ค้าขายออนไลน์ เข้าง่าย…ออกก็ง่าย

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือเส้นทางเศรษฐี

http://info.matichon.co.th/rich/rich.php?srctag=07098011058&srcday=2015-10-01&search=no

วันที่ 01 ตุลาคม พ.ศ. 2558 ปีที่ 21 ฉบับที่ 382

ก่อนปิดร้าน

วิมล ตัน Monmati13@yahoo.com

ค้าขายออนไลน์ เข้าง่าย…ออกก็ง่าย

จบไปแล้วอย่างสวยงาม น่าปลื้มใจ กับงานสัมมนาประจำปีนี้ของนิตยสารเส้นทางเศรษฐี หัวข้อ “One Stop Shop On Mobile : ค้าขายบนโซเชียลเน็ตเวิร์คอย่างไรให้เป็นเศรษฐี” เมื่อวันพฤหัสบดีที่ 17 กันยายนที่ผ่านมา ที่โรงแรมสวิส โฮเต็ล เลอคองคอร์ด

แม้ว่าฝนฟ้าไม่ค่อยจะเป็นใจ เพราะเป็นช่วงที่พายุหว่ามก๋อพาดผ่านประเทศไทย ทำให้ฝนโปรยชุ่มฉ่ำเป็นระยะๆ จนหวั่นเกรงว่า อาจเป็นอุปสรรคทำให้ผู้ลงทะเบียนเข้าร่วมงานขลุกขลัก ติดฝนจนไม่สามารถมาร่วมงานได้ แต่กลับกลายเป็นว่า ใกล้เวลาจะเริ่มงาน คนแน่นห้องสัมมนา ที่นั่งเต็มจนต้องเสริมเก้าอี้อีก 2-3 แถว

ค้นหาเหตุผลที่ทำให้คนให้ความสนใจถึงขนาดยอมฝ่าสายฝนมาร่วมงานครั้งนี้ เหตุแรกคงเพราะหัวข้อสัมมนาที่เราตระเตรียมไว้คือ การให้ความรู้เกี่ยวกับผู้ประกอบการที่สนใจจะทำการค้าขายออนไลน์ ผ่านโลกโซเชียลเน็ตเวิร์ก ถือว่าเป็นหัวข้อที่เข้ากระแสมากที่สุดในตอนนี้ เห็นได้จากรายงานของกระทรวงไอซีทีที่ระบุถึงพฤติกรรมการใช้อินเตอร์เน็ตในประเทศไทย เมื่อปี 2557 พบว่า คนไทยอยู่ในช่วงสังคมก้มหน้าอย่างแท้จริง เพราะมีการใช้อินเตอร์เน็ตโดยเฉลี่ยถึงวันละ 7.2 ชั่วโมง หรือคิดเป็น 1 ใน 3 ของวัน

อีกทั้งจากข้อมูลของกรมพัฒนาธุรกิจการค้า ระบุว่า ณ ปี 2556 ไทยมีการค้าขายออนไลน์สูงถึง 7.7 แสนล้านบาท คาดหมายได้ว่า ปัจจุบันน่าจะเกินปีละ 1 ล้านล้านบาทไปแล้ว ขณะที่ในแง่ของผู้ประกอบการในโลกออนไลน์ก็มีอยู่กว่า 400,000 ราย

ดังนั้น ชั่วโมงนี้พ่อค้าแม่ขายคนไหนที่ยังไม่ตระหนัก ไม่เคยได้เข้าไปขายในโลกออนไลน์ ถือว่า เอาต์ และเสียเปรียบคู่แข่งไปหลายช่วงตัวแล้ว

และอีกเหตุผลที่ทำให้งานสัมมนาครั้งนี้เป็นที่สนใจ คงต้องยอมรับว่า เป็นเพราะความโด่งดังของ “อีเจี๊ยบ เลียบด่วน” เจ้าของเพจดังที่ฮือฮามากที่สุด ณ พ.ศ.นี้ กับยอดไลก์กว่า 1.4 ล้านไลก์ที่ทำได้ภายในระยะเวลาไม่กี่เดือน ซึ่งอีเจี๊ยบ เลียบด่วน ได้กรุณาตอบรับมา “โฟนอิน” ให้ความรู้ คำแนะนำกับมือใหม่หัดลุยโลกโซเชียล

เป็นวิทยาทานที่มาพร้อมกับความสนุกสนาน ไม่เครียดแม้แต่นาทีเดียว!!

