เขาใหญ่ พาโนราม่า ฟาร์ม ปั้น “มัชรูมแลนด์” โฮมสเตย์เพื่อสุขภาพ

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือเส้นทางเศรษฐี

http://info.matichon.co.th/rich/rich.php?srctag=07079010359&srcday=2016-03-01&search=no

วันที่ 01 มีนาคม พ.ศ. 2559 ปีที่ 22 ฉบับที่ 392

เที่ยวไปตามแผนที่

ภาวิณีย์ เจริญยิ่ง srangbun@hotmail.com

เขาใหญ่ พาโนราม่า ฟาร์ม ปั้น “มัชรูมแลนด์” โฮมสเตย์เพื่อสุขภาพ

ในบรรดาแหล่งท่องเที่ยวยอดฮิตโซนวังน้ำเขียว-ปากช่อง-เขาใหญ่ มีชื่อของ “เขาใหญ่ พาโนราม่า ฟาร์ม” อยู่ในนั้นด้วย ซึ่งใครได้ไปเยือนแหล่งท่องเที่ยวเชิงเกษตรแห่งนี้แล้วต่างติดใจกันเป็นแถว เพราะนอกจากจะอิ่มท้องกับเมนูสารพัดเห็ดแล้ว ยังได้ตื่นตาตื่นใจกับเห็ดหลากหลายชนิด ทั้งได้ข้อมูลความรู้เกี่ยวกับเห็ดเพียบ สุดท้ายได้ซื้อไปฝากพรรคพวกเพื่อนฝูง

“คุณปรเมศวร์ สิทธิวงศ์” กรรมการผู้จัดการ กลุ่มบริษัท เขาใหญ่ พาโนราม่า ฟาร์ม จำกัด แจกแจงว่า เปิดฟาร์มเห็ดเชิงท่องเที่ยว เมื่อปี 2554 ตั้งอยู่ที่ ถนนธนะรัชต์ (เขาใหญ่) อำเภอปากช่อง จังหวัดนครราชสีมา ก่อนขยายธุรกิจ เฟส 2 ในนามเขาใหญ่ พาโนราม่า รีสอร์ต เมื่อปี 2557 ภายใต้รูปแบบรีสอร์ตทรงเห็ดแห่งแรกในเมืองไทย และมีจุดเด่นที่สระว่ายน้ำแบบออนเซ็นน้ำอุ่นในหินอ่อนธรรมชาติ ซึ่งเป็นที่เดียวในประเทศ มีทั้งหมด 16 ห้อง ราคาห้องมีตั้งแต่ 3,000-6,800 บาท ขึ้นอยู่กับขนาดห้องและจำนวนผู้พัก มีห้องพัก 2 คนจนถึงห้องขนาดครอบครัว กลุ่มลูกค้าเป็นระดับพรีเมี่ยม

เมนูสารพัดเห็ด

สำหรับการทำเห็ดแปรรูปนั้น คุณปรเมศวร์ ย้อนเล่าความเป็นมาว่า ตอนแรกทำเห็ดสด ปรากฏว่าขายไม่ได้ เพราะคนยังไม่รู้จัก ทำให้เห็ดเหลือจึงคิดแปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์ เพื่อไม่ให้เกิดการสูญเสีย การแปรรูปเห็ดที่ดีที่สุด ต้องรู้ว่าจะต้องขายใคร หลักการคือ ต้องมีตลาดก่อน เรื่องเพาะเห็ดไม่ใช่เรื่องยาก แต่เรื่องตลาดยากที่สุด ช่วงแรกๆ ทำเมนูเห็ดทอด ชื่อเฟรนช์ฟรายด์เห็ด เด็กๆ หลายคนชอบ ทำให้ผู้ปกครองดีใจมีความสุขเพราะก่อนหน้านี้เด็กๆ จะไม่รับประทานเนื่องจากมีกลิ่น

“เราแบ่งเป็น 2 อย่าง ด้านยาพระเอกคือ เห็ดหลินจือ ถ้าพระเอกด้านทำอาหารคือ เห็ดโคนญี่ปุ่น เห็ดยานางิ ซึ่งในเมนูที่ใช้เห็ดโคนญี่ปุ่น มีไอศกรีมเห็ด คุกกี้เห็ด หรือชาโป๊ยเซียนก็จะมีเห็ดโคนญี่ปุ่นด้วย รวมทั้งแกงเขียวหวาน แกงป่า ลูกชิ้นเห็ด ไส้อั่วเห็ด ถั่วลิสงอบกรอบเคลือบเห็ด แหนมเห็ด เราก็เอาเห็ดโคนญี่ปุ่นมาทำ ซึ่งเป็นการสร้างความแตกต่าง ในเมืองไทยแหนมเห็ดที่เห็นมีขายทั่วไปส่วนใหญ่จะใช้เห็ดนางฟ้า แต่ที่นี่ใช้เห็ดโคนญี่ปุ่น แล้วใช้ข้าวกล้องในการหมักให้เห็ดเป็นแหนม ที่อื่นใช้เป็นข้าวธรรมดา เราเป็นฟาร์มเพื่อสุขภาพ จึงเน้นทุกอย่างเพื่อสุขภาพ”

นอกจากนี้ บริษัทยังได้รับการสนับสนุนทุนวิจัยผลิตภัณฑ์จาก สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) เพื่อพัฒนาผลิตภัณฑ์แปรรูปจากเห็ด เริ่มต้นจากน้ำเห็ด 7 ชนิด ภายใต้แบรนด์ มัชชี่ มัชชี่ (Mushie Mushie) วางจำหน่ายผ่านเดอะมอลล์ และฟู้ดแลนด์ทุกสาขา

ใครที่เคยทานน้ำเห็ด 7 ชนิดของแบรนด์ดังกล่าว ไม่ว่าจะเป็นเด็กหรือผู้ใหญ่ต่างชื่นชอบเพราะไม่มีกลิ่นเห็ดแต่อย่างใด เป็นสินค้าที่ขายดีมาก แต่ที่ทำเงินให้กับบริษัทอันดับต้นๆ คือ เห็ดหลินจืออบแห้งและสปอร์เห็ดหลินจือ

คุณปรเมศวร์ บอกว่า ปีที่แล้วทางบริษัทได้ขยายร้านค้าให้กว้างขวางขึ้น และยังได้นำสินค้าโอท็อปและสินค้าในละแวกใกล้เคียงมาจำหน่ายด้วย พร้อมกันนั้นได้ร่วมมือกับ บริษัท ไปรษณีย์ไทย จำกัด ในการเป็นตัวแทนจำหน่าย ชาสมุนไพรเห็ดหลินจืออบแห้ง ตรา เขาใหญ่ พาโนราม่า ฟาร์ม แต่เพียงผู้เดียว เพื่อจำหน่ายที่ ที่ทำการไปรษณีย์กว่า 1,000 สาขาทั่วประเทศ ปรากฏว่ายอดขายเติบโตดีมาก และได้นำกาแฟผสมเห็ดหลินจือมาขายด้วย รวมถึงการขายในร้านสะดวกซื้ออย่างเซเว่นอีเลฟเว่น

ปลื้มยอดขายผ่านไปรษณีย์

สำหรับการขายในที่ทำการไปรษณีย์ เมื่อปี 2557 นั้น เดือนแรกยอดขาย 60,000 กว่าบาท หลังจากนั้นบางเดือนขายได้ 2 ล้านกว่าบาท ซึ่งลูกค้าส่วนใหญ่เป็นชาวบ้านและคนทั่วไปที่เป็นโรคเบาหวาน ความดัน ภูมิแพ้ หัวใจ และมะเร็ง โดยชาสมุนไพรเห็ดหลินจืออบแห้ง ขนาด 100 กรัม ขายแพ็กละ 390 บาท

เขาให้เหตุผลการให้ไปรษณีย์เป็นตัวแทนจำหน่ายว่า เป็นการสร้างความสะดวกให้กับผู้ซื้อ เพราะไปรษณีย์มีศูนย์ 1,200 สาขาทั่วประเทศ และยังมีผู้นำจ่ายหรือบุรุษไปรษณีย์ทั้งหมดเกือบ 1,000 คน ที่สามารถกระจายข้อมูลให้ได้

“สินค้าเห็ดหลินจือเป็นสินค้าที่ทำตลาดยากหน่อย คือถ้าไม่มีคนช่วยขายหรือช่วยบรรยายสรรพคุณจะขายไม่ได้ เราต้องทยอยให้ความรู้ทั้ง 77 จังหวัดทั่วประเทศ เช่น ไปที่ประชุมเขต ผู้จัดการเขตก็เชิญหัวหน้าไปรษณีย์แต่ละอำเภอมานั่งฟังบรรยาย แล้วคนเหล่านี้จะกลับไปบรรยายให้กับผู้ขายหรือคนที่ประจำบู๊ธขายของในไปรษณีย์รับทราบอีกต่อหนึ่ง”

