สถาณการณ์ภัยแล้ง

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : กรมอุตุนิยมวิทยา

http://www.tmd.go.th/agromet_drought_situation.php

สถาณการณ์ภัยแล้ง ณ วันที่ 21 มกราคม 2559
ปริมาณฝนสะสม
ปริมาณฝนสะสม
ปริมาณฝนสะสม 1 – 20 มกราคม 2559 บริเวณที่มีสีเขียว เป็นบริเวณที่มีฝนตกในช่วงที่ผ่านมาโดยมีฝนสะสม 50 ถึง 200 ม.ม. ซึ่งช่วยบรรเทาภัยแล้งในช่วงที่ผ่านมา ส่วนบริเวณที่มีสีน้ำตาล และสีเหลือง เป็นบริเวณที่มีฝนตกน้อย โดยมีปริมาณฝนสะสมน้อยกว่า 50 มิลิเมตร ซึ่งสอดคล้องกับค่าดรรชนีความชื้นในดินที่ระดับความลึก 30 ซม. และ60 ซม. ที่แสดงถึงความชื้นที่ดินสะสมไว้ พบว่าบริเวณที่มี สีแดงและสีส้ม ซึ่งเป็นบริเวณที่มีฝนน้อย ในประเทศไทยตอนบน และบางพื้นที่ของภาคใต้ มีสภาพแล้งปานกลางถึงแล้งรุนแรง ส่วนบริเวณที่มีสีเขียวและสีเหลือง คือบริเวณที่ดินมีความชื้นสะสมมากเพียงพอกับการเกษตร ในระยะนี้ หากไม่มีฝนตกเพิ่มเติมในบริเวณดังกล่าว ก็จะเป็นบริเวณที่เกิดแล้งทางเกษตรในระยะต่อไป
สมดุลน้ำ
สมดุลน้ำ
สมดุลน้ำระหว่างวันที่14 – 20 มกราคม 2559 บริเวณที่มีสีเขียว แสดงถึงปริมาณฝนมากกว่าน้ำระเหย ซึ่งเป็นบริเวณที่พืชได้รับน้ำฝนพอเพียง ส่วนบริเวณที่มีสีส้มถึงเหลืองเหลือง ซึ่งเป็นบริเวณที่พืชขาดน้ำฝนในช่วงที่ผ่านมา หรือเป็นบริเวณที่มีแนวโน้มที่เกิดสภาวะแล้งทางด้านเกษตรในระยะต่อไป

พยากรณ์อากาศเกษตรเพื่อกาแฟและยางพารา

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : กรมอุตุนิยมวิทยา

http://www.tmd.go.th/agromet_crop_animal_forecast.php

พยากรณ์อากาศเกษตรเพื่อกาแฟและยางพารา
ระหว่างวันที่ 28 ธันวาคม – 3 มกราคม 2559
ผลกระทบต่อพืชและสัตว์เศรษฐกิจ
ระยะนี้บริเวณประเทศไทยตอนบนจะมีอากาศหนาวเย็นโดยทั่วไปโดยทางตอนบนของภาคเหนือจะมีอากาศหนาวเย็นกว่าบริเวณอื่นๆ สำหรับบริเวณยอดดอยจะมีอากาศหนาวถึงหนาวจัดกับมีน้ำค้างแข็งบางพื้นที่ เกษตรกรควรระวังความเสียหายที่จะเกิดกับพืชผลทางด้านการเกษตร ในช่วงที่อากาศเย็นเกษตรกรควรรักษาสุขภาพให้แข็งแรง เพื่อป้องกันการเจ็บป่วย ระยะนี้ปริมาณและการกระจายของฝนที่มีน้อย เกษตรกรควรใช้น้ำที่เก็บกักไว้อย่างประหยัด โดยให้น้ำพืชครั้งละน้อยๆแต่บ่อยครั้งและควรให้น้ำพืชในช่วงเย็น เพื่อลดการสูญเสียน้ำโดยการระเหย เว้นแต่บริเวณเทือกเขาและยอดดอยที่มีโอกาสเกิดน้ำค้างแข็ง ไม่ควรให้น้ำในช่วงเย็นเพราะอาจ ทำให้ท่อลำเลียงน้ำของพืชเสียหายได้เมื่อเกิดน้ำค้างแข็ง รวมทั้งควรคลุมดินบริเวณแปลงปลูกพืชและโคนต้นพืชด้วยวัสดุเหลือใช้ทางการเกษตร เพื่อลดการระเหยของน้ำบริเวณผิวดิน รักษาความชื้นภายในดิน สำหรับบางพื้นที่อาจมีหมอกในตอนเช้า เกษตรกรควรไม่ควรตากผลผลิตทางการเกษตรไว้กลางแจ้งข้ามคืน เพราะอาจเปียกชื้นเสียหายได้ รวมทั้งควรระวังและป้องกันโรคราน้ำค้างที่อาจเกิดกับพืชไร่ ไม้ดอก และพืชผัก ซึ่งมักระบาดในช่วงที่มีความชื้นสูงในตอนเช้า สำหรับภาคใต้ทางตอนบนของภาคจะมีอากาศเย็น เกษตรกรควรรักษาสุขภาพให้แข็งแรง เพื่อป้องกันการเจ็บป่วย ระยะต่อไปปริมาณและการกระจายของฝนจะลดลง เกษตรกรกักเก็บน้ำเอาไว้ใช้ทางด้านการเกษตร และควรวางแผนการใช้น้ำที่เก็บกักไว้ให้มีประสิทธิภาพ เพื่อจะได้มีน้ำใช้ในช่วงที่มีฝนตกน้อย
สำหรับบริเวณประเทศไทยตอนบนสภาพอากาศแห้ง ผู้ที่ปลูกกาแฟควรระวังและป้องกันการระบาดของศัตรูพืชจำพวกปากดูด เช่น เพลี้ยและไรชนิดต่างๆ เช่น เพลี้ยแป้ง และเพลี้ยอ่อน เป็นต้น ซึ่งจะดูดกินน้ำเลี้ยงจากพืช ทำให้ใบอ่อนและยอดอ่อนเหี่ยวแห้ง ต้นอ่อนชะงักการเจริญเติบโต หากพบควรรีบกำจัด เพื่อไม่ให้ศัตรูพืชดังกล่าวแพร่ระบาดเป็นบริเวณกว้าง เนื่องจากระยะนี้ปริมาณการระเหยของน้ำมีมาก เกษตรกรควรคลุมดินบริเวณโคนต้นกาแฟด้วยวัสดุเหลือใช้ทางการเกษตร เช่น ใบไม้ ฟางข้าว และหญ้าแห้ง เป็นต้น เพื่อลดการระเหยของน้ำบริเวณผิวดินรักษาความชื้นภายในดิน แต่ควรมีระยะห่างจากโคนต้นพอประมาณ เพื่อป้องกันโรคและศัตรูพืช ส่วนผู้ที่ปลูกยางพารา ควรระวังและป้องกันการเกิดอัคคีภัย โดยทำแนวกันไฟรอบพื้นที่เพาะปลูก รวมทั้งหลีกเลี่ยงการจุดไฟในบริเวณสวนหากมีความจำเป็นต้องจุดไฟเพื่อใช้งาน เมื่อใช้งานเสร็จแล้วควรดับให้สนิททุกครั้ง เพื่อป้องกันไฟลุกลามจนกลายเป็นอัคคีภัย
สำหรับภาคใต้เนื่องจากระยะนี้เป็นช่วงฤดูมรสุมตะวันออกเฉียงเหนือ ทางภาคใต้ฝั่งตะวันออกซึ่งเป็นด้านรับลมจะมีปริมาณและการกระจายของฝนมากกว่าทางภาคใต้ฝั่งตะวันตก พื้นที่ซึ่งมีฝนตกทำให้ความชื้นในดินและในอากาศสูง ชาวสวนยางพาราควรดูแลสวนให้โปร่งอากาศถ่ายเทได้สะดวก เพื่อลดความชื้นภายในสวนป้องกันโรคที่เกิดจากเชื้อรา เช่นโรคหน้ากรีดยาง โรคใบยางร่วงลูกยางเน่า และโรคราสีชมพู เป็นต้น ส่วนผู้ที่ปลูกกาแฟควรระวังและป้องกันโรคพืชที่เกิดจากเชื้อรา โดยเฉพาะโรคราสนิมซึ่งมักระบาดในช่วงที่มีความชื้นสูง โดยกำจัดวัชพืชในสวนให้โล่งเตียน ตัดแต่งกิ่งให้โปร่ง ไม่แน่นทึบ เพื่อให้อากาศถ่ายเทได้สะดวก ลดความชื้นภายในสวน ป้องกันโรคดังกล่าว
ออกประกาศ วันที่ 28 ธันวาคม 2558