และช่วงของการเสวนา “ชุมนุมเน็ตไอดอล เซียนธุรกิจออนไลน์” น่าจะเป็นประโยชน์สำหรับเหล่าผู้ประกอบการ เพราะจะได้พบกับวิทยากรตัวจริงที่ค้าขายในโลกโซเชียล ที่จะมาร่วมถ่ายทอดประสบการณ์จากจุดเริ่มต้นของการเข้าสู่การค้าขายออนไลน์ จนมาถึงจุดของความสำเร็จ ให้กับมือใหม่ได้รับทราบ ได้เห็นตัวอย่างของความสำเร็จ ได้รับทราบกลยุทธ์ว่า ทำอย่างไรถึงจะค้าขายในโลกโซเชียลให้เป็นเศรษฐี

ไม่ว่าจะเป็น คุณเหมียว-ดุจธนนันท์ เกียรติเชิดแสงสุข เจ้าของธุรกิจคอนแทกต์เลนส์แฟชั่น แบรนด์ คิตตี้ คาวาอิ ที่เริ่มลงทุนจากเงินเพียง 30,000 บาท ทำตลาดออนไลน์ผ่านเว็บฟรี จนกระทั่งมีเว็บไซต์เป็นของตัวเอง สามารถสร้างยอดขายพุ่งขึ้นเป็นปัจจุบันแตะเดือนละ 10 ล้านบาท หรือ คุณเรียว-ชณา วสุวัต กับธุรกิจอาหารลาซานญ่า และผักโขมอบชีสพร้อมทาน ยี่ห้อ รีโอส์ เดลิ (REO”s Deli) ที่เริ่มจากการขายออฟไลน์ผ่านแฟมิลี่มาร์ท เมื่อขายดิบขายดี จนกระทั่งถึงจุดหนึ่งเห็นความจำเป็นต้องเพิ่มช่องทางขายเพื่อเพิ่มยอดขาย คุณเรียวก็ไม่รอช้าที่จะหาหนทางขายผ่านโซเชียลเน็ตเวิร์ก ทั้งๆ ที่ไม่มีประสบการณ์ ความชำนาญเรื่องโลกออนไลน์เอาเสียเลย

แม้ว่า ทั้งสองจะมีจุดเริ่มต้นต่างกัน แต่ทั้งสองกลับมีความเหมือนในความต่างที่เป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้ทั้งคู่ประสบความสำเร็จในการขายออนไลน์ นั่นก็คือ ทั้งคุณเหมียวและคุณเรียว ต่างเป็น “คนมีของ” เป็นคนที่รู้ว่า อยากขายอะไร เป็น “ของ” ที่ชอบ เป็นของที่รู้ว่า เรามีความชำนาญ อย่างเช่น คุณเหมียวรู้ตัวเองว่า เป็นคนชอบของสวยๆ งามๆ จึงเลือกที่จะขายคอนแทกต์เลนส์ ขณะที่คุณเรียวเก่งด้านเมนูอาหารอิตาเลียน ก็เลือกที่จะทำลาซานญ่าพร้อมทาน

และเหนือสิ่งอื่นใด คำแนะนำที่สำคัญที่สุดสำหรับมือใหม่ลุยออนไลน์ก็คือ ในเมื่อเราเป็นคนมีของ ก็ต้องใส่ใจ และรู้จักอวดของในโลกโซเชียล การอัพเดตข้อมูลข่าวสารใหม่ๆ บนหน้าเว็บอย่างสม่ำเสมอ จะช่วยดึงลูกค้าให้อยู่กับเราได้ตลอด

เพราะโลกออนไลน์ ลูกค้ามาเร็ว แล้วก็จากไปเร็วเช่นกัน!!

