คิดแตกต่างในโลกออนไลน์

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือเส้นทางเศรษฐี

http://info.matichon.co.th/rich/rich.php?srctag=07052151058&srcday=2015-10-15&search=no

วันที่ 15 ตุลาคม พ.ศ. 2558 ปีที่ 21 ฉบับที่ 383

คิดอย่างนักบริหาร

สาโรจน์ มณีรัตน์-เรื่อง

คิดแตกต่างในโลกออนไลน์

ในช่วงหลายปีผ่านมา หลายคนคงประจักษ์ชัดถึงอิทธิพลของการตลาดออนไลน์ เพราะแค่มีสินค้าจำนวนหนึ่งก็สามารถขายของได้แล้ว

ขอให้เพียงสินค้านั้นๆ โดดเด่น

มีความแตกต่าง

ราคาถูกกว่าที่อื่น

ทั้งยังสามารถจ่ายเงินผ่านบัตรเครดิตได้

สินค้านั้นๆ จะได้รับความนิยมทันที

ซึ่งไม่มีแต่เฉพาะในต่างประเทศเท่านั้น หากประเทศไทยเองการทำตลาดออนไลน์ดูเหมือนจะได้รับความนิยมมากขึ้นเช่นกัน

จนมีสำนักพิมพ์หลายแห่งพิมพ์หนังสือแนวนี้ออกมาจำนวนมาก

ทั้งยังเพิ่มช่องทางการทำตลาดออนไลน์มากขึ้นด้วย ทั้งเฟซบุ๊ก ไอจี ไลน์ และอื่นๆ อีกมากมาย จนทำให้หลายบริษัทมองเห็นช่องทางการตลาด

ด้วยการรวบรวมสินค้าทั้งหมดให้มาอยู่ในที่ที่เดียวกัน

ทั้งยังมีการแบ่งหมวดหมู่สินค้าอย่างชัดเจน ไม่ว่าจะเป็นกระเป๋า รองเท้า เสื้อผ้า และเครื่องประดับต่างๆ บางแห่งมีการเปิดตลาดออนไลน์มือสองด้วย

แถมยังมีการประชาสัมพันธ์ทางการตลาดตรงกลุ่มเป้าหมาย เพื่อให้สินค้าเหล่านั้นเข้าถึงลูกค้ามากขึ้น สำคัญไปกว่านั้น สินค้าที่เขารวบรวมมาจากหลายแหล่ง หลายเจ้าของธุรกิจ ยังมีการแบ่งผลกำไรกันอย่างชัดเจน

เป็นใครจะไม่เข้ามามีส่วนร่วมล่ะครับ

เพราะเห็นอยู่แล้วว่า win win game

ไม่มีใครได้ประโยชน์ หรือเสียประโยชน์ฝ่ายเดียว แต่ได้กันทั้งคู่ โดยเฉพาะในเรื่องของการบริหารสต๊อกสินค้า เพราะคงไม่มีใครอยากจะมีสโตร์สินค้าเพื่อเก็บของอย่างมากมาย

แต่ถ้าเราสามารถบริหารจัดการให้ทุกร้านเป็นศูนย์กระจายสินค้าในภูมิภาคต่างๆ ได้ ยิ่งจะทำให้ธุรกิจการตลาดออนไลน์เติบโตขึ้น

เพราะถ้าหากเขานำสินค้าของหุ้นส่วนธุรกิจเข้ามากองอยู่ที่เดียวกัน ยิ่งจะทำให้สินค้านั้นๆ เกิดความเสียหายได้ บางทีสินค้าที่ประชาสัมพันธ์ออกไป กับความต้องการของลูกค้าสวนทางกัน ยิ่งจะทำให้ขาดความน่าเชื่อถือ

ครั้งเดียวไม่เป็นไร

แต่ถ้าหลายครั้ง โอกาสที่ลูกค้าจะไม่ใช้บริการย่อมมีสูง ซึ่งเรื่องการบริหารศูนย์กระจายสินค้าให้ลูกค้า ผมมีโอกาสคุยกับผู้บริหารบริษัทค้าปลีกขนาดใหญ่คนหนึ่ง เขาบอกว่าทุกครั้งที่ผัก ผลไม้ถูกนำออกมาจากชุมชนเพื่อส่งยังศูนย์กระจายสินค้า

