1 วัน มหัศจรรย์ในเมืองกรุงเก่า

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือเส้นทางเศรษฐี

http://info.matichon.co.th/rich/rich.php?srctag=07076011058&srcday=2015-10-01&search=no

วันที่ 01 ตุลาคม พ.ศ. 2558 ปีที่ 21 ฉบับที่ 382

หมุดไมล์

เรื่องโดย : คณินพงศ์ บัวชาติ

1 วัน มหัศจรรย์ในเมืองกรุงเก่า

พูดถึงการเรียนรู้เรื่องอดีตหรือการทำความเข้าใจประวัติศาสตร์นั้น หลายคนคงมองเป็นเรื่องที่น่าเบื่อเป็นอันดับแรก แต่ถ้าเราได้ลองใช้การเดินทางท่องเที่ยวเป็นตัวช่วยดู การศึกษาประวัติศาสตร์นั้นก็อาจจะกลายเป็นเรื่องที่น่าสนุก เพราะการได้ชมสถานที่จริง ได้ถ่ายภาพบรรยากาศสวยๆ ได้ทานอาหารขึ้นชื่อรสชาติอร่อยนั้น เป็นอรรถรสที่หาไม่ได้จากในหนังสืออย่างแน่นอน

หมุดไมล์ปักษ์นี้จะขอพาทุกท่านย้อนอดีตกันที่จังหวัดพระนครศรีอยุธยา “เมืองกรุงเก่า ของเราแต่ก่อน” ครับ เพื่อชมความเป็นที่สุดซึ่งซ่อนอยู่ที่นี่ ใน 1 วัน แต่ละที่นั้นจะซ่อนเรื่องราวอะไรเก็บไว้บ้าง ต้องลองหาคำตอบกันดู

จังหวัดพระนครศรีอยุธยา หรือในอดีตกาลเรียกกันว่า กรุงศรีอยุธยา นั้นถือเป็นเมืองหลวงแห่งแรกของราชอาณาจักรสยาม สร้างขึ้นเมื่อ พ.ศ. 1893 ในรัชสมัยสมเด็จพระรามาธิบดีที่ 1 หรือที่เรามักคุ้นเคยในชื่อ “พระเจ้าอู่ทอง” และล่มสลายลงเมื่อ พ.ศ. 2310 ในยุคสมเด็จพระที่นั่งสุริยาศน์อมรินทร์ หรือ พระเจ้าเอกทัศน์ รวมเวลา 417 ปี ก่อนจะย้ายเมืองหลวงมาที่กรุงธนบุรี และกรุงเทพมหานคร ตามลำดับ

การเดินทางครั้งนี้ เราจะเดินทางกันแต่เช้า แม้จะใช้เวลาเดินทางไม่นานนัก แต่บรรยากาศสองข้างทางอาจจะทำให้หายง่วงนอนได้อย่างปลิดทิ้ง เพราะนอกจากสายลมของช่วงปลายฝนต้นหนาวแล้ว ยังมีรวงข้าวสีทองอร่ามที่หาไม่ได้ในกรุงเทพฯ ให้ได้ถ่ายภาพ พร้อมสูดออกซิเจนกันให้เต็มปอด หรือจะจิบกาแฟสดไปด้วยแบบวิถีฮิปสเตอร์ก็ได้บรรยากาศอีกแบบ

มาถึงตัวเมืองอยุธยาก็เริ่มต้นด้วยการทำบุญไหว้พระกันก่อน เพราะที่นี่มีวัดมากมายทั้งเก่าและใหม่ แต่ถ้าอยากเริ่มต้นไหว้พระ พร้อมชมความเป็นที่สุดแล้วล่ะก็ ขอแนะนำที่ วัดพนัญเชิง ครับ วัดแห่งนี้เป็นวัดโบราณที่มีมาก่อนการสร้างกรุงศรีอยุธยา โดยตั้งอยู่ไม่ไกลจากคลองสวนพลู ซึ่งในอดีตเคยเป็นย่านไชน่าทาวน์ของอยุธยามาก่อน จึงไม่น่าแปลกใจที่จะเห็นวิถีความเป็นจีนปะปนอยู่อย่างมากมายภายในวัด

พระประธานของที่นี่คือ พระพุทธไตรรัตนนายก หรือ หลวงพ่อโต นอกจากจะเป็นพระพุทธรูปปูนปั้นองค์ใหญ่ที่สุดของอยุธยาแล้ว ยังเก่าแก่กว่ากรุงศรีอยุธยาถึง 26 ปีอีกด้วย ลองคิดคำนวณเล่นๆ ก็ 443 ปีเลยทีเดียว

ไหว้พระเสร็จเราไปหาความรู้เรื่องอยุธยาที่ พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ เจ้าสามพระยา กันดีกว่า เพราะนอกจากด้านในจะมีการจัดแสดงโบราณวัตถุที่ทรงคุณค่ามากมายหลายชิ้น อย่างเช่น เศียรพระพุทธรูปสำริดขนาดใหญ่, พระพุทธรูปนั่งห้อยพระบาท, ประตูไม้แกะสลัก และหัวเรือรูปครุฑ แล้ว ชั้น 2 ของพิพิธภัณฑ์ยังเป็นสถานที่รวบรวมและจัดแสดงเครื่องทองคำโบราณสมัยอยุธยา ซึ่งขุดพบภายในกรุของวัดราชบูรณะ โดยแต่ละชิ้นไม่ว่าจะเป็น สุวรรณมาลา หรือ หมวกทองคำ, พระคชาธารทองคำประดับอัญมณี และ เครื่องราชูปโภคทองคำชิ้นต่างๆ แต่ละชิ้นถือว่ามีความงดงามอย่างวิจิตรที่สุด และสามารถชมได้เพียงที่นี่ที่เดียวเท่านั้นในประเทศไทย