โลกเปลี่ยน ธุรกิจเปลี่ยน

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือเส้นทางเศรษฐี

http://info.matichon.co.th/rich/rich.php?srctag=07098150958&srcday=2015-09-15&search=no

วันที่ 15 กันยายน พ.ศ. 2558 ปีที่ 21 ฉบับที่ 381

ก่อนปิดร้าน

วิมล ตัน Monmati13@yahoo.com

โลกเปลี่ยน ธุรกิจเปลี่ยน

ต้องยอมรับว่า ช่วง 10 ปีที่ผ่านมา สังคมโลกเกิดการเปลี่ยนแปลงที่รวดเร็วมาก นวัตกรรมเทคโนโลยีเป็นส่วนสำคัญที่ทำให้สังคมการใช้ชีวิตของคนบนโลกต้องปรับตัว เปลี่ยนแปลงให้สอดรับกับทุกๆ ความเคลื่อนไหวที่เกิดขึ้น ชนิดที่ย้อนกลับไปดูอดีตที่ผ่านมา แทบจะจำกันไม่ได้ว่า มนุษย์เราเคยผ่านช่วงเวลา ผ่านประสบการณ์แบบนั้นกันมาแล้ว

ย้อนไปเมื่อครั้งที่ค้าปลีกยักษ์ใหญ่ต่างชาติหลายรายแห่แหนกันเข้ามาเปิดสาขาดิสเคานต์สโตร์ในเมืองไทย ไม่ว่าจะเป็น เทสโก้ โลตัส คาร์ฟูร์ บิ๊กซี และแม็คโคร ด้วยเพราะสบช่องการขยายเครือข่ายเข้ามาให้บริการ เป็นห้วงเวลาที่ร้านโชห่วยขนาดเล็กแค่บ้านคูหาเดียวในตรอกซอกซอยเริ่มหวั่นวิตกว่าจะได้รับผลกระทบ เพราะคนไทยหันไปซื้อสินค้าถูกกว่า แห่แหนกันไปช็อปดิสเคานต์สโตร์ ไฮเปอร์มาร์เก็ต ชนิดขนซื้อตุนกันเป็นโหลๆ เพราะราคาที่ถูกกว่าซื้ออาแปะข้างบ้าน จนทำให้โชห่วยรายเล็กรายน้อยล้มหายตายจากกันระนาว

แต่พอผ่านมาถึงตอนนี้ ดิสเคานต์สโตร์ยักษ์ใหญ่ประสบปัญหาแทนที่ เมื่อยอดขายลดฮวบ เพราะพฤติกรรมผู้บริโภคเปลี่ยนแปลงไป หันมานิยมความสะดวกสบาย ความใกล้บ้าน ประเภทเอาง่ายเข้าว่า ตื่นเช้ามาก็เดินเข้าเซเว่นอีเลฟเว่นปากซอย หยิบจับง่ายซื้อง่าย หมดแล้วค่อยมาซื้อใหม่ เข้าเซเว่นฯ ได้ทุกวันไม่เบื่อ เป็นเหตุให้ดิสเคานต์สโตร์ขนาดใหญ่ต้องหันมาซอยย่อยสาขาให้เหลือขนาดเพียงไม่ถึงร้อยตารางวา อยู่ริมถนนบ้าง ปากซอยบ้าง เพื่อแข่งขันกับเซเว่นฯ ให้ได้

เป็นสถานการณ์การค้าที่แปรผันตามพฤติกรรมของลูกค้า!!

