98 ปี วันจักรี กับวันทรงเปิดวิถีสะพานพุทธ

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือเส้นทางเศรษฐี

http://info.matichon.co.th/rich/rich.php?srctag=07090010459&srcday=2016-04-01&search=no

วันที่ 01 เมษายน พ.ศ. 2559 ปีที่ 22 ฉบับที่ 394

เก็บตกจาก “แท็กซี่ กูรู”

TAXI MASTER

98 ปี วันจักรี กับวันทรงเปิดวิถีสะพานพุทธ

มีข่าวแท็กซี่ปฏิเสธผู้โดยสารได้ออกทีวี หรือถูกแจ้งข่าวผ่านสถานีวิทยุการจราจรทุกคลื่น มีทุกเวลาหรือจะกล่าวว่าทุกวันทุกเส้นทางถนนก็ไม่ผิด ถ้าจะกล่าวหาให้มากกว่านั้นก็กล่าวว่ามีทุกช่วงเวลาเช้า สาย บ่าย เย็น ค่ำ ดึก ก็เชื่อว่าไม่ผิดอีก จนผู้ที่ได้ฟังข่าวนี้ไม่ได้เห็นว่าเป็นเรื่องแปลกใหม่แล้ว

แต่ลึกไปกว่านั้นในใจคิดสวดชยันโตกี่จบก็มิอาจรู้ได้ ส่วนข่าวที่ “ผู้โดยสารปฏิเสธจ่ายค่าแท็กซี่” ไม่ค่อยได้มีโอกาสออกอากาศเท่าใดนัก เพราะมักจะเกิดในที่ลับ ซอยลึก หรือกลางดึกในซอยเปลี่ยว เพื่อนผมคนหนึ่งโทรมาเล่าให้ฟังว่า เมื่อตี 1 ของคืนวันที่เขาบอกว่าจะมีดวงดาวย้ายตำแหน่ง พระราหูเข้าสู่จักรราศีผู้คนสวดทำบุญกัน เขามีผู้โดยสารเรียกให้ไปส่งในซอยย่านชานเมืองแห่งหนึ่ง เข้าปากซอยแล้วเลี้ยวซ้ายเลี้ยวขวายังกะเขาวงกต แต่ผู้โดยสารพูดเหมือนกับว่าเข้าไปสุดซอยแล้วทะลุถนนอีกเส้น ระหว่างเลี้ยวซ้ายขวาในซอยเขาชวนคุยลักษณะอวดว่าตัวเองเป็นคนดังในซอยนี้ มีเพื่อนๆ กึ่งๆ นักเลงมากรู้จักกันหมด เขาคุยถามว่าวันนี้วิ่งรถได้หลายเที่ยวแล้วหรือยัง ทำให้คิดไกลไปว่าถ้าจะบอกว่าได้เงินมากกลัวจะถูกจี้เพราะเกิดสังหรณ์ใจในพฤติกรรมคำพูด ก็ตอบว่าเพิ่งออกรถตอนเที่ยงคืนยังได้ค่าโดยสารไม่ถึง 300 เลยครับ เขาก็บอกให้จอดหน้าซอยแคบๆ รถเข้าไม่ได้แต่มีสะพานไม้เป็นซอกเข้าไป บอกว่าบ้านอยู่ในซอยนี้ พอดีมีแบงก์พันคงไม่มีตังค์ทอน เดี๋ยวเข้าไปเอาแบงก์ย่อยในบ้านมาให้ แล้วเดินเข้าซอกสะพานไม้นั้นหายไป คอยๆ กว่าครึ่งชั่วโมง ไม่มีใครออกมา มีบ้านหนึ่งเปิดหน้าต่างตะโกนบอกว่า คุณโดนหลอกแล้วอย่าคอยเลย เขาคงทะลุออกอีกซอยแล้วซอยนี้ทางตัน คุณหาที่กลับรถเองกลางซอยโน่นแหละ คิดในใจว่าโชคดีแล้วเขาไม่ขอ 300 ไปด้วยก็บุญแล้ว

นานๆ มีโอกาสขึ้นรถโดยสารประจำทางปรับอากาศที่ชอบเรียกกันว่า “รถ ปอ.” ถ้าหากเลยเวลาเข้าทำงานราชการหลัง 3 โมงเช้า ก็พอจะมีที่นั่งที่ยืนสะดวกหน่อย ถ้าจะไปธุระที่ไหนที่รถเมล์ผ่านก็น่าใช้บริการ เพราะมีให้เลือกทั้งรถเมล์ฟรีจากภาษีประชาชนเพียงแต่อาจจะต้องคอยนาน หรือมาติดๆ กันแต่ไม่จอดรับก็มี ลองถามๆ ดู มีคนนินทาว่าเขาต้องการให้ครบจำนวนเที่ยวแต่ละวัน ไม่ได้รับเปอร์เซ็นต์ค่าโดยสารก็ไม่ต้องจอดรับทุกป้าย บางป้ายก็แถมให้อีกป้ายเมื่อมีคนลง

วันนี้ได้ขึ้นรถโดยสารปรับอากาศไปพบหมอตามนัด ถ้าขับรถไปไม่มีที่จอดแน่นอน โรงพยาบาลของรัฐที่ให้โอกาสข้าราชการทั้งปัจจุบันและอดีตใช้บริการ “จ่ายตรง” มักจะไม่มีที่บริการจอดรถ เพราะลำพังของเจ้าหน้าที่เองก็แทบจะไม่พอจอด สังเกตเห็นด้านในหน้ารถปรับอากาศหน้าคนขับ มีป้ายบอกให้ผู้โดยสารจำข้อความสายรถ xxx หมายเลขข้างรถ x-xxxxx และหมายเลขทะเบียนรถ xx-xxxx นอกจากนั้นยังมีอีกป้ายคู่กันเขียนว่า “ผู้โดยสารโปรดจำข้อความข้างล่างนี้ เพื่อประโยชน์ของท่าน” แล้วแสดงภาพพนักงานขับรถพร้อมลงลายมือชื่อ มีบัตรประจำตัวผู้ขับรถ ชื่อผู้ขับรถทั้งภาษาไทย ภาษาอังกฤษ และลงนามผู้อนุญาต ผมสังเกตว่า ทั้งหมดเป็นความปรารถนาดีว่าถ้าเกิดเหตุกรณีใดๆ ผู้โดยสารสามารถแจ้งตัวเลขดังกล่าวเป็นข้อมูลสอบสวนได้ แต่ความเป็นจริงใครจะจำได้ และที่สำคัญ ป้ายที่นำมาติดพร้อมรูปบางครั้งเมื่อเปลี่ยนคนขับก็ไม่ได้เปลี่ยนป้ายทุกครั้ง ทุกคนกว่าจะสืบหาตามกันได้ก็ไม่อยากจะเอาเรื่องแล้ว แต่ถ้าใช้ตัวเลข 1 ตัว หรือ 2 ตัว เป็นรหัสแทนน่าจะตามง่ายกว่าโดยมีบัญชีรายชื่อคุมรหัสที่ประจำสำนักงาน อย่างไรก็ตาม มีรถโดยสารปรับอากาศหลายสายที่เขาให้บริการคิดค่าโดยสารผู้สูงอายุ โดยแนบบัตรประจำตัวจ่ายค่าโดยสารเขาจะคิดเพียงครึ่งราคาเป็นส่วนลดตลอดสายที่น่าพอใจ ก็มีพรรคพวกบางคนบ่นว่า ขึ้นรถแล้วยื่นบัตรประชาชนพร้อมเงินเขาให้ตั๋วลดครึ่งมานั้นดีแล้ว แต่ที่เสียอารมณ์เพราะบางสายพนักงานฉีกตั๋วโดยสารลดครึ่งโดยไม่ได้แสดงบัตรนี่ซิเจ็บใจนัก ที่เขามองว่าเราสูงอายุโดยไม่ดูหลักฐาน