เต็มอิ่มกับความอลังการของเครื่องทองกันแล้ว เราไปต่อกันที่ วัดส้ม วัดที่แม้จะมีพื้นที่เล็กๆ แต่หากได้ลองเข้าไปชมแล้วล่ะก็จะต้องอึ้งกับความงามที่ซ่อนอยู่

ไฮไลต์ของที่นี่อยู่ที่พระปรางค์ประธานครับ แม้จะมีขนาดเล็กแต่กลับมีลวดลายปูนปั้นศิลปะอยุธยาที่งดงามมากที่สุด หลงเหลือให้เห็นอยู่เยอะที่สุดในเกาะเมืองอยุธยา จุดนี้หลายท่านคงสงสัยว่าศิลปะของอยุธยานั้นสำคัญไฉน ผมก็คงพูดได้เพียงว่า “ศิลปะรัตนโกสินทร์หรือของกรุงเทพฯ ที่เราเห็นว่าสวยว่างามตามวัดวาอารามหรือพระราชวังในช่วงยุคต้นกรุงเทพฯ นั้น ก็รับคติและรูปแบบมาจากศิลปะอยุธยาแทบทั้งนั้น”

ยามบ่ายหลังอิ่มท้องกับอาหารกลางวันเลิศรสอย่างก๋วยเตี๋ยวเรือ หรือกุ้งแม่น้ำตัวเขื่องแล้ว เราจะออกจากเกาะเมืองอยุธยาไปยัง วัดพุทไธศวรรย์ กันต่อครับ วัดแห่งนี้เป็นพระอารามหลวงสำคัญในสมัยอยุธยาตอนต้น มีตำนานว่าบริเวณวัดนั้นเคยเป็นที่ตั้งของ “ตำหนักเวียงเล็กหรือเวียงเหล็ก” ของพระเจ้าอู่ทองใช้เป็นที่ตั้งพลับพลาที่ประทับเมื่อทรงอพยพมาตั้งอยู่ก่อนสร้างกรุงศรีอยุธยา จากเรื่องในตำนานนี้ทำให้เราคิดกันเล่นๆ ว่าตัวโบราณสถานภายในวัด อาทิ พระปรางค์ประธานสีขาวที่ตั้งเด่นอยู่นั้น เป็นพระปรางค์ที่เก่าแก่ที่สุดในอยุธยาหรือเปล่า อันนี้ต้องลองหาคำตอบกันดู

ไม่ไกลจากวัดพุทไธศวรรย์มากนัก ยังมีอีกจุดหนึ่งที่น่าสนใจ และคนส่วนใหญ่มักไม่ค่อยเข้าไปชมกันแบบจริงจัง คือ หมู่บ้านโปรตุเกส ครับ

เป็นที่ยอมรับกันว่าโปรตุเกสเป็นประเทศในยุโรปชาติแรกสุดที่เข้ามาติดต่อกับกรุงศรีอยุธยา โดย อัลฟองโซ เดอ อัลบูเคอร์ก ผู้สำเร็จราชการเมืองมะละกาในขณะนั้น ได้ส่ง ดูอาร์เต เฟอร์แนนเดส เป็นทูตเข้ามาเจริญสัมพันธไมตรีกับสมเด็จพระรามาธิบดีที่ 2 ของอยุธยา และนั่นเป็นจุดเริ่มต้นความสัมพันธ์ของทั้ง 2 ประเทศซึ่งถ้านับดูแล้วก็รวมเวลาประมาณ 504 ปีเลยทีเดียว

ปัจจุบัน ภายในหมู่บ้านโปรตุเกสยังมีร่องรอยของสิ่งก่อสร้างปรากฏให้เห็นอยู่เล็กน้อย 3 แห่งคือ ซานเปาโล, ซานโตโดมิงโก และ ซานเปโดร ทั้งยังมีการค้นพบโครงกระดูกมนุษย์และเครื่องปั้นดินเผาอีกด้วย

เพียงเท่านี้กับเวลา 1 วัน ก็คงเพียงพอสำหรับผู้รักการเดินทาง หรือผู้ที่ชื่นชอบ “ของเก่า เล่าใหม่” ทุกท่าน แต่ถ้ายังไม่จุใจล่ะก็ จะแวะเที่ยวจุดอื่นในยามเย็นหรือแวะซื้อของฝากขึ้นชื่ออย่างโรตีสายไหม ที่มีให้เลือกมากมายหลายร้านก็แล้วแต่ความพอใจเถอะครับ สำหรับหมุดไมล์ฉบับหน้าเราจะพาไปไหนนั้น ต้องติดตามตอนต่อไป

ในวันที่ 10 ตุลาคม 2558 นี้ เตรียมพบกับทัวร์ศิลปวัฒนธรรม “7 ที่สุด ในอยุธยา” จังหวัดพระนครศรีอยุธยา ที่มติชน อคาเดมี จะนำพาทุกท่านได้ร่วมแสวงหาและค้นคำตอบ เกร็ดความรู้ในแง่มุมต่างๆ อย่างละเอียด พร้อมร่วมทริปกับวิทยากรพิเศษ ผศ.ดร.ปรีดี พิศภูมิวิถี ผู้เชี่ยวชาญด้านประวัติศาสตร์สมัยอยุธยา สนใจสอบถามเพิ่มเติมได้ที่ โทรศัพท์ (02) 954-3977-84 ต่อ 2123, 2124 (จันทร์-ศุกร์) (082) 993-9097, (082) 993-9105 (เสาร์-อาทิตย์) หรือที่ http://www.matichonacademy.com และ https://www.facebook.com/Matichon.Academy.Thailand

เที่ยวปราสาทหิน ในดินแดนเขมร

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือเส้นทางเศรษฐี

http://info.matichon.co.th/rich/rich.php?srctag=07076150958&srcday=2015-09-15&search=no

