“กาดเมืองพร้าวออนไลน์” ยกสินค้าชุมชน ขายบนโลกออนไลน์

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือเส้นทางเศรษฐี

http://info.matichon.co.th/rich/rich.php?srctag=0732150959&srcday=2016-09-15&search=no

วันที่ 15 กันยายน พ.ศ. 2559 ปีที่ 22 ฉบับที่ 405

ช่องทางสร้างอาชีพ

อันติกา

“กาดเมืองพร้าวออนไลน์” ยกสินค้าชุมชน ขายบนโลกออนไลน์

อยู่กรุงเทพฯ นานนับ 10 ปี กระทั่งวันหนึ่งต้องการผันชีวิตกลับคืนสู่ชนบท โดยมีเหตุผลหลัก กลับไปทำความกตัญญูให้ถึงพร้อม นักเขียนมากฝีมือ คุณการะเกต์ ศรีปริญญาศิลป์ จึงได้ที่ทำงานใหม่ท่ามกลางธรรมชาติ และไม่ใช่งานด้านอักษรอย่างเดียวที่เธอลงมือทำ แต่ทว่ายังเข้าไปช่วยสร้างความยั่งยืนให้ชุมชน จนกลายเป็นหนทางสร้างอาชีพจากสิ่งที่มีอยู่รอบตัว กับการเปิดเพจ “กาดเมืองพร้าวออนไลน์” เพจที่รวบรวมสินค้าหลายสิบรายการ อาทิ พืชผักผลไม้ อาหาร และสิ่งที่คนในชุมชนมองข้ามว่าไม่มีค่า ให้กลับมามีราคาได้อีกครั้ง อย่าง “ขี้เถ้า”

กลับมาดูแลพ่อ

ก่ออาชีพในชุมชน

หลังจากทำงานด้านสื่อสารมวลชน เป็นถึงระดับบรรณาธิการ และนักเขียนฝีมือดี ที่ปัจจุบันยังคงทำด้วยใจรัก แต่ทว่าในวันที่พ่อเข้าสู่วัยชรา ผู้เป็นลูกจึงกลับมาดูแลท่านอย่างเต็มตัว คุณการะเกต์ จึงตั้งหลักปักฐานที่อำเภอพร้าว จังหวัดเชียงใหม่ สร้างบ้านหลังเล็กๆ อยู่อาศัยร่วมกับผู้เป็นที่รัก ซึ่งรวมถึงน้องสาว คุณกาญจน์ ศรีปริญญาศิลป์ ที่แต่เดิมทำงานด้านสื่อสารมวลชนเช่นกัน

เมื่อใช้ชีวิตท่ามกลางธรรมชาติและผู้คน ได้เห็นความเป็นอยู่ วัฒนธรรม อาหารการกิน รวมถึงกิจวัตรประจำวัน จึงรู้สึกถึงเสน่ห์

“นึกไปถึงตอนเด็กๆ แม่เป็นคนชอบทำอาหาร และชอบทำสวนมาก เวลาล้อมวงกินข้าวกัน แม่จะบอกเล่าถึงสรรพคุณของวัตถุดิบที่ใส่ลงไป และด้วยพ่อรู้เรื่องตำรับยา รู้เรื่องสมุนไพร ทำให้เราซึมซับสิ่งต่างๆ เหล่านี้มา และภาพความทรงจำนั้น นึกถึงครั้งใดก็อบอุ่นมีความสุข”

ลูกไม้ย่อมหล่นไม่ไกลต้น แม่ชอบอย่างไร ลูกก็เดินตามรอย การปรุงอาหารกินกันเองในบ้าน จึงเป็นเรื่องสืบทอดมา และจากความชอบปรุง บวก เห็นวิถีของคนในพื้นที่อย่างถ่องแท้ จึงว่า หากสร้างตลาดเมืองพร้าวสู่คนนอกชุมชน ก็น่าจะเป็นหนทางสร้างความยั่งยืนให้คนภายใน

เพจ “กาดเมืองพร้าวออนไลน์” จึงเปิดตัวขึ้นเมื่อราว 2 ปีก่อนหน้านี้ โดยมีคุณกาญจน์เป็นผู้ร่วมนำทาง ซึ่งในเบื้องต้น ยังไม่มีผู้ติดตาม ทั้งสองจึงใช้วิธีบอกกล่าวผ่านเพจส่วนตัว จนกระทั่งยอดผู้ติดตามเริ่มเกิดขึ้น แม้วันนี้ตัวเลขจะอยู่ที่หลักพัน แต่คุณการะเกต์ ว่า คือความภูมิใจ เพราะทุกคนที่เข้ามาเป็นแฟนเพจ คือผู้ชื่นชอบผลิตภัณฑ์ และผู้ยินดีส่งเสริมสนับสนุนกาดเมืองพร้าวออนไลน์

“ช่วงแรกเปิดเพจ เราไม่ค่อยได้อัพเดตเท่าไหร่นัก และจนถึงตอนนี้ก็ไม่ได้ซื้อโฆษณาประชาสัมพันธ์ แต่ว่าจะดูเนื้อหา และใส่ภาพประกอบชัดเจน มีการบอกเล่าในเฟซบุ๊กส่วนตัว สินค้าก็มีเพียงไม่กี่รายการ แต่เมื่อลูกค้าเข้ามาสนใจ กลายเป็นการบอกต่อๆ”

อาหารพื้นถิ่นทำขาย

พืชผัก ผลไม้นานาชนิด

สินค้าเริ่มต้นนำมาจำหน่าย จะเน้นเป็นสินค้าในอำเภอพร้าว แต่เมื่อออร์เดอร์มากขึ้น อย่าง ลูกค้าต้องการพริกขี้หนูจำนวนมาก หรือมะนาว ในอำเภอพร้าวไม่เพียงพอ คนในชุมชนจึงติดต่อญาติซึ่งอยู่ต่างอำเภอ ต่างหมู่บ้าน หรือจังหวัดใกล้เคียง รับซื้อมาจำหน่าย สร้างรายได้แผ่กว้างออกไป กลายเป็นว่าเรามีเครือข่ายเพิ่ม”

ปัจจุบัน สินค้าจำหน่ายในเพจ 30-40 รายการ โดยแบ่งเป็นสินค้าประเภทอาหารสำเร็จรูปปรุงสุกสด ซึ่งอายุการเก็บสั้น การจัดจำหน่ายจึงอยู่ในชุมชน และในพื้นที่ใกล้เคียง นอกจากนั้น จะมีผลิตภัณฑ์ประเภทพืชผักผลไม้ และสินค้าอื่นๆ ที่เห็นว่าสามารถสร้างมูลค่าได้ ก็จะนำมาจำหน่าย อย่าง “ขี้เถ้า”

“คนในชุมชน 90 เปอร์เซ็นต์ ยังหุงหาอาหารด้วยเตาฟืนเตาถ่าน จึงมีขี้เถ้าเตาไฟค่อนข้างเยอะ ซึ่งเราก็คิดถึงตอนเด็กๆ จะเห็นคนโบราณ นำขี้เถ้ามาใช้ได้สารพัด อย่าง ขัดถูทำความสะอาดภาชนะ นำมาแช่หมึกให้พองตัว ก็นำตรงนี้มาเป็นจุดขาย ซึ่งตอนที่เราบอกกับคนในชุมชนว่าจะนำขี้เถ้ามาจำหน่าย ทุกคนหัวเราะเลย เขาไม่คิดว่าจะขายได้ เราใส่ถุงโพสต์ขาย 20 บาท ปรากฏขายได้ กลายเป็นรายได้ให้ชุมชน”

กับการวางแผนตั้งเป้าสินค้านำไปจัดจำหน่ายในเพจหลักร้อยรายการ แต่ทว่าที่ยังไม่ผลีผลาม เพราะทุกรายการสินค้าต้องผ่านทดลองทดสอบ ดูอายุการเก็บรักษา เลือกและออกแบบบรรจุภัณฑ์ให้เหมาะสมก่อน

สำหรับสินค้าที่ได้รับความนิยมมาเป็นอันดับต้นๆ คือพืชผักตามฤดูกาล โดยเฉพาะเห็ดถอบ ที่ให้รสชาติหวานกรอบอร่อย กลิ่นหอม ด้วยเพราะพื้นที่อุดมสมบูรณ์ โอบล้อมด้วยภูเขา โดยชาวบ้านจะเดินทางไปเก็บนำมาส่ง จากนั้นทำความสะอาด แล้วต้มก่อนบรรจุส่งให้ลูกค้า ซึ่งคุณการะเกต์ให้เหตุผลของการนำไปต้มเพื่อคงคุณภาพของเห็ดถอบ ไม่ให้แก่เร็วเกินไป (เห็ดถอบเมื่อเก็บมาแล้วอยู่ได้ราว 2 วันจะแก่)

ต้นทุนเวลา ค่าแรง

นำมาตั้ง สร้างราคา

สินค้าที่ขายดีอีกหลายรายการ ได้แก่ แคบหมู ไส้อั่ว น้ำพริกหนุ่ม น้ำพริกข่า และน้ำพริกคั่วทราย ซึ่งสินค้ารายการหลังนี้ คุณการะเกต์ ว่า เป็นอาหารของชาวไทยใหญ่ที่ใครชิมเป็นต้องติดใจ ปรุงสดใหม่ ให้ลูกค้าเลือกทั้งแบบใส่กากหมูเจียวเอง หรือจะเลือกแบบใส่ถั่วเน่าหั่นซอยเป็นเส้นผสมลงไป

กับราคาขายสินค้า หากเป็นประเภทพืชผักผลไม้ เทียบในซุปเปอร์มาร์เก็ต จะมีราคาถูกกว่า แต่ถ้าเทียบกับตลาดทั่วไปไม่หนีห่างกันมาก แต่หากเป็นสินค้าประเภทอาหารราคายุติธรรม เมื่อเทียบกับกระบวนการทำตั้งแต่ตั้งต้น

“คนเรามักจะลืมคิดต้นทุนเวลา อย่างชาวบ้านที่นี่ดองผักทานเอง ทำขายกันเองห้าบาทสิบบาท เขาไม่เคยคิดว่ากว่าจะทำเสร็จใช้เวลาเป็นวัน นี่คือค่าแรง ยิ่งต้องลงมือปลูกผักกาดเอง ควรเห็นคุณค่าตั้งแต่หยอดเมล็ดพันธุ์ลงบนพื้นดิน เมื่อทำขายต้องคำนึงถึงจุดนี้ และนี่คือสิ่งที่ลูกค้าภายนอกเข้าใจ กระทั่งรู้ว่าค่าขนส่งสูงเขาก็ยอมซื้อ”

คุณการะเกต์ ได้เล่าต่อถึงเหตุผลของค่าขนส่ง ว่ามีราคาแพงเพราะพื้นที่ตั้งอำเภอพร้าวห่างจากตัวเมืองเชียงใหม่กว่า 100 กิโลเมตร การจัดส่งสินค้าจึงเป็นเรื่องลำบากพอควร แต่ทว่าลูกค้าจำนวนมากเข้าใจ แม้อาจต้องจ่ายค่าขนส่งสูงกว่าราคาสินค้าก็ตาม

“ลูกค้าของกาดเมืองพร้าวจะอยู่ในช่วงอายุประมาณ 20 ปีขึ้นไปจนถึง 40 ปี ส่วนใหญ่คือคนที่รักสุขภาพ และมักอาศัยอยู่ในกรุงเทพฯ แต่ว่าในภาพรวมก็มีจากทั่วประเทศ เหนือ อีสาน ใต้ กลาง มาหมด ส่งผลให้เกิดยอดขายเดือนละประมาณ 100,000-200,000 บาท กำไรก็ราวๆ 30-50 เปอร์เซ็นต์ สามารถช่วยคนในชุมชนเฉพาะอำเภอพร้าวให้มีรายได้มากบ้างน้อยบ้าง รวมแล้วกว่า 100 ครัวเรือน”

คงไม่เพียงแต่ผลิตภัณฑ์ของกาดเมืองพร้าวที่ส่งผลถึงยอดขาย แต่ทว่าน่าจะเป็นการตอบกลับข้อความที่รวดเร็ว ฉับไว อีกทั้งยังให้ความสำคัญกับการเอาใจใส่ลูกค้าเป็นอย่างดี “เรื่องความรับผิดชอบนี่ยิ่งสำคัญ อย่างเคยส่งสินค้าไปแล้ว เกิดความเสียหาย ก็จะรีบส่งสินค้าใหม่ให้ลูกค้าทันที โดยไม่คิดเงิน ซึ่งด้วยความใส่ใจตรงนี้ ลูกค้าบางท่านโอนเงินมาให้ ส่งกำลังใจมาให้ตลอด ก็ถือว่าดีใจมากแล้วที่มีคนสนใจกาดของเรา”

การนำสินค้าในพื้นที่มาจำหน่ายให้กับกลุ่มลูกค้าภายนอกผ่านโลกอินเตอร์เน็ต ซึ่งในยุคสมัยนี้ถือว่าเป็นช่องทางจำหน่ายที่ดี โอกาสขายได้มีสูง แต่ทว่าต้องมีจุดขาย

“เรายกตลาดบ้านนอกมาไว้ในอินเตอร์เน็ต ส่งตรงจากหมู่บ้านถึงจานคุณ นี่คือสิ่งที่ต้องการบอกกล่าวออกไป ซึ่งเชื่อว่า วันหนึ่งชุมชนของเราจะกลายเป็นชุมชนเข้มแข็ง กลายเป็นชุมชนที่มีคนเดินเข้ามาหา ตอนนี้จึงได้วางแผนต่อยอดสร้างชุมชนให้เข้มแข็ง ซึ่งไม่ได้หมายถึงเงินนะ แต่คือคุณภาพชีวิต โดยเริ่มจากจัดเตรียมพื้นที่ โดยไม่คิดค่าใช้จ่าย ให้คนในชุมชนมาแลกเปลี่ยนซื้อขายสินค้ากัน พร้อมกับต้อนรับคนนอก สร้างห้องพักเล็กๆ ขยายครัวเพิ่ม คนที่รักธรรมชาติ รักวิถีชุมชนและวัฒนธรรม สามารถเข้ามาเรียนรู้การอยู่แบบที่เราเป็นได้” คุณการะเกต์ กล่าวทิ้งท้าย

สนใจติดต่อ คลิก แฟนเพจ กาดเมืองพร้าวออนไลน์ หรือเว็บไซต์ http://www.phraomarket.com

อาหารผง เพื่อคนรุ่นใหม่

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือเส้นทางเศรษฐี

http://info.matichon.co.th/rich/rich.php?srctag=0748150959&srcday=2016-09-15&search=no

วันที่ 15 กันยายน พ.ศ. 2559 ปีที่ 22 ฉบับที่ 405

เสริมไอเดีย

ปาณตะวัน pantawan@hotmail.com

อาหารผง เพื่อคนรุ่นใหม่

ปัจจุบัน อาหารหลายอย่างถูกเปลี่ยนรูปโฉมไปเป็นผงได้อย่างไม่น่าเชื่อ สามารถเปลี่ยนธรรมชาติจากของเหลวให้เป็นผงได้ เปลี่ยนค่านิยมและความคุ้นเคยกันมายาวนานให้เป็นผงได้ เปลี่ยนสิ่งที่ไม่น่าทำเป็นผงให้กลายเป็นผงได้ ทำไปทำไม ทำเพื่ออะไร

ลองอ่านเรื่องราวของผู้ประกอบการเหล่านี้ ที่นิยมทำอาหารให้เป็น “ผง” ขายในตลาดอย่างเปิดเผย