ผมมีผู้โดยสารเรียกให้ไปส่งที่ “ฝั่งธนบุรี” และยังไม่ได้ตกลงว่าควรจะผ่านเส้นทางข้ามแม่น้ำเจ้าพระยาโดยสะพานสมเด็จพระปิ่นเกล้าหรือสะพานพระพุทธยอดฟ้า (สะพานพุทธ) ดี เพราะเป็นทางเลือกไปปลายทางได้เท่าๆ กัน แต่สุดท้ายเขาบอกว่าไปทางสะพานพุทธเถอะ เพราะตอนนี้ที่ปากคลองตลาดเขาจัดระเบียบแม่ค้า แผงผัก ดอกไม้ข้างถนนไม่เกะกะ รถสะดวกขึ้นแล้ว คุณแท็กซี่เปิดข่าวหรือเปิดเพลงก็ได้ คือไม่ชอบนั่งรถเงียบๆ ฟังได้ทุกแนว ผมได้ทีคิดถึงข้ามแม่น้ำเจ้าพระยา คิดถึงเพลง Bridge Over Troubled Water ที่ Simon and Garfunkel ขับร้องไว้ “When you”re weary, feeling small, When tears are in your eyes, I will dry them all. I”m on your side. When times get rough. And friends just can”t be found, Like a bridge over troubled water. I will lay me down…” พอเสียงเพลงขึ้นเขายิ้มใหญ่บอกว่า ชอบเพลงนี้มาก แต่สะพานพุทธไม่ได้ข้ามแม่น้ำเชี่ยวกรากเลย เจ้าพระยายังไหลผ่านทุกสะพานเพียงแต่ยังเป็น River of return ไม่ใช่ No return เขาพูดยิ้มๆ อย่างสดชื่นอารมณ์ดี

รถผ่านโรงเรียนสวนกุหลาบวิทยาลัยและเพาะช่างเดิม มองเห็นอนุสาวรีย์รัชกาลที่ 1 และข้างหลังเป็นโครงสร้างสะพานพระพุทธยอดฟ้าแต่ดูแล้วต่ำกว่าสะพานพระปกเกล้า เขาพูดเปรยขึ้นว่าไม่น่าเชื่อนะสะพานพุทธสร้างมาแล้ว 84 ปี แต่วันจักรีมีมาเกือบ 100 ปี เห็นพระบรมรูปรัชกาลที่ 1 ก็คิดถึงวันจักรี ปีนี้ก็ครบ 98 ปีแล้ว ตั้งแต่รัชกาลที่ 6 คุณเคยมาถวายบังคมวันจักรีไหม เดือนเมษาทุกปีจะระลึกถึงอนุสาวรีย์รัชกาลที่ 1 และสะพานพระพุทธยอดฟ้าสมัยก่อนที่เปิดให้เรือใหญ่ผ่าน คุณแท็กซี่เคยเห็นไหม ผมได้แต่ยิ้ม

ดูเหมือนเขาภูมิใจที่ได้กล่าวถึงเหตุการณ์นั้นๆ ผมจึงเปิดประเด็นต่อด้วยคำถามว่า วันจักรีกับสะพานพุทธเกี่ยวข้องกันอย่างไร เขาหันมาแซวผมว่าแหมถามเหมือนกับว่าผมจะเกิดทัน คือเพราะผมเป็นครูอยู่ที่โรงเรียนที่จะไปส่งนี่แหละ กำลังทำผลงานกำหนดตำแหน่งอาจารย์ 3 มีข้อมูลเรื่องนี้ที่จะรวบรวมเล่มส่งผลงานจึงพอจะรู้ ผมสรุปให้ฟังก็ได้นะรถไม่ติดเดี๋ยวเล่าไม่ทัน คืออย่างนี้ ที่มาของวันจักรีนั้นเริ่มมาตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 5 ได้โปรดเกล้าฯ ให้หล่อพระบรมรูปตั้งแต่รัชกาลที่ 1 ถึงรัชกาลที่ 4 เพื่อประดิษฐานไว้ให้ถวายบังคมสักการะ ระลึกถึงพระมหากรุณาธิคุณเป็นธรรมเนียมปีละครั้ง แล้วอัญเชิญไว้ที่พระที่นั่งดุสิตมหาปราสาท และมีการย้ายอีกหลายครั้ง ต่อมาในรัชกาลที่ 6 ได้ย้ายพระบรมรูปไว้ ณ ปราสาทพระเทพบิดรพร้อมพระบรมรูปรัชกาลที่ 5 พอลุเดือนเมษายน พ.ศ. 2461 จึงได้มีพระบรมราชโองการ ประกาศตั้งพระราชพิธีถวายบังคมพระบรมรูปในวันที่ 6 เมษายนปีนั้น และต่อมาทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้เรียกวันที่ 6 เมษายนว่าเป็น “วันจักรี” ก็ไม่เกี่ยวกับสะพานพุทธหรอกนะ

รถชะลออยู่กลางสะพานพุทธ เพราะเชิงสะพานด้านฝั่งธนมีอุบัติเหตุเล็กน้อย ผมมองลงในแม่น้ำเจ้าพระยาซึ่งดูสะอาดดี แต่เลยไปถึงโค้งแม่น้ำเห็นวัดอรุณ (วัดอรุณราชวรารามราชวรมหาวิหาร) โดดเด่น ถามคุณครูเขาว่า สะพานพุทธช่วงกลางนี้ใช่ไหมที่เปิดให้เรือผ่านได้ ไม่น่าเชื่อว่า 80 กว่าปีมาแล้วจะสร้างได้ตั้งแต่สมัยพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ 7) เขาหันมาอีกครั้งดูจริงจังแล้วยกมือพนมเหนือหัว พูดต่อว่าด้วยพระบารมีพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้เปิดใช้ตั้งแต่เมื่อคราวฉลองพระนคร 150 ปี ผู้คนตื่นเต้นกันมาก เพราะมีความคิดกันมาตั้งแต่ พ.ศ. 2471 แล้ววางศิลาฤกษ์สร้างสะพานวันที่ 9 มกราคม พ.ศ. 2472 และประกาศกระแสพระบรมราชโองการเรื่องสร้างสะพานพระพุทธยอดฟ้า จะได้ทัน พ.ศ. 2475 ที่กรุงเทพฯ จะครบ 150 ปีบริบูรณ์ โดยพระราชทานพระบรมราชาธิบายเหตุผลที่จะสร้างสะพานและทรงพระราชดำริว่า ควรสร้าง 2 สิ่งประกอบกัน สิ่งหนึ่งคือ สร้างพระบรมรูปพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช องค์ปฐมบรมกษัตริย์มหาจักรีวงศ์เพื่อเป็นสวัสดิมงคลสืบไป กับสะพานข้ามแม่น้ำ ทำทางถนนเชื่อมจังหวัดพระนคร ให้ติดต่อกับจังหวัดธนบุรีสมัยนั้น ตามที่เห็นนี่แหละ

ผมเอ่ยว่า ไม่ทราบว่าสมัย 84 ปี ที่สร้างสะพานเสร็จนั้นจะใช้เงินเท่าไหร่ เขารีบตอบว่าเชื่อไหมสมัยนั้นกะกันว่าจะใช้เงินประมาณ 4 ล้านบาท โดยพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวพระราชทานทรัพย์ส่วนพระองค์ส่วนหนึ่ง รัฐบาลจ่ายงบแผ่นดินส่วนหนึ่ง และบอกบุญเรี่ยไรอีกส่วน การก่อสร้างสะพานเสร็จเรียบร้อยตามกำหนด และพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวได้เสด็จพระราชดำเนินทรงเปิดวิถีสะพาน ตั้งแต่วันที่ 6 เมษายน พ.ศ. 2475 อันเป็นวันฉลอง 150 ปี บริบูรณ์แห่งพระนครรัตนโกสินทร์

