“DOCTOR TONY CLINIC” ชูเครื่องสำอาง สร้างตัวแทนจำหน่าย

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือเส้นทางเศรษฐี

http://info.matichon.co.th/rich/rich.php?srctag=07044010159&srcday=2016-01-01&search=no

วันที่ 01 มกราคม พ.ศ. 2559 ปีที่ 21 ฉบับที่ 388

สุขภาพความงาม

มีนา

“DOCTOR TONY CLINIC” ชูเครื่องสำอาง สร้างตัวแทนจำหน่าย

“การแข่งขันสูงจริง แต่ไม่เคยคิดลดราคาผลิตภัณฑ์ เพราะเราเชื่อว่า ราคาไม่ใช่คำตอบทำให้ลูกค้าเลือก แต่ผลิตภัณฑ์คุณภาพดีต่างหากที่ลูกค้าให้ความสำคัญ”

“ไก่งามเพราะขน คนงามเพราะแต่ง” ยังคงใช้ได้ทุกยุคสมัย โดยเฉพาะกับกลุ่มผู้หญิง ดังจะเห็นได้ในวันนี้มีสถาบันความงาม ผลิตภัณฑ์เครื่องสำอาง เกิดขึ้นหลากแบรนด์ หลายชนิด เพื่อตอบโจทย์ความสวย

“DOCTOR TONY CLINIC” คลินิกดูแลความงามครบวงจร เป็นอีกแบรนด์หนึ่งที่ก้าวเข้ามาในตลาดจนเติบโตมีผู้เข้าใช้บริการทั้งในและต่างประเทศ พร้อมๆ กับแตกไลน์ผลิตภัณฑ์เครื่องสำอางเข้ามาตอบโจทย์คนวัยตั้งแต่ 13 ปีขึ้นไป

สวยงามสร้างมูลค่า

เติบโตรุดหน้าตลอด

นายแพทย์วรพล สุขีวัฒนา ผู้ก่อตั้ง และแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านผิวหนังให้กับโรงพยาบาลและคลินิกมาแล้วถึง 4 แห่ง นอกจากนั้นยังเป็นวิทยากรและอาจารย์สอนเทคนิคการฉีดโบท็อกซ์และฟิลเลอร์ให้แก่แพทย์ทั้งในประเทศและต่างประเทศ

นายแพทย์วรพล เคยดำรงตำแหน่งผู้จัดการฝ่ายการแพทย์ให้กับบริษัทผู้ผลิตโบท็อกซ์รายใหญ่ในโลก จนกระทั่งมีประสบการณ์ความรู้มากพอ จึงก่อตั้ง DOCTOR TONY CLINIC เป็นของตนเอง จนบัดนี้สามารถเติบโตมีจำนวนลูกค้าเข้าใช้บริการ ทั้งคนไทยในกรุงเทพฯ และต่างจังหวัด รวมไปถึงหญิงสาวในแถบเอเชีย อย่างประเทศลาว ที่เดินทางมาใช้บริการเฉลี่ยปีละประมาณ 1 ครั้ง กับยอดใช้บริการเฉลี่ยต่อคนราว 100,000 บาท

ด้วยชื่อเสียงสั่งสมมานานราว 5 ปี ทั้งการให้บริการในส่วนของคลินิก และผลิตภัณฑ์ที่ผลิตออกมาเพื่อจัดจำหน่าย เริ่มได้รับความนิยม กอปรกับนายแพทย์วรพลเล็งเห็นว่า ตลาดเครื่องสำอางในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา เติบโตแบบก้าวกระโดด โดยเฉลี่ยปีละประมาณ 18 เปอร์เซ็นต์ มีมูลค่าตลาดรวม 2.1 แสนล้านบาท และแบ่งเป็นตลาดในประเทศ 60 เปอร์เซ็นต์ มูลค่า 1.2 แสนล้านบาท และตลาดส่งออก 40 เปอร์เซ็นต์ มูลค่า 9 หมื่นล้านบาท โดยเฉพาะกับผลิตภัณฑ์ความงามกลุ่ม “สกินแคร์” ถือเป็นตลาดใหญ่อันดับต้น

ความเติบโตนี้ทtยานขึ้นเรื่อยๆ โดยเฉพาะหากนับจากนี้ไปอีก 5 ปี คือในปี 2563 มูลค่าตลาดจะเติบโตกว่าเท่าตัว โดยเฉพาะภาคการส่งออก ซึ่งมีโอกาสขยายตัวไปกว่า 2 แสนล้านบาท ซึ่งตลาดอุตสาหกรรมเครื่องสำอางในประเทศไทย ในกลุ่มสกินแคร์ มีมูลค่าสูงถึง 4 แสนล้านบาท โดยเป็นผลิตภัณฑ์บำรุงเพื่อผิวขาวถึง 48 เปอร์เซ็นต์ ผลิตภัณฑ์บำรุงผิวทั่วไป 43 เปอร์เซ็นต์ และผลิตภัณฑ์บำรุงแบบให้คุณประโยชน์เฉพาะ 9 เปอร์เซ็นต์

บุกตลาดผลิตภัณฑ์

เปิดโอกาสสร้างตัวแทน

โอกาสที่มองเห็นจากความเติบโตนี้ ส่งผลให้ DOCTOR TONY CLINIC รุกตลาดในกลุ่มผลิตภัณฑ์เครื่องสำอางที่ผลิตขึ้นมารองรับตลาดทั้งหมด 5 กลุ่มหลัก ได้แก่ 1. ไวท์เทนนิ่ง ซึ่งเป็นกลุ่มที่ตลาดคนไทยและเอเชียมีความต้องการสูงสุดโดยผู้ใช้ส่วนใหญ่จะอยู่ในช่วงวัย 20 ปีขึ้นไป 2. กลุ่มลดริ้วรอย ที่จะสามารถเจาะผู้ใช้วัย 30 ปีขึ้นไปได้ 3. คลีนเซอร์ 4. แฮร์แคร์ สำหรับผู้มีปัญหาเส้นผม หนังศีรษะ และกลุ่มที่ 5. ดูแลรักษาสิว เหมาะกับวัย 13 ปีขึ้นไป

