้ได้ทั้งผู้หญิงและผู้ชาย รวมถึงมีส่วนผสมที่สามารถบำรุงผิวหน้าได้ด้วย ไม่ทำให้เป็นสิวอุดตัน ที่สำคัญมีสารยับยั้งแบคทีเรีย ทั้งนี้ ได้เตรียมจัดทำผลิตภัณฑ์เพิ่มเติม แบบที่ 3 คือครีมทาผิว ยังไม่ได้ข้อสรุปว่าจะเป็นแบบเนื้อแป้งหรือโลชั่น ซึ่งผลิตภัณฑ์ชิ้นนี้เป็นความสนใจของลูกค้าที่อยากให้ลองผลิตดู

ปัจจุบัน บริษัทดังกล่าวจะไม่เน้นผลิตสินค้าหลายอย่างในทันที แต่จะทยอยออกผลิตภัณฑ์ทีละอย่าง เพื่อให้ลูกค้าที่สนใจติดตามได้ลองใช้ และเกิดการใช้ซ้ำ แล้วกลับมาซื้อเพิ่ม

ด้านการรีวิวสินค้า คุณริน บอกว่า จะไม่จ้างดาราที่มีชื่อเสียง แต่จะให้ลูกค้าที่ใช้จริงเป็นกระบอกเสียง โดยนำผลิตภัณฑ์ไปให้กับผู้ที่สนใจทดลองใช้ ขยายจุดจำหน่ายเข้าห้างหรือศูนย์การค้าขนาดใหญ่

ด้านตลาดต่างประเทศ ขณะนี้ได้เริ่มบุกไปที่กัมพูชาแล้ว และเนื่องจากมีดารากัมพูชาใช้แล้วรู้สึกชอบอยากเป็นตัวแทนขายเอง จึงได้หารือกันถึงข้อตกลงการค้า แต่ตอนนี้ยังไม่ได้ข้อสรุป คาดว่าจะทราบผลไม่เกินปี 2559

ปัจจุบัน ยอดขายแป้งฝุ่นออโซ โดยคิดเป็นสัดส่วนส่งออก 70 เปอร์เซ็นต์ ตลาดหลัก กัมพูชา ลาว เวียดนาม ส่วนตลาดในประเทศ 30 เปอร์เซ็นต์ ตั้งเป้าหมายรายได้สิ้นปี 2559 ไว้ที่ 100 ล้านบาท

“ผมเชื่อว่าอุตสาหกรรมความงาม ยังสามารถพัฒนาการที่ดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง เพราะเป็นตลาดที่ยังคงได้รับความสนใจจากผู้บริโภค โดยบริษัทยังคงเน้นการพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่ตอบโจทย์กับผู้ที่ต้องการใช้ เพราะเชื่อว่าหากทำผลิตภัณฑ์ให้ดี ผู้ซื้อก็จะกลับมาใช้อยู่เสมอ”

ก่อนจะเป็นนักธุรกิจหนุ่มประสบความสำเร็จในทุกวันนี้ อดีตคุณรินเคยเลือกไปเป็นเด็กวัด ในช่วงที่ไปศึกษา ปวช. ที่วิทยาลัยเทคนิคสมุทรสงคราม ด้วยเหตุผลอยากมีความประพฤติที่ดี เพราะการอยู่วัดจะมีพระคอยอบรมสั่งสอนสม่ำเสมอ คอยเตือนสติทุกวัน ให้คิดดี พูดดี ทำดี อยู่วัดต้องตื่นนอนตั้งแต่ตี 5 มาทำงาน ทำความสะอาด ไปบิณฑบาตกับพระ เป็นคนมีธรรมในใจ รู้จักสวดมนต์ไหว้พระ รู้จักนั่งสมาธิ

ติดตาม แป้งฝุ่นออโซ ได้ที่แฟนเพจ Alsothailand หรือ http://www.alsothailand.com และโทรศัพท์ (091) 479-4515, (094) 919-7465

คนเจนวาย ขาย “มะม่วงเบาแช่อิ่ม”

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือเส้นทางเศรษฐี

http://info.matichon.co.th/rich/rich.php?srctag=0741151059&srcday=2016-10-15&search=no

วันที่ 15 ตุลาคม พ.ศ. 2559 ปีที่ 22 ฉบับที่ 407

ช่องทางสร้างอาชีพ

เสาวลักษณ์ สวัสดิ์กว้าน

คนเจนวาย ขาย “มะม่วงเบาแช่อิ่ม”

ยุคนี้ สมัยนี้ อาชีพเสริม อาชีพอิสระ ธุรกิจส่วนตัว เป็นที่ต้องการของคนวัยทำงาน ทั้งที่เริ่มทำงาน และทำงานมาสักพักหนึ่งแล้ว แต่อาชีพอะไรที่เหมาะกับใครนั้น อาจจะต้องเลือกๆ ดูๆ กันไป เอาง่ายๆ ว่า ใครทำอาชีพอะไรแล้วสนุกไปกับมัน ก็อันนั้น นั่นล่ะ

เช่นเดียวกับ คุณสันทัต วรรณรัตน์ หรือ คุณต่อ วัย 35 ปี เรียกได้ว่าเป็นหนุ่มเจนวาย มีอาชีพหลักเป็นเจ้าของกิจการทางด้านสื่อการเรียนการสอนอยู่แล้ว แต่ก็ไม่วายที่จะเสาะหา มองหาอาชีพเสริม ซึ่งในที่สุดก็มาลงตัวกับ “มะม่วงเบา” (มะม่วงเบา เป็นมะม่วงพื้นเมืองทางภาคใต้ มีผลขนาดเล็ก เนื้อผลกรอบ มีรสชาติเปรี้ยว เปรี้ยวขนาดที่ว่าแทบจะไม่มีรสชาติอื่นเจือปน ทว่าเมื่อนำมาแปรรูปเป็นมะม่วงแช่อิ่มแล้ว กลับมีรสชาติดี แบบชนิดที่เรียกว่า ยิ่งกินยิ่งเพลิน)

คุณต่อ เล่าว่า เคยซื้อมะม่วงเบาแช่อิ่ม จากทางภาคใต้ มาฝากเพื่อนๆ เพื่อนๆ ติดใจ และถามหา จากนั้นก็ไปรับผลผลิตมาทำการตลาด ทำไปทำมา ขายดิบขายดี มีลูกค้าซื้อซ้ำ กระทั่งมาสู่การเปิดโรงงานเล็กๆ แปรรูปเองเลยในปัจจุบัน โดยยังรับซื้อผลผลิตสดจากทางภาคใต้เช่นเดิม

ถ้าพูดถึงราคามะม่วงเบา ก่อนหน้านี้เป็นมะม่วงที่แม้แต่คนพื้นถิ่นเองก็มองข้าม แต่มาในระยะหลังกลับเป็นผลผลิตทางการเกษตร ที่มีค่ามีราคาขึ้นมา (อย่างผู้เขียนเองก็เคยปลูกที่บ้าน แถวปริมณฑล ปลูกไว้นอกบ้านริมถนน กะว่าใครมาเก็บกินก็เชิญ แต่ปรากฏว่า เป็นมะม่วงที่ไม่หาย ไม่มีใครมาเก็บ หรืออาจจะมาเก็บสักครั้งแล้วเข็ดในความเปรี้ยวของมัน)

โดยคุณต่อ เล่าว่า ตอนนี้ราคาพุ่งขึ้นไป 50-60 บาทต่อกิโลกรัม หรือบางช่วง 100 บาทต่อกิโลกรัม เลยทีเดียว

และเมื่อนำมาแปรรูปแล้ว ก็ได้ราคา อย่างที่ คุณต่อทำขาย มี 2 ขนาด 100 กรัม ราคา 55 บาท และขนาด 300 กรัม ราคา 150 บาท

คุณต่อ เล่าอีกว่า กระแสมะม่วงเบาแช่อิ่ม ลูกค้าเริ่มให้การตอบรับมาสักปีหนึ่งที่ผ่านมา

แต่ที่มาบูมสุดๆ ก็เป็นช่วง 7-8 เดือนมานี้

“ผมเริ่มต้นจากการซื้อผลผลิตมาทำการตลาดเอง สร้างแบรนด์ สร้างโลโก้เอง ซึ่งลูกค้า ชอบ เกิดการซื้อซ้ำ จากนั้นผมเลยคิดว่า ผลิตเองเลยดีกว่า ทำให้เราควบคุมคุณภาพได้อย่างเต็มที่ สำหรับสูตรการแช่อิ่ม ก็เป็นสูตรทั่วไป เพียงแต่ใครจะทำได้ถูกใจลูกค้าได้มากกว่า เรียกว่าสูตรใครสูตรมัน ซึ่งผมเองกว่าจะได้ ก็ลองผิดลองถูกไปเยอะ ลงพื้นที่ไปสอบถามจากกลุ่มแม่บ้านที่หาดใหญ่ด้วย กระทั่งได้สูตรที่นิ่งแล้ว” คุณต่อ ว่าอย่างนั้น

ปัจจุบัน มะม่วงเบาแช่อิ่ม ในแบรนด์ “แม่งโก้”

ของคุณต่อ มีกำลังการผลิตที่ 500-1,000 กิโลกรัม ต่อเดือน ขายผ่านโซเชียลออนไลน์ ทั้งเฟซบุ๊ก และแอพพลิเคชั่นไลน์ เป็นหลัก นอกจากนั้น ก็วางขายที่ร้านขายของฝาก ปึงหงี่เชียง สาขาใหญ่ที่โคราช ร้านอุ๋ม ที่แปดริ้ว และที่ร้านกาแฟ อเมซอน สาขาหลักสี่

สนใจติดต่อ คุณสันทัต วรรณรัตน์ หรือคุณต่อ ได้ที่เลขที่ 90-93 ซ.วิภาวดี 20 แยก 12 แขวงจอมพล เขตจตุจักร กรุงเทพฯ 10900 โทรศัพท์ (098) 831-8271

ดูรายละเอียด คลิกลิงก์ เฟซบุ๊กเพจ แม่งโก้

นวัตกรรมปลูกผัก ในตู้คอนเทนเนอร์ ควบคุมผ่านระบบคลาวด์ สั่งงานผ่านแอพ

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือเส้นทางเศรษฐี

http://info.matichon.co.th/rich/rich.php?srctag=0746151059&srcday=2016-10-15&search=no

วันที่ 15 ตุลาคม พ.ศ. 2559 ปีที่ 22 ฉบับที่ 407

ช่องทางสร้างอาชีพ

ดวงกมล

นวัตกรรมปลูกผัก ในตู้คอนเทนเนอร์ ควบคุมผ่านระบบคลาวด์ สั่งงานผ่านแอพ

“ระบบคลาวด์ จะจำลองแสงแต่ละเฉดสีจากดวงอาทิตย์ในรูปแบบของหลอดไฟแอลอีดี โดยเลือกเฉพาะแสงที่พืชต้องการใช้สังเคราะห์คลอโรฟิลล์ และควบคุมระบบอากาศ ส่วนโปรแกรมที่สั่งงานผ่านแอพจะควบคุมระบบน้ำ ระบบการใส่ปุ๋ย ระบบการเพาะเมล็ด ตู้ดังกล่าวใช้ไฟ 220 โวลต์”

สภาพภูมิอากาศที่เปลี่ยนแปลงบ่อย ปัญหาภัยแล้ง ปัญหาน้ำท่วม และภัยธรรมชาติต่างๆ มักเป็นปัจจัยที่ส่งผลต่อจำนวนผลผลิตทางการเกษตรไม่เป็นไปตามความต้องการของผู้ปลูก ลำพังเกษตรกรไทยคนเดียวคงไม่สามารถแก้ปัญหาเหล่านี้ได้

EVERGROW คือ แปลงปลูกผักออร์แกนิกในตู้คอนเทนเนอร์ โดยจำลองแสงแดดจากดวงอาทิตย์ในรูปแบบของหลอดไฟ LED ควบคุมอากาศและน้ำด้วยระบบคลาวด์ สั่งงานผ่านแอพพลิเคชั่น ช่วยให้การปลูกผักขนาดเล็กเป็นเรื่องง่าย สามารถปลูกผักได้สูงสุดครั้งละ 50 ต้น โดยไม่ต้องดูแล รดน้ำ พรวนดิน ทุกอย่างทำงานอัตโนมัติ ข้อมูลจะถูกส่งไปปรากฏยังสมาร์ตโฟน คนที่ปลูกผักไม่เป็นก็สามารถปลูกได้

จำลองธรรมชาติ อยู่ในตู้

ใช้ซอฟต์แวร์สั่งงาน

คุณภุชงค์ วงษ์ทองดี หรือ “อาร์ม” เด็กหนุ่มวัย 26 ปี เจ้าของบริษัท Unixcon จำกัด และเจ้าของนวัตกรรม EVERGROW เครื่องปลูกผักในตู้คอนเทนเนอร์ โดยอาศัยโปรแกรมอัตโนมัติ ผักที่ปลูกได้เป็นผักออร์เเกนิก