วันที่ 15 กันยายน พ.ศ. 2558 ปีที่ 21 ฉบับที่ 381

หมุดไมล์

โดย คณินพงศ์ บัวชาติ

เที่ยวปราสาทหิน ในดินแดนเขมร

สวัสดีท่านผู้อ่านหมุดไมล์ทุกท่านครับ เมื่อฉบับที่แล้ว เราไปเลาะริมโขงตามรอยนิทานอุรังคธาตุ พร้อมสัมผัสวิถีชีวิตของวัฒนธรรมของแอ่งอีสานเหนือกันมาที่สกลนครและนครพนม ฉบับนี้เราจะพาไปเที่ยวต่างประเทศกันครับ แต่เป็นประเทศเพื่อนบ้านของเรานี้เอง นั่นคือ ประเทศกัมพูชา หรือที่เรามักเรียกประเทศนั้นกันจนติดปากว่า “เขมร” ครับ หลายท่านอาจบอกว่าเคยไปมาหลายครั้งแล้ว แต่การเดินทางครั้งนี้เราจะไปเพื่อชมงานศิลปะและเรียนรู้ประวัติศาสตร์อันยิ่งใหญ่ของอาณาจักรเขมรโบราณกันครับ

รับรองได้ว่าหลายท่านอาจจะอุทานออกมาว่า “เป็นแบบนี้จริงหรือ???”

การเดินทางไปเขมรครั้งนี้เอาใจผู้ชื่นชอบฟังประวัติศาสตร์และศิลปะเขมรครับ เพราะเราจะไปทำความรู้จักกับอดีตเมืองหลวง หรือหากใช้คำพูดสวยๆ ก็คือ “ราชธานี” ของเขมรถึง 2 แห่งด้วยกัน แต่ละแห่งมีกลุ่มปราสาทที่งดงามมากหลายหลังด้วยกันครับ และบางหลังเองก็มีเอกลักษณ์จนกลายเป็นชื่อรูปแบบศิลปะที่เราเรียกกันมาจนทุกวันนี้

เริ่มจากจุดแรกที่ เมืองหริหราลัย ซึ่งแปลว่า ที่อยู่ของพระวิษณุ (หริ) + พระศิวะ (หระ) ครับ ชื่อนี้อาจไม่คุ้นหูหลายๆ ท่านมากนัก แต่ที่นี่เคยเป็นราชธานีในสมัยพระเจ้าชัยวรมันที่ 2 และมีกษัตริย์สืบมาอีกหลายรัชกาล ก่อนจะย้ายมาตั้งเมืองใหม่ที่เมืองพระนครแทน

ภายในเมืองนั้นประกอบด้วยปราสาทสำคัญ 3 หลังคือ ปราสาทพระโค ซึ่งเป็นปราสาทที่พระเจ้าอินทรวรมันที่ 1 ทรงดำริให้สร้างขึ้น เพื่ออุทิศถวายแก่บรรพบุรุษและบรรพสตรีครับ ส่วนสาเหตุที่เรียกชื่อนี้คงเป็นเพราะมี รูปสลักโคนนทิ ซึ่งเป็นพาหนะของพระศิวะ ทำจากหินตั้งอยู่ด้านหน้าของปราสาท

ถัดไปไม่ไกลกันนักเป็นที่ตั้งของ ปราสาทบากอง ครับ ปราสาทหลังนี้เป็นศาสนสถานประจำรัชกาลของพระเจ้าอินทรวรมันที่ 1 ครับ โดยสร้างตามคติเกี่ยวกับจักรวาล ที่มีเขาพระสุเมรุเป็นศูนย์กลางจักรวาล เพื่อประดิษฐานเทวราชหรือเทพเจ้าประจำพระองค์ เช่น ศิวลึงค์ หรือ เทวรูปของพระวิษณุ นั่นเอง และปราสาทหลังสุดท้ายคือ ปราสาทโลเลย ปราสาทอิฐที่ตั้งอยู่กลางบารายของเมืองหริหราลัยที่มีชื่อว่า “อินทรตฏากะ” ปราสาทหลังนี้สร้างในรัชสมัยของพระเจ้ายโศวรมันที่ 1 เพื่ออุทิศให้กับพระราชบิดาและพระราชมารดาของพระองค์ ก่อนจะทรงย้ายเมืองหลวงไปยังเมืองพระนคร อันเป็นต้นกำเนิดของยุคพระนครในเวลาต่อมา

นอกจากประเด็นนี้แล้ว เรายังจะพาท่านเดินทางไปชมปราสาทที่เรียกได้ว่าเป็น “แก้วประดับเรือนแหวนแห่งเมืองพระนคร” ครับ นั่นคือ ปราสาทบันทายสรี หรือในภาษาเขมรออกเสียงว่า บันเตียยเสร็ย ปราสาทหลังนี้สร้างขึ้นโดยพราหมณ์ยัชญวราหะ พระราชครูปุโรหิตในรัชกาลของพระเจ้าราเชนทรวรมันที่ 2 และพระเจ้าชัยวรมันที่ 5 แม้จะเป็นปราสาทหลังเล็กๆ แต่ที่นี่กลับมีภาพสลักที่ประณีตงดงามมากประดุจว่ามีชีวิตขึ้นมาเลยครับ ไม่ว่าจะเป็นภาพของตรีมูรติ หรือมหากาพย์รามายณะและมหาภารตะตอนต่างๆ ที่อาจทำให้เพลินตาจนลืมเวลากันเลยทีเดียว

ส่วนระหว่างทางกลับนั้น ถ้ามีเวลาก็สามารถแวะซื้อน้ำตาลโตนดไม่ใส่สาร ที่ยังคงมีกรรมวิธีทำแบบโบราณดั้งเดิม รวมทั้งยังมีเครื่องจักสานจากไม้ตาลและไม้ไผ่ ให้ได้เลือกซื้อกันในราคาสบายกระเป๋ากันอีกด้วย