สำหรับสินค้านำร่องติดอันดับขายดี ได้แก่ 1. Rescue Me Cream Mask มาส์กเนื้อครีมพอกหน้า 2. Brightening Serum ซีรั่มสูตรเข้มข้นจากเกาหลี ลิขสิทธิ์เฉพาะ DOCTOR TONY และ 3. Wrinkle Cream ครีมลดเลือนริ้วรอย

กับการผลิตผลิตภัณฑ์นี้ นายแพทย์วรพล ว่า ได้คิดสูตรเฉพาะขึ้นมา โดยเลือกส่วนผสมคุณภาพ จากนั้นจัดจ้างบริษัทผู้เชี่ยวชาญได้มาตรฐานผลิตให้ โดยมุ่งเจาะไปยังกลุ่มเป้าหมายผู้หญิงเป็นหลัก

สำหรับราคาขายผลิตภัณฑ์เริ่มต้น 600 บาท ไปจนถึง 1,900 บาท โดยปัจจุบันวางจำหน่ายภายในคลินิกของตนเอง กำรายได้เดือนละหลักแสนบาท

จากการทำตลาดขายเอง ทั้งวางจำหน่ายในร้าน และผ่านโซเชียลมีเดีย อย่าง เฟซบุ๊กที่มียอดไลก์สูงถึง 400,000 ไลก์ โดยกลุ่มลูกค้าส่วนใหญ่คือผู้ใช้บริการในคลินิก ที่ต่อมาเป็นกระบอกเสียงบอกต่อ จึงเห็นช่องทางเติบโตด้วยวิธีผ่านตัวแทนจำหน่าย

“ที่ผ่านมา ลูกค้าของคลินิกจะมีกลุ่มคนต่างจังหวัดด้วย ตรงนี้จึงมองเห็นโอกาสกับการขยายผ่านตัวแทนจำหน่าย ซึ่งผมคาดไว้ในเบื้องต้น 10 ราย โดยอยู่ในพื้นที่กรุงเทพฯ 5 ราย และต่างจังหวัด 5 ราย เพื่อตอบโจทย์คนที่ไม่สามารถเดินทางมาคลินิกบ่อยๆ ได้”

อาชีพเสริมทำได้

หรือจะให้เป็นหลัก

สำหรับวงเงินการลงทุนกับการเป็นตัวแทนจำหน่าย นายแพทย์วรพลตั้งไว้เริ่มต้นกับรูปแบบที่ 1 เพียง 20,000 บาท โดยรับส่วนลดค่าผลิตภัณฑ์ 30 เปอร์เซ็นต์ เพื่อลูกค้านำไปทำกำไรต่อได้ เหมาะกับกลุ่มลูกค้าที่ต้องการสร้างอาชีพเสริม หรือแม้แต่ผู้เป็นนักเรียน นักศึกษา แม่บ้าน

ในกรณีผู้มีหน้าร้านเปิดจำหน่ายเครื่องสำอางอยู่แล้วก็สามารถรับไปจำหน่ายได้ แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น ผู้จะมาเป็นตัวแทนจำหน่ายต้องผ่านกระบวนการอบรมก่อนขาย เพื่อเรียนรู้รายละเอียดเกี่ยวกับวิธีดูสภาพผิว และการเลือกผลิตภัณฑ์ให้เหมาะกับผิวหน้าของผู้ใช้ โดยระยะเวลาฝึกอบรมเพียงครึ่งวันก็สามารถนำองค์ความรู้ไปดำเนินธุรกิจได้

ปัจจุบัน การซื้อขายผ่านโลกโซเชียล เป็นหนึ่งในความนิยมของผู้บริโภค นายแพทย์วรพล จึงมองว่าช่องทางดังกล่าวเป็นช่องทางที่ไม่เสียค่าใช้จ่าย แต่ให้ผลค้าขายดี ซึ่งตัวแทนจำหน่ายสามารถใช้วิธีนี้ได้

เมื่อธุรกิจรุดหน้า สามารถขยายสู่การลงทุนสูงขึ้นในรูปแบบที่ 2 กับงบการลงทุน 50,000 บาท รับส่วนลด 40 เปอร์เซ็นต์ หรือจะเลือกลงทุนรูปแบบที่ 3 งบลงทุน 100,000 บาท รับส่วนลด 50 เปอร์เซ็นต์

แม้ธุรกิจนี้การแข่งขันจะสูง แต่ทว่าการสร้างโปรดักต์คุณภาพ ย่อมส่งผลให้ตลาดเกิดการยอมรับ ยิ่งการันตี แพ้ยินดีรักษาให้ฟรีในคลินิกโดยไม่เสียค่าใช้จ่าย พร้อมเปลี่ยนผลิตภัณฑ์ใหม่ให้ จุดนี้สร้างความมั่นใจให้กับผู้ใช้บริการ

“การแข่งขันสูงจริง แต่ไม่เคยคิดลดราคาผลิตภัณฑ์ เพราะเราเชื่อว่า ราคาไม่ใช่คำตอบทำให้ลูกค้าเลือก แต่ผลิตภัณฑ์คุณภาพดีต่างหากที่ลูกค้าให้ความสำคัญ เพราะนี่มันเกี่ยวกับร่างกายของเขา”

นายแพทย์วรพล ยังกล่าวต่อถึงแผนดำเนินงาน “ในปีหน้า (2559) เป็นต้นไป วางแผนสร้างยอดขายให้โตปีละ 20-30 เปอร์เซ็นต์ ฉะนั้น จึงต้องให้ความสำคัญกับการสร้างตัวแทนจำหน่าย และด้านประชาสัมพันธ์ โดยจัดตั้งทีมขึ้นมาดูแลโดยตรง ซึ่งการประชาสัมพันธ์นี้จะมองไปถึงโซเชียลมีเดีย เพราะเป็นช่องทางเข้าถึงกลุ่มคนยุคปัจจุบัน”