พยากรณ์อากาศเกษตรเพื่อสัตว์เลี้ยงและสัตว์น้ำ

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : กรมอุตุนิยมวิทยา

http://www.tmd.go.th/agromet_crop_animal_forecast.php

พยากรณ์อากาศเกษตรเพื่อสัตว์เลี้ยงและสัตว์น้ำ
ระหว่างวันที่ 4 – 10 มกราคม 2559
ผลกระทบต่อพืชและสัตว์เศรษฐกิจ
ระยะนี้บริเวณประเทศไทยตอนบนจะมีอากาศหนาวเย็นโดยทั่วไปโดยทางตอนบนของภาคเหนือและภาคตะวันออกเฉียงเหนือจะมีอากาศหนาวเย็นกว่าบริเวณอื่นๆ สำหรับบริเวณยอดดอยและยอดภูจะมีอากาศหนาวถึงหนาวจัดกับมีน้ำค้างแข็งบางพื้นที่ เกษตรกรควรระวังและป้องกันความเสียหายที่จะเกิดกับพืชผลทางด้านการเกษตรโดยหลีกเลี่ยงการให้น้ำพืชในช่วงเย็นเพราะอาจทำให้ท่อลำเลียงน้ำของพืชเสียหายได้เมื่อเกิดน้ำค้างแข็ง ในช่วงที่อากาศเย็น เกษตรกรควรรักษาสุขภาพให้แข็งแรง เพื่อป้องกันการเจ็บป่วย สำหรับในช่วงฤดูหนาวอากาศจะจมตัว เกษตรกรไม่ควรเผาวัสดุเหลือใช้ทางการเกษตร เนื่องจากควันไฟจะไม่สามารถลอยขึ้นไปในบรรยากาศได้แต่จะแผ่ปกคลุมบริเวณใกล้เคียง ทำให้ทัศนวิสัยลดลงเป็นอุปสรรคต่อการใช้รถใช้ถนน และเป็นอันตรายต่อสุขภาพ ระยะนี้ปริมาณและการกระจายของฝนมีน้อยประกอบกับน้ำระเหยมีมากทำให้ความชื้นในดินลดลง เกษตรกรควรคลุมดินบริเวณแปลงปลูกพืชและโคนต้นพืชด้วยวัสดุเหลือใช้ทางด้านการเกษตร เช่น ใบไม้ ฟางข้าว และหญ้าแห้ง เป็นต้น เพื่อลดการระเหยของน้ำบริเวณผิวดิน รวมทั้งควรใช้น้ำที่เก็บกักไว้อย่างประหยัด โดยให้น้ำพืชครั้งละน้อยๆแต่บ่อยๆครั้งและควรให้น้ำพืชในช่วงเย็น เพื่อลดการสูญเสียน้ำโดยการระเหย สำหรับเกษตรกรที่จุดไฟเพื่อให้ความอบอุ่นแก่ตนเองและสัตว์เลี้ยง ควรดับให้สนิททุกครั้งหลังเลิกใช้งาน เพื่อป้องกันการเกิดอัคคีภัย ส่วนในบางพื้นที่อาจมีหมอกในตอนเช้าโดยเฉพาะในภาคเหนือ เกษตรกรควรไม่ควรตากผลผลิตทางการเกษตรไว้กลางแจ้งข้ามคืน เพราะอาจเปียกชื้นเสียหายได้ รวมทั้งควรระวังและป้องกันโรคราน้ำค้างที่อาจเกิดกับพืชไร่ ไม้ดอก และพืชผัก สำหรับภาคใต้ทางตอนบนของภาคจะมีอากาศเย็น เกษตรกรควรรักษาสุขภาพให้แข็งแรง เพื่อป้องกันการเจ็บป่วย ระยะต่อไปปริมาณและการกระจายของฝนจะลดลง เกษตรกรกักเก็บน้ำเอาไว้ใช้ทางด้านการเกษตร และควรวางแผนการใช้น้ำที่เก็บกักไว้ให้มีประสิทธิภาพ เพื่อจะได้มีน้ำใช้ในช่วงที่มีฝนตกน้อย
สำหรับผู้ที่เลี้ยงสัตว์ ในบางช่วงอาจมีลมแรง เกษตรกรควรทำแผงกำบังลมหนาวให้แก่สัตว์เลี้ยง เพื่อป้องกันลมโกรกโรงเรือน ทำให้สัตว์หนาวเย็น โดยเฉพาะสัตว์ที่ยังเล็กควรเพิ่มความอบอุ่นภายในโรงเรือน และไม่ควรปล่อยให้สัตว์เลี้ยงอยู่ในที่โล่งแจ้งตอนกลางคืน เพราะอาจทำให้สัตว์ที่ไม่แข็งแรงตายได้ และควรหมั่นสังเกตสัตว์เลี้ยงหากพบสัตว์ป่วยควรรีบแยกออกจากกลุ่มและทำการรักษา เพื่อป้องกันเชื้อโรคแพร่ไปยังตัวอื่นๆ รวมทั้งหลีกเลี่ยงการสัมผัสกับสัตว์ที่ป่วยโดยตรง หากมีความจำเป็นต้องสัมผัสควรสวมถุงมือยางและสวมเสื้อผ้าให้มิดชิด ทุกครั้ง เพื่อป้องกันเชื้อโรคเข้าสู่ร่างกาย
ส่วนผู้ที่เลี้ยงสัตว์น้ำ ในช่วงที่อากาศเย็น สัตว์น้ำจะกินอาหารได้น้อยลงอาหารที่เหลือจะทำให้น้ำเน่าเสีย ส่งผลให้สัตว์น้ำอ่อนแอและเป็นโรคได้ง่าย เนื่องจากปริมาณน้ำระเหยมีมาก ผู้เลี้ยงสัตว์น้ำควรดูแลสภาพน้ำให้เหมาะสมกับชนิดของสัตว์น้ำที่เลี้ยง และควรควบคุมปริมาณน้ำให้เหมาะสมกับจำนวนสัตว์น้ำที่เลี้ยงหากน้ำมีน้อยจะทำให้สัตว์น้ำอยู่อย่างแออัด ส่งผลให้สัตว์น้ำอ่อนแอและเป็นโรคได้ง่าย นอกจากนี้ควรหลีกเลี่ยงการเคลื่อนย้ายสัตว์น้ำเพราะจะทำให้สัตว์เครียดได้
ออกประกาศ วันที่ 04 มกราคม 2559

พยากรณ์อากาศเกษตรเพื่อไม้ผล

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : กรมอุตุนิยมวิทยา

http://www.tmd.go.th/agromet_crop_animal_forecast.php

พยากรณ์อากาศเกษตรเพื่อไม้ผล
ระหว่างวันที่ 11 – 17 มกราคม 2559
ผลกระทบต่อพืชและสัตว์เศรษฐกิจ
ระยะนี้บริเวณประเทศไทยตอนบนจะมีอากาศหนาวเย็นโดยทั่วไปโดยทางตอนบนของภาคเหนือและภาคตะวันออกเฉียงเหนือจะมีอากาศหนาวเย็นกว่าบริเวณอื่นๆ สำหรับบริเวณยอดดอยและยอดภูจะมีอากาศหนาวถึงหนาวจัดกับมีน้ำค้างแข็งบางพื้นที่อาจทำให้ไม้ผลที่ปลูกบนที่สูงเช่น สตรอเบอรี่ ได้รับความเสียหาย ส่วนลิ้นจี่ และลำไย ในบริเวณภาคเหนือและภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ที่อยู่ในระยะพักตัวเตรียมออกดอก เกษตรกรควรงดให้น้ำ และรอจนกว่าเห็นดอกชัดเจนแล้วค่อยให้น้ำ โดยให้น้ำครั้งละน้อยๆแล้วค่อยเพิ่มปริมาณขึ้น เพราะหากขาดน้ำจะทำให้ดอกเหี่ยวแห้งการติดผลลดลง และในบางช่วงอาจมีหมอกและน้ำค้าง เกษตรกรควรระวังและป้องกันการระบาดของ หนอนเจาะกิ่งและลำต้น รวมทั้งมวนลำไย สำหรับฝนที่ตกในภาคกลางและภาคตะวันออกในระยะนี้ ยังคงมีปริมาณและการกระจายของฝนน้อย ประกอบกับน้ำระเหยมีมากทำให้ความชื้นในดินลดลง เกษตรกรควรให้น้ำแก่พืชเพิ่มเติม โดยเฉพาะไม้ผลที่อยู่ในระยะออกดอก หากขาดน้ำจะทำให้ดอกร่วงหล่น การติดผลลดลง รวมทั้งกำจัดวัชพืชบริเวณโคนต้นเพื่อไม่ให้แย่งอาหารและน้ำจากต้นพืช และคลุมดินบริเวณแปลงปลูกพืชและโคนต้นพืชด้วยวัสดุเหลือใช้ทางการเกษตร เพื่อลดการระเหยของน้ำบริเวณผิวดิน รักษาความชื้นภายในดินนอกจากนี้ควรระวังการระบาดของศัตรูพืชจำพวกปากดูด เช่นเพลี้ยแป้งในมะม่วง เพลี้ยไฟในทุเรียนและมังคุด เป็นต้น ซึ่งจะดูดกินน้ำเลี้ยง ทำให้ผลผลิตลดลงและเสียหาย
สำหรับภาคใต้ ช่วงที่ผ่านมามีฝนตกน้อย และในระยะต่อไปจะยังคงมีปริมาณและการกระจายของฝนน้อย เกษตรกรควรดูแลให้น้ำแก่พืชที่ปลูกเพิ่มเติม เพื่อป้องกันพืชชะงักการเจริญเติบโตและแคระแกร็น สำหรับไม้ผลที่อยู่ในระยะพักตัวเพื่อสะสมอาหาร ชาวสวนควรระวังและป้องกันการระบาดของศัตรูพืชจำพวกปากดูด เช่นเพลี้ยไฟในทุเรียนและมังคุด เป็นต้น ซึ่งจะดูดกินน้ำเลี้ยง ทำให้ผลผลิตลดลงและเสียหาย ส่งผลกระทบต่อผลผลิตในระยะต่อไป
ออกประกาศ วันที่ 11 มกราคม 2559