ดูแล้วยังทันสมัยใช้งานถึงทุกวันนี้เลย

สรุปจากหนังสือ “ภาพงามของความหลัง” เรื่องสะพานพระพุทธยอดฟ้า โดย ศาสตราจารย์พิเศษ ธงทอง จันทรางศุ

พฤติกรรมสงฆ์ ปลงกรรม พฤติธรรมวินัย

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือเส้นทางเศรษฐี

http://info.matichon.co.th/rich/rich.php?srctag=07089150958&srcday=2015-09-15&search=no

วันที่ 15 กันยายน พ.ศ. 2558 ปีที่ 21 ฉบับที่ 381

เก็บตกจาก “แท็กซี่ กูรู”

TAXI MASTER

พฤติกรรมสงฆ์ ปลงกรรม พฤติธรรมวินัย

ในโลกดิจิตอล ออนไลน์ สำหรับสังคมที่มือไม่ว่างเพราะต้องมี “มือถือ” ติดตัว ยุคพฤติกรรมเปลี่ยนแปลง แต่ก่อนเรามักจะพูดว่าจะไปไหนก็โบกแท็กซี่ หมายถึง โบกมือเรียกแท็กซี่ แต่เดี๋ยวนี้เปลี่ยนเป็นกดเรียกแท็กซี่ เพราะช่วงนี้มี “แอพสายด่วน” ให้ดาวน์โหลดฟรี เพื่อใช้เป็นตัวเลือกสำหรับโทรศัพท์เรียกใช้บริการแท็กซี่ ในเขตที่สัญญาณ GPS ไปถึง โดยเพิ่มค่าโดยสารอีก 20 บาท สำหรับผู้ที่สะดวกด้านเศรษฐกิจก็คิดว่าเป็นเรื่องจิ๊บจ๊อยไม่ต้องไปยืนโบกข้างฟุตปาธ มีให้เลือกเรียกใช้บริการอย่างน้อยก็มากกว่า 10 ศูนย์ หรือบางเบอร์โทรก็เป็นสหกรณ์ และบางศูนย์บริการก็ระบุว่า “ฟรีค่าโทร” ถ้าหากจะดูรายละเอียดก็เข้าไปดูในเว็บไซต์ก็ได้ ซึ่งมีคำอธิบายวิธีเรียกใช้บริการไว้ชัดเจน พอจะสรุปได้ เช่น บอกว่าให้ไปรับที่ไหน บอกเส้นทางจุดที่จะรับ จะไปส่งที่ไหน ซึ่งควรโทรก่อนล่วงหน้าประมาณ 15-20 นาที และอาจจะรอประมาณ 15-20 นาทีเช่นกัน เรื่องนี้อาจจะกระทบกระเทือนแท็กซี่รูปแบบเก่าอย่างพวกเราบ้าง แต่ก็ถือว่าเป็นแรงกระตุ้นที่ให้แท็กซี่รุ่นเดิมๆ ปรับเปลี่ยนพฤติกรรมให้ดีขึ้น และเป็นตัวเลือกที่ไม่ต้องปฏิเสธ

พวกเราในชมรมแท็กซี่ปฏิบัติดีเพื่อสังคม ได้แสดงออกถึงพฤติกรรมไม่พึงประสงค์สมาชิกในชมรมคนหนึ่ง ซึ่งมีวี่แววว่าน่าจะไม่มีความจริงใจ และอาจจะนำความเสื่อมเสียมาสู่ชมรมพวกเราได้ เนื่องจากมีพฤติกรรมบางอย่างที่อยู่ใน 5 กลโกง ที่ส่อให้พวกเราคิดว่าเป็นอย่างนั้นอย่างน้อย 2 อย่าง ซึ่งไม่ควรกระทำอย่างใดๆ ในเรื่องต่อไปนี้คือ เปลี่ยนยางหรือวงล้อยางให้เล็กลงเพื่อทำให้รอบมิเตอร์หมุนเร็วขึ้นทำให้ค่าโดยสารสูงกว่าความเป็นจริง ต่อวงจรไฟมิเตอร์กับสายแตรแล้วกดบ่อยครั้งแต่แตรไม่ดัง ซึ่งทำให้ไฟฟ้ารถยนต์ลัดวงจรทำให้เลขมิเตอร์เพิ่มขึ้นโดยที่ไม่ใช่ขณะรถวิ่ง หรือแกล้งให้ตัวเลขเวลาขณะที่รถจอดติดอยู่ดับโดยอ้างว่าเสีย มีการสลับมิเตอร์เตรียมไว้ 2 ตัว เมื่อมีผู้โดยสารต่างชาติก็ใช้มิเตอร์ตัวเก่าปรับค่าโดยสารตามชอบหรืออ้างว่ามิเตอร์เสียแล้วชักชวนให้ข้อเสนอเหมาจ่าย นอกจากนั้น ก็อาจจะมีพฤติกรรมที่พยายามเพิ่มระยะทางระยะเวลาโดยพาผู้โดยสารอ้อมเส้นทางโดยอ้างว่ารถติด พวกเราได้ซักถามตรวจสอบพฤติกรรมแล้วพบว่าเขาทำ 2 อย่างใน 5 อย่างที่กล่าวจึงให้พ้นชมรม

พวกเราชื่นชมกับแท็กซี่คันหนึ่งที่ใช้ชื่อว่า “แท็กซี่รสพระธรรม” เป็นรถแท็กซี่ส่วนบุคคลเขียวเหลืองที่เขียนข้างรถว่า บริการฟรีสำหรับ ผู้ป่วย คนชรา ผู้พิการ แม่ชี คนตาบอด และพระภิกษุสามเณร ซึ่งเขาเคยได้รับการยกย่องและสัมภาษณ์ข่าวผ่านสื่อโทรทัศน์ ปัจจุบันก็ยังดูได้ในเว็บไซต์ในอินเตอร์เน็ต พวกเรายังแซวแบบยกย่องว่าน่าจะเป็นคู่แข่งกับรถแท็กซี่ของกรุงเทพมหานครที่บริการฟรีเช่นกัน

ช่วงนี้ใกล้จะออกพรรษา ผมมีลูกค้าขาประจำที่มักจะนัดหมายไปรับหรือส่งที่วัดบ่อยๆ และชอบนำแผ่นซีดีธรรมะที่ได้มา มาเปิดช่วงเดินทางไปหรือกลับจากวัดบ่อยครั้ง ทำให้บางครั้งต้องอดฟังเพลงโปรดที่เตรียมมากล่อมอารมณ์โลกส่วนตัว หรือบางครั้งก็อดฟังภาษาอังกฤษวันละประโยค วันนี้นัดหมายให้ไปรับที่วัดจึงต้องขอฟังเพลงที่กำลัง “ฟิล” อยู่ช่วงนี้ก่อนที่จะฟังธรรมะ เนื่องจากระลึกถึงกลอนบทหนึ่งตั้งชื่อว่า “ความหลังเมื่อครั้งก่อน” ที่เขียนบทแรกไว้ว่า “ภาพความหลัง ยังจุดไฟในใจฉัน แต่สีมันพร่ามัวเลือน เหมือนวันเก่า ภาพครั้งก่อน ย้อนรอยยิ้ม ยังพริ้มเพรา เมื่อครั้งเก่า เรายิ้มไว้ ให้แก่กัน” ทำให้ผมนึกถึงเพลงประกอบภาพยนตร์เมื่อ 40 ปีก่อน เรื่อง The way we were ที่ขึ้นต้นว่า “Memories, Light the corners of my mind, Misty water-colored memories of the way we were. Scattered pictures, Of the smiles we left behind, Smiles we gave to one another for the way we were?” ผม “อิน” กับหนังเรื่องนี้มากเพราะชอบความหล่อของ Robert Redford และ Barbra Streisand