น้ำตาลโตนดผง

พลิกโฉมเป็นน้ำตาลพรีเมี่ยม

ในเขตอำเภอสทิงพระ จังหวัดสงขลา มีต้นตาลโตนดมากที่สุดในประเทศไทย มีการนำส่วนต่างๆ ของตาลโตนด ซึ่งถือว่าเป็นวัตถุดิบในท้องถิ่นมาสร้างสรรค์ผลิตภัณฑ์โอท็อปต่างๆ เช่น น้ำตาลโตนดแว่น สบู่ตาลโตนด ภายใต้ชื่อยี่ห้อว่า “โหนด นา เล” โดยเฉพาะน้ำตาลโตนดแว่น เป็นน้ำตาลที่ได้จากต้นตาลโตนด ใช้ภูมิปัญญาท้องถิ่นในการแปรรูปน้ำตาลสดหรือน้ำตาลโตนดเข้มข้น นำมาเคี่ยวในกระทะจนน้ำระเหยออกไป เหลือเป็นน้ำตาลข้นเหนียว จากนั้นใช้ใบตาลมาทำเป็นวงกลมเล็กๆ เอาน้ำตาลโตนดหยอดในวงก็จะได้น้ำตาลโตนดก้อนกลมๆ แบนๆ ขนาดกะทัดรัด เรียกขานทั่วไปว่า “น้ำตาลแว่น”

ต่อมา กลุ่มสบู่ตาลโตนด โหนด นา เล จังหวัดสงขลา ต้องการพัฒนาน้ำตาลโตนดให้เป็นน้ำตาลผง หวังให้ผลิตภัณฑ์ในกลุ่มของตนมีความหลากหลายมากขึ้น จึงเข้ารับบริการปรึกษาจากศูนย์ส่งเสริมอุตสาหกรรมภาคที่ 11 กรมส่งเสริมอุตสาหกรรม ทางศูนย์ส่งผู้เชี่ยวชาญมาช่วยพัฒนาผลิตภัณฑ์ให้เป็นน้ำตาลโตนดผง และออกแบบบรรจุภัณฑ์โดยปรับโฉมใหม่ จนทำให้น้ำตาลโตนดในท้องถิ่นแดนใต้กลายเป็นสินค้าพรีเมี่ยมขึ้นมาได้ในพริบตา โดยเปลี่ยนบรรจุภัณฑ์จากถุงพลาสติกมาใส่ขวดแก้วขนาดพอเหมาะ พร้อมทำฉลากสินค้าออกแบบด้วยโทนสีน้ำตาลให้สอดคล้องกับสีของน้ำตาลโตนด ท้าทายด้วยชื่อแบรนด์โหนด นา เล เป็นภาษาอังกฤษเด่นชัด “NODE NA-LE” แค่นี้ก็พรีเมี่ยมเป๊ะทันตา

รูปลักษณ์ใหม่ในขวดหรู ทำให้น้ำตาลโตนดผงรายนี้ กลายเป็นของฝากของขวัญที่มีราคา มีความคลาสสิกในตัว ถือเป็นการขยายฐานการตลาดไปสู่กลุ่มพรีเมี่ยม และขยายกลุ่มลูกค้าไปสู่กลุ่มคนรักสุขภาพ ที่ต้องการเปลี่ยนแนวการใช้น้ำตาลทรายมาใช้น้ำตาลโตนดแทน โดยอาศัยจุดเด่นของน้ำตาลโตนดที่มีความได้เปรียบเรื่องความหอมและละลายได้รวดเร็ว ซึ่งน่าจะเป็นแรงดึงดูดให้ขยายตลาดได้มากขึ้นต่อไป

ลองลิ้มน้ำตาลโตนดพรีเมี่ยมจาก กลุ่มสบู่ตาลโตนด โหนด นา เล เลขที่ 11/4 ม.7 ตำบลท่าหิน อำเภอสทิงพระ จังหวัดสงขลา 90190 โทรศัพท์ (081) 275-7156, (074) 590-546, (083) 186-5473

น้ำผึ้งผง

เพื่อนใหม่คู่หูชา-กาแฟ

คุณบัญชา นทีคีรีกาญจน์ เจ้าของฟาร์มผึ้งพัฒนกิจ ตั้งอยู่ในเขตอำเภอสารภี จังหวัดเชียงใหม่ ผู้มีประสบการณ์เลี้ยงผึ้งและจำหน่ายน้ำผึ้งมานานกว่า 30 ปี ผลิตภัณฑ์น้ำผึ้งเป็นที่รู้จักภายใต้แบรนด์ “GOLDEN BEE” ผลิตและจำหน่ายผลิตภัณฑ์จากผึ้งทุกรูปแบบ ทั้งในประเทศและต่างประเทศ ผลิตภัณฑ์ของฟาร์มผึ้งพัฒนกิจนั้นเป็นผลิตภัณฑ์ที่ได้รับการยอมรับว่ามีมาตรฐานการผลิตในระดับสากล

ผู้ที่ประสบความสำเร็จสูงในธุรกิจของตน เมื่อมาถึงจุดหนึ่งย่อมต้องการพัฒนาผลิตภัณฑ์เพื่อหาจุดต่างให้กับธุรกิจของตน จากน้ำผึ้งที่เป็นของเหลว คุณบัญชาอยากเปลี่ยนโฉมน้ำผึ้งให้เป็นน้ำผึ้งผง เพื่อความสะดวกของผู้ใช้ และเปิดโอกาสหรือเปิดช่องทางให้มีการใช้ประโยชน์จากน้ำผึ้งผงได้มากขึ้น เช่น ใช้เสิร์ฟคู่ชา-กาแฟตามร้านอาหาร ภัตตาคาร และโรงแรม เป็นต้น

จุดเด่นของน้ำผึ้งผง มีคุณสมบัติละลายน้ำง่าย มีกลิ่นหอม และรสหวานที่เป็นธรรมชาติ และมีจุดเด่นในเรื่องสรรพคุณของน้ำผึ้งที่เป็นประโยชน์ต่อร่างกายอย่างมากมาย

เจ้าของฟาร์มพัฒนกิจ มีความเชื่อว่า การแปรรูปน้ำผึ้งให้เป็นน้ำผึ้งผง นอกจากทำให้ผู้บริโภคนำไปใช้งานได้สะดวกแล้ว ยังนำไปประยุกต์ใช้ได้ง่ายกว่าของเหลว ความปรารถนาของฟาร์มพัฒนกิจดังไปไกลถึงหน่วยงานราชการอย่างจากศูนย์ส่งเสริมอุตสาหกรรมภาคที่ 1 กรมส่งเสริมอุตสาหกรรม จึงได้ส่งผู้เชี่ยวชาญช่วยกันคิดค้น ปรับสูตร และกระบวนการผลิตจนได้น้ำผึ้งผงที่มีมาตรฐานทั้งกลิ่นและรสชาติ ที่สำคัญละลายได้ดีในน้ำชา-กาแฟอีกด้วย

น้ำผึ้งผง เริ่มวางตลาดด้วยบรรจุภัณฑ์กล่อง ขาวตัดกับสีทอง พร้อมข้อความภาษาอังกฤษบอกโต้งๆ ว่า “HONEY POWDER” ในแถบสีม่วงที่โดดเด่น การออกแบบถูกวางตัวให้น้ำผึ้งผง กลายเป็นสินค้าดูดีมีระดับในพริบตา

อยากลองของมีระดับ ติดต่อได้ที่ ห้างหุ้นส่วนจำกัด ฟาร์มผึ้งพัฒนกิจ เลขที่ 187 หมู่ 7 ตำบลหนองผึ้ง อำเภอสารภี จังหวัดเชียงใหม่ 50140 โทรศัพท์ (053) 422-460, (081) 961-6948 http://www.phatthanakit.net

น้ำปลาผง

ตอบโจทย์คนซื้อและคนขาย

ในเขตตำบลท่าฉนวน อำเภอกงไกรลาศ จังหวัดสุโขทัย เป็นแหล่งชุมนุมปลาสร้อยจำนวนมาก ซึ่งหาง่ายและราคาถูก กลุ่มสตรีในเขตตำบลท่าฉนวน จึงรวมตัวกันนำปลาสร้อยมาต้ม ทำเป็นน้ำปลาขายในละแวกหมู่บ้านใกล้เคียง กรรมวิธีการต้มน้ำปลาของสตรีกลุ่มนี้ ใช้สูตรและวิธีหมักแบบโบราณ จึงทำให้ได้น้ำปลารสชาติกลมกล่อมและมีกลิ่นหอมของน้ำปลาแท้ๆ เมื่อน้ำปลาที่ผลิตเริ่มมีชื่อเสียงเป็นที่ยอมรับ ภายหลังจึงติดตรายี่ห้อน้ำปลาว่า “เด็ดดวง” ต่อมาน้ำปลาของกลุ่มสตรีนี้ได้ยกระดับกลายเป็นของดีประจำตำบล และในที่สุดได้ถีบตัวขึ้นไปเป็นสุดยอดของสินค้า “หนึ่งตำบล หนึ่งผลิตภัณฑ์”

จากจุดอ่อนหรือปัญหาของคนขายน้ำปลา คือเรื่องการขนส่งและอายุการใช้งานที่สั้น เมื่อทิ้งไว้เป็นเวลานาน น้ำปลาจะตกตะกอนของเกลือ ขายไม่ได้ ทำให้ผู้ผลิตน้ำปลา “เด็ดดวง” อยากหาทางออกเพื่อให้น้ำปลาขนส่งได้ง่ายขึ้น ขณะเดียวกัน เก็บไว้ได้นานขึ้น จึงเกิดความคิดอุตริอยากทำน้ำปลาที่เป็นน้ำให้กลายเป็นน้ำปลาผงให้รู้แล้วรู้รอดไป ในที่สุดความคิดพิเรนก็เป็นจริงได้ เมื่อศูนย์ส่งเสริมอุตสาหกรรมภาคที่ 2 กรมส่งเสริมอุตสาหกรรม ส่งผู้เชี่ยวชาญเข้ามาแนะนำให้ปรับการผลิตจากน้ำให้เป็นผงได้ด้วยวิธีธรรมชาติ โดยใช้เทคนิคการระเหยที่เรียกว่า กระบวนการ Dehydration และกระบวนการพ่นฝอย

ในที่สุด ความฝันของกลุ่มสตรีท่าฉนวน จังหวัดสุโขทัย ก็สำเร็จได้โดยสามารถผลิตน้ำปลาให้เป็นน้ำปลาผงได้สมใจนึก บรรจุในกระปุกปิดฉลากอย่างสวยหรู เดินสายขายได้ทั่วราชอาณาจักร ภายใต้แบรนด์ “เด็ดดวง” นอกจากจะยกระดับผลิตภัณฑ์ให้ทันสมัยแล้ว แม่บ้านกลุ่มนี้ยังได้ยกระดับกลายเป็นแม่บ้านยุคใหม่ที่ทันสมัย สามารถผลิตน้ำปลาผงได้สำเร็จเพื่อตอบโจทย์แม่บ้านยุคใหม่ได้ลงตัวเป๊ะ

สนใจอยากลองน้ำปลารูปแบบใหม่ได้ที่ กลุ่มสตรีต้มน้ำปลา เลขที่ 249/3 ม.12 ตำบลท่าฉนวน อำเภอกงไกรลาศ จังหวัดสุโขทัย 64170 โทรศัพท์ (081) 973-2666

กะปิผง

สะกิดกุ้งเคยเปิดตลาดใหม่

คุณวิสุทธิ์ สิทธิเดช ผู้ริเริ่มทำกะปิผงรายแรกของเมืองไทย ภายใต้ กะปิผง “แลเลนอง” ในช่วงแรกไม่ค่อยได้รับการตอบรับมากนัก เนื่องจากผู้บริโภคยังไม่คุ้นเคยกับกะปิผง จนภายหลังเป็นที่รู้จักมากขึ้น ตลาดจึงเติบโตขึ้นอย่างต่อเนื่อง สามารถทำตลาดได้ทั้งในและต่างประเทศ อาทิ มาเลเซีย ซาอุดีอาระเบีย อินโดนีเซีย ลาว และเวียดนาม

กะปิผง เป็นผลิตภัณฑ์ที่ได้จากกะปิที่ผ่านการอบไล่ความชื้นออก แล้วนำมาบรรจุซองขนาดเท่าซองกาแฟสำเร็จรูป เพื่อความสะดวกในการพกพา สะดวกในการเก็บรักษาได้นานนับปี โดยไม่มีกลิ่นรบกวน และไม่ต้องเก็บในตู้เย็น ซึ่งเป็นข้อดีที่ทำให้กะปิผงทำตลาดได้ดีทั้งในประเทศและต่างประเทศ

เมื่อกะปิผงขายดีติดตลาดแล้ว ผู้ผลิตรายนี้จึงเริ่มมองหาผลิตภัณฑ์ตัวใหม่เพื่อต่อยอดทางธุรกิจ จึงเล็งเป้าหมายไปที่ตัวเคย ซึ่งใช้เป็นวัตถุดิบในการทำกะปิ นำตัวเคยมาอบให้กรอบแล้วปรุงรสต่างๆ เป็นอาหารทานเล่นที่มีคุณค่าทางโภชนาการ ภายใต้แบรนด์ “แลเลนอง” แบรนด์เดียวกับกะปิผง ทั้งนี้ได้รับการสนับสนุนจากศูนย์ส่งเสริมอุตสาหกรรม ภาคที่ 10 กรมส่งเสริมอุตสาหกรรม พัฒนาผลิตภัณฑ์ตัวใหม่คือ กุ้งเคยอบแห้ง บรรจุในถุงสุญญากาศเพื่อรักษาคุณภาพผลิตภัณฑ์ให้กรอบอร่อยได้นาน โดยใช้กราฟิกรูปกุ้งเคย เพื่อสื่อถึงผลิตภัณฑ์อย่างตรงไปตรงมา

ลองลิ้มตัวเคยที่ใช้ทำกะปิได้จาก วิสาหกิจชุมชนกะปิผงระนอง เลขที่ 5/2 ม.4 ถนนอ่าวเตย ตำบลม่วง กลวง อำเภอกะเปอร์ จังหวัดระนอง 85000 โทรศัพท์ (081) 788-7096

ข้าวผง

เปลี่ยนข้าวกินเป็นข้าวดื่ม

เนื่องจากเกษตรกรชาวบ้านในชุมชน ตำบลโพนทอง อำเภอเมือง จังหวัดชัยภูมิ ประสบปัญหาข้าวล้นตลาด ทำให้ราคาข้าวตกต่ำ คุณสุวภัทร สิทธิวงศ์ จึงจัดตั้งศูนย์เพื่อช่วยเหลือชาวบ้านที่ประสบปัญหาเรื่องข้าว โดยนำผลิตภัณฑ์ข้าวของเกษตรกรมาแปรรูปเป็นผงทำเป็นเครื่องดื่มชงดื่มเพื่อสุขภาพ ภายใต้ชื่อ “ข้าวอัศจรรย์” ตรานาคแเดง

จุดเด่นของผลิตภัณฑ์ข้าวผงรายนี้คือ ผลิตจากข้าวกล้องงอก 6 สายพันธุ์ชั้นดีของ ตำบลโพนทอง จังหวัดชัยภูมิ ที่มีคุณค่าทางโภชนาการสูง และมีสารต้านอนุมูลอิสระ โดยเฉพาะช่วยชะลอความแก่

ข้าวผงชงพร้อมดื่ม ตรานาคแดง จังหวัดชัยภูมิ ได้รับความสนใจเป็นอย่างดีจากกลุ่มลูกค้าผู้รักสุขภาพ โดยเฉพาะได้ผู้เชี่ยวชาญจากศูนย์ส่งเสริมอุตสาหกรรมภาคที่ 6 กรมส่งเสริมอุตสาหกรรม แนะนำให้ปรับกระบวนการผลิตให้มีมาตรฐานขึ้น และต่อยอดพัฒนาสูตรโดยเพิ่มกลิ่นต่างๆ เพื่อเป็นทางเลือกให้กับผู้บริโภค โดยกลิ่นแรกที่เลือกวางจำหน่ายก่อนคือ กลิ่นกาแฟ มีเป้าหมายเจาะกลุ่มลูกค้าที่ชื่นชอบการดื่มกาแฟ นอกจากนี้ยังมีแผนการผลิตโดยเพิ่มกลิ่นข้าวผงชงดื่มอีก 6 กลิ่น ซึ่งขณะนี้ยังอยู่ในขั้นตอนของการทำวิจัย ส่วนบรรจุภัณฑ์เลือกใช้กล่องโลหะอะลูมิเนียม เพื่อให้ตอบโจทย์ความเป็นสากลในการขยายตลาดสู่กลุ่ม AEC ในอนาคต