แต่สังคมเมืองยังคงเปลี่ยนแปลงไม่หยุดหย่อน แนวโน้มสังคมคนเมืองหลวงดูเหมือนว่า จะพัฒนาไปสู่การเป็นสังคมเชิงเดี่ยวเพิ่มมากขึ้น ครอบครัวถูกพัฒนาให้มีขนาดเล็กลงเรื่อยๆ และมีแนวโน้มจะเป็นสังคมที่พึ่งพาตัวเอง ขออนุญาตเรียกขานว่า เป็นการใช้ชีวิตแบบดีไอวาย (Do It Yourself)

การใช้ชีวิตแบบนี้ เกิดขึ้นจากพัฒนาการของคนรุ่นใหม่ที่ยึดตัวเองเป็นศูนย์กลาง ชอบที่จะเรียนรู้ด้วยตัวเอง (ในที่นี้หมายถึงการเรียนรู้ ศึกษาเรื่องราวต่างๆ ผ่านมือถือ เสิร์ชข้อมูลผ่านกูเกิ้ล หรือการเรียนรู้ทำอะไรผ่านยูทูบนั่นเอง) ไม่ชอบความยุ่งยาก วุ่นวาย นิยมทำอะไรด้วยตัวเอง ชอบไลฟ์สไตล์การใช้ชีวิตที่ไม่ซับซ้อน ยกตัวอย่างเช่น ช่วงที่มะนาวแพง คนกลุ่มนี้ก็จะเรียนรู้ที่จะแก้ปัญหาด้วยการปลูกมะนาวกินเอง หรือการทดลองปลูกพืชผักสวนครัว เพราะเห็นว่า เรียนรู้ได้ง่ายจากยูทูบ ก็จะทดลองทำเองได้ หรือการปลูกถั่วงอก ต้นอ่อนทานตะวันสำหรับไว้ทานเอง เพราะความที่ปลูกง่าย ได้ผลผลิตเร็วทันใจ แถมผักเหล่านี้ยังมีประโยชน์ต่อสุขภาพ ไม่ต้องไปซื้อหาให้ยุ่งยากเสียเวลา

หรือแม้กระทั่งล่าสุด การเรียนรู้ทดลองทำสบู่ แชมพู น้ำยาล้างจานใช้เอง โดยไม่ต้องซื้อยี่ห้อดังที่มีวางขายทั่วไปตามท้องตลาด กำลังได้รับความนิยมเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อว่า แนวความคิดแบบนี้กำลังระบาด แพร่กระจายไปเร็วมาก จนตอนนี้มีการเปิดคอร์สสอนอบรมการทำผลิตภัณฑ์เครื่องใช้ส่วนตัวเหล่านี้กันมากมาย ชนิดเรียนแค่ไม่กี่ชั่วโมง ก็สามารถทำสบู่กลิ่นเฉพาะตัวเอาไว้ใช้เองได้เลย

นี่คือ ตัวอย่างพฤติกรรมผู้บริโภคที่กำลังเปลี่ยนแปลงไป ถามว่า ในฟากของผู้ผลิต ผู้จำหน่าย หรือผู้ขายมองเห็นหรือไม่ และเริ่มที่จะคิดปรับตัวเพื่อรองรับสถานการณ์การค้าขายที่จะเปลี่ยนแปลงไปหรือยัง

อย่ารอจนกระทั่งได้รับผลจากความเปลี่ยนแปลง อย่ามัวแต่ก้มหน้าก้มตาทำมาค้าขายจนลืมมองดูโลกที่กำลังเคลื่อนไหว มองดูลูกค้าที่ค่อยๆ ลดน้อยถอยลง จนยอดขายลดฮวบฮาบแล้วเพิ่งจะรับรู้

คนทำธุรกิจที่ดี ต้องเปิดหู เปิดตา รู้จักสังเกตสังกาทุกสิ่งรอบตัว!!

อีกมุมหนึ่งของโลกโซเชียล

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือเส้นทางเศรษฐี

http://info.matichon.co.th/rich/rich.php?srctag=07098010958&srcday=2015-09-01&search=no

วันที่ 01 กันยายน พ.ศ. 2558 ปีที่ 21 ฉบับที่ 380

ก่อนปิดร้าน

วิมล ตัน Monmati13@yahoo.com

อีกมุมหนึ่งของโลกโซเชียล

มีประเด็นเรื่อง “การตั้งราคาสินค้า” ที่อยากจะแชร์ความคิดแชร์ความรู้สึกกันสักหน่อย!!

