Emerson ยื่นแบบแสดงรายการข้อมูล Form 10 ตามแผนการแยกธุรกิจ Network Power ออกเป็นบริษัทใหม่

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : Thai Business News

http://www.thaibusinessnews.com/

 

เซนต์หลุยส์–(บิสิเนส ไวร์)–19 เม.ย. 2559

– บริษัทจดทะเบียนแห่งใหม่จะมีชื่อว่า Vertiv และสกอต บาร์เบอร์ ได้รับแต่งตั้งให้เป็นประธานบริษัทและประธานเจ้าหน้าที่บริหารของ Vertiv ขณะที่การแยกบริษัทยังคงเป็นไปตามแผนซึ่งมีกำหนดจะเสร็จสิ้นภายในวันที่ 30 กันยายน 2559

Emerson (NYSE: EMR) ประกาศว่า บริษัทได้ยื่นแบบแสดงรายการข้อมูล Form 10 ต่อคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (SEC) ของสหรัฐ ซึ่งเกี่ยวข้องกับแผนการที่บริษัทได้ประกาศไปก่อนหน้านี้ในเรื่องการแยก ธุรกิจ Network Power ของบริษัทออกเป็นบริษัทใหม่ซึ่งจะมีชื่อว่า Vertiv การยื่นแบบดังกล่าวแสดงให้เห็นถึงความตั้งใจของ Emerson ในการแยกหุ้นสามัญของบริษัท Vertiv ทั้ง 100% ผ่านทางการกระจายหุ้นแก่ผู้ถือหุ้นโดยปลอดภาษี และเป็นขั้นตอนสำคัญในกระบวนการที่คาดว่าจะเสร็จสิ้นภายในวันที่ 30 กันยายน 2559

“วันนี้นับเป็นอีกหนึ่งความก้าวหน้าในกระบวนการที่เราได้เริ่มต้นเมื่อช่วง ต้นปี 2558 ซึ่งมีจุดมุ่งหมายเพื่อสร้างความแข็งแกร่งให้กับ Emerson และเตรียมความพร้อมให้กับบริษัทในการคว้าโอกาสทางการเติบโตในอนาคต” เดวิด เอ็น. ฟาร์ ประธานกรรมการและประธานเจ้าหน้าที่บริหารกล่าว “การแยก Vertiv จะช่วยให้ Emerson หันไปให้ความสำคัญกับตลาดที่มีการเติบโตสูงได้อย่างเต็มที่ ขณะที่ Vertiv ก็จะกลายเป็นบริษัทจดทะเบียนระดับแนวหน้าของอุตสาหกรรม ภายใต้ความเป็นผู้นำที่แข็งแกร่งของสกอต บาร์เบอร์”

สกอต บาร์เบอร์ ซึ่งดำรงตำแหน่งรองประธานบริหารของ Emerson และเป็นผู้นำธุรกิจ Emerson Network Power กล่าวว่า “การเป็นส่วนหนึ่งของ Emerson มานานหลายปีทำให้เรามีพื้นฐานที่ดีเยี่ยมสำหรับการเปิดตัวและผลักดัน Vertiv ให้เติบโตขึ้นในฐานะบริษัทอิสระ ทีมของเราตั้งตารอโอกาสที่จะได้ยกระดับความสามารถหลัก ขยายฐานลูกค้าทั่วโลก เสริมความแข็งแกร่งให้กับตำแหน่งผู้นำอุตสาหกรรม และสร้างมูลค่าให้กับผู้ถือหุ้นในอนาคตของเรา”

Vertiv เป็นผู้นำระดับโลกในด้านการออกแบบ การผลิต และการให้บริการเทคโนโลยีโครงสร้างพื้นฐานที่มีความสำคัญอย่างยิ่งต่อการใช้ งานที่สำคัญๆในศูนย์ข้อมูล เครือข่ายการสื่อสาร และสภาพแวดล้อมด้านการพาณิชย์/อุตสาหกรรม บริษัทนำเสนอผลิตภัณฑ์ที่หลากหลายในการจัดการพลังงานทั้งไฟฟ้าและความร้อน ตลอดจนนำเสนอบริการบริหารจัดการแบบครบวงจร และโซลูชันสำหรับการใช้งาน การซ่อมบำรุง และการเพิ่มประสิทธิภาพผลิตภัณฑ์เหล่านี้ นอกจากนี้ Vertiv ยังให้บริการจัดการโครงสร้างพื้นฐาน การติดตาม ควบคุม และโซลูชันซอฟต์แวร์ สำหรับการใช้งานที่สำคัญๆ ของลูกค้าของบริษัท

การยื่นแบบ Form 10 เป็นการแจ้งข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจของ Vertiv รวมทั้งงบการเงินสำหรับปีงบการเงินสิ้นสุด ณ วันที่ 30 กันยายน 2556, 2557 และ 2558 Vertiv จะยังคงดำเนินธุรกิจเป็นส่วนหนึ่งของ Emerson ไปจนกว่าการแยกบริษัทจะเสร็จสมบูรณ์