สนใจสินค้าติดต่อ วิสาหกิจชุมชนศูนย์ส่งเสริมการตลาด ตำบลโพนทอง เลขที่ 230/5-7 หมู่ 2 ถนนชัยภูมิ-บัวใหญ่ ตำบลโพนทอง อำเภอเมือง จังหวัดชัยภูมิ 36000 โทรศัพท์ (089) 710-9194, (098) 146-1785, (081) 721-5452 http://www.gonkham.com

มะเขือเทศผง

พร้อมชงดื่มเพื่อสุขภาพ

คุณสมพร วรรณเถิน ประธานกลุ่มวิสาหกิจชุมชนแปรรูปผลผลิตทางการเกษตรบ้านวังธารทอง อำเภอดอยหล่อ จังหวัดเชียงใหม่ มีความมุ่งมั่นที่จะเสริมรายได้ให้แก่สมาชิกในกลุ่ม ซึ่งตลอดเวลาที่ผ่านมา ได้แปรรูปพืชผลทางการเกษตรขายเป็นรายได้หลักของกลุ่ม ได้แก่ ข้าว ลำไย เห็ดหลินจือ และมะเขือเทศ ผลิตและจัดจำหน่ายภายใต้แบรนด์ khonmuang (ฅนเมือง) โดยเฉพาะมะเขือเทศนำไปอบแห้งขายแล้วก็ยังมีผลผลิตอีกเป็นจำนวนมากในท้องถิ่นของตน จึงมองหาช่องทางที่จะจัดการกับมะเขือเทศที่มีอยู่ในพื้นที่

จากกระแสความนิยมบริโภคมะเขือเทศเพื่อบำรุงผิวพรรณให้เปล่งปลั่ง ยังคงเป็นกระแสนิยมที่ไม่เคยตกยุค คุณสมพรจึงโยงมะเขือเทศที่มีอยู่ในท้องถิ่นเข้ากับกระแสรักสุขภาพ ด้วยการนำมาแปรรูปเป็นมะเขือเทศผง บรรจุในซองที่พกสะดวกและง่ายต่อการชงดื่ม ซึ่งต่อมา กลายเป็นจุดขายสำคัญ แค่ฉีกแล้วชงกับน้ำก็สามารถดื่มน้ำมะเขือเทศได้ทุกที่ทุกเวลา

จุดเด่นของผลิตภัณฑ์คือ ผลิตจากมะเขือเทศ 100 เปอร์เซ็นต์ สะดวกต่อการทานและพกพา สามารถเก็บไว้ได้นานกว่าน้ำมะเขือเทศสด โดยที่ยังคงรสชาติของน้ำมะเขือเทศ และคงคุณค่าด้านโภชนาการ ซึ่งอุดมด้วยไลโคปีนที่ช่วยต้านอนุมูลอิสระ

เดิมผลิตแค่มะเขือเทศอบแห้งบรรจุในถุงพลาสติก หลังจากได้รับการสนับสนุนและพัฒนาผลิตภัณฑ์จากศูนย์ส่งเสริมอุตสาหกรรมภาคที่ 1 กรมส่งเสริมอุตสาหกรรม จึงตัดสินใจแปรรูปมะเขือเทศเป็นชนิดผงพร้อมชง ซึ่งช่วยยืดอายุการทานได้นานมากขึ้น บรรจุในถุงอะลูมิเนียมที่ปิดสนิทเพื่อป้องกันความชื้น มีขนาด 10 กรัม ต่อ 1 ซอง และบรรจุในกล่องกระดาษที่มีมาตรฐาน และใช้สื่อสารสินค้ากับผู้บริโภค

หากสนใจ มะเขือเทศผง พร้อมชงดื่ม ติดต่อได้ที่ วิสาหกิจชุมชนกลุ่มแปรรูปผลผลิตทางการเกษตรบ้านวังธารทอง เลขที่ 53/183 ม.22 ตำบลดอยหล่อ อำเภอดอยหล่อ จังหวัดเชียงใหม่ 50160 โทรศัพท์ (081) 961-1232, (081) 208-8891

หนุ่มหัวใจศิลป์ เปิดร้านเล็กๆ ขายขนมปังหมักยีสต์ธรรมชาติ

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือเส้นทางเศรษฐี

http://info.matichon.co.th/rich/rich.php?srctag=0750150959&srcday=2016-09-15&search=no

วันที่ 15 กันยายน พ.ศ. 2559 ปีที่ 22 ฉบับที่ 405

อาหารสร้างอาชีพ

หนุ่มหัวใจศิลป์ เปิดร้านเล็กๆ ขายขนมปังหมักยีสต์ธรรมชาติ

แม้จะชื่นชอบกินขนมปังมากแค่ไหน แต่เมื่อได้ลงมือทำ ดูจะไม่ใช่เรื่องง่าย แต่เพราะความมุ่งมั่นตั้งใจ ส่งผลให้เขาคนนี้ คุณดนตรี ศิริบรรจงศักดิ์ หรือ คุณมาย หนุ่มวัย 27 ปี กล้าทำทิ้ง แล้วลองใหม่ จนกลายเป็นขนมปังหมักยีสต์ธรรมชาติ คุณภาพดี และมีเสน่ห์ในความเป็นโฮมเมด

ลงมือทำขนมปัง

ยาก แต่ไม่ยอมแพ้

คุณมาย เล่าถึงความใฝ่ฝันต้องการสร้างธุรกิจเป็นของตนเอง และความฝันนั้นก็ถูกลงมือทำ ในวันที่เขามีเงินทุนในกระเป๋าก้อนแรกราว 30,000 บาท

“ผมเคยทำงานประจำมาก่อน แต่ว่าทำแค่ไม่กี่เดือน ก็ตัดสินใจว่าอยากทำขนมปังขาย ซึ่งตอนนั้นปรึกษากับแฟน (คุณน้ำฝน อุดมเลิศลักษณ์) ซึ่งเขาเรียนจบด้านศิลปะมาเหมือนกัน และเคยไปศึกษาต่อที่อัมสเตอร์ดัม ซึ่งเขาก็ได้เห็นวิถีชีวิตของคนที่นั่นจะชอบทานขนมปังกัน จึงมีร้านเปิดมากมาย หาซื้อได้ง่าย แต่ว่าที่บ้านเราไม่มีขนาดนั้น ก็เลยว่าลงมือทำเองน่าจะได้คุณภาพตามต้องการ จึงร่วมกันคิดสูตรและลงมือผลิต”

ความรู้ด้านทำขนมปังไม่เคยมีมาก่อน แต่ก็ขวนขวายศึกษา ซึ่งคุณมายตั้งเป้าทำขนมปังหมักยีสต์ธรรมชาติ และแน่นอนว่าไม่ใช่เรื่องง่ายกับความสำเร็จ

“ผมก็เพิ่งมารู้ว่าขนมปังทำยากมาก รายละเอียดเยอะ เพราะเป็นขนมปังหมักยีสต์ธรรมชาติ ไม่ใส่สารปรุงแต่งรส ไม่ใช้วัตถุกันเสีย ต้องสังเกต ดูรูปลักษณ์ภายนอก ดมกลิ่น ดูสี และอุณหภูมิสำคัญมาก ร้อน หนาว ฝน มีผลต่อการผลิตทั้งหมด เพราะเราทำอยู่ในบ้าน ไม่ได้อยู่ในรูปแบบโรงงานอุตสาหกรรม ต้องใช้เวลาลองผิดลองถูก ปรับสูตรแก้ไขไปเรื่อยๆ เรียกว่าทำทิ้งไปเยอะมาก กว่าจะลงตัวยาวนานถึง 1 ปี

เมื่อสูตรลงตัว จึงตัดสินใจว่าจะทำขาย แต่ว่าตอนแรกคิดหนักเหมือนกัน เพราะทุนน้อย จะไปหาพื้นที่ตั้งร้านที่ไหน ก็ต้องถือเป็นความโชคดี เพราะมีพี่ที่สนิทคนหนึ่งเขาเปิดร้านอาหาร แต่ว่าจะเปิดดำเนินการช่วงบ่าย ฉะนั้น เวลาว่างตอนเช้า ก่อนที่เขาจะเปิดร้านจึงว่าง พี่เขาจึงให้เช่าเปิดหน้าร้านในราคาถูกมาก”

แตกต่างด้วยโทสต์

คนรักสุขภาพชื่นชอบ

เมื่อได้พื้นที่ บริเวณถนนนิมมานเหมินทร์ จังหวัดเชียงใหม่ ร้าน “Flour Flour” พร้อมเปิดดำเนินการ ต้อนรับลูกค้าทั้งคนในพื้นที่และนักท่องเที่ยว โดยเฉพาะกลุ่มคนรักสุขภาพ ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นผู้หญิง

สำหรับสูตรขนมปังหลักของ Flour Flour มี 3 แบบ ได้แก่ Black Sticky Rice, Bamboo Charcoal และ Matcha Cranberry จากนั้นค่อยๆ ขยับขยายเมนูเพิ่ม โดยความโดดเด่นที่เรียกลูกค้าได้ดีคือ โทสต์ สำหรับทาขนมปังและทำไส้ ล้วนลงมือปรุงรสชาติเองทุกชนิด โดยโทสต์ที่ได้รับความนิยม Peanut butter กับ Almond butter กับราคาขายกำหนดไว้ เมนูเริ่มต้นประมาณ 50 กว่าบาทขึ้นไป

เครื่องดื่มควรมีบรรจุไว้เสิร์ฟควบคู่กับขนมปัง ซึ่งคุณมาย กล่าวว่า ได้เพื่อนร่วมทางที่มีความสามารถด้านการทำกาแฟดริปเข้าร่วมเปิดให้บริการ ซึ่งนอกจากกาแฟดริปที่ใช้เมล็ดกาแฟจากภาคเหนือ อาทิ เชียงใหม่ เชียงราย แพร่ แล้ว ยังมีชา และน้ำผลไม้ ไว้บริการ

“ถ้าทำขนมปังไปขายตามตลาด หน้าตาขนมปังของเราก็ไม่แตกต่างจากทั่วไป แต่พอได้มาทำร้าน ได้ขายเอง ก็มีโอกาสอธิบายให้ลูกค้าเห็นถึงความแตกต่าง ได้เห็นถึงความตั้งใจและกรรมวิธีทำของเรา และเมื่อลูกค้าชิมก็จะรู้ถึงรสชาติ การบอกต่อก็จะเกิดตามมา อย่างในช่วงไฮซีซั่น (ประมาณเดือนตุลาคม-กุมภาพันธ์) กลุ่มนักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและต่างชาติเดินทางเข้ามาอุดหนุน ทำให้มีรายได้วันละประมาณ 3,000 บาท แต่หลังฤดูท่องเที่ยวผ่านพ้น ลูกค้าในพื้นที่ก็แวะเวียนเข้ามา แม้ยอดขายจะตกมาอยู่ที่วันละประมาณ 1,000-1,500 บาท แต่ว่าเราพึงพอใจกับการเปิดขายในช่วงเวลาสั้นๆ ส่วนกำไรก็ราวๆ 50 เปอร์เซ็นต์”

เติมความเป็นไทย

ใส่ดอกไม้ แป้งข้าว

นอกจากลูกค้ามาทานที่ร้านแล้ว ยังมีกลุ่มลูกค้าต้องการซื้อขนมปังปอนด์ ทั้งที่นำไปทานเอง และนำไปขายอีกต่อหนึ่ง โดยราคาขายกำหนดไว้ปอนด์ละ 95-130 บาท

แม้จะผลิตขนมปัง ซึ่งจะว่าไปแล้วคืออาหารฝรั่ง แต่ทว่า คุณมายต้องการผสานความเป็นไทย โดยวางแผนนำแป้งข้าวของไทย ร่วมผสม แต่งรสชาติด้วยดอกไม้ อย่าง อัญชัน โสน

กับการก้าวเข้ามาสู่เส้นทางสายธุรกิจส่วนตัว คุณมาย มองว่า สิ่งที่ทำอยู่นี้ถือว่าถูกทาง และจากจุดเริ่มต้นกับการลงทุน 30,000 บาท ใช้เตาอบที่มีกำลังผลิตเพียงแค่ครั้งละ 2-3 ก้อน จนกระทั่งขยับขยายซื้อเตาที่มีกำลังผลิตได้ 6-7 ก้อน กับเงินลงทุนโดยรวมประมาณ 100,000 บาท แต่การเติบโตเพียงเท่านี้ ยังไม่ใช่จุดหมายปลายทาง

“ปัจจุบัน จะทำขนมปังและโทสต์มาจากบ้าน เพราะที่ร้านไม่มีครัวร้อน พื้นที่เล็ก เราจึงวาดฝันว่า วันหนึ่งจะหาหน้าร้านที่สามารถให้ลูกค้าเห็นกรรมวิธีผลิตขนมปัง สร้างเสน่ห์และถือเป็นจุดขายให้กับ Flour Flour” คุณมาย กล่าวทิ้งท้าย

สนใจติดต่อ “Flour Flour” เดินทางไปได้ที่ Minimeal eatery studio นิมมานเหมินทร์ 13 จังหวัดเชียงใหม่ โทรศัพท์ (084) 170-7846 หรือ http://www.facebook.com/flourflourbread

“จิ้มจุ่มหม้อเบ้อเร่อ” ของคนจบ ป.6 เคยติดคุก กลับตัว คิดใหม่ 1 ปีขยาย 88 สาขา เป็นเศรษฐีเงินล้าน

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือเส้นทางเศรษฐี

http://info.matichon.co.th/rich/rich.php?srctag=0752150959&srcday=2016-09-15&search=no

วันที่ 15 กันยายน พ.ศ. 2559 ปีที่ 22 ฉบับที่ 405

อาหารสร้างอาชีพ

วัชรี ภูรักษา

“จิ้มจุ่มหม้อเบ้อเร่อ” ของคนจบ ป.6 เคยติดคุก กลับตัว คิดใหม่ 1 ปีขยาย 88 สาขา เป็นเศรษฐีเงินล้าน

ครอบครัวยากจน เติบโตในสลัม ใช้ชีวิตมาแทบจะทุกรูปแบบ ผ่านประสบการณ์ในชีวิตทั้งเรื่องดี และเรื่องร้ายมาไม่น้อย อาจเรียกโชกโชนก็ว่าได้ แต่การให้โอกาสตัวเองได้พิสูจน์ตัวตน และพร้อมจะแก้ไข พร้อมที่จะเปลี่ยนแปลงความคิดเพื่อพลิกให้ชีวิตเปลี่ยน จนได้กลายเป็น “ไอดอลเงินล้าน” ทำได้ไม่ยากอย่างที่คิด

เป็นอีกหนึ่งเรื่องราวตัวอย่างสร้างแรงบันดาลใจให้สำหรับคนฮึดสู้และลุกขึ้นมาท้าทายชีวิตในการปรับทัศนคติและวิธีการทำงาน ทำธุรกิจได้ดีไม่น้อย เพราะผู้ชายคนนี้สามารถทำธุรกิจให้สำเร็จได้จริงมาแล้ว