ด้วยบังเอิญติดตามภาวะการซื้อขายสินค้าในโลกออนไลน์ ซึ่งต้องถือว่า กำลังฮอตฮิตมาแรงที่สุด ณ พ.ศ. นี้ ขนาดอาซิ้ม อาเจ็ก ที่เปิดร้านขายของมาหลายสิบปี ยังต้องทันสมัยเพิ่มช่องทางขายผ่านเฟซบุ๊ก อินสตาแกรม ตามคำชี้แนะของลูกหลาน ไม่งั้นสภาพการขายยิ่งสาละวันเตี้ยลง เจอแต่ลูกค้าหน้าเก่าๆ เพราะหน้าใหม่ๆ หันไปสั่งซื้อ ช็อปผ่านมือถือกันส่วนใหญ่ แถมเจอเซ็งลี้ในช่วงนี้ที่ไม่ฮ้อเอาซะเลย ยิ่งกลุ้มไม่ทำอะไรสักอย่างไม่ได้แล้ว

แต่ที่อดรนทนไม่ไหว ก็เพราะสังเกตเห็นราคาสินค้าที่ขายผ่านออนไลน์ โดยเฉพาะสินค้าที่เป็นอาหารการกินทั้งหลาย ไฉนราคาถึงได้อัพเพิ่มขึ้น แพงกว่าวางขายหน้าร้าน 1-2 เท่าตัว จริงอยู่ที่การสั่งซื้อสินค้าผ่านออนไลน์ จะต้องบวกค่าส่งสินค้า ค่าแพ็กเกจจิ้งเข้าไปด้วย ซึ่งเข้าใจว่า ค่าขนส่งปัจจุบันเท่าที่เห็น จะบวกเพิ่มอีก 80-150 บาท ต่อเที่ยว ซึ่งแน่นอนว่า ลูกค้าเป็นผู้จ่าย

นั่นเป็นเรื่องเข้าใจได้ แต่ที่ไม่เข้าใจเลยก็คือ สินค้าชิ้นเดียวกัน หน้าตาแบบเดียวกันเป๊ะ ไปซื้อถึงร้าน แหล่งต้นกำเนิด กลับราคาถูกกว่า หรือจะเป็นเพราะบรรจุภัณฑ์ แพ็จเกจจิ้งที่ใช้ ซึ่งส่วนมากจะเป็นกล่องพลาสติกหน้าตาดูดี มีช่องใส่อาหารหลายช่อง ปิดผนึกแน่น ไม่หกเลอะเทอะระหว่างการจัดส่ง ซึ่งปัจจุบันจะเป็นกล่องพลาสติกที่ต้องผลิตขึ้นมารองรับเพื่อการนี้โดยเฉพาะ อาจมีราคากล่องเพิ่มขึ้น อย่างมากก็ 10-20 บาท แต่ราคาสินค้าที่ตั้งขายสูงกว่าราคาท้องตลาดทั่วไปมาก

ยกตัวอย่างเช่น ขนมจีนน้ำยาปู ซึ่งกำลังเป็นที่นิยมมากในขณะนี้ ราคาทานที่ร้าน อาจจะชุดละ 200 บาท แต่ที่เคยเสิร์ชดู ราคาขายในเฟซ สูงถึงชุดละ 380 บาท แม้จะมีการโฆษณาให้เห็นภาพปูเป็นก้อนๆ แต่ก็ยังแพงอยู่ดี หรือล่าสุด กรณีขนมหวานไทยๆ จำพวกกล้วยเชื่อม เปียกปูน ลูกชุบเป็ด (กำลังเห่อและแห่ทำขายกันเต็มหน้าเว็บ) ซึ่งเทรนด์สุดๆ แม้กระทั่งยักษ์ใหญ่ซีพี ยังออกผลิตภัณฑ์ใหม่เป็นขนมไทยขายกะเขาด้วย กรณีนี้เจอมากับตัว เป็นร้านขนมที่ขายในเว็บ แต่ไปออกงานอีเว้นต์ที่ห้างแห่งหนึ่ง อุตส่าห์ลงทุนตามไปดูกับตาว่า หน้าตาขนมน่ากินอย่างที่เห็นในเว็บหรือไม่ ซึ่งต้องยอมรับว่า แพ็กเกจจิ้ง การตกแต่งขนมสอบผ่าน แต่ที่อึ้งไปเลยก็คือ ราคาขายกล้วยเชื่อมใส่กล่องพลาสติก จำนวนประมาณ 8-10 ชิ้น หากไปซื้อที่ร้านขนมของป้าอะไรสักคนในตลาดทั่วไป ราคาจะประมาณถุงละ 15-20 บาท แต่แม่ค้าสาวสวย แต่งตัวดีมาก เข้าใจว่า น่าจะเป็นดารานักแสดงประกอบที่คุ้นหน้าพอสมควร ตั้งราคาขายกล้วยเชื่อมที่ว่านี้ ถึงกล่องละ 165 บาท!!