พยากรณ์อากาศเกษตรเพื่อพืชไร่และผัก

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : กรมอุตุนิยมวิทยา

http://www.tmd.go.th/agromet_crop_animal_forecast.php

พยากรณ์อากาศเกษตรเพื่อพืชไร่และผัก
ระหว่างวันที่ 18 – 24 มกราคม 2559
ผลกระทบต่อพืชและสัตว์เศรษฐกิจ
ในช่วงวันที่ 18-19 ม.ค. บริเวณความกดอากาศสูงกำลังปานกลางอีกระลอกหนึ่งจากประเทศจีนจะแผ่ลงมาปกคลุมบริเวณภาคตะวันออกเฉียงเหนือ และทะเลจีนใต้ ประกอบกับลมตะวันออกเฉียงใต้ยังคงพัดปกคลุมภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนล่าง ภาคกลาง และภาคตะวันออก ลักษณะเช่นนี้ทำให้บริเวณประเทศไทยตอนบนมีฝนเกิดขึ้นและมีอากาศหนาวเย็น ส่วนในช่วงวันที่ 20-22 ม.ค. บริเวณความกดอากาศสูงจากประเทศจีนจะมีกำลังอ่อนลงทำให้อุณหภูมิสูงขึ้น ต่อจากนั้นในช่วงวันที่ 23- 24 ม.ค. บริเวณความกดอากาศสูงกำลังแรงอีกระลอกหนึ่งจากประเทศจีนจะแผ่เสริมลงมาปกคลุมประเทศไทยตอนบน และทะเลจีนใต้ ทำให้บริเวณภาคตะวันออกเฉียงเหนือมีฝนฟ้าคะนองเกิดขึ้นในระยะแรกหลังจากนั้นอุณหภูมิจะลดลง 3-5 องศาเซลเซียส เกษตรกรควรดูแลสุขภาพของตนเองและสัตว์เลี้ยงให้แข็งแรง เพื่อป้องกันการเจ็บป่วยในช่วงที่อากาศเปลี่ยนแปลง
ระยะนี้บริเวณประเทศไทยตอนบนจะมีอากาศหนาวเย็นโดยทั่วไปโดยทางตอนบนของภาคเหนือและภาคตะวันออกเฉียงเหนือจะมีอากาศหนาวเย็นกว่าบริเวณอื่นๆ ส่วนบริเวณยอดดอยและยอดภูจะมีอากาศหนาวถึงหนาวจัด สำหรับฝนที่ตกบริเวณประเทศไทยตอนบนในระยะนี้ยังคงมีปริมาณและการกระจายของฝนน้อย ประกอบกับน้ำระเหยมีมากทำให้ความชื้นในดินลดลง โดยสมดุลน้ำในช่วง 7 วันที่ผ่านมา มีค่าประมาณ (-10) – (-20) ซึ่งแสดงว่าปริมาณฝนที่ตกน้อยกว่าปริมาณน้ำที่สูญเสียโดยการระเหยและการคายน้ำของพืช ดังนั้นเกษตรกรควรให้น้ำแก่พืชเพิ่มเติมโดยเฉพาะพืชไร่และผักชนิดต่างๆ ซึ่งเป็นพืชที่มีระบบรากตื้น หากขาดน้ำจะ ทำให้ต้นชะงักการเจริญเติบโต ผลผลิตลดลง รวมทั้งกำจัดวัชพืชบริเวณโคนต้นเพื่อไม่ให้แย่งอาหารและน้ำจากต้นพืช และคลุมดินบริเวณแปลงปลูกพืชและโคนต้นพืชด้วยวัสดุเหลือใช้ทางการเกษตร เพื่อลดการระเหยของน้ำบริเวณผิวดินและรักษาความชื้นภายในดิน นอกจากนี้ควรระวังการระบาดของศัตรูพืช เช่น หนอนใยผัก โดยจะพบการระบาดมากในช่วงเดือน มกราคม – เมษายน ของทุกปี ซึ่งเป็นช่วงที่มีอุณหภูมิเหมาะสมต่อการขยายพันธุ์ พืชอาหารหลักของหนอนชนิดนี้คือพืชตระกูกะหล่ำ ได้แก่ กะหล่ำปลี กะหล่ำดอก กวางตุ้ง ผักกาดเขียว คะน้า ผักกาดขาว ผักกาดหัว เป็นต้น
สำหรับภาคใต้ตอนบนช่วงที่ผ่านมามีฝนตกน้อย และในระยะต่อไปจะยังคงมีปริมาณและการกระจายของฝนน้อย เกษตรกรควรดูแลให้น้ำแก่พืชที่ปลูกเพิ่มเติม เพื่อป้องกันพืชชะงักการเจริญเติบโตและแคระแกร็น ส่วนทางตอนล่างของภาคปริมาณและการกระจายของฝนในช่วงที่ผ่านมาเพียงพอกับความต้องการของพืชประกอบกับในช่วง 7 วันข้างหน้ายังคงมีฝนตกอยู่ในเกณฑ์เป็นแห่งๆถึงกระจายและจะมีฝนตกหนักบางแห่งทางฝั่งตะวันออกของภาค ซึ่งจะเป็นผลดีต่อการเจริญเติบชองพืชโดยเฉพาะผักชนิดต่างๆ
ออกประกาศ วันที่ 18 มกราคม 2559