ประวัติคุณอาร์ม เจ้าตัวเล่าว่า ก่อนหน้านี้เป็นพนักงานบริษัทซอฟต์แวร์แห่งหนึ่งราว 10 ปี กระทั่งเมื่อ 3 ปีที่แล้ว ลาออกมารวมตัวกับเพื่อนเปิดบริษัทเป็นของตัวเอง ซึ่งกลุ่มเพื่อนล้วนอยู่ในแวดวงคนทำเกษตร ฉะนั้น เลยมองเห็นโอกาสในธุรกิจเกษตรหลายอย่าง จึงศึกษาเรื่องตลาด การเพาะปลูก การซื้อ-ขาย และจากการศึกษา ทำให้ยิ่งมองเห็นถึงโอกาสทางธุรกิจดังกล่าวมากขึ้น

“ตอนเก็บข้อมูลได้เดินทางไปต่างประเทศ อาทิ สิงคโปร์ ญี่ปุ่น ก็พบว่าสภาพภูมิประเทศและพื้นที่ในการเพาะปลูกมีน้อย ประชากรอาศัยในคอนโดฯ เยอะ ราคาผักผลไม้ค่อนข้างแพง ส่วนประเทศไทยเกษตรกรส่วนใหญ่มักพบปัญหาเรื่องสภาพอากาศ และราคาสินค้าที่ควบคุมไม่ได้ ฉะนั้น จึงเกิดโมเดลธุรกิจ EVERGROW ขึ้นมา”

ความตั้งใจของคุณอาร์ม เขาต้องการอุปกรณ์ที่สามารถปลูกผักและเก็บเกี่ยวผลผลิตได้ตลอดทั้งปี ไม่ต้องพึ่งสภาพแวดล้อม ภูมิอากาศ คนปลูกผักไม่เป็นก็สามารถปลูกได้ ซึ่งผลลัพธ์ที่ได้ออกมามีรายละเอียดดังนี้

EVERGROW คือ แปลงปลูกผักออร์แกนิกในตู้คอนเทนเนอร์ ขนาด 18 ล้อ ความยาวและความกว้างของตู้ 12.5 X 2.5 เมตร สามารถปลูกผักได้เทียบเท่ากับพื้นที่จริง 1 ไร่ หัวใจสำคัญภายในตู้นี้จะประกอบไปด้วย 2 ส่วน คือ ระบบคลาวด์ และโปรแกรมสั่งงานผ่านแอพพลิเคชั่น

“ระบบคลาวด์ จะจำลองแสงแต่ละเฉดสีจากดวงอาทิตย์ในรูปแบบของหลอดไฟแอลอีดี โดยเลือกเฉพาะแสงที่พืชต้องการใช้สังเคราะห์คลอโรฟิลล์ และควบคุมระบบอากาศ ส่วนโปรแกรมที่สั่งงานผ่านแอพจะควบคุมระบบน้ำ ระบบการใส่ปุ๋ย ระบบการเพาะเมล็ด ตู้ดังกล่าวใช้ไฟ 220 โวลต์”

3 โซน 36 วัน

เก็บกิน เก็บขายได้

สำหรับการใช้งานตู้คอนเทนเนอร์ปลูกผัก คุณอาร์ม บอกว่า ภายในตู้คอนเทนเนอร์จะแบ่งเป็น 3 โซน ข้อมูลทุกอย่างจะถูกเก็บในฐานข้อมูลของผู้ใช้แต่ละคนไว้บนคลาวด์

โซนที่ 1 เพาะเมล็ด ผู้ใช้งานต้องการปลูกผักชนิดไหน กดสั่งซื้อที่แอพ dashboade หรือจะซื้อเองนำมาปลูกก็ได้ โดยนำไปหย่อนลงในถาดฟองน้ำ โซนนี้จะใช้ระยะเวลาเพาะเมล็ด 12 วัน

โซนที่ 2 อนุบาลต้นกล้า โซนนี้จะใช้เวลา 12 วัน ในการอนุบาลต้นกล้าให้เจริญเติบโต

โซนที่ 3 พืชเจริญเติบโต ในช่วงเก็บกินได้ โซนนี้ใช้เวลา 12 วัน

รวมทั้ง 3 โซน ใช้เวลาทั้งสิ้น 36 วัน ผักสลัดที่ปลูกจะสามารถเก็บขาย หรือเก็บทานได้ โดยที่ผู้ปลูกไม่ต้องไปดูแล ซึ่ง 1 ตู้คอนเทนเนอร์จะปลูกผักได้รอบละ 1,000 กิโลกรัม ปลูกผักได้เทียบเท่ากับพื้นที่จริง 1 ไร่

“ผมหวังว่า EVERGROW จะเป็นแหล่งรวมองค์ความรู้ด้านการเพาะปลูกผักและผลไม้ ช่วยให้เกษตรกรสามารถปลูกผักได้ทุกฤดู สร้างรายได้ตลอดทั้งปี ซึ่งโปรดักต์เป็นทั้งฮาร์ดแวร์หรืออุปกรณ์เพาะปลูก และซอฟต์แวร์ช่วยให้การปลูกผักง่ายยิ่งขึ้น ลดต้นทุน เพิ่มโอกาสทางธุรกิจ และตอบโจทย์ความต้องการของผู้บริโภค”

สำหรับกลุ่มเป้าหมายที่ใช้ตู้ดังกล่าว เจ้าของนวัตกรรม ระบุว่า ผู้ที่ต้องการปลูกผักขายแต่ไม่มีพื้นที่ หรือผู้ทำธุรกิจผักและผลไม้ที่ต้องการผลผลิตในทุกฤดูกาล ซึ่งตู้ดังกล่าวไม่ต้องจ้างคนงานในจำนวนมากเพื่อดูแลผลผลิต เพราะทุกอย่างสามารถดูแลควบคุมการเพาะปลูกผ่านแอพได้ด้วยตัวเอง โมเดลแปลงผักในตู้เหมาะกับธุรกิจโรงแรมที่ต้องการลดต้นทุนในการสั่งซื้อผัก และผู้ที่ต้องการปลูกผักส่งขายต่างประเทศ

ด้านราคาตู้ดังกล่าว คุณอาร์ม บอกว่า ราคา 2.1 ล้านบาท กรณีที่ลูกค้าซื้อตู้ไป มีตลาดแล้ว แนะนำให้กำหนดราคาผักเอง ซึ่งราคาผักสลัดส่วนใหญ่อยู่ที่กิโลกรัมละ 100-140 บาท

อีกทางหนึ่ง ลูกค้าที่ซื้อตู้ไป แต่ยังไม่มีตลาด ทางคุณอาร์มมีตลาดไห้ แบ่งออกเป็น 2 แบบ แบบที่ 1 fix return ทางคุณอาร์มจะเช่าตู้ต่อจากผู้ซื้อตู้ แล้วจ่ายค่าเช่าคืนทุกๆ 2 เดือน ค่าเช่าประมาณ 30,000 บาท 5-6 ปี คืนทุน สัญญา 10 ปี แบบที่ 2 profit share ทางคุณอาร์มจะเลือกปลูกผักที่มีมูลค่าสูง แล้วจะหักเปอร์เซ็นต์จากราคาขาย เป็นการเสี่ยงร่วมกันกับเจ้าของตู้

ตู้ปลูกผักดังกล่าว เปิดตัวได้ไม่นาน คุณอาร์ม กล่าวว่า ขายตู้ได้แล้ว 2 ตู้ สำหรับแผนธุรกิจในอนาคต คือ พยายามหาตลาดทั้งในประเทศ และต่างประเทศ โดยเฉพาะประเทศกลุ่มตะวันออกกลาง ประเทศที่ไม่สามารถปลูกพืชได้ และหวังว่านวัตกรรมนี้จะตอบโจทย์ธุรกิจเกษตรให้เป็นเรื่องง่าย และฉลาดมากขึ้น เพราะสามารถลดอัตราการจ้างงานและการผิดพลาดในการดูแลรักษาผักผลไม้

“เราหวังว่า แพลตฟอร์ม EVERGROW จะทำให้การปลูกผักเป็นเรื่องง่าย อยากปลูกอะไรก็สามารถปลูกได้ ไม่ง้อสภาพอากาศ และความสามารถเฉพาะตัว หวังว่าจะตอบสนองความต้องการของกลุ่มเป้าหมายในระยะยาว”

ทำอาชีพเดียวเสี่ยงไป นักข่าวสาว ขาย “ปลาทูต้มหวาน” สูตรโบราณ เสริมรายได้

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือเส้นทางเศรษฐี

http://info.matichon.co.th/rich/rich.php?srctag=0752151059&srcday=2016-10-15&search=no

วันที่ 15 ตุลาคม พ.ศ. 2559 ปีที่ 22 ฉบับที่ 407

อาหารสร้างอาชีพ

เสาวลักษณ์ สวัสดิ์กว้าน

ทำอาชีพเดียวเสี่ยงไป นักข่าวสาว ขาย “ปลาทูต้มหวาน” สูตรโบราณ เสริมรายได้

สำหรับมนุษย์เงินเดือนแล้ว การทำงานที่รับแต่เงินเดือนอย่างเดียว อาจจะเสี่ยงเกินไปในการสร้างความมั่นคงให้กับชีวิต

ดังนั้น การหาอาชีพเสริมควบคู่ไปด้วยโดยไม่กระทบกับหน้าที่การงานที่รับผิดชอบอยู่ จึงเป็นทางเลือกที่ดี

เช่นเดียวกับ คุณซิน-สุมนา แจวเจริญวงศ์ วัย 44 ปี ที่หลายคนอาจจะคุ้นเคยกับบทบาทนักข่าวภาคสนาม ช่อง 3 ของเธอ ด้วยว่า เห็นจากหน้าจอทีวีบ่อยๆ

นอกจากการทำงานในอาชีพนักข่าวแล้ว วันนี้ คุณซินสวมบทบาท คุณแม่ ของน้องชะเอม วัย 2 ขวบ ซึ่งชื่อแบรนด์ปลาทูต้มหวานที่เธอทำอยู่ ก็มาจากชื่อลูกสาวตัวน้อยของเธอนั่นเอง

คุณซิน เล่าว่า ปลาทูต้มหวาน เดิมทีเป็นธุรกิจของครอบครัว ตั้งแต่สมัยคุณย่า เมื่อสักราว 50 ปีมาแล้ว ด้วยพื้นเพเป็นชาวอำเภอหลังสวน จังหวัดชุมพร คุณย่าทำปลาทูต้มหวาน และนำไปหาบเร่ขายยังเมืองคอน (จ.นครศรีธรรมราช) สืบต่อจากคุณย่า ก็เป็นคุณป้า ที่ปัจจุบันยังยึดอาชีพนี้ โดยมีญาติที่เป็นคุณอามีเรือประมงออกหาปลาทู ได้ปลาทูคุณภาพ สามารถคัดตัวสวยๆ มาทำได้เอง

สำหรับปลาทูต้มหวาน สูตรคุณย่านี้ ต้องเคี่ยวถึง 7 วัน 7 คืน จนก้างนิ่ม กินได้ทั้งตัว โดยก่อนนำไปเคี่ยว ก็ใช้ไม้ไผ่ หรือชานอ้อยวางปูพื้น เอาปลาทูวางซ้อนๆ กัน ปรุงรสด้วยน้ำตาลอ้อย และน้ำปลา สมัยที่คุณย่าทำ ปลาทูเก็บได้ไม่ถึงเดือน แต่มาถึงปัจจุบันที่คุณป้าทำ ใช้เทคโนโลยีการฆ่าเชื้อ หม้อนึ่งความดัน เข้ามาช่วย รวมทั้งแพ็กอย่างดี ทำให้เก็บได้นานถึง 5 เดือนในอุณหภูมิปกติ โดยไม่ใช้สารกันบูด

ปลาทูที่ใช้ก็เป็นปลาคัดพิเศษ ให้ขนาดเท่าๆ กัน ตัวหนึ่งน้ำหนักราว 2 ขีดนิดๆ จำหน่ายเป็นแพ็ก แพ็กละ 3 ตัว ราคา 100 บาท โดยคุณซินนำมาแพ็กใหม่ และติดสติ๊กเกอร์ “ปลาทูนู๋ชะเอม” จำหน่ายในแบรนด์ของตัวเอง

จุดเริ่มต้นที่จำหน่าย คุณซิน เล่าว่า เกิดจากความคิดช่วยเพื่อนนักข่าวที่ตกงาน เพื่อนๆ ก็จะเรี่ยไรเงินกันไปช่วย แต่ครั้นจะไปขอเงินกันดื้อๆ ก็เกรงใจ เลยเป็นว่า ขายปลาทูดีกว่า แล้วเอากำไรไปช่วยเพื่อน ด้วยแนวคิดนี้ เพื่อนก็ช่วยกันซื้อ จากนั้น ปากต่อปาก ก็กลายมาเป็นสินค้าประจำตัวคุณซิน ที่เพื่อนมักถามหา และซื้อขายกันเองในแวดวงเพื่อนนักข่าว และมาในระยะหลังนี้ ก็เริ่มมีลูกค้ารู้จักมากขึ้น สั่งให้ไปส่งในจังหวัดต่างๆ

ในแต่ละเดือน คุณป้าของคุณซิน ผลิตปลาทูต้มหวาน อยู่ที่ อำเภอหลังสวน จังหวัดชุมพร ราว 5,000-6,000 ตัว และคุณซินก็นำมาช่วยขายได้ราว 100 แพ็กหรือประมาณ 300 ตัว ต่อเดือน ซึ่งหากใครสั่งเกิน 20 แพ็กขึ้นไปก็ส่งฟรี แต่ปกติเพื่อนๆ สั่งซื้อก็ฝากๆ กันไป