ผมไปถึงวัดตรงเวลาแต่โยม (อุปถัมภ์) ขาประจำแท็กซี่มาขออนุโมทนาเอาบุญมาฝากบอกว่า ขอโทษให้รออีกเกือบชั่วโมง เพราะต้องอยู่กรรมและร่วมสังฆกรรมในพิธีสงฆ์ โดยเจ้าอาวาสขอให้ฆราวาสที่มีชื่อเป็นกรรมการวัดอยู่ร่วมพิธีอีกสักช่วงหนึ่ง และมีพระสงฆ์รูปหนึ่งต้องอาบัติปาราชิก ถ้าอยู่รอจะให้รางวัลค่าเสียเวลา ผมงงๆ ไม่เข้าใจนักแต่ตอบตกลง ก็คิดว่าช่วงเวลารอนี้ จะไปนมัสการหลวงลุงที่คุ้นเคย เผื่อจะได้สนทนาธรรมหายข้องใจคำพระบางคำที่เคยได้ยินว่าปลงอาบัติ ปาราชิก หรือคำว่า สิกขาบท

โชคดีที่หลวงลุงดูแลและแยกปลูกกล้วยไม้อยู่หลังกุฏิ ผมเข้าไปกราบนมัสการและขอโทษที่มารบกวนเวลา “จำวัด” ท่านบอกว่าไม่เป็นไรมาสนทนาธรรมด้วยก็ชอบใจแล้ว ชวนขึ้นไปบนระเบียงหน้ากุฏิ ผมเข้าไปกราบพระพุทธรูป แล้วมานั่งกับหลวงลุง ตั้งปุจฉาท่านด้วยความเป็นกันเอง นมัสการถามท่านกับคำว่า ปลงอาบัติ ปาราชิก สิกขาบท หลวงลุงหัวเราะอย่างมีเมตตา วิสัชนากลับแซวว่าโยมเตรียมตัวจะบวชหรือคิดจะต้องปลงอาบัติแล้ว วางแผนจะทำผิดอะไร เดี๋ยวจะให้พระวินยาธิการจับมาสึกเสียเลย ผมรู้ดีว่า พระวินยาธิการ คือตำรวจพระ ที่เจ้าคณะแต่งตั้งไว้ตรวจจับพระอลัชชี

หลวงลุงแซวผมว่า “แหมให้แสดงธรรมโดยไม่ได้อาราธนาเลยนะ พุทธบัญญัติเกี่ยวกับระเบียบปฏิบัติ ขนบธรรมเนียม วิถีธรรม ของภิกษุสงฆ์หรือภิกษุณี เรียกว่า พระวินัย ซึ่งแบ่งเป็น 2 ส่วนคือ อาทิพรหมจริยกาสิกขา และ อภิสมาจาริกาสิกขา อย่างแรกเป็นข้อปฏิบัติเบื้องต้นแห่งพรหมจรรย์ที่พระพุทธเจ้าทรงบัญญัติเพื่อป้องกันความเสียหาย และปรับโทษเป็นอาบัติหนักบ้างเบาบ้างโดยสวดทุกกึ่งเดือนเรียก “พระปาติโมกข์” ส่วนอย่างที่สองเป็นหลักศึกษาอบรมธรรมเนียมมารยาทให้ชักนำพระสงฆ์ให้ประพฤติดี พระวินัยนั้นพระพุทธเจ้าไม่ได้บัญญัติไว้ล่วงหน้า เมื่อเกิดความเสียหาย จึงบัญญัติเป็นสิกขาบทไว้เพื่อพระสงฆ์ควรมีวัตรปฏิบัติที่ดีงามจึงทรงสิกขาบทเรื่อยมา”

หลวงลุงท่านลุกขึ้นไปหยิบคู่มือธรรมะเล่มบางๆ มาให้แล้วบอกว่าว่างๆ เอานี่ไปอ่านแล้ววิสัชนาต่อว่า

“อาตมาจะสรุปต่อนะ ทีนี้คำว่า อาบัติ แปลว่า ต้อง หรือการล่วงละเมิด ถ้าพระสงฆ์ล่วงละเมิดสิกขาบทนั้นๆ ก็จะเป็นโทษ เช่น ภิกษุกล่าวอวดอุตริมนุสธรรมที่ไม่มีในตน ก็ต้องอาบัติปาราชิก สำหรับอาบัติมีถึง 7 กอง คือ ปาราชิก สังฆาทิเสส ถุลลัจจัย ปาจิตตีย์ ปาฏิเทสนียะ ทุกกฎ และ ทุพภาสิต

โทษแต่ละสิกขาบทหนักเบาไม่เท่ากันหรอก โยมจะเลือกโทษข้อไหนล่ะ อาบัติปาราชิกมีโทษหนัก ผู้ล่วงละเมิดจะขาดจากความเป็นภิกษุ จับสึกเลย อาบัติสังฆาทิเสสมีโทษรองลงมา ผู้ละเมิดต้องอยู่กรรม คือประพฤติอยู่ในปริวาสกรรม ตามจำนวนวันเวลาที่กระทำผิดหรือปกปิดไว้ หรือให้สงฆ์จำนวน 20 รูป สวดอัพภาน คือการสวดถอนจากอาบัติสังฆาทิเสส เพื่อรับเข้าหมู่สงฆ์ ส่วนอาบัติอีก 5 กองที่เหลือมีโทษเบาลงมา ผู้ล่วงละเมิดต้องประกาศสารภาพผิดต่อหน้าภิกษุสงฆ์ เรียกว่า “ปลงอาบัติ” จึงจะพ้นอาบัติ

พระวินัยแต่ละข้อ หรือมาตราต่างๆ เรียกว่า “สิกขาบท” แปลว่า ข้อที่จะต้องศึกษา ภิกษุมี 227 สิกขาบท แบ่งกลุ่มได้ เช่น ปาราชิก 4 สังฆาทิเสส 13

ปาราชิก แปลว่า ผู้พ่ายแพ้ โทษร้ายแรงเพราะไม่ประพฤติในพรหมจรรย์ เช่น เสพเมถุน ฆ่ามนุษย์ ลักทรัพย์ สังฆาทิเสส ทำผิดพระวินัย เช่น แกล้งทำให้น้ำอสุจิเคลื่อน มีกำหนัดจับต้องกายหญิง ให้ผู้หญิงบำเรอกาม ส่วนปาจิตตีย์ เป็นการละเมิดอันยังกุศลธรรมให้ตก คือจงใจทำให้กุศลจิตเศร้าหมองก็ปลงอาบัติได้

อ้อ! ที่ถามว่า อลัชชีนั้นคือพระสงฆ์ผู้ไม่มีความละอาย คือหน้าด้าน โยมแท็กซี่เคยรับสงฆ์อลัชชีไหม? โน่นโยมลงมาแล้ว ไปส่งบ้านก่อน ว่างๆ ค่อยมาปลงอาบัติกันต่อนะ!”

สรุปสาระธรรมจาก : คู่มือศึกษาธรรมปฏิบัติ และเว็บไซต์สื่อออนไลน์

บำนาญ-เกษียณ…เกษมศานต์ ไม่กระเสือกกระสน

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือเส้นทางเศรษฐี

http://info.matichon.co.th/rich/rich.php?srctag=07088010958&srcday=2015-09-01&search=no

วันที่ 01 กันยายน พ.ศ. 2558 ปีที่ 21 ฉบับที่ 380

เก็บตกจาก “แท็กซี่ กูรู”

TAXI MASTER

บำนาญ-เกษียณ…เกษมศานต์ ไม่กระเสือกกระสน

กรมการขนส่งทางบก โดย กองทุนเพื่อความปลอดภัยในการใช้รถใช้ถนน หรือ กปถ. รณรงค์ผ่านสื่อเกือบทุกสถานีวิทยุและประกาศหลังข่าว เกี่ยวกับการประเมินคุณภาพแท็กซี่ผ่านแอพพลิเคชั่น กับ DLT Check in เพื่อเป็นกำลังใจกับแท็กซี่ที่มีพฤติกรรมดี หรือปรับปรุงสิ่งที่ควรแก้ไข เป็นการวิเคราะห์ความสัมพันธ์ที่มีผลกระทบกับการบริการแท็กซี่ แท็กซี่ทำดีมีรางวัล โดยมีจำนวนนับหรือบอกกล่าวที่ได้รับความร่วมมือกับประชาชนผู้ใช้บริการ