มาเขมรกันทั้งทีหากพลาดจุดสำคัญอย่าง นครวัด ไปก็เหมือนมาไม่ถึงครับ ปราสาทหลังนี้สร้างในรัชสมัยของพระเจ้าสุริยวรมันที่ 2 เพื่อใช้เป็นที่บูชาพระวิษณุและบรรจุพระอัฐิของพระองค์ โดยเป็นที่รู้จักไปทั่วโลกครั้งแรกเมื่อ อองรี มูโอต์ (Henri Mouhot) นักสำรวจและนักธรรมชาติวิทยาชาวฝรั่งเศส ที่เขียนหนังสือชื่อ Voyage dans les royaumes de Siam, de Cambodge, de Laos et autres parties centrales de l”Indochine และจากวลีอมตะของ อาร์โนลด์ โจเซฟ ทอยน์บี (Arnold Joseph Toynbee) นักประวัติศาสตร์ชาวอังกฤษ ที่แปลเป็นภาษาไทยไว้ว่า “ยลนครวัดแล้วตายตาหลับ” ครับ

นอกจากความยิ่งใหญ่อลังการของตัวปราสาทและภาพแกะสลักของนางอัปสรานับหมื่นองค์แล้ว ด้านในระเบียงคตยังมีภาพสลักของฉากสงครามทุ่งกุรุเกษตร จากมหากาพย์มหาภารตะ, รามายณะ, การกวนเกษียรสมุทร ยังมีภาพของกองทัพละโว้ หรือ ลพบุรี และกองทัพสยาม หรือ เสียมกุก อีกด้วย แบบนี้จะไม่เข้าไปชมได้อย่างไร

จากนครวัดเรามุ่งหน้าสู่ นครธม ครับ ที่นี่มีชื่ออย่างเป็นทางการว่า “เมืองพระนครศรียโสธรปุระที่ 2” สร้างขึ้นในรัชสมัยของพระเจ้าชัยวรมันที่ 7 มหาราชองค์สุดท้ายของอาณาจักรเขมรโบราณ เมื่อครั้งพระองค์มีชัยชนะเด็ดขาดเหนือจามปาที่เข้ามายึดเมืองพระนครเดิม จุดที่น่าชมเห็นจะเป็นประตูเมืองด้านทิศใต้ครับ เพราะนอกจากสะพานนาคที่มีเทวดาและอสูรดึงอยู่ 2 ข้างแล้ว ยอดของประตูยังมีส่วนที่เรียกว่า “พรหมพักตร์” ด้านบนครับ ส่วนจะเป็นใบหน้าของเทพองค์ไหนนั้นต้องลองหาคำตอบกันเองครับ

ถ่ายภาพสวยๆ เสร็จแล้ว เราจะมุ่งสู่ ปราสาทบายน ศูนย์กลางของเมืองพระนคร และเป็นจุดที่คนไทยเรียกกันติดปากว่า นครธม ครับ สิ่งที่น่าสนใจของปราสาทหลังนี้คงหนีไม่พ้นยอดปราสาทที่มีใบหน้าและรอยยิ้มที่คอยจ้องมองผู้คนอยู่ตลอดเวลา ใบหน้านี้มีการตีความกันไปว่าเป็นหน้าของพระพรหมบ้าง พระโพธิสัตว์อวโลกิเตศวรบ้าง พระเจ้าชัยวรมันที่ 7 บ้าง ก็แล้วแต่ดุลยพินิจของท่านแล้วล่ะครับ

นอกจากรอยยิ้มแห่งบายนแล้ว ยังมีอีกสิ่งที่น่าดูชมคือ ภาพแกะสลักที่ระเบียงปราสาทครับ เพราะมีภาพเรื่องราวสงครามระหว่างเขมรกับจามปา ที่สู้กันทั้งทัพบกและทัพเรือ หากลองสังเกตดีๆ จะเห็นวิถีชีวิตของชาวเขมรแทรกอยู่ เช่น การหุงหาอาหาร และการละเล่นต่างๆ ทั้งชนหมู, ชนไก่ และหัวล้านชนกัน

ปิดท้ายการเดินทางด้วย 2 ปราสาทในยุคเดียวกันครับ ระหว่างทางยังมี ปราสาทบาปวน, ปราสาทพิมานอากาศ, ลานช้าง ลานครุฑ, สนามหลวง ที่ตั้ง 12 ศาลา, ลานพระเจ้าขี้เรื้อน ให้ได้เก็บภาพสวยๆ และให้ทำความรู้จักอีกด้วย

ปราสาทหลังแรกคือ ปราสาทตาพรหม ครับ นอกจากจะเคยใช้เป็นสถานที่ถ่ายทำภาพยนตร์เรื่อง Tomb Raider แล้ว ปราสาทหลังใหญ่หลังนี้พระเจ้าชัยวรมันที่ 7 ทรงให้สร้างขึ้นเพื่ออุทิศแด่พระราชมารดาของพระองค์ในรูปฉลองพระองค์ของพระนางปรัชญาปรมิตา ตามความเชื่อในพุทธศาสนานิกายมหายานนั่นเอง ส่วนอีกหลังคือ ปราสาทพระขรรค์ ที่สร้างเพื่ออุทิศถวายให้กับพระราชบิดาของพระองค์ ภายในนอกจากจะมีบรรณาลัยเสากลมและสถูปทรงลังกาแล้ว ยังมีเรื่องของจารึกปราสาทพระขรรค์ที่ยังเป็นข้อถกเถียงกันเรื่องอำนาจของพระเจ้าชัยวรมันที่ 7 ว่าแผ่ขยายไปถึงตรงไหนแน่ เพราะในจารึกปรากฏชื่อเมืองต่างๆ ที่สันนิษฐานว่าอยู่ในประเทศไทยครับ

ปูพรมแนะนำแหล่งท่องเที่ยวในเขมรมาพอหอมปากหอมคอแล้วนะครับ ลองเช็กตารางเวลาของท่านและนัดเพื่อนร่วมเดินทาง เก็บกระเป๋าแล้วไปกันได้เลย