ทั้งนี้ คาดว่าจะมีการแก้ไขแบบแสดงรายการ Form 10 ในภายหลัง ต ามการพิจารณาทบทวนของ SEC และตามการตัดสินใจด้านการเงินและอื่นๆ และคาดว่า SEC จะยังคงไม่ประกาศให้แบบแสดงรายการมีผลจนกระทั่งใกล้ถึงวันแยกบริษัท สามารถดูสำเนา Form 10 ในส่วนนักลงทุนบนเว็บไซต์ของ Emerson ได้ที่ www.emerson.com/financial และเว็บไซต์ของ SEC ที่ www.sec.gov

สำหรับการแยกบริษัท คาดว่าจะเสร็จสมบูรณ์ภายในวันที่ 30 กันยายน 2559 และต้องเป็นไปตามเงื่อนไขบางประการ ซึ่งรวมถึงการอนุมัติขั้นสุดท้ายจากคณะกรรมการบริหารของ Emerson การได้รับความเห็นที่เป็นบวกเกี่ยวกับการทำธุรกรรมที่ปลอดภาษี และการมีผลบังคับของแบบแสดงรายการข้อมูล Form 10 ที่ยื่นต่อ SEC

เกี่ยวกับ Emerson

Emerson (NYSE: EMR) ในเมืองเซนต์หลุยส์ รัฐมิสซูรี สหรัฐอเมริกา เป็นผู้นำระดับโลกในการผนวกรวมเทคโนโลยีและวิศวกรรมเพื่อมอบโซลูชั่นเปี่ยม นวัตกรรมแก่ลูกค้าในตลาดอุตสาหกรรม พาณิชย์ และอุปโภคบริโภคทั่วโลก บริษัทประกอบด้วย 5 ส่วนธุรกิจ ได้แก่ Process Management, Industrial Automation, Network Power, Climate Technologies และ Commercial & Residential Solutions บริษัทมียอดขาย 2.23 หมื่นล้านดอลลาร์ในปีงบการเงิน 2558 สามารถดูข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ Emerson.com

ข้อความเตือนและข้อความที่มีลักษณะเป็นการคาดการณ์ในอนาคต

ข้อความในข่าวเผยแพร่ฉบับนี้ที่ไม่ใช่ข้อความในอดีต อาจถือเป็นข้อความที่มีลักษณะเป็น “การคาดการณ์ในอนาคต” ซึ่งมีความเกี่ยวข้องกับความเสี่ยงและความไม่แน่นอนต่างๆ และ Emerson ไม่รับผิดชอบในการปรับปรุงข้อความดังกล่าวให้สะท้อนถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ในภายหลัง ความเสี่ยงและความไม่แน่นอนเหล่านี้ ได้แก่ ความสามารถของ Emerson ในการทำตามข้อกำหนดและเงื่อนไขได้สำเร็จ ผลกระทบทางการเงิน การวางตำแหน่งผลิตภัณฑ์และบริการเชิงกลยุทธ์ สภาวะเศรษฐกิจและอัตราแลกเปลี่ยน อุปสงค์ตลาด การกำหนดราคา การคุ้มครองทรัพย์สินทางปัญญา และปัจจัยทางเทคนิคและการแข่งขัน เป็นต้น โดยความเสี่ยงและความไม่แน่นอนเหล่านี้มีอยู่ในรายงานประจำปี Form 10- K ฉบับล่าสุด และรายงานอื่นๆที่ตาม ซึ่ง Emerson ได้ยื่นต่อคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (SEC)

รับชมข่าวต้นฉบับได้ที่ businesswire.com: http://www.businesswire.com/cgi-bin/mmg.cgi?eid=51316842&lang=en

ติดต่อ:
ตัวแทน Emerson
Mark Polzin, 314-982-1758

ไอซ่าเผยพื้นที่เพาะปลูกพืชเทคโนชีวภาพ/จีเอ็มเพิ่มขึ้น 2 พันล้านเฮกตาร์ทั่วโลก ระหว่างปี 1996-2015

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : Thai Business News

http://www.thaibusinessnews.com/

 

ปักกิ่ง–(บิสิเนส ไวร์)–13 เม.ย. 2016

– เกษตรกรได้รับผลตอบแทนกว่า 1.50 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐ จากการพัฒนาพืชเทคโนชีวภาพตลอด 20 ปี

รายงานประจำปีซึ่งเผยแพร่ในวันนี้โดยองค์การไอซ่า (International Service for the Acquisition of Agri-Biotech Applications: ISAAA) ภายใต้หัวข้อ “20th Anniversary of the Global Commercialization of Biotech Crops (1996-2015) and Biotech Crop Highlights in 2015” ซึ่งมีสาระสำคัญเกี่ยวกับการยอมรับพืชเทคโนชีวภาพ แสดงให้เห็นว่า พื้นที่ปลูกพืชเทคโนชีวภาพ หรือพืชดัดแปลงพันธุกรรม เพิ่มสูงขึ้นทั่วโลกจาก 1.7 ล้านเฮกตาร์ในปี 1996 เป็น 179.7 ล้านเฮกตาร์ในปี 2015 โดยการที่พื้นที่เพาะปลูกขยายตัวขึ้น 100 เท่าภายในเวลาเพียง 20 ปีทำให้เทคโนโลยีชีวภาพเป็นเทคโนโลยีการเพาะปลูกพืชที่ได้รับการยอมรับอย่าง รวดเร็วที่สุดในยุคปัจจุบัน และสะท้อนให้เห็นว่าเกษตรก รมีความพึงพอใจต่อผลผลิตพืชเทคโนชีวภาพ