คุณสิริทัศน์ สมเสงี่ยม หรือ คุณติ๊ก เจ้าของธุรกิจจิ้มจุ่มหม้อเบ้อเร่อ ที่ตอนนี้มีสาขาจิ้มจุ่ม เผยให้ชาวประชาได้เห็นและสัมผัสแล้วกว่า 88 สาขา ในระยะเวลาเพียง 1 ปี จนได้รับสมญานามว่า “ไอดอลเงินล้าน” ทั้งยังได้กลายเป็นนักเขียนและวิทยากรเนื้อหอม ที่มีหน่วยงานต่างๆ ติดต่อเข้ามาเพื่อขอให้พูดถึงแนวทางอาชีพ แนวคิดชีวิตและการสร้างแรงบันดาลใจให้กับคนอื่นๆ ว่าสามารถก้าวมาถึงวันนี้ได้อย่างไรอีกด้วย

จบ ป.6 โตในสลัม เคยติดคุก

ทำมากว่า 30 อาชีพ แต่ก็เจ๊ง

คุณติ๊ก เล่าความเดิมชีวิตเมื่อก่อนให้ฟังว่า “ผมโตในสลัม เป็นคนจังหวัดนครราชสีมา ครอบครัวยากจน เคยลักขโมย เคยเป็นแมงดาในผับ ติดคุกตอนอายุ 17 ปี เป็นคุกเยาวชน ซึ่งทำให้รู้สึกว่าชีวิตตอนนั้นขาดอิสรภาพมาก ที่สุดของชีวิตคือการได้นอนไม้กระดาน หลังจากนั้นจึงคิดใหม่ กลับเนื้อกลับตัว เพราะเข็ด

เมื่อออกมาจากคุก ก็หางานทำ นับเวลาเกือบ 20 กว่าปีมาแล้ว มายึดอาชีพกรรมกร รับจ้างเป็นคนแล่เนื้อหมู รายได้ตอนนั้น 600-700 บาท ซึ่งสำหรับเวลาในตอนนั้นถือว่าเป็นงานที่ได้เงินดีมากๆ เพราะเป็นอาชีพเฉพาะ ไม่ใช่ใครก็จะทำได้ การแล่เนื้อต้องมีฝีมือพอตัว

พอแล่หมู เก็บเงินได้สักพัก ก็อยากหาธุรกิจเป็นของตัวเอง จึงลาออกแล้วมาเปิดร้านขายของ แต่ร้านก็เจ๊ง ก็กลับไปทำอาชีพแล่หมูใหม่ แล้วเก็บเงินไปเปิดร้าน เจ๊ง ก็ต้องกลับมาแล่หมูใหม่ เก็บเงิน แล้วก็เปิดร้าน เจ๊งก็กลับไปใหม่ วนเวียนอยู่แบบนี้เป็น 10 ปี มีอาชีพมาไม่ต่ำกว่า 20-30 อาชีพ จนตอนนั้นได้ฉายาจากคนอื่นๆ ว่า “ติ๊กร้อยร้านค้า” เพราะเปิดร้าน ปิดร้านไปเยอะมาก ยกตัวอย่างร้านได้เช่น ขายก๋วยเตี๋ยว น้ำปั่น เสื้อผ้า กระเป๋ามือสอง เป็นต้น

เจ๊งจนท้อ จนไม่กล้าสู้ต่อ เพราะเบื่อกับวิถีชีวิตแบบเดิมแล้ว จึงกลับมาคิดใหม่ ต่อจากนี้จะไม่ออกจากงานประจำที่แผงหมู แล้วจะทำธุรกิจเล็กๆ ที่ทำหลังเลิกงานได้ จึงได้มาขายลูกชิ้นทอด หาทำเลหน้าเซเว่นฯ แถวบ้าน ชีวิตหลักๆ ตอนนั้นคือ เริ่มทำงานประจำเวลา 22.00-07.00 น. นอนหลังจาก 7 โมงเช้า ตื่นตอนเที่ยง บ่าย 3 โมงเย็นเปิดร้านลูกชิ้น ทำวนแบบนี้ไปเรื่อยๆ จึงมีทั้งรายได้ประจำและรายได้จากการขายลูกชิ้น”

คุณติ๊กเห็นว่าการขายลูกชิ้นมีรายได้ดี จึงคิดอยากขยายร้านขายลูกชิ้นเพิ่ม โดยวิธีการขายลูกชิ้น คือเปิดรับสมัครงาน เพื่อให้คนมาขายของให้ เป็นการขยายสาขาร้านลูกชิ้น พอร้านที่เปิดไปแล้วมีประสบการณ์สามารถขายเองได้ ก็ขยายไปอีกร้าน ขายลูกชิ้นได้กำไรเป็นแสน แต่ท้ายสุดก็เจ๊งอีก รอบนี้เกิดจากการติดการพนัน

ช่วงฟองสบู่แตก ธุรกิจทุกอย่างก็เจ๊ง จึงกลับมาช่วยแม่ขายก๋วยเตี๋ยวที่บ้าน เพราะเห็นว่าอุปกรณ์มีอยู่แล้ว ทำแล้วก็ยังเจ๊งอีก ไปอยู่วงการอาบอบนวด แต่สุดท้ายก็ต้องเลิก เพราะมันไม่มีทางทำให้รวยได้ เคยมีเงินเป็นล้านก็ไม่เหลือ

ร้าน “จิ้มจุ่มหม้อเบ้อเร่อ”

ปรับความคิด ปั้นธุรกิจสำเร็จได้

“ครั้งสุดท้ายที่ทำงานอาบอบนวด คือเมื่อ 5 ปีก่อนจนอิ่มตัว เพราะเดินมาสุดทางแล้ว แล้วก็ไม่รวย มีเงินล้านจากงานอาบอบนวดมาไม่รู้กี่ครั้ง แต่สุดท้ายก็ไม่รวย ไม่มีเงินเหลือ แล้วก็กลับมาขายลูกชิ้น ก๋วยเตี๋ยวเหมือนเดิม ก็เจ๊งไป

และล่าสุด มาขายข้าวมันไก่ สูญเงินไปเป็นแสน มาเปิดร้านนม เพราะที่โคราชเห็นว่าร้านนมคนนิยม ก็เจ๊งอยู่ดี จนกระทั่งสุดท้าย กลับมานั่งคุยกับแฟน บอกกับเขาว่า อยากกลับไปทำร้านจิ้มจุ่ม เพราะเมื่อก่อนเคยเปิด ซึ่งเปิดถึง 2 ครั้ง แต่ 2 ครั้งนั้นก็เจ๊ง พอคุยกันว่าเรามาทำร้านจิ้มจุ่มกันไหม เปลี่ยนตึกร้านนมที่ยังไม่หมดสัญญาเช่า มาทำร้านจิ้มจุ่ม” คุณติ๊ก เล่าให้ฟังถึงเหตุการณ์จุดเปลี่ยน

ปัจจุบันนี้เปิดร้านจิ้มจุ่มมาได้ 1 ปี โดยใช้ชื่อว่า “จิ้มจุ่มหม้อเบ้อเร่อ” โดยคุณติ๊ก บอกว่า “ระยะเวลา 1 ปีที่ผ่านมา สามารถขยายสาขา ขายแฟรนไชส์ร้านจิ้มจุ่มมาได้ขนาดนี้ เพราะชื่อที่ใช้มันขายได้ ผลิตภัณฑ์ที่ขายก็สามารถขายตัวมันเองได้

ประสบความสำเร็จได้เพราะตัวผลิตภัณฑ์ที่มีความว้าว ความใหญ่ และได้เยอะ มีโปรโมชั่นให้ลูกค้าได้ร่วมเล่นเกม ร่วมสนุก ตอนนี้ในกรุงเทพฯ มีสาขาที่ซื้อแฟรนไชส์ไปทำร้านอยู่ประมาณ 12-13 สาขา ซึ่งแต่ละสาขาที่ขายแฟรนไชส์ไป ก็ขายดี ได้ผลตอบรับที่ดี”

ส่วนตัวคุณติ๊ก มองชีวิต 20 ปีที่ผ่านมาว่า “คนเราจะประสบความสำเร็จได้เพราะตัวเราไม่เคยยอมแพ้ ไม่คิดจะยอมแพ้ต่ออะไร ไม่เชื่อเรื่องดวง สิ่งที่คิดอย่างเดียวคือ ผมจะต้องประสบความสำเร็จให้ได้ ทุกวันนี้ มองตัวเราเองว่าประสบความสำเร็จ 50 เปอร์เซ็นต์ของชีวิต และตั้งเป้าหมายในใจไว้ว่าอยากมีเงินร้อยล้านให้ได้ภายในระยะเวลา 3 ปีข้างหน้า”

ส่วนธุรกิจจิ้มจุ่มหม้อเบ้อเร่อในขณะนี้ ประสบความสำเร็จได้เพราะมีเคล็ดลับคือ 1. เริ่มต้นทำธุรกิจด้วยการไม่เอาเปรียบลูกค้า ไม่เอาเปรียบคนที่มาซื้อแฟรนไชส์ของเราไปทำ เมื่อคนทำธุรกิจได้เงิน ลูกค้าได้รับความสุข คุ้มค่า 2. คือทำธุรกิจทุกอย่างในชีวิตในระยะเวลา 3-4 ปีมานี้ เพราะผมทำทุกอย่างให้แตกต่างจากคนอื่น 3. ทำทุกอย่างให้ดีกว่าคนอื่น และทำให้ได้ในราคาที่เท่าคนอื่น คิดได้แบบนี้ขายอะไรก็รวย คุณติ๊ก กล่าวทิ้งท้าย

สำหรับใครที่สนใจธุรกิจจิ้มจุ่มหม้อเบ้อเร่อ สามารถเข้าไปสอบถามรายละเอียดได้ที่เฟซบุ๊กเพจ จิ้มจุ่มหม้อเบ้อเร่อ สาขาต้นแบบ หรือ โทรศัพท์ (087) 946-1155

ประมวลบรรยากาศตลาดรถยนต์ครึ่งปีหลัง

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือเส้นทางเศรษฐี

http://info.matichon.co.th/rich/rich.php?srctag=0780150959&srcday=2016-09-15&search=no

วันที่ 15 กันยายน พ.ศ. 2559 ปีที่ 22 ฉบับที่ 405

ทำมาหากินกับรถยนต์

นายภู http://www.facebook.com/RooRod

ประมวลบรรยากาศตลาดรถยนต์ครึ่งปีหลัง

เป็นอีกช่วงหนึ่งที่มีความสำคัญสำหรับอุตสาหกรรมรถยนต์ เป็นช่วงเวลาที่บริษัทรถยนต์ต้องประเมินผลประกอบการในช่วงครึ่งปีแรก พร้อมกับวางแผนทำการตลาดในช่วงครึ่งปีหลัง

แม้ว่าสภาวะเศรษฐกิจอาจจะยังไม่สู้ดีนัก แต่ข้อมูลจากบริษัทรถยนต์ต่างเป็นไปในทิศทางเดียวกันคือ ตัวเลขยอดขายในช่วงครึ่งปีแรกอยู่ในเกณฑ์ที่น่าพอใจ แม้ว่าจะไม่ได้หวือหวานัก แต่ก็ถือว่าประคับประคองไปได้ และคาดว่าในช่วงครึ่งปีหลังจะยังคงรักษาสถานะได้อย่างต่อเนื่อง โดยคาดหวังว่าอาจมีทิศทางที่ดีขึ้นเนื่องจากใกล้จะครบกำหนดเงื่อนไขของผู้ที่ซื้อรถยนต์คันแรกแล้ว แนวโน้มการเปลี่ยนรถหรือการซื้อรถคันใหม่อาจจะเพิ่มมากขึ้น

Big MOTOR SALE 2016 จบสวย ยอดขายสะพัดตามเป้า

ดัชนีชี้วัดหนึ่งที่สามารถใช้อ้างอิงทิศทางและกระแสของตลาดรถยนต์ในช่วงนี้ได้คือ งานแสดงรถยนต์เพื่อขาย Bangkok International Grand Motor Sale 2016 หรือ Big MOTOR SALE 2016 ที่เพิ่งผ่านพ้นไปเมื่อวันที่ 28 สิงหาคมที่ผ่านมา

งาน Big MOTOR SALE ในครั้งนี้ถือว่าประสบความสำเร็จไปได้ด้วยดีตามที่ผู้จัดงานคาดหวังและประกาศเป้าหมายไว้ในตอนแรกคือ คาดว่ารถยนต์จะทำยอดขายได้กว่า 20,000 คัน และรถจักรยานยนต์โดยเฉพาะในส่วนของ Big Bike คาดว่าจะทำยอดขายได้กว่า 4,000 คัน โดยทั้ง 2 ส่วน รถยนต์และ Big Bike สามารถทำยอดขายได้ตามที่วางไว้ แม้ว่าจำนวนผู้เข้าชมงานตลอด 9 วัน จะลดลงจากเดิมก็ตาม โดยมียอดผู้เข้าชมงานตั้งแต่วันที่ 20-28 สิงหาคมอยู่ที่ 1.24 ล้านคน

ภายในงานมียนตรกรรมจากบริษัทรถยนต์และรถจักรยานยนต์อย่างพร้อมหน้าพร้อมตา ที่สำคัญคือ งานในครั้งนี้ทั้งรถยนต์และ Big Bike มีการเปิดตัวรถรุ่นใหม่ภายในงานกว่า 40 รุ่น เป็นไฮไลต์หนึ่งที่ช่วยสร้างสีสันและดึงดูดให้ผู้คนเข้าชมงาน ทางด้านรถยนต์กระแสของรถยนต์อเนกประสงค์ยังคงได้รับความสนใจอย่างต่อเนื่อง หนึ่งในรุ่นที่ได้รับความสนใจอย่างมากคือ All New SIENTA รถยนต์อเนกประสงค์แบบ Compact MPV รุ่นใหม่ล่าสุด นอกจากเป็นรถที่ตอบโจทย์ความต้องการของผู้ใช้รถยนต์ในขณะนี้แล้ว โตโยต้ายังตั้งราคาของ All New SIENTA เอาไว้ในระดับที่ไม่สูงจนเกินไปด้วย เรียกว่าอยู่ในเกณฑ์ที่ถูกอกถูกใจผู้ใช้รถไม่น้อย

เศรษฐกิจอาจจะไม่ดี แต่คนมีรถก็ยังคงต้องจ่าย

แม้ภาพรวมของเศรษฐกิจอาจดูเหมือนว่าไม่ค่อยจะดีนัก ซึ่งแน่นอนว่าต้องกระทบถึงธุรกิจเกี่ยวกับรถยนต์ด้วย แต่หากมองในอีกมุมหนึ่งการทำมาหากินเกี่ยวกับรถยนต์ก็อาจไม่ได้แย่ไปเสียทั้งหมด อย่างไรเสียแล้วในการใช้รถยนต์ผู้ใช้รถก็ยังคงต้องจ่ายในสิ่งที่จะต้องจ่าย โดยแบ่งการจ่ายออกได้เป็น 2 กรณีคือ…

– ค่าใช้จ่ายที่จำเป็น ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของค่าประกันภัยรถยนต์ ค่าซ่อมบำรุงตามระยะ เปลี่ยนถ่ายน้ำมันเครื่อง น้ำมันเกียร์ ไส้กรอง หรือค่าซ่อมบำรุงรักษาทั่วไป

– ค่าใช้จ่ายที่พึงพอใจ เป็นเรื่องของการตกแต่งโมดิฟายตลอดจนการติดตั้งอุปกรณ์เสริมต่างๆ มีทั้งการติดตั้งชุดแต่งเพื่อความสวยงาม การเปลี่ยนล้อและยาง ไปจนถึงกับปรับแต่งเพิ่มสมรรถนะ

กลุ่มผู้ใช้รถที่นิยมการปรับแต่งรถยนต์ในด้านต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นการตกแต่งเพื่อความสวยงามเท่านั้น หรือการปรับแต่งเพื่อเพิ่มสมรรถนะถือว่าเป็นกลุ่มเป้าหมายที่น่าสนใจสำหรับผู้ที่ทำธุรกิจเกี่ยวกับรถยนต์อยู่แล้วหรือกำลังมองหาโอกาสในการทำธุรกิจทางด้านนี้