นี่เป็นเรื่องราว การทำอาชีพเสริมของนักข่าวสาว ช่อง 3 ที่ตอนนี้มองการณ์ไกล เล็งปั้นเป็นธุรกิจแล้ว

และสำหรับมนุษย์เงินเดือนแล้ว การได้หารายได้เสริมที่ไม่กระทบกับงานหลัก ก็นับเป็นสิ่งที่หลายคนใฝ่ฝัน หากแต่มีคำถามว่าจะทำอะไรดี”” อาจจะต้องย้อนกลับไปมองว่า “หน้าตัก” มีอะไร

“หน้าตัก” ในที่นี้หมายถึง บางคนมีทำเล บางคนมีสูตรอาหาร มีพื้นฐานธุรกิจครอบครัว หรือกระทั่งมีความชอบ เหล่านี้ล้วนนำมาต่อ

ยอดให้เป็นอาชีพเสริมได้ทั้งสิ้น เพียงแต่ต้องลงมือทำ เท่านั้นเองสำหรับมนุษย์เงินเดือนแล้ว การทำงานที่รับแต่เงินเดือนอย่างเดียว อาจจะเสี่ยงเกินไปในการสร้างความมั่นคงให้กับชีวิต

ดังนั้น การหาอาชีพเสริมควบคู่ไปด้วยโดยไม่กระทบกับหน้าที่การงานที่รับผิดชอบอยู่ จึงเป็นทางเลือกที่ดี

เช่นเดียวกับ คุณซิน-สุมนา แจวเจริญวงศ์ วัย 44 ปี ที่หลายคนอาจจะคุ้นเคยกับบทบาทนักข่าวภาคสนาม ช่อง 3 ของเธอ ด้วยว่า เห็นจากหน้าจอทีวีบ่อยๆ

นอกจากการทำงานในอาชีพนักข่าวแล้ว วันนี้ คุณซินสวมบทบาท คุณแม่ ของน้องชะเอม วัย 2 ขวบ ซึ่งชื่อแบรนด์ปลาทูต้มหวานที่เธอทำอยู่ ก็มาจากชื่อลูกสาวตัวน้อยของเธอนั่นเอง

คุณซิน เล่าว่า ปลาทูต้มหวาน เดิมทีเป็นธุรกิจของครอบครัว ตั้งแต่สมัยคุณย่า เมื่อสักราว 50 ปีมาแล้ว ด้วยพื้นเพเป็นชาวอำเภอหลังสวน จังหวัดชุมพร คุณย่าทำปลาทูต้มหวาน และนำไปหาบเร่ขายยังเมืองคอน (จ.นครศรีธรรมราช) สืบต่อจากคุณย่า ก็เป็นคุณป้า ที่ปัจจุบันยังยึดอาชีพนี้ โดยมีญาติที่เป็นคุณอามีเรือประมงออกหาปลาทู ได้ปลาทูคุณภาพ สามารถคัดตัวสวยๆ มาทำได้เอง

สำหรับปลาทูต้มหวาน สูตรคุณย่านี้ ต้องเคี่ยวถึง 7 วัน 7 คืน จนก้างนิ่ม กินได้ทั้งตัว โดยก่อนนำไปเคี่ยว ก็ใช้ไม้ไผ่ หรือชานอ้อยวางปูพื้น เอาปลาทูวางซ้อนๆ กัน ปรุงรสด้วยน้ำตาลอ้อย และน้ำปลา สมัยที่คุณย่าทำ ปลาทูเก็บได้ไม่ถึงเดือน แต่มาถึงปัจจุบันที่คุณป้าทำ ใช้เทคโนโลยีการฆ่าเชื้อ หม้อนึ่งความดัน เข้ามาช่วย รวมทั้งแพ็กอย่างดี ทำให้เก็บได้นานถึง 5 เดือนในอุณหภูมิปกติ โดยไม่ใช้สารกันบูด

ปลาทูที่ใช้ก็เป็นปลาคัดพิเศษ ให้ขนาดเท่าๆ กัน ตัวหนึ่งน้ำหนักราว 2 ขีดนิดๆ จำหน่ายเป็นแพ็ก แพ็กละ 3 ตัว ราคา 100 บาท โดยคุณซินนำมาแพ็กใหม่ และติดสติ๊กเกอร์ “ปลาทูนู๋ชะเอม” จำหน่ายในแบรนด์ของตัวเอง

จุดเริ่มต้นที่จำหน่าย คุณซิน เล่าว่า เกิดจากความคิดช่วยเพื่อนนักข่าวที่ตกงาน เพื่อนๆ ก็จะเรี่ยไรเงินกันไปช่วย แต่ครั้นจะไปขอเงินกันดื้อๆ ก็เกรงใจ เลยเป็นว่า ขายปลาทูดีกว่า แล้วเอากำไรไปช่วยเพื่อน ด้วยแนวคิดนี้ เพื่อนก็ช่วยกันซื้อ จากนั้น ปากต่อปาก ก็กลายมาเป็นสินค้าประจำตัวคุณซิน ที่เพื่อนมักถามหา และซื้อขายกันเองในแวดวงเพื่อนนักข่าว และมาในระยะหลังนี้ ก็เริ่มมีลูกค้ารู้จักมากขึ้น สั่งให้ไปส่งในจังหวัดต่างๆ

ในแต่ละเดือน คุณป้าของคุณซิน ผลิตปลาทูต้มหวาน อยู่ที่ อำเภอหลังสวน จังหวัดชุมพร ราว 5,000-6,000 ตัว และคุณซินก็นำมาช่วยขายได้ราว 100 แพ็กหรือประมาณ 300 ตัว ต่อเดือน ซึ่งหากใครสั่งเกิน 20 แพ็กขึ้นไปก็ส่งฟรี แต่ปกติเพื่อนๆ สั่งซื้อก็ฝากๆ กันไป

นี่เป็นเรื่องราว การทำอาชีพเสริมของนักข่าวสาว ช่อง 3 ที่ตอนนี้มองการณ์ไกล เล็งปั้นเป็นธุรกิจแล้ว

และสำหรับมนุษย์เงินเดือนแล้ว การได้หารายได้เสริมที่ไม่กระทบกับงานหลัก ก็นับเป็นสิ่งที่หลายคนใฝ่ฝัน หากแต่มีคำถามว่าจะทำอะไรดี”” อาจจะต้องย้อนกลับไปมองว่า

“หน้าตัก” มีอะไร

“หน้าตัก” ในที่นี้หมายถึง บางคนมีทำเล บางคนมีสูตรอาหาร มีพื้นฐานธุรกิจครอบครัว หรือกระทั่งมีความชอบ เหล่านี้ล้วนนำมาต่อ

ยอดให้เป็นอาชีพเสริมได้ทั้งสิ้น เพียงแต่ต้องลงมือทำ เท่านั้นเอง

สนใจติดต่อ โทรศัพท์ (085) 485-3153 หรือเข้าไปดูในเพจ ปลาทูนู๋ชะเอม

อาชีพหลังเกษียณ

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือเส้นทางเศรษฐี

http://info.matichon.co.th/rich/rich.php?srctag=0760151059&srcday=2016-10-15&search=no

วันที่ 15 ตุลาคม พ.ศ. 2559 ปีที่ 22 ฉบับที่ 407

อาชีพที่ไม่เหมือนเรา

ไมตรี ลิมปิชาติ

อาชีพหลังเกษียณ

คนที่เกษียณอายุจากงานหลวงส่วนใหญ่จะอยู่เฉยๆ ไม่ค่อยทำอะไรมาก นอกจากเลี้ยงหลาน

คนที่มีหลานให้เลี้ยงไม่ค่อยจะเดือดร้อน เพราะนอกจากได้บำนาญทุกเดือนแล้ว อาจได้เงินค่าเลี้ยงหลานจากลูกอีก

ที่ว่านี้ หมายถึงคนที่เกษียณแล้วได้บำนาญ แต่ถ้าเป็นพนักงานรัฐวิสาหกิจอาจมีปัญหาบ้าง ถ้าได้บำเหน็จมาแล้วต้องใช้หนี้จนหมด เพราะต่อจากนั้นจะต้องหาเงินใช้เอง ไม่มีบำนาญให้เหมือนข้าราชการ

คนที่ปลดเกษียณมาที่ไม่อยากอยู่เฉยๆ ก็จะหาอาชีพให้กับตัวเอง เช่น ขับแท็กซี่บ้าง ทำขนมบ้าง และมีอยู่ไม่น้อยที่เอาเงินบำเหน็จที่ได้ไปลงทุนปลูกต้นไม้ ปลูกกล้วย ปลูกมะละกอ ปลูกมะนาว

บางคนไปเช่าที่ดินปลูกสับปะรด ก็ได้ผลพออยู่ได้ คือบางปีไม่ได้กำไร แต่เป็นหลักประกันว่าตัวเองมีงานทำ

เพื่อนสนิทของผมคนหนึ่งพอเกษียณก็ได้เป็นหมอดูลายมือ ถือเป็นอาชีพที่ดีอย่างหนึ่งของคนสูงอายุเพราะทำให้ไม่เหงา จะมีคนมาหาให้ช่วยทำนายชะตาชีวิตทุกวัน อยู่เฉยๆ ก็มีคนเอาเงินมาให้ถึงบ้าน

อาชีพหมอดูที่ว่านี้ผมเคยเอามาเขียนลงเส้นทางเศรษฐีหลายปีมาแล้ว

สำหรับเส้นทางเศรษฐีฉบับนี้ผมก็จะขอนำเสนอเพื่อนรุ่นพี่ของผมอีกคนที่มีอาชีพน่าสนใจทีเดียว

คนที่ว่านี้มีชื่อว่า สุเทพ สังข์เพ็ชร ปัจจุบันอายุเกือบ 80 ปีเข้าไปแล้ว แต่ก็ยังยึดอาชีพวาดรูปได้อย่างเหนียวแน่น เพียงแต่เจ้าตัวไม่ยอมรับว่าเป็นอาชีพเท่านั้น

คุณสุเทพปลดเกษียณในตำแหน่งผู้ช่วยผู้ว่าการมาจากการประปานครหลวง

เขาเรียนจบจากวิทยาลัยเพาะช่าง รุ่นเดียวกับ ถวัลย์ ดัชนี ศิลปินแห่งชาติที่คนไทยรู้จักดี

หลังจากคุณสุเทพเรียนจบจากเพาะช่างก็ไปเรียนต่อที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ จบจากธรรมศาสตร์ก็ได้ทำงานที่กรมนิเทศสหการ และการประปานครหลวง ตามลำดับ

คุณสุเทพเล่าให้ผมฟังว่า เขาไม่กล้าที่จะยึดอาชีพวาดรูปเหมือน ถวัลย์ ดัชนี และใครต่อใครมาตั้งแต่จบเพาะช่าง เพราะต้องมีภาระเลี้ยงดูน้องๆ หลายคน

“วาดรูปมีรายได้ไม่แน่นอน จึงต้องหางานหลวงทำเป็นหลัก” เขาให้เหตุผล

ทว่าขณะคุณสุเทพทำงานหลวง เขาไม่เคยหยุดเขียนรูป หรือจะเรียกให้สูงขึ้นมาหน่อยก็ได้ว่า

เขาไม่เคยหยุดทำงานศิลปะ

เขาจะเดินทางไปไหนก็ตาม ทั้งภายในและต่างประเทศจะต้องติดสมุดไปสเก็ตภาพแทนการถ่ายรูปเสมอ (มีพฤติกรรมคล้ายๆ กับอดีตนายกชวน หลีกภัย)

แต่ถ้าอยู่บ้านคุณสุเทพจะวาดรูปสีน้ำมัน และสีอะครีลิกลงบนผืนผ้าใบอย่างเป็นเรื่องเป็นราว จนมีผลงานเต็มบ้าน

ผมเคยไปถึงบ้านคุณสุเทพจึงได้เห็นผลงานทั้งป้ายสีน้ำวาดทิวทัศน์ สีอะครีลิกเป็นรูปเหมือนใบหน้าคน และภาพสมัยใหม่ ติดตั้งโชว์อยู่ที่ผนังเกือบทุกด้านของบ้าน นอกนั้นกองเป็นตั้งอยู่บนพื้นบ้าน

เนื่องจากเวลาของคุณสุเทพถูกงานหลวงแย่งไปจนเกือบหมด เขาจึงไม่สามารถที่จะนำผลงานออกแสดง หรือจัดนิทรรศการแบบเดี่ยว หรือเฉพาะของตนเองได้ นอกจากนำไปแสดงร่วมกับศิลปินคนอื่นเป็นครั้งคราว

จนกระทั่งคุณสุเทพเกษียณ เขาจึงมีเวลาเต็มที่ และเต็มที่จริงๆ เพราะไม่มีหลานให้เลี้ยง เหตุที่ไม่มีก็เพราะตัวเองไม่มีลูกนั่นเอง

ถึงไม่มีลูก แต่ก็มีรูป คือเขามักจะอยู่กับรูป เขียนรูปทุกวันก็ว่าได้

เมื่อคุณสุเทพมีเวลาว่างพอ เขาจึงได้นำผลงานจัดนิทรรศการเดี่ยวหลายครั้ง โดยเฉพาะล่าสุดก็เมื่อปลายเดือนกันยายนศกนี้ เขาได้นำผลงานแสดงที่ศูนย์วัฒนธรรมแห่งชาติเป็นเวลา 45 วัน