นับตั้งแต่ปี 1996 ได้มีการเพาะปลูกพืชเทคโนชีวภาพบนพื้นที่เพาะปลูกกว่า 2 พันล้านเฮกตาร์ ซึ่งคิดเป็นพื้นที่ที่มีขนาดใหญ่กว่าประเทศจีนหรือสหรัฐอเมริกาถึง 2 เท่า ยิ่งไปกว่านั้น มีการประมาณการว่า ตั้งแต่ปี 1996 เกษตรกรใน 28 ประเทศได้รับผลตอบแทนจากผลผลิตพืชเทคโนชีวภาพเป็นมูลค่ากว่า 1.50 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งช่วยบรรเทาความยากจนของเกษตรกรรายย่อย 16.5 ล้านคนและครอบครัวของเกษตรกร ซึ่งคิดเป็นจำนวนรวมประมาณ 65 ล้านคนต่อปี ซึ่งบางส่วนมาจากกลุ่มประชากรที่ยากจนที่สุดในโลก

“เกษตรกรในประเทศกำลังพัฒนาหันมาเพาะปลูกพืชเทคโนชีวภาพกันมากขึ้น เนื่องจากเป็นพืชทางเลือกที่ผ่านการทดสอบอย่างเข้มงวดแล้วว่า สามารถปรับปรุงผลผลิตพืชผลได้จริง” ไคลฟ์ เจมส์ ประธานและผู้ก่อตั้งองค์การไอซ่า ในฐานะผู้เขียนรายงานประจำปีมากว่าสองทศวรรษกล่าว “ถึงแม้จะมีคำกล่าวอ้างจากผู้ไม่เห็นด้วยว่า เทคโนโลยีชีวภาพให้ประโยชน์กับเกษตรกรในกลุ่มประเทศอุตสาหกรรมเท่านั้น แต่การที่ปร ะเทศกำลังพัฒนาได้นำเอาเทคโนโลยีนี้ไปใช้อย่างต่อเนื่อง ก็เป็นการพิสูจน์ให้เห็นว่าพวกเขาคิดผิด” เจมส์กล่าวเสริม

กลุ่มประเทศกำลังพัฒนาเพาะปลูกพืชเทคโนชีวภาพ (14.5 ล้านเฮกตาร์) มากกว่ากลุ่มประเทศอุตสาหกรรมเป็นปีที่ 4 ติดต่อกันแล้ว โดยในปี 2015 เกษตรกรจากละตินอเมริกา เอเชีย และแอฟริกา เพาะปลูกพืชเทคโนชีวภาพคิดเป็นสัดส่วน 54% ของพื้นที่ปลูกพืชเทคโนชีวภาพทั่วโลก ( 97.1 ล้านเอกตาร์ จากทั้งหมด 179.1 ล้านเฮกตาร์) และในบรรดาประเทศที่ปลูกพืชเทคโนชีวภาพ 28 ประเทศนั้น พบว่า 20 ประเทศเป็นประเทศกำลังพัฒนา ทั้งนี้ ในแต่ละปี ระหว่างปี 1996-2015 มีเกษตรกรมากถึง 18 ล้านคนได้รับประโยชน์จากการปลูกพืชเทคโนชีวภาพ โดย 90% ของเกษตรกรกลุ่มนี้เป็นผู้เพาะปลูกรายย่อยในประเทศกำลังพัฒนาที่ขาดแคลน ทรัพยากร

“จีนเป็นตัวอย่างหนึ่งของประเทศกำลังพัฒนาที่เกษตรกรได้รับผลประโยชน์จากการ ใช้เทคโนโลยีชีวภาพ โดยในระหว่างปี 1997-2014 เกษตรกรจีนที่ปลูกฝ้ายดัดแปลงพันธุกรรมสามารถทำเงินได้ถึง 1.75 หมื่นล้านดอลลา ร์ และ 1.3 พันล้านดอลลาร์เฉพาะปี 2014 เพียงปีเดียว” นายแรนดี้ โฮเทีย ผู้ประสานงานระหว่างประเทศของไอซ่ากล่าว

นอกจากนี้ในปี 2015 อินเดียยังกลายเป็นผู้ผลิตฝ้ายชั้นนำของโลก ซึ่งการเติบโตดังกล่าวมีสาเหตุส่วนใหญ่มาจากการปลูกฝ้ายบีที (Bt Cotton) ซึ่งเป็นฝ้ายดัดแปลงพันธุกรรม ทั้งนี้ อินเดียเป็นประเทศที่ปลูกฝ้ายดัดแปลงพันธุกรรมมากที่สุดในโลก โดยในปี 2015 มีเกษตรกรรายย่อย 7.7 ล้านรายปลูกฝ้ายดัดแปลงพันธุกรรมบนพื้นที่ 11.6 ล้านเฮกตาร์ อีกทั้งในปี 2014 และ 2015 ต้นฝ้ายถึง 95% ของอินเดียถูกปลูกด้วยเมล็ดดัดแปลงพันธุกรรม ในขณะที่จีนปลูกฝ้ายโดยใช้เมล็ดดัดแปลงพันธุกรรมถึง 96% ในปี 2015