คุณปรเมศวร์ ระบุว่า ทางบริษัทวางแผนไว้ว่าจะเพิ่มยอดขายของฟาร์มทั้งหมดภายในปี 2560 ให้ได้ 1,000 ล้านบาท จากปี 2557 มียอดขายแค่ 20 กว่าล้านบาท ปี 2558 ตั้งเป้าไว้ 180 ล้านบาท ส่วนปี 2559 ตั้งเป้ายอดขายอยู่ที่ 500 ล้านบาท ซึ่งที่ผ่านมาอัตราการเติบโตของยอดขาย เพิ่มขึ้นเท่าตัวโดยตลอด

“อีกไม่นานจะเปิดเฟส 3 ในรูปแบบมัชรูมแลนด์ เป็นแหล่งให้บริการสำหรับผู้ที่ต้องการรักษาสุขภาพของตัวเองแบบครบวงจร สำหรับแผนธุรกิจปี 2559-2560 จะเน้นเรื่องการพัฒนาให้เป็นแหล่งท่องเที่ยวเชิงเกษตรและสุขภาพของประเทศ เน้นการให้ความรู้ในเชิงการเพาะเลี้ยงเห็ดหลินจือ รวมทั้งสรรพคุณที่มหัศจรรย์ของเห็ดหลินจือ โดยนักท่องเที่ยวสามารถสัมผัสโรงเรือนเพาะเห็ดหลินจือระบบปิดอย่างใกล้ชิด”

คุณปรเมศวร์ แจกแจงรายละเอียดของเฟส 3 ว่า คาดว่ากลางปีนี้น่าจะสร้างได้ ใช้งบประมาณ 200 ล้านบาท เป็นโครงการใหญ่ โดยจะทำเป็นโรงเรือน โรงเห็ด ให้คนมาพักได้ เป็นโฮมสเตย์เพื่อสุขภาพ ซึ่งจะมีแพทย์แผนปัจจุบันมาตรวจวินิจฉัยว่าเป็นโรคอะไรมาบ้าง เช่น เบาหวาน ความดัน ภูมิแพ้ หัวใจ พอมาอยู่กับที่นี่ก็ไปหาอาหารที่เป็นเมนูเห็ดต่างๆ มารักษาตัวเอง เป็นการสอนให้ผู้มาพักรู้จักรักษาตัวเอง จะมีโรงปรุงยาด้วย พร้อมกันนั้นจะนำสมุนไพรที่ได้รับการยอมรับของแพทย์แผนไทย ที่มีอยู่เกือบ 200 ชนิดมาคัดแล้วนำมาปลูกอยู่ในบริเวณนี้ จุดมุ่งหมายคือเพื่อฟื้นฟูร่างกาย ทำให้ร่างกายดีขึ้น

วางแผนตั้งโรงงานที่เวียดนาม

กรรมการผู้จัดการ กลุ่มบริษัท เขาใหญ่ พาโนราม่า ฟาร์ม จำกัด กล่าวอีกว่า บริษัทยังตั้งเป้าการนำผลิตภัณฑ์แปรรูปเห็ดของไทยเข้าสู่ตลาดโลก ภายใต้แนวคิดสินค้าที่ผลิตจากฟาร์มเห็ดที่เขาใหญ่ แหล่งโอโซนที่ดีที่สุดในประเทศไทย ล่าสุด บริษัทได้รับการคัดเลือกให้เข้าร่วมโครงการพัฒนาสถานประกอบการเป้าหมายเพื่อเข้าสู่ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน หรือ เออีซี และเมื่อปีที่แล้วได้ไปแมชชิ่งธุรกิจที่นครโฮจิมินห์ ประเทศเวียดนาม ปรากฏว่านักธุรกิจที่นั่นสนใจจะนำเข้าสินค้าของบริษัท และหากไปได้ดีอาจมีการตั้งโรงงานแปรรูปเห็ดที่นั่น และที่ผ่านมาได้ติดต่อเจรจากับคู่ค้าทางสิงคโปร์ มาเลเซีย ฮ่องกง รวมทั้งเวียดนามและอินโดนีเซีย

แผนอีกอย่างของเขาใหญ่ พาโนราม่า ฟาร์ม คือจับมือกับไปรษณีย์ไทย ทำเคาน์เตอร์ไปรษณีย์ไทยเป็นรูปเห็ดตั้งอยู่หน้าฟาร์ม เป็นที่เดียวในประเทศ มีเจ้าหน้าที่ของไปรษณีย์ไทยมาประจำ คนที่มาเที่ยวซื้อเสร็จแล้วไม่อยากจะขนกลับ สามารถเขียนชื่อที่อยู่ ฝากส่งที่นี่ได้เลย

นอกจากนี้ ที่ผ่านมาได้จัดโครงการ “ผู้ประกอบการเพาะเห็ดหลินจือเชิงพาณิชย์” ในรูปแบบฟาร์มประกัน หรือ Contract Farming โดยมีผู้จบไปแล้ว 4 รุ่น และพัฒนาเป็นผู้ประกอบการเพาะเห็ดหลินจือในรูปแบบฟาร์มพันธมิตรจำนวน 44 รายทั่วประเทศ

จะเห็นได้ว่าเพียงไม่กี่ปีแหล่งท่องเที่ยวเชิงเกษตรแห่งนี้ก็ได้รับความนิยมจากนักเดินทาง เรียกว่าเป็นโมเดลที่ประสบความสำเร็จในระยะเวลาอันสั้น เจ้าตัวเลยบอกว่า ผู้ประกอบการรายใดที่สนใจจะทำธุรกิจแบบนี้สามารถมาเป็นแฟรนไชส์ได้ เพราะทางบริษัทมีโครงการจะเปิดฟาร์มเห็ดในสถานที่ที่มีชาวต่างชาติเที่ยว เช่น เชียงใหม่ โดยอาจจะเป็น เชียงใหม่ พาโนราม่า ฟาร์ม หรือที่ภูเก็ตเป็น ภูเก็ต พาโนราม่า ฟาร์ม เพราะที่เขาใหญ่เป็นแหล่งท่องเที่ยววีกเอนด์ ซึ่งนักท่องเที่ยวไม่ค่อยเยอะเท่าไร เนื่องจากไม่มีชาวต่างชาติ แต่ถ้ามีชาวต่างชาติจะมีนักท่องเที่ยวตลอดทั้งในวันธรรมดาและวันหยุด

กรณีคนที่จะมาร่วมทุน ถ้าไม่ทำรีสอร์ต ทำเฉพาะฟาร์มอย่างเดียว คาดว่าจะต้องใช้เงินทุนเริ่มต้นประมาณ 10 ล้านบาท ทำอาคารในลักษณะแบบเดียวกันนี้ ซึ่งถ้าเป็นรูปแบบ Big Day Tour จะยิ่งดีมาก เพราะมีผลิตภัณฑ์ขายด้วย เพื่อให้คนที่มาเที่ยวได้รับประทานเมนูเพื่อสุขภาพ รวมถึงการอดอาหาร ซึ่งถือเป็นการดีท็อกซ์ร่างกายอย่างหนึ่ง

ในฐานะนักธุรกิจหน้าใหม่ที่ประสบความสำเร็จ เขาพูดถึงความตั้งใจในการทำฟาร์มเห็ดว่า ที่นี่โฟกัสที่เห็ดเป็นหลัก และแม้ประสบความสำเร็จในลักษณะที่มีคนรู้จักธุรกิจฟาร์มเพาะเห็ดในระดับหนึ่ง แต่ก็ยังไม่รู้จักทั่วประเทศ สิ่งที่ได้คือ ให้คนมาสนใจเห็ดหลินจือ สนใจเมนูเพื่อสุขภาพ มีหลายคนพยายามทำคล้ายๆ กับฟาร์มแห่งนี้

“ผมเป็นคนแรกที่เอาเห็ดหลินจือเป็นดอกมาแพ็กขาย ตอนนี้ก็มีคนอื่นมาทำตามกันแล้ว ผมคิดว่า เราทำให้คนกินเห็ดให้มากที่สุด เป็นการช่วยให้คนมีสุขภาพดีขึ้นด้วย”

จากนี้คงต้องติดตามกันว่าโฮมสเตย์เพื่อสุขภาพจะถูกอกถูกใจและตอบโจทย์ลูกค้าได้มากน้อยแค่ไหน

ครั้งหนึ่งที่ “บึงกาฬ”

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือเส้นทางเศรษฐี

http://info.matichon.co.th/rich/rich.php?srctag=07075151058&srcday=2015-10-15&search=no

วันที่ 15 ตุลาคม พ.ศ. 2558 ปีที่ 21 ฉบับที่ 383

เที่ยวไปตามแผนที่

ภควิตา อัจจาธร srangbun@hotmail.com

ครั้งหนึ่งที่ “บึงกาฬ”