จะมีความล่าช้าเกิดขึ้นอย่างน้อย 1 วัน ถึง 1 วันครึ่ง

หมายความว่า รอบการขาย และรอบของการวางสินค้าจะหายไปด้วย จนทำให้อายุการขายสั้นลง เพราะอย่างที่ทราบอายุการขายผัก ผลไม้สั้นมาก หากเสียเวลาไปกับรอบการขาย

ความเสียหายจะเกิดขึ้นทันที

นี่ไม่นับการบรรจุหีบห่อสินค้าอีก เพราะผัก ผลไม้บางชนิดหากบรรจุหีบห่อสินค้าไม่ดี ปล่อยให้เกิดการทับซ้อนกัน ผัก ผลไม้ทั้งหมดกว่าจะถึงห้างค้าปลีกมีโอกาสขายได้เพียง 70 เปอร์เซ็นต์ เท่านั้น

ส่วนที่เหลือทิ้งหมด

ผู้บริหารท่านนี้จึงเกิดความคิดว่าแทนที่เขาจะบริหารจัดการเอง สู้เขาไปจ้างมืออาชีพในการบรรจุหีบห่อตั้งแต่ต้นดีไหม ด้วยการอธิบายให้เจ้าของสวนผัก ผลไม้เข้าใจว่าต่อไปนี้เราจะเข้ามาบริหารจัดการเอง

ทั้งยังแนะนำเกษตรกรให้เข้าใจด้วยว่าช่วงไหนลูกค้ามีความต้องการผัก ผลไม้มากที่สุด เหมือนอย่างช่วงกินเจราวเดือนตุลาคม แทนที่เกษตรกรจะนำผลผลิตออกขายเดือนกันยายนทั้งหมด สู้อั้นไว้หน่อยได้ไหม พอเดือนตุลาคมค่อยนำออกขาย เกษตรกรก็จะมีรายได้เพิ่มขึ้น

ห้างค้าปลีกก็จะมีรายได้มากขึ้น

win win game กันทั้งคู่

ปรากฏว่าทุกฝ่ายเห็นชอบ

จนเกิดพันธมิตรในการดำเนินธุรกิจจนทุกวันนี้

ที่อยู่ภายใต้กรอบการตลาดออนไลน์ เพราะถ้าทุกฝ่าย win win game ด้วยกันทั้งคู่ ทุกอย่างจะดำเนินไปตามเกมธุรกิจที่สัมพันธ์กัน

ยิ่งโลกทุกวันนี้ถูกเชื่อมเข้าหากัน

จากตลาดในเอเชียถูกส่งออกไปยังตลาดสหรัฐอเมริกา ยุโรป แอฟริกา และอื่นๆ อีกมากมาย เช่นเดียวกัน จากตลาดจากโลกฝั่งตะวันตกก็ถูกนำมาขายในฝั่งตะวันออก

ทุกอย่างมีความเป็นไปได้ทั้งสิ้น

ขอให้มีการบริหารจัดการอย่างมืออาชีพ มีความเป็นธรรม ซื่อสัตย์ต่อวิชาชีพ คู่ค้า และลูกค้า ทุกอย่างจะงอกเงยอย่างงดงาม

เหมือนอย่างล่าสุดที่ใครจะเชื่อล่ะว่ากำลังจะมีโบรกเกอร์ออนไลน์เกิดขึ้นประมาณปลายปีนี้ เนื่องจากมีบริษัทหลักทรัพย์แห่งหนึ่งกำลังคิดกลับหัว ด้วยการตัดส่วนของฝ่ายการตลาดออก เพราะเดิมทีพอลูกค้าเข้ามาเทรดการซื้อขายหุ้น ลูกค้าจะต้องจ่ายค่าเทรดให้บริษัทหลักทรัพย์ หรือโบรกเกอร์ส่วนหนึ่ง