สำหรับการจัดนิทรรศการเดี่ยวของคุณสุเทพได้จัดขึ้นที่ศูนย์วัฒนธรรมแห่งชาติติดต่อกันทุกปี ปีละครั้ง เป็นครั้งที่ 7 เข้าไปแล้ว

ผมได้ไปชมผลงานของคุณสุเทพทุกครั้ง ได้เห็นการเปลี่ยนแปลงของผลงานมาตามลำดับ โดยแต่ละปีจะมีผลงานที่ไม่ซ้ำกัน จะแปลกกว่าเดิมเสมอ

สำหรับเรื่องนี้ คุณสุเทพให้เหตุผลว่า ศิลปินทั่วไปจะต้องสร้างผลงานที่เป็นเอกลักษณ์ของตัวเอง

หมายถึงว่าพอใครเห็นงานปุ๊บจะต้องรู้ทันทีว่าเป็นงานของศิลปินผู้ใด แต่สำหรับคุณสุเทพไม่ต้องการเช่นนั้น เขาเปลี่ยนแนวการเขียน การเสนอผลงานแตกต่างออกไปทุกปี

“ผมไม่อยากขึ้นต้นอย่างไรแล้วจบอย่างนั้น ผมจึงเปลี่ยนไปเรื่อยๆ เพื่อคนที่ชอบงานศิลปะจะได้ตื่นเต้น ทายไม่ถูกว่าปีนี้งานจะออกมาอย่างไร” เขาให้เหตุผล

ผมก็ไม่รู้ว่าใครผิดใครถูก แต่ศิลปินทุกคนมาถึงระดับนี้แล้ว ย่อมเป็นตัวของตัวเองเสมอ

สีสันแห่งความสุข เป็นนิทรรศการครั้งล่าสุดของคุณสุเทพ ผมได้ไปชมมาจึงได้เห็นผลงานหลากหลายเช่นเดิม

คุณสุเทพได้อธิบายถึงการเขียนภาพของตัวเองว่า

“วัยเด็ก ชอบวาดรูปด้วยดินสอในสมุดโน้ต พอโตเป็นผู้ใหญ่ชอบศิลปะมากขึ้น จึงวาดภาพให้มีสีสันลอกเลียนให้เหมือนจริงตามธรรมชาติ ปัจจุบันชอบวาดสีโดยไม่มีเงื่อนไข ไม่ติดยึดรูปแบบ กฎเกณฑ์ วาดภาพตามความคิดมากกว่าตาเห็นตามความต้องการของตัวเองอย่างอิสระเสรีเต็มที่ สีสันให้ความรู้สึกที่ต้องสัมผัสด้วยใจ แม้จะรู้ตัวว่าศิลปะและสีสันเป็นเพียงภาพลวงตาก็ตาม แต่ถ้าวาดภาพด้วยสมาธิด้วยจิตใจที่แน่วแน่ก็ให้ความงดงาม ความสุขสงบได้ ผมจึงเป็นเพียงคนวาดสีที่แสวงหาความสุข”

คงเป็นอย่างที่คุณสุเทพว่าจริงๆ ด้วย เพราะผลงานแต่ละชิ้นดูแล้วให้ความรู้สึกมีความสุข ผู้ใดเครียดมาก่อน แต่พอได้มาชมผลงานของคุณสุเทพชุดนี้จะต้องกลับออกไปอย่างมีความสุข

อย่างไรก็ตาม ผมได้รับทราบเป็นที่น่ายินดีว่า

ในการจัดนิทรรศการของคุณสุเทพครั้งนี้ นอกจากมีคนทยอยมาชมแต่ละวันไม่ทำให้เจ้าของผลงานต้องเหงาแล้ว ยังมีผู้สนใจมาจับจองซื้อไปประดับบ้าน คฤหาสน์ และที่ทำงานกันเป็นจำนวนกว่า 20 รูป

ปกติศิลปินทั่วไปจัดนิทรรศการแต่ละครั้ง จะขายผลงานได้ไม่เกิน 10 รูป

แสดงให้เห็นว่า ผลงานของคุณสุเทพเข้าตาผู้สนใจในงานศิลปะแขนงนี้ได้มากเป็นพิเศษ โดยเฉพาะภาพเขียนสีรูปดอกไม้ ถึงขนาดว่าคุณสุเทพต้องเขียนมาเพิ่มอีกหลายรูปเพื่อให้เพียงพอกับความต้องการของผู้สนใจ

ปกติถ้าผมเขียนเรื่องลงพิมพ์ที่นิตยสารอื่นๆ ผมก็คงจบเพียงแค่นี้ แต่เมื่อลงพิมพ์ในนิตยสารเส้นทางเศรษฐี จึงจำเป็นต้องบอกผู้อ่านและไม่ได้อ่านว่า

การจัดนิทรรศการของคุณสุเทพสามารถขายรูปได้ทั้งหมด 26 รูป ไม่ต้องมากเพียงแค่รูปละ 30,000 บาท ก็ทำให้เขาได้รับเงินเกือบ 800,000 บาทเลยทีเดียว (ยังไม่หักค่าใช้จ่าย)

นับเป็นรายได้ที่สามารถทำให้คนเกษียณจากงานประจำ สามารถมีชีวิตอยู่ได้ไม่เดือดร้อน แต่ก็ทำได้ยากสำหรับผู้เกษียณคนอื่นๆ ที่จะเลียนแบบ เพราะการเขียนรูปไม่ใช่การขายน้ำเต้าหู้

น้ำพริกกุ้งกรอบฯ “Munchies Buzz” ความพยายามครั้งใหม่ ของ “พิมพ์มาดา”

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือเส้นทางเศรษฐี

http://info.matichon.co.th/rich/rich.php?srctag=0762151059&srcday=2016-10-15&search=no

วันที่ 15 ตุลาคม พ.ศ. 2559 ปีที่ 22 ฉบับที่ 407

อาชีพคนดัง

กัญญ์วรา ศิริสมบูรณ์เวช

น้ำพริกกุ้งกรอบฯ “Munchies Buzz” ความพยายามครั้งใหม่ ของ “พิมพ์มาดา”

นอกจากรอยยิ้มสดใส และการมองโลกในแง่ดีอันเป็นเอกลักษณ์ประจำตัว เชื่อว่าสิ่งที่มีไม่แพ้กันในตัวดารา-ผู้จัดคนดัง พิม-พิมพ์มาดา บริรักษ์ศุภกร คือความเก่งและแกร่ง เพราะหลังจากเอาชนะเจ้ามะเร็งรังไข่มาได้ไม่นาน สาวเจ้าก็ปลุกปั้นธุรกิจใหม่ “น้ำพริกกุ้งกรอบครอบจักรวาล Munchies Buzz” ให้กลายเป็นอาหารคู่ครัวของหลายๆ บ้านไปเรียบร้อยแล้ว

“ที่มาเริ่มจากเราอยากทำอะไรกับเพื่อนๆ จริงๆ ทำอะไรหลายอย่างมาแล้ว และเมื่อปีที่แล้วคิดว่าจะทำสแน็กอย่างหนึ่งก็เลยไปติดต่อทำโลโก้ ทำอะไรมาเรียบร้อย ทีนี้คุยไปคุยมาสินค้านั้นมีปัญหา มันไม่เกิด ในใจก็เลยคิดแค่ว่าล้มอีกแล้ว อะไรที่ทำกับเพื่อนไม่ค่อยเกิดสักทีเลยต้องทำอะไรสักอย่างให้ได้ค่าโลโก้คืน เพราะจ่ายค่าโลโก้ไปแล้ว” สาวยิ้มสวยวัย 35 ว่าพลางขำกับจุดเริ่มต้นที่ตั้งใจแค่อยากถอนทุนคืน

โดยคิดไปคิดมา สุดท้ายก็ลงเอยกับน้ำพริกกุ้งกรอบสูตรเด็ดของแม่บ้านที่บ้าน ที่ไม่ว่าจะกินกับอะไรก็อร่อยเพลินจนแทบหยุดไม่ได้

ซึ่งพิมว่า “พูดถึงมันเป็นอะไรที่เก็บรักษาไม่ยาก แต่วิธีการทำค่อนข้างยุ่งยากเลยมานั่งคุยกันว่าจะทำได้ไหม แต่เพื่อนๆ ใจสู้มาก เลยลองทำบรรจุกระปุกน่ารักๆ ขาย อย่างน้อยจะได้ค่าโลโก้คืน ก็เริ่มต้นจากตรงนั้น”

“สุดท้ายพอทำออกขายจริงๆ ฟีดแบ็กมันดีมาก อย่างที่พิมบอกว่ามันเป็นของเด็ดประจำบ้านเรา มันอร่อยจริง ดีใจที่คนกินแล้วรู้สึกเหมือนกันว่าของอร่อยจริง เป็นที่มาของการซื้อแล้วซื้ออีก ปากต่อปากไปเรื่อยๆ กลายเป็นประสบความสำเร็จในระดับเท่าที่เราเกินคาด มันไม่ได้ประสบความสำเร็จแบบเป็นเศรษฐี แต่มันเกินสิ่งที่เราคิดเอาไว้ ถ้างั้นเราต้องมาทำจริงจังแล้วแหละ”

ดังนั้น จากที่แรกๆ ขอให้แม่บ้านช่วยทำแล้วจ่ายเงินพิเศษ หลังๆ เมื่ออีกฝ่ายอนุญาตให้นำสูตรไปใช้ พวกเธอจึงจ่ายเงินตอบแทนแล้วนำสูตรมาปรับปรุงพัฒนาให้ได้คุณภาพคงที่สมชื่อ “น้ำพริกกุ้งกรอบครอบจักรวาล Munchies Buzz”

“ชื่อ “มั๊นชี่ บัซ” อย่างที่บอกว่าแบรนด์นี้เกิดขึ้นจากที่เราตั้งใจจะทำผลิตภัณฑ์อีกตัวหนึ่งคือสแน็ก เลยคิดกันว่าเอาให้มันมีความหมายกับพวกเราละกัน “มั๊นชี่” รู้อยู่แล้วว่าความหมายคือกินแล้วอร่อย กินแล้วเพลิน ส่วน “บัซ” มาจากเสียงผึ้ง คือพวกเรา 4 คนที่เป็นหุ้นกัน รู้จักกันเพราะว่าเรียนที่โรงเรียนสายน้ำผึ้ง เลยรู้สึกว่าเรา 4 คนเหมือนเป็นลูกผึ้ง 4 ตัวที่โตมาด้วยกัน ทุกวันนี้ก็อยากจะโตไปด้วยกันอีกกับขนม กับของอร่อยที่เราจะนำสู่ทุกคน” พิม แจงถึงชื่อแบรนด์

ก่อนจะเล่าให้ฟังถึงหน้าที่ว่า “เรามีการแบ่งเป็นเรื่องเป็นราว พิมดูมาร์เก็ตติ้ง-พีอาร์ ดูสิ่งที่เราถนัด ติดต่อหาคอนเน็กชั่น แต่พอมาทำจริงๆ กำลังการผลิตของเราค่อนข้างเป็นโฮมเมด ในช่วงแรกต้องทำกันทุกหน้าที่ ช่วยกันทุกอย่าง ยืนทอดเอง ทำเองตั้งแต่ต้น บรรจุของใส่กระปุก ส่งไปรษณีย์เขียนหน้าซอง ทำเองทุกอย่างเลย”

แม้นั่นจะค่อนข้างเหนื่อย แต่ก็เป็นข้อดี โดยเฉพาะในวันนี้ที่กิจการเริ่มขยายต้องจ้างพนักงานมาช่วยอีก 2-3 คน

“เรารู้สึกว่าวันที่เราว่างเราก็ทำกันเอง เรารู้ขั้นตอนทุกอย่างก่อน จนวันนี้เรามีพนักงานเราจะได้สอนเขาได้ว่ามันต้องทำอะไรบ้าง เมื่อไหร่ที่เราทำเองเป็นทุกอย่างเพราะว่ามันเป็นของ ของเรา พิมรู้สึกว่าเราต้องรู้จักสินค้าเราให้ดีที่สุดก่อน”

ขณะเดียวกัน ก็เปิดใจรับกับทุกคำติชม เพราะนั่นจะทำให้สินค้าพัฒนาไปสู่สิ่งที่ดีที่สุด

ด้วยเธอว่า “พิมเองอยู่ในจุดผู้ผลิตก็อยากจะรับฟัง เพราะว่าเมื่อไหร่ที่เราคิดว่าเราเจ๋งแล้ว เราเก่งแล้ว แน่นอนมันไม่มีวันที่เราจะพัฒนาตัวเองได้ สินค้าเริ่มต้นเรามั่นใจอยู่แล้วว่าของเราอร่อย แต่ถ้ามันมีคำติชมที่มันเข้ามาเยอะๆ แล้วมันพัฒนาต่อไปได้อีกมันก็ไม่ได้เสียหายอะไร เรายินดีรับฟัง”

เช่นแรกๆ ที่มีเสียงสะท้อนเรื่องน้ำพริกยังไม่แห้งกรอบมากนัก ตอนหลังคนทำเลยซื้อเครื่องสลัดน้ำมันมาช่วยแก้ปัญหา นอกจากนี้ ยังเพิ่มเครื่องคั่วกรอบ เพราะสงสารพนักงานที่ต้องยืนคั่วทั้งวัน ขณะเดียวกัน ก็เพื่อรองรับออร์เดอร์ที่เพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ

“ตอนนี้ผลิตทุกวัน ยอดตอนนี้รับออร์เดอร์ครั้งหนึ่งประมาณ 500 กระปุก ก็จะอาทิตย์ชนอาทิตย์ ก็คือขายหมดตามที่เราตั้งใจไว้ เราผลิตได้มากสุดที่เราทำคือเท่านี้” พิม บอกถึงธุรกิจที่ดีวันดีคืน

ซึ่งแม้กำลังผลิตจะทำได้เท่าที่ว่า แต่เธอก็เปิดรับออร์เดอร์ผ่านไลน์และเฟซบุ๊ก “munchies_buzz” ตลอด โดยขายในราคากระปุกละ 90 บาท น้ำหนัก 60 กรัม

“เรารับออร์เดอร์ตลอด แต่เหมือนถ้ารอล็อตนี้ไม่ทันก็รอล็อตหน้าให้ลงชื่อเอาไว้ แล้วเราก็จะต้องละเอียดเรื่องการจดออร์เดอร์ส่งของ ลูกค้าจ่ายเงินแล้ว เขาก็รอคอย เหมือนว่าเราก็เป็นหนึ่งในคนที่ชอบช็อปปิ้งออนไลน์ ต้องรู้ว่าเวลาเราจ่ายเงินแล้ว เรารอของ เราอยากได้ของเร็วที่สุด เพราะฉะนั้น เราต้องจริงใจกับลูกค้าตรงนี้ด้วย รอบนี้ไม่ทัน บอกว่ารอบหน้าได้ก็ต้องได้จริงๆ” สาวเจ้าย้ำถึงสิ่งสำคัญในการทำธุรกิจ

ก่อนจะเผยถึงแผนขยายกิจการที่ตั้งใจจะนำไปวางขายในร้านค้าต่างๆ ซึ่งตอนนี้ก็ได้ทดลองวางขายไปแล้วใน 12 ร้านค้า ได้แก่ ร้าน Good Health สาขาพัฒนาการ 53 สาขาพรีเมียร์ เพลส ศรีนครินทร์ สาขา Belle Condo พระราม 9, Grab & Green ที่ Interchange 21 Tower ชั้น G สุขุมวิท 23, Nature Farm ดินแดง, Healthy Teller เพชรเกษม, Punsuk สาธุประดิษฐ์ ซอย 6, Health Corners โครงการอมาติโอ ชิลล์ ปาร์ค ชลบุรี, Organic to You โครงการ The Seasons พหลโยธิน, Double T Coffee จามจุรีสแควร์ ชั้น G, Antical เชียงราย, Imjai มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์, @ talatphlu ตลาดพลู และ me-nat @ Phawana ลาดพร้าว 41

และเมื่อเห็นช่องทางเติบโต เธอจึงบอกเลยว่า จริงจังกับธุรกิจนี้มาก เพราะครั้งก่อนๆ พอร่วมหุ้นกับเพื่อน ไม่ว่าจะคัพเค้ก, เสื้อยืด ฯลฯ ก็มีอันต้องเลิกราด้วยความที่ติดขัดหลายอย่าง บวกกับไม่ถนัดเรื่องค้าขาย ทว่าครั้งนี้กลับรู้สึกสนุก และยิ่งคนตอบรับดี ยิ่งมีกำลังใจพัฒนา

อย่างเช่น การเตรียมพัฒนาน้ำพริกให้มีมากกว่าแค่ “กุ้ง” เป็นวัตถุดิบ เพื่อเอาใจลูกค้ากลุ่มอื่นๆ แต่นั่นอาจต้องใช้เวลาสักนิด

“พอมันมาได้ดีเราก็ยังไม่ได้ตั้งตัวมาก ตอนนี้ก็เริ่มเป็นกุ้งกรอบ คนแพ้กุ้งก็เยอะ คนบอกว่าขอให้เป็นปลาบ้างอะไรบ้าง ตอนนี้ก็อยู่ในกระบวนการเพิ่มไลน์ว่ามีกุ้ง แล้วก็มีปลาให้ลูกค้าเลือก หรืออาจจะมีน้ำพริกตัวอื่นในอนาคตซึ่งต้องทำการบ้านค่อนข้างหนัก เพราะว่าเราก็ไม่ได้เป็นแม่ค้ามืออาชีพเนาะ มันกำลังเพิ่งเริ่มต้องทำการบ้านนิดหนึ่งว่าต้องเน้นของอร่อยและของดีจริง” แม่ค้าว่า

ก่อนเล่าถึงแผนอนาคต “เป้าหมายก็หวังว่าเราจะเป็นโรงงานเล็กๆ ในขนาดย่อมๆ ของเราที่เราพอจะรับผิดชอบไหวได้ 1 อย่าง และอีกอย่างคืออยากจะกระจายสินค้าให้มากขึ้น มีเอาไปร่วมกับที่นู่น ที่นี่ หรือเอาไปวางขายตามห้างเล็กๆ หรือซุปเปอร์มาร์เก็ต หวังว่าจะได้ไปขนาดนั้น”

“ตอนนี้ก็กำลังจะเดินไปถึงตรงนั้น เป็นเป้าหมายที่น่าจะเป็นไปในเร็ววันนี้ อยากทำให้มันถูกต้อง ส่งขายกระจายสินค้า อาจจะถึงขั้นส่งออกต่างประเทศได้เลยอะไรอย่างนี้ พยายามทำไป”

เป็นความพยายามครั้งใหม่ของ “พิมพ์มาดา” ที่หวังให้ทุกอย่างออกมาดีที่สุด

“ไก่ทอดพี่บ๊วย” ธุรกิจ “อร่อยโหด” อร่อยเหมือนเดิม เพิ่มเติมคือเริ่มต้นใหม่

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือเส้นทางเศรษฐี

http://info.matichon.co.th/rich/rich.php?srctag=0764151059&srcday=2016-10-15&search=no

วันที่ 15 ตุลาคม พ.ศ. 2559 ปีที่ 22 ฉบับที่ 407

อาชีพคนดัง

กัญญ์วรา ศิริสมบูรณ์เวช

“ไก่ทอดพี่บ๊วย” ธุรกิจ “อร่อยโหด” อร่อยเหมือนเดิม เพิ่มเติมคือเริ่มต้นใหม่

เรียกได้ว่าดึงดูดความสนใจจากบรรดานักชิม นักช็อปใน “มหกรรมอาหารจานเด็ด Food Fest 2016” ที่ ข่าวสด จับมือกับ Starvingtime จัดขึ้นเมื่อ 22-25 กันยายน ได้ไม่น้อยทีเดียว สำหรับ “ไก่ทอดพี่บ๊วย” ที่พิธีกรอารมณ์ดี บ๊วย-เชษฐวุฒิ วัชรคุณ ยกร้านย่านถนนเกษตร-นวมินทร์ ตอม่อ 139 มาให้ลิ้มลองกันที่เอ็มซีซี ฮอลล์ เดอะมอลล์ บางกะปิ เป็นการชั่วคราว

วันนี้ “เส้นทางเศรษฐี” จึงจะพามาเจาะลึกธุรกิจของเขา ที่ขอเกริ่นไว้ก่อนตั้งแต่เริ่มเลยว่ากว่าจะถึงจุดนี้นั้น คนทำ “เจ็บมาเย้อออ…”

“อยากทำธุรกิจไก่ทอดเพราะเริ่มจากความชอบ นึกถึงสิ่งที่เรามี ความรู้สึกคือเคยไปแข่งรักบี้ พอแข่งเสร็จเหนื่อยๆ ไปกินข้าวเหนียวไก่ทอดอร่อยมากเลย ก็เลยเริ่มทำเมื่อ 4 ปีที่แล้ว ซึ่งก็สอนเราหลายอย่างเรื่องการจัดการ การดีลกับคน กับหุ้นส่วน ปัจจุบันปีที่ 5 ก็มาลงตัวที่ไก่ทอดพี่บ๊วย” อดีตนักรักบี้ทีมชาติไทยวัย 41 บอกยิ้มๆ ถึงที่มา

โดยถ้าย้อนไปจุดเริ่มต้น เขาเคยหุ้นกับพระเอกดัง เวียร์-ศุกลวัฒน์ คณารศ และคนนอกวงการเปิด ร้านไก่ทอดเดชา ตรงถนนเกษตร-นวมินทร์ ตอม่อ 139 แม้จะคืนทุนตั้งแต่ 4 เดือนแรก แต่พอทำได้ 4 ปี รายจ่ายเท่าเดิม ส่วนรายได้กลับลดลงเรื่อยๆ พอหมดสัญญาจึงตัดสินใจไม่ทำต่อ แต่ได้ไปร่วมลงทุนกับหุ้นส่วนใหม่ปรับปรุงต่อเติมส่วนห้องแอร์เพิ่ม เปิดเป็นร้านขายไก่ทอดควบคู่ราเมน และอาหารญี่ปุ่นในชื่อ อาจารย์ราเมนกับคุณครูไก่ทอด ทว่าสุดท้ายอยู่ได้เพียง 3 เดือนก็แยกย้ายกันไปคนละทาง

ด้วยพิธีกรหนุ่มให้เหตุผล “ก่อนหน้านี้ถือหุ้นน้อย เราอยากได้สตางค์โดยไม่ต้องทำอะไร ก็คิดอย่างนี้ ยกร้านให้หุ้นส่วนบริหาร มันไม่ได้ตามเป้า ยอดไหลแต่กำไรนิดเดียวเลยคิดว่าเสียเวลาอย่าทำเลย เห็นว่าใกล้จะหมดสัญญากับหุ้นส่วนแล้วแนวทางไม่ตรงกัน ถามว่ามีปัญหากับหุ้นส่วนจริงมั้ย พูดจริงๆ ก็มี แต่ไม่ได้ทะเลาะกัน มันไม่ใช่ เราโตเป็นผู้ใหญ่แล้วไปด้วยกันไม่ได้ก็แค่แยกย้าย”

แม้รู้ทั้งรู้ว่าการเปลี่ยนหุ้นส่วนบ่อยๆ อาจเสี่ยงต่อการถูกใครๆ มองในแง่ลบ แต่เขากลับว่า “ไม่เป็นไร”

“อากาศกับทัศนคติเป็นของฟรี คนมองแง่ลบไม่มีปัญหา ถ้าทุกคนมองแง่บวกหมดเลยก็อะเมซิ่ง พูดตรงๆ ว่าถ้าเป็นข้อคิดเห็น เราไม่ฟัง ถ้าเป็นความจริงเราจะฟัง เราผ่านมรสุมมาเยอะ ที่ได้มาคือทำอะไรต้องตรงไปตรงมา ไม่โกงใคร อย่างชีวิตคู่ถ้าไม่เวิร์กจะทู่ซี้ทำไม ธุรกิจก็เหมือนกัน”

“สิ่งที่ทำคือ ซื่อสัตย์ ตรงไปตรงมา เราศึกษาธุรกิจมาเยอะ คนไม่ค่อยมองสิ่งที่เกิดขึ้นจริง มองแต่อย่างนี้ เรารู้ว่าเรามีทัศนคติในการมองโลกแบบหนึ่งที่ไม่สอดคล้องกับคนอื่น ถือว่าไม่เดือดร้อนใคร ไม่โกงใคร ให้มั่นใจได้ว่าถ้าเราโกงต้องมีการฟ้องร้อง”

มั่นใจในความถูกต้องของตัวเองและยังอยากทำธุรกิจต่อ จากนั้นบ๊วยเลยเข้าหุ้นกับเจ้าของโรงแรมที่บุรีรัมย์คนละครึ่ง เพื่อลงทุนในหลักล้านจัดการปรับปรุงร้านเดิมเสียใหม่ทำเป็นร้าน “ไก่ทอดพี่บ๊วย” ชื่อสั้นๆ จำง่าย ที่มาพร้อมคอนเซ็ปต์ “อร่อยโหด” ซึ่งนอกจากไก่ทอดรสเข้มข้น ยังเพิ่มเมนูขนมจีนบ้าพลังของหุ้นส่วน และส้มตำรสเด็ดเข้ามาด้วย

“เหมือนแบ็กทูเบสิก ไก่ทอดส้มตำ ไม่ค่อยเจอที่อร่อยพร้อมกัน เรามีไอดอลคือ ร้าน “ส้มตำนัว” หลายสิบปีที่แล้วเราเป็นลูกค้ารายแรกๆ ใครจะคิดว่าส้มตำเปิดที่สยามได้ เพราะฉะนั้น เป็นแรงบันดาลใจให้เราทำอาหารง่ายๆ ที่หาอร่อยได้ยากให้มันอร่อย เราเลยคิดตีโจทย์นี้”

สำหรับไก่ทอดนั้นหายห่วง เพราะสูตรเด็ดจากนครศรีธรรมราชของ เอกชัย ศรีวิชัย ที่มอบให้ นำมาปรับปรุงทำให้ได้ไก่กรอบนอกนุ่มในรสชาติเข้มข้น ยิ่งทานคู่หอมเจียวร้อนๆ เติมฟรีไม่อั้น ยิ่งได้ใจจนลูกค้าออกปากว่า “ไก่ทอดอร่อยเหมือนเดิม” แม้จะเปลี่ยนชื่อร้าน