Big Bike กระแสการปรับแต่งไม่แพ้รถยนต์

ทางด้าน Big Bike ก็เช่นกัน ในขณะที่กระแสการใช้รถจักรยานยนต์ขนาดใหญ่อย่าง Big Bike เติบโตขึ้น กระแสการปรับแต่งก็เติบโตคู่ขนาดไปด้วยเช่นกัน โดยมีกระแสและทิศทางความต้องการไม่แพ้การปรับแต่งรถยนต์เลยทีเดียว

มีทั้งการตกแต่งเพื่อความสวยงาม อุปกรณ์เสริมต่างๆ ทั้งของรถยนต์และของผู้ขับขี่เอง ไปจนถึงการปรับแต่งเพิ่มสมรรถนะ โดยในขณะนี้แม้แต่เรื่องของการปรับจูนหรือติดตั้งกล่องแต่งใน Big Bike ก็ไม่ต่างอะไรจากในรถยนต์เลย ซึ่งรถ Big Bike รุ่นใหม่ๆ ต่างก็เป็นระบบหัวฉีดและมีคอมพิวเตอร์ควบคุมการทำงาน

ดังนั้น แม้ว่าสภาวะเศรษฐกิจเป็นอย่างไร ถ้าไม่ได้ถึงกับแย่เสียทีเดียว การทำมาหากินเกี่ยวกับรถยนต์ก็ยังคงมีโอกาสอยู่ ขอเพียงมองให้ออกว่าผู้ใช้รถยนต์หรือรถจักรยานยนต์ต้องการอะไร ที่สำคัญมาตรฐานในการให้บริการและคุณภาพในเรื่องของฝีไม้ลายมือต้องดีจริงๆ อย่างไรเสียก็มีรถให้ทำอย่างแน่นอนทั้งรถใหม่และรถเก่าที่มีวิ่งอยู่เต็มถนน

อุตสา “ฮา” กรรม “อารมณ์ขัน” ทำเงินได้ (มหาศาล)

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือเส้นทางเศรษฐี

http://info.matichon.co.th/rich/rich.php?srctag=0718150859&srcday=2016-08-15&search=no

วันที่ 15 สิงหาคม พ.ศ. 2559 ปีที่ 22 ฉบับที่ 403

เสริมไอเดีย

อุตสา “ฮา” กรรม “อารมณ์ขัน” ทำเงินได้ (มหาศาล)

“Mr.P โคมไฟทะลึ่งตึงตังแต่ไม่ลามก แบรนด์ดังอย่าง “พร็อพพาแกนดา” นับเป็นกรณีศึกษาน่าสนใจ ที่อารมณ์ขันติดเรตสไตล์ไทย สามารถส่งออก เรียกยิ้มจากทั่วโลกและทำเงินได้มายาวนานกว่า 14 ปีแล้ว”

อุตสา “ฮา” กรรม : ผลิตขำ ทำเงิน คือหัวข้อนิทรรศการอารมณ์ดี ที่จัดขึ้นโดยความร่วมมือระหว่าง ศูนย์สร้างสรรค์งานออกแบบ หรือ TCDC และสำนักพิมพ์บรรลือสาส์น เจ้าของผลงานการ์ตูนสุดคลาสสิก “ขายหัวเราะ” โดยมีความตั้งใจนำพาผู้ชมไปสำรวจและทำความรู้จักกับ “อารมณ์ขัน” ในฐานะเครื่องมือทางความคิดอันสำคัญยิ่งของมนุษยชาติ ที่นอกจากใช้เพื่อเสริมสร้างสมดุลสุขภาวะจิตที่ดีแล้ว อารมณ์ขันยังถูกใช้เชื่อมโยงผู้คนเข้าด้วยกันเพื่อผลิตเสียงหัวเราะ เพื่อสร้างความสุขและความบันเทิงในหลากหลายรูปแบบ

กระทั่งเป็นเครื่องมือเพื่อนำไปใช้ทำธุรกิจ สื่อสารและสร้างสรรค์แนวความคิด สินค้า หรือบริการต่างๆ อีกมากมาย ที่ช่วยขับเคลื่อนเศรษฐกิจและสังคมไปข้างหน้า

นิทรรศการ อุตสา “ฮา” กรรม : ผลิตขำ ทำเงิน แบ่งเนื้อหาในการนำเสนอ ออกเป็น 3 โซนหลัก ได้แก่ โซนที่ 1 “มากกว่าเสียงหัวเราะ” โซนที่ 2 “เปลี่ยนขำให้ขับเคลื่อนโลก” และ โซนที่ 3 “พลังขำ เปลี่ยนโลก”

สำหรับเนื้อหาแต่ละโซนนั้น ล้วนมีความน่าสนใจ “เส้นทางเศรษฐี” ขอยกตัวอย่างมาให้ชมกันแบบขำๆ แต่ได้สาระจริงจังไม่น้อยเลยทีเดียว

เมื่อตลกกลายเป็นไอคอน

ทุกวันนี้ นักแสดงตลกทั้งเดี่ยวหรือกลุ่ม นับได้ว่าเป็นผู้ทรงอิทธิพล เมื่อความตลกทุกแบบกลายเป็นแบรนด์ที่ขายได้ นักแสดงตลกก็เท่ากับซุปเปอร์สตาร์ผู้เป็นเหมือนตัวแทนอารมณ์ขันนั้นๆ ที่ผู้ชมชื่นชมและชื่นชอบ รวมถึงติดตามไม่ว่าจะทำอะไร ที่ไหน และอย่างไร ไล่ไปตั้งแต่คณะตลกประจำเกมโชว์ ชิงร้อยชิงล้าน อย่าง หม่ำ เท่ง โหน่ง และตลกหญิงจอมขโมยซีนชื่อดังอย่าง ตุ๊กกี้ ตลกขายความเป็นกันเองแบบ โก๊ะตี๋ ตลกคาเฟ่รุ่นใหม่มุขแพรวพราว อย่าง แจ๊ส ชวนชื่น หรือจะขายความเฮฮาร่าเริงก็มี อย่าง พิธีกรสาว โอปอล์ และตลกเดี่ยวผู้โด่งดังอย่าง โน้ส-อุดม แต้พานิช

หัวเราะหลักล้าน

การใช้อารมณ์ขันยังปรากฏบนจอเงิน การลงทุนทางความคิดเพื่อสร้างสรรค์ความขำขันสู่ผู้ชม พิสูจน์ว่าขายได้ เมื่อภาพยนตร์ที่ทำรายได้สูงสุดในประเทศไทย 10 อันดับแรก เป็นภาพยนตร์มีเสียงหัวเราะไม่ว่าจะมากหรือน้อยเป็นส่วนประกอบอยู่ถึง 4 เรื่องด้วยกัน ทั้งหนังผีน่ากลัวด้วยตลกด้วย อย่าง พี่มาก..พระโขนง (พ.ศ. 2556) ครองอันดับ 1 กับรายได้หลักพันล้านบาท หนังตลกอารมณ์ดี ไอฟาย..แต๊งกิ้ว..เลิฟยู้ (พ.ศ. 2557) ที่อันดับ 2 กวาดเงินไปกว่า 330 ล้านบาท กระทั่งหนังฮาป่วนอย่าง ATM เออรัก..เออเร่อ (พ.ศ. 2555) อยู่อันดับ 9 ด้วยรายได้ 152 ล้านบาท และล่าสุดกับหนังยิงมุขรัวๆ อย่าง หลวงพี่แจ๊ส 4G (2559) ที่รั้งอันดับ 10 กับยอดรายได้ 151 ล้านบาท

ส่งขำไทย ออกไปขำนอก

Mr.P โคมไฟทะลึ่งตึงตังแต่ไม่ลามก แบรนด์ดังอย่าง “พร็อพพาแกนดา” นับเป็นกรณีศึกษาน่าสนใจ ที่อารมณ์ขันติดเรตสไตล์ไทย สามารถส่งออก เรียกยิ้มจากทั่วโลกและทำเงินได้มายาวนานกว่า 14 ปีแล้ว โดย คุณชัยยุทธ์ พลายเพ็ชร นักออกแบบ เผยถึงที่มาไว้ว่า ตอนที่ทำโคมไฟเรายังไม่รู้ว่าหน้าตามันควรเป็นทิศทางไหน มันก้ำกึ่งระหว่างลามกจกเปรตเรื่องเพศสกปรก ก็ถามว่าคิดถูกแล้วเหรอที่เอาเรื่องนี้มาเล่น แต่ได้คำตอบมาว่าเล่นได้นะ เพราะอวัยวะเพศชายมันไม่ใช่แค่สืบพันธุ์อย่างเดียว มันมีความหมายมากกว่านั้น

ปรับตัวได้ ก็อยู่ได้ยาว

นอกเหนือจากการเข้าใจวิธีใช้งานอารมณ์ขัน การรู้จักปรับตัวให้เข้ากับยุคสมัยอยู่เสมอ ยังเป็นหัวใจสำคัญที่จะทำให้ธุรกิจขายขำอยู่ได้ยาวนานและยั่งยืน เช่นเดียวกับ “ขายหัวเราะ” การ์ตูนยอดฮิตของบรรลือสาส์น ที่ปรับเปลี่ยนตัวเองมาตลอด 43 ปี ผ่านการรู้จักหยิบยกสิ่งรอบตัวมาผลิตแก๊กอย่างไม่เคยหยุดนิ่ง การต่อยอดมุมมองของนักเขียนจากรุ่นสู่รุ่น การแตกขยายรูปแบบจากหนังสือไปสู่พื้นที่อื่นๆ ไม่ว่าจะเป็นโทรทัศน์ เเท็บเลต สมาร์ตโฟน ตามพฤติกรรมของผู้บริโภค และการเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยี ทำให้ “ขายหัวเราะ” ครองใจนักอ่านได้ทุกเพศทุกวัย

แปะไปให้หายเครียด

แม้จะเป็นการสื่อสารทางเดียว แต่สติ๊กเกอร์ข้อความท้ายรถของไทยก็สร้างเสียงหัวเราะให้ผู้อ่าน เพราะผู้รับสารสามารถตีความหมายได้รวดเร็ว เข้าใจในบริบทที่ผู้ส่งสารต้องการจะสื่อ สะท้อนข้อความที่สั้นกระชับ มีสัมผัสคล้องจองในภาษาพูดเป็นกันเอง เช่น การใช้คำหยาบ การใช้คำสองแง่สองง่าม การใช้แสลง นอกจากนี้ ตัวอักษรคล้ายลายมือสีสันสดใส รวมถึงการใช้สีดำหรือสีขาวช่วยตัดขอบ ยังเพิ่มความโดดเด่น ดึงดูดสายตา

……………

นิทรรศการ อุตสา “ฮา” กรรม : ผลิตขำ ทำเงิน จัดแสดงระหว่างวันที่ 15 กรกฎาคม-2 ตุลาคม นี้ ที่ TCDC ชั้น 5 ดิ เอ็มโพเรียม (สถานีรถไฟฟ้าพร้อมพงษ์) เวลา 10.30-21.00 น. (ปิดวันจันทร์)

สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ โทรศัพท์ (02) 664-8448 # 213, 214 หรือ http://www.tcdc.or.th

หนึ่งเดียวในโลก “MyShoes Cabinet” ชูนวัตกรรมสลายกลิ่นในตู้รองเท้า

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือเส้นทางเศรษฐี

http://info.matichon.co.th/rich/rich.php?srctag=0722150859&srcday=2016-08-15&search=no

วันที่ 15 สิงหาคม พ.ศ. 2559 ปีที่ 22 ฉบับที่ 403

เรื่องจากปก

อันติกา

หนึ่งเดียวในโลก “MyShoes Cabinet” ชูนวัตกรรมสลายกลิ่นในตู้รองเท้า

“รองเท้ารับบทหนักยิ่งกว่ากระเป๋ามาก เพราะต้องสวมใส่อยู่กับเท้าอาจตลอดทั้งวัน ปัญหาความอับชื้นสูง และแน่นอน สิ่งที่ต้องเจอคือ กลิ่น ต่อให้ราคาแพงขนาดไหน ก็มีกลิ่น เรียกว่า 80 เปอร์เซ็นต์เลย ฉะนั้น จึงคิดถึงตู้เก็บรองเท้าเพื่อช่วยลดปัญหา”

ต่อให้รองเท้าจะมีราคาแพงขนาดไหน ก็หนีไม่พ้นปัญหา “กลิ่น” ซึ่งเกิดจากการสวมใส่

จากปัญหาดังกล่าว จึงเกิดเป็นผลงานอันล้ำด้วยนวัตกรรม+ฟังก์ชั่น กับ “มายชูส์ คาบิเน็ต (MyShoes Cabinet)” ตู้เก็บรองเท้าสลายกลิ่นและแบคทีเรีย ซึ่งคาดว่าจะสามารถกำยอดขายในปีนี้ 15-20 ล้านบาท

ชอบเครื่องหนัง

สังเกตปัญหา

MyShoes Cabinet เกิดโดยผู้เห็นปัญหา นั่นก็คือ ดร.โอ๋-ดร.รณันธร พลชาติ ประธานกรรมการบริหาร บริษัท แบ็ค รีพับลิค (ประเทศไทย) จำกัด เจ้าของแบรนด์ “MyBagSpa Thailand” ธุรกิจดูแลเครื่องหนังกระเป๋ารองเท้าครบวงจร

ความชอบเครื่องหนังประเภทกระเป๋าและรองเท้ามาตั้งแต่ครั้งยังเป็นเด็ก ชอบจนถึงขั้นมองเห็นปัญหาจากการสังเกต เช่น สีซีดจางลง เกิดเชื้อรา รูปทรงไม่คงเดิม กลิ่น จึงต้องการหาวิธีแก้ไข จนกระทั่งเมื่อราว 5 ปีก่อนหน้านี้ ได้เดินทางไปประเทศสิงคโปร์ กระทั่งพบกับแบรนด์ “MyBagSpa” ซึ่งเป็นแบรนด์ให้บริการดูแลเครื่องหนังโดยตรง และครบวงจร

เมื่อเจอคำตอบของการแก้ไขปัญหา ดร.รณันธร ไม่รอช้า ศึกษาข้อมูลแล้วตัดสินใจซื้อแฟรนไชส์กลับมาเปิดดำเนินการในประเทศไทย โดยเลือกเช่าพื้นที่ในศูนย์การค้าเซ็นทรัลเวิลด์

“ในประเทศไทยมีธุรกิจเกี่ยวกับเครื่องหนัง ดูแล ซ่อมบำรุง เยอะ แต่แทบไม่เห็นมีให้บริการดูแลสินค้าแบรนด์เนมจริงๆ ซึ่งพอ MyBagSpa Thailand เปิดให้บริการ จึงตอบสนองกลุ่มคนระดับนี้ ซึ่งมีจำนวนมาก โดยรูปแบบให้บริการตั้งแต่ดูแลทำความสะอาด ราคาเริ่มต้น 500 บาท ทำสี ซึ่งเรามีแล็บวิเคราะห์ค่าสีโดยตรง และซ่อมบำรุง โดยกระบวนการทำงานจะเน้นใช้มือ เพราะคุณภาพคือสิ่งสำคัญ ส่วนราคาที่เคยทำสูงสุด 20,000 บาท ซึ่งสภาพกระเป๋าเสียหายมากเพราะโดนน้ำท่วม แต่ว่าลูกค้าเลือกนำมาทำ เพราะมูลค่ากระเป๋าใบละหลักแสนบาท”