พยากรณ์ราย 3 เดือน

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : กรมอุตุนิยมวิทยา

http://www.tmd.go.th/agromet_3month_forecast.php

พยากรณ์อากาศเพื่อการเกษตรราย 3 เดือน
ระหว่างเดือน มกราคม – มีนาคม 2559
ลักษณะอากาศทั่วไป
ประเทศไทยตอนบน (ภาคเหนือ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ภาคกลางและภาคตะวันออก)เดือนมกราคม บริเวณความกดอากาศสูงจากประเทศจีนยังคงแผ่เสริมลงมาปกคลุมประเทศไทยตอนบนเป็นระยะๆ โดยจะมีกำลังค่อนข้างแรงเป็นส่วนมากและต่อเนื่อง ซึ่งจะส่งผลให้ภาคเหนือและภาคตะวันออกเฉียงเหนือมีอากาศหนาวเย็นทั่วไป โดยเฉพาะตอนบนของภาค กับมีหมอกหนาหลายพื้นที่ในบางวัน ส่วนภาคกลางและภาคตะวันออกจะมีอากาศเย็นเกือบทั่วไป และมีอากาศหนาวบางพื้นที่ ส่วนมากทางตอนบนของภาค กับมีหมอกหนาหลายพื้นที่ในบางวัน สำหรับยอดดอย ยอดภู รวมทั้งบริเวณเทือกเขาจะมีอากาศหนาวถึงหนาวจัด และอาจมีน้ำค้างแข็งได้ในบางวัน กับมีหมอกหนาหลายพื้นที่
จากนั้นช่วงเดือนกุมภาพันธ์ ลักษณะอากาศค่อนข้างจะแปรปรวน จะมีฝนฟ้าคะนองหลายพื้นที่ในบางวัน โดยบริเวณความกดอากาศสูงจากประเทศจีนยังคงแผ่ลงมาปกคลุมประเทศไทยตอนบนเป็นระยะๆ แต่จะมีกำลังอ่อนลงและไม่ต่อเนื่อง ส่งผลให้เริ่มมีอากาศอุ่นขึ้น กับมีหมอกหนาหลายพื้นที่ และจะมีอากาศร้อนในตอนกลางวันส่วนมากในระยะครึ่งหลังของเดือน แต่หลายพื้นที่ของภาคเหนือและภาคตะวันออกเฉียงเหนือยังคงมีอากาศเย็นในตอนเช้า
เดือนมีนาคม บริเวณความกดอากาศสูงยังคงแผ่ลงมาปกคลุมตอนบนของทั้งภาคเหนือและภาคตะวันออกเฉียงเหนือเป็นระยะๆ แต่จะมีกำลังอ่อน กับจะมีลมใต้หรือลมตะวันออกเฉียงใต้พัดปกคลุมประเทศไทยตอนบนเกือบตลอดช่วง นอกจากนี้ในบางช่วงยังมีหย่อมความกดอากาศต่ำเนื่องจากความร้อนปกคลุมประเทศไทยตอนบน ลักษณะดังกล่าวทำให้ประเทศไทยตอนบนมีอากาศร้อนอบอ้าวโดยทั่วไป และมีอากาศร้อนจัดหลายพื้นที่ในบางวัน โดยเฉพาะช่วงครึ่งหลังของเดือนมีนาคม อุณหภูมิสูงสุดอาจสูงถึง 43 – 44 °ซ. แต่จะมีฝนฟ้าคะนองหลายพื้นที่ในบางช่วง ซึ่งจะช่วยคลายความร้อนลงได้บ้าง
ปริมาณฝนรวมส่วนใหญ่จะใกล้เคียงค่าปกติ ส่วนอุณหภูมิเฉลี่ยจะสูงกว่าค่าปกติ
ภาคใต้ในช่วงประมาณครึ่งแรกของเดือนมกราคม มรสุมตะวันออกเฉียงเหนือยังคงพัดปกคลุมบริเวณอ่าวไทยและภาคใต้ ซึ่งจะทำให้ภาคใต้ยังคงมีฝนเป็นแห่งๆ ถึงกระจาย กับมีฝนตกหนักบางพื้นที่ ส่วนมากทางฝั่งตะวันออก สำหรับคลื่นลมในทะเลอ่าวไทยยังคงมีกำลังค่อนข้างแรง โดยจะมีคลื่นสูง 2 – 3 เมตรในบางช่วง ส่วนทะเลอันดามันจะมีคลื่นสูงประมาณ 1 เมตร
จากนั้นในช่วงครึ่งหลังของเดือนมกราคมถึงเดือนมีนาคม มรสุมตะวันออกเฉียงเหนือที่พัดปกคลุมอ่าวไทยและภาคใต้ จะเปลี่ยนเป็นลมตะวันออกหรือลมตะวันอออกเฉียงใต้พัดปกคลุม ส่งผลให้ภาคใต้มีฝนลดลงอีก และเริ่มมีอากาศร้อนในบางวัน สำหรับคลื่นลมทั้งทะเลอ่าวไทยและอันดามันจะมีคลื่นสูงประมาณ 1 เมตร
ปริมาณฝนรวมจะต่ำกว่าค่าปกติเล็กน้อย ส่วนอุณหภูมิเฉลี่ยจะสูงกว่าค่าปกติเล็กน้อย
ข้อควรระวัง
เดือนมกราคมและกุมภาพันธ์ อาจมีคลื่นกระแสลมตะวันตกเคลื่อนจากประเทศพม่า ผ่านประเทศไทยตอนบน ทำให้บริเวณดังกล่าวมีฝนฟ้าคะนอง ลมกระโชกแรงบางพื้นที่ และอาจมีลูกเห็บตกลงมาได้
เดือนมีนาคม มักจะเกิดพายุฤดูร้อนบ่อยครั้ง โดยจะมีลักษณะของพายุฝนฟ้าคะนอง ลมกระโชกแรงและอาจมีลูกเห็บตกในบางพื้นที่ ซึ่งอาจก่อให้เกิดความเสียหายต่ออาคารบ้านเรือน และเรือกสวนไร่นาได้ ประชาชนจึงควรติดตามข่าวพยากรณ์อากาศของกรมอุตุนิยมวิทยาอย่างใกล้ชิด
คาดหมาย
มกราคม กุมภาพันธ์ มีนาคม
ภาคเหนือ อุณหภูมิสูงสุดเฉลี่ย (°ซ) 31 – 33 34 – 36 36 – 38
อุณหภูมิต่ำสุดเฉลี่ย (°ซ) 16 – 18 18 – 20 21 – 23
จำนวนชั่วโมงที่มีแสงแดด (ชั่วโมง/วัน) 8 – 9 7 – 9 7 – 8
ปริมาณน้ำระเหย (มม./วัน) 3 – 4 3 – 5 3 – 6
ปริมาณฝน (มม.) 10 – 20 5 – 15 20 – 40
จำนวนวันฝนตก (วัน) 2 – 3 1 – 2 2 – 4
ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ อุณหภูมิสูงสุดเฉลี่ย (°ซ) 31 – 33 33 – 35 36 – 38
อุณหภูมิต่ำสุดเฉลี่ย (°ซ) 17 – 19 20 – 22 21 – 23
จำนวนชั่วโมงที่มีแสงแดด (ชั่วโมง/วัน) 7 – 9 7 – 8 6 – 8
ปริมาณน้ำระเหย (มม./วัน) 4 – 6 4 – 6 4 – 6
ปริมาณฝน (มม.) 0 – 10 10 – 20 30 – 50
จำนวนวันฝนตก (วัน) 1 – 2 2 – 3 4 – 6
ภาคกลาง อุณหภูมิสูงสุดเฉลี่ย (°ซ) 33 – 35 35 – 37 36 – 38
อุณหภูมิต่ำสุดเฉลี่ย (°ซ) 21 – 23 23 – 25 25 – 27
จำนวนชั่วโมงที่มีแสงแดด (ชั่วโมง/วัน) 8 – 9 8 – 9 7 – 8
ปริมาณน้ำระเหย (มม./วัน) 4 – 6 4 – 6 5 – 7
ปริมาณฝน (มม.) 0 – 10 10 – 20 30 – 50
จำนวนวันฝนตก (วัน) 1 – 2 2 – 3 3 – 5
ภาคตะวันออกรวมทั้งชายฝั่ง อุณหภูมิสูงสุดเฉลี่ย (°ซ) 32 – 34 33 – 35 34 – 36
อุณหภูมิต่ำสุดเฉลี่ย (°ซ) 22 – 24 24 – 26 25 – 27
จำนวนชั่วโมงที่มีแสงแดด (ชั่วโมง/วัน) 7 – 8 6 – 8 6 – 7
ปริมาณน้ำระเหย (มม./วัน) 4 – 5 4 – 5 4 – 6
ปริมาณฝน (มม.) 10 – 20 20 – 40 50 – 80
จำนวนวันฝนตก (วัน) 2 – 3 3 – 4 4 – 6
ภาคใต้ฝั่งตะวันออก อุณหภูมิสูงสุดเฉลี่ย (°ซ) 30 – 32 31 – 33 32 – 34
อุณหภูมิต่ำสุดเฉลี่ย (°ซ) 22 – 24 23 – 25 24 – 26
จำนวนชั่วโมงที่มีแสงแดด (ชั่วโมง/วัน) 6 – 8 7 – 9 7 – 8
ปริมาณน้ำระเหย (มม./วัน) 3 – 5 4 – 5 4 – 5
ปริมาณฝน (มม.) 40 – 60 20 – 40 50 – 80
จำนวนวันฝนตก (วัน) 5 – 8 3 – 5 4 – 6
ภาคใต้ฝั่งตะวันตก อุณหภูมิสูงสุดเฉลี่ย (°ซ) 32 – 34 34 – 36 34 – 36
อุณหภูมิต่ำสุดเฉลี่ย (°ซ) 22 – 24 23 – 25 24 – 26
จำนวนชั่วโมงที่มีแสงแดด (ชั่วโมง/วัน) 8 – 9 8 – 9 8 – 9
ปริมาณน้ำระเหย (มม./วัน) 4 – 5 4 – 5 5 – 6
ปริมาณฝน (มม.) 15 – 30 15 – 30 70 – 100
จำนวนวันฝนตก (วัน) 3 – 5 3 – 5 6 – 9
ผลกระทบทางการเกษตร
ประเทศไทยตอนบน (ภาคเหนือ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ภาคกลางและภาคตะวันออก)เดือนมกราคม เดือนนี้เป็นช่วงปลายฤดูหนาว สภาพอากาศจะหนาวเย็นโดยทั่วไป โดยเฉพาะในช่วงที่บริเวณความกดอากาศสูงจากประเทศจีนแผ่ลงมาปกคลุม หรือมีคลื่นกระแสลมตะวันตกเคลื่อนเข้ามาสู่ประเทศไทย ทำให้ในระยะแรกจะมีฝนฟ้าคะนองและอาจมีลูกเห็บตกได้บางพื้นที่ต่อจากนั้นอุณหภูมิจะลดลงและมีอากาศหนาวเย็น กับมีอากาศหนาวถึงหนาวจัดในบางพื้นที่ เกษตรกรควรให้ความอบอุ่นแก่ตนเองอย่างเพียงพอ และรักษาสุขภาพให้แข็งแรง สำหรับบริเวณยอดดอยและยอดภูจะมีอากาศหนาวถึงหนาวจัด และอาจมีน้ำค้างแข็งได้บางพื้นที่ เกษตรกรควรระวังและป้องกันความเสียหายที่จะเกิดกับพืชผลทางการเกษตร ส่วนผู้ที่เลี้ยงสัตว์ไม่ควรปล่อยให้สัตว์เลี้ยงอยู่ในที่โล่งแจ้งตอนกลางคืน เพราะอาจทำให้สัตว์ที่อ่อนแอตายได้ สำหรับผู้ที่เลี้ยงสัตว์น้ำควรลดปริมาณอาหารลง เนื่องจากในช่วงที่อุณหภูมิลดลงสัตว์น้ำจะกินอาหารได้น้อย อาหารที่เหลือจะทำให้น้ำเน่าเสีย นอกจากนี้เกษตรกรควรคลุมดินบริเวณแปลงปลูกพืชด้วยวัสดุสีเข้ม เพื่อรักษาอุณหภูมิดิน และเนื่องจากระยะนี้ปริมาณน้ำระเหยมีมาก เกษตรกรควรคลุมดินบริเวณแปลงปลูกพืชด้วยวัสดุเหลือใช้ทางการเกษตรเพื่อลดการระเหยของน้ำบริเวณผิวดิน รักษาความชื้นภายในดิน สำหรับในระยะปลายเดือนโดยเฉพาะในช่วงที่บริเวณความกดอากาศสูงมีกำลังอ่อนลงอาจ ทำให้มีหมอกและมีหมอกหนาในหลายพื้นที่ เกษตรกรควรใช้รถใช้ถนนด้วยความระมัดระวัง สำหรับยานพาหนะทางการเกษตรหากต้องวิ่งบนถนนหลวงในเวลากลางคืนควรดูแลไฟหน้าและไฟท้ายให้สามารถมองเห็นได้ในระยะไกล เพื่อป้องกันอุบัติเหตุที่อาจเกิดขึ้น นอกจากนี้ควรระวังและป้องกันโรคพืชที่เกิดจากเชื้อราในพืชไร่ ไม้ดอก ไม้ผล และพืชผัก เช่น ราน้ำค้างในพืชผัก และราดำในมะม่วง เป็นต้น ซึ่งจะทำให้ผลผลิตด้อยคุณภาพ การติดผลลดลง สำหรับโรคราดำในมะม่วงหากพบการระบาด เกษตรกรควรฉีดพ่นด้วยน้ำจะทำให้ลดการระบาดลงไปได้ และทำให้การติดผลดีขึ้น เนื่องจากสภาพอากาศที่แห้ง เกษตรกรควรระวังและป้องกันการเกิดอัคคีภัยและไฟป่า โดยหลีกเลี่ยงการจุดไฟในพื้นที่เพาะปลูก โดยเฉพาะสวนยางพาราควรทำแนวกันไฟรอบพื้นที่เพาะปลูก หากมีความจำเป็นต้องจุดไฟเพื่อใช้งานควรดับให้สนิททุกครั้งหลังเลิกใช้ เพื่อป้องกันไฟลุกลามจนเป็นอัคคีภัย ส่วนผู้ที่เลี้ยงสัตว์น้ำควรดูแลปริมาณน้ำให้เหมาะสมกับจำนวนสัตว์น้ำที่เลี้ยง หากปริมาณน้ำมีน้อยจะทำให้สัตว์น้ำอยู่อย่างแออัด ส่งผลให้อ่อนแอและเป็นโรคได้ง่าย ส่วนพื้นที่การเกษตรที่อยู่นอกเขตชลประทาน เกาตรกรควรเลือกปลูกพืชที่อายุการเก็บเกี่ยวสั้นและใช้น้ำน้อยแทนการปลูกข้าวนาปรัง สำหรับไม้ผลที่อยู่ในระยะแทงช่อดอก โดยเฉพาะลำไย เกษตรกรควรงดให้น้ำ จนกว่าจะเห็นดอกชัดเจนแล้วจึงค่อยลงมือให้น้ำโดยเริ่มจากให้ในปริมาณที่น้อยก่อนแล้วค่อยเพิ่มปริมาณขึ้น สำหรับผู้ที่ปลูกกล้วยไม้ในโรงเรือนควรเพิ่มความชื้นโดยใช้วัสดุอุ้มน้ำชุบน้ำแล้วนำไปไว้ในโรงเรือน รวมทั้งควรระวังและป้องกันศัตรูพืชจำพวกปากดูดซึ่งจะดูดกินน้ำเลี้ยง ทำให้ต้นชะงักการเจริญเติบโต ผลผลิตด้อยคุณภาพ