อีกส่วนหนึ่งจะต้องจ่ายให้ฝ่ายการตลาด

แต่บริษัทแห่งนี้ตัดวงจรจากฝ่ายการตลาดออก โดยให้ลูกค้าจ่ายค่าเทรดให้กับโบรกเกอร์แต่เพียงฝ่ายเดียว ส่วนที่เหลือลูกค้าไม่ต้องจ่าย

ตอนนี้บริษัทแห่งนี้กำลังเปิดให้ลงทะเบียนออนไลน์เพื่อรับสมัครสมาชิก โดยไม่เสียค่าใช้จ่ายใดๆ ทั้งสิ้น ทั้งสมาชิกยังสามารถเข้าไปเทรดหุ้นจากตลาดหลักทรัพย์ต่างๆ ในอาเซียน โดยสามารถดูข้อมูลความเคลื่อนไหวจากบริษัทหลักทรัพย์แห่งนี้ผ่านแอพพลิเคชั่น

ที่นอกจากจะมีบทวิเคราะห์การซื้อขายหุ้นในตลาดหลักทรัพย์อาเซียนแล้ว ยังมีบริการข้อมูลวิเคราะห์การซื้อขายหุ้นในประเทศอื่นๆ อีกด้วย

สำคัญไปกว่านั้นยังสามารถพิมพ์คำถาม แสดงความคิดเห็นผ่านห้องแชตรูมอีกด้วย ผู้บริหารบริษัทแห่งนี้บอกผมว่าโลกของเรากำลังเชื่อมโยงเข้าหากัน

เราในฐานะพลเมืองของโลกจึงต้องปรับตัวต่อการพัฒนาที่เกิดขึ้น

ผมถึงเชื่อไงล่ะว่าต่อไปนี้โลกจะเป็นของคนที่คิดต่าง

เพราะการคิดต่าง คิดไกล รอบด้าน รอบรู้จะทำให้คนคนนั้นมีโอกาสเป็นเศรษฐีได้ในอนาคต

ไม่เชื่อลองคิดให้แตกต่างดูนะครับ

เผื่อบางทีคุณจะพบคำตอบโดยเร็ววัน

พลิกวิกฤตเป็นโอกาส

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือเส้นทางเศรษฐี

http://info.matichon.co.th/rich/rich.php?srctag=07066150958&srcday=2015-09-15&search=no

วันที่ 15 กันยายน พ.ศ. 2558 ปีที่ 21 ฉบับที่ 381

คิดอย่างนักบริหาร

สาโรจน์ มณีรัตน์-เรื่อง

พลิกวิกฤตเป็นโอกาส

นักธุรกิจข้างถนนพูดกันให้แซดว่า ไม่ว่า “หม่อมอุ๋ย” ม.ร.ว.ปรีดิยาธร เทวกุล อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง จะพ้นจากตำแหน่งไปในลักษณะไหน? อย่างไร? และมี “ดร.สมคิด จาตุศรีพิทักษ์” เข้ามาดำรงตำแหน่ง รองนายกรัฐมนตรี ที่ดูแลกระทรวงการคลังแทน

เชื่อขนมกินได้เลยว่า เศรษฐกิจคงยังตกสะเก็ดอย่างนี้อีกนานแสนนาน

ถามว่าทำไมเป็นเช่นนั้น?

นักธุรกิจข้างถนนคนนั้นตอบแบบอิงแอบความรู้สึกส่วนตัว โดยไม่เกี่ยวกับทฤษฎีทางเศรษฐกิจของสำนักไหนใดๆ ทั้งสิ้นว่า…ก็ในเมื่อคนยังไม่ใช้เงิน

“ต่อให้สินค้าลดราคาต่ำลงสุดๆ คนก็ไม่ซื้อ ไม่ใช่เพราะไม่มีกำลังซื้อนะ มีกำลังซื้อ แต่ขอเลือกซื้อของที่จำเป็นมากกว่า เช่น ข้าว ปลา อาหาร เพราะทุกคนต้องกินต้องใช้ แต่ประเภทเครื่องแต่งกายขอผลัดไปก่อน ยอมใส่ของที่มีอยู่เดิมๆ ก่อน ไว้เศรษฐกิจดีเมื่อไหร่ ค่อยว่ากันอีกที”