เรื่องราวที่ผ่านมาส่วนใหญ่แท็กซี่น่าจะตกเป็นจำเลยของสังคมตลอดช่วงเวลาปฏิรูปนี้ เพราะนอกเหนือจากมีรูปแบบการมีแท็กซี่ประเภทไม่ต้องออกมาตระเวนตามท้องถนนเสนอบริการ แต่ออกมารับผู้โดยสารเมื่อเรียกผ่านระบบสื่อสารหรือออนไลน์แล้ว การได้รับการพิจารณาเพื่อขึ้นค่าโดยสารอัตราใหม่นี้ก็ไม่ได้เป็นที่ชื่นชมสำหรับผู้ใช้บริการ จึงกลายเป็นจำเลยซ้ำซ้อนไปอีก แม้ว่าการได้รับการพิจารณาอัตราค่าโดยสารเพิ่มขึ้นครั้งนี้ ไม่ได้ใช้พลังมวลแท็กซี่เรียกร้องแต่อย่างใด

ข่าวคราวการปฏิเสธการให้บริการผู้โดยสารก็ยังถูกวิจารณ์และมีข่าวถูกฟ้องสังคมอยู่ตลอดเวลาที่ผ่านมา ต่างฝ่ายต่างมีเหตุผลจนถูกประชดว่า ต่อไปนี้ขอให้แท็กซี่ช่วยเขียนเส้นทางที่จะผ่านไปติดไว้หน้ารถ เพื่อผู้เรียกใช้บริการจะได้รู้ว่าผ่านไปในเส้นทางที่จะไปหรือไม่ พวกเราชาวชมรมแท็กซี่ปฏิบัติดีเพื่อสังคมได้ยินข่าวนี้ก็ไม่สบายใจเพราะพวกเราไม่มีใครประพฤติเช่นนั้น บางครั้งพวกเราทราบดีว่า การที่จะไปส่งผู้โดยสารโดยผ่านเส้นทางที่เรากลัวหรือกังวลเกี่ยวกับรถติดนั้น ยังมีอยู่ในใจ แต่สัญญาสุภาพบุรุษของเรายืนยันไม่ปฏิเสธผู้โดยสารแน่นอน มีอยู่ครั้งหนึ่งผมเองประสบเหตุการณ์ด้วยตนเองคือ ถูกเรียกใช้บริการและต้องผ่านเข้าในย่านศูนย์การค้าหลังช่วงเวลาเลิกงาน ปรากฏว่า รถติดอยู่นานเกินกว่าผู้โดยสารจะรอได้จึงขอจ่ายค่าโดยสารตามมิเตอร์ที่ขึ้นแล้วขอลงไป ส่วนผมต้องอยู่บนถนนที่รถติดนั้นอีกเกือบ 2 ชั่วโมงฟรีๆ

สื่อสารฉับไวแจ้งข่าวลงภาพได้ทันท่วงที เมื่อมีอะไรไม่ถูกตาต้องใจผู้พบเห็นก็ถูกนำมาลงในสื่อพร้อมคำบรรยายเชิงประจักษ์เท่าที่เข้าใจ บางครั้งเหตุการณ์หรือเหตุผลจริงๆ อาจจะไม่ใช่เหมือนที่เห็น มีอยู่วันหนึ่งไปส่งผู้โดยสารซึ่งเขารีบร้อนมาก ขอร้องให้ขับเร็วเพื่อทันเวลานัดหมาย เมื่อถึงสี่แยกสัญญาณไฟเหลือง เขาขอให้รีบผ่านไปเพื่อไม่ต้องหยุดรออีก 2-3 นาที ผมเข้าใจและเห็นใจในธุระสำคัญที่เขาขอร้อง ส่งเสร็จได้รับคำขอบคุณและชื่นชมในฝีมือโชเฟอร์หรือจะด่าในใจว่าตีนผีระดับพระกาฬก็แล้วแต่ แต่ต่อมาอีก 3 วัน ผมก็ได้รับจดหมายชื่นชมจากเจ้าพนักงานจราจร เป็นใบสั่งพร้อมแนบภาพถ่ายในวงกลมชัดเจน 3 ภาพ ณ จุดฝ่าสัญญาณไฟแดง มีภาพขยายป้ายทะเบียนรถชัดเจน แจ้งว่าฝีเท้าดีขนาดนี้ขอให้รีบไปชำระค่าปรับ 800 บาท ภายใน 15 วัน ผมนำใบสั่งไปเปรียบเทียบปรับโดยขอความกรุณาให้ปรับในอัตราขั้นต่ำ 400 บาท ก็ได้รับความกรุณาจากร้อยเวร ได้รับคำอบรมเล็กน้อย แต่ก็เห็นว่าตำรวจก็รับฟังเหตุผลและมีน้ำใจ

มีการประชุมคณะรัฐมนตรี มีข่าวคราวการพิจารณาอายุข้าราชการบางหน่วยงานที่จะให้ข้าราชการปฏิบัติงานได้ถึงอายุ 65 ปี แม้ว่ายังไม่ได้แถลงข่าวเป็นทางการ แต่ก็มีการวิพากษ์วิจารณ์กันพอควร ผมได้ฟังข่าวแสดงความคิดเห็นทางสถานีวิทยุ ที่กำลังจะหาเพลงเตรียมไว้ถ้าแวะเข้าชมรม ใจนึกถึงข้าราชการเกษียณที่ถูกหาว่าเป็นคนแก่ แต่คิดไปถึงเจ้าแร้งแก่ในหนังเรื่อง MACKENNA”S GOLD “Old Turkey Buzzard” ชอบเพลงในหนังแล้วมีภาพแร้งบิน “Old turkey buzzard flying flying high. He”s just awaiting Buzzard”s just awaiting. Waiting for something down below to die Old buzzard knows that he com wait. “Cause every mother”s son has got a date A date with fate?with fate. He sees men come, he sees men go Crawling like ants on the rock bellows…” เพลงแร้งแก่ แต่ผมกลับนึกถึงข้าราชการเกษียณที่เขามักจะเรียกว่า “ชราวัย” ซึ่งผมค้านในใจว่านี่แหละคือแร้งแก่บินสูงด้วยพลังเพียบด้วยประสบการณ์รู้เห็นมาก เพลงเพิ่งจบลงมีข่าวที่จะพิจารณาอายุข้าราชการถึง 65 ปีอีกแล้ว พอดีมีผู้โดยสารเรียกรถ

ผมจอดรถกล่าวสวัสดีเชิญขึ้นรถหลังจากที่เขาบอกปลายทาง สังเกตบุคลิกน่าจะเป็นคนมีความรู้ ดูเป็นผู้ใหญ่แต่หนุ่มกว่าที่จะเรียกว่า “ชราวัย” ผมเปิดไมตรีด้วยเอ่ยถึงข่าวในวิทยุที่วิพากษ์กันเรื่องการต่ออายุข้าราชการถึง 65 ปี ฤดูกาลเกษียณกันยายนปีนี้คงจะวิ่งกันวุ่นเขาขยับตัวเหมือนตอบรับการทักทาย ผมแอบมองใบหน้าผ่านกระจกดูชัดๆ แล้วคิดว่าไม่ใช่รุ่นวัยเกษียณแน่นอน ดูหนุ่มกว่าที่เห็นครั้งแรกมากนัก เขาตอบรับไมตรีด้วยการบอกว่าจะไปร่วมงานเกษียณพวกพี่ๆ ที่เป็นรุ่นน้อง พร้อมกับหัวเราะรู้ว่าผมคงจะงง จึงอธิบายว่าเขาเป็นข้าราชการบำนาญเพราะลาออกก่อนพวกพี่ๆ ที่เกษียณตามอายุ 60 ปี ผมได้โอกาสจึงถามข้อสงสัยว่าถ้าอายุไม่ถึง 60 ปี หรือรับราชการไม่ครบ 25 ปี ทำไมถึงรับบำนาญได้ครับ ดูท่านยังหนุ่มเหมือนคนอายุ 50 ปี เขายิ้มกว้างชอบใจคำชมรีบตอบคำถาม