“เกษตรกร ซึ่งเดิมที่ไม่ชอบความเสี่ยง เริ่มเห็นข้อดีของพืชเทคโนชีวภาพที่มีต่อทั้งผู้บริโภคและตัวเกษตรกรเอง ทั้งการทนต่อความแห้งแล้ง ความต้านทานโรคและแมลง การทนต่อยากำจัดวัชพืช ตลอดจนคุณภาพอาหารและโภชนาการที่เพิ่มขึ้น” นายโฮเทียกล่าวเพิ่มเติม “นอกจากนี้ พืชเทคโนชีวภาพยังนำมาซึ่งระบบการผลิตพืชผลที่ยั ่งยืนมากขึ้น พร้อมจัดการกับความกังวลที่เกี่ยวข้องกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและ ความมั่นคงทางด้านอาหารทั่วโลก”

การปลูกพืชเทคโนชีวภาพเพิ่มสูงขึ้นติดต่อกันมา 19 ปี ตั้งแต่ปี 1995 ถึง 2014 โดยมีอัตราการขยายตัวสองหลักถึง 12 ปีด้วยกัน พื้นที่ปลูกพืชเทคโนชีวภาพเพิ่มขึ้นแตะระดับสูงสุดที่ 181.5 ล้านเฮกตาร์ในปี 2014 เทียบกับ 179.7 ล้านเฮกตาร์ในปี 2015 ซึ่งคิดเป็นการปรับตัวลดลงสุทธิ 1% ความเปลี่ยนแปลงนี้มีสาเหตุหลักมาจากพื้นที่เพาะปลูกพืชโดยรวมที่ลดลง ซึ่งเกี่ยวเนื่องกับราคาสินค้าโภคภัณฑ์เกษตรที่ลดต่ำลงในปี 2015 อย่างไรก็ดี องค์การไอซ่าคาดการณ์ว่าพื้นที่เพราะปลูกโดยรวมจะเพิ่มขึ้น เมื่อราคาพืชผลปรับตัวดีขึ้น เช่นเดียวกับที่แคนาดาได้คาดการณ์ว่าพื้นที่ปลูกคาโนลาในปี 2016 จะดีดตัวกลับสู่ระดับที่สูงกว่าปี 2014 นอกจากนี้ปัจจัยอื่นๆ ที่ส่งผลกระทบต่อพื้นที่เพาะปลูกพืชเทคโนชีวภาพในปี 2015 ยังรวมถึงภัยแล้งในประเทศแอฟริกาใต้ ที่ส่งผลให้พื้นที่เพาะปลูกลดลงอย่างมากถึง 23% จาก 700,000 เฮกตาร์ที่เดิมตั้งใจว่าจะใช้ทำการเพาะปลูกในปี 2015 ภัยแ ล้งทางตอนใต้และตะวันออกของแอฟริกาในช่วงปี 2015/2016 ส่งผลให้คนยากจน 15-20 ล้านคนตกอยู่ในความเสี่ยงที่จะขาดแคลนอาหาร และบีบให้ประเทศแอฟริกาใต้ซึ่งเป็นผู้ส่งออกข้าวโพด ต้องกลายเป็นผู้นำเข้าข้าวโพดแทน

ข้อมูลสำคัญอื่นๆ ในรายงานประจำปี 2015 ขององค์การไอซ่า ได้แก่

– พืชเทคโนชีวภาพชนิดใหม่ๆได้รับการอนุมัติและ/หรือเพาะปลูกเชิงพาณิชย์ในหลาย ประเทศ อาทิ สหรัฐอเมริกา บราซิล อาร์เจนตินา แคนาดา และเมียนมาร์

– สหรัฐอเมริกาเป็นแหล่งกำเนิดพืชเทคโนชีวภาพที่ผลิตขึ้นครั้งแรกหลายชนิด และมีการเพาะปลูกพืชใหม่ๆในเชิงพาณิชย์ อาทิ
– มันฝรั่ง Innate(TM) Generation 1 ซึ่งมีสารที่อาจก่อมะเร็งอย่างอะคริลาไมด์ในระดับต่ำและต้านทานรอยช้ำ ขณะที่ Innate(TM) Generation 2 ที่ได้รับการอนุมัติในปี 2015 ยังมีความสามารถในการต้านทานโรคใบไหม้อ ีกด้วย มันฝรั่งสายพันธุ์นี้ขึ้นชื่อว่าเป็นพืชอาหารที่มีความสำคัญมากที่สุดเป็น อันดับ 4 ของโลก
– แอปเปิล Arctic(R) ซึ่งเนื้อไม่เปลี่ยนเป็นสีน้ำตาลเมื่อฝาน
– SU Canola(TM) ถูกปลูกในสหรัฐอเมริกา โดยพืชชนิดนี้เป็นพืชปรับแต่งจีโนมแต่ไม่ดัดแปลงพันธุกรรมชนิดแรกที่จะมีการ เพาะปลูกในเชิงพาณิชย์ทั่วโลก
– มีการอนุมัติผลิตภัณฑ์อาหารทำจากสัตว์ตัดต่อพันธุกรรมเป็นครั้งแรก ซึ่งได้แก่ แซลมอนตัดต่อพันธุกรรม สำหรับการบริโภคของมนุษย์