อนาคต นายแพทย์วรพล ยังวางแผนเปิดรับตัวแทนจำหน่ายเพื่อก้าวเข้าไปทำตลาดในกลุ่มประเทศเออีซี โดยอาจเริ่มต้นที่ประเทศลาว “ปัจจุบัน กลุ่มลูกค้าผู้มีฐานะทางการเงินดีของประเทศดังกล่าวนี้เดินทางมาใช้บริการในคลินิก เฉลี่ยคนละ 1 ครั้ง โดยใช้งบบริการประมาณ 100,000 บาท ไม่เพียงเท่านั้น เขาเหล่านี้ยังซื้อผลิตภัณฑ์ โดยเฉพาะมาส์กพอกหน้ากลับไปใช้และเป็นของขวัญของฝาก ครั้งละนับ 10 กระปุก” คำกล่าวทิ้งท้าย ถึงโอกาสก้าวสู่ความเติบโตของ DOCTOR TONY CLINIC

สนใจติดต่อธุรกิจ เดินทางไปได้ที่ DOCTOR TONY CLINIC สาขาเดอะคริสตัล พาร์ค ถนนเลียบด่วน-รามอินทรา หรือ http://www.doctorclinic.com, http://www.facebook.com/dr.tonybeautyexpert, ID LINE : doctortonyclinic, Call Center (084) 432-9889

เทรนด์ความงาม ปี 2016

นายแพทย์วรพล สุขีวัฒนา เจ้าของ DOCTOR TONY CLINIC เผยเทรนด์ความงามปี 2016 ยังคงเป็นแนว Naked Face หรือที่เรียกว่า ความงามแบบเปลือยผิว เพื่อโชว์เท็กซ์เจอร์ผิวสวย แต่งหน้าอ่อนๆ ฉะนั้น ผิวที่จะโชว์ได้ต้องไม่มีริ้วรอย รูขุมขนไม่กว้าง ไร้กระฝ้าจุดด่างดำ ไม่มีหลุมสิว ไม่มีร่องแก้ม

ดังนั้น การดูแลผิวด้วย สกิน บูสเตอร์ (Skinboosters) จะเป็นเทคนิคหนึ่งที่เข้ามามีบทบาทมากขึ้น โดยการใช้เทคนิคกระบวนการของเทคโนโลยี Non Animal Stabilize Hyaluronic Acid หรือ NASHA ที่ทำให้เจลไฮยาลูโรนิคแอซิด ฉีดกระจายทั่วใบหน้า

เสน่ห์ของดวงตา แบบ Angel eyes คือรอบดวงตาที่เรียบเนียน ไม่ดำคล้ำ ไร้ริ้วรอย ดูกระชับ เป็นอีกหนึ่งเทรนด์ที่จะมาแรงในปี 2016 สำหรับเทคนิคที่จะได้รับความนิยม ได้แก่ HA และ Botox

การทำแก้มลูกส้มเป็นหน้ารูปหัวใจ หรือเรียกว่า Heart Shaped Face ก็เป็นรูปหน้าที่อยู่ในเทรนด์ 2016 พร้อมทั้งความนิยมทำผิวหน้าให้กระชับ ไม่มีเหนียงใต้คาง ยังคงได้รับความนิยมต่อเนื่อง ด้วยการทำโปรแกรม ThermiRF (เทอร์มิอาร์เอฟ)

“SEIN” แก่นตะวันอัดเม็ด เอาใจคนมีปัญหาสุขภาพ

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือเส้นทางเศรษฐี

http://info.matichon.co.th/rich/rich.php?srctag=07078011258&srcday=2015-12-01&search=no

วันที่ 01 ธันวาคม พ.ศ. 2558 ปีที่ 21 ฉบับที่ 386

สุขภาพความงาม

ภาวิณีย์ เจริญยิ่ง srangbun@hotmail.com

“SEIN” แก่นตะวันอัดเม็ด เอาใจคนมีปัญหาสุขภาพ

ความใฝ่ฝันอย่างหนึ่งของคนรุ่นใหม่คือ การมีธุรกิจเป็นของตัวเอง บางคนครอบครัวไม่ได้มีปัจจัยอะไรสนับสนุนก็เลือกเป็นมนุษย์เงินเดือนไปก่อน พอมีประสบการณ์ มีเงินสะสมเพียงพอถึงค่อยลาออกมาทำกิจการของตัวเองตามความชอบความถนัด ซึ่งมีจำนวนไม่น้อยที่ไปได้ดี เพราะผู้ประกอบการเหล่านี้มีความมุ่งมั่นตั้งใจจริง และส่วนใหญ่จะศึกษาความเป็นไปได้ทางการตลาดมาแล้ว

ใช้งบลงทุน 6-7 ล้านบาท

อย่าง คุณต่อศักดิ์ ชาติวัยงาม อายุ 33 ปี จบคณะเศรษฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ปัจจุบันร่วมกับเพื่อน คุณสรวุธ จักรวุธ ทำไร่แก่นตะวันที่อำเภอบ้านคา จังหวัดราชบุรี ในเนื้อที่ 24 ไร่ พร้อมต่อยอดด้วยการทำแก่นตะวันอัดเม็ดขาย ยี่ห้อซีอิน (SEIN) เพื่อเพิ่มมูลค่าสินค้าเกษตร ซึ่งเพิ่งเปิดตัวไปได้ไม่นาน ปรากฏว่ามีเสียงตอบรับค่อนข้างดี