ตู้เก็บกระเป๋า

เอาใจคนรักแบรนด์

อยู่กับธุรกิจนี้มานานหลายปี กอปรกับได้พูดคุยกับลูกค้า แน่นอนว่าแต่ละคนล้วนรักเครื่องหนังของตนเอง และเขาต้องการให้มีอายุการใช้งานยาวนาน

แนวคิดกับการผลิตตู้เก็บสินค้าขึ้นมารองรับจึงเกิดขึ้น โดยจุดเริ่มต้นมองไปที่สินค้ากระเป๋า ซึ่งมักเกิดปัญหา สีซีดจาง ความอับชื้น ทำให้เสียรูปทรงง่าย จึงต้องการผลิตตู้เก็บ สามารถลดปัญหาดังกล่าว

หลังจากได้พบกับ คุณพงษ์พิทักษ์ วงษ์ดีไทย กรรมการบริหารด้านผลิตภัณฑ์และการออกแบบ บริษัท โปรมาร์เก็ตติ้ง แอนด์ โฮมเด็คคอร์ จำกัด ผู้ผลิตจำหน่ายเฟอร์นิเจอร์หรู แบรนด์ “Mc Michael” และเป็นพาร์ตเนอร์ด้านการดีไซน์และพัฒนาผลิตภัณฑ์

“ประสบการณ์ 20 ปีกับการผลิตเฟอร์นิเจอร์ระดับไฮเอนด์ ทำให้ต้องใส่ใจในความพิถีพิถัน ตั้งแต่คัดเลือกวัสดุนำมาใช้ในการผลิตเป็นไม้จริงที่ปลูกในป่าแถบยุโรป คงทน แข็งแรง และมีลายไม้ที่สวยงาม ส่วนการออกแบบก็ต้องใส่ความคลาสสิก เหมาะกับเป็นเฟอร์นิเจอร์แต่งบ้าน มีเอกลักษณ์ เข้ากับนวัตกรรม”

ความแตกต่าง คือสิ่งที่ทั้งสองเห็นตรงกัน ตู้ภายใต้แบรนด์ MyBag Cabinet จึงควรให้ทั้งประโยชน์โดยตรง คือใส่กระเป๋า และเป็นเฟอร์นิเจอร์ชิ้นหรูในบ้าน และสำคัญคือ นวัตกรรมขจัดปัญหาควรต้องมีไว้รองรับ

แต่ก่อนจะพูดคุยถึงนวัตกรรม คงต้องขอทราบไอเดียการออกแบบ MyBag Cabinet

“สิ่งที่เรารู้จากพฤติกรรมของผู้บริโภคคือ เมื่อเขามีสินค้าราคาแพง และเป็นของรัก ก็ย่อมต้องการให้สินค้านั้นอยู่กับเขาไปนานๆ และอีกสิ่งหนึ่งที่เรารับรู้คือ สินค้าที่เขารักเขาก็อยากให้เพื่อนๆ ได้เห็น เราจึงคิดถึงการทำตู้โชว์ใส่กระจก สามารถเป็นหนึ่งในเฟอร์นิเจอร์ในบ้านได้”

วัตถุดิบที่นำมาใช้จึงต้องดูสมคุณค่าเช่นกัน โดยจะเลือกไม้บีชจากป่าปลูกในประเทศทางแถบยุโรป ผ่านกรรมวิธีการผลิตอันชำนาญละเอียดอ่อน

อับชื้นหายไป

ได้ทรง คงทนนาน

ทั้งนี้ MyBag Cabinet ใบหนึ่งสามารถเก็บกระเป๋าได้สูงสุดประมาณ 20 ใบ แต่มีลูกค้ารายหนึ่งเขามีกระเป๋า 100 ใบ บางคนซื้อ 3 ตู้ไปเรียง ซึ่งเราดูความต้องการของลูกค้า แล้วก็ผลิตให้ตามต้องการก็มี เพราะเขาจะไปวัดขนาดห้องมา แล้วก็ส่งให้ทางฝ่ายผลิตทำ ส่วนราคาเริ่มต้นที่ 59,000 บาท ไปจนถึง 65,000 บาท และ 75,000 บาท

ความอับชื้น สีที่ซีดเก่า รูปทรงไม่คงเดิม คือปัญหาของกระเป๋า ลำพังแค่ตู้เก็บอาจไม่ช่วยตอบโจทย์ได้ทุกปัญหา ฉะนั้น หากมีนวัตกรรมรองรับก็จะยิ่งส่งเสริมประสิทธิภาพได้ดีขึ้น

หน้าที่นี้ต้องมอบให้ ดร.วิวัฒน์ วงศ์วราวิภัทร์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท อินสเต็ป จำกัด ผู้พัฒนาเทคโนโลยี เข้ามาให้ความร่วมมือสร้างสรรค์ผลงานเติมเต็มประสิทธิภาพมากขึ้น

“ปัจจุบัน เทคโนโลยีต่างๆ มักถูกสอดแทรกอยู่ในผลิตภัณฑ์ เพื่อสร้างมูลค่าเพิ่มกับสินค้า แต่มากไปกว่านั้นคือ ประโยชน์ใช้สอยมอบให้กับผู้บริโภค และนวัตกรรมต่างๆ เทคโนโลยีต่างๆ ซึ่งสิ่งนี้มีอยู่ในแล็บจำนวนมาก แต่ไม่ได้ถูกนำมาใช้ เพราะนักวิจัยกับผู้ประกอบการไม่มีโอกาสเจอกัน ผมจึงเหมือนคนกลางเชื่อมโยงทั้ง 2 ฝ่ายเข้าหากัน

จากการพูดคุยกับทั้ง 2 ผู้ประกอบการซึ่งสนใจเทคโนโลยีใหม่ๆ ทำให้รับรู้ถึงปัญหา และมองไปในแล็บก็รู้ว่ามีงานวิจัยอะไรออกมา พอยื่นเสนอสิ่งนี้ออกไป จึงได้ตู้เก็บกระเป๋าที่ใส่นวัตกรรมแก้ปัญหาความอับชื้น ยืดอายุการใช้งานของกระเป๋า”

ต่อยอดตู้รองเท้า

กลิ่นหาย ไม่มีฝุ่น

หลังประสบความสำเร็จกับตู้เก็บกระเป๋า การต่อยอดไปสู่ตู้เก็บรองเท้าจึงตามมา ซึ่ง ดร.รณันธร ว่า

“รองเท้ารับบทหนักยิ่งกว่ากระเป๋ามาก เพราะต้องสวมใส่อยู่กับเท้าอาจตลอดทั้งวัน ปัญหาความอับชื้นสูง และแน่นอนสิ่งที่ต้องเจอคือ กลิ่น ซึ่งลูกค้าที่นำรองเท้าเข้ามาให้ MyBagSpa Thailand แก้ไขคือ อับชื้น กลิ่น ต่อให้ราคาแพงขนาดไหน ก็มีกลิ่น เรียกว่า 80 เปอร์เซ็นต์เลย ฉะนั้น จึงคิดถึงตู้เก็บรองเท้าช่วยลดปัญหา ซึ่งเมื่อคุยกับ ดร.วิวัฒน์ ก็รู้ว่าสามารถนำนวัตกรรมมาใช้ได้”

ประสบการณ์ทำงานด้านไอทีทั้งในประเทศไทยและประเทศญี่ปุ่น เรื่องเทคโนโลยีใหม่ จึงเป็นสิ่งที่ ดร.วิวัฒน์ เข้าใจและมองเห็นโอกาส

“ก่อนอื่นเราต้องรู้ถึงปัญหาก่อน แล้วหยิบเทคโนโลยีใส่ลงไป อย่างรองเท้า กลิ่นนี่ปัญหาใหญ่เลย และทางแล็บเองก็มีเทคโนโลยีกำจัดกลิ่นอยู่แล้ว ก็ได้เสนอกับผู้ประกอบการทั้งสอง จึงเกิดความลงตัว ซึ่งนวัตกรรมที่นำมาใช้กับตู้รองเท้าที่ช่วยสลายกลิ่นและแบคทีเรียนี้เรียกว่า โฟโต้ แคตทาลิสต์ (Photo Catalyst) เป็นการทำงานร่วมกันของนาโนเทค (Nanotech) และสารไทเทเนียม ไดออกไซด์ (Titanium Dioxide) ที่เร่งปฏิกิริยาให้แสงช่วยย่อยกลิ่นและแบคทีเรียต่างๆ ซึ่งเป็นสาเหตุของการเสื่อมสภาพของรองเท้า”

ดร.วิวัฒน์ ยังกล่าวขยายความถึงนวัตกรรมดังกล่าวว่าเป็นสารเคมีที่เคลือบอยู่บนพื้นผิวโดยจะจับกันเป็นผลึกระดับนาโน ซึ่งมีคุณสมบัติในการย่อยสลายกลิ่นและฝุ่นเมื่อได้รับแสงอัลตราไวโอเลต

“เท่ากับว่าแสงอัลตราไวโอเลตคือตัวกระตุ้นให้สารเคมีแตกตัว เราเรียกว่า แคตทาลิส ซึ่งสามารถอยู่ได้นานนับสิบปี โดยการเสียบปลั๊กไฟด้านหลังตู้ เทคโนโลยีที่ซ่อนอยู่ในตู้ก็จะทำงาน ส่วนค่าไฟฟ้าก็เพียงวันละประมาณ 8 บาท โดยอายุการใช้งานประมาณ 10 ปี เมื่อหมดลงก็สามารถเปลี่ยนได้ในราคาไม่แพง”

พัฒนาก้าวต่อไป

รองเท้าผ้าใบไม่มีกลิ่น

สำหรับระยะเวลาย่อยสลายกลิ่น ขึ้นอยู่กับระดับความมากน้อยของกลิ่น “จากที่เคยทดลองในห้องแล็บ ผ่านไปราวครึ่งวัน กลิ่นลดลงเหลือไม่ถึง 10 เปอร์เซ็นต์ แต่อย่างที่ ดร.รณันธร ทดลองใส่รองเท้าเข้าไป ภายใน 2 ชั่วโมงไม่มีกลิ่นแล้ว ซึ่งสาเหตุที่มาของกลิ่นคือเหงื่อซึมผ่านหนังรองเท้า การซึมผ่านจะเป็นลักษณะค่อยๆ ซึม ฉะนั้น เวลาสลายก็ต้องค่อยๆ สลายเช่นกัน”

ดร.วิวัฒน์ ยังกล่าวด้วยว่า กับนวัตกรรมย่อยสลายกลิ่นและแบคทีเรียนำมาใช้กับตู้เก็บรองเท้า ถือว่าประเทศไทยและอาจเรียกได้ว่าในโลก MyShoes Cabinet คือรายแรก

“การพัฒนาและนำมาใช้ต้องดูให้สอดคล้องกับผลิตภัณฑ์ กับปัญหาที่เกิดขึ้น ซึ่งการพัฒนายังคงต้องทำอย่างต่อเนื่อง อย่างปัจจุบันผู้หญิงชอบออกกำลังกายมากขึ้น รองเท้าผ้าใบรับบทหนัก การสลายกลิ่นก็อาจต้องพัฒนาให้เร็วขึ้น ระบายความอับชื้นได้ดีขึ้น ซึ่งเมื่อรองเท้าแห้ง สลายแบคทีเรียได้ อายุการใช้งานของรองเท้าก็ยาวนาน”

รู้จักนวัตกรรมกันไปแล้ว คราวนี้คงต้องมาพูดถึงเรื่องออกแบบ ซึ่ง MyShoes Cabinet ยังคงเน้นฟังก์ชั่นการใช้งานที่ตอบสนองความต้องการของลูกค้าที่เป็นมากกว่าตู้เก็บรองเท้า

“รองเท้า ก็เป็นอีกหนึ่งความภูมิใจของผู้เป็นเจ้าของ ต้องการโชว์ ฉะนั้น การออกแบบตู้จึงทำหน้าบานเป็นกระจกใส ส่งผลเวลาเลือกรองเท้ามาสวมใส่ได้ง่ายขึ้นด้วย และต้องสวยกว่าตู้ทั่วไป เป็นเฟอร์นิเจอร์ชิ้นหนึ่งสามารถตั้งไว้ในบ้าน โดยจะออกแบบให้ออกแนวโมเดิร์นเรียบง่าย เส้นสายไม่มากนัก ใช้วัสดุแปลกตา อย่างหนังจระเข้เทียม และแบบคลาสสิก เรียบง่ายแต่เน้นสีแปลกตา อย่าง ทองแดง และสีดำขัดถลอกให้ดูเก่า มีลูกเล่นบ้าง ซึ่งทั้ง 2 แบบเหมาะกับการแต่งบ้านในยุคนี้ และเหมาะกับกลุ่มเป้าหมายทั้งหญิงและชาย”

ออกแบบเข้ากับบ้าน

ถูกใจทั้งชาย หญิง

ดร.รณันธร ยังได้กล่าวเสริมถึงรูปแบบสินค้าของ MyShoes Cabinet ออกแบบและผลิตโดยคำนึงถึงความร่วมสมัย มี 2 คอลเล็กชั่น ได้แก่ “แมนฮัตตัน” (Manhattan) เน้นความเรียบหรู ผลิตจากไม้บีชและวีเนียร์ซานโตสโรสวูด มี 2 สี คือ ขาวในชื่อ ฟิฟท์ อเวนู (5th Avenue) ตอบโจทย์ผู้ที่ชื่นชอบความหรูหราแต่เรียบง่าย ส่วนสีดำเป็นบานประตูหนังจระเข้เทียม ชื่อ โซโห (Soho) เน้นความโมเดิร์นหรูหราด้วยหมุดเหล็ก

ส่วนคอลเล็กชั่น “ทัสคานี” (Tuscany) จะมีรูปแบบคลาสสิก สวยงาม ลายเส้นต่อเนื่องเพื่อให้ดูเรียบหรู มี 2 สี ได้แก่ ฟลอเรนซ์ (Florence) ใช้สีเข้มตัดสีทองให้ความรู้สึกสุขุม และเซียน่า (Siena) ใช้สีทองแดงสว่าง สำหรับราคาขายตั้งไว้เริ่มต้น 45,000 บาท และ 55,000 บาท

ด้วยเพราะเป็นสินค้าใหม่ อีกทั้งยังจัดเป็นสินค้าเฉพาะกลุ่ม การบอกกล่าวเพื่อสร้างการรับรู้จึงเป็นสิ่งควรทำ ซึ่งทั้ง 2 ผู้ประกอบการวางแผน โดยเน้นสื่อสารไปยังช่องทางต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น สื่อสิ่งพิมพ์ วิทยุ โทรทัศน์

นอกจากนั้น ยังจัดกิจกรรมร่วมกับสถาบันการเงิน กลุ่มโรงแรม เพื่อพุ่งตรงไปยังกลุ่มเป้าหมายทั้งหญิงและชายในระดับบน และกับอีกหนึ่งช่องทางที่มองข้ามไม่ได้คือ ผ่านโซเชียลมีเดีย เพื่อให้การขายเกิดได้ตลอด 24 ชั่วโมง

“MyShoes Cabinet คือสินค้าใหม่ แต่ด้วยคุณสมบัติโดดเด่นของสินค้า บวกกับแผนการตลาดที่วางไว้ เราจึงเชื่อว่าในปีนี้ (2559) คาดจะมีรายได้ประมาณ 10-15 ล้านบาท” ดร.รณันธร กล่าว

สนใจผลิตภัณฑ์ ติดต่อเดินทางไปได้ที่โชว์รูม Mc Michael ย่านพระราม 9 โทรศัพท์ (02) 731-6951, (02) 731-6952 และ MyBagSpa สาขาเซ็นทรัลเวิลด์ โทรศัพท์ (02) 646-1229, (083) 096-2097 หรือติดต่อผ่านทาง facebook.com/ My Bag & Shoes Cabinet

กาแฟ บ้านไทลื้อ ร้านดังเมืองน่าน “วิวหลักล้าน” พีกสุดขายวันละพันแก้ว!