เตรียมพบกับทัวร์ศิลปวัฒนธรรม “เที่ยวปราสาทหิน ในดินแดนเขมร” ประเทศกัมพูชา ที่มติชน อคาเดมี จะนำพาทุกท่านได้ร่วมแสวงหาและค้นคำตอบ เกร็ดความรู้ในแง่มุมต่างๆ อย่างละเอียด พร้อมร่วมทริปกับวิทยากรพิเศษ รศ.ดร.ศานติ ภักดีคำ ผู้เชี่ยวชาญด้านประวัติศาสตร์ความสัมพันธ์ไทย-กัมพูชา สนใจสอบถามเพิ่มเติมได้ที่ โทรศัพท์ (02) 954-3977-85 ต่อ 2123, 2124 (จันทร์-ศุกร์) (082) 993-9097, (082) 993-9105 (เสาร์-อาทิตย์) หรือที่ http://www.matichonacademy.com และ https://www.facebook.com/Matichon.Academy.Thailand

เลาะสองเมืองอีสาน เล่าตำนานอุรังคธาตุ

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือเส้นทางเศรษฐี

http://info.matichon.co.th/rich/rich.php?srctag=07074010958&srcday=2015-09-01&search=no

วันที่ 01 กันยายน พ.ศ. 2558 ปีที่ 21 ฉบับที่ 380

หมุดไมล์

โดย คณินพงศ์ บัวชาติ

เลาะสองเมืองอีสาน เล่าตำนานอุรังคธาตุ

บริเวณพื้นที่จังหวัดทางภาคอีสานนั้นว่ากันว่าเป็นดินแดนแห่งพุทธธรรม เพราะนอกจากจะเป็นศูนย์รวมของพระธาตุสำคัญ และมากมายด้วยพระเถระสายวิปัสสนากรรมฐานแล้ว พื้นที่ดังกล่าวยังเป็นเบ้าหลอมของวัฒนธรรมที่มีเอกลักษณ์และผสมผสานกันอย่างลงตัว

และเมื่อฉบับที่แล้ว เราไปม่วนหลายที่อีสานใต้กันมา ครานี้จึงอยากอาสาพาไปอีสานเหนือบ้าง ก็คงจะดีไม่น้อย สำหรับผู้ชื่นชอบการเดินทางและเรียนรู้ความสัมพันธ์ทางวัฒนธรรมร่วมกับเพื่อนบ้านอาเซียนแล้วล่ะก็ น่าจะเป็นจุดหมายปลายทางที่ควรหาเวลาไปเที่ยวชมอย่างยิ่ง

ว่าแล้ว ไปเลาะอีสานนำกันเด้อ

แต่ก่อนที่เราจะเดินทางเพื่อสักการะขอพรองค์พระธาตุสำคัญ หรือถ่ายรูปวิวทิวทัศน์สวยๆ พร้อมสัมผัสอากาศแสนเย็นสบายริมแม่น้ำโขงแล้ว เราก็ควรมารู้จักดินแดนอีสานเหนือกันก่อน ว่าเหมือนหรือต่างกับอีสานใต้ที่เราเคยไปอย่างไร

อีสานเหนือ หรือที่เรียกอีกอย่างหนึ่งว่า “แอ่งสกลนคร” เป็นที่ราบบริเวณตอนเหนือของเทือกเขาภูพานในเมืองสกลนคร โดยมีอาณาเขตครอบคลุมถึง 1 ใน 4 ของภาคอีสานทั้งหมด นอกจากจะเป็นพื้นที่ทำการเกษตรที่สำคัญแล้ว ยังเป็นแหล่งรวมของอารยธรรมโบราณตั้งแต่สมัยก่อนประวัติศาสตร์เป็นต้นมาอีกด้วย

เราจะเริ่มกันที่สกลนครครับ หลายๆ คนฟังชื่อที่นี่ก็คงจะนึกถึงเนื้อโคขุนโพนยางคำที่แสนจะอร่อยนุ่มลิ้นกันเป็นอันดับแรก แต่ที่เมืองแห่งนี้กลับซ่อนมนต์เสน่ห์เอาไว้ และมีนิทานพื้นบ้านที่มีต่อวัฒนธรรมและความเชื่อของคนอีสานอย่างมากมาย เช่น ที่ทะเลสาบหนองหาน หรือ หนองหานหลวง ทะเลสาบน้ำจืดขนาดใหญ่ที่สุดของภาคอีสาน ที่มีตำนานว่าเกิดจากการกระทำของพญานาค ในนิทาน ท้าวผาแดง-นางไอ่

เมืองสกลนคร ในอดีตเรียกว่า เมืองหนองหารหลวง ครับ สันนิษฐานว่าเป็นเมืองร่วมสมัยกับ แคว้นศรีโคตรบูรณ์ ที่ตั้งอยู่บริเวณ 2 ฝั่งโขงในเขตนครพนม-ลาว และอาณาจักรเขมรโบราณ เพราะมีชื่ออยู่ในตำนานการสร้างพระธาตุพนม หรือ “ตำนานอุรังคธาตุ” นั่นเอง

เป้าหมายแรกที่วางไว้คือ การสักการะ พระธาตุเชิงชุม ภายในวัดพระธาตุเชิงชุมวรวิหาร เพื่อความเป็นสิริมงคล พระธาตุองค์นี้นอกจากจะเป็นปูชนียสถานสำคัญคู่บ้านคู่เมืองสกลนครแล้ว ตามอุรังคนิทานยังเล่าว่า เป็นสถานที่บรรจุรอยพระบาทของพระพุทธเจ้า 4 พระองค์ด้วย หลังจากทำบุญและถ่ายรูปกันแบบจุใจแล้ว เราไปต่อกันที่ปราสาทขอมของดินแดนอีสานเหนือกันบ้าง อย่างที่ พระธาตุนารายณ์เจงเวง และ พระธาตุดุม ที่แสดงให้เห็นถึงการแผ่ขยายทางวัฒนธรรมของเขมรโบราณในดินแดนอีสานเหนืออีกด้วย