พูดถึง “บึงกาฬ” จังหวัดน้องใหม่ของประเทศไทย เชื่อว่ายังมีผู้คนจำนวนมากที่ยังไม่มีโอกาสได้ไปเยือนจังหวัดลำดับที่ 77 แห่งนี้ ซึ่งมีอะไรโดดเด่นหลายอย่าง ไม่ว่าจะเป็นแหล่งท่องเที่ยวทางธรรมชาติ ทั้งภูเขา น้ำตก ฯลฯ รวมทั้งยังเป็นแหล่งศิลปวัฒนธรรม และแหล่งปลูกยางพาราในอันดับต้นๆ ของเมืองไทย ดังคำขวัญของจังหวัดที่ว่า

“ภูทอกแหล่งพระธรรม ค่าล้ำยางพารา

งามตาแก่งอาฮง บึงโขงหลงเพลินใจ

น้ำตกใสเจ็ดสี ประเพณีแข่งเรือ

เหนือสุดแดนอีสาน นมัสการองค์พระใหญ่

ศูนย์รวมใจศาลสองนาง”

“ภูทอก” ต้องไปให้ได้

วันก่อนมีโอกาสไปงาน การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) ร่วมกับ จังหวัดบึงกาฬ จัดกิจกรรมปั่นจักรยานเพื่อการท่องเที่ยว ภายใต้โครงการ “TOUR OF I-SAN : BUENGKAN CLASSIC อัศจรรย์ธรรมชาติที่ท้าทาย” งานนี้ คุณสมฤดี จิตรจง ผู้อำนวยการภูมิภาค ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ททท. เจ้าภาพหลัก บอกประสบความสำเร็จเกินเป้าหมายที่ตั้งไว้ เพราะมีนักปั่นจากทั่วประเทศทั้งในกรุงเทพฯ ภาคกลาง และในภาคอีสาน มาร่วมประมาณ 300 คน

ทั้งนี้ ให้นักปั่นเลือกใน 2 เส้นทาง ใครชอบทางเรียบถนนดีก็ไปเส้นแรก เส้นทางเรียบพิชิตภูทอก ระยะทาง 100 กิโลเมตร เริ่มต้นจาก ศาลากลางจังหวัดบึงกาฬ –> สาย 212 –> แยกชัยพร เลี้ยวขวา –> ผ่านภูทอก –> ศรีวิไล –> วนกลับเข้าเส้น 212 –> แล้วย้อนกลับมาที่ศาลากลางจังหวัดบึงกาฬ (เส้นชัย)

ส่วนใครชอบโลดโผน ก็ไปเส้นทางวิบากพิชิตภูสิงห์ ระยะทาง 50 กิโลเมตร สตาร์ตจากศาลากลางจังหวัดบึงกาฬเช่นกัน เข้าทางสาย 212 –> แยกโคกก่อง เลี้ยวขวา –> เลี้ยวซ้าย –> ที่ทำการภูสิงห์ –> ขึ้นภูสิงห์ –> กำแพงหิน/ถ้ำฤๅษี/หินหัวช้าง/หินสามวาฬ/หินรถไฟ –> ที่ทำการภูสิงห์ –> กลับเส้นทางเดิม –> ศาลากลางจังหวัดบึงกาฬ (เส้นชัย)

ว่าไปแล้วยุคนี้กระแสขี่จักรยานมาแรง หน่วยงานทั้งภาครัฐและเอกชนต่างจัดกันเป็นว่าเล่น แต่สำหรับ ททท. แล้วไม่ใช่แค่อินเทรนด์เท่านั้น เพราะมองว่าจะได้อะไรอีกเยอะแยะจากงานนี้ อย่างที่คุณสมฤดี แจงว่า เป็นแนวคิดในการเพิ่มประสบการณ์นักท่องเที่ยวยุคใหม่โดยใช้จักรยานเดินทางท่องเที่ยวในพื้นที่ภาคอีสาน ซึ่งเปรียบเสมือนทูตวัฒนธรรมอันจะเป็นเครือข่ายที่สำคัญในการเผยแพร่ประชาสัมพันธ์แหล่งท่องเที่ยวที่มีความหลากหลายและสวยงามของภาคอีสาน ผ่านทางโซเชียลมีเดีย และเชิญชวนให้นักท่องเที่ยวเข้ามาสัมผัสเอกลักษณ์ วิถีชีวิต ประเพณี ความมีมิตรไมตรี และเกิดการแลกเปลี่ยนวัฒนธรรมการมีส่วนร่วมกับชุมชนในพื้นที่ภาคอีสาน ด้วยการเปิดโอกาสให้ชุมชนท้องถิ่นได้มีส่วนร่วมหรือต้อนรับคณะนักท่องเที่ยว

สำหรับเส้นทางเรียบพิชิตภูทอก เป้าหมายปลายทางคือ “วัดเจติยาคีรีวิหาร” หรือ “วัดภูทอก” ซึ่งตั้งอยู่ที่บ้านคำแคนพัฒนา หมู่ที่ 6 ตำบลนาแสง อำเภอศรีวิไล ถือเป็นแหล่งท่องเที่ยวสำคัญอันดับต้นๆ ของบึงกาฬ ประเภทครั้งหนึ่งในชีวิตของชาวบึงกาฬต้องขึ้นมาไหว้พระที่นี่สักครั้ง และในส่วนนักท่องเที่ยวมาบึงกาฬแล้วไม่ได้ขึ้นภูทอก บอกได้เลยว่ายังมาไม่ถึง

คำว่าภูทอก ในภาษาอีสาน แปลว่า “ภูเขาที่โดดเดี่ยว” ภูทอก ประกอบด้วยภูทอกใหญ่และภูทอกน้อย ปัจจุบันภูทอกใหญ่เป็นป่ารกทึบไม่ได้เปิดให้นักท่องเที่ยวขึ้นไป ส่วนภูทอกน้อยเป็นที่ตั้งของ “วัดภูทอก”

อันที่จริงภูทอกน้อย มีความสูง 460 เมตรเท่านั้น โดยมีบันไดเรียงขึ้นตามชั้นต่างๆ 7 ชั้น เป็นวัดที่มีประวัติความเป็นมาน่าสนใจทีเดียว เพราะเป็นวัดป่าสายกรรมฐาน ที่ “พระอาจารย์จวน กุลเชฎโฐ” ลูกศิษย์ของพระอาจารย์มั่น ภูริทัตโต มาสร้างไว้ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2483 เนื่องจากท่านเกิดนิมิตเห็นปราสาทสวยงาม 2 หลัง อยู่ทางด้านภูทอกน้อย และเมื่อเข้ามาก็ได้พบว่าเป็นป่าที่เงียบสงัดและร่มรื่นดี เหมาะกับการปฏิบัติธรรม จึงได้ปักกลดอยู่ในถ้ำบนภูทอกแห่งนี้

ต่อมาชาวบ้านแถวนั้นอาราธนาขอให้ท่านสร้างวัด กระทั่งปี 2512 ชาวบ้านช่วยกันสร้างบันไดขึ้นภูทอก จนถึงชั้นที่ 5-6 และปลูกสร้างเสนาสนะสำหรับพระสงฆ์ พอปี 2519 จัดทำทำนบกั้นน้ำในเขตวัดและจัดทำถังน้ำบนภูเขาในชั้นที่ 5 และกุฏิพระภิกษุ สามเณร กุฏิแม่ชี บนชะง่อนเขาในชั้นที่ 5

เมื่อขึ้นไปบนชั้นสูงๆ มองไปยังพื้นล่างจะเห็นวิวข้างหน้าที่เต็มไปด้วยสวนยางพาราสุดลูกหูลูกตา ส่วนที่ใกล้มาหน่อยก็เป็น “เจดีย์พิพิธภัณฑ์อัฐบริขาร พระอาจารย์จวน กุลเชฎโฐ” ที่สวยงาม เป็นเจดีย์แปดเหลี่ยม สีน้ำตาลแดง ยอดสีทอง ตั้งสูงเด่น มีสระน้ำใหญ่ที่ทำให้เจดีย์แห่งนี้งามสง่า เมื่อดูจากมุมสูงเป็นวิวที่ตื่นตาตื่นใจทีเดียว

เมื่อมาถึงชั้น 5 ไฮไลต์คือ ถ้ำพระวิหาร ที่มีการก่อสร้างเป็นศาลา มีพระพุทธรูปประดิษฐาน ที่สำคัญ มีรูปเคารพพระอาจารย์จวน กุลเชฎโฐ พร้อมทั้งมีการจัดแสดงโครงกระดูกมนุษย์ใส่ตู้โชว์ไว้ และมีป้ายเขียนให้คิด ข้อความว่า “…นานไปกลายเป็นฝุ่น สูญสิ้นเป็นดิน โลกนี้อนิจจัง ไม่เที่ยงเป็นทุกข์ เป็นอนัตตา สัพเพ สังขารา ทุกขา, สัพเพ สังขารา อนัตตา คนเราเป็นอย่างนี้…”