ขณะที่ขนมอีกกล่องข้างๆ กันคือ ข้าวเหนียวแก้ว ในกล่องไซซ์เดียวกัน มีข้าวเหนียวแก้วอยู่ในถ้วยขนาดถ้วยน้ำพริก ประมาณ 5 ถ้วย ราคาขายปาเข้าไป 250 บาท อารมณ์แรกคือ ตกใจกับราคาที่ได้ยิน พอถามว่า ทำไมแพงจัง ได้คำตอบจากสาวสวยเจ้าของขนมว่า “ใช้เวลาทำนาน”

มึนกับคำตอบ แต่ไม่เป็นไร กัดฟันซื้อมาลองชิมดู แม้จะแพงหูฉี่ ปรากฏว่า ผิดหวังเต็มเปา ป้าที่ตลาด แม้จะแก่ หน้าตาเหี่ยวย่น ไม่ค่อยเจริญหูเจริญตา แต่ประสบการณ์ที่สั่งสมมา ทำให้ขนมถุงละ 15-20 บาท อร่อยล้ำกว่ามาก

ถึงได้สงสัยเต็มประดาว่า ขณะที่กระแสขายผ่านออนไลน์มาแรง ติดลมบน ชนิดที่ว่า อะไรๆ ก็ขายได้ มันจะแรงจนกระทั่งคนซื้อไม่สนใจเรื่องราคาแพงเลยหรือ หรือว่าโลกโซเชียลมีอิทธิพลมากมายมหาศาล หรือลูกค้าผู้บริโภคยุคปัจจุบันนิยมความสะดวกสบาย ความรวดเร็ว เห็นแค่ภาพโฆษณาในเว็บก็คลิกสั่งซื้อได้อย่างง่ายดาย โดยไม่มีปัจจัยเรื่องราคา รสชาติ หรือคุณภาพของสินค้าเข้ามาเป็นส่วนสำคัญในการตัดสินใจกระนั้นหรือ

เป็นคำถามที่คงต้องให้เวลาเป็นตัวพิสูจน์!!

“วิถี” ที่เปลี่ยนแปลง

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือเส้นทางเศรษฐี

http://info.matichon.co.th/rich/rich.php?srctag=07098150858&srcday=2015-08-15&search=no

วันที่ 15 สิงหาคม พ.ศ. 2558 ปีที่ 21 ฉบับที่ 379

ก่อนปิดร้าน

วิมล ตัน Monmati13@yahoo.com

“วิถี” ที่เปลี่ยนแปลง

วันนี้เรามาว่ากันด้วยเรื่อง “ทำเลทอง” กัน!!