จากนั้น เขายกตัวอย่างสมทบให้ฟังถึงห้างสรรพสินค้าต่างๆ ที่ลดกระหน่ำซัมเมอร์เซลส์ขณะนี้ว่า มีแต่คนเลือก แต่ไม่ค่อยมีใครซื้อ ยกเว้นสินค้านั้นดีจริงๆ หรือลดราคาถูกลงอย่างน่าจูงใจจริงๆ ลูกค้าถึงจะยอมควักกระเป๋า

ไม่นับผับ คลับ บาร์

แถวถนนเกษตร-นวมินทร์

รัชดาภิเษก อาร์ซีเอ

ทองหล่อ เอกมัย สุขุมวิท

ที่แทบจะหาคนเที่ยวไม่ได้เลย

จนทำให้พริตตี้ที่เคยเชียร์เบียร์ยี่ห้อต่างๆ อย่างเมามันส์ในอดีต ค่อยๆ ถูกเลิกจ้างไปทีละคนๆ ที่สุดไม่เหลือให้เห็นร่างเงาของพวกเธอเลย

ผมค่อยๆ นึกตามคำพูดของเขา ก็พบว่าสิ่งที่เขาพูดมีความเป็นจริงทั้งสิ้น และขณะที่นึกตามอยู่นั้น เขายกตัวอย่าง ร้านข้าวต้มสมพงษ์ที่อยู่ตามถนนเส้นต่างๆ ที่เมื่อก่อนต่างคลาคล่ำไปด้วยนักท่องราตรีที่ชอบหาข้าวต้มกินก่อนกลับบ้าน

ผ่านไปเมื่อไหร่ก็แน่น

ผ่านไปเมื่อไหร่ก็มีคนนั่งอยู่หลายโต๊ะ

แต่เดี๋ยวนี้ไปดูสิ

มีแต่ลูกจ้าง CLMV (กัมพูชา, ลาว, พม่า, เวียดนาม) เอาแต่นั่งแชทไลน์บนสมาร์ตโฟนอย่างสนุกสนาน

ไม่เท่านั้นนะ…เขาสำทับต่อ ขนาดร้านลาบ ส้มตำที่ขายตอนกลางคืนยังบ่นเลย เพราะเมื่อก่อนพวกแท็กซี่ที่เสร็จจากวิ่งกะกลางคืนจะมานั่งกินเป็นประจำ แต่เดี๋ยวนี้ไปดูสิ มาสักคนสองคนพ่อค้าแม่ค้าก็ดีใจแล้ว

ผมเริ่มมองเห็นความโหดร้ายของเศรษฐกิจตกสะเก็ดขณะนี้

จนรู้สึกว่าหากขืนเป็นเช่นนี้ต่อไปคงแย่แน่ เพราะอย่าลืมว่าในความเป็นจริง คนที่ขับเคลื่อนเศรษฐกิจให้เดินไปข้างหน้าก็คือพ่อค้าแม่ขาย คนเดินดินกินข้าวแกงอย่างเราๆ ท่านๆ นี่เอง

คนชั้นบนเรียกคนเหล่านี้ว่า คนรากหญ้า

คนรากหญ้าที่มีอยู่เป็นจำนวนมากที่สุดของสังคม ดังนั้น หากรัฐบาลใดเอาเงินของรัฐใส่ไปที่คนรากหญ้า ก็เชื่อแน่ว่าจะทำให้เศรษฐกิจโดยรวมเกิดแรงสั่นกระเพื่อม จนทำให้วงจรเศรษฐกิจขยับตัวได้