สำหรับช่วงบ่ายนั้น เห็นทีต้องหนีอากาศร้อนอบอ้าวไปนั่งเรือเล่นในทะเลสาบหนองหานก็คงจะเข้าที เพราะนอกจากจะมีสายลมเย็นๆ และละอองน้ำกระเซ็นมาแตะที่ใบหน้าแล้ว ยังสามารถถ่ายรูปหรือเซลฟี่ตัวเองกับบรรดาบัวหลวงที่บานสะพรั่ง พร้อมเรียกรอยยิ้มและความประทับใจในความงดงามเสมอ

นอกจากสกลนครแล้ว หากมีเวลาก็ควรเดินทางไปยังจังหวัดใกล้เคียงนั่นก็คือ นครพนม นั่นเอง

นครพนม เป็นเมืองที่มีบันทึกทางประวัติศาสตร์มาแต่โบราณครับ ในฐานะที่เป็นเมืองเก่าเคียงคู่กับแคว้นศรีโคตรบูรณ์ แรกเริ่มนั้นตัวเมืองอยู่ทางฝั่งซ้ายของแม่น้ำโขง ต่อมาได้ย้ายมาอยู่ฝั่งขวาสลับกันหลายครั้ง โดยชื่อของเมืองนั้นได้ถูกเปลี่ยนเป็น “มรุกขนคร” และต่อมารัชกาลที่ 1 ได้โปรดเกล้าฯ ให้เปลี่ยนชื่อเป็น “นครพนม” ตามภูมิประเทศที่ติดกับทิวเขามากมายทางฝั่งลาว

มานครพนมทั้งที หากไม่ได้มาสักการะองค์พระธาตุพนมก็คงเหมือนมาไม่ถึง พระธาตุองค์นี้ถือเป็นศูนย์รวมจิตใจของทั้งชาวไทยและชาวลาวครับ มีผู้คนจากทั้ง 2 ฝั่งแม่น้ำโขงมากราบไหว้ขอพรไม่ขาดสาย ตามตำนานอุรังคนิทานกล่าวถึงประวัติการสร้างไว้ว่า สมัยหนึ่งพระพุทธเจ้าพร้อมทั้งพระอานนท์ได้เสด็จมาลงที่ดอนกอนเนา แล้วเสด็จไปหนองคันแทเสื้อน้ำ (เวียงจันทน์) ได้พยากรณ์ไว้ว่า ในอนาคตจะเกิดบ้านเมืองใหญ่ เป็นที่ประดิษฐานพระพุทธศาสนา จากนั้นได้ทรงพยากรณ์ที่ตั้งเมืองมรุกขนคร (นครพนม) และได้ประทับพักแรมที่ภูกำพร้า 1 คืน วันรุ่งขึ้นเสด็จข้ามแม่น้ำโขง ไปบิณฑบาตที่เมืองศรีโคตรบูรณ์ พระพุทธองค์ได้ตรัสว่า เมื่อพระองค์เข้านิพพานแล้ว พระมหากัสสปะจะนำเอาพระอุรังคธาตุ หรือพระบรมสารีริกธาตุส่วนพระอุระมาบรรจุไว้ ณ ที่นี้

พระธาตุพนมได้รับการบูรณปฏิสังขรณ์มาหลายครั้ง จนมีลักษณะแบบที่เห็นในปัจจุบัน และยังเป็นพระธาตุประจำปีเกิดของผู้ที่เกิดปีวอก (ลิง) รวมถึงผู้ที่เกิดวันอาทิตย์อีกด้วย

นอกจากจะได้ขอพรและถ่ายภาพสวยๆ กับพระธาตุศักดิ์สิทธิ์แห่งแดนอีสานแล้ว ระหว่างทางจะพบกับอำเภอเรณูนคร อันเป็นต้นกำเนิดของคำว่า “เรณูผู้ไท” วรรคหนึ่งในคำขวัญของนครพนม นั่นเอง

ชาวผู้ไท หรือ ภูไท เป็นกลุ่มชาติพันธุ์หนึ่งที่ส่วนใหญ่อาศัยอยู่ในภาคอีสาน โดยเฉพาะทางอีสานเหนือในเขตจังหวัดกาฬสินธุ์, สกลนคร และนครพนม ครับ โดยเฉพาะที่นครพนมนั้นมีการแต่งกาย, วัฒนธรรมและประเพณีที่มีเอกลักษณ์เป็นของตนเอง เช่น การฟ้อนบูชาพระธาตุพนม ที่จะแสดงในงานเทศกาลนมัสการพระธาตุพนม หรือในวันออกพรรษาก่อนงานไหลเรือไฟทุกๆ ปี

ก่อนจะเดินทางกลับ ผมไม่อยากให้พลาดทานอาหารท้องถิ่นขึ้นชื่อของอีสานกันครับ ไม่ว่าจะเป็นเมนูอาหารเช้าสไตล์ฝรั่งเศสที่ผสมผสานความเป็นเวียดนามอย่าง ไข่กระทะ, บาแกตต์ หรือจะเป็นอาหารอีสานรสแซบไม่ว่าจะเป็นส้มตำ, ต้มแซบ, ลาบ ฯลฯ ทานกับข้าวเหนียวร้อนๆ รับรองว่าแซบอีหลีครับ