เดือนกุมภาพันธ์ เดือนนี้เป็นช่วงรอยต่อระหว่างฤดูหนาวกับฤดูร้อนอุณหภูมิในตอนกลางวันและกลางคืนจะแตกต่างกันมาก เกษตรกรควรรักษาสุขภาพให้แข็งแรง เพื่อป้องกันการเจ็บป่วยหากร่างกายปรับตัวไม่ทัน สำหรับผู้ที่เลี้ยงสัตว์ควรควบคุมอุณหภูมิภายในโรงเรือน อย่าให้เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว เพื่อป้องกันสัตว์เลี้ยงปรับตัวไม่ทันจนอ่อนแอและเป็นโรคได้ง่าย เนื่องจากในบางช่วงอาจมีหมอก โดยเฉพาะในช่วงที่บริเวณความกดอากาศสูงอ่อนกำลังลง เกษตรกรควรใช้รถใช้ถนนด้วยความระมัดระวัง ขณะผ่านบริเวณที่มีหมอกหนา ส่วนรถหรือเครื่องจักรกลที่ใช้ในการเกษตร หากมีความจำเป็นต้องวิ่งบนถนนหลวงในเวลากลางคืนควรดูแลโคมไฟหน้าและไฟท้ายให้ใช้การได้ดี และเปิดไฟให้สามารถมองเห็นได้ในระยะไกล เพื่อป้องกันอุบัติเหตุที่อาจเกิดขึ้นบนท้องถนน นอกจากนี้ผลผลิตทางการเกษตรที่เก็บเกี่ยวมาแล้ว เกษตรกรควรหลีกเลี่ยงการตากไว้กลางแจ้งข้ามคืนในระยะนี้ เพราะอาจให้เปียกชื้นเสียหายเนื่องจากหมอกและน้ำค้างได้ และเนื่องจากสภาพอากาศที่แห้ง เกษตรกรควรระวังและป้องกันการเกิดอัคคีภัยและไฟป่า โดยทำแนวกันไฟรอบพื้นที่เพาะปลูกและหลีกเลี่ยงการจุดไฟในพื้นที่เพาะปลูกและบริเวณอาคารบ้านเรือนหากมีความจำเป็นต้องจุดไฟควรดับให้สนิททุกครั้งหลังเลิกใช้งาน โดยเฉพาะในบริเวณสวนยางพาราควรระมัดระวังเป็นพิเศษ เพราะไฟอาจลุกลามเป็นอัคคีภัยได้ง่าย และระยะนี้ปริมาณน้ำระเหยมีมากประกอบกับฝนที่ตกมีน้อย เกษตรกรควรคลุมดินบริเวณแปลงปลูกพืชด้วยวัสดุเหลือใช้ทางการเกษตร เพื่อลดปริมาณการระเหยของน้ำบริเวณผิวดิน รักษาความชื้นภายในดิน สำหรับเกษตรกรที่ต้องการปลูกพืชในระยะนี้ควรมีน้ำสำรองเอาไว้ให้แก่พืชในระยะเจริญเติบโตโดยเฉพาะในช่วงที่ผลิดอกออกผลเป็นช่วงที่พืชต้องการน้ำมาก หากได้รับน้ำไม่เพียงพอจะทำให้ผลผลิตลดลง ถ้าขาดน้ำจะทำให้สูญเสียผลผลิตโดยสิ้นเชิง สำหรับในระยะครึ่งหลังของเดือนจะเป็นช่วงต้นฤดูร้อน อากาศจะเริ่มร้อนอบอ้าว เกษตรกรควรระวังและป้องกันโรคที่เกี่ยวกับระบบทางเดินอาหาร ส่วนผู้ที่เลี้ยงสัตว์ควรฉีดวัคซีนป้องกันโรคที่จะเกิดในช่วงฤดูร้อนให้กับสัตว์เลี้ยง รวมทั้งควรเพิ่มปริมาณน้ำกินให้กับสัตว์ และลดอุณหภูมิภายในโรงเรือนเลี้ยงสัตว์เลี้ยงด้วย นอกจากนี้ควรระวังและป้องกันการระบาดของศัตรูพืชจำพวกปากดูดในพืชไร่ ไม้ผล และพืชผักด้วย ซึ่งศัตรูพืชดังกล่าวจะดูดกินน้ำเลี้ยงจากต้นพืชทำให้ต้นทรุดโทรมผลผลิตลดลงและด้อยคุณภาพ

เดือนมีนาคม เดือนนี้เป็นช่วงต้นฤดูร้อนในระยะต้นเดือนสภาพอากาศจะแปรปรวน โดยอุณหภูมิที่แตกต่างกันมากระหว่างกลางวันและกลางคืน เกษตรกรควรรักษาสุขภาพให้แข็งแรง เพื่อป้องกันการเจ็บป่วย ส่วนผู้ที่เลี้ยงสัตว์ควรควบคุมอุณหภูมิภายในโรงเรือนอย่าให้เปลี่ยนแปลงรวดเร็ว ป้องกันสัตว์ปรับตัวไม่ทันจนอ่อนแอและเป็นโรคได้ง่าย เนื่องจากระยะนี้เป็นช่วงแล้ง เกษตรกรควรใช้น้ำที่เก็บกักไว้อย่างประหยัด โดยให้น้ำพืชครั้งละน้อยๆแต่บ่อยครั้ง และควรให้น้ำพืชในช่วงเย็น เพื่อลดการสูญเสียน้ำเนื่องจากการระเหย เนื่องจากปริมาณน้ำที่ระเหยมากในระยะนี้ เกษตรกรควรคลุมดินด้วยวัสดุเหลือใช้ทางการเกษตร เช่น ใบไม้ ฟางข้าว และหญ้าแห้ง เพื่อลดการระเหยของน้ำบริเวณผิวดิน รักษาความชื้นภายในดิน สำหรับสภาพอากาศที่แห้ง เกษตรกรควรระวังและป้องกันการระบาดของศัตรูพืชจำพวกปากดูด เช่น เพลี้ยและไรชนิดต่างๆ ซึ่งจะดูดกินน้ำเลี้ยงจากพืชทำให้ต้นเสียหาย ผลผลิตลดลง ส่วนผู้ที่ต้องการปลูกพืชในระยะนี้ควรมีน้ำสำรองให้แก่พืชในระยะเจริญเติบโต เพราะหากได้รับน้ำไม่เพียงพอจะทำให้พืชชะงักการเจริญเติบโต ถ้าขาดน้ำจะทำให้สูญเสียผลผลิตโดยสิ้นเชิง เนื่องจากสภาพอากาศที่แห้ง เกษตรกรควรระวังและป้องกันการเกิดอัคคีภัย ในพื้นที่เพาะปลูกและที่อยู่อาศัยโดยทำแนวกันไฟรอบพื้นที่เพาะปลูก โดยเฉพาะบริเวณสวนยางพาราควรหลีกเลี่ยงการจุดไฟในแปลงปลูกหากมีความจำเป็นต้องจุดไฟควรดับให้สนิททุกครั้งหลังเลิกใช้งาน เพื่อป้องกันไฟลุกลามจนเกิดเป็นอัคคีภัย นอกจากนี้ผู้ที่เลี้ยงสัตว์น้ำควรดูแลปริมาณน้ำให้เหมาะสมกับจำนวนสัตว์น้ำที่เลี้ยง หากปริมาณน้ำมีน้อยจะทำให้ขาดความสมดุล สัตว์น้ำอยู่อย่างแออัด ส่งผลให้อ่อนแอและเป็นโรคได้ง่าย สำหรับในระยะครึ่งหลังของเดือนอุณหภูมิจะสูงขึ้น ผู้ที่เลี้ยงสัตว์ควรลดอุณหภูมิภายในโรงเรือน โดยนำวัสดุอุ้มน้ำชุบน้ำแล้วนำไปไว้ในโรงเรือน รวมทั้งควรเพิ่มปริมาณน้ำกินให้กับสัตว์ หากมีน้ำมากพอควรฉีดน้ำบริเวณหลังคาจะช่วยลดอุณหภูมิภายในโรงเรือนได้ นอกจากนี้ควรฉีดวัคซีนป้องกันโรคที่จะเกิดในช่วงฤดูร้อนให้กับสัตว์เลี้ยงด้วย ส่วนไม้ผลที่อยู่ในระยะเจริญเติบโตทางผล เช่น มะม่วง ลำไย และลิ้นจี่ เป็นต้น เกษตรกรควรให้น้ำอย่างเพียงพอ เพราะหากขาดน้ำจะทำให้ผลชะงักการเจริญเติบโต ผลผลิตลดลง และด้อยคุณภาพ

ภาคใต้เดือนมกราคม เดือนนี้เป็นช่วงปลายฤดูหนาว ทางตอนบนของภาคจะมีอากาศเย็น เกษตรกรควรรักษาสุขภาพให้แข็งแรง เพื่อป้องกันการเจ็บป่วย สำหรับบางพื้นที่จะมีหมอก เกิดขึ้น เกษตรกรควรใช้รถใช้ถนนด้วยความระมัดระวัง โดยเฉพาะขณะผ่านบริเวณที่มีหมอกหนา รวมทั้งระวังและป้องกันโรคราน้ำค้างในพืชผัก สำหรับปริมาณและการกระจายของฝนจะลดลงโดยเฉพาะทางตอนบนและตอนกลางของภาค เกษตรกรควรวางแผนการใช้น้ำที่เก็บกักไว้ให้มีประสิทธิภาพ เพื่อจะได้มีน้ำใช้ทางด้านการเกษตรในช่วงที่มีฝนตกน้อย แม้ปริมาณและการกระจายของฝนจะลดลงกว่าระยะที่ผ่านมา แต่ปริมาณความชื้นภายในดินยังคงมีอยู่ เกษตรกรควรระวังและป้องกันการระบาดของโรคพืชที่เกิดจากเชื้อรา โดยเฉพาะโรครากเน่าโคนเน่า ใน ไม้ผล เช่น เงาะ ทุเรียน และกองกอง เป็นต้น ซึ่งจะทำให้ต้นพืชเสียหาย และพืชอาจตายได้ ส่วนพื้นที่ซึ่งถูกน้ำท่วมในระยะที่ผ่านมา เกษตรกรควรฟื้นฟูสภาพสวนและแหล่งน้ำให้ใช้ได้ดีดังเดิม สำหรับทางตอนล่างของภาคในบางช่วงอาจยังคงมีฝนตกหนักเกิดขึ้นได้ เกษตรกรควรระวังอันตรายและป้องกันความเสียหายจากสภาวะดังกล่าว ส่วนในช่วงที่มรสุมตะวันออกเฉียงเหนือมีกำลังแรง ทำให้คลื่นลมบริเวณอ่าวไทยมีกำลังแรงขึ้น ผู้ที่เลี้ยงสัตว์น้ำชายฝั่งควรระวังและป้องกันความเสียหายที่จะเกิดขึ้น โดยเฉพาะคลื่นลมแรงที่ซัดเข้าหาฝั่ง หากสัตว์น้ำโตได้ขนาดควรทะยอยจับขายไปก่อนบางส่วน เพื่อลดความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้น ส่วนชาวเรือและชาวประมงควรเพิ่มความระมัดระวังในการเดินเรือและเรือเล็กควรงดออกจากฝั่งในช่วงที่ทะเลมีคลื่นจัด โดยติดตามข่าวพยากรณ์อากาศ ข่าวอากาศเพื่อการเกษตร อุตุนิยมวิทยาทะเล และประกาศกรมอุตุนิยมวิทยา จากกรมอุตุนิยมวิทยาอย่างใกล้ชิด