ส่วนส้มตำที่เดิมเคยถูกติว่าไม่จี๊ดจ๊าดถูกใจนักก็จัดการหาแม่ครัวฝีมือดีมาช่วยปรุง ขณะเดียวกัน นักร้องน้องรัก ก้อง ห้วยไร่-อัครเดช ยอดจำปา ยังมาช่วยคิดเมนูเด็ดให้ฟรีๆ จนได้ “ส้มตำนัว ก้อง ห้วยไร่” มาเป็นจุดขายอีกเมนู ส่วนเรื่องราคาอาหารนั้น คนทำย้ำว่า “พกมาร้อยกว่าบาทก็จุกแล้ว”

“ตอนนี้ถ้าพูดจริงๆ ความจริงจังระดับชีวิตมันแตกต่างกัน แต่ก่อนไม่แปลกที่มันจะเจ๊ง แค่ทำธุรกิจปากบอกว่าอยาก ทำแค่อยากกับทุ่มเทเต็มที่ ผลลัพธ์ต่างกัน” บ๊วยว่า

และบอก “สิ่งที่ทำตอนนี้่เป็นระบบ รสชาติอาหารเราถึงนิ่ง ถึงอร่อยได้ ทำ 10 จานรสชาติต้องเหมือนเดิม ทำ 1,000 จานก็ต้องเหมือนเดิม อันนี้เรามีหุ้น 50-50 แต่เราก็เข้ามาบริหารจัดการเอง 100 เปอร์เซ็นต์ ดูทุกอย่างตั้งแต่ขั้นตอนการปรุง หรือมีปัญหาก็ต้องแก้ไข อย่างไก่ซื้อกลับบ้านต้องเวฟกี่นาทีถึงอร่อย เรื่องพวกนี้ต้องตอบให้ได้”

“ข้อคิดที่ได้จากครั้งก่อนๆ คือ เรื่องของการทำธุรกิจเราควรรู้ทั้งหมด รู้ทุกอย่าง 1. ควรลงไปรู้ทุกกระบวนการ 2. ทำทุกอย่างให้เป็นตัวเลขเพราะตัวเลขโกหกไม่ได้ 3. ไม่มีอะไรที่เป็นไปไม่ได้สำหรับมนุษย์”

มุ่งมั่นขนาดนี้จึงไม่แปลกหากเขาจะหวังกับธุรกิจนี้ไว้มาก ถึงขนาดว่าอยากให้เป็นอนาคตของครอบครัว และตั้งใจนำเข้าตลาดหลักทรัพย์ให้ได้ภายใน 5 ปี

“อยากให้ธุรกิจนี้เป็นของครอบครัว เขาจะทำยังไงถ้าวันหนึ่งเราไม่อยู่ เราตายไป คือชีวิตคนเรามีขึ้นมีลง พ่อแม่ถึงวัยเกษียณแล้ว ความตั้งใจคืออยากต่อยอดถึงที่บ้าน วางระบบไว้ต่อไปในอนาคตถ้าใครจะมาร่วมกับเราก็เวิร์ก แล้วก็เข้าตลาดหลักทรัพย์ เรามีตลาดของเราอยู่แล้ว แต่ยังไม่มีไก่ทอดไม่มีแบรนด์คนไทยขึ้นตลาดหลักทรัพย์ เราคิดใหญ่เลย” เจ้าตัวบอกอย่างจริงจัง

แล้วเล่าว่า ตอนนี้นอกจากเขาที่เข้าร้านเกือบทุกวันที่ว่างเพื่อไปดูแลลูกค้า คนในครอบครัวยังแบ่งหน้าที่กันมาดูแล เช่น น้องถนัดบัญชีก็ทำบัญชีไป คุณแม่ชอบขายของก็รับหน้าที่นั้น ส่วนพี่สาวหลังจากตกแต่งร้านตามความสามารถที่เรียนมาด้านศิลปะยังช่วยเป็นผู้จัดการร้านอีกตำแหน่ง

โดยหลังจากเปิดร้านมาได้ไม่นาน ผลตอบรับนับว่าน่าพอใจ เพราะมีลูกค้าประจำแวะเวียนมาอุดหนุนตลอด ขณะเดียวกัน ก็มีคนสนใจชวนไปเปิดสาขาใหม่ๆ เช่น ที่อำเภอหัวหิน จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ ดังนั้น เขาจึงพยายามรักษามาตรฐานเช่นนี้ไว้ให้ได้ดีที่สุด

ซึ่ง “ถ้าใครมีติชมเรื่องอาหาร เรื่องทำธุรกิจ เรารับฟังหมด เป็นกระจกทำให้เราพัฒนาไปต่อได้” บ๊วยย้ำ

ก่อนจะว่าทิ้งท้าย “เวลาทำงานไม่มีใครอยากล้มเหลว ไม่มีใครอยากเจ๊งหรอก แต่เขาลืมไปว่าทุกคนที่ประสบความสำเร็จมาได้ ต้องเคยล้มเหลว เคยเจ๊งมาก่อน มันเป็นเหรียญ 2 ด้าน บางคนไม่อยากสัมผัสมัน แต่เมื่อมันเกิดขึ้นแล้วก็เอาสิ่งนี้ที่มาวิเคราะห์ แยกแยะดูว่าเราล้มเหลวเพราะอะไร หาคำตอบเติมให้มันเต็มจนไม่มีจุดบกพร่องแล้ว มันก็จะประสบความสำเร็จในสักวัน”

อย่างที่เขาพยายามเดินหน้ากับการเริ่มต้นใหม่นี้อย่างสุดความสามารถ

ผ่าโมเดล “แหลมเกต” เจนวาย จากขาดทุนเดือนละห้าแสน…สู่ยอดขายร้อยล้าน!

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือเส้นทางเศรษฐี

http://info.matichon.co.th/rich/rich.php?srctag=0724150959&srcday=2016-09-15&search=no

วันที่ 15 กันยายน พ.ศ. 2559 ปีที่ 22 ฉบับที่ 405

เรื่องจากปก

เรื่อง : พารนี ปัทมานันท์ รูป : ธนศักดิ์ ธรรมบุตร

ผ่าโมเดล “แหลมเกต” เจนวาย จากขาดทุนเดือนละห้าแสน…สู่ยอดขายร้อยล้าน!

“ร้านอาหาร ถ้าวันหนึ่งมีลูกค้าเข้ามากิน 100 คน ขายยังไงก็ไม่รวย แต่ถ้าขายได้วันละ 400 คน จ่ายคนละ 555 บาท รายรับวันหนึ่งกว่า 200,000 บาท ซึ่งที่ผ่านมาร้านแหลมเกต สาขาพหลโยธิน 11 และซอยอารีย์ ที่นั่งเต็มทุกรอบทุกวันเป็นเวลาปีเศษ รายรับรวมกันสูงถึงหลักร้อยล้านบาท”

ย้อนไปเมื่อกว่า 30 ปีก่อน แหลมเกต คือชื่อของร้านอาหารทะเลชื่อดัง ระดับ “ท็อปไฟว์” ในพื้นที่อำเภอศรีราชา จังหวัดชลบุรี

เปิดให้บริการอยู่นานจนกลายเป็น “ร้านเก่าแก่” แต่แล้วเมื่อ “สังคมเมือง” เข้า “รุกคืบ” บรรยากาศโดยรอบ จนทำให้ศรีราชา อาจไม่เหมาะกับการไปตากอากาศหรือพักผ่อนเหมือนดังแต่ก่อน

เจ้าของร้านรุ่นคุณพ่อ-คุณแม่ ซึ่งนับวันอายุก็ยิ่งมากขึ้น จึงตัดสินใจ ปิดกิจการลง เมื่อราวปี 2550 ที่ผ่านมา

ถัดจากนั้นราว 4-5 ปี ทายาทรุ่นสองของกิจการ ได้สานต่อธุรกิจครอบครัว ปลุกให้ “แหลมเกต” พลิกขึ้นมามีชีวิตชีวาอีกครั้งหนึ่ง บนทำเลกลางกรุง ย่านสุขุมวิท

แต่ความตั้งใจของเจ้าของร้านเจนวาย กลับไม่เป็นไปอย่างที่วาดฝันไว้

“เส้นทาง” ของ “แหลมเกต” เมื่อครั้งนั้น จึงทั้งขรุขระ เป็นหลุมเป็นบ่อ และไม่ได้โรยด้วยกุหลาบ…แม้แต่กลีบเดียว

มีทุน มุ่งมั่น

อยากเป็นนายตัวเอง

“เกิดและโตมากับร้านอาหาร แค่พนักงานเสิร์ฟอาหารมา 1 จาน รู้เลยว่าอร่อยหรือไม่อร่อย พอเรียนจบปริญญาตรีจึงตัดสินใจไม่ทำร้านอาหารแล้วเข้ากรุงเทพฯ มาสมัครงานประจำ ทำที่แรกรู้สึกไม่ใช่ตัวเอง อยู่ได้ไม่ถึงปีจึงลาออก” คุณโค้ก-อพิชาต บวรบัญชารักษ์ ผู้บริหารกิจการ Laemgate Infinite (แหลมเกต อินฟินิท) ร้านอาหารทะเล บุฟเฟ่ต์ อะลาคาร์ท ปรุงใหม่สดจานต่อจาน เจ้าของเรื่องราวในครั้งนี้ เริ่มต้นบทสนทนา ด้วยอัธยาศัยยิ้มแย้มกันเอง

ก่อนเล่าให้ฟังต่อ งานประจำสังกัดใหม่ ที่เขาได้ทำ คือเป็นผู้ติดตาม คุณสมประสงค์ บุญยะชัย อดีตผู้บริหารระดับสูงของกลุ่มอินทัช ซึ่งประสบการณ์จากการทำหน้าที่นี้นี่เอง ทำให้เขาได้แนวคิดในการบริหารจัดการธุรกิจหลายเรื่อง จนกลายเป็น “จุดเปลี่ยน” สำคัญในชีวิต

“คุณสมประสงค์ บุญยะชัย เปรียบเป็นครูของผม ท่านมักสอนว่าทำงานอะไร ต้องทำตัวให้เบาที่สุด คือต้องลอยเหนือปัญหาเวลามีปัญหาขึ้นมา อย่าไปจมกับมัน ให้ลอยขึ้นมา แล้วแก้ไขปัญหานั้น อย่าเอาตัวเข้าไปในปัญหา เปรียบกับคนปีนหน้าผา เขาจะพยายามเอาอุปกรณ์ต่างๆ ขว้างทิ้งให้หมด ทำตัวเองให้เบาเพื่อจะเดินขึ้นหน้าผาได้ง่ายที่สุด” คุณโค้ก ว่ามาอย่างนั้น

ก่อนเล่าต่อ ทำงานประจำอยู่หลายปี มีเงินเก็บอยู่จำนวนหนึ่ง ถึงเวลาอยากมีธุรกิจของตัวเอง ประกอบกับช่วงที่ทางบ้านปิดกิจการไป พรรคพวกเพื่อนฝูงหลายคนถามไถ่ ปิดทำไม อยากให้เปิดอีก

เลยเกิด “ไฟ” ขึ้นในใจ อยากทำร้านอาหารของครอบครัวให้กลับมาโลดแล่นอีกครั้ง

ความมุ่งมั่นเมื่อราว 4 ปีที่แล้ว เริ่มต้นด้วยการ รีแบรนด์ ออกแบบโลโก้ใหม่ ใส่ความทันสมัยเข้าไปด้วยการใช้ตัวสะกดเป็นภาษาอังกฤษ ว่า Laemgate ก่อนยึดทำเลในคอมมูนิตี้มอลล์ ริมถนนสุขุมวิท เป็นสถานที่ตั้ง

“ตอนนั้นมีเงิน มีความมุ่งมั่น มีความฝัน อยากรวย อยากมีธุรกิจ เหมือนที่เด็กวัยนั้นกำลังอยากมีอิสรภาพ ไม่ต้องเป็นลูกน้องใคร อยากเป็นเจ้านายของตัวเอง อยากเป็นผู้ประกอบการ เลยตัดสินใจเปิดร้านแหลมเกตขึ้นมา

เราลงทุนเต็มที่ เลือกทำเลที่มีรถไฟฟ้าวิ่งผ่าน แต่ลืมนึกไปว่ามันวิ่งผ่านไปเลย ไม่ใช่ทางลง เพราะอยู่ระหว่างสถานีพร้อมพงษ์กับทองหล่อ ตอนแรกเข้าใจว่าลูกค้าจากทองหล่อน่าจะเทมาหาเราบ้าง แต่ไม่เป็นอย่างคาด” คุณโค้ก เล่าเสียงหม่นลง

คำนวณแต่ราคา

ขาดทุนเดือนละห้าแสน

คุณโค้ก เผยถึงประสบการณ์ที่ผิดพลาดให้ฟังอีกว่า การตั้งร้านใหม่ที่สุขุมวิทในครั้งนั้น ยังไม่มีการวาง “เอกลักษณ์ของแบรนด์” ว่าจะมีจุดยืนอย่างไร แต่กลับไปให้ความสำคัญกับการ “ตั้งราคาขาย” เพียงอย่างเดียว