คุณต่อศักดิ์ เล่าว่า ก่อนหน้ามาทำไร่แก่นตะวัน เคยเป็นโบรกเกอร์อยู่ตลาดหลักทรัพย์ แต่รู้สึกว่าเป็นงานไม่มั่นคงเลยลาออก เพื่อหาอะไรที่เป็นของตัวเองทำ พอดีได้รู้จักสมุนไพรแก่นตะวัน เนื่องจากไปเที่ยวขอนแก่นแล้วรู้จักกับอาจารย์ที่มหาวิทยาลัยขอนแก่น เห็นไร่ปลูกแก่นตะวันแล้วรู้สึกสนใจ เพราะมีประโยชน์ต่อสุขภาพ อีกอย่างมีงานวิจัยรองรับ จึงตัดสินใจเริ่มทำไร่แก่นตะวันกับเพื่อนที่เป็นหุ้นส่วน เมื่อปี 2550 โดยใช้เงินลงทุนไปประมาณ 6-7 ล้านบาท และคาดว่าจะได้เงินคืนประมาณ 1 ปีถึง 2 ปี

เจ้าตัวพูดถึงที่มาที่ไปของชื่อแบรนด์ SEIN ว่า S มาจาก smart คอนเซ็ปต์คือ ฉลาด หล่อ E-easy คือ ใช้แบบง่ายๆ รวมเป็น smart and easy ส่วน I กับ N คือ อินนูลิน หมายความว่า เต็มไปด้วยอินนูลิน

เขาอธิบายถึงสรรพคุณของแก่นตะวันให้ฟังว่า เด่นในเรื่องของเบาหวาน คอเลสเตอรอล และความดันโลหิต ซึ่งเป็นโรคที่อยู่ในสายเดียวกัน ถ้ารับประทานผลิตภัณฑ์ของ “SEIN” ต่อเนื่องสัก 1 เดือน จะได้ผล ประเด็นนี้มีงานวิจัยเลยกล้าโฆษณา นอกจากนี้ ยังมีพรีไบโอติกที่มีผลต่อสุขภาพในระยะยาว เพราะเป็นอาหารของแบคทีเรียชนิดดี ที่ผ่านมาลูกค้ามีฟีดแบ็กดีจึงซื้อต่อ โดยรับประทานวันละ 4 เม็ด เช้า 2 เม็ด เย็น 2 เม็ด หรือก่อนนอนก็ได้ ซึ่งแก่นตะวันอัดเม็ดนี้มีเครื่องหมาย อย. รับรอง และมีใบตรวจโรคเรียบร้อย

แก่นตะวันบรรจุอัดเม็ด “SEIN” จำนวน 120 เม็ด ปกติขายกระปุกละ 1,250 บาท แต่ถ้าเขาออกบู๊ธขายเองจะจัดโปรโมชั่นเหลือเพียงกระปุกละ 999 บาท ถ้าเป็นแก่นตะวันสดขายปลีก กิโลกรัมละ 100 บาท ส่วนใหญ่ขายคนในละแวกใกล้เคียงที่บอกกันแบบปากต่อปาก

“กล้าพูดว่า ผมเป็นเจ้าเดียว เจ้าแรกในไทย ที่นำแก่นตะวันมาทำเป็นแบบอัดเม็ด แต่หลายๆ เจ้าทำเป็นแบบแคปซูล ซึ่งกระบวนการไม่เหมือนผม ผมผ่านการอบ ผ่านกระบวนการหลายขั้นตอนกว่าจะออกมาเป็นเม็ด ซึ่งสารอาหารอยู่ครบ ของผมไม่มีเชื้อรา ผมตรวจโรคทุกอย่าง คือเราใช้เวลาทดลองทำนานมาก กว่าจะออกมาเป็นแบบนี้”

ยันไม่ใช้ปุ๋ยเคมี

คุณต่อศักดิ์ ให้รายละเอียดด้วยว่า แก่นตะวันแคปซูลในท้องตลาด ต้องบอกว่า คนละตลาดมากกว่า ไม่ใช่คู่แข่งกัน เพราะของ “SEIN” เป็นเม็ด แต่คนอื่นเป็นแคปซูล กระบวนการที่ทำมีสารอาหารจริง มีงานวิจัยรองรับ อย่างเช่นแต่ละขั้นตอนต้องทำด้วยอุณหภูมิเท่าไร ต้องใช้เครื่องทำอย่างไร รวมถึงเรื่องตั้งแต่การปลูก การเก็บ มีมาตรฐานชัดเจน จะไม่เหมือนกับที่ขายใส่แคปซูลทั่วไปอย่างแน่นอน

เจ้าของแบรนด์ SEIN บอกอีกว่า ความจริงแก่นตะวันเป็นพืชที่รู้จักมานานแล้ว แต่คนเพิ่งมาสนใจในเรื่องของสรรพคุณ ซึ่งค่อนข้างโดน แต่ด้วยลักษณะที่ปลูกยาก เก็บยาก อีกทั้งการเก็บมีต้นทุน เลยเป็นพืชที่ยังไม่ฮิต เพราะถ้าเก็บหัวมาแล้ว ไม่มีห้องเย็นจะลำบาก เพราะต้องแช่ตู้เย็น ไม่เช่นนั้นหัวจะเสีย ขณะที่ตลาดยังไม่ได้กว้างนัก หากเก็บมาแล้วไม่สามารถขายได้หมดภายในครั้งเดียว ดังนั้น คนลงทุนจึงต้องมีสายป่าน ต้องมีทุนมาซัพพอร์ตตัวเองไปเรื่อยๆ

คุณต่อศักดิ์ ย้อนเล่าถึงช่วงแรกของการทำไร่แก่นตะวันว่า สาเหตุที่เลือกอำเภอบ้านคาใกล้กับอำเภอสวนผึ้ง เพราะมีคนรู้จักเหมือนเป็นญาติคอยดูแลให้ อีกอย่างราคาที่ดินไม่แพงมาก และได้ที่ดินสวยวิวก็ดี เวลาทำงานก็ทำให้มีความสุข และก่อนจะปลูกได้ศึกษาตลาดมาแล้ว ซึ่งเป็นทั้งพืชพลังงานและมีประโยชน์ต่อสุขภาพด้วย โดยตั้งเป้าจะขายหัวสด ตอนแรกปลูกไม่เยอะ ต่อมาซื้อพื้นที่ขยายเพิ่ม รวมปลูกในพื้นที่ประมาณ 24 ไร่ แบ่งเป็นแปลงๆ