– พืชเทคโนชีวภาพหลายลักษณะ ซึ่งมักเรียกว่า “stacked traits” ถูกปลูกในพื้นที่ 58.5 ล้านเฮกตาร์ คิดเป็น 33% ของเนื้อที่เพาะปลูกพืชเทคโนชีวภาพทั้งหมด และเพิ่มขึ้น 14% เมื่อเปรียบเทียบรายปี

– เวียดนามปลูกพืชเทคโนชีวภาพชนิดแรกของประเทศ ซึ่งได้แก่ ข้าวโพดบีที ซึ่งรวมหลายคุณลักษณะและทนทานต่อสารกำจัดวัชพืช

– ข้าวโพด Biotech DroughtGard(TM) ซึ่งปลูกครั้งแรกในสหรัฐอเมริกาเมื่อปี 2013 มีพื้นที่เพาะปลูกเพิ่มขึ้น 15 เท่า จาก 50,000 เฮกตาร์ในปี 2013 สู่ระดับ 810,000 เฮกเตอร์ ซึ่งสะท้อนให้เห็นว่าข้าวโพดพันธุ์นี้เป็นที่ยอมรับอย่างสูงในหมู่เกษตรกร

– ซูดานเพิ่มพื่นที่เพาะปลูกฝ้ายบีที 30% สู่ระดับ 120,000 เฮกตาร์ ขณะที่มีหลายปัจจัยที่เป็นอุปสรรคต่อการเพิ่มพื้นที่เพาะปลูกในบูร์กินาฟาโซ

– พืชที่สนับสนุนการบรรเทาความยากจนในแอฟริกาได้ผ่านการทดสอบภาคสนามใน 8 ประเทศของแอฟริกา ซึ่งเป็นขั้นตอนท้ายสุดก่อนการยื่นขออนุมัติ

สำหรับอนาคตของเทคโนโลยีชีวภาพในภาคการเกษตรนั้น ไอซ่าระบุว่าโอกาสสำคัญที่จะทำให้การปลูกพืชเทคโ นชีวภาพเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง มีอยู่ 3 ประการ ดังต่อไปนี้

– แม้ตลาดเทคโนโลยีชีวภาพรายใหญ่ในปัจจุบันมีโอกาสขยายตัวเพียงเล็กน้อย เนื่องจากอัตราการเพาะปลูกอยู่ในระดับสูงอยู่แล้ว (90-100%) แต่ประเทศ “ใหม่” อื่นๆ ยังคงมีศักยภาพสูงที่จะเปิดรับผลิตภัณฑ์บางชนิด อาทิ ข้าวโพดดัดแปลงพันธุกรรม ซึ่งอาจมีพื้นที่ปลูกเพิ่มขึ้นราว 100 เฮกตาร์ทั่วโลก ประกอบด้วย 60 ล้านเฮกตาร์ในเอเชีย ซึ่งเป็นพื้นที่ในจีนแห่งเดียวถึง 35 ล้านเฮกตาร์ บวกกับอีก 35 ล้านเฮกตาร์ในแอฟริกา

– ผลิตภัณฑ์ใหม่ที่มีศักยภาพกว่า 85 ชนิดซึ่งอยู่ระหว่างรอการเปิดตัว กำลังได้รับการทดสอบภาคสนาม อาทิ ข้าวโพดดัดแปลงพันธุกรรมที่ทนทานความแห้งแล้ง จากโครงการ WEMA (Water Efficient Maize for Africa) ซึ่งคาดว่าจะเปิดตัวที่แอฟริกาในปี 2017 ข้าว Golden Rice ในเอเชีย ตลอดจนกล้วยที่เสริมคุณค่าทางโภชนาการและถั่วฝักยาวต้านทานศัตรูพืชใน แอฟริกา

– CRISPR (Clustered Regularly Interspersed Short Palindromic Repeats) คือเทคโนโลยีปรับแต่งจีโนมรูปแบบใหม่เปี่ยมประสิทธิภาพ และครองความได้เปรียบอย่างเห็นได้ชัดเมื่อเทียบกับพืชธรรมดาและพืชจีเอ็มใน 4 ด้านด้วยกัน ได้แก่ ความแม่นยำ ความเร็ว ต้นทุน และกฎเกณฑ์ นอกจากนี้ ยังผนวกรวมความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีอื่นๆในวิทยาศาสตร์พืชผล CRISPR จึงอาจเพิ่มศักยภาพการผลิตในพื้นที่ที่เหมาะแก่การเพาะปลูก 1.5 พันล้านเฮกตาร์ทั่วโลก โดยอาศัยแนวทาง “ทวีความแข็งแกร่งอย่างยั่งยื่น” และมีส่วนสำคัญอย่างยิ่งต่อความมั่นคงทางอาหารโลก