ส่วนฉบับหน้า หมุดไมล์จะพาไปที่ไหนนั้น ยังไงต้องติดตามกันต่อไปนะครับ

ในวันที่ 25-27 กันยายน 2558 นี้ เตรียมพบกับทัวร์ศิลปวัฒนธรรม “ย้อนรอยตำนานอุรังคธาตุ เมืองหนองหารหลวง-แคว้นศรีโคตรบูรณ์ จ.สกลนคร-นครพนม” ที่มติชน อคาเดมี จะนำพาทุกท่านได้ร่วมแสวงหาและค้นคำตอบ เกร็ดความรู้ในแง่มุมต่างๆ อย่างละเอียด พร้อมร่วมทริปกับวิทยากรพิเศษ คุณวลัยลักษณ์ ทรงศิริ เจ้าหน้าที่วิชาการ ประจำมูลนิธิเล็ก-ประไพ วิริยะพันธุ์ สนใจสอบถามเพิ่มเติมได้ที่ โทรศัพท์ (02) 954-3977-85 ต่อ 2123, 2124 (จันทร์-ศุกร์) (082) 993-9097, (082) 993-9105 (เสาร์-อาทิตย์) หรือที่ http://www.matichonacademy.com และ https://www.facebook.com/Matichon.Academy.Thailand

ม่วนหลายสไตล์อีสานใต้ ตอนที่ 2

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือเส้นทางเศรษฐี

http://info.matichon.co.th/rich/rich.php?srctag=07072150858&srcday=2015-08-15&search=no

วันที่ 15 สิงหาคม พ.ศ. 2558 ปีที่ 21 ฉบับที่ 379

หมุดไมล์

โดย ผศ.ดร.ปรีดี พิศภูมิวิถี อาจารย์ประจำคณะมนุษยศาสตร์ มหาวิทยาลัยบูรพา

ม่วนหลายสไตล์อีสานใต้ ตอนที่ 2

สวัสดีครับแฟนานุแฟน หวังว่าทุกท่านสบายดีนะครับ

หมุดไมล์ฉบับนี้ ยังคงพาท่านไปเที่ยวแบบม่วนหลายที่อีสานใต้กันต่อนะครับ เช้าตรู่ที่เมืองสุรินทร์ (เรามาจากศรีสะเกษครับ มานอนที่สุรินทร์) เราก็ออกไปใส่บาตรที่ตลาดใกล้โรงแรมกันครับ แล้วก็จะได้เที่ยวสุรินทร์ให้หนำใจครับ

เมืองสุรินทร์ เป็นเมืองช้างครับ ในอดีตนั้นกลุ่มบรรพชนคนสุรินทร์เรียกกันว่าพวกส่วย ซึ่งอพยพข้ามลำน้ำโขงมาตั้งชุมชนที่เมืองต่างๆ ในแถบภูมิภาคนี้ รวมถึงที่บ้านอัจจะปะนึ่งและบ้านกุดปะไท ในเขตอำเภอสังขะและอำเภอศีขรภูมิ จังหวัดสุรินทร์ คนเหล่านี้มีความสามารถในการจับช้างป่าและนำมาฝึกฝนไว้ใช้งานเป็นอย่างมาก ในปี พ.ศ. 2306 หลวงสุรินทร์ภักดี (เชียงปุม) หัวหน้าหมู่บ้านเมืองที ได้ย้ายหมู่บ้านมาตั้งอยู่ที่บริเวณบ้านคูประทาย ซึ่งเป็นที่ตั้งเมืองสุรินทร์ในปัจจุบัน เนื่องจากเป็นบริเวณที่มีชัยภูมิเหมาะสม มีกำแพงค่ายคูล้อมรอบ 2 ชั้น และมีแหล่งน้ำอุดมสมบูรณ์เหมาะแก่การประกอบอาชีพและอยู่อาศัย ต่อมาพระเจ้าอยู่หัวพระที่นั่งสุริยามรินทร์ โปรดเกล้าฯ ให้ยกฐานะขึ้นเป็น “เมืองประทายสมันต์” และหลวงสุรินทร์ภักดีได้เลื่อนบรรดาศักดิ์เป็น พระสุรินทร์ภักดีศรีณรงค์จางวาง เป็นเจ้าเมืองปกครองเมืองประทายสมันต์ในปี พ.ศ. 2329 พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้เปลี่ยนชื่อเมืองประทายสมันต์เป็นเมืองสุรินทร์ตามสร้อยบรรดาศักดิ์ของเจ้าเมืองในขณะนั้น เมืองสุรินทร์มีเจ้าเมืองปกครองสืบเชื้อสายกันมารวม 11 คน จนถึงปี พ.ศ. 2451 มีการเปลี่ยนแปลงระบบบริหารราชการแผ่นดินเป็นแบบมณฑลเทศาภิบาลเมืองสุรินทร์ จึงเปลี่ยนเป็นจังหวัดสุรินทร์และทางกรุงเทพฯ ได้แต่งตั้งพระกรุงศรีบุรีรักษ์ (สุม สุมานนท์) มาดำรงตำแหน่งเป็นข้าหลวงประจำจังหวัด หรือผู้ว่าราชการจังหวัดเป็นคนแรก

นี่เป็นประวัติเมืองคร่าวๆ ครับ เพราะเราต้องรู้ที่มาที่ไปของตนเองก่อน มาจากไหนและจะไปไหนกันบ้าง

แต่สำหรับที่เที่ยวแล้ว สุรินทร์มีแหล่งศึกษาเรียนรู้มากมายครับ ทั้งที่ ปราสาทยายเหงา ปราสาทซึ่งเป็นปราสาทอิฐ 2 หลัง หน้าบันของปราสาทหลังใต้มีลวดลายกรอบหน้าบันและปลายกรอบซุ้มรูปนาคมีกระบังหน้า ทำให้สามารถกำหนดอายุได้ว่าควรมีอายุอยู่ในสมัยนครวัด และปราสาทแห่งนี้ยังแสดงความเป็นศิลปะขอมแบบพื้นเมืองภาคตะวันออกเฉียงเหนืออย่างแท้จริง เพราะยังคงก่อสร้างด้วยอิฐอยู่นั่นเอง จากนั้นไปต่อกันที่ ปราสาทภูมิโปน เป็นปราสาทอิฐ 3 หลัง ที่ปัจจุบันยังหลงเหลือร่องรอยทับหลังศิลปะแบบไพรกเมงให้เห็นบ้าง สันนิษฐานว่าเป็นศาสนสถานขนาดใหญ่ที่เป็นศูนย์กลางของชุมชนที่รับวัฒนธรรมเขมรโบราณ ที่เรียกว่าเจนละบก ซึ่งมีอายุเก่าแก่ที่สุดในสุรินทร์และของภาคอีสาน