เดือนกุมภาพันธ์ เดือนนี้อุณหภูมิจะเริ่มสูงขึ้นกว่าเดือนที่ผ่านมา โดยอุณหภูมิต่ำสุดและสูงสุดจะเริ่มแตกต่างกันมาก เกษตรกรควรรักษาสุขภาพให้แข็งแรง สำหรับปริมาณและการกระจายของฝนจะลดลง เกษตรกรควรวางแผนการใช้น้ำที่เก็บกักไว้ให้มีประสิทธิภาพ เพื่อจะได้มีน้ำใช้ทางด้านการเกษตรในช่วงแล้ง โดยให้น้ำพืชครั้งละน้อยๆแต่บ่อยครั้งและควรให้น้ำพืชในช่วงเย็น เพื่อลดการสูญเสียน้ำเนื่องจากการระเหย สำหรับทางตอนบนของภาคสภาพอากาศจะแห้ง เกษตรกรระวังและป้องกันการระบาดของศัตรูพืชจำพวกปากดูด ใน พืชไร่ ไม้ ผล และพืชผัก ซึ่งศัตรูพืชดังกล่าวจะดูดกินน้ำเลี้ยงจากพืช ทำให้ต้นพืชชะงักการเจริญเติบโต ผลผลิตลดลง เนื่องจากระยะต่อไปจะเป็นช่วงแล้ง เกษตรกรควรคลุมดินบริเวณแปลงปลูกพืชด้วยวัสดุเหลือใช้ทางการเกษตร เช่น ใบไม้ ฟางข้าว และหญ้าแห้ง เพื่อลดการระเหยของน้ำบริเวณผิวดิน รักษาความชื้นภายในดิน เนื่องจากในระยะครึ่งหลังของเดือนจะเข้าสู่ ฤดูร้อน สภาพอากาศที่แห้ง เกษตรกรควรระวังและป้องกันการเกิดอัคคีภัย โดยทำแนวกันไฟรอบพื้นที่เพาะปลูก โดยเฉพาะบริเวณสวนยางพารา ควรหลีกเลี่ยงการจุดไฟหากมีความจำเป็นต้องจุดไฟ เพื่อใช้งานควรดับให้สนิททุกครั้งหลังจากเสร็จภารกิจ เพื่อป้องกันไฟลุกลามจนกลายเป็นอัคคีภัย สำหรับพืชที่อยู่ในระยะเจริญเติบโต โดยเฉพาะพืชสวนที่ปลูกในช่วงฤดูฝนที่ผ่านมา เกษตรกรควรให้น้ำอย่างเพียงพอ เพราะหากขาดน้ำจะทำให้พืชเหี่ยวเฉา (หากมีการให้น้ำจะทำให้พืชสามารถฟื้นขึ้นมาได้) ถ้าขาดน้ำเป็นเวลานานจะทำให้พืชเหี่ยวเฉาถาวร(แม้จะมีการให้น้ำจะไม่ทำให้พืชสามารถฟื้นขึ้นมาได้)ทำให้พืชตายได้ ส่วนในช่วงที่มรสุมตะวันออกเฉียงเหนือมีกำลังแรงโดยเฉพาะในระยะครึ่งแรกของเดือน ทำให้คลื่นลมบริเวณอ่าวไทยมีกำลังแรงขึ้น ผู้ที่เลี้ยงสัตว์น้ำชายฝั่งควรระวังและป้องกันความเสียหายที่จะเกิดขึ้น โดยเฉพาะคลื่นลมแรงที่ซัดเข้าหาฝั่ง หากสัตว์น้ำโตได้ขนาดควรทะยอยจับขายไปก่อนบางส่วน เพื่อลดความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้น ส่วนชาวเรือและชาวประมงควรเพิ่มความระมัดระวังในการเดินเรือและเรือเล็กควรงดออกจากฝั่งในช่วงที่ทะเลมีคลื่นจัด โดยติดตามข่าวพยากรณ์อากาศ ข่าวอากาศเพื่อการเกษตร อุตุนิยมวิทยาทะเล และประกาศกรมอุตุนิยมวิทยา จากกรมอุตุนิยมวิทยาอย่างใกล้ชิด

เดือนมีนาคม เดือนนี้เป็นช่วงต้นฤดูร้อน อุณหภูมิจะสูงขึ้น เกษตรกรควรระวังและป้องกันโรคที่เกี่ยวกับระบบทางเดินอาหาร โดยรับประทานอาหารที่สะอาดและปรุงใหม่ๆ สำหรับปริมาณฝนที่มีน้อย เกษตรกรควรใช้น้ำที่เก็บกักไว้อย่างประหยัดโดยให้น้ำพืชครั้งละน้อยๆแต่บ่อยครั้ง และควรวางแผนการใช้น้ำทางด้านการเกษตรให้มีประสิทธิภาพ เพื่อจะได้มีน้ำใช้ในช่วงแล้ง เนื่องจากสภาพอากาศที่แห้งในเดือนนี้ เกษตรกรควรระวังและป้องกันการเกิดอัคคีภัย โดยทำแนวกันไฟรอบพื้นที่เพาะปลูกตลอดจนอาคารบ้านเรือน และหลีกเลี่ยงการจุดไฟ หากมีความจำเป็นต้องจุดไฟควรดับไฟให้สนิททุกครั้งหลังเลิกใช้งาน โดยเฉพาะบริเวณสวนยางพาราชาวสวนควรระวังเกี่ยวกับอัคคีภัยเป็นพิเศษ เนื่องจากปริมาณฝนมีน้อยประกอบกับน้ำระเหยมีมากทำให้ความชื้นในดินลดลง เกษตรกรควรให้น้ำแก่พืชอย่างเพียงพอ เพราะหากขาดน้ำจะทำให้พืชเหี่ยวเฉา(ถ้าได้รับน้ำพืชสามารถฟื้นกลับคืนมาได้)ถ้าขาดน้ำเป็นเวลานานจะทำให้พืชเหี่ยวเฉาถาวร(ถึงได้รับน้ำพืชก็ไม่สามารถฟื้นกลับคืนมาได้)ทำให้ต้นพืชตายได้ รวมทั้งควรคลุมดินบริเวณต้นไม้ผลด้วยวัสดุเหลือใช้ทางการเกษตร เช่น ใบไม้และหญ้าแห้ง เพื่อป้องกันน้ำบริเวณผิวหน้าดินระเหย รักษาความชื้นภายในดิน สำหรับพืชต้นอ่อนที่ปลูกใหม่ เกษตรกรควรพรางแสงหรือทำร่มเงาให้แก่พืช เพื่อลดความเข้มของแสง นอกจากนี้ควรระวังและป้องกันการระบาดของศัตรูพืชจำพวกปากดูด เช่น เพลี้ยและไรชนิดต่างๆในพืชสวนและพืชผัก ซึ่งศัตรูพืชดังกล่าวจะดูดกินน้ำเลี้ยงจากต้นพืชทำให้พืชชะงักการเจริญเติบโต หากพบควรรีบกำจัด เพื่อป้องกันการระบาดเป็นบริเวณกว้าง ส่วนผู้ที่เลี้ยงสัตว์น้ำควรควบคุมสภาพน้ำให้เหมาะกับสัตว์ที่เลี้ยง รวมทั้งดูแลปริมาณน้ำให้เหมาะกับจำนวนสัตว์น้ำที่เลี้ยง หากปริมาณน้ำมีน้อยจะทำให้สัตว์น้ำอาศัยอยู่อย่างแออัด ส่งผลให้สัตว์น้ำอ่อนแอ และเป็นโรคได้ง่าย