ผ่านมาแม้ “หม่อมอุ๋ย” จะพยายามทำอยู่บ้าง

แต่ด้วยเศรษฐกิจโดยรวมของเอเชีย และของโลกประสบปัญหา บวกกับนโยบายของรัฐบาลที่ต้องการเดินหน้าเร่งเครื่องเกี่ยวกับเขตเศรษฐกิจพิเศษ รวมถึงการปักหมุดรถไฟฟ้าความเร็วสูง-ทางคู่ให้ได้สักสายไม่สัมฤทธิผล ที่สุดเศรษฐกิจของประเทศไทยก็เป็นดั่งที่เห็น

กลืนไม่เข้าคลายไม่ออก

กระทั่ง “ดร.สมคิด” เข้ามานั่งตำแหน่งรองนายกรัฐมนตรีในการปรับคณะรัฐมนตรีไม่นานผ่านมา พร้อมกับชูนโยบาย 3 ด้านในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจครั้งใหญ่ ประกอบด้วย

หนึ่ง ต้องการสร้างเขตเศรษฐกิจพิเศษให้เป็นรูปธรรม เหมือนอีสเทิร์นซีบอร์ด เพื่อให้เกิดการลงทุนจากภาคเอกชนไทย ต่างชาติ ต่อยอดเข้าสู่ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (AEC)

สอง เร่งมาตรการช่วยเหลือ SMEs ในการช่วยด้านสินเชื่อ เช่น ช่วยค้ำประกัน และปล่อยกู้เพื่อประคองเศรษฐกิจ

สาม หาวิธีใส่เงินงบประมาณเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจระดับล่าง หรือรากหญ้า ทั้งนั้นเพื่อให้เกิดเงินหมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจ

กล่าวกันว่า สาเหตุหลักที่ “ดร.สมคิด” ต้องการกระตุ้นเศรษฐกิจ ทั้ง 3 ด้านดังกล่าว เพราะเขาต้องการสร้างความเชื่อมั่นให้นักธุรกิจรู้สึกว่าสถานการณ์การเมืองขณะนี้อยู่ในระดับนิ่ง ที่สำคัญ เขาต้องการแยกระหว่างประชานิยม กับการช่วยเหลือคนจนให้ออกจากกัน ด้วยการออกแบบมาตรการต่างๆ ของรัฐเพื่อให้เกิดความเหมาะสม

ซึ่งเราๆ ท่านๆ คงต้องมาดูกันอีกทีว่าสิ่งที่ “ดร.สมคิด” และทีมเศรษฐกิจของรัฐบาล พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี คิดนั้นจะเป็นจริงในเร็ววันหรือไม่

แต่อย่างที่ทุกคนทราบ

ชั่วโมงนี้เราๆ ท่านๆ คงต้องเอาตัวให้รอดก่อน

เหมือนอย่างกับ บริษัท สหพัฒนพิบูล จำกัด (มหาชน) เจ้าของแบรนด์มาม่า และสินค้าอุปโภค บริโภคต่างๆ รวมถึงร้านคอนวีเนี่ยนสโตร์อย่าง 108 ช็อป ที่ขณะนี้หันไปจับมือกับบริษัท เมียนมาร์ คอนวีเนียนสโตร์ จำกัด เพื่อเปิด 108 ช็อปในพม่ามาระยะหนึ่ง

ล่าสุดเขาขยายธุรกิจร้านสะดวกซื้อในพม่าเพิ่มขึ้น ด้วยการจับมือเป็นพาร์ตเนอร์กับซิตี้มาร์ท กลุ่มค้าปลีกรายใหญ่ของพม่า ทั้งยังเปลี่ยนชื่อร้าน จาก 108 ช็อปที่มีอยู่ 20 สาขา มาเป็น “ซิตี้ เอ็กซเพรส” พร้อมขยายสาขาเป็น 60 สาขาในเมืองย่างกุ้ง

ถือเป็นการปรับเปลี่ยนกลยุทธ์เพื่อสร้างความแตกต่าง และโดดเด่นในธุรกิจค้าปลีก ในขณะที่ร้านค้าปลีกรายอื่นๆ ยังสนุกสนานอยู่กับการลงทุนในประเทศ