มีอุบัติเหตุทางแยกสัญญาณไฟแดงรถคงจะติดนาน เขาย้ำถามว่า “ดูเหมือนผมอายุน้อยจริงหรือครับ พอบอกใครว่าเป็นข้าราชการบำนาญไม่ค่อยมีใครเชื่อ ส่วนใหญ่คิดว่าต้องมีอายุถึง 60 หรือทำงานครบ 25 ปี แต่ความจริงแล้ว การได้รับบำเหน็จบำนาญไม่ต้องอย่างนั้นหรอก มีหลักเกณฑ์ตั้งหลายข้อที่นำมาประกอบขอรับบำนาญได้โดยไม่ต้องเกษียณอายุ สิทธิของข้าราชการในการขอรับบำเหน็จบำนาญปกติมีถึง 4 เหตุหลัก ผมเองเพิ่งสอบบรรจุเข้ารับราชการได้เมื่ออายุ 30 กว่าปี แล้วทำงานได้เพียง 15-16 ปี อายุตัวเพียง 50 ต้นๆ คิดจะขอลาออก มีผู้หวังดีติงว่าอย่าลาออกเลยได้รับบำเหน็จไม่กี่แสน หมดเงินแล้วจะกระเสือกกระสน อยู่ได้อย่างไร แก่ชราแล้วจะทำงานอะไรไม่ได้” เขาหัวเราะเครียดๆ

รถขยับตัวคล่องขึ้น เขาดูเวลาแล้วพูดติดตลกว่า “แก่แล้วขอพูดความหลังต่อหน่อย เรื่องขอรับบำนาญนี่เรื่องเยอะ ขนาดว่าเจ้าหน้าที่การเงินที่ทำงานก็ยังไม่รู้เลย บอกว่าผมไม่มีสิทธิขอรับบำนาญหรอกเพราะอายุราชการเพียง 16 ปี ต้องรับบำเหน็จอย่างเดียว พอดีมีคนรู้จักเป็นเจ้าพนักงานการเงินที่หน่วยงานอื่นนำเอกสารสิทธิข้าราชการที่มีระเบียบหลักเกณฑ์การออกจากราชการโดยได้รับบำนาญ ด้วยการพิจารณาตามหลักเกณฑ์ข้อใดข้อหนึ่งใน 4 ข้อ หรือ 4 เหตุที่ผมเข้าในเหตุนั้น ผมจึงนำไปให้เจ้าหน้าที่การเงิน “ตีความ” ว่าผมอยู่ในหลักเกณฑ์ด้วยใช่ไหม” เขาเน้นเสียงกึ่งประชด

ผมแอบมองกระจกหลังดูเหมือนสีหน้าเขาจริงจัง แต่ก็ถามต่อว่าแล้วท่านเข้าเกณฑ์ข้อไหนครับ เขาจึงเปิดเรื่องต่อว่า “ขออธิบายหน่อยนะ ผมเป็นข้าราชการพลเรือน สังกัดข้าราชการครู ผมท่องสิทธิข้าราชการที่จะได้รับบำเหน็จบำนาญปกติ โดยจ่ายให้ผู้ออกจากราชการด้วย 4 เหตุต่อไปนี้อย่างขึ้นใจ” เขาหัวเราะแล้วพูดต่อว่า

“ข้อ 1 เหตุทดแทน ให้แก่ข้าราชการซึ่งออกจากประจำการเพราะเลิกหรือยุบตำแหน่งงาน หรือมีคำสั่งให้ออกโดยไม่มีความผิด ข้อ 2 เหตุทุพพลภาพ ให้แก่ข้าราชการผู้ป่วยเจ็บทุพพลภาพซึ่งแพทย์ที่ทางราชการรับรองได้ตรวจและแสดงความเห็นว่าไม่สามารถรับราชการในตำแหน่งต่อไปได้ ข้อ 3 เหตุสูงอายุ ให้แก่ข้าราชการผู้มีอายุ 60 ปีบริบูรณ์ หรืออายุครบ 50 ปีบริบูรณ์แล้วประสงค์จะลาออก ข้อ 4 เหตุรับราชการนาน และมีเวลาครบ 25 ปีบริบูรณ์ หรือมากกว่าสำหรับคำนวณบำเหน็จบำนาญ คุณรู้ไหมว่าผมเข้าเกณฑ์พิจารณาข้อไหน”

ผมอ้อมแอ้มตอบ เดาว่า ข้อ 3 ครับ เขายิ้มแล้วพูดว่า “ถ้าไม่ดูระเบียบย่อยอีกข้อก็จะไม่เจอเกณฑ์ ข้อ 3 ถูกแล้ว แต่มีข้อย่อยว่าด้วยบำนาญจ่ายเป็นรายเดือน สิทธิที่จะได้รับบำนาญคือ ต้องมีเวลารับราชการตั้งแต่ 10 ปีบริบูรณ์ขึ้นไป ขอออกจากราชการโดยไม่มีความผิด และอีกข้อย่อยว่า ลาออกจากราชการเมื่ออายุครบ 50 ปีบริบูรณ์ ข้อนี้แหละครับที่ผมขีดเส้นใต้ไปยื่นเจ้าหน้าที่การเงินจึงได้รับการพิจารณา สรุปว่าเกณฑ์ที่ผมได้บำนาญคือรับราชการเกิน 10 ปี และอายุตัวเกิน 50 ปี ก็ได้บำนาญน้อยหน่อยแต่พออยู่ได้ เกณฑ์พิจารณาข้อนี้หลายคนมองข้าม จึงคิดว่าต้องทำงานครบ 25 ปีจึงได้บำนาญ”

เขาถอนหายใจแต่ยิ้มพูดว่า “ผมยึดหลักกินอยู่พอเพียง พออิ่มพออยู่กับสังคมได้ ก็วันนี้ต้องกระเสือกกระสนไปงานเลี้ยงเกษียณรุ่นพี่ที่เคยทำงานแต่เป็นรุ่นน้องที่ได้รับบำนาญ คุณคุยกับใครได้เลยนะ ทำงานครบ 10 ปี อายุครบ 50 ขอรับบำนาญได้ เผื่อจะได้พบกับเกษมกระสัน เอ๊ย ขอโทษ เกษมศานต์ ชีวิตอิสระ จอดให้คนแก่ลงหน่อย ขอบคุณ!”

เอกสาร : หลักเกณฑ์ สิทธิบำเหน็จบำนาญข้าราชการ กรมบัญชีกลาง

ทำบุญหรือให้ทาน จะบอกลูกหลาน…อย่างไร?

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือเส้นทางเศรษฐี

http://info.matichon.co.th/rich/rich.php?srctag=07088150858&srcday=2015-08-15&search=no

วันที่ 15 สิงหาคม พ.ศ. 2558 ปีที่ 21 ฉบับที่ 379

เก็บตกจาก “แท็กซี่ กูรู”

TAXI MASTER

ทำบุญหรือให้ทาน จะบอกลูกหลาน…อย่างไร?