ผลผลิตโดยเฉลี่ยประมาณ 3-3.5 ตัน/ไร่ ที่เคยได้ผลผลิตสูงสุดตก 4.5 ตัน/ไร่ ซึ่งปลูกแบบไม่ใช้สารเคมีเลย แต่ยังไม่ได้ระบุว่า เป็นเกษตรอินทรีย์ หรือเป็นออร์แกนิก แต่กล้าการันตีว่าปลูกเอง โดยไม่ได้ใส่ปุ๋ยเคมีอะไรเลย เพียงใช้วิธีการไถ่กลบและใส่ปุ๋ยคอก

สำหรับสายพันธุ์แก่นตะวันที่นำมาปลูก คุณต่อศักดิ์ ให้ข้อมูลว่า เป็นสายพันธุ์ของมหาวิทยาลัยขอนแก่น เบอร์ 2 กับ เบอร์ 3 ซึ่งขนาดและรสชาติจะต่างกัน โดยเบอร์ 2 หัวใหญ่กว่าเบอร์ 3 ที่หัวเล็กแต่รสชาติหวานกว่า

เล็งทำชาแก่นตะวัน

แม้จะเป็นเกษตรกรหน้าใหม่ แต่เขาก็ศึกษาการปลูกแก่นตะวันมาอย่างดี และได้ลงมือปฏิบัติด้วยตัวเอง เขาเล่าว่า ปลูกด้วยหัว ใช้เวลาปลูกประมาณ 4 เดือน ดอกจะออกเดือนที่ 2 ใช้เวลาประมาณ 1-2 สัปดาห์ ดอกจะร่วง เข้าเดือนที่ 4 ต้นข้างบนตายหมด สารอาหารถูกดึงลงไปหมดแล้ว ถึงจะเก็บหัวข้างล่าง ต้องรอต้นข้างบนตายหมดก่อน

ตัวแก่นตะวัน ด้วยใบ ก้าน ที่เป็นขน ทำให้ไม่มีปัญหาเรื่องแมลงจึงไม่ต้องใช้ยา ส่วนดินอาจจะต้องดูแลนิดหน่อย ต้องใช้ประสบการณ์ ปลูกครั้งแรกได้ผลผลิตไม่ดี แต่หลังจากนั้นได้เรียนรู้ว่าต้องเตรียมดินอย่างไร เพิ่มวัตถุอินทรีย์ให้ดิน น้ำต้องถึงแค่ไหน คือต้องรู้ความชื้น ต้องรู้ทุกอย่าง ใช้ประสบการณ์เก็บไปเรื่อยๆ โดยไม่จำเป็นต้องใช้เคมี และไม่ต้องเร่งผลผลิต เพราะ 1 ครั้งได้ 2.5-3 ตัน ถือว่าเพียงพอแล้ว

ส่วนโรคพืชสำหรับแก่นตะวัน มีอยู่โรคเดียวคือ รากเน่า แต่เกิดน้อย และสามารถป้องกันได้ โดยสามารถเตรียมเชื้อราไตรโคเดอร์มาที่เป็นประโยชน์ใส่ลงไปในขั้นตอนเตรียมดิน ซึ่งเชื้อราตัวนี้ก็มีวิธีเพาะด้วย ที่ผ่านมาทางไร่ยังไม่เคยเจอโรครากเน่าเลย

ถามถึงปัญหาอุปสรรค เขาระบุว่า อุปสรรคจะเป็นเรื่องเก็บ เรื่องสต๊อก บางครั้งปล่อยไม่ทัน ตลาดเงียบ ของเสีย เหมือนกับเอาต้นทุนไปโยนทิ้ง ของเน่าจะเอาไปเป็นปุ๋ยก็ไม่ได้ ตรงนี้คืออุปสรรคหลัก และเรื่องธรรมชาติ เรื่องน้ำ เนื่องจากพื้นที่ของไร่เป็นเนิน เป็นที่ราบเชิงเขา เพราะฉะนั้น จึงเก็บน้ำได้ค่อนข้างน้อย แต่ก็มีบ่อเก็บกักน้ำ แต่ปีนี้แล้งจริงๆ ก็มีปัญหาเรื่องน้ำบ้าง

คุณต่อศักดิ์ บอกว่า ทำแก่นตะวันอัดเม็ดตั้งแต่ต้นปีที่ผ่านมา แต่ไม่มีหน้าร้าน ขายเฉพาะคนรู้จัก และมีการบอกต่อกันไปเรื่อยๆ กลุ่มลูกค้าจะเป็นกลุ่มที่มีอายุมากหน่อย ประมาณ 45 ปีขึ้นไป ซึ่งล้วนเป็นโรคเบาหวาน เพราะรับประทานแล้วน้ำตาลลด หลายคนโทรศัพท์มาขอบคุณ ลูกค้าจะชอบเยอะเนื่องจากรับประทานง่าย ซึ่งกล้าการันตีว่าชนิดเม็ดได้ผลเร็วกว่า การบรรจุเป็นเม็ดควบคุมสารอาหารทั้งหมดอยู่ในนี้แล้ว และดีกว่าการดื่มในรูปชา

ทั้งนี้ ในอีกไม่ช้าจะนำแก่นตะวันมาทำในรูปชา อยู่ในช่วงศึกษาเครื่องจักร โดยวางแผนจะวางตลาดไม่เกินต้นปี 2559