อ่านแล้วได้ปลงและเห็นสัจธรรมชีวิตมนุษย์ที่จะต้องเวียนว่ายตายเกิดอยู่ในโลกนี้

ตะลึงความงามน้ำตกถ้ำพระ

เมื่อขึ้นภูทอกแล้ว ถ้ามาบึงกาฬในหน้าฝน สถานที่ท่องเที่ยวที่ไม่ควรพลาดเลยคือ น้ำตก โดยเฉพาะน้ำตกเลื่องชื่ออย่าง น้ำตกเจ็ดสี น้ำตกถ้ำพระ น้ำตกถ้ำฝุ่น และน้ำตกชะแนน ซึ่งน้ำตกหินทรายเหล่านี้ส่วนใหญ่อยู่ที่เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าภูวัว อันเป็นป่าผืนใหญ่ที่สำคัญในบึงกาฬ มีเนื้อที่ 116,562 ไร่ หรือ ประมาณ 186.5 ตารางกิโลเมตร ครอบคลุมในหลายอำเภอ

หากใครที่รู้จักภูมิประเทศในอีสาน ย่อมรู้ดีว่าจะต้องมาเที่ยวน้ำตกในหน้าฝนเท่านั้น ประมาณเดือนสิงหาคม-ตุลาคม ซึ่งเป็นช่วงที่สามารถเล่นน้ำได้อย่างสนุกสนานเลยทีเดียว แต่ก็มีบางแห่งที่อาจจะไม่สามารถเข้าถึงตัวน้ำตกได้เพราะกระแสน้ำแรง เนื่องจากบางช่วงต้องข้ามลำน้ำ อย่างน้ำตกเจ็ดสี ปรากฏว่าคณะนักข่าวไม่สามารถเข้าไปได้ เพราะก่อนหน้านี้ฝนตกหนักทั้งวันทั้งคืน กระแสน้ำป่าไหลแรงข้ามไปไม่ได้

คณะสื่อจากส่วนกลางจึงต้องเบนเข็มไปที่น้ำตกถ้ำพระ ตัวน้ำตกตั้งอยู่ที่บ้านถ้ำพระ ตำบลโสกก่าม อำเภอเซกา ซึ่งแม้อยู่ในเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าภูวัว แต่ อบต. เป็นผู้ดูแลและจัดการด้านการท่องเที่ยว การไปเที่ยวน้ำตกแห่งนี้ต้องนั่งเรือเข้าไป ใช้เวลาสัก 10 นาที ค่าเรือคนละ 20 บาท รวมทั้งไปและกลับ จากนั้นต้องเดินเข้าไปอีกประมาณ 500 เมตร เรียกว่ายังไม่ทันได้เหนื่อยก็ถึงตัวน้ำตกแล้ว

ตัวน้ำตกชั้นแรกเป็นแอ่งกระทะใหญ่ มีเด็กและผู้ใหญ่เล่นน้ำกันอย่างสนุกสนาน บางพวกก็เล่นสไลเดอร์กันอย่างสนุกสนาน ทำให้คนดูมีอารมณ์ร่วมไปด้วย ขยับขึ้นไปอีกนิดเป็นช่วงกลาง ซึ่งมีการกั้นน้ำเป็นลักษณะฝาย (เดิมไม่มี) จุดนี้ก็มีคนเล่นน้ำเยอะเหมือนกัน ดูแล้วไม่ลึกอะไรเพราะเด็กๆ ก็เล่นกัน จุดนี้มองไปข้างหน้าตรงริมเพิงผาจะเห็นพระพุทธรูป 2 องค์ ซึ่งนักท่องเที่ยวต่างไปกราบไหว้กัน

ส่วนที่เป็นไฮไลต์ของน้ำตกถ้ำพระอยู่ที่ชั้น 3 อันเป็นชั้นบนสุด ต้องเดินขึ้นบันไดสูงหลายขั้นอยู่เหมือนกัน ท่ามกลางแดดร้อนเปรี้ยง ส่วนหนึ่งคงเป็นไอร้อนจากลานก้อนหินใหญ่ที่มีอยู่ทั่วไป

ความแรงและความสวยงามของสายน้ำที่รวมตัวกันจากผาหินสูงลงสู่เบื้องล่าง เป็นภาพที่งดงามตระการตายิ่งนัก เมื่อส่งภาพจากมือถือไปให้พรรคพวก ล้วนพูดตรงกันว่าช่างงามเหลือเกิน ไม่คิดว่าอีสานจะมีน้ำตกสวยๆ แบบนี้

น้ำตกอีกแห่งที่ได้ไปกันคือ น้ำตกถ้ำฝุ่น อยู่ที่บ้านภูสวาท ตำบลหนองเดิ่น อำเภอบุ่งคล้า อันเป็นส่วนหนึ่งของเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าภูวัว การเข้าไปที่น้ำตกแห่งนี้ไม่ไกลเลย ยังไม่ทันเหนื่อยก็ถึงแล้ว แค่ 200-300 เมตรเอง

จุดเด่นของน้ำตกถ้ำฝุ่นคือ มีน้ำตกถึง 4 สายแยกจากกัน บางสายเป็นแอ่งน้ำใหญ่ให้คนลงไปเล่นน้ำ ขณะที่บางสายมีหลุมไต่ระดับ ประเภทมีอ่างจากุซซี่ของใครของมัน เนื่องจากมีหลุมหรือมีแอ่งหลายหลุมลดหลั่นกันมา

2 จุดแหล่งพื้นที่ชุ่มน้ำของโลก

ความที่ว่าพวกเรามาบึงกาฬหลายวันจึงมีโอกาสได้ไปสถานที่ท่องเที่ยวอีกหลายแห่งของที่นี่ โดยเฉพาะได้นั่งเรือชมพระอาทิตย์ตกดินที่บึงโขงหลง ซึ่งสวยงามมาก แม้การไปตอนเย็นจะไม่ได้เห็นนกอพยพที่เขาว่ากันว่ามีนับร้อยนับพันชนิดก็ตาม

บึงโขงหลงมีเนื้อที่ 8,000 กว่าไร่ กินพื้นที่ทั้งในอำเภอเซกาและบึงโขงหลง ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นพื้นที่ชุ่มน้ำที่มีความสำคัญระหว่างประเทศ เมื่อปี 2544 ตัวบึงมีความยาวประมาณ 13 กิโลเมตร ถือเป็นส่วนหนึ่งของที่ราบแม่น้ำสงคราม ซึ่งเป็นบริเวณที่น้ำไหลก่อนลงสู่แม่น้ำโขง ในบึงมีเกาะแก่งหลายแห่ง อาทิ ดอนแก้ว ดอนโพธิ์ ดอนน่อง ดอนสวรรค์ บางจุดเป็นป่าดิบแล้งที่อุดมสมบูรณ์

ถ้าใครได้อ่านตำนานของบึงแห่งนี้จะรู้ว่าแต่ก่อนบึงโขงหลงเป็นนครใหญ่ที่มีผู้ปกครองนคร ชื่อ “รัตพานคร” แต่ตอนหลังถูกพระยานาคราชในเมืองบาดาลโจมตีเพราะไม่พอใจที่ขับไสไล่ส่งลูกสาวที่ปลอมเป็นหญิงสาวจนได้อภิเษกสมรสกับเจ้าชายของนครแห่งนี้ ผลของการทำลายล้างทำให้นครนี้กลายเป็นผืนน้ำอันกว้างใหญ่ ขณะที่ในยุคปัจจุบันบางปีจะได้ยินข่าวมีคนเห็นพญานาคเล่นน้ำในบึงแห่งนี้ ซึ่งเป็นเรื่องที่มีการถกเถียงกันว่าจริงหรือไม่ หรือเป็นเพียงปลาบางประเภทที่มีลักษณะแปลกๆ หรือเป็นปรากฏการณ์บางอย่างของธรรมชาติ อันนี้ก็แล้วแต่ความเชื่อของแต่ละบุคคล

อีกวันพวกเราไปหนองกุดทิง พื้นที่ชุ่มน้ำโลกอีกแห่งของบึงกาฬ ออกจากตัวเมืองไปแค่ 5 กิโลเมตรเท่านั้น มีขนาดใหญ่กว่าบึงโขงหลงเสียอีก เพราะมีเนื้อที่มากถึง 16,500 ไร่ โดยหนองกุดทิงถูกประกาศให้เป็นพื้นที่ชุ่มน้ำตามอนุสัญญาแรมซาร์ ลำดับที่ 12 ของประเทศไทย เสียดายเราไม่ได้ล่องเรือ เลยได้แต่ถ่ายรูปอยู่บนฝั่ง โชคดีได้ภาพชาวบ้านแถวนั้นกำลังหาปลาอยู่พอดี เรียกว่าเป็นแหล่งทำมาหากินอันอุดมสมบูรณ์ของชาวบึงกาฬ