ช่วงนี้มีข่าวสาระโฆษณาจากกรมการขนส่งทางบกออกอากาศผ่านสื่อต่างๆ มากมาย โดยเฉพาะข่าววิทยุเมื่อเปลี่ยนเวลาหรือเปลี่ยนรายการ จะมีข่าวสั้นประกาศเชิญชวนผู้ใช้บริการรถแท็กซี่ให้ร่วมประเมินคุณภาพรถแท็กซี่ ส่งตรงถึงกรมการขนส่งทางบกได้ทันที เพียงโหลด Application “DLT Check in” เพิ่มความปลอดภัยใส่ใจบริการ ด้วย 3 ขั้นตอน คือเริ่มต้นเปิดแอพพลิเคชั่นของกรมการขนส่งทางบก ขั้นต่อไปคือระบบแอพพลิเคชั่น โดยลงบันทึกเลขทะเบียนรถแท็กซี่หรือถ่ายรูปทะเบียนเพื่อบันทึกเป็นข้อมูลซึ่งจะมีแบบฟอร์มให้ลงทะเบียนรายละเอียดได้ สำหรับขั้นตอนสุดท้ายคือประเมินความพึงพอใจ และตอบผลการประเมินโดยทำเครื่องหมายในช่องที่ให้ดาวไว้ เช่น ความสุภาพ ความปลอดภัย อัตราค่าโดยสาร ความสะอาด สภาพรถ และความคิดเห็นอื่นๆ ที่จะเสนอแนะเพิ่มเติม นอกจากนั้นสามารถดาวน์โหลดแอพพลิเคชั่นได้โดยการสแกน QR Code หรือสอบถามผ่าน Call Center 1584 ก็ได้ ทุกอย่างไม่มีค่าใช้จ่าย มีผู้ให้คำจำกัดความ DLT Check in นี้ว่า “ตัวช่วยใหม่” จัดระเบียบรถแท็กซี่

ผมเคยเกริ่นเรื่อง DLT กับพรรคพวกในชมรมแท็กซี่ปฏิบัติดีเพื่อสังคมบ้างแล้ว แต่พวกเรามีบางคนไม่ได้ตื่นเต้นกับเรื่องนี้มากนักเพราะคิดว่าเราจะตั้งใจปฏิบัติดีถูกต้องตามกฎระเบียบกติกาแล้วไม่มีอะไรน่าวิตก หมายถึงเรื่องนี้ไม่น่าจะเดือดร้อนสำหรับพฤติกรรมในชมรมเรา แต่สำหรับพรรคพวกที่ขับรถแท็กซี่เก่าๆ เกือบหมดอายุกำลังกังวลกับคำโฆษณาของบริษัทแท็กซี่รุ่นใหม่ที่โชว์ตัวว่าเป็น “แท็กซี่ในฝัน” ของคนอีกกลุ่ม และออกข่าวผ่านสื่อโด่งดัง กลบข่าวการเปิดให้บริการของแท็กซี่ทันสมัยในโลกออนไลน์ตั้งแต่ปีที่แล้วที่เรารู้จักกันว่า “อูเบอร์แท็กซี่” แม้ว่าลักษณะการให้บริการรูปแบบที่เรียกว่าเป็นแท็กซี่แบรนด์ใหม่ทั้ง 2 แบบนี้จะคล้ายๆ กัน เพียงแต่ว่าครั้งนี้แท็กซี่แบรนด์ใหม่ในฝันได้รับการเปิดตัวโดยกรมการขนส่งทางบกร่วมเป็นแม่งานด้วยจึงถูกสื่อบางช่องพูดว่า แท็กซี่รุ่นเก่าเดิมๆ คงจะต้องร้อนๆ หนาวๆ เป็นแน่ ผมจึงต้องนำข่าวคราวเรื่องนี้มาเปิดประเด็นกับเพื่อนๆ ในชมรมพวกเราให้ตระหนักถึงการปฏิบัติตัวให้ดียิ่งขึ้น อย่าให้ผู้โดยสารคิดสมน้ำหน้าในใจ

พวกเราลองค้นหาเรื่องราวของแท็กซี่แบรนด์ใหม่ในฝัน ที่ใช้รถเก๋งรุ่นใหม่ Hybrid อ้างข้อดีมากมาย จนทุกคนลืมไปว่าต้องเพิ่มเงินอีก 20 บาท ทุกครั้งที่ใช้บริการ ซ้ำยังยืนยันว่าภายในเดือนกรกฎาคมได้ออกมาวิ่งบริการครบ 500 คัน พวกเรารู้ว่าจำนวนแท็กซี่รุ่นเดิมๆ ที่บริการอยู่มีจดทะเบียนไว้ไม่น้อยกว่าแสนคัน นั่นหมายถึงคนขับต้องมีแสนกว่าคน แม้ว่าจะหยุดกะหมุนเวียน หยุดซ่อม หรือหมดอายุไปบ้าง แต่ก็ใช้งานอยู่จริงๆ ไม่ต่ำกว่า 80,000 คัน พวกเรามองตากันอย่างไม่มีข้อโต้แย้งที่ทางกรมการขนส่งทางบกร่วมเปิดตัว บอกว่า รถแท็กซี่แบรนด์ใหม่ที่ออกมาอีก 500 คัน คงไม่เป็นอุปสรรคสำหรับแท็กซี่กลุ่มเดิม มีเพื่อนคนหนึ่งแซวว่า เราโต้แย้งไม่ออกเพราะน้ำท่วมปาก แต่อีกหลายคนในกลุ่มประชดว่า ทำอย่างไรได้ รถเก่าๆ อย่างพวกเรา ไม่ได้ติดตั้ง GPS Tracking ตรวจสอบตำแหน่งรถ ไม่มีติดตั้ง CCTV ทั้งภายนอกภายในรถ พวกเราไม่ได้แต่งฟอร์มเสริมบุคลิก เราไม่มีป้ายบอกเลขความเร็วหลังรถ เราไม่มีแอพให้ลูกค้าเรียกจองหรือเรียกบริการ พวกเราจึงต้องขับตระเวนบอกทุกๆ คนว่าพวกเรา “ว่าง” มีเพื่อนอีกคนพูดตลกเชิงน้อยใจว่า มีอยู่วันหนึ่งผู้โดยสารเรียกถามเขาว่า “พี่แท็กซี่จะไปทางไหนจ๊ะ ฉันจะติดรถไปลงทางผ่านนั้นด้วยจะได้ช่วยจ่ายค่าก๊าซ” คิดดูซิ เขากลัวว่าเราจะปฏิเสธผู้โดยสารจึงประชดประชันเรา

ทุกคนทราบข่าวรับสมัครพนักงานขับรถแท็กซี่แบรนด์ใหม่ในฝัน มีสมาชิกในชมรมเราคนหนึ่งรถหมดอายุตามระเบียบกรมการขนส่งทางบก รู้สึกเครียดกับวิถีชีวิตคงจะไปดื่มน้ำเปลี่ยนนิสัยช่วงไปสมัครงานเขาให้ลองขับรถ ปรากฏว่าในรถมีเครื่องตรวจวัดแอลกอฮอล์ จึงถูกปฏิเสธการรับเข้าทำงาน เนื่องจากบริษัทแท็กซี่นี้เขาจะจ่ายเงินเดือนประจำให้พนักงาน แต่ครอบครัวเขายังโชคดี ส่งภรรยาไปสมัครได้รับการพิจารณารับเข้าเพราะเขามี Lady Taxi เป็นพนักงานไว้เมื่อผู้โดยสารต้องการคนขับรถเป็นผู้หญิง ผมคิดในใจว่า เรามีคู่แข่งน่ากลัวแล้ว