ออกประกาศ วันที่ 01 มกราคม 2559

พยากรณ์รายปักษ์

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : กรมอุตุนิยมวิทยา

http://www.tmd.go.th/agromet_forecast.php

พยากรณ์อากาศเพื่อการเกษตรปักษ์หลัง เดือนมกราคม 2559
ระหว่างวันที่ 16 – 31 มกราคม 2559
สภาวะอากาศ      ครึ่งหลังของเดือนมกราคมอยู่ในปลายช่วงของฤดูหนาว บริเวณความกดอากาศสูงจากประเทศจีนจะแผ่ลงมาปกคลุมประเทศไทยตอนบน และจะมีกำลังแรงเป็นช่วง ๆ ทำให้บริเวณประเทศไทยตอนบน โดยเฉพาะภาคเหนือและภาคตะวันออกเฉียงเหนือมีอากาศหนาวเย็นในช่วงดังกล่าว กับจะมีหมอกหนาเกิดขึ้นในบางพื้นที่ ส่วนบริเวณเทือกเขา ยอดดอยและยอดภูจะมีอากาศหนาวถึงหนาวจัด กับจะมีหมอกหนาและจะเกิดน้ำค้างแข็งได้ในบางช่วง สำหรับภาคใต้ทั้งสองฝั่งปริมาณฝนจะลดลงกว่าเดือนที่ผ่านมา โดยจะมีฝนฟ้าคะนองบางพื้นที่ถึงเป็นแห่ง ๆ คลื่นลมในอ่าวไทยและทะเลอันดามันจะมีคลื่นสูงประมาณ 1-2 เมตร และในช่วงที่มรสุมตะวันออกเฉียงเหนือมีกำลังแรง ภาคใต้ฝั่งตะวันออกจะมีฝนเพิ่มขึ้นและฝนตกหนักบางพื้นที่ส่วนมากทางตอนล่างของภาค
คำเตือน      ระยะครึ่งหลังของเดือนนี้อาจมีคลื่นกระแสลมตะวันตกเคลื่อนจากประเทศพม่า ผ่านประเทศไทยตอนบน ขณะเดียวกันอาจมีมวลอากาศเย็นจากประเทศจีนแผ่ลงมาปกคลุมประเทศไทยตอนบน ซึ่งจะทำให้บริเวณดังกล่าวมีฝนฟ้าคะนอง ลมกระโชกแรงบางพื้นที่และอาจมีลูกเห็บตกลงมาด้วย คลื่นลมในอ่าวไทยและทะเลอันดามันจะมีกำลังแรง จึงขอให้ประชาชนและชาวเรือติดตามข่าวพยากรณ์อากาศจากกรมอุตุนิยมวิทยาต่อไปด้วย
ผลกระทบทางการเกษตร      ระยะนี้บริเวณประเทศไทยตอนบน โดยเฉพาะในภาคเหนือและภาคตะวันออกเฉียงเหนือ บางช่วงอาจมีหมอกหนา เกษตรกรไม่ควรตากผลผลิตทางการเกษตรไว้กลางแจ้งข้ามคืน เพราะอาจเปียกชื้นเสียหายเนื่องจากหมอกและน้ำค้างได้ และในระยะนี้เป็นช่วงแล้งจะมีปริมาณน้ำระเหยจากพื้นดินมาก เกษตรกรควรคลุมพื้นที่เพาะปลูกด้วยวัสดุเหลือใช้ทางการเกษตรเพื่อรักษาความชื้นภายในดิน ส่วนเกษตรกรที่มีแหล่งน้ำเป็นของตนเอง เกษตรกรควรวางแผนการใช้น้ำให้เกิดประโยชน์สูงสุด รวมทั้งควรเลือกปลูกพืชที่อายุการเก็บเกี่ยวสั้นและใช้น้ำน้อย สำหรับภาคใต้ในระยะต่อไปปริมาณฝนจะลดลง เกษตรกรควรกักเก็บน้ำไว้ใช้ทางด้านการเกษตรในช่วงแล้ง
สัตว์เลี้ยง ในช่วงที่อุณหภูมิลดลง ผู้ที่เลี้ยงสัตว์ควรควบคุมอุณหภูมิภายในโรงเรือนอย่าให้เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว รวมถึงควรทำแผงกำบังลมหนาว และหากพบสัตว์ที่ป่วยให้รีบแยกออกจากกลุ่ม เพื่อป้องกันเชื้อโรคแพร่ระบาด
สัตว์น้ำ ในช่วงที่อุณหภูมิต่ำ ผู้ที่เลี้ยงสัตว์น้ำควรลดปริมาณอาหาร เนื่องจากอุณหภูมิที่ลดลง จะทำให้สัตว์น้ำ กินอาหารได้น้อย อาหารที่เหลือจะทำให้น้ำเน่าเสีย
พืชไร่ และไม้ดอก ในระยะครึ่งหลังของฤดูหนาวบางช่วงอาจมีหมอกและน้ำค้าง เกษตรกรควรระวังและป้องกันการระบาดของโรคพืชที่เกิดจากเชื้อรา โดยเฉพาะโรคราน้ำค้าง ซึ่งจะทำให้ผลผลิตเสียหาย หากพบควรรีบกำจัดเพื่อไม่ให้ระบาดเป็นบริเวณกว้าง
ไม้ผล ในระยะนี้สภาพอากาศแห้งเกษตรกรควรระวังและป้องกันศัตรูพืชจำพวกปากดูด ซึ่งจะดูดกินน้ำเลี้ยงทำให้ต้นทรุดโทรม ส่งผลต่อการแตกตาดอกและการติดผลอ่อน