ทำไมถึงชื่อหนองกุดทิง…”กุด” เป็นภาษาท้องถิ่น หมายถึง บริเวณที่น้ำจากลำห้วยหลายสายไหลมารวมกันกลายเป็นแอ่งน้ำ บึง หรือหนองน้ำขนาดใหญ่ ส่วนคำว่า “ทิง” น่าจะมาจากคำว่า “กระทิง” สรุปแล้วกุดทิง หมายความว่า เป็นแหล่งน้ำที่มีวัวกระทิงลงมากินน้ำเป็นจำนวนมาก

มาสำรวจแหล่งท่องเที่ยวบึงกาฬงวดนี้คุ้มทีเดียวเพราะได้เที่ยวในหลายจุดหลายพื้นที่ แต่หากใครชวนไปบึงกาฬอีกก็อยากจะไปสัมผัสในช่วงปลายฝนต้นหนาวน่าจะดี เพราะอยากรู้ว่าหนาวที่บึงกาฬเป็นเช่นไร เขาว่าภูทั้งหลายเต็มไปด้วยทะเลหมอกสวยนักสวยหนา แบบนี้ต้องไปพิสูจน์ให้เห็นกับตา

มุดถ้ำปะการัง ที่อุทยานฯ เขาสก ชมเหรียญสมเด็จวัดระฆัง

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือเส้นทางเศรษฐี

http://info.matichon.co.th/rich/rich.php?srctag=07074011058&srcday=2015-10-01&search=no

วันที่ 01 ตุลาคม พ.ศ. 2558 ปีที่ 25 ฉบับที่ 382

เที่ยวไปตามแผนที่

ภควิตา อัจจาธร srangbun@hotmail.com

มุดถ้ำปะการัง ที่อุทยานฯ เขาสก ชมเหรียญสมเด็จวัดระฆัง

“เมืองร้อยเกาะ เงาะอร่อย หอยใหญ่ ไข่แดง แหล่งธรรมะ” คำขวัญนี้ไม่ต้องบอกใครๆ ก็รู้ว่าคือ จังหวัดสุราษฎร์ธานี อันเป็นเมืองท่องเที่ยวขึ้นชื่ออีกแห่งของภาคใต้ ซึ่งมีแหล่งท่องเที่ยวทางธรรมชาติมากมาย ไม่ว่าจะเป็นทะเล เกาะ ถ้ำ ฯลฯ และหลายแห่งมีชื่อเสียงระดับโลก ไม่ว่าจะเป็นเกาะสมุย หรือเกาะพะงัน รวมทั้งเขื่อนรัชชประภา (เขื่อนเชี่ยวหลาน) ที่ได้รับการขนานนามว่า “กุ้ยหลินเมืองไทย”

แม้ผู้เขียนจะไปจังหวัดสุราษฎร์ธานีนับครั้งไม่ถ้วน แต่ก็ไม่เคยได้ไปเที่ยวชมเขื่อนรัชชประภาสักครั้ง กระทั่งเมื่อไม่นานมานี้ กรมการปกครอง เชื้อเชิญนักข่าวจากส่วนกลางหลายสิบชีวิตไปศึกษาดูงานกิจกรรมของหลายหมู่บ้านที่มีความโดดเด่นในด้านต่างๆ และสุดท้ายจบลงที่เขื่อนดังกล่าว ซึ่งสร้างความประทับใจให้กับพวกเราเป็นอย่างมาก

ตามโปรแกรมจุดแรกไปดูหมู่บ้านเศรษฐกิจพอเพียงต้นแบบ บ้านปากคลองน้อย ตำบลคลองน้อย อำเภอเมือง จุดเด่นของที่นี่คือความเข้มแข็งของคณะกรรมการหมู่บ้านในการพัฒนาพื้นที่อย่างยั่งยืน โดยใช้แนวทางตามพระราชดำรัสเรื่องเศรษฐกิจพอเพียงของในหลวง ซึ่งเน้นการพึ่งพาตัวเอง บ้านไหนมีผลผลิตเหลือก็นำไปขาย และด้วยความขยันทำมาหากินและรู้จักเก็บออม ทำให้กลุ่มออมทรัพย์ของหมู่บ้านมียอดเงินสัจจะสะสม 24 ล้านบาท

ล่องเรือชมป่าชายเลน

เสร็จจากหมู่บ้านนี้ คณะได้เดินทางต่อไปยัง ตำบลลีเล็ด อำภอพุนพิน ซึ่งชาวบ้านมีการตั้งกลุ่มชุมชนลีเล็ดนำเที่ยวเพื่อการอนุรักษ์ เมื่อปี 2547 ภายใต้การนำของ กำนันประเสริฐ ธัญจุกรณ์ กำนันตำบลลีเล็ด โดยหวังให้การท่องเที่ยวโดยชุมชนเป็นเครื่องมือ เป็นกุศโลบายในการอนุรักษ์ทรัพยากร แต่ปรากฏว่าสามารถจัดการการท่องเที่ยวได้ดีจนได้รับรางวัลระดับประเทศหลายรางวัล เช่น มาตรฐานโฮมสเตย์ไทย

อีกรางวัลที่ยิ่งใหญ่คือ รางวัลกินรีทองคำ ประเภทการท่องเที่ยวเชิงนิเวศ รางวัลที่ 1 ระดับประเทศ ปี 2551 และปี 2553 ได้รับรางวัลการจัดการน้ำตามแนวพระราชดำริ ในระดับประเทศ ที่ผ่านมา มีนักท่องเที่ยวทั้งในประเทศและต่างประเทศมาเที่ยวที่ป่าชายเลนแห่งนี้เพิ่มมากขึ้นทุกปีๆ

วันที่ไปนั้นหลังจากฟังบรรยายสภาพของหมู่บ้านทั้งในอดีตและปัจจุบันเสร็จ กำนันประเสริฐก็ได้นำคณะนั่งเรือหางยาวสำรวจเส้นทางท่องเที่ยวที่เป็นป่าชายเลน และเลยไปยังบริเวณอ่าวบ้านดอน สองข้างทางเต็มไปด้วยต้นไม้น้อยใหญ่ไม่ว่าจะเป็น ลำพู โกงกาง แสม ลำพูหิน ตะบูน ปรงทะเล จาก ลำแพน หน่อเซียน ปอทะเล ฯลฯ และยังมีพวกสมุนไพร อาทิ เหงือกปลาหมอรักษาโรคมะเร็ง และย่านขี้เดือนรักษาโรคท้องอืด

นอกจากนี้ ยังเห็นสัตว์อีกหลายชนิด อย่างเช่น ลิงหางยาว นกกระยาง ปูทะเล ปูเปี้ยว หอยจุ๊บแจง หอยกัน และหิ่งห้อย นักข่าวหลายคนตื่นเต้นกันมาก เพราะกำนันประเสริฐจับหอยกันตัวเป็นๆ มาให้ดูให้ได้ถ่ายรูปกันชัดๆ

ย้อนกลับไปในอดีตจากเดิมในปี 2534 มีป่าชายเลนเหลืออยู่เพียง 3,400 ไร่ หลังจากถูกทำลายด้วยน้ำมือของมนุษย์ แต่พอชาวบ้านร่วมแรงร่วมใจกันฟื้นฟู ป่าชายเลนแห่งนี้ก็กลับมามีผืนป่าเกิดขึ้นใหม่ ถึง 8,000 ไร่ และยังเป็นแหล่งเกิดสัตว์น้ำอีกจำนวนมาก ทั้งกุ้ง หอย ปู และปลา ที่สำคัญ ยังเป็นแหล่งเกิดหอยแครงอีกด้วย ส่งผลให้เกษตรกรบางคนมีรายได้จากการเลี้ยงและขายหอยแครงในปีหนึ่งถึง 11 ล้านบาท

พวกเรานั่งเรือออกทะเลไปแถวอ่าวบ้านดอนเห็นเกษตรกรเลี้ยงหอยกันเต็มไปหมด ส่วนใหญ่เลี้ยงหอยแครงกัน บางจุดชาวบ้านจะสร้างขนำไว้กลางทะเลเพื่อคอยเฝ้าหอย ไม่เช่นนั้นอาจถูกขโมย

ทั้งนี้ ในการมาเที่ยวป่าชายเลนที่ลีเล็ด นอกจากผู้มาเยือนจะได้รับความสนุกสนานเพลิดเพลินกับความงามของธรรมชาติแล้ว ยังได้ความรู้กลับไปอีกด้วย เพราะมีศูนย์เรียนรู้และศึกษาธรรมชาติ ซึ่งมีข้อมูลเกี่ยวกับระบบนิเวศป่าชายเลน และยังมีทางเดินศึกษาธรรมชาติ นอกจากนี้ หากใครสนใจเรื่องการทำมาหากินของชาวบ้านแถวนี้ก็จะได้ดูทั้งในเรื่องการทำผลิตภัณฑ์ต่างๆ จากใบจาก และการทำกะปิเคย พวกเราได้ไปดูบ้านที่ทำกะปิขาย ขากลับเลยซื้อกันมาคนละสองสามกระปุก