อย่างไรก็ตาม แม้ตอนนี้จะไม่มีหน้าร้าน แต่ในอนาคต คุณต่อศักดิ์ บอกว่า คงจะมี หากต่อไปมีคนรู้จักแบรนด์มากยิ่งขึ้น และอาจจะมีวางขายตามร้านขายยาทั่วไปเพื่อให้ลูกค้าหาซื้อได้ง่ายขึ้น ปัจจุบัน ช่องทางการตลาดของ SEIN คือมีเว็บไซต์ http://www.seinthailand.com/Facebook : sein หรือสอบถามได้ที่ โทรศัพท์ (081) 432-0224

นับเป็นผู้ประกอบการรายใหม่อีกรายที่ทำแบบครบวงจรตั้งแต่ต้นน้ำจนถึงปลายน้ำ ที่สำคัญ เป็นการเพิ่มมูลค่าผลผลิตทางการเกษตรของไทยได้อีกทางหนึ่ง

แก่นตะวันทำอาหารได้หลายเมนู

หัวสดแก่นตะวันสามารถรับประทานได้ทั้งแบบปอกเปลือกและไม่ปอกเปลือก ถ้าจะรับประทานทั้งเปลือก ควรล้างดินออกให้สะอาดก่อน โดยนำไปแช่น้ำสักพัก ดินจะอ่อนตัว และล้างออกได้ง่ายขึ้น แล้วนำไปหั่นเป็นชิ้น วันละ 2-3 หัว นำไปแช่เย็น ไว้รับประทานตอนเช้าหรือเย็น สำหรับผู้ที่เริ่มรับประทานแก่นตะวันใหม่ๆ ให้รับประทานวันละ 1 ขีด ไม่ควรเยอะเพราะร่างกายยังปรับสภาพไม่ทัน ถ้ารับประทานมากๆ อาจทำให้ระบบขับถ่ายดีเกินไป ควรรับประทานในปริมาณที่ไม่มากก่อนในตอนแรก

นอกจากนี้ แก่นตะวันสามารถนำไปประกอบอาหารได้หลายอย่าง เช่น ต้ม ผัด แกง และยำ เป็นต้น เป็นอาหารเพื่อสุขภาพ ควรรับประทานอย่างต่อเนื่อง ในปริมาณที่มากพอ จะดีต่อสุขภาพ และได้คุณค่ามากมาย

การเก็บรักษาหัวสดแก่นตะวัน

แก่นตะวันที่ไม่ปอกเปลือก สามารถเก็บในตู้เย็นได้นานถึง 3 สัปดาห์ หรืออาจมากกว่านั้น ถ้าไม่เกิดเชื้อรา ควรเก็บใส่ถุงเอาไว้ เพื่อไม่ให้เหี่ยวเร็ว โดยเก็บในช่องผักเหมือนผักผลไม้ทั่วไป

ส่วนแก่นตะวันที่ปอกเปลือกแล้ว แช่น้ำเปล่าไว้ รอให้สะเด็ดน้ำ แล้วนำไปใส่กล่องพลาสติก ปิดฝาไว้ไม่ให้อากาศเข้า เพื่อไม่ให้หัวสดแก่นตะวันเหี่ยวเร็วและเปลี่ยนสี จากนั้นให้นำไปใส่ตู้เย็นที่ช่องธรรมดา

สำหรับการเก็บรักษาแก่นตะวันที่ไม่ใส่ตู้เย็น ควรล้างให้สะอาดและผึ่งในร่มให้แห้งสนิท เก็บใส่ถุงพลาสติกที่ปิดสนิทและใส่ไว้ในกล่องกระดาษ จะเก็บได้นานถึง 1 เดือน

ขอบคุณhttp://bkkartichoke.com

ลิปสติกข้าว “VOWDA” เจาะกลุ่มสาวชอบธรรมชาติ

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือเส้นทางเศรษฐี

http://info.matichon.co.th/rich/rich.php?srctag=07043150858&srcday=2015-08-15&search=no

วันที่ 15 สิงหาคม พ.ศ. 2558 ปีที่ 21 ฉบับที่ 379

สุขภาพความงาม

ภาวิณีย์ เจริญยิ่ง srangbun@hotmail.com

ลิปสติกข้าว “VOWDA” เจาะกลุ่มสาวชอบธรรมชาติ

หลายปีมานี้ผู้ประกอบการบ้านเราได้นำทั้งข้าวเจ้าและข้าวเหนียวมาแปรรูปจำนวนมาก ไม่ว่าจะเพื่อบริโภคหรืออุปโภคก็ตาม อย่างข้าวเจ้านั้นนอกจากจะมาแปรรูปเพื่อรับประทานแล้ว ยังมีการนำมาแปรรูปทำเครื่องสำอางอีกด้วย บ้างก็นำมาทำเป็นครีม นำมาทำเป็นแชมพู เป็นแป้งพัฟ และเป็นสบู่ ฯลฯ แต่สำหรับบริษัท โป๋วเอวี๋ยน (แปลว่า ก้าวไกลไปทั่วโลก) จำกัด ที่มี คุณบวรศักดิ์ โฆษิตชัยวัฒน์ นั่งเป็นกรรมการบริษัท และ คุณวิลาสินี โฆษิตชัยวัฒน์ (ภรรยา) ผู้บริหารอีกคน ได้นำข้าวเจ้ามาทำเป็นลิปสติกหลากสีสัน ชื่อแบรนด์ วาวด้า (VOWDA) ซึ่งเมื่อไปออกบู๊ธที่ไหนต่างได้รับความสนใจจากคุณผู้หญิงเป็นอย่างดี เพราะถือเป็นผลิตภัณฑ์แปลกใหม่