สามารถดูข้อมูลเพิ่มเติมหรือข้อมูลสรุปของรายงานได้ที่ www.isaaa.org

เกี่ยวกับองค์การไอซ่า

องค์การไอซ่า (International Service for the Acquisition of Agri-Biotech Applications: ISAAA) เป็นองค์กรที่ไม่แสวงผลกำไร โดยมีเครือข่ายศูนย์กลางนานาชาติสำหรับแบ่งปันความรู้และการใช้พืชเทคโน ชีวภาพเพื่อช่วยบรรเทาความหิวโหยและความยากจน ตลอด 30 ปีที่ผ่า นมา ไคลฟ์ เจมส์ ประธานและผู้ก่อตั้งองค์การไอซ่า ได้ใช้ชีวิตและ/หรือทำงานในประเทศกำลังพัฒนาหลายประเทศในเอเชีย ละตินอเมริกา และแอฟริกา โดยอุทิศตนให้กับงานด้านการวิจัยและพัฒนาทางการเกษตร ซึ่งมุ่งเน้นไปที่พืชเทคโนชีวภาพและความมั่นคงทางอาหารทั่วโลก ขณะที่แรนดี โฮเทีย ผู้ประสานงานนานาชาติ ประจำศูนย์ไอซ่า เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ได้ร่วมงานกับองค์การไอซ่ามาตั้งแต่ปี 1998 หลังจากดำรงตำแหน่งผู้อำนวยการสถาบันปรับปรุงพันธุ์พืช (Institute of Plant Breeding) มหาวิทยาลัยฟิลิปปินส์ ลอสบานโยส

รับชมข่าวต้นฉบับได้ที่ businesswire.com: http://www.businesswire.com/cgi-bin/mmg.cgi?eid=51317522&lang=en

ติดต่อ:
ISAAA
Mollie Dreibrodt
โทร. 713-513-9524
อีเมล: Mollie.Dreibr odt@fleishman.com

WEX ขยายขอบเขตบริการลูกค้า รองรับกลุ่มบริษัทน้ำมันในเอเชีย

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : Thai Business News

http://www.thaibusinessnews.com/

 

สิงคโปร์–(บิสิเนส ไวร์)–13 เม.ย. 2016

– ด้วยประสบการณ์มากกว่า 20 ปีในการดำเนินธุรกรรมและจัดการบริการเอาท์ซอร์สอย่างครบวงจรแก่ธุรกิจต่างๆ ในอเมริกาเหนือ

WEX Inc. (NYSE: WEX) ผู้ให้บริการโซลูชั่นการชำระเงินสำหรับกลุ่มลูกค้าธุรกิจ ประกาศความสำเร็จครั้งสำคัญในการขยายบริการในเอเชีย นับเป็นการต่อยอดความสำเร็จหลังจากที่บริษัทได้ให้บริการแก่บริษัทน้ำมันใน ภูมิภาคนี้มานานเกือบทศวรรษ

โซลูชั่นสำหรับกลุ่มลูกค้าธุรกิจของ WEX ได้ขยายจากบริการโฮสติ้งและการจัดการธุรกรรมการชำระเงินในเอเชีย ไปสู่การนำเสนอบริการใหม่ๆ ซึ่งรวมถึงการจัดหาเงินทุนสำหรับลูกหนี้ บริการลูกค้า และการเรียกเก็บเงินสำหรับบริษัทน้ำมัน

ขณะนี้ บริษัทได้ขยายบริการดังกล่าวมายังกวม ไซปัน และ สิงคโปร์แล้ว ซึ่งเป็นการสานต่อความสำเร็จและจุดแข็งที่ WEX ได้สร้างไว้ในออสเตรเลียและนิวซีแลนด์

จอร์จ โฮแกน รองประธานอาวุโสระหว่างประเทศของ WEX กล่าวว่า “เราตื่นเต้นที่จะได้ให้บริการที่ดีขึ้นแก่บรรดาบริษัทน้ำมันในเอเชีย ที่ใช้โซลูชั่นใหม่ๆของเรา และยังคงไว้วางใจให้เรานำเสนอแบรนด์ของพวกเขาในฐานะพันธมิตรบัตรน้ำมัน สำหรับลูกค้าธุรกิจ” โดยโฮแกนกล่าวต่อไปว่า “โซลูชั่นระดับแนวหน้าของอุตสาหกรรมและบริการลูกค้าที่ได้รับรางวัลการันตี มาแล้ว จะตอบสนองความต้องการในปัจจุบันและในอนาคตของลูกค้าในเอเชีย ซึ่งไว้ใจเลือก WEX ให้ช่วยอำนวยความสะดวกด้านการชำระเงิน”

เกี่ยวกับ WEX Inc.