สำหรับคนที่ชอบพักโฮมสเตย์ที่นี่ก็มีให้บริการด้วย โดยบ้านกำนันประเสริฐก็มีอยู่หลายห้อง ซึ่งเป็นบ้าน 2 ชั้นที่อยู่ใกล้ลำคลอง เป็นบรรยากาศธรรมชาติจริงๆ

หินพัดเทียบพระธาตุอินทร์แขวน

ตามโปรแกรมเป้าหมายของเราต่อไป คือไปดู หินตั้ง บ้างก็เรียกหินพัดมหัศจรรย์ขนาดใหญ่ หรือหินปู่-หินย่า อยู่ที่บ้านยวนสาว ตำบลท่าขนอน อำเภอคีรีรัฐนิคม ค้นพบโดยคนหาของป่าในพื้นที่นั้น แต่ก่อนจะไปถึงต้องผ่านสวนยางพาราขึ้นเนินเขาเตี้ยๆ ไป สำหรับคนที่ไม่แข็งแรงหรือพวกขึ้นที่สูงไม่ไหวอาจจะลำบากหน่อย

ใครที่ไปเห็นต่างประหลาดใจว่าหินก้อนใหญ่ยักษ์ขนาดนี้ตั้งอยู่บนหน้าผาสูงได้อย่างไร คณะทัวร์จากจังหวัดภูเก็ตตั้งข้อสังเกตว่าเหมือนพระธาตุอินทร์แขวนของประเทศพม่า ชาวบ้านในพื้นที่บอกว่าถ้าใครมาถึงหินพัดให้เอามือลูบไล้ พร้อมโยนเหรียญไปที่ฐานที่มีช่องโหว่อีกด้านหนึ่ง พร้อมอธิษฐาน ขอให้สมหวังในเรื่องต่างๆ ที่ต้องการ คำอธิษฐานนั้นจะสัมฤทธิผล ปรากฏว่าชาวคณะหลายคนก็ทำตามคำแนะนำนี้ แต่ยังไม่ได้สอบถามว่าเป็นไปตามคำอธิษฐานนั้นหรือไม่ประการใด

พวกเราใช้เวลาอยู่ที่นี่นานทีเดียว เพราะอากาศเย็นสบายไม่ร้อน เวลาขึ้นไปตรงหินพัดมองออกไปจะเห็นสวนยางพาราของเกษตรกรสุดลูกหูลูกตา ที่นี่นับเป็นสถานที่ท่องเที่ยวแห่งใหม่ที่คนทั่วไปยังไม่ค่อยรู้จักกันมากนัก แม้ว่ารายการทีวีหลายช่องจะมาถ่ายทำประชาสัมพันธ์ไปแล้ว

ความจริงที่บ้านยวนสาวยังมีสถานที่ท่องเที่ยวอีกหลายจุด โดยเฉพาะน้ำตกยวนสาวที่สูงถึง 15 ชั้น มีหินช้างและคลองกะเปา แต่เสียดายพวกเรามีเวลาไม่มากนัก เพราะต้องไปที่อื่นต่อ เลยดูได้แค่หินพัดเท่านั้น

มนต์เสน่ห์เขื่อนเชี่ยวหลาน

เสร็จจากดูหินพัดมหัศจรรย์แล้วพวกเราก็ต้องนั่งเรือไปยังเขื่อนเชี่ยวหลาน ที่อยู่ในบริเวณเดียวกับการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย ตำบลเขาพัง อำเภอบ้านตาขุน ห่างจากตัวเมืองสุราษฎร์ฯ ไปประมาณ 90 กิโลเมตร เพื่อไปนอนพักที่แพภูตะวัน ซึ่งมีจุดเด่นตรงที่ทำเป็นแคปซูล สวยงามทีเดียว แพแห่งนี้เคยใช้เป็นสถานที่ถ่ายทำละครดังที่มีณเดชน์กับนางเอกสาวแต้ว เป็นคู่พระ-นาง

ด้วยความที่พวกเราไปหน้าฝน ช่วงที่อยู่ 2 วัน กับ 1 คืน เลยเจอฝนตลอด แม้กระทั่งตอนนั่งเรือเพื่อไปยังถ้ำปะการัง จนต้องสวมเสื้อกันฝนตลอดทาง เลยถ่ายรูปวิวไม่ค่อยสวยนักเนื่องจากท้องฟ้าครึ้มเมฆครึ้มฝน

ความจริงอุทยานแห่งชาติเขาสกมีสถานที่ท่องเที่ยวหลากหลายจุด ทั้งถ้ำและน้ำตก รวมทั้งการเดินป่า

อย่างที่ คุณสมปราชญ์ ปราบสงคราม นายอำเภอบ้านตาขุน เล่าว่า ที่ผ่านมามีละคร ภาพยนตร์ ทั้งไทยและต่างชาติมาขอถ่ายทำจำนวนมาก เนื่องจากธรรมชาติสิ่งแวดล้อมยังอุดมสมบูรณ์ และมีการจัดเส้นทางเดินป่า ซึ่งฝรั่งจะมากันเยอะเพราะมีสัตว์ป่าหลายชนิด อาทิ กระทิง ช้าง และนกเงือก สำหรับอ่างเก็บน้ำของเขื่อนเชี่ยวหลาน มีจุดที่เป็นไฮไลต์คือ เขาสามเกลอ ที่ได้รับการกล่าวขานว่าเป็นกุ้ยหลินเมืองไทย นักท่องเที่ยวจำนวนไม่น้อยบอกว่า ที่นี่สวยกว่าเขื่อนที่อื่นในประเทศไทย เพราะถ้ามาช่วงกลางวัน ที่แดดดีๆ น้ำจะเป็นสีเหมือนมรกตสวย ทั้งๆ ที่เป็นน้ำจืด แต่สีสวยเหมือนน้ำทะเลเลย

ตรงบริเวณเขาสามเกลอมีเรือท่องเที่ยวจอดกันหลายลำ เนื่องจากลูกเรือต่างพากันถ่ายรูปกันยกใหญ่ทั้งรูปหมู่รูปเดี่ยว

ด้วยความที่มีเวลาไม่มากและเจอปัญหาฝน เจ้าภาพเลยให้ไปเฉพาะไฮไลต์สำคัญอย่างเขาสามเกลอ และถ้ำปะการัง แต่ก่อนจะไปถ้ำดังกล่าว คณะเราก็เดินป่ากันจนเมื่อย เพื่อไปขึ้นแพไม้ไผ่แล้วเดินไปอีกหน่อยก็ถึงถ้ำนี้ ซึ่งไปแล้วความเหน็ดเหนื่อยเมื่อยล้าก็หายไป เพราะมัวแต่ตะลึงพรึงเพริดกับความสวยงามของถ้ำที่มีหินงอกหินย้อยรูปทรงละลานตา ไม่ว่าจะเป็นรูปช้าง รูปม่าน รูปปลัดขิก รูปดอกเห็ด หรือแม้กระทั่งรูปเหรียญสมเด็จวัดระฆัง ซึ่งมองดูแล้วก็เหมือนจริงๆ

พวกเราใช้เวลาอยู่ในถ้ำปะการังเป็นชั่วโมงเพราะเป็นถ้ำขนาดใหญ่และมีอากาศปลอดโปร่ง และเจ้าหน้าที่ของอุทยานก็นำไฟมาฉายส่องให้ตลอดเพราะรู้ว่าสื่อมวลชนหลายแขนงจะนำเรื่องไปเผยแพร่ให้ ต้องบอกว่าถ้ำนี้เป็นถ้ำที่น่ามาเที่ยวจริงๆ เนื่องจากยังเป็นถ้ำที่สมบูรณ์อยู่

แม้วันทั้งวันจะเหน็ดเหนื่อยกับการท่องเที่ยวในอุทยานแห่งนี้ แต่ด้วยวิวทิวทัศน์ที่สวยงามและอากาศบริสุทธิ์ก็ทำให้พวกเรายังมีแรงกายแรงใจเต็มร้อย ประกอบกับได้ทานอาหารอร่อยๆ สไตล์คนใต้ เติมเต็มด้วยทุเรียนพื้นบ้านในพื้นที่ แถมด้วยเงาะและมังคุด

สรุปได้ว่ามาเที่ยวอุทยานแห่งชาติเขาสกครั้งแรกก็ประทับใจมิรู้ลืม และหากมีใครเชิญมาอีกก็คงไม่ปฏิเสธ เพราะอย่างที่บอกยังมีสถานที่ท่องเที่ยวอีกหลายจุดที่ยังไม่ได้ไปสัมผัส

ท่องอัลมาตี ส่องเทือกเขาเทียนซาน

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือเส้นทางเศรษฐี

http://info.matichon.co.th/rich/rich.php?srctag=07076010958&srcday=2015-09-01&search=no