แต่สหพัฒน์มาก่อนแล้ว

ผมถึงมีความเชื่อว่า ไม่ว่าเศรษฐกิจจะตกสะเก็ดนานแค่ไหน เราต้องพยายามหาทางปรับตัวกับวิกฤตเช่นนี้ให้ได้ ที่สำคัญ จะต้องสร้างความแตกต่างในธุรกิจให้ได้เช่นกัน

ยักษ์ใหญ่บางทีทำอะไรอาจขยับยาก

แต่ยักษ์เล็กๆ อย่างเราๆ คิดจะทำอะไรแล้ว ลงมือทำทันที

บางทีวิกฤตที่เป็นอยู่จะกลับกลายเป็นโอกาสในวันหนึ่งก็ได้

ใครจะไปรู้?

แม่เหล็กรวมตัวกัน

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือเส้นทางเศรษฐี

http://info.matichon.co.th/rich/rich.php?srctag=07080150858&srcday=2015-08-15&search=no

วันที่ 15 สิงหาคม พ.ศ. 2558 ปีที่ 21 ฉบับที่ 379

คิดอย่างนักบริหาร

สาโรจน์ มณีรัตน์-เรื่อง

แม่เหล็กรวมตัวกัน

ตอนที่มีข่าว ศูนย์การค้า เซ็นทรัล พลาซา เวสต์เกต กำลังจะไปปักหมุดแถวบางใหญ่เพื่อจับลูกค้าโซนตะวันตก เพราะในอนาคตอันใกล้นอกจากจะมีรถไฟฟ้าสายสีม่วงเปิดให้บริการในปี 2559

หากยังมีถนนวงแหวนสายตะวันตกขนาด 12 เลน และถนนรัตนาธิเบศร์ 10 เลน เป็นจุดตัดกัน ที่สำคัญ อีกไม่นานนับจากนี้ยังมีการก่อสร้างถนนมอเตอร์เวย์สายตะวันตก (บางใหญ่-บ้านโป่ง) อีกจึงทำให้ใครมีกิจการร้านค้า หมู่บ้านจัดสรร ร้านค้าวัสดุก่อสร้าง ไปจนถึงร้านอาหารต่างๆ ที่อยู่ใกล้ศูนย์การค้า เซ็นทรัล พลาซา เวสต์เกต ต่างพากันชื่นมื่น

เพราะนอกจากจะเป็นทำเลทองแห่งใหม่

ยังกลายเป็นแหล่งลงทุนของกลุ่มนักธุรกิจอสังหาริมทรัพย์รายใหญ่ กลาง เล็ก ที่พร้อมจะมาปักหมุดสร้างคอนโดมิเนียมอีกมากมาย

มิหนำซ้ำ เร็วๆ นี้ยังทราบข่าวว่า อิเกีย ยักษ์ใหญ่ทางด้านของตกแต่งบ้าน และเฟอร์นิเจอร์ยังจะมาลงทุนสร้างอิเกีย สาขาเวสต์เกต ใกล้กับเซ็นทรัลด้วย

จึงทำให้ ศูนย์การค้า เซ็นทรัล พลาซา เวสต์เกต ยิ่งกลายเป็นพื้นที่แม่เหล็กที่ใครๆ พร้อมจะเข้ามาลงทุน เพราะเห็นตัวอย่างจากเซ็นทรัล ศาลายา ที่ขณะนี้บริเวณโดยรอบพื้นที่ใกล้เคียงกลายเป็นทำเลทองไปเรียบร้อยแล้ว

ตอนที่ผมทราบข่าวว่าเซ็นทรัลกำลังจะสยายปีกไปบางใหญ่ ตอนนั้นยังรู้สึกเฉยๆ เพราะรู้อยู่แล้วว่าทุกครั้งที่เซ็นทรัลจะรุกธุรกิจไปทางไหน เขาต้องศึกษาข้อมูลเป็นอย่างดีแล้วว่าจะคุ้มค่ากับการลงทุนหรือไม่