ใช้ส่วนผสมจากข้าวทั้งหมด

คุณบวรศักดิ์ พูดถึงที่มาที่ไปของธุรกิจนี้ว่า เริ่มต้นจากการมองในส่วนของผู้บริโภคที่ใช้อยู่ พบว่า ลิปสติกมีสารปรอท หรือสารต่างๆ ซึ่งเป็นสารเคมีที่ค่อนข้างเยอะ เลยมาคิดว่าจะทำอย่างไรให้เกิดผลเสียกับคนที่ใช้น้อยที่สุด จึงมาตกผลึกได้ในส่วนของข้าวว่าต้องให้เป็นธรรมชาติมากที่สุด เพราะถ้าเป็นลิปสติกทั่วไปหากใช้ไปเรื่อยๆ ริมฝีปากจะดำ เมื่อใช้ข้าวทำแล้วมีการเทสต์กับผู้ใช้แล้วประมาณ 40 คน ในระยะเวลา 2 เดือน พอใช้ไปแล้ว ริมฝีปากจะอิ่มน้ำมากขึ้น ส่วนคนที่ริมฝีปากคล้ำก็จะค่อยๆ คืนสภาพริมฝีปากเดิม

เขาเล่าว่า โป๋วเอวี๋ยน เป็นบริษัทคนไทยที่ทำเกี่ยวกับเครื่องสำอางอยู่แล้ว ซึ่งรับจ้างผลิตด้วย แต่ตอนนี้ต้องการจะทำแบรนด์ VOWDA เป็นของตัวเอง ซึ่งชื่อแบรนด์ความหมายคือ ใครเห็นต้องร้องว้าว ใครเห็นต้องตกใจ อยากจะลองใช้ ในส่วนของโลโก้คล้ายกับดอกไม้

ลิปสติกข้าวของ VOWDA ผลิตขายเมื่อปีที่แล้ว หลังจากปี 2556 ได้ส่งเข้าประกวดจนได้รางวัลนวัตกรรมข้าวไทย อันดับที่ 3 ของสำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ (องค์การมหาชน) หรือ สนช. ร่วมกับ มูลนิธิข้าวไทย ในพระบรมราชูปถัมภ์ โดยได้รับการสนับสนุนงานวิจัยจากเครือข่ายนวัตกรรมเกษตรอินทรีย์ และ สนช. ในโครงการแปลงเทคโนโลยีเป็นทุนด้วยนวัตกรรมจากการใช้สีจากข้าวแดง ผักและผลไม้ ทดแทนสีสังเคราะห์และใช้ส่วนผสมต่างๆ จากข้าว เช่น ไข และน้ำมันรำข้าว รวมถึงแป้งข้าวทดแทนวัตถุดิบสังเคราะห์และวัตถุดิบที่ต้องนำเข้าจากต่างประเทศ

ทั้งนี้ ก่อนที่จะผลิตขายทางบริษัทได้สำรวจความต้องการของลูกค้าก่อนว่าชอบสีอะไร สรุปแล้วได้ออกมา 3 สีคือ แคร์รอตสีส้ม แคร์รอตสีม่วง และโรแมนติกโรส อีกแบบเป็นลิปกลอส

คุณบวรศักดิ์ แจงว่า ลิปสติกข้าวที่ผลิตนี้ส่วนผสมเป็นข้าวทั้งหมด เช่น ไขข้าว น้ำมันรำข้าว ตัวลิปสติกทำจากตัวข้าว ส่วนสีได้จากข้าวแดงและสีจากแคร์รอตซึ่งสีที่ขายดีจะมี 2 สีคือ แคร์รอตสีส้ม กับ แคร์รอตสีม่วง ความชื่นชอบแล้วแต่ว่าจะชอบสีแนวไหน ถ้าเป็นแคร์รอตสีส้มจะออกแดงหน่อยๆ แต่ถ้าเป็นสีม่วงจะออกสีชมพู ออกแนวหวานหน่อย ตอนนี้วางขายอยู่ที่เลมอนฟาร์ม ที่กรุงเทพฯ ราคาแท่งละ 550 บาท ทาแล้วสามารถอยู่ได้นาน 4-5 ชั่วโมง

ส่วนใหญ่ลูกค้าใช้แล้วบอกต่อ

สำหรับราคานี้บางคนอาจจะบ่นว่าแพง แต่ในมุมของคุณบวรศักดิ์ เจ้าตัวระบุว่า ถ้าเทียบราคา บางแบรนด์ถูกกว่าของ VOWDA แต่ด้วยความที่ VOWDA ทำจากวัตถุดิบจากธรรมชาติจึงต้องขายในราคาประมาณนี้

“ผมขายลิปสติกข้าวมาประมาณปีกว่าแล้ว กลุ่มลูกค้าส่วนใหญ่อยู่ในวัยทำงาน 80 เปอร์เซ็นต์ ใช้แล้วชอบและก็มีการบอกต่อ ส่วน 20 เปอร์เซ็นต์ มองสินค้าในลักษณะที่เป็นไฮแบรนด์ ราคาค่อนข้างแพงเกินไป อีกส่วนหนึ่งใช้แล้วไม่ชอบ ก็มีบ้างแต่เป็นส่วนน้อย ลูกค้าบางคนจะมองว่าเป็นแบรนด์เพิ่งเกิด แรกๆ ลูกค้าถามว่า ทำไมแพง เราก็บอกว่าทำวิจัยทำข้อมูลหลายอย่าง กว่าจะตกผลึกได้เป็นลิปสติก 1 แท่ง มันลำบากและใช้เวลานานเหมือนกัน ถือเป็นนวัตกรรมที่ทำจากข้าวทั้งหมด อย่างตัวข้าวแดงมียีสต์ซึ่งในส่วนของการผลิตจะมีสี ปกติจะละลายในน้ำ แต่เราสามารถทำให้ละลายในลิปสติกได้”