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือเส้นทางเศรษฐี

http://info.matichon.co.th/rich/rich.php?srctag=0730150859&srcday=2016-08-15&search=no

วันที่ 15 สิงหาคม พ.ศ. 2559 ปีที่ 22 ฉบับที่ 403

ของดี…ทั่วไทย

พารนี

กาแฟ บ้านไทลื้อ ร้านดังเมืองน่าน “วิวหลักล้าน” พีกสุดขายวันละพันแก้ว!

ยามนี้ “ปัว” อำเภอเล็กๆ ที่ซ่อนตัวอยู่ในหุบเขาของจังหวัดน่าน กำลังเพิ่มระดับความนิยมมากขึ้นตามลำดับ สามารถดึงดูดนักท่องเที่ยวหนุ่ม-สาว ชาวฮิปสเตอร์จากทั่วสารทิศ ให้เดินทางไปเยี่ยมเยือนกันไม่ขาดสาย

ความโดดเด่นของพื้นที่อันเป็น “จุดหมายปลายทาง” ของใครหลายคนนี้ น่าจะอยู่ที่ความงามตามธรรมชาติของ ท้องฟ้า แม่น้ำ ภูเขา ต้นไม้ รวมทั้งสีเขียวขจีของ “ทุ่งนา” ที่สามารถทอดมองไปได้ไกลจนสุดลูกหูลูกตา

ร้านกาแฟ บ้านไทลื้อ ซึ่งตั้งอยู่ที่ตำบลศิลาแลง อำเภอปัว นับเป็นอีกหนึ่ง “ไฮไลต์” ของอำเภอน่าเที่ยวแห่งนี้

เพราะนอกจากรสชาติของเครื่องดื่มจะถูกปากบรรดาคอกาแฟแถมราคาไม่แพงด้วยแล้ว ร้านกาแฟบรรยากาศสุดชิกนี้ ยังมีซุ้มไม้มุงจาก ทอดยาวเรียงรายลงไปในผืนนา รอให้บรรดาอาคันตุกะจากต่างถิ่นเดินเลาะไปตามทางบนสะพานไม้ไผ่ก่อนไปนั่งรับลม ชมวิวกันแบบชิล-ชิล ได้แบบไม่คิดตังค์เพิ่ม

เรียกว่าซื้อกาแฟแก้วละไม่กี่สิบบาท แต่สามารถนั่งชมวิว “หลักล้าน” กันได้เลยทีเดียว

คุณพนม แก้วเทพ อายุ 46 ปี เจ้าของกิจการ “ลำดวนผ้าทอ” ร้านจำหน่ายผ้าทอลายน้ำไหลไทลื้อ และสินค้าของฝากจากเมืองน่าน และกิจการร้านกาแฟ บ้านไทลื้อ สละเวลามาให้ข้อมูลกับ “เส้นทางเศรษฐี” ด้วยอัธยาศัยเป็นกันเอง

เริ่มต้นให้ฟัง ตัวเขาและ คุณลำดวน แก้วเทพ ผู้เป็นภรรยา เป็นคนไทยมีเชื้อสายไทลื้อ ก่อนหน้านี้เคยเปิดธุรกิจอู่ซ่อมรถ มีลูกน้องเกือบ 10 คน ควบคู่กับทำธุรกิจรับซื้อขาย-แลกเปลี่ยนรถยนต์ อยู่ในอำเภอปัว

ช่วงราวปี 2541 ที่ประเทศไทยประสบกับวิกฤตค่าเงินบาท กิจการที่มีอยู่พังไม่เป็นท่า จนต้องกลายเป็นบุคคลล้มละลาย

จังหวะนั้นเอง เจ้าของธุรกิจขายผ้าคนหนึ่งอยากได้รถ เขาเลยนำรถที่เหลืออยู่ไปแลกกับผ้าทอลายน้ำไหล ซึ่งเป็นสินค้าของชาวไทลื้อ ก่อนนำมาเป็นอาชีพใหม่ โดยตระเวนไปหาแหล่งจำหน่ายทั้งในตัวเมืองน่านและจังหวัดใกล้เคียง อย่าง สุโขทัย แพร่ ตาก เชียงใหม่ เชียงราย ฯลฯ

ทำอยู่พักใหญ่จึงมาเช่าห้องแถวเปิดร้านจำหน่ายผ้าทอและเสื้อผ้าสำเร็จรูปชาย-หญิง ตั้งชื่อว่า “ลำดวนผ้าทอ”

กิจการขายดีขึ้นตามลำดับ แต่มักหมดไปกับค่าเช่าร้าน จึงขยับขยายมาเปิดร้านแห่งใหม่บนที่ดินของตัวเองจนกระทั่งปัจจุบัน

“ร้านลำดวนผ้าทอ เปิดมาได้ 10 กว่าปี ส่วนร้านกาแฟ ทำมา 3 ปีกว่าแล้ว ลูกค้ามีมากขึ้นเรื่อยๆ” คุณพนม บอก ก่อนยิ้มกว้าง

และย้อนให้ฟังถึงที่มาของการลงทุนทำร้านกาแฟ ที่หลายคนชื่นชมกันว่าบรรยากาศดีมาก ติดอันดับต้นๆ ของประเทศนั้น เริ่มจากตอนทำร้านลำดวนผ้าทอ ลูกค้ามีทั้งผู้หญิง-ผู้ชาย ซึ่งบางคนขี้เกียจเลือก มักพากันไปนั่งศาลาไม้หลังร้าน เขาเลยนำกาแฟซองสำเร็จรูป พร้อมทั้งกระติกน้ำร้อน แก้วกาแฟ มาวางไว้ให้เพื่อเป็นการบริการลูกค้า

มาระยะหลังลูกค้ามีมากขึ้น เลยคิดอยากเปิดร้านกาแฟอีก 1 อย่าง แต่ระหว่างยังไม่ตัดสินใจ มีเพื่อนมาเสนอขายเครื่องชงกาแฟสดให้แบบไม่ต้องจ่ายเงินก้อน เพราะซื้อมาราคา 200,000 บาท แต่ใช้ได้ไม่ถึง 6 เดือน ลูกจ้างลาออกไปก่อนเลยไม่ได้ทำต่อ

จากนั้นตัวเขาและลูกสาว จึงพากันไปเรียนรู้การคั่ว การกะเทาะเปลือกกาแฟ จากเจ้าหน้าที่ของมูลนิธิแม่ฟ้าหลวง ดอยตุง เพื่อเป็นการลดต้นทุนการผลิตได้ทางหนึ่ง

ส่วนซุ้มไม้มุงจาก ที่สร้างทอดไปในผืนนา มีสะพานไม้ไผ่เชื่อมให้เป็นทางเดินแก่นักท่องเที่ยวนั้น คุณพนม บอก เกิดจากความคิดเขาเอง ที่ต้องการให้ลูกค้าได้สัมผัสธรรมชาติอย่างใกล้ชิด แบบหาไม่ได้ในเมืองใหญ่ ที่มักมีแต่ตึกปูนและถนนคอนกรีต

มาถึงวันนี้ ร้านกาแฟในแบบของเขา ถูกหลายคนยกให้เป็นสถานที่ต้องห้ามพลาดของจังหวัดน่านไปแล้ว คุณพนมยิ้มน้อยๆ ก่อนออกตัวว่า

“อาจเพราะเราไม่หวงสถานที่ บางคนมานั่งนานชั่วโมง-2 ชั่วโมงก็ช่าง ใครไม่ซื้อก็นั่งได้ ใจจริงอยากให้เป็นสถานที่กึ่งสาธารณะ ใครก็มาได้ตามอัธยาศัย บางครั้งมีแขกโทรศัพท์มาขอจองซุ้มไม้นั่ง ผมบอกไม่ได้หรอก ใครมาก่อนนั่งก่อนเลย ไม่งั้นเสียโอกาสคนอื่นที่จะมาเที่ยว” คุณพนม เผยจุดยืน

กระซิบถามถึงรายได้ของร้านกาแฟสุดชิกนี้ เจ้าของกิจการเผย วันธรรมดา ถ้าฝนไม่ตก มีลูกค้าเรื่อยๆ ขายได้ไม่ต่ำกว่าวันละ 150 แก้ว วันเสาร์-อาทิตย์ ขายได้ไม่ต่ำกว่าวันละ 300 แก้ว ช่วงหยุดยาวที่ผ่านมา ขายได้วันละกว่า 1,000 แก้ว

ล่าสุดทราบว่า ทางร้านกาแฟ บ้านไทลื้อ มีอาหารพื้นบ้านพร้อมให้บริการแล้วด้วย แต่รับจำนวนจำกัดต่อสัปดาห์ ส่วนซุ้มไม้ไผ่นั้น แล้วแต่ลูกค้าจะเลือกนั่ง

สนใจสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ โทรศัพท์ (088) 411-2098 หรือ Facebook/ลำดวนผ้าทอ อ.ปัว

กิมมิกชื่อร้าน “ก๋วยเตี๋ยวต้มยำ…ห้อยไข่” เรียกลูกค้าได้ตรึม!

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือเส้นทางเศรษฐี

http://info.matichon.co.th/rich/rich.php?srctag=0750150859&srcday=2016-08-15&search=no

วันที่ 15 สิงหาคม พ.ศ. 2559 ปีที่ 22 ฉบับที่ 403

อาหารสร้างอาชีพ

พารนี

กิมมิกชื่อร้าน “ก๋วยเตี๋ยวต้มยำ…ห้อยไข่” เรียกลูกค้าได้ตรึม!

“ใครขับรถผ่าน เห็นชื่อร้านเป็นต้องชะลอดูและอมยิ้มทุกคน เราเพิ่งเปิดใหม่ ไม่มีใครรู้จัก ไม่รู้รสชาติว่าเป็นยังไง แต่แค่เห็นชื่อ เขาก็เข้ามาลอง ทำให้ขายดิบขายดีแบบไม่ทันตั้งตัว…”

“ชื่อดีเป็นศรีแก่ตัว” เรื่องนี้หลายคนคงเห็นด้วยมาแต่ไหนแต่ไร จนเชื่อมโยงไปใช้ได้กับทุกเรื่อง ทั้งชื่อตัว ชื่อบ้าน ชื่อลูก ชื่อหลาน แม้กระทั่งชื่อกิจการห้างร้าน แหล่งทำมาหารายได้

และสำหรับร้านรวงที่เพิ่งเปิดตัวใหม่ๆ ท่ามกลางการแข่งขันของคู่แข่งทั้งเจ้าเก่าแก่หรือเจ้าใหม่ใกล้เคียงกัน การจะเรียกร้องความสนใจจากลูกค้าให้หันมาสนใจได้เร็วที่สุดนั้น คงไม่มีใครปฏิเสธว่า “ชื่อร้าน” นั้นมีส่วนสำคัญไม่น้อย

วิศวฯ อิ่มตัวงานประจำ

ใจรักทำอาหาร

พิษณุโลก นับเป็นเมืองใหญ่ที่มีนักท่องเที่ยวทั้งไทยและต่างชาติ เดินทางไปเยือนกันจำนวนไม่น้อย โดยแหล่งสำคัญซึ่งเป็นไฮไลต์ของจังหวัดนี้ เห็นจะเป็น วัดพระศรีรัตนมหาธาตุวรมหาวิหาร หรือที่เรียกกันติดปากทั่วไปว่า “วัดใหญ่” มี พระพุทธชินราช เป็นพระประธาน ประดิษฐานอยู่ในวิหารแสนงดงาม

เมื่อเป็นโซนที่มีนักท่องเที่ยวจำนวนมาก ละแวกใกล้เคียงวัดสำคัญแห่งนี้ จึงมีอาหารการกินเป็นตัวเลือกละลานตา แต่ถ้าจะเลือกว่าร้านไหนผู้คนให้ความสนใจมากที่สุด เห็นจะเป็น ร้านก๋วยเตี๋ยว “ห้อยขา” แถวริมน้ำใกล้วัดใหญ่ เรียกว่าถ้าคนต่างถิ่นแวะมาไหว้พระพุทธชินราช ต้องไม่พลาดที่จะมาทานก๋วยเตี๋ยวห้อยขา พร้อมกับเก็บภาพเก๋ๆ อัพโซเชียลกันแทบทุกราย

แต่เมื่อไม่นานมานี้ มีกระแสดังในโลกออนไลน์ มีการกดไลก์ กดแชร์ กันจนกลายเป็นข่าวออกมาว่า พิษณุโลก ไม่ได้มีแต่ก๋วยเตี๋ยวห้อยขานะ มีร้าน “ก๋วยเตี๋ยวห้อยไข่” แล้วด้วย

“เส้นทางเศรษฐี” จึงสอบถามความเป็นมา-เป็นไป จากคนต้นเรื่อง ซึ่งกรุณาสละเวลามาให้ข้อมูลด้วยอัธยาศัยยิ้มแย้ม

“ร้านก๋วยเตี๋ยวห้อยขาหน้าวัดใหญ่ซึ่งโด่งดังมากอยู่แล้ว ไม่น่าจะค้อนผมนะครับ เพราะเป็นคนละแบบกัน ของผมติดถนน หน้าร้านมีสระน้ำเล็กๆ เลยต่อที่นั่งแบบห้อยขาไว้ให้ลูกค้าชมวิวได้บ้าง ขณะที่ก๋วยเตี๋ยวของร้านผมเน้นรสชาติต้มยำและใส่ไข่ต้มยางมะตูมทุกชาม เลยสรุปรวมกันออกมาเป็นร้านก๋วยเตี๋ยวต้มยำห้อยไข่”

คุณกิต-กิตติพงศ์ เฟื่องเพียร วัย 32 ปี เจ้าของร้าน “ก๋วยเตี๋ยวต้มยำ…ห้อยไข่” ตั้งอยู่บนถนนเส้นเลี่ยงเมืองพิษณุโลก ใกล้สี่แยกแสงดาว หมู่ 2 ตำบลหัวรอ อำเภอเมือง เริ่มต้นให้ฟังอย่างนั้น

ก่อนแนะนำตัว พื้นเพเป็นคนพิษณุโลก หลังเรียนจบชั้นมัธยมปลาย ได้โควต้าไปเรียนที่มหาวิทยาลัยสุรนารี จังหวัดนครราชสีมา ในสาขาวิศวกรรมขนส่ง คณะวิศวกรรมศาสตร์ ใช้เวลาเรียนจบตามปกติ ออกมาทำงานประจำในโรงงาน 3-4 แห่ง จนเริ่มรู้สึกอิ่มตัว ตัดสินใจลาออกมามองหาธุรกิจแบบที่ชอบ นั่นคือ ร้านอาหาร

ถอยหลังไปราว 3 ปีก่อน คุณกิตเคยเปิดร้านอาหารมาแล้วครั้งหนึ่ง แต่ทำได้ไม่นานจำใจต้องปิดตัวลง เนื่องจากมีปัญหาเรื่องลูกน้อง มาบ้าง ไม่มาบ้าง ทะเลาะกันบ้าง การบริการจึงไม่ได้ดังใจ สุดท้ายไปไม่รอด

หลังจากนั้นจึงหันมาเปิดร้านรับซ่อมคอมพิวเตอร์ รับทำป้ายไวนิล ดำเนินกิจการได้ 2 ปีเศษ ความคิดที่อยากทำร้านอาหาร ยังคงคุกรุ่นอยู่ เมื่อได้ทำเลที่น่าจะเหมาะสม เลยคิดเปิดร้านอาหารอีกครั้ง แต่คราวนี้มีการสร้าง “หลักคิด” ที่แตกต่างจากเดิม

“เปิดร้านใหญ่ ต้องใช้ลูกน้องเยอะเลยมีปัญหา คราวนี้เลยคิดสเกลร้านให้เล็กลง ใช้ลูกน้องแค่คนเดียว และโฟกัสไปที่อาหารชนิดเดียวคือ ก๋วยเตี๋ยว การจัดการจะได้ง่ายขึ้น” คุณกิต ย้อนถึงแนวคิดเริ่มต้น