วันที่ 01 กันยายน พ.ศ. 2558 ปีที่ 21 ฉบับที่ 380

เที่ยวไปตามแผนที่

ภควิตา อัจจาธร srangbun@hotmail.com

ท่องอัลมาตี ส่องเทือกเขาเทียนซาน

หากถามนักเดินทางว่าอยากจะไปประเทศไหนในโลก เชื่อว่ามีไม่มากที่จะตอบว่าอยากไปคาซัคสถาน (Republic of Kazakhstan) แต่ถ้าใครได้ไปดินแดนแห่งนี้แล้ว รับรองได้ว่ามีหลายสิ่งหลายอย่างที่ผู้มาเยือนต้องติดอกติดใจ โดยเฉพาะอัธยาศัยใจคอของผู้คนที่ค่อนข้างเป็นมิตรกับนักท่องเที่ยว ซึ่งประชากรของที่นี่ 17 ล้านคน ส่วนใหญ่ 70 เปอร์เซ็นต์ นับถือศาสนาอิสลามนิกายสุหนี่ แต่มีวิถีชีวิตแบบอิสลามที่ผสมผสานกับความเป็นรัสเซีย สรุปคือไม่ค่อยเคร่งนัก

ว่าไปแล้วในบรรดาประเทศต่างๆ ที่เคยเป็นส่วนหนึ่งของสหภาพโซเวียตนั้น คาซัคสถาน โดดเด่นกว่าเพื่อน เพราะนอกจากจะเป็นประเทศส่งออกน้ำมันดิบ ก๊าซธรรมชาติ และแร่ธาตุต่างๆ แล้ว ยังมีขนาดใหญ่เป็นอันดับ 9 ของโลก โดยมีพื้นที่กว้างขวางถึง 2.7 ล้านตารางกิโลเมตร พอๆ กับภูมิภาคยุโรปตะวันตก และใหญ่เป็น 5 เท่าของประเทศไทย ทิศตะวันออกติดจีน ทิศตะวันตกติดทะเลสาบแคสเปียน ทิศตะวันออกเฉียงเหนือติดคีร์กีซสถาน ทิศตะวันตกเฉียงใต้ติดเติร์กเมนิสถาน ส่วนใหญ่เป็นพื้นที่กึ่งทะเลทราย (Steppe)

มอสโกแห่งเอเชียกลาง

เมื่อไม่นานมานี้ “คุณเอื้อมพร จิรกาลวิศัลย์” ผู้อำนวยการการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) สำนักงานมอสโก ชักชวนนักข่าว 4 ชีวิตจากกรุงเทพฯ ให้ไปร่วมงานว่า “Amazing Thailand Road Show To Kazakhstan 2015” โดยมีหลายหน่วยงานร่วมกันจัด ทั้งหน่วยงานภาครัฐและเอกชน เจ้าภาพหลักๆ คือ ททท.สำนักงานมอสโก สถานทูตไทยในกรุงอัสตานา สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) สำนักงานส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ ณ กรุงมอสโก สายการบินแอร์อัสตานา ฯลฯ โดยยกขบวนผู้ประกอบการของไทยเกือบร้อยชีวิตไปด้วย ทั้งภาคธุรกิจการท่องเที่ยวและบริการ รวมทั้งบรรดาผู้ผลิตสินค้าต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นแปรรูปอาหาร เครื่องดื่ม ผลิตภัณฑ์สำหรับสัตว์เลี้ยง ฯลฯ ซึ่งปรากฏว่าผลตอบรับเป็นไปด้วยดี หลายรายคู่ค้าจะเดินทางมาไทยเพื่อติดต่อธุรกิจกันต่อไป

คุณเอื้อมพร ให้ข้อมูลว่า ชาวคาซัคฯ นิยมไปเที่ยวทะเลเมืองไทยมาก เนื่องจากประเทศนี้ไม่มีทางออกทางทะเล โดยบ้านเราติด 1 ใน 5 ประเทศยอดนิยมที่นักท่องเที่ยวคาซัคฯ ชอบมาเยือน ซึ่งมักจะไปกันตอนหน้าหนาวที่บ้านเขาบางเมืองติดลบ 40-50 องศาเซลเซียส

โชคดีช่วงที่เราไปเป็นต้นฤดูร้อน อากาศโดยรวม 20 กว่าองศา ไม่ร้อนไม่หนาวนัก บางช่วงมีฝนตก ที่สำคัญ ยังได้มีโอกาสเห็นหิมะปกคลุมเทือกเขาเทียนซานอยู่แต่ไกล ซึ่งเป็นพรมแดนกั้นระหว่างคาซัคฯ กับจีน และเทือกเขาแห่งนี้ก็ยังเป็นแนวพรมแดนธรรมชาติกั้นระหว่างคาซัคสถานกับคีร์กีซสถานอีกด้วย

นครอัลมาตีนี้เคยเป็นเมืองหลวงเก่าของคาซัคสถาน ฉะนั้น จึงเป็นเมืองศูนย์กลางในทุกๆ ด้าน ทั้งอุตสาหกรรม การค้าการลงทุน การศึกษา และศิลปวัฒนธรรม มีอาคารสถานที่เก่าๆ สวยๆ ในสมัยที่ยังเคยอยู่กับสหภาพโซเวียตมาก่อน จนได้รับฉายาว่า “มอสโกแห่งเอเชียกลาง” เป็นเมืองยุทธศาสตร์สำคัญเพราะติดกับชายแดนจีน

สวนสาธารณะร่มรื่นด้วยต้นไม้

ชอบเมืองนี้ตรงที่มองไปจุดไหนก็จะเห็นแต่ต้นไม้สีเขียว เป็นเมืองที่เต็มไปด้วยสวนสาธารณะ และสองข้างทางก็มีต้นไม้ใหญ่ให้ความร่มรื่นตลอด โดยลำต้นบางส่วนเป็นสีขาว นัยว่าเพื่อให้เห็นเด่นชัดในเวลากลางคืน

เมืองนี้ในอดีตเป็นเมืองที่เคยปลูกแอปเปิ้ลกันเป็นล่ำเป็นสันมาก่อน ต่อมาเมื่อความเจริญมาถึง พื้นที่ปลูกก็ลดน้อยลงไป ตอนนี้รัฐบาลกำลังฟื้นฟูให้กลับมาปลูกแอปเปิ้ลและผลไม้เมืองหนาวต่างๆ

ใครมาอัลมาตีสถานที่จะขาดเสียไม่ได้คือ อนุสาวรีย์อิสรภาพ (Monument of Independence) สร้างขึ้นเพื่อระลึกถึงการเป็นอิสรภาพ หลังแยกออกจากสหภาพโซเวียต ในปี 2534

ส่วนสวนสาธารณะแพนฟิลอฟ (Panfilov Park) มีอนุสาวรีย์ที่สร้างขึ้นเพื่อรำลึกถึงความหาญกล้าของวีรบุรุษชาวคาซัคฯ ที่ช่วยโซเวียตรบกับนาซีในสงครามโลกครั้งที่ 2 ที่นี่มีเปลวไฟลุกโชนตลอดไม่มีดับ

ในบริเวณเดียวกับสวนสาธารณะแพนฟิลอฟ เดินไปไม่เท่าไหร่เป็นโบสถ์คริสต์เซนคอฟ (Zenkov Cathedral) อายุกว่า 100 ปี เป็นโบสถ์นิกายอีสเทิร์นออโธดอกซ์ ยอดโดมเป็นสีทอง สร้างด้วยไม้โดยไม่ใช้ตะปูเลย ด้วยเหตุนี้ จึงรอดพ้นจากแผ่นดินไหวมาได้ เสียดายข้างในก็สวยแต่เขาห้ามถ่ายรูป

วันที่ไปอากาศกำลังดีฝนไม่ตกไม่ร้อน มีผู้คนออกมาเดินเที่ยวในสวนสาธารณะแห่งนี้จำนวนมาก ทั้งเด็กและผู้ใหญ่ ด้านหน้าโบสถ์มีรถม้าให้นักท่องเที่ยวใช้บริการด้วย เป็นสวนที่ร่มรื่นจริงๆ ต้นไม้แต่ละต้นใหญ่ยักษ์ เขาตกแต่งสวนได้สวยงามเป็นระเบียบ

นั่งกระเช้าลอยฟ้าชมวิว

ไม่ไกลกันนักเป็นพิพิธภัณฑ์เครื่องดนตรีพื้นเมือง ซึ่งได้แต่ถ่ายรูปข้างนอก หลังออกจากสวนแห่งนี้ คณะเราก็มุ่งหน้าตรงไปที่ตลาด กรีน บาซาร์ เหมือนตลาดสดบ้านเรา แต่แตกต่างกันสุดๆ เพราะที่อัลมาตีสะอาด จัดเป็นโซนให้ง่ายต่อการซื้อ ไม่มีเสียงจ้อกแจ้กจอแจวุ่นวาย