ถ้าถามว่า ที่ดิน ณ จุดไหนในประเทศไทยที่มีราคาแพงที่สุด เชื่อว่า คำตอบน่าจะไม่ยาก หลายคนที่ติดตามข่าวสาร น่าจะรู้คำตอบว่า จากการประเมินราคาที่ดิน ล่าสุด พบว่า ที่ดินบริเวณรถไฟฟ้าสยาม มีราคาแพงที่สุด ถึงตารางวาละ 1.65 ล้านบาท หรือตกไร่ละ 660 ล้านบาท สาเหตุที่แพงที่สุด ก็เพราะเป็นย่านใจกลางเมืองที่มีรถไฟฟ้าวิ่งผ่านถึง 2 สาย ทำให้ย่านนี้เป็นจุดคมนาคมขนส่งที่พลุกพล่าน มีคนสัญจรใช้เส้นทางไปมาวันหนึ่งหลายแสนคนทีเดียว

แต่ถึงแม้ไม่มีรถไฟฟ้าวิ่งผ่าน ย่านสยามสแควร์เอง แต่ไหนแต่ไรก็เป็นศูนย์กลาง แหล่งชุมนุมของเหล่าวัยรุ่น วัยเรียน มาตั้งแต่ 20-30 ปีก่อนแล้ว ตั้งแต่สมัยที่รถรายังไม่แน่นถนนขนาดนี้ รถเมล์เป็นการคมนาคมที่สะดวกและแพร่หลายที่สุด จะมีรถเมล์เกือบ 20 สายที่วิ่งผ่านสยามสแควร์ เป็นเหตุให้สยามสแควร์กลายเป็นแหล่งชุมนุม แหล่งนัดพบของวัยรุ่นในอดีต ภาพวัยรุ่นนั่งระเกะระกะ คุยกันบ้างนั่งเหล่สาวกันบ้างตรงขั้นบันไดที่ทอดยาวอยู่หน้าสยามเซ็นเตอร์ กลายเป็นอิริยาบถกิ๊บเก๋ สุดเท่ที่วัยรุ่นสมัยนั้นนิยมชมชอบ

แหล่งช็อปปิ้งย่านสยามสแควร์เอง ก็มีจุดแตกต่าง มีสไตล์แปลกที่เป็นเอกลักษณ์ เป็นที่นิยมของวัยรุ่น ด้วยเพราะสยามสแควร์ อยู่ติดกับสถานศึกษาชื่อดังหลายแห่ง เช่น จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย โรงเรียนเตรียมอุดมศึกษา มศว.ปทุมวัน เป็นนักเรียนนักศึกษาที่ถือว่า มีกำลังซื้อที่ค่อนข้างสูงทีเดียว ทำให้ย่านสยามสแควร์กลายเป็นย่านค้าขายทำเลทองไปโดยปริยาย

เป็นทำเลค้าขายที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว เพราะผู้ประกอบการ แผงขายของที่นี่จะมีความหลากหลาย แถมมีหลายร้านที่เป็นคนรุ่นหนุ่มสาวที่มีไอเดียแหวกตลาด มีหัวการค้า เห็นช่องทางการทำมาค้าขาย มีความคิดสร้างสรรค์ ผลิตสินค้าที่มีดีไซน์ ไม่เกร่อ ถูกอกถูกใจวัยรุ่นด้วยกัน

นี่จึงเป็นวิถีของย่านสยามสแควร์ที่ย่านอื่นๆ ลอกเลียนลำบาก และพ่อค้าแม่ค้าล้วนอยากตั้งแผงขายของที่นี่ ราคาค่าแผงจึงสูงตามไปด้วย!!

แต่ล่าสุด สำนักงานจัดการทรัพย์สิน จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ซึ่งเป็นหน่วยงานที่บริหารพื้นที่ย่านสยามสแควร์ ให้ข่าวว่า กำลังทบทวนโครงการพัฒนาที่ดินย่านจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย บริเวณสวนหลวง-สามย่าน และสยามสแควร์ใหม่ เนื่องจากแผนพัฒนาในปัจจุบันมุ่งเน้นเชิงพาณิชย์มากเกินไป จนทำให้เกิดเป็นเมืองร้างในเวลากลางคืนและไม่สอดคล้องกับวิสัยทัศน์ของจุฬาฯ