แต่ตอนหลังผมเริ่มเห็นข่าวว่าอิเกียเข้ามา

เห็นเมเจอร์ซีนีเพล็กซ์ไปด้วย

รวมถึงกลุ่มทุนอื่นๆ

ผมจึงมานั่งคิดว่าเห็นทีพื้นที่โซนตะวันตกคงร้อนแรงเป็นแน่ เพราะอีกไม่นานอินฟราสตักเจอร์ทั้งหลายจะถูกเปิดใช้ นั่นหมายความว่าการเดินทางโดยรถยนต์ รถไฟฟ้า รวมการเชื่อมโยงของเส้นทางสายคมนาคมต่างๆ คงทำให้พื้นที่แถบบางใหญ่ บางบัวทอง ต้องกลายเป็นทำเลทองแน่

ยิ่งมาอ่านข่าวจากหนังสือพิมพ์ประชาชาติธุรกิจ ในเซ็กชั่นการตลาด ฉบับวันจันทร์ที่ 6-วันพุธที่ 8 กรกฎาคม 2558 ผ่านมา สิ่งที่ผมแอบเชื่อลึกๆ ก็เป็นจริง

เหมือนอย่างที่ “วัลยา จิราธิวัฒน์” รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ สายงานพัฒนาธุรกิจออกแบบ และก่อสร้าง บริษัท เซ็นทรัลพัฒนา จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า เวสต์เกต เป็นสาขาที่ 28 ที่เซ็นทรัลทุ่มสรรพกำลังเพื่อปั้นสาขานี้ให้ดีที่สุดในระดับภูมิภาค ด้วยงบลงทุน 14,000 ล้านบาท เพื่อให้สาขานี้เป็นแหล่งรวมซุปเปอร์แองเคอร์ โดยมีอิเกียเป็นจิ๊กซอว์ล่าสุดที่จะเข้ามาเติมเต็มโครงการให้สมบูรณ์

“จากที่ผ่านมา เจรจากับอิเกียมากว่า 5 ปี โดยจะเปิดเต็มรูปแบบ 40,000 ตารางเมตร คาดว่าจะพร้อมเปิดให้บริการในอีก 2 ปีข้างหน้า แต่สำหรับเซ็นทรัล เวสต์เกต เราจะเปิดในวันที่ 28 สิงหาคมที่จะถึงนี้บนพื้นที่กว่า 100 ไร่ ที่อยู่ภายใต้คอนเซ็ปต์ Have a Big Life โดยออกแบบทุกอย่างขนาดใหญ่ทั้งหมด”

“มีร้านค้าชั้นนำทั้งหมด 500 แบรนด์ ร้านอาหาร 200 แบรนด์ มีโรงหนังขนาด 3,000 ที่นั่ง มีฟิตเนสเวอร์จิ้น แอคทีฟ และอิเกีย”

ขณะที่ “คริสเตียน รอยเคียร์” กรรมการผู้จัดการ บริษัท อิคาโน่ ไพรเวท ลิมิเต็ด จำกัด ผู้ดูแลแฟรนไชส์อิเกียในไทย มาเลเซีย และสิงคโปร์ กล่าวว่า ศักยภาพของทำเลที่บางใหญ่ และประชากรในแถบนี้เหมาะกับอิเกียเป็นอย่างมาก และด้วยคอนเซ็ปต์ใหม่ที่จะถูกนำเสนอ จึงมั่นใจว่าจะตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคชาวไทยดียิ่งขึ้น

“คอนเซ็ปต์ของที่นี่จะแตกต่างจากที่เมกา บางนา และถือเป็นครั้งแรกที่เชื่อมระหว่างสโตร์กับศูนย์การค้าเข้าไว้ด้วยกัน ด้วยการทำพื้นที่เชื่อมต่อถึงกัน 3 ชั้น ทั้งนั้นเพื่อเพิ่มความสะดวกสบาย และนำเสนอประสบการณ์การจับจ่ายแบบใหม่ให้กับผู้บริโภค”