แม้จะเป็นตลาดไม่ใหญ่แต่ใช้เวลาอยู่ที่นี่นานเป็นชั่วโมงเพราะต้องซื้อของกันหลายอย่างก่อนที่จะไม่มีโอกาส โดยซื้อผลไม้แห้งต่างๆ ที่บ้านเราไม่มี อย่าง อินทผาลัม ลูกเกด รวมทั้งจำพวกถั่ว อาทิ วอลนัท พิสตาชิโอ ฯลฯ ซึ่งถูกกว่าบ้านเรามากกิโลละหลายร้อยบาท แต่ใช้เงินเต็งเก (Tenge) ของเขาซื้อ โดยต้องเอาเงินไทยไปแลกเป็นเงินดอลลาร์สหรัฐ จากนั้นไปแลกเป็นเต็งเกอีกทอด ตก 1 ดอลลาร์ ได้ 184 เต็งเก

ตลาดสดแห่งนี้ยังมีโซนขายเนื้อหลากประเภท มีโซนสมุนไพรและโซนที่ขายน้ำผึ้งโดยเฉพาะ ทำให้เดินจ่ายตลาดได้ง่ายขึ้น ผลไม้เมืองหนาวก็เต็มไปหมด น่าซื้อมาก ส่วนด้านนอกก็เป็นสินค้าเบ็ดเตล็ดทั่วไป เท่าที่เห็นเป็นสินค้ามาจากจีนเยอะ เพราะอย่างที่บอกนครอัลมาตีติดกับชายแดนจีน

ความจริงอัลมาตีมีสถานที่ท่องเที่ยวอีกหลายจุดที่น่าไป อย่าง พิพิธภัณฑ์กลาง อันเป็นพิพิธภัณฑ์ที่ใหญ่และสำคัญที่สุดในอัลมาตี บอกเล่าประวัติศาสตร์ชาติคาซัคสถาน

หุบเหวชาริน (Charyn Canyon) ที่ใหญ่เป็นอันดับ 2 ของโลก ฟาร์มเหยี่ยว และถนนอาร์บัต (Arbat) ถนนคนเดิน แหล่งรวมสินค้าราคาถูกนานาชนิด ประเภทคนทำเอามาขายเอง

โชคดีบางวันมีเวลาเหลือหลายชั่วโมงเลยได้ออกจากตัวเมืองไปยัง Medeu Skating Rink and Ski Resort ซึ่งมีความสูงจากระดับน้ำทะเลประมาณ 2,000 กว่าเมตร ตอนขึ้นไปอากาศเย็นสบายดี อุณหภูมิประมาณ 20 องศาเซลเซียส แค่ใส่แจ๊กเก็ตก็เอาอยู่ แต่ลมอาจจะแรงหน่อย

ที่นี่เป็นสถานที่ท่องเที่ยวยอดฮิตอีกแห่งของทั้งนักท่องเที่ยวคาซัคฯ และชาวต่างชาติ เพราะนอกจากจะเห็นวิวทิวทัศน์ของภูเขาน้อยใหญ่ในเทือกเขาเทียนซานแล้ว ยังมีอะไรให้ผู้คนทั้งเด็กและผู้ใหญ่ได้สนุกสนานกันอย่างเต็มที่ อย่างเช่น เครื่องเล่นนานาชนิด มีเหยี่ยวตัวเป็นๆ ให้จับต้องให้ถ่ายรูปใกล้ชิด ใครอยากจะนั่งกระเช้าลอยฟ้าชมวิวก็มีไว้บริการ หรือถ้าหน้าหนาวก็สามารถเล่นสกีได้ด้วย หิวก็มีอาหารการกินตลอด มีมุมถ่ายรูปสวยๆ ให้เซลฟี่เยอะแยะ

พูดถึงเหยี่ยว ช่วงเวลาไปยืนดูเจ้าหนุ่มเจ้าของเหยี่ยวได้ลูกค้าหลายรายทีเดียว ค่าถ่ายรูปครั้งหนึ่งตก 200 บาท ซึ่งเขาจะต้องปิดตาเหยี่ยวด้วย เพื่อไม่ให้มันเห็น สอบถามได้ความว่าเนื่องจากมันเป็นสัตว์นักล่าและดุร้าย ถ้าไม่ปิดมันอาจจะทำร้ายคนได้

นิยมกินเนื้อสัตว์รวมทั้งเนื้อม้า

มาคาซัคฯ ทั้งที ถ้าใครไม่ได้กินเนื้อม้า ขอบอกยังมาไม่ถึงเพราะที่นี่เขาทานเนื้อม้ากันเป็นเรื่องปกติแถมมีหลากหลายเมนู ด้วยเหตุนี้ ทางททท.สำนักงานมอสโก จึงได้เลี้ยงอาหารท้องถิ่น 2 มื้อ โดยสั่งเมนูเนื้อม้าและอื่นๆ ที่พวกเราคนต่างชาติสมควรจะได้หม่ำกัน ขนมหวานบางอย่างก็คล้ายๆ กับบ้านเรา นั่นคือ จัก จัก (Chak-Chak) เหมือนเส้นหมี่ใหญ่ทอดฉาบน้ำเชื่อมหรือน้ำผึ้ง ทำเป็นก้อนๆ แล้วโรยหน้าด้วยผลไม้แห้ง อาทิ ลูกเกด ลูกพลับ หรืออัลมอนด์ รสชาติอร่อยดีแต่หวานมาก เลยชิมไปนิดหน่อยพอให้รู้รสชาติ

ในมื้อที่ทานอาหารร่วมกับคณะททท.สำนักงานมอสโกที่อัลมาตีนั้น สองสาวคาซัคฯ ในทีมงาน เธอดื่มเบียร์แบบเป็นเรื่องปกติ และในเมนูที่สั่งล้วนเต็มไปด้วยเนื้อสัตว์หลากชนิด พอกลับมาถึงเมืองไทย หาข้อมูลดูจึงรู้ว่าชาวคาซัคฯ ชอบบริโภคเนื้อสัตว์ อย่างที่เว็บไซต์ของสถานทูตไทยในกรุงอัสตานาระบุว่า อาหารของชาวคาซัคฯ มักจะมีเนื้อเป็นองค์ประกอบหลัก โดยเฉพาะเนื้อม้า เนื้อแกะ นม และนมเปรี้ยว รวมทั้งอาหารที่มีลักษณะใกล้เคียงอาหารเอเชีย เนื่องจากมีพรมแดนติดกับจีน นอกจากนี้ ชาวมุสลิมในประเทศเครือรัฐเอกราชส่วนมากนิยมดื่มเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ โดยเฉพาะวอดก้า เนื่องจากอิทธิพลวัฒนธรรมของรัสเซียและเงื่อนไขทางสภาพอากาศที่หนาวเย็น

นอกจากนี้ ยังแนะนำด้วยว่าตลาดเอเชียกลางมีการผลิตสินค้าเกษตรประเภทพืชผักผลไม้ แต่ยังมีการพัฒนาด้านการแปรรูปและการเก็บรักษาอาหารไม่มากนัก ผู้ประกอบการไทยอาจพิจารณาการร่วมลงทุนในอุตสาหกรรมแปรรูปผักผลไม้ และอุตสาหกรรมอาหารกระป๋อง (เนื้อสัตว์ ไส้กรอก ปลาแปรรูป น้ำมันพืช อาหารกระป๋อง ขนมหวานผลิตภัณฑ์จากแป้ง ฯลฯ) เพื่อตอบสนองความต้องการสินค้าในภูมิภาค และแก้ไขข้อจำกัดในด้านการขนส่งและเก็บรักษาสินค้าเพื่อการส่งต่อไปยังประเทศอื่นๆ ในภูมิภาค

ข้อมูลทั้งหมดนี้ สอดรับกับที่ผอ.ททท.สำนักงานมอสโกบอกว่า ทั้งรัสเซียและประเทศอื่นๆ ที่เคยอยู่ในสหภาพโซเวียตมาก่อน เป็นตลาดที่มีศักยภาพที่สินค้าไทยน่าจะเข้าไปทำตลาดที่นั่นได้ไม่ยาก เพราะอย่างคาซัคสถานนั้นชอบสปาไทย ชอบนวดไทยมาก แต่ละแห่งจะตั้งชื่อเป็นนวดไทย นวดสยาม แต่เจ้าของเป็นชาวคาซัคฯ ที่สำคัญ ชอบมาเที่ยวทะเลเมืองไทยมาก

คราวหน้าจะพาไปเที่ยวกรุงอัสตานา ซึ่งเป็นเมืองหลวงที่มุนษย์เสกสรรปั้นแต่งอย่างวิลิศมาหรา มีตึกระฟ้าตระการตาไปหมด มาที่นี่แล้วจะรู้ว่าอำนาจเงินเนรมิตได้อย่างสวยงามจริงๆ