ลูกเล่นเรียกยิ้ม

จะยั่งยืน ต้องมีมากกว่านั้น

หลังจากตัดสินใจจะเปิดร้านขายอาหาร (อีกครั้ง) คราวนี้ คุณกิตต้องทำ “การบ้าน” หนักมาก เริ่มจากการหาสูตรเฉพาะ เพราะถึงแม้จะทำก๋วยเตี๋ยว “ต้มยำ” ทานเองที่บ้านมาตลอด แต่ยังหา “เอกลักษณ์” ที่เด่นชัดไม่ได้

กระทั่งได้ไปทานก๋วยเตี๋ยวใส่ไข่ต้มยางมะตูมที่ร้านแห่งหนึ่งในจังหวัดราชบุรี เกิดความชอบ ประกอบกับที่พิษณุโลกยังไม่มีใครทำขายมากนัก เลยจับความชอบมาผสมผสานกัน กลายเป็นก๋วยเตี๋ยวต้มยำที่ใส่ไข่ต้มยางมะตูมด้วย ซึ่งคิดว่ารสชาติเข้ากันได้ดีทีเดียว

เปิดร้านได้เพียงเดือนเศษ มีสื่อให้ความสนใจจำนวนไม่น้อย โดยเฉพาะประเด็น คำว่า “ห้อยไข่” คุณกิตจึงชี้แจง เป็นเพียง “กิมมิก” ในการตั้งชื่อ หวังให้ลูกค้าเห็นแล้วอมยิ้ม และลองเข้ามาชิม ซึ่งต้องยอมรับว่าเป็นลูกเล่นได้ผลดี สามารถดึงดูดความสนใจได้มากที่สุด

“ใครขับรถผ่าน เห็นชื่อร้านเป็นต้องชะลอดูและอมยิ้มทุกคน เราเพิ่งเปิดใหม่ ไม่มีใครรู้จัก ไม่รู้รสชาติว่าเป็นยังไง แต่แค่เห็นชื่อ เขาก็เข้ามาลอง ทำให้ขายดิบขายดีแบบไม่ทันตั้งตัว ช่วงวันหยุดยาวเข้าพรรษาที่ผ่านมาบริการให้แทบไม่ทัน” คุณกิต เล่า ก่อนยิ้มกว้าง

มีคนรู้จักชื่อร้านและรสชาติ นับเป็นเรื่องดี แต่ถ้าจะให้ดียิ่งขึ้น ต้องมีการ “ซื้อซ้ำ” ด้วย เรื่องนี้ คุณกิต บอก เขาให้ความสำคัญมาก ช่วงนี้จึงพยายามเข้าไปพูดคุยกับลูกค้า ถามไถ่ถึงสิ่งที่ต้องการให้ปรับปรุงแก้ไข

ซึ่งได้คำตอบจากคนใกล้ชิดว่า “มันก็เหมือนก๋วยเตี๋ยวต้มยำทั่วไป” เขาจึงพยายามหนักขึ้นไปอีก เพื่อหาเอกลักษณ์ของตัวเองให้ได้ กระทั่งเมื่อไม่นาน ได้ทำ “ซอสต้มยำ” ออกมา ใช้ในร้านของตัวเอง และมั่นใจว่าซอสดังกล่าวนี้ จะเป็น “ตัวขาย” สำคัญ ทำให้รสชาติก๋วยเตี๋ยวของร้านเขานั้นแตกต่างจากที่อื่น

“การที่มีลูกค้าสนใจชื่อร้าน จนลองเข้ามาทาน นับเป็นจุดเริ่มต้นที่ดี แต่แค่นั้นคงไม่พอ เพราะอยากให้กิจการยั่งยืน เลี้ยงตัวได้ ลูกค้าอยู่กับเรานานๆ และกลับมาทานอีก ฉะนั้น สิ่งที่สำคัญและยากที่สุดคือ รสชาติและคุณภาพของอาหารที่เราขาย ว่าจะมีความคงเส้นคงวาแค่ไหน ไม่ใช่วันนี้อร่อย พรุ่งนี้ไม่แน่ แบบนั้นผมว่าไปไม่รอดนะ” คุณกิต บอกทิ้งท้าย

……………

เมนูของร้าน “ก๋วยเตี๋ยวต้มยำ…ห้อยไข่” จังหวัดพิษณุโลก รายนี้ มีให้เลือกหลากหลายทั้งต้มยำน้ำใส น้ำข้น พริกเผา ส่วนเนื้อสัตว์ ทั้งหมูตุ๋น หมูเปื่อย ปลา และทะเล และต้องมี “ไข่ต้มยางมะตูม” ห้อยประดับไว้ทุกชาม

สนใจอยากไปลองชิม สอบถามไปได้ที่ คุณกิต เจ้าของร้าน โทรศัพท์ (081) 605-3404

ไม่ทำแล้วงานออฟฟิศ ทอดกล้วยขาย 100 หวี/วัน มัน-เผือก อีกกว่า 60 โล รับเงินวันละหมื่นบาท

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือเส้นทางเศรษฐี

http://info.matichon.co.th/rich/rich.php?srctag=0752150859&srcday=2016-08-15&search=no

วันที่ 15 สิงหาคม พ.ศ. 2559 ปีที่ 22 ฉบับที่ 403

อาหารสร้างอาชีพ

วัชรี ภูรักษา

ไม่ทำแล้วงานออฟฟิศ ทอดกล้วยขาย 100 หวี/วัน มัน-เผือก อีกกว่า 60 โล รับเงินวันละหมื่นบาท

บังเอิญได้ผ่านไปแถวถนนบางกรวย-ไทรน้อย จากการไปทำงาน เลยได้มาเจอร้านกล้วยแขกร้านหนึ่ง ซึ่งเป็นร้านเล็กๆ ติดริมถนน เป็นร้านที่ดูธรรมดาๆ แต่คนต่อคิวซื้อแน่นตลอดทั้งวัน ถึงขั้นต้องแจกบัตรคิว เพื่อรอซื้อกันเลยทีเดียว

หลังจากติดต่อสอบถามไปยังเจ้าของร้าน ทราบว่า คุณสุนทรี นันทวัฒกี หรือ ป้าติ่ง วัย 54 ปี เป็นเจ้าของร้าน “กล้วยแขก พระราม ๕” ดังกล่าว

ลาออกจากงานออฟฟิศ

ทอดกล้วยแขก ขาย

ป้าติ่ง เล่าให้ฟังว่า “ส่วนตัวเป็นคนชอบกินกล้วยทอด แต่เวลาไปซื้อร้านไหนๆ ก็มัน อมน้ำมันบ้าง เหม็นหืนบ้าง ซึ่งเราไม่ค่อยชอบที่มีน้ำมันเยอะๆ อีกทั้งเดิมเป็นพนักงานสาวออฟฟิศเหมือนคนทั่วไป แต่พอมีครอบครัว จึงตัดสินใจลาออกจากงาน ประจวบกับการคิดหาอาชีพทำ เพื่อสร้างรายได้เสริมในครอบครัว และจากความชอบกินกล้วยทอด จึงตัดสินใจเปิดร้านขายกล้วยแขก”

ด้วยพื้นเพเป็นคนจังหวัดนนทบุรีอยู่แล้ว จึงทราบดีว่า พื้นที่จังหวัดนนทบุรี เป็นพื้นที่ที่มีสวนผลไม้เยอะ สวนกล้วยก็เช่นเดียวกัน

“แต่ก่อนพื้นที่แถบนี้ ปลูกกล้วยกันเยอะมาก ช่วงที่ตัดสินใจว่าจะขายกล้วยแขกนั้น ไปได้สูตรมาจากน้าสาว ซึ่งแกขายอยู่แถวเมืองทอง ส่วนตัวจึงไปขอสูตรมาและมาเช่าที่ตรงสี่แยกบางสีทอง เปิดร้านขายอยู่ที่นี่มาตั้งแต่นั้น นับเวลาก็ร่วม 8 ปีได้แล้ว” ป้าติ่ง เล่าและเพิ่มเติมต่อว่า

ช่วงแรกที่ร้านเปิดขาย ขายได้ไม่ดีเท่าไหร่ ได้เงินวันละ 100-200 บาท ก็ดีใจมากแล้ว แต่อย่างไรก็ต้องมีการปรับสูตรแป้ง เนื่องจากประสบการณ์ที่ค้าขายมา ทำให้รู้ว่าแต่ละพื้นที่ชอบทานกล้วยแขกรสชาติที่แตกต่างกันไป ร้านก็ต้องมีการปรับสูตรเพื่อให้เข้ากับคนในพื้นที่ และถูกปากลูกค้าทั่วไปให้ได้มากที่สุด จึงเป็นที่มาของการพัฒนาสูตร จนกระทั่งปัจจุบัน พูดได้อย่างเต็มปากว่า แป้งทอดกล้วยของที่นี่ เป็นสูตรที่คิดขึ้นมาเอง สามารถทอดได้ทั้งกล้วย มัน และเผือก”

จุดเด่น เรียกแขก เครื่องสลัดน้ำมัน

และน้ำจิ้ม “มันทอด” รสเด็ด

สร้างจุดเด่นให้กับร้านกล้วยแขก พระราม ๕ ด้วยเครื่องสลัดน้ำมัน โดยป้าติ่ง บอกว่า “เพราะส่วนตัวที่ไม่ชอบกินกล้วยแขกแบบมีน้ำมันเยอะๆ จึงพยายามหาวิธีที่ไล่น้ำมันในกล้วยแขกออก จึงไปได้เครื่องสลัดน้ำมันมาใช้ ซึ่งคาดว่าน่าจะมีร้านกล้วยแขก พระราม ๕ ที่นี่ร้านเดียวที่นำเอาเครื่องมาใช้งาน

ตอนแรก กังวลว่าเสียเงินไปซื้อเครื่องสลัดน้ำมันมาใช้แล้ว จะได้ผลดีหรือเปล่า และที่สำคัญคือ กังวลเรื่องการหักของของทอดไม่ว่าจะเป็นกล้วย มัน หรือเผือก เนื่องจากของทอดเหล่านี้ถูกชุบด้วยแป้ง แต่ก็ตัดสินใจซื้อมาใช้ เพราะไม่อยากให้มีการอมน้ำมัน และลูกค้าต้องกินน้ำมันเยอะๆ ผลปรากฏว่า ได้ผลดีเกินคาดมาก นอกจากของที่ทอดจะไม่แตกหักและไม่อมน้ำมันแล้ว ยังได้น้ำมันกลับมาใช้อีกครั้งด้วย เป็นที่มาของสโลแกนร้านว่า กรอบนอก นุ่มใน ไม่อมน้ำมัน”

อีกจุดเด่นหนึ่งที่ลูกค้าชื่นชอบ คือ น้ำจิ้ม ซึ่งเป็นสูตรน้ำจิ้มที่คิดและปรับสูตรทำขึ้นมาเองเป็นของทางร้านโดยเฉพาะ ป้าติ่ง บอกว่า “เป็นน้ำจิ้ม สำหรับจิ้มเวลากินมันและเผือกทอด ไม่แน่ใจว่ามีร้านไหนทำหรือเปล่า แต่ทางร้านนี้มี และลูกค้าชอบมาก คนที่กินเป็นจะต้องขอน้ำจิ้มอย่างน้อย 2 ชุด หลายคนมาขอเอาไปชิม ไปลอง พอกลับมาที่ร้านอีกครั้ง ต้องขอกลับไปทุกคราว เนื่องจากรสชาติที่เข้ากันเวลากิน”

การทอดกล้วย ต่อวันใช้กล้วยจำนวนกว่า 100 หวี, มัน ประมาณ 20-30 กิโลกรัม และเผือกอีกกว่า 30 กิโลกรัม ใช้น้ำมันพืช ต่อวัน 20 กิโลกรัม แป้งที่ใช้ทอดกว่า 30 กิโลกรัม ขายในราคาตั้งแต่ 10 บาทเป็นต้นไป ยอดขายต่อวันอยู่ที่ประมาณ 8,000-10,000 บาท ด้วยความเป็นคนที่มีนิสัยซื่อสัตย์และอยากทำตามกฎระเบียบให้ถูกต้อง ป้าติ่งจึงเข้าไปขอยื่นเสียภาษีด้วยตนเอง ซึ่งทำต่อเนื่องมา 3 ปีแล้ว

โซเชียลช่วย คนต่อคิวซื้อชิม

ต้องแจกบัตรคิว เปิดพัดลมบริการ

ปัจจุบันนี้ ร้านกล้วยแขก พระราม ๕ เป็นที่รู้จักอย่างดี จากทั้งลูกค้าขาประจำและลูกค้าขาจร เนื่องจากมีหลายรายการจากช่องทางออนไลน์และสื่อต่างๆ มาขอสัมภาษณ์ ทำให้เป็นที่รู้จัก ลูกค้าจึงเยอะมากขึ้น จึงมีการทำบัตรคิวแจกให้กับลูกค้าที่มาต่อคิวซื้อ ทั้งป้าติ่ง ยังเกรงใจลูกค้าที่มาต่อคิวซื้อนานๆ จึงซื้อพัดลมมาเปิดให้บริการสำหรับลูกค้าที่เข้าคิว รวมถึงแจกน้ำให้ดื่มอีกด้วย

“แม้ปัจจุบันนี้ ราคาสินค้าหลายอย่างจะขึ้น แต่ทางร้านก็จะยังขายในจำนวนชิ้นและราคาเท่าเดิม ไม่อยากขึ้นราคาอีกแล้ว อย่างกล้วยที่ขายดีมาก จนขาดตลาด ราคาจึงพุ่งสูงขึ้นเป็นหวีละ 50 บาท ทางร้านก็ยังจะพยายามหามาทอดขายให้ได้ เพราะไม่อยากให้ลูกค้าที่มาเข้าคิวเสียความรู้สึก กลัวเขามารอต่อคิวแล้วไม่มีให้เขากิน” ป้าติ่ง บอก

โดยยังบอกอีกว่า เคยเห็นคนมาเข้าคิวซื้อมากสุดถึง 30 ถุง ต่อ 1 คน ซื้อไปแจกเพื่อนบ้าง ให้ผู้หลักผู้ใหญ่บ้าง ซึ่งตนดีใจมากที่เห็นเช่นนี้ และภูมิใจมากที่ตอนนี้ได้มีโอกาสเห็นผู้ชายมาต่อคิวรอซื้อกล้วยทอดเยอะมากขึ้น ซึ่งแต่ก่อนไม่เคยมีเลย ปกติเห็นแต่ผู้หญิง

ทั้งนี้ ป้าติ่งบอกด้วยว่า “ด้วยสูตรที่เป็นเฉพาะของทางร้าน ที่ปรับปรุงกันมาจนได้เป็นที่ลงตัวแล้ว ทางร้านจึงขายแป้งแห้งด้วย สำหรับคนที่สนใจอยากนำเอาไปทอดกล้วยเอง ก็สามารถมาขอซื้อได้ ขายในกิโลกรัมละ 65 บาท หากซื้อไปไม่ต้องกลัวว่าจะไม่เหมือนกับแป้งที่ทางร้านใช้ เพราะคือแป้งสูตรเดียวกัน ไม่มีกั๊กสูตรแน่นอน”

สำหรับใครที่สนใจ แวะไปลองชิมกล้วย-มัน-เผือก ทอด หรือซื้อแป้งกล้วยแขกสำเร็จรูป แวะกันไปได้ที่ร้านกล้วยแขก พระราม ๕ ตั้งอยู่ที่แยกบางสีทอง ริมถนนบางกรวย-ไทรน้อย ตรงข้ามกับโลตัสพระราม 5 หรือโทรศัพท์ไปสอบถามกันได้ที่ (085) 212-4596, (083) 818-5566