WEX Inc. (NYSE: WEX) เป็นผู้ให้บริการโซลูชั่นการชำระเงินสำหรับกลุ่มลูกค้าธุรกิจ บริษัทได้เริ่มให้บริการชำระเงินผ่านบัตรเติมน้ำมันในปี 1983 และได้ขยายขอบเขตธุรกิจไปสู่การเป็นผู้ให้บริการโซลูชั่นการชำระเงินสำหรับ ลูกค้าธุรกิจผ่านหลายช่องทาง ซึ่งเทียบเ ท่ากับรถยนต์กว่า 9 ล้านคัน พร้อมนำเสนอความปลอดภัยในการชำระเงินที่เหนือชั้น ครอบคลุมภาคธุรกิจต่างๆเป็นวงกว้าง WEX ให้บริการลูกค้าและหุ้นส่วนทั่วโลกผ่านการดำเนินงานที่มีอยู่ทั่วโลก โดยบริษัทมีสำนักงานในสหรัฐอเมริกา ออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ บราซิล สหราชอาณาจักร อิตาลี ฝรั่งเศส เยอรมนี นอร์เวย์ และสิงคโปร์ WEX และบริษัทในเครือมีสมาชิกกว่า 2,000 คน บริษัทเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ตั้งแต่ปี 2005 โดยจดทะเบียนในตลาดหุ้นนิวยอร์กภายใต้ชื่อย่อหลักทรัพย์ “WEX” สำหรับข้อมูลเพิ่มเติม สามารถเข้าดูได้ที่ www.wexinc.com และติดตาม WEX ได้ทางทวิตเตอร์ @WEXIncNews

รับชมข่าวต้นฉบับได้ที่ businesswire.com: http://www.businesswire.com/news/home/20160413006397/en/

สื่อมวลชนติดต่อ:
WEX Inc.
Jessica Roy, +1-207-523-6763
Jessic a.Roy@wexinc.com

Argosy เปิดโรงงานแห่งใหม่เพื่อขยายการผลิตวัสดุอากาศยาน

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : Thai Business News

http://www.thaibusinessnews.com/

 

นิวยอร์ก–(บิสิเนส ไวร์)–18 เม.ย. 2016

Argosy International Inc. บริษัทชั้นนำผู้ผลิตและจำหน่ายวัสดุเชิงประกอบขั้นสูงและวัสดุที่เกี่ยวข้อง ให้แก่อุตสาหกรรมอากาศยานเอเชียแปซิฟิก ได้เริ่มการก่อสร้างโรงงานผลิตแห่งใหม่ขนาด 2,300 ตารางเมตร ซึ่งตั้งอยู่ที่ No. 33, Jing 3rd Road, Wuqi District, Taichung City, Taiwan (R.O.C.)

รับชมข่าวประชาสัมพันธ์ในรูปแบบ Smart News Release ซึ่งประกอบด้วยสื่อมัลติมีเดียและข่าวฉบับเต็มได้ที่:
http://www.businesswire.com/cgi-bin/mmg.cgi?eid=51316075&lang=en

http://mms.businesswire.com/media/20160411005058/en/518177/4/Argosy_ATAM_Facility_2.jpg
โรงงาน Argosy Taiwan Aerospace Materials (ATAM) ตั้งอยู่ที่ No. 33, Jing 3rd Road, Wuqi District, Taichung City, Taiwan (R.O.C.) ในเขตปลอดอาการไถจง และสร้างขึ้นตามมาตรฐาน AS9100 โดยจะประกอบไปด้วยห้องคลีนรูม โต๊ะตัด และห้องเย็นเพื่อดำเนินการตัดและขึ้นรูปวัสดุเชิงประกอบ (รูปภาพ: บิสิเนส ไวร์)

โรงงานแห่งใหม่ตั้งอยู่ในเขตปลอดอากรไถจง และสร้างขึ้นตามมาตรฐาน AS9100 โดยจะประกอบไปด้วยห้องคลีนรูม โต๊ะตัด และห้องเย็นสำหรับดำเนินการตัดและขึ้นรูปวัสดุเชิงประกอบ ด้วยโครงร่างของพื้นที่โรงงานแห่งใหม่นี้ บริษัทจะสามารถผลิตวัสดุเชิงประกอบป้อนให้กับบรรดาผู้ประกอบอากาศยานใน ภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก

“Argosy Taiwan Aerospace Materials (ATAM) ต่อยอดความสำเร็จของโครงการ Vendor Managed Inventory ของ Argosy ซึ่งเปิดตัวเป็นครั้งแรกในปี 2006” ไรอัน ฟลูเจล รองประธานฝ่ายขายและการตลาดของ Argosy กล่าว “โรงงานแห่งนี้มุ่งรองรับลูกค้าที่หลากหลาย และสามารถนำแบบไปก่อสร้างในสถานที่อื่นๆได้อย่างไม่ยุ่งยาก เพื่อสนับสนุนการเ ติบโตและตอบสนองความตองการต่างๆของลูกค้า เราตื่นเต้นที่โรงงานขนาดใหญ่แห่งใหม่นี้จะช่วยขยายขีดความสามารถในการผลิต ของเรา โดยจะช่วยให้เราสามารถเพิ่มกำลังการผลิตและขยายศักยภาพในการจัดหาและให้ บริการวัสดุที่แปลกใหม่แก่ลูกค้าของเรา