ยกตัวอย่าง อาหาร 1 จาน ต้นทุน 50 บาท หากจะขายต้องมีกำไร 1 เท่า คือต้องขายอาหารจานนั้นในราคา 100 บาท และในเมื่อเป็นร้านจับลูกค้า “กลุ่มบน” ต้องตั้งราคาขายสูงกว่าต้นทุน 1 เท่าครึ่ง ฉะนั้น อาหารต้นทุน 50 บาท จึงขายที่ 125 บาท ถึงจะมีกำไรสูงสุด

“พอคิดแบบนี้ เลยเกิดสูตรเข้าไปครอบในธุรกิจ กลายเป็นว่าอาหารทุกจานถูกขายในราคาต้นทุนบวกกับกำไร 1.5 เท่า และคิดว่าธุรกิจจะไปได้ แต่ในความเป็นจริงแล้วไม่ใช่ มันเป็นแบบเหมือนฝันเลือนราง เคว้งคว้างลอยไปเลย คือลูกค้าให้การตอบรับน้อยมาก” คุณโค้ก เล่ายิ้มๆ

ก่อนบอก นอกจากเรื่องราคา ที่ลูกค้าให้การตอบรับน้อยแล้ว อุปสรรคอีกอย่างที่ทำให้ร้านอาหารของเขาในเวลานั้น ไม่ประสบความสำเร็จ น่าจะเกี่ยวกับ ค่านิยมของคนไทย ที่นิยมทานอาหารต่างชาตินอกบ้านมากกว่าอาหารไทย คนไทยส่วนใหญ่มองว่าร้านอาหารไทย เหมาะกับคนมีอายุ หรือต้องมาเป็นครอบครัวเท่านั้น

เมื่อธุรกิจไม่ก้าวหน้าอย่างที่หวัง เจ้าของกิจการแหลมเกต รุ่นสอง ที่เวลานั้นอยู่ในวัยเพียง 20 ปลายๆ จึงงัดสารพัด “กลยุทธ์” ออกมาใช้เพื่อเรียกลูกค้า ทั้งโปรโมชั่นลด 50 เปอร์เซ็นต์ ซื้อ 1 แถม 1 จ้างบล็อกเกอร์เขียนรีวิว ซื้อสื่อหลายแขนง และแม้จะทำทุกอย่างแล้ว แต่รายรับก็ยังไม่กระเตื้องขึ้น

“แหลมเกตที่สุขุมวิทเปิดได้ประมาณปีครึ่ง ขาดทุนเดือนละ 500,000 บาท เอาเงินออกจากกระเป๋าเดือนละ 500,000 บาท เป็นเวลาปีครึ่ง คิดเป็นเลขกลมๆ เบ็ดเสร็จ 9 ล้านบาท ไม่ไหวแล้วครับ ตัดสินใจปิดดีกว่า” คุณโค้ก เผยให้ฟัง

แต่ก่อนที่ร้านจะปิดตัวลงอย่างเป็นทางการ ช่วง “หนึ่งเดือน” สุดท้าย คุณโค้กได้เข้าไปเจรจากับทางเจ้าของสถานที่ หากร้านของเขาสามารถเรียกลูกค้าได้จำนวน 5,000 คน ภายใน 1 เดือน ขอให้ทางห้างลดค่าเช่าเหลือครึ่งหนึ่ง

เมื่อตกลงกันได้ตามนั้น จึงพยายามระดมมันสมองกับทีมงาน ว่าควรออกแบบโมเดลธุรกิจในช่วงเวลา 1 เดือนก่อนหมดสัญญาเช่ากันอย่างไรดี เพราะหากทำแบบเดิมๆ เหมือนที่ผ่านมา คงไม่สามารถเรียกแขกหลายพันคนภายใน 1 เดือนได้แน่นอน

สร้างโมเดล

บุฟเฟ่ต์ ซีฟู้ด อะลาคาร์ท

ช่วงเดือนสุดท้ายของร้านแหลมเกต สาขาสุขุมวิท แม้จะเป็น “วิกฤต” ที่เขม็งเกลียวมากขึ้นทุกขณะ แต่คุณโค้กก็มองเห็น “โอกาส” บางอย่างซ่อนตัวอยู่

“ด้วยความที่อยากโละของออกจากร้าน เลยพยายามมองหาเทรนด์ของผู้บริโภคในเวลานั้นว่ากำลังเป็นไปทางไหน กระทั่งเห็นว่าผู้บริโภคอยากได้ร้านอาหารที่ทานได้ง่ายๆ และ All Include คือรู้ว่าตัวเองต้องจ่ายเงินเท่าไหร่

เลยคิดรูปแบบ บุฟเฟ่ต์ ซีฟู้ด แต่ด้วยความที่เป็นคนไม่ชอบเดินตักอาหารให้วุ่นวาย เลยคิดออกมาว่าให้เสิร์ฟถึงโต๊ะแบบไม่อั้น ปรุงสดใหม่ร้อนๆ จานต่อจาน กระทั่งเกิดคำว่า บุฟเฟ่ต์ ซีฟู้ด อะลาคาร์ท เป็นโมเดลของแหลมเกต ที่แรกและที่เดียวในโลก” คุณโค้ก เล่าให้ฟังอย่างนั้น

ก่อนย้อนถึงปรากฏการณ์ที่หลายคนอาจคาดไม่ถึง

“เดือนสุดท้ายก่อนปิดตัว แหลมเกต-สุขุมวิท ดังเป็นพลุแตก ลูกค้ายืนต่อแถวรอกันยาวเหยียด ทั้งห้างมีแต่คนมากินเราร้านเดียว จนเกิดความโกลาหล เพราะยังไม่มีการแบ่งขายเป็นรอบๆ วัตถุดิบไม่พอ พนักงานโหลดเกินไป แต่ไม่มองเป็นปัญหา หากมองว่าคือโอกาสใหม่”

และแล้วร้านแหลมเกต สุขุมวิท ปิดตัวเป็นการถาวรในช่วงสิ้นปี 2557 ถัดจากนั้นไม่ถึง 2 เดือน แหลมเกต ซอยพหลโยธิน 11 จึงเกิดขึ้น

คราวนี้ มีการวาง “แนวคิด” ไว้ในทุกรายละเอียด เริ่มต้นจากการสร้าง “เอกลักษณ์ของแบรนด์” ที่เป็นแหล่งผลิตความสุข ลูกค้าทุกคนที่มาทาน ต้องได้ของมีคุณภาพ ในราคาที่พอใจ รสชาติดีเหมือนต้นตำรับ

“ตั้งเป้าหมายไว้ ลูกค้าต้องเข้าใจว่าแหลมเกต ไม่ใช่ร้านอาหารบุฟเฟ่ต์ ไม่ใช่ร้านอาหารทะเลอย่างเดียว แต่เราขายคำว่า ความสุข ดังนั้น ทุกอย่างในร้านต้องมีความสุขก่อน เริ่มจากเจ้าของ-ลูกน้อง จากนั้นจะค่อยๆ ส่งต่อไปถึงทุกอย่าง แม้กระทั่งเมนูที่ร้าน ยังตั้งราคาไว้ที่ 555 เป็นเสียงหัวเราะเลย” คุณโค้ก เล่าก่อนหัวเราะอารมณ์ดี

เปิดอาณาจักรใหม่

ตั้งราคา 666 บาท

นอกจาก “เอกลักษณ์ของแบรนด์” ที่วางไว้ชัดเจน ว่าเป็นแหล่งผลิตความสุขแล้ว คุณโค้ก บอก “การบริหารจัดการต้นทุน” นับว่ามีความสำคัญไม่แพ้กัน ซึ่งตัวเขานับว่าโชคดี ที่คุณพ่อ-คุณแม่ ปูทางไว้ให้นานกว่า 30 ปี ทุกวันนี้จึงสามารถซื้อหาวัตถุดิบสดๆ จากทะเลได้จากคู่ค้ารุ่นเก่าแก่ และยังมีฟาร์มหอยนางรม ที่ศรีราชา เป็นของตัวเองด้วย

เจ้าของเรื่องราว บอกต่อ ถึงประเด็นสำคัญอีก 1 เรื่องในการนำพาธุรกิจให้ก้าวสู่ความสำเร็จว่า “ความคิดสร้างสรรค์” ต้องมี อย่างเรื่องการสร้างบรรยากาศให้เป็นร้านขายอาหารแบบทั่วไปคงไม่สามารถดึงดูดลูกค้าได้ดีพอ จึงคิดออกแบบร้านให้มีบรรยากาศเหมือนโรงละคร อยากทานต้องโทรจองก่อน ไม่สามารถวอล์กอินได้ และ “เปิดม่าน” ขายกันเป็นรอบ รอบหนึ่งใช้เวลาไม่เกิน 1 ชั่วโมงครึ่ง

“ร้านอาหาร ถ้าวันหนึ่งมีลูกค้าเข้ามากิน 100 คน ขายยังไงก็ไม่รวย แต่ถ้าขายได้วันละ 400 คน จ่ายคนละ 555 บาท รายรับวันหนึ่งกว่า 200,00 บาท ซึ่งที่ผ่านมาร้านแหลมเกต สาขาพหลโยธิน 11 และซอยอารีย์ ที่นั่งเต็มทุกรอบทุกวันเป็นเวลาปีเศษ รายรับรวมกันสูงถึงหลักร้อยล้านบาท” คุณโค้ก บอกน้ำเสียงภูมิใจ

และด้วย “ดีมานด์” ของลูกค้าที่มีมากขึ้นตามลำดับ ลูกค้าเข้าคิวรอทุกวัน ล่าสุดเขาจึงขยายกิจการ เปิดเป็นอาณาจักรความสุขแห่งใหม่ บนพื้นที่ 666 ตารางเมตร บริเวณชั้น 2 ของเอสเจ อินฟินิท ทาวเวอร์ ถนนวิภาวดีรังสิต ภายใต้ชื่อเรียกขาน “แหลมเกต อินฟินิท”

“แหลมเกต อินฟินิท ตกแต่งในบรรยากาศหรูหราด้วยรูปแบบของโรงละครที่พร้อมเปิดม่านแห่งความสุข เสิร์ฟความอร่อยกว่า 20 เมนู อาทิ ปลากะพงทอดน้ำปลา หอยนางรมสด กรรเชียงปูผัดผงกะหรี่ ฯลฯ ทุก 90 นาที ตั้งแต่ช่วงเวลา 11.30-21.00 น. แบ่งเป็น 4 รอบ รอบละ 250 คน ภายใต้แนวคิดความสุขบนรสชาติอาหารที่ทุกคนสามารถสัมผัสได้ ในราคาเพียง 666 บาท” คุณโค้ก ฝากมาอย่างนั้น

ก่อนส่งท้ายถึงหลักในการบริหารกิจการ ด้วยน้ำเสียงจริงจัง

“ไม่มองลูกค้าเป็นพระเจ้า แต่มองเป็นแม่ ซึ่งทุกคนรู้ดีว่าแม่ของเราเรื่องเยอะขนาดไหน ลูกค้าก็เรื่องเยอะเท่านั้น ฉะนั้น เราต้องทำทุกอย่างให้ลูกค้าพึงพอใจ เท่ากับทำให้แม่เราพึงพอใจ โมเดลนี้แหละรุ่ง”

……………

สนใจค้นหาคำตอบของความสุข สไตล์ แหลมเกต อินฟินิท ได้แล้ววันนี้ สำรองที่นั่ง โทรศัพท์ (080) 000-4444, (084) 959-5959 ดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ Facebook/Laemgate หรือ #Laemgateinfinite

ร้านอาหารยุค “เรดโอเชียน”

หมดเวลาบอก เมนูไหนอร่อย

Viral Marketing (ไวรอล มาร์เก็ตติ้ง) กลยุทธ์การตลาดร่วมสมัย เป็นเทคนิคบอกต่อแบบ “ปากต่อปาก” บนโลกออนไลน์ ซึ่งกำลังถูกนำมาใช้กับแทบทุกสินค้า-บริการ

ไม่เว้นแม้แต่ร้านอาหารอย่าง “แหลมเกต”

ที่ผ่านมาร้านอาหารแห่งนี้ จึงมี “เซตแฟชั่น” น่าสนใจ นำเสนอในรูปแบบไวรอล มาร์เก็ตติ้ง เรียกเสียงฮือฮาบนโลกโซเชียลมาแล้วอย่างต่อเนื่อง

“การแข่งขันในธุรกิจร้านอาหารทุกวันนี้ ถือมีด ถือหอก กันหมดแล้ว เพราะต่างอยู่ในเรดโอเชียน ดังนั้น คงไม่ใช่เวลามาบอกกันแล้วว่าเมนูเด็ดของเรา คืออะไร ร้านนี้มีอะไรอร่อย” คุณโค้ก-อพิชาต บวรบัญชารักษ์ เผยแนวคิด

และว่า กำลังทำธุรกิจที่เปรียบเสมือน “โรงงานผลิตความสุข” กำลังสร้างความสุขแบบครบวงจร ความสุขที่มากกว่าอาหาร และเชื่อมั่นในการสื่อสารกันบนโลกออนไลน์ ที่สามารถสื่อได้มากกว่าแค่ภาพลักษณ์ เรายังสื่อสารกันด้านอารมณ์ ความรู้สึกได้อีกด้วย