“อีกอย่าง เรากับเซ็นทรัลรู้จักกันมากว่า 5 ปี ตั้งแต่เข้ามาลงทุนในไทยครั้งแรก ทั้งยังสอดคล้องกับแนวทางการลงทุนของบริษัทที่ยังคงเปิดกว้าง ด้วยการเลือกรูปแบบที่เหมาะสมที่สุด สิ่งสำคัญคือพื้นที่ เนื่องจากอิเกียต้องใช้พื้นที่จำนวนมากทั้งในส่วนของสโตร์ ลานจอดรถ จุดรับส่งสินค้า ดังนั้น พอมาเจอที่นี่ทุกอย่างจึงลงตัว”

อันไปสอดรับกับความคิดของ “วิชา พูลวรลักษณ์” ประธานกรรมการบริหาร บริษัท เมเจอร์ ซีนีเพล็กซ์ กรุ้ป จำกัด (มหาชน) ที่บอกว่า ความใหญ่ และความครบของโครงการเวสต์เกตจะเป็นตัวดูดลูกค้าให้มาใช้บริการมาก และเป็นผลดีต่อธุรกิจที่เข้ามาเปิดบริการในพื้นที่ รวมถึงธุรกิจโรงหนังของเมเจอร์ที่มาเต็มรูปแบบ 12 โรง 3,000 ที่นั่งในคอนเซ็ปต์เวสต์เกต ซีเนม่า

ดังนั้น การที่อิเกียมาเปิดสาขาร่วมกับเซ็นทรัล จึงมองว่าเป็นเรื่องที่ดี ดีกว่าต้องมาแข่งกันเอง โดยเฉพาะศูนย์การค้าที่มีพื้นที่เป็นแสนๆ ตารางเมตร คิดว่าคงไม่มีใครมาแข่งอีก เพราะต้องใหญ่จริงๆ ถึงจะสู้ได้

แต่กระนั้น ก็จะมีปัญหาตามมาอีก เพราะผู้เช่าพื้นที่ในศูนย์จะเลือกเปิดธุรกิจเพียงจุดเดียวเท่านั้น ต่างจากกลางเมืองที่เปิดได้หลายๆ จุด เพราะกำลังซื้อสูงกว่า และมีนักท่องเที่ยวเข้ามาเกี่ยวข้อง

อันเป็นมุมมองที่น่าสนใจอย่างยิ่ง

ทั้งนั้น คงต้องยอมรับความจริงว่าการผนึกของยักษ์ใหญ่ทางด้านธุรกิจประเภทต่างๆ ที่มีจุดแข็งของตัวเองในแต่ละส่วน เวลาคิด เขาจะไม่คิดแข่งกันเอง

แต่กลับคิดในการประสานประโยชน์

เหมือนนำจุดแข็งของตนเองในแต่ละส่วนมาหลอมรวมกัน

ดังนั้น เมื่อเป็นเช่นนี้ อานิสงส์จึงตกอยู่กับประชากรส่วนใหญ่ที่อยู่แถบบางใหญ่ บางบัวทอง และละแวกใกล้เคียง เพราะนอกจากจะมีแม่เหล็กชั้นดีมาอยู่ในที่ที่เดียวกันแล้ว

ยังทำให้กิจการร้านค้าโดยรอบพลอยมีความสุขด้วย

เพราะนอกจากจะเกิดความคึกคักทางธุรกิจ บางทีอาจทำให้พ่อค้า แม่ค้ารายย่อยพลอยได้รับอานิสงส์ไปกับเกมรุกธุรกิจครั้งนี้ของกลุ่มเซ็นทรัลด้วย

ลองไปคิดดูนะครับว่าจะทำธุรกิจอะไรรองรับ

เพราะวันที่ 28 สิงหาคม 2558 นี้ ศูนย์การค้า เซ็นทรัล พลาซา เวสต์เกต เปิดทำการอย่างแน่นอนแล้ว

ส่วนอิเกียก็คงอีก 2 ปี

ซึ่งยังพอมีเวลาให้คิดอยู่พอสมควรว่า ท่านทั้งหลายจะทำธุรกิจอะไรรองรับดี