ช่วงเข้าพรรษานี้ผมยังคง “ท่องไปในเส้นทางบุญ” กับผู้โดยสารที่ใช้บริการไปทำบุญตามวัดต่างๆ ทำให้รู้จักวัดหลายแห่งเพิ่มขึ้นจากที่เคยได้ยินเพียงชื่อ หลายสถานีวิทยุเปิดเพลงแนวพุทธศาสน์บ่อยๆ เช่น เพลงพระรัตนตรัย เพลงรางวัลชีวิต หรือเพลงเกี่ยวกับชะตาชีวิตบนดวงดาว ผมนึกถึงเพลงหนึ่งที่เคยได้ยินได้ฟังมามากกว่า 40 ปีแล้ว ชื่อเพลง Look for a Star โด่งดังมาตั้งแต่ ปี ค.ศ. 1960 คนขับร้องชื่อ Garry Miles ชอบเนื้อร้องทุกตอนแต่ประทับใจท่อนสุดท้ายที่ว่า “If you wish on your lucky star You”re sure to find someone to love A rich man, a poor man, a beggar. No matter whoever you are there”s a friend who”s waiting to guide you look for a star.” แล้วจึงย้อนไปถึงช่วงเด็กๆ ที่เคยได้ยินพี่ๆ ล้อเลียนแปลงบทกลอนว่า “เผย Window โผล่เห็น Moon ขึ้นขอบฟ้า ล้วน Stars ล้อมรอบขอบบุหลัน I not see your face มาหลายวัน เชิญจอมขวัญตอบ Letter อย่าเผลอเอย” ผมเผลอยิ้มคนเดียวลืมนึกถึงที่จะเข้าชมรมโชว์เนื้อเพลง พอดีมีผู้โดยสารโบกมือเรียกบอกให้ไปส่งที่วัด

ผู้โดยสารบอกว่าขอให้ย้อนเข้าในซอยเพื่อไปรับหลวงพ่อและขนปัจจัยไทยธรรม กลับวัดให้ทันก่อน 6 โมงเย็น เพื่อทำวัตรช่วงปฏิบัติศาสนกิจเข้าพรรษา พระท่านขึ้นนั่งเบาะหน้าคู่คนขับบอกว่าโยมบ้านนี้ถวายของเป็นทานมากมาย จึงให้ขนขึ้นไปนั่งเฝ้าเบาะหลัง ผมแปลกใจว่าโยมถวายของทำบุญปัจจัยไทยธรรม ทำไมพระคุณเจ้าจึงพูดว่าเป็นทาน ทำไมไม่เอ่ยคำว่า “ทำบุญ” ท่านมองหน้าผมคงจะเข้าใจว่าผมสงสัยที่ท่านพูด ท่านจึงพูดต่อว่า “ไม่ต้องงงหรอกโยมแท็กซี่ เมื่อตอนเพลก็เทศน์เรื่องการทำบุญทำทานให้เข้าใจแล้ว ถ้าโยมแท็กซี่จะอาราธนาก็จะเทศน์อีก” ผมยกมือสาธุนมัสการท่านบอกว่า “ขับดีๆ เถอะไม่อาราธนา อาตมาก็จะเทศน์”

ท่านเริ่มว่า “คนเรามักจะคิดว่าการทำบุญคือการถวายของแก่พระ ส่วนให้ทานคือการให้กับคนทั่วไป ชาวบ้าน หรือคนตกทุกข์ได้ยาก ซึ่งเป็นการเข้าใจที่เพี้ยนๆ กันมานานแล้ว ความจริงตามหลักพระศาสนา คำว่าทานนั้น มีความหมายกลางๆ จึงถูกแยกกันว่า ทำบุญกับให้ทาน จริงๆ แล้วการถวายของแก่พระที่เราเรียกว่าทำบุญนั้น ก็เรียกว่า “ทาน” เช่น ถวายแก่สงฆ์ ก็เรียก สังฆทาน ทำบุญทอดกฐินก็เรียกว่า กฐินทาน ทำบุญทอดผ้าป่าก็เป็น บังสุกุลจีวรทาน ถวายสิ่งก่อสร้างในวัดก็เรียก เสนาสนทาน หรือวิหารทาน เห็นมั้ยว่า เป็นการทำทานทั้งนั้น ทานนี้เป็นส่วนหนึ่งของการทำบุญ จนลืมกันว่าวิธีทำบุญยังมีอีกหลายวิธี การให้ทานกับใครก็เป็นบุญทั้งนั้น อย่าเข้าใจว่าได้บุญต้องถวายกับพระอย่างเดียว หรือจะรู้ว่าได้บุญมากบุญน้อยก็ได้นะ”

การจราจรไม่คล่องตัวนัก รถไปได้เรื่อยๆ โยมที่ถวายสังฆทานนั่งหลับเบาะหลัง พระคุณเจ้านิ่งเหมือนจะดูว่าผมสนใจฟังต่อหรือไม่ ผมหันมาปุจฉากับท่านว่า บุญมากน้อยวัดได้อย่างไรขอรับพระคุณเจ้า ท่านหันมามองผมอย่างสมณเจ้า แล้วพูดต่อว่า “ก็อยู่ที่ตัวผู้ให้ คือทายกทายิกา คือโยมๆ นั่นแหละมีเจตนาอย่างไร และผู้รับคือ ปฏิคาหก มีคุณความดีแค่ไหน และวัตถุทาน หรือของที่ให้หรือไทยธรรม มีความบริสุทธิ์มีความสมควรยังประโยชน์ได้เพียงใด ถ้าหากว่าปฏิคาหกคือผู้รับ เป็นผู้มีศีล มีคุณธรรมดี ก็จะเป็นบุญมาก แต่ถ้าเป็นคนไม่ดี เป็นโจรผู้ร้าย เราก็ได้บุญน้อย เพราะเขาอาจจะนำไปใช้ในสิ่งที่ไม่ดีไม่ควรได้ สำหรับวัตถุสิ่งของที่ถวายหรือให้เป็นทาน ถ้าได้มาโดยบริสุทธิ์เป็นประโยชน์ มีคุณค่าเหมาะแก่ผู้รับก็จะเป็นบุญมาก แล้วส่วนตัวผู้ให้ทานก็ต้องมีเจตนาที่เป็นบุญกุศล ตั้งใจดี และถ้าเจตนานั้นประกอบด้วยปัญญาก็ยิ่งได้บุญมากเช่นกัน ดังนั้น การให้ทาน จึงได้บุญ ไม่ใช่เฉพาะถวายพระ และคำว่าบุญ ไม่ใช่แค่ให้ทาน”

ก่อนจะถึงซอยเข้าวัด ท่านย้ำว่า ไทยธรรมแปลว่าสิ่งที่จะพึงให้หรือของที่ควรให้ แล้วบอกว่า การทำบุญเรียกว่า “บุญกิริยาวัตถุ” ซึ่งมี 3 อย่างคือ ทาน การให้เผื่อแผ่แบ่งปัน ศีล การประพฤติสุจริต ไม่เบียดเบียนใคร และ ภาวนา คือ ฝึกอบรมพัฒนาจิตใจ เจริญปัญญาทั้งทานศีลภาวนาก็เป็นบุญอย่างหนึ่ง และสูงขึ้นตามลำดับด้วย ศีลเป็นบุญสูงกว่าทานภาวนาเป็นบุญสูงกว่าศีล แต่เราสามารถทำพร้อมกันทั้ง 3 อย่าง จึงเรียกว่า “ทำบุญ” ที่แท้จริง

รถเข้าประตูวัดท่านหันไปปลุกโยมที่มาด้วยกัน แต่ยังพูดต่ออีกว่า “โยมทำบุญแล้วพระก็อนุโมทนาคือ แสดงความพลอยยินดีด้วยกับโยมที่ได้ทำบุญเพราะทำดีงาม ทำถูกต้อง พระจะบอกว่าบุญที่ทำนี้เกิดผลเกิดอานิสงส์ ผลดีจากทานศีลภาวนาอย่างไร ทำบุญทำที่ไหนก็ได้ ทำอะไรถ้าทำเป็นก็ได้บุญ ถวายทานที่วัดแล้วก็ให้ได้ศีลภาวนาครบบุญพร้อม อย่าลืมนะ ทางที่จะให้ทานมีเยอะ เรื่องบุญก็มีมากมาย ทำด้วยปัญญา ก็จะได้ “คุณภาพชีวิต” อยู่ในบุญนั้นด้วย โยมแท็กซี่ช่วยขนของขึ้นกุฏิก็ถือว่าทำทานรับบุญไปด้วยนะ เจริญพร”

สรุปความจาก หัวข้อ “ก้าวไปในบุญ” จากหนังสือ คู่มือชีวิต พระพรหมคุณาภรณ์ (ป.อ.ปยุตฺโต)