ใครลองไปเดินเที่ยวชมย่านสยามสแควร์ สามย่านในช่วงนี้ คงจะเห็นจริง ที่ว่า ตอนนี้สยามสแควร์ไม่เหมือนในอดีตอีกแล้ว ที่เห็นชัดเจนก็คือ ผู้คนมาช็อปปิ้ง เดินเล่นน้อยลง เป็นการเปลี่ยนแปลงที่ทำให้เสน่ห์ของย่านนี้สูญสลายไปพร้อมๆ กับการพัฒนาปรับโฉม มีอาคารใหม่ผุดขึ้น แทนที่ตึกแถวเดิมๆ ร้านค้าเดิมๆ หายไป กลายเป็นศูนย์การค้าขนาดใหญ่ที่ให้เช่าพื้นที่กับร้านค้าใหม่ๆ ที่ขายสินค้าพื้นๆ ก็ไม่ต่างจากสินค้าย่านประตูน้ำ หรือห้างสรรพสินค้าทั่วๆ ไป เรียกว่า จิตวิญญาณความเป็นวิถีชีวิตที่สยามสแควร์ หรือสามย่านเคยมี หายไปหมด ร้านที่เคยเป็นตำนานกล่าวขานของวัยรุ่นถูกย้ายออกไป

จำได้ว่า เมื่อหลายปีก่อน เคยมีเสียงร้องเรียนมาเป็นระยะๆ ตั้งแต่เมื่อห้างมาบุญครอง หรือ เอ็มบีเค ในปัจจุบัน ต้องจ่ายค่าสัมปทานให้กับจุฬาฯ ใหม่ เป็นเงินถึง 25,000 ล้านบาท เป็นข้ออ้างทำให้พื้นที่เช่าในสยามสแควร์ถูกขึ้นค่าเช่า-ค่าเซ้งใหม่ไปด้วย หลายร้านสู้ราคาไม่ไหว จำต้องย้ายออก ขณะที่พื้นที่เดิมถูกรื้อ ถูกประมูลได้โดยบริษัทยักษ์ใหญ่ที่มีทุนหนา ราคาแพงเท่าไหร่ก็จ่ายได้ พัฒนาพื้นที่เป็นห้างรูปแบบใหม่ ไม่ว่าจะเป็นดิจิตอล เกตเวย์ หรือสยามสแควร์ วัน

เช่นเดียวกับพื้นที่บริเวณสามย่าน แผงขายอาหารเก่าแก่ที่เคยเรียงรายเป็นตับ ถูกกวาดออกไป กลายเป็นห้างขึ้นแทน ในนามแอมพาร์ค หรือไซวอล์ค ตามด้วยสวนหลวง สแควร์ และจะมีอีกหลายชื่อตามมาในอนาคต

แต่ใจความสำคัญที่ทำให้ย่านนี้ที่เคยเป็น “แหล่งค้าขายทำเลทอง” ที่ถูกกลืนหายไป พร้อมๆ การรื้อถอนพัฒนาพื้นที่ที่เกิดขึ้น ก็คือ จิตวิญญาณของความเป็นสยามสแควร์ วิถีชีวิตแบบคนสามย่าน เป็นจิตวิญญาณที่มีเสน่ห์ มีเอกลักษณ์ ดึงดูดผู้คนให้เข้ามาเดินเล่น เข้ามาช็อปปิ้ง มาหาของอร่อยรับประทาน ใช้เวลาในช่วงวันหยุดพักผ่อน ทั้งหมดทั้งมวลไม่มีเหลืออยู่ในสามย่าน และสยามสแควร์ปัจจุบันอีกแล้ว เพราะมาแล้วก็ไม่ได้อะไร ไม่มีของที่อยากได้อยากซื้อ แถมไม่มีของอร่อยให้รับประทานอีกต่างหาก

ต่อให้มีรถไฟฟ้าวิ่งผ่านเพิ่มขึ้นอีกเป็น 10 สาย สยามสแควร์และสามย่าน จะกลายเป็นเพียงแค่ “ทางผ่าน” เพื่อเปลี่ยนรถโดยสารสัญจรกลับบ้านเท่านั้น

ฉะนั้น ผู้บริหารต้องเร่งแก้ ไม่งั้นที่ดินที่มีราคาแพงที่สุด แต่กลับไม่ใช่ทำเลทองอีกต่อไป!!