“ที่ผ่านมาผมพยายามเถียงทุกคนที่บอกว่าแหลมเกต เป็นร้านแฟชั่น มาตามกระแส โดยบอกกับพวกเขาว่า เราคือร้านอาหารทะเลทั่วไป แต่เป็นโมเดลใหม่ เพราะเคยมั้ยที่ไปร้านอาหารทะเลแล้วต้องลุ้น ไม่รู้ว่าจะต้องจ่ายเท่าไหร่ แถมบางครั้งโดนฟันแหลก แต่ถ้ามาที่แหลมเกต ไม่มีทางเกิดเหตุการณ์อย่างนั้น จะพาแขก พาเพื่อน มากี่คน รู้เลยว่าต้องใช้งบเท่าไหร่” ผู้บริหาร “แหลมเกต อินฟินิท” วัย 32 บอกอย่างนั้น

“Morganic Farm” ฟาร์มของคนรุ่นใหม่ ปลูกผักแบบออร์แกนิก ทำยากกว่าที่คิด

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือเส้นทางเศรษฐี

http://info.matichon.co.th/rich/rich.php?srctag=0728150959&srcday=2016-09-15&search=no

วันที่ 15 กันยายน พ.ศ. 2559 ปีที่ 22 ฉบับที่ 405

เกษตรเทรนด์ใหม่

วัชรี ภูรักษา

“Morganic Farm” ฟาร์มของคนรุ่นใหม่ ปลูกผักแบบออร์แกนิก ทำยากกว่าที่คิด

Morganic Farm มอร์แกนิกฟาร์ม ฟาร์มปลูกผัก ที่ก่อตั้งขึ้นด้วยความตั้งใจที่ต้องการเป็นมากกว่าผู้ผลิตอาหาร ไม่เพียงแต่ต้องการคำนึงถึงสุขภาพของผู้บริโภค แต่ต้องการเข้าถึงผู้บริโภคทั้งเรื่องราคาและรสชาติด้วย ด้วยการผลิตพืชผักในรูปแบบของเกษตรอินทรีย์บนพื้นที่ 20 ไร่ ในเขตอำเภอวังน้ำเขียว จังหวัดนครราชสีมา

คุณกรฎา รำพึงวงษ์ หรือ คุณแขก สาวน้อยวัย 25 ปี เรียนจบปริญญาตรี สำนักวิชา บริหารจัดการทรัพยากรการเกษตร จากจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ด้วยเพราะอยากยึดอาชีพเกษตรกรรม แบบมืออาชีพ จึงเข้าร่วมโครงการกับทางมหาวิทยาลัย ร่วมกับสำนักงานปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม หรือ ส.ป.ก. สำหรับคนที่สนใจอยากทดลองยึดอาชีพเกษตรกรรม ให้ทดลองทำบนพื้นที่ที่จัดสรรให้ ทดลองเป็นระยะเวลา 6 เดือน บนพื้นที่ 2 ไร่ครึ่ง

อยากเป็นเกษตรกรมืออาชีพ

ปลูกแบบอินทรีย์ ขยายงานต่อ

คุณกรฎา เล่าว่า “ได้พื้นที่มา 2 ไร่ครึ่งในตอนแรก ซึ่งพื้นที่ตรงนี้เป็นโซนออร์แกนิกทั้งหมด เกษตรกรทุกรายปลูกผักแบบออร์แกนิก ขณะที่ทำ 2 ไร่ครึ่ง เป็นแปลงทดลองในระยะเวลา 6 เดือน หากทำแล้วชอบ ทำได้ ก็สามารถทำเกษตรต่อได้บนพื้นที่นี้ พอทำไปได้สักระยะเห็นปัญหาอย่างหนึ่งคือ ผลผลิตที่ได้ไม่เพียงพอต่อความต้องการของตลาด และไม่สามารถขยายงานเกษตรการปลูกพืชชนิดอื่นๆ ต่อได้ จึงคิดขยับขยายพื้นที่เพิ่ม

จากพื้นที่ 2 ไร่ครึ่ง ปัจจุบันหาเช่าพื้นที่ในอำเภอวังน้ำเขียวในการทำเกษตรอีก 20 ไร่ ในการขยายงานปลูกเพิ่ม ด้วยความต้องการของตลาด เพื่อให้มีผลผลิตอย่างต่อเนื่องตามความต้องการของตลาดตลอดทั้งปี จึงมองเห็นโอกาส โดยได้นำเอารูปแบบของธุรกิจมาสนับสนุนการทำเกษตร ใช้วิธีการบริหารจัดการเข้าช่วย”

หัวใจหลักของการทำเกษตรในพื้นที่นี้ คุณกรฎา บอกว่า “ให้ความสำคัญกับดิน ระบบนิเวศและการผสานความรู้ของชุมชนกับวิทยาศาสตร์”

โดยเกษตรกรรุ่นใหม่รายนี้ บอกอีกว่า หนทางการเป็นเกษตรกรมืออาชีพ คือความตั้งใจจริง เมื่อเป็นคนรุ่นใหม่มาทำเกษตรในพื้นที่ จำเป็นต้องหาความรู้จากคนในพื้นที่ไม่ว่าจะเป็น ลุง ป้า น้า อา ต่างๆ เพราะคนเหล่านี้มีความรู้ในพื้นที่ดีกว่า มีประสบการณ์และเข้าใจการทำเกษตรมากกว่า เขาจะมีเทคนิคเฉพาะที่สามารถใช้ได้จริง นอกเหนือจากตำรา ปัญหาอย่างหนึ่งที่เธอมักพบเจอคือ เกษตรกรรุ่นใหม่มักคิดว่าตัวเองเจ๋งกว่าคนรุ่นเก่า ซึ่งนั่นก็ไม่ถูกทั้งหมด นอกเหนือจากความตั้งใจที่มี ก็ไม่ควรลืมความรู้ที่สามารถหาได้จากคนรุ่นเก่าที่สามารถนำมาใช้ได้จริง ถ้าเรียนรู้จากพวกเขา รับรองได้ว่าจะปลูกผักเป็นและเก่ง ขายได้แน่นอน

ยอมเสีย ก่อนสำเร็จ

ผสานความรู้ ตั้งบริษัท

ด้วยความเป็นคนรุ่นใหม่ที่หันมาสนใจเกษตร จึงสามารถปรับตัวและนำความรู้มาประยุกต์ใช้ในการทำงานมากขึ้น ทั้งมองเห็นช่องทางการตลาดแบบออนไลน์และปรับใช้ได้อย่างรวดเร็ว ซึ่งอาจเป็นข้อได้เปรียบอย่างหนึ่งของเกษตรกรยุคนี้ที่หันมาปลูกผักขาย

คุณกรฎา เล่าว่า “หลังจากการขยับขยายพื้นที่ จึงได้คิดวางแผนเป็นระบบและทำเกษตรในรูปแบบธุรกิจเข้มข้น จึงจัดตั้งบริษัทชื่อ มอร์แกนิก วังน้ำเขียวฟาร์มมิ่ง จำกัด ขึ้นมา ด้วยเพราะพืชผักออร์แกนิกในพื้นที่แถวนี้มีมูลค่าสูงอยู่แล้ว จึงเห็นว่าเป็นโอกาสที่ดี

ยกตัวอย่างเฉพาะแค่ผักสลัดอย่างเดียว ส่งขายสัปดาห์ละกว่า 1 ตัน ผักออร์แกนิกชนิดอื่นๆ อย่างพวกพืชเมืองหนาวและพืชตระกูลแตงต่างๆ ก็มีออร์เดอร์สั่งมาตลอด ปลูกผักขาย จึงทำเป็นอาชีพและอยู่ได้”

แต่ก็ใช่ว่าจะพบกับความสำเร็จได้อย่างง่ายดาย กว่าจะสามารถขยายพื้นที่และตั้งบริษัทขึ้นมาได้อย่างทุกวันนี้นั้น คุณกรฎา บอกว่า “ไม่ง่ายเลย ด้วยเพราะไม่เคยปลูกผักจริงๆ มาก่อน มันไม่ได้ง่ายอย่างที่คิด และไม่ใช่ทุกพื้นที่จะปลูกผักได้หมด จุดแรกที่ต้องเข้าใจเกี่ยวกับการปลูกผักแบบออร์แกนิกคือ ต้องเข้าใจธรรมชาติของพืช และต้องยอมเสีย

การยอมเสียในที่นี้คือ การขาดทุน เพราะปลูกผักแบบออร์แกนิกคือไม่ใช้ยาฆ่าแมลง รวมถึงการนำพืชบางชนิดที่มีฤทธิ์ไล่แมลงมาใช้ไม่ได้ เพราะมันอาจไล่แมลงตัวที่ดีๆ ซึ่งเป็นตัวที่ต้องการให้อยู่ในแปลงผักหายไปด้วย ต้องยอมเสียและยอมรับในจุดนี้ ผลผลิตที่ได้แรกๆ จะไม่มีทางเยอะอย่างที่ตั้งใจอยากให้เป็น ด้วยจะโดนแมลง หรืออาจมีหนอนมาก่อกวนผลผลิตในช่วงนี้อย่างแน่นอน ต้องยอมเสีย รวมทั้งขาดทุนในเรื่องของค่าแรงของตนเองด้วย”

วางแผนผลผลิต ขายได้ทั้งปี

ออร์เดอร์พุ่ง ขายเอง ตลาดรับซื้อ

ปัจจุบัน พื้นที่ 20 ไร่ของมอร์แกนิกฟาร์มมีสัดส่วนการปลูกผลผลิตดังนี้คือ ร้อยละ 70 ของพื้นที่ ปลูกผักตามออร์เดอร์ ส่วนใหญ่เป็นพืชตระกูลแตง อย่าง แตงกวาญี่ปุ่น แตงกวาไทย หรือเบบี้แคร์รอต และร้อยละ 30 ปลูกพืชเมืองหนาว ซึ่งวังน้ำเขียวมีอากาศที่ดี เป็นความพิเศษของพื้นที่ที่มีความเหมาะสม จึงสามารถปลูกพืชผักได้หลากหลายชนิด คุณกรฎา บอก

โดยเธอได้เล่าต่อว่า “จะทำการวางแผนในการปลูกผลผลิตในแต่ละสัปดาห์ ว่ามีผักชนิดไหนต้องทำการส่งในสัปดาห์ไหนบ้าง วางแผนงานการปลูกล่วงหน้าเอาไว้คร่าวๆ

ในเรื่องของการเตรียมดิน การดูแลรักษา ในการเพาะปลูกระบบออร์แกนิกนี้ คุณกรฎา บอกว่า เน้นการปรับปรุงโครงสร้างดินให้มีชีวิต เป็นที่อยู่อาศัยของจุลินทรีย์ที่มีประโยชน์ ซึ่งเป็นผู้ช่วยหลักในการแปรรูปอินทรียวัตถุในดิน ให้สามารถปลดปล่อยออกมาเป็นสารอาหารให้แก่พืชได้ และที่สำคัญคือต้องเรียนรู้พฤติกรรมของสิ่งแวดล้อม ให้เกิดความสมดุลภายในแปลงผัก จะช่วยให้ผักเติบโตได้ดีขึ้น

ด้านการจัดการศัตรูพืชและการเสริมธาตุอาหารบำรุง ต้องดูแลให้ดีเช่นกัน มอร์แกนิกฟาร์มใช้การดูแลเสริมรสชาติผักด้วยนมสด และฮอร์โมนผลไม้ ส่วนเรื่องหน้าตาของผัก ต้องทำความเข้าใจ เนื่องเพราะเป็นระบบแบบออร์แกนิก หน้าตาผักก็อาจจะไม่สวยงามมากมาย แต่จะพยายามควบคุมรสชาติผัก ให้ผักไม่ขม แต่ก็ไม่หวานจนเหมือนผลไม้ ต้องเป็นรสชาติของผัก ทานอร่อย”

สำหรับช่องทางการตลาดมี 2 รูปแบบคือ 1. การขายปลีก คือขายเอง ออกบู๊ธ ขายตามตลาดนัดต่างๆ โดยเป็นผู้ดูแลเอง ส่วนรูปแบบที่ 2 คือ ส่งออร์เดอร์ตามสั่งของพ่อค้า คุณกรฎายังบอกถึงรายได้ที่ได้รับต่อสัปดาห์ว่า “อย่างปลูกผักสลัดต่อรอบ สามารถทำเงินได้สัปดาห์ละประมาณ 50,000 บาท แตงกวาญี่ปุ่น แตงกวาไทย ออร์เดอร์รวมต่อสัปดาห์ประมาณ 1,200 กิโลกรัม ทำรายได้ประมาณ 80,000 บาท”

“การทำเกษตรต้องดูสภาพแวดล้อมหลายด้านประกอบ พอถึงช่วงเปลี่ยนฤดูก็ต้องดูสภาพอากาศว่าเหมาะจะปลูกพืชอะไร ที่สำคัญคือเกษตรกรรุ่นใหม่สามารถนำเอารูปแบบของการจัดการวางแผน การทำธุรกิจ หรือใช้ช่องทางทางออนไลน์มาช่วยในการทำเกษตรได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น

คนรุ่นใหม่ที่ตอนนี้หันมาสนใจอยากทำการเกษตร ก็อยากให้ทำหัวว่างๆ พร้อมเรียนรู้จากเกษตรกรที่มีประสบการณ์ควบคู่ด้วย” คุณกรฎา กล่าวทิ้งท้าย

สำหรับใครที่สนใจการทำเกษตรแบบออร์แกนิก สามารถเข้าไปติดตามดูได้ที่ Facebook: Morganic Farm วังน้ำเขียว หรือโทรศัพท์ (097) 918-3276