ในการผลิตลิปสติกจากข้าวนี้ คุณบวรศักดิ์ บอกว่า จะทำพอดีกับจำนวนที่สั่ง จะไม่สต๊อกไว้เยอะ เพราะบริษัทอยู่ในช่วงเริ่มต้น ต้องมีการบริหารจัดการในหลายๆ ส่วน โดยเฉพาะเรื่องการตลาด ซึ่งห้างต่างๆ ก็ยังไม่รู้จักผลิตภัณฑ์ตัวนี้ดี บางรายถึงกับถามว่า ผลิตในต่างประเทศหรือเปล่า ซึ่งการมีรางวัลมาการันตีก็ทำให้คนรู้จักมากขึ้นและทำให้ธุรกิจโตเร็วขึ้นด้วย

ปัจจุบันโรงงานผลิตลิปสติกของบริษัท โป๋วเอวี๋ยน จำกัด อยู่แถวหัวหิน ยังอยู่ในระยะเริ่มต้น จึงมีพนักงานไม่มากนัก เขามองว่ายังต้องบริหารจัดการอีกเยอะ โดยเฉพาะเรื่องการตลาด ซึ่งทางบริษัทเองวางแผนที่จะเข้าไปคุยกับทางห้างต่างๆ ในการเสนอสินค้าตัวนี้

“ผมอยากให้คนไทยใช้สินค้าที่เป็นแบรนด์ในประเทศ และควรต้องมองที่คุณภาพมากกว่าเรื่องราคา เนื่องจากคนที่เพิ่งทำธุรกิจที่เป็นคนหน้าใหม่ในวงการธุรกิจต้องบอกว่าค่าใช้จ่ายต่างๆ สูงมาก ตอนนี้ผมอยากให้มีตัวแทนจำหน่าย แต่ถ้าอยากจะเป็นตัวแทนจำหน่าย ลองโทรเข้ามาคุยก่อน (081) 981-8762 หรือเข้าไปดูรายละเอียดที่ http://www.vowdacosmetic.com”

แป้งจากเม็ดบัวได้รางวัลที่เกาหลี

นอกจากบริษัท โป๋วเอวี๋ยน จำกัด จะผลิตลิปสติกอินทรีย์จากข้าวแล้ว ยังมีโปรดักต์อื่นอีก อย่างเช่น วาวด้า ออร์แกนิก ลูสพาวเดอร์ ผิวขาว ซึ่งเป็นแป้งฝุ่นแต่งหน้าควบคุมความมันจากข้าวเจ้า โดยสกัดเอาโปรตีนออกแล้ว จึงไม่มีความจำเป็นต้องใส่สารกันเสีย รวมถึงไม่ผสมน้ำหอม เพราะทั้งสารกันเสียและน้ำหอมถือเป็นหนึ่งปัจจัยหลักของสารก่ออาการแพ้ เป็นแป้งเพื่อผู้ที่มีปัญหาสิว ผิวแพ้ง่าย

ผลิตจากแป้งข้าวเจ้าที่ผ่านกระบวนการผลิต และฆ่าเชื้อด้วยกรรมวิธีที่ทันสมัย จึงสะอาดปลอดภัยไม่ก่อให้เกิดอาการแพ้ โดยข้าวที่นำมาผลิต ไม่ผ่านการตัดต่อทางพันธุกรรม (Non-GMO Rice) ทั้งยังเป็นสารอินทรีย์ (Organic) ทำให้สามารถย่อยสลายได้โดยจุลินทรีย์ในธรรมชาติ จึงปลอดภัยต่อผู้ใช้ ไม่เกิดการสะสมในปอด หรือในใต้ร่มผ้า

สำหรับวาวด้า โลตัส คอมแพค พาวเดอร์ (Lotus Compact Powder) ผิวสองสี เป็นแป้งอัดแข็งจากเม็ดบัว อันเป็นนวัตกรรมที่นำเอาเม็ดบัวมาทำให้อยู่ในรูปแบบ Starch โดยมีการสกัดเอาโปรตีนและสารเจือปนต่างๆ ออกแล้ว หลังจากนั้นนำมาทดแทนสารทัลคัม (Talcum) ซึ่งเป็นหินแร่ที่พบในส่วนผสมแป้งแต่งหน้าทั่วไป นอกจากนี้ ยังปราศจากน้ำหอม และสารกันเสียพาราเบน จึงเหมาะกับผู้ที่มีปัญหาสิวและผิวแพ้ง่าย เพราะควบคุมความมันได้ดี โดยสารควบคุมความมันมาจากสารสกัดจากไผ่ และไม่อุดตันผิวหน้า ผู้ใช้จะสามารถสัมผัสได้ถึงความนุ่มลื่นของแป้งชัดเจน

แป้งดังกล่าว การันตีคุณภาพด้วยรางวัล Bronze Prize Award จากงาน Korea International Women”s Invention Exposition 2014 (KIWIE 2014) กรุงโซล ประเทศเกาหลีใต้

ส่วนวาวด้า อีโค่ บลัชออน-พิ้งค์ ไวโอเลต เป็นผงแป้งที่มีสีม่วงอ่อน อัดแข็งอยู่ในจานอะลูมิเนียม บรรจุในตลับที่ทำมาจากแป้งมันสำปะหลัง จุดเด่นผลิตภัณฑ์อยู่ที่การใช้แป้งข้าวเจ้า เข้ามาทดแทนสารทัลคัมทั้งหมด

สีที่ใช้ในการผลิตมาจากสีสกัดจากข้าวแดง แคร์รอตม่วง และสีจากแร่ธาตุที่อนุญาตให้ใช้ในผลิตภัณฑ์เครื่องสำอางออร์แกนิกได้ และใช้บรรจุภัณฑ์ที่ทำมาจากแป้งมันสำปะหลัง สามารถย่อยสลายได้เมื่อฝังดิน จึงเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ปราศจากทัลคัม น้ำหอม และสารกันเสียพาราเบน

เชื่อว่าผลิตภัณฑ์ของบริษัท โป๋วเอวี๋ยน จำกัด ภายใต้แบรนด์ “VOWDA” คงทำให้สาวๆ ทั้งหลายที่ชื่นชอบธรรมชาติถูกอกถูกใจและเป็นลูกค้าประจำอย่างแน่นอน