ปิดท้ายกันที่ ปราสาทศีขรภูมิ หรือ ปราสาทระแงง ปราสาทที่งดงามที่สุดในจังหวัดสุรินทร์ มีลักษณะเป็นปราสาทอิฐจำนวน 5 หลัง มีการสันนิษฐานว่าได้มีการบูรณะในสมัยพระเจ้าไชยเชษฐาธิราช แห่งอาณาจักรล้านช้าง เนื่องจากได้พบจารึกอักษรธรรมอีสานที่กรอบประตู และส่วนยอดที่คล้ายกับเจดีย์ในศิลปะลาว พร้อมชมทับหลังรูปศิวนาฏราชและเสาหินทรายจำหลักสลักเป็นรูปนางอัปสราถือดอกบัว 2 ตน ที่พบเห็นได้เพียงแห่งเดียวในประเทศไทย

กลางวันนี้จะได้ทานไก่ย่างไม้มะดันครับ ไก่ย่างรสเด็ด ขนานแท้ ที่ต้องใช้ไม้มะดันก็เพราะว่าเนื้อไม้มะดันมีความเหนียว ไม่ไหม้ไฟง่าย เมื่อย่างแล้วจะให้กลิ่นหอม ไก่ที่คลุกเคล้าเครื่องเทศแบบ “บ้านๆ” ผนวกกับการปิ้งเตาผ่าน ยิ่งขจรกลิ่นไปไกลหลายร้อยโยชน์ ถ้าได้ทานกับแจ่วอีสานใส่ข้าวคั่วใหม่ๆ พริกป่นรสแซบ ก็ต้องบอกว่าแซบหลายสไตล์อีสานละครับ

จังหวัดในอีสานใต้นั้นมักถูกค่อนขอดว่าแห้งแล้งบ้าง ยากจนบ้าง แต่นั่นก็เป็นเพราะสายตาคนที่มักมองว่าตนเองเหนือกว่าคนอื่นครับ เพราะเท่าที่ดูก็มีความอุดมสมบูรณ์เหลือคณานับ ที่สำคัญคือรวยน้ำใจเหลือเกินครับ ขอให้ลองมาเที่ยว ชม ชิมกัน แล้วจะประทับใจในถิ่นอีสานใต้ครับ ร้านของฝาก เช่น ร้าน 5 ดาวในเมืองนั้น มีสรรพสินค้าให้ท่านเลือกชมได้อย่างจุใจ ไม่รีบครับ ทั้งกุนเชียง หมูแปรรูป ข้าวสาร และขนมอีกมากมาย แต่ต้องไม่ลืมนะครับว่าเรากลับเครื่องบินกันนะครับ

โปรแกรมทัวร์ยังไม่หมดเท่านั้น เพราะมติชน อคาเดมี จะพาท่านไปยังพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ สุรินทร์ เพื่อชมประวัติความเป็นมาของเมือง เรื่องราววัฒนธรรมของกลุ่มชาติพันธุ์และวัฒนธรรมของผู้คนในบริเวณอีสานใต้ และจะได้ไปเลือกซื้อผ้าไหมราคางามที่หมู่บ้านทอผ้าไหมบ้านท่าสว่าง หรือ กลุ่มทอผ้าไหมจันทร์โสมา ดูแลและสร้างสรรค์โดย อาจารย์วีรธรรม ตระกูลเงินไทย เลือกชมและเลือกซื้อในราคาแบบกันเองได้ตามอัธยาศัย

นอกจากนี้ ยังจะแวะไปสักการะ ปราสาทจอมพระ ปราสาทขนาดกลางที่สันนิษฐานว่าเป็นศาสนสถานในพุทธศาสนาแบบมหายาน และยังเคยเป็นอโรคยศาลาในสมัยของพระเจ้าชัยวรมันที่ 7 และปิดท้ายก่อนกลับกรุงเทพฯ ด้วยการไปชมความน่ารักของช้างที่ ศูนย์คชศึกษา หรือ หมู่บ้านช้าง บ้านตากลาง พื้นที่ที่มีการเลี้ยงช้างมากที่สุดในโลก ร่วมพิธีบวงสรวง ศาลปะกำ ของหมอช้างชาวกูย กลุ่มชาติพันธุ์ที่มีความรู้ทางด้านคชศาสตร์เป็นอย่างดี จากนั้นร่วมเรียนรู้และสัมผัสวิถีชีวิตความเป็นอยู่ที่แตกต่างจากที่อื่นของคนและช้าง

ท่านใดจะนอนให้ช้างเหยียบ ช้างนวด ก็ตามอัธยาศัยครับ ส่วนผมจะเป็นตากล้องให้ด้วยความยินดี

ในวันที่ 28-30 สิงหาคม 2558 นี้ เตรียมพบกับทัวร์ศิลปวัฒนธรรม “เที่ยวปราสาทหินถิ่นอีสานใต้ 3 จ.สุรินทร์-ศรีสะเกษ” ที่มติชน อคาเดมี จะนำพาทุกท่านได้ร่วมแสวงหาและค้นคำตอบ เกร็ดความรู้ในแง่มุมต่างๆ อย่างละเอียด พร้อมร่วมทริปกับวิทยากรพิเศษ รศ.ดร.ศานติ ภักดีคำ สนใจสอบถามเพิ่มเติมได้ที่ โทรศัพท์ (02) 954-3977-85 ต่อ 2123, 2124 (จันทร์-ศุกร์) (082) 993-9097, (082) 993-9105 (เสาร์-อาทิตย์) http://www.matichonacademy.com และ https://www.facebook.com/Matichon.Academy.Thailand