ผลกระทบทางการเกษตรระยะ 7 วัน

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : กรมอุตุนิยมวิทยา

http://www.tmd.go.th/agromet_7dayforecast.php

ผลกระทบของลักษณะอากาศต่อการเกษตรตามภาคต่าง ๆ
ระหว่าง 22 มกราคม 2559 – 28 มกราคม 2559
ภาคเหนือ
       ในช่วงวันที่ 22-26 ม.ค. มีฝนฟ้าคะนองเป็นแห่งๆ ถึงกระจาย ร้อยละ 30-60 ของพื้นที่ กับมีลมกระโชกแรงบางแห่ง และอุณหภูมิจะลดลง 6-10 องศาเซลเซียส อากาศหนาว อุณหภูมิต่ำสุด 8-16 องศาเซลเซียส อุณหภูมิสูงสุด 20-25 องศาเซลเซียส สำหรับบริเวณยอดดอยอากาศหนาวจัดและมีน้ำค้างแข็งบางแห่ง อุณหภูมิต่ำสุด 2-8 องศาเซลเซียส ลมตะวันออก ความเร็ว 15-35 กม. /ชม.ในช่วงวันที่ 27-28 ม.ค. อุณหภูมิจะสูงขึ้นเล็กน้อย อากาศหนาวกับมีหมอกในตอนเช้า อุณหภูมิต่ำสุด 10-16 องศาเซลเซียส อุณหภูมิสูงสุด 20-25 องศาเซลเซียส สำหรับบริเวณยอดดอย อากาศหนาวจัดและมีน้ำค้างแข็งบางแห่ง อุณหภูมิต่ำสุด 3-8 องศาเซลเซียส ลมตะวันตก ความเร็ว 10-30 กม./ชม.
* ระยะนี้ยังคงมีอากาศหนาวเย็นอย่างต่อเนื่อง และในช่วงวันที่ 23 – 28 ม.ค. อุณหภูมิจะลดลงอย่างรวดเร็ว เกษตรกรควรรักษาสุขภาพให้แข็งแรง และให้ความอบอุ่นกับร่างกายอย่างเพียงพอเพื่อป้องกันการเจ็บป่วย
* ช่วงที่อุณหภูมิลดลงมาก จะทำให้อุณภูมิน้ำลดต่ำลงอย่างรวดเร็ว ส่งผลให้สัตว์น้ำโดยเฉพาะปลา ปรับตัวไม่ทันและน็อกน้ำตายได้ หากโตได้ขนาด ควรจับขายเพื่อลดความเสี่ยง นอกจากนี้ควรเปิดเครื่องตีน้ำ เพื่อปรับอุณหภูมิน้ำและเป็นการเพิ่มออกซิเจนในน้ำ รวมทั้งลดปริมาณอาหารลง เนื่องจากอุณหภูมิต่ำ ปลาจะกินอาหารได้น้อย อาหารที่เหลือจะทำให้น้ำเน่าเสีย ทำให้ปลาอ่อนแอและเป็นโรคได้ง่าย
* ส่วนผู้ที่เลี้ยงสัตว์ควรเพิ่มความอบอุ่นภายในโรงเรือน ให้แก่สัตว์เลี้ยงโดยเฉพาะสัตว์ปีก เพื่อป้องกันสัตว์หนาวเย็น จนอ่อนแอ และเป็นโรคได้ง่าย
* ในช่วงวันที่ 24 – 27 ม.ค. จะมีฝนฟ้าคะนองกับมีลมกระโชกแรง เกษตรกรควรระวัง และป้องกันความเสียหายที่จะเกิดกับทรัพย์สิน อาคารบ้านเรือน และพืชผลทางการเกษตร
ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ
       ในช่วงวันที่ 22-23 ม.ค. มีฝนฟ้าคะนองเป็นแห่งๆ ถึงกระจาย ร้อยละ 20-40 ของพื้นที่ กับมีลมกระโชกแรงบางแห่งในช่วงวันที่ 24-25 ม.ค. อุณหภูมิจะลดลง 8-10 องศาเซลเซียส อากาศหนาวกับมีลมแรง อุณหภูมิต่ำสุด 8-15 องศาเซลเซียส อุณหภูมิสูงสุด 16-20 องศาเซลเซียส สำหรับบริเวณยอดภู อากาศหนาวถึงหนาวจัด อุณหภูมิต่ำสุด 5-8 องศาเซลเซียส ลมตะวันออกเฉียงเหนือ ความเร็ว 20-40 กม. /ชม.ในช่วงวันที่ 26-28 ม.ค. อากาศเย็นถึงหนาว กับมีฝนฟ้าคะนองเป็นแห่งๆ ถึงกระจาย ร้อยละ 30-40 ของพื้นที่ อุณหภูมิต่ำสุด 11-17 องศาเซลเซียส อุณหภูมิสูงสุด 20-25 องศาเซลเซียส บริเวณยอดภู อากาศหนาวถึงหนาวจัด อุณหภูมิต่ำสุด 6-10 องศาเซลเซียส ลมแปรปรวน ความเร็ว 15-30 กม./ชม.
* ระยะนี้อากาศจะเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว เกษตรกรควรรักษาสุขภาพให้แข็งแรง และให้ความอบอุ่นกับร่างกายอย่างเพียงพอ เพื่อป้องกันการเจ็บป่วย
* ในช่วง 22 – 23 ม.ค. และ 26 – 28 ม.ค. จะมีฝนฟ้าคะนอง กับลมกระโชกแรง เกษตรกรควรระวัง และป้องกันความเสียหายที่จะเกิดกับทรัพย์สิน อาคารบ้านเรือน และพืชผลทางการเกษตร ผลผลิตที่แก่ดีแล้วควรรีบเก็บเกี่ยว หากปล่อยทิ้งไว้อาจได้รับความเสียหายได้
* ช่วงที่อุณหภูมิลดลง กับมีลมแรง เกษตรกรควรเพิ่มความอบอุ่นภายในโรงเรือน และตรวจสอบแผงกำบังลมหนาวของโรงเรือนเลี้ยงสัตว์ให้อยู่ในสภาพพร้อมใช้งาน ป้องกันลมโกรกโรงเรือน เพื่อไม่ให้สัตว์หนาวเย็น จนอ่อนแอและเป็นโรคได้ง่าย
ภาคกลาง
       ในช่วงวันที่ 22-24 ม.ค. มีฝนฟ้าคะนองเป็นแห่งๆ ถึงกระจาย ร้อยละ 20-40 ของพื้นที่ ในช่วงวันที่ 25-26 ม.ค. อากาศเย็นถึงหนาวกับมีลมแรง โดยมีฝนฟ้าคะนองบางแห่งถึงเป็นแห่งๆ ร้อยละ 10-20 ของพื้นที่ อุณหภูมิจะลดลง 6-8 องศาเซลเซียส อุณหภูมิต่ำสุด 14-18 องศาเซลเซียส อุณหภูมิสูงสุด 20-25 องศาเซลเซียส ลมตะวันออกเฉียงเหนือ ความเร็ว 20-35 กม. /ชม. ในช่วงวันที่ 26-28 ม.ค. อุณหภูมิจะสูงขึ้นเล็กน้อย อากาศเย็น อุณหภูมิต่ำสุด 16-20 องศาเซลเซียส อุณหภูมิสูงสุด 25-27 องศาเซลเซียส ลมตะวันตกเฉียงใต้ ความเร็ว 15-30 กม./ชม.
* ระยะนี้อากาศจะเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว เกษตรกรควรรักษาสุขภาพให้แข็งแรง และให้ความอบอุ่นกับร่างกายอย่างเพียงพอ เพื่อป้องกันการเจ็บป่วย
* ส่วนผู้ที่เลี้ยงสัตว์ ควรควบคุมอุณหภูมิภายในโรงเรือน อย่าให้เปลี่ยนแปลงรวดเร็ว เพื่อป้องกันสัตว์เลี้ยงปรับตัวไม่ทัน จนอ่อนแอและเป็นโรคได้ง่าย
* สำหรับฝนที่ตกในระยะนี้ จะเป็นผลดีแก่พืชที่ขาดน้ำในระยะที่ผ่านมา แต่ก็ทำให้วัชพืชเติบโตได้ดี เกษตรกรควรกำจัดวัชพืชบริเวณโคนต้นเพื่อไม่ให้แย่งอาหารและน้ำจากต้นพืช รวมทั้งกักเก็บน้ำไว้ใช้ในช่วงที่มีฝนตกน้อย
ภาคตะวันออก
       ในช่วงวันที่ 22-23 ม.ค. มีฝนฟ้าคะนองเป็นแห่งๆ ถึงกระจาย ร้อยละ 20-40 ของพื้นที่ ลมตะวันออกเฉียงใต้ ความเร็ว 15-30 กม. /ชม. ทะเลมีคลื่นสูงประมาณ 1 เมตร ในช่วงวันที่ 24-26 ม.ค. อากาศเย็นกับมีลมแรง โดยมีฝนฟ้าคะนองบางแห่งถึงเป็นแห่งๆ ร้อยละ 10-20 ของพื้นที่ อุณหภูมิจะลดลง 6-8 องศาเซลเซียส อุณหภูมิต่ำสุด 16-18 องศาเซลเซียส อุณหภูมิสูงสุด 20-25 องศาเซลเซียส ลมตะวันออกเฉียงเหนือ ความเร็ว 20-40 กม. /ชม. ทะเลมีคลื่นสูงประมาณ 2 เมตร ในช่วงวันที่ 27-28 ม.ค. อุณหภูมิจะสูงขึ้นเล็กน้อย อากาศเย็นในตอนเช้า อุณหภูมิต่ำสุด 18-21 องศาเซลเซียส อุณหภูมิสูงสุด 25-30 องศาเซลเซียส ลมตะวันออก ความเร็ว 15-35 กม./ชม. ทะเลมีคลื่นสูง 1-2 เมตร
* ระยะนี้อากาศจะเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะทางตอนบนของภาค ผู้ที่เลี้ยงสัตว์ ควรควบคุมอุณหภูมิภายในโรงเรือน อย่าให้เปลี่ยนแปลงรวดเร็ว เพื่อป้องกันสัตว์เลี้ยงปรับตัวไม่ทัน จนอ่อนแอและเป็นโรคได้ง่าย
* ช่วงที่อุณหภูมิลดลงอย่างรวดเร็ว ส่งผลให้สัตว์น้ำชายฝั่งปรับตัวไม่ทันและน็อกน้ำตายได้ หากสัตว์น้ำโตได้ขนาด เกษตรกรควรรีบจับขายเพื่อลดความเสี่ยง นอกจากนี้ควรเปิดเครื่องตีน้ำ เพื่อปรับอุณหภูมิน้ำไม่ให้แตกต่างกันมากและเป็นการเพิ่มออกซิเจนในน้ำด้วย รวมทั้งลดปริมาณอาหาร เนื่องจากอุณหภูมิลดลง สัตว์น้ำจะกินอาหารได้น้อย อาหารที่เหลือจะทำให้น้ำเน่าเสีย ทำให้สัตว์อ่อนแอและเป็นโรคได้ง่าย
ภาคใต้ (ฝั่งตะวันออก)
       ในช่วงวันที่ 23-26 ม.ค. มีฝนฟ้าคะนองเป็นแห่งๆ ถึงกระจาย ร้อยละ 30-60 ของพื้นที่ และมีฝนหนักบางแห่ง อุณหภูมิต่ำสุด 18-22 องศาเซลเซียส อุณหภูมิสูงสุด 28-33 องศาเซลเซียส ลมตะวันออกเฉียงเหนือ ความเร็ว 20-40 กม. /ชม. ทะเลมีคลื่นสูง 2-3 เมตร บริเวณที่มีฝนฟ้าคะนองมีคลื่นสูงมากกว่า 3 เมตร ในช่วงวันที่ 27-28 ม.ค. มีฝนฟ้าคะนองเป็นแห่งๆ ร้อยละ 20-30 ของพื้นที่ ลมตะวันออก ความเร็ว 15-35 กม. /ชม. ทะเลมีคลื่นสูง 1-2 เมตร บริเวณที่มีฝนฟ้าคะนองคลื่นสูงประมาณ 2 เมตร
* ช่วงนี้ทางตอนบนของภาคแม้จะมีฝน แต่ปริมาณและการกระจาย ยังไม่เพียงพอกับความต้องการของพืช เกษตรกรควรให้น้ำเพิ่มเติมแก่พืชที่กำลังเจริญเติบโตอย่างเพียงพอ หากขาดน้ำจะทำให้พืชชะงักการเจริญเติบโต รวมทั้งคลุมดินบริเวณแปลงปลูกพืชและโคนต้นพืชด้วยวัสดุเหลือใช้ทางการเกษตร เพื่อลดการระเหยของน้ำบริเวณผิวดิน รักษาความชื้นภายในดิน
* ส่วนทางตอนล่างของภาคจะมีฝนเพิ่มขึ้น พื้นที่การเกษตรในที่ลุ่ม เกษตรควรดูแลระบบระบายน้ำในแปลงปลูกให้มีประสิทธิภาพ เพื่อป้องกันน้ำขังบริเวณแปลงปลูก รวมทั้งกักเก็บน้ำไว้ใช้ในช่วงที่มีฝนตกน้อย
* อนึ่ง ในช่วงวันที่ 23- 27 ม.ค. บริเวณอ่าวไทยจะมีคลื่นลมแรง ทะเลมีคลื่นสูง 2 – 3 เมตร บริเวณที่มีฝนฟ้าคะนองมีคลื่นสูงมากกว่า 3 เมตรชาวเรือและชาวประมงควรเพิ่มความระมัดระวังในการเดินเรือ และเรือเล็กควรงดออกจากฝั่ง
ภาคใต้ (ฝั่งตะวันตก)
        ในช่วงวันที่ 23-26 ม.ค. มีฝนฟ้าคะนองเป็นแห่งๆ ร้อยละ 20-30 ของพื้นที่ อุณหภูมิต่ำสุด 20-25 องศาเซลเซียส อุณหภูมิสูงสุด 30-34 องศาเซลเซียส ลมตะวันออก ความเร็ว 20-35 กม. /ชม. ทะเลมีคลื่นสูง 1- 2 เมตร ห่างฝั่งคลื่นสูงประมาณ 2 เมตร ในช่วงวันที่ 27-28 ม.ค. มีฝนฟ้าคะนองบางแห่งถึงเป็นแห่งๆ ร้อยละ 10-20 ของพื้นที่ ลมตะวันออก ความเร็ว 15-35 กม. /ชม. ทะเลมีคลื่นสูง ประมาณ 1 เมตร ห่างฝั่งคลื่นสูง 1-2 เมตร
* ช่วงนี้ทางตอนบนของภาคแม้จะมีฝน แต่ปริมาณและการกระจาย ยังไม่เพียงพอกับความต้องการของพืช เกษตรกรควรให้น้ำเพิ่มเติมแก่พืชที่กำลังเจริญเติบโตอย่างเพียงพอ หากขาดน้ำจะทำให้พืชชะงักการเจริญเติบโต รวมทั้งคลุมดินบริเวณแปลงปลูกพืชและโคนต้นพืชด้วยวัสดุเหลือใช้ทางการเกษตร เพื่อลดการระเหยของน้ำบริเวณผิวดิน รักษาความชื้นภายในดิน
* ส่วนทางตอนล่างของภาคจะมีฝนเพิ่มขึ้น พื้นที่การเกษตรในที่ลุ่ม เกษตรควรดูแลระบบระบายน้ำในแปลงปลูกให้มีประสิทธิภาพ เพื่อป้องกันน้ำขังบริเวณแปลงปลูก รวมทั้งกักเก็บน้ำไว้ใช้ในช่วงที่มีฝนตกน้อย
ออกประกาศ 22 มกราคม 2559 00:00 น.