เกี่ยวกับ Argosy International Inc.:

ประวัติบริษัท

Argosy เป็นบริษัทการค้าที่ก่อตั้งขึ้นในสหรัฐอเมริกา ในปี 1988 บริษัทเริ่มเข้ามาทำตลาดอากาศยานพาณิชย์ในเอเชีย เมื่อบริษัทกลายเป็นผู้จัดหาวัสดุผสมและสารเคมีพิเศษให้กับผู้ผลิตอากาศยาน รายใหญ่ เพื่อสนับสนุนธุรกิจนี้ Argosy จึงได้เปิดสำนักงานต่างประเทศแห่งแรกในไต้หวัน และในอีกห้าปีต่อมา Argosy ได้ก้าวขึ้นเป็นผู้จัดหาสินค้าและบริการรายสำคัญให้กับจีน และสร้างความมั่นคงในตลาดนี้ เมื่อผู้ผลิตเครื่องบินอย่าง Boeing, Sikorsky, Honeywell และ Eurocopter ได้เริ่มหันมาใช้บริการผู้รับจ้างผลิตเอเชียในปี 2000 ทั้งนี้ เพื่อตอบรับกับความต้องการของตลาด Arg osy ได้เปิดสำนักงานในปักกิ่ง ซีอาน และเซี่ยงไฮ้ ประเทศจีน รวมทั้งในเกาหลี มาเลเซีย สิงคโปร์ อินเดีย และออสเตรเลีย ปัจจุบัน Argosy ได้รับการรับรองให้เป็นผู้จัดหาสินค้าและบริการให้แก่ผู้รับจ้างผลิตและ ประกอบเครื่องบินรายใหญ่ทุกรายในเอเชีย ยกเว้นญี่ปุ่น

ตลาด ผลิตภัณฑ์และบริการของเรา

Argosy ให้บริการกลุ่มตลาดหลากหลายกลุ่ม แต่มุ่งเน้นเป็นพิเศษไปที่อากาศยาน ยานยนต์ การขึ้นรูปและสร้างต้นแบบสำหรับอุตสาหกรรม และอิเล็กทรอนิกส์ เราให้บริการตลาดเหล่านี้ด้วยเคมีภัณฑ์พิเศษ ได้แก่ เรซิ่นสำหรับทำแม่แบบ กาว สารเคลือบ สารห่อหุ้ม เทปกาวชนิดพิเศษ ฟิล์มกาว รังผึ้ง วัสดุยาแนว เส้นใยพรีเพรก และผ้าทอประสิทธิภาพสูง

แนวทางแก้ปัญหาของ Argosy นำมาสู่บริการที่ครบวงจร ได้แก่ การตัดและประกอบวัสดุ การจัดจำหน่าย Vendor Managed Inventory (VMI) โลจิสติกส์ ประสิทธิภาพพลังงานผ่านทางบริการอาคารสีเขียวที่ครบวงจร ซอฟต์แวร์เพิ่มประสิทธิภาพการผลิ ต และการสนับสนุนทางเทคนิค งานของเราคือการทำให้ลูกค้าของเราดำเนินการได้ง่ายขึ้นและมีประสิทธิภาพมาก ขึ้น Composites Manufacturing Services ที่แปลกและแตกต่างของ Argosy มุ่งเน้นไปที่การสร้างมูลค่าให้กับลูกค้าด้วยการปรับปรุงต้นทุน ประสิทธิภาพการผลิต และการใช้ประโยชน์จากวัสดุ

Argosy Shanghai Aerospace Materials (ASAM) ในเซี่ยงไฮ้ ประเทศจีน ดำเนินการผสมวัสดุเคลือบและให้บริการเคลือบผิวอากาศยาน Argosy XAC Composite Materials (AXAC) ในซีอาน ประเทศจีน ดำเนินการผลิตผลิตภัณฑ์โครงรังผึ้ง และ Argosy Composite Advanced Materials (ACAM) ในเมืองฮันท์สวิลล์ รัฐอลาบามา เป็นโรงงานสำหรับตัดโครงรังผึ้งเพื่อเพิ่มมูลค่า ขณะที่ Argosy Taiwan Aerospace Materials (ATAM) ในเมืองไถจง ไต้หวัน และ Argosy Xian Aerospace Materials (AXAM) ในเมืองซีอาน ประเทศจีนนั้น เป็นโรงงานสำหรับ VMI การตัดวัสดุเชิงประกอบ และการประกอบวัสดุ

รับชมข่าวต้นฉบับได้ที่ businesswire.com: http://www.businesswire.com/cg i-bin/mmg.cgi?eid=51316075&lang=en

ติดต่อ:
Argosy International Inc.
Thomas A. Burke
โทร: +1-212-268-0003 ต่อ 107
อีเมล: tburke@argosyinternational.com

มิตซุย เคมิคอล ขยายสิ่งอำนวยความสะดวกในการผลิตเส้นใยสังเคราะห์ประสิทธิภาพสูง

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : Thai Business News

http://www.thaibusinessnews.com/

 

โตเกียว–(บิสิเนส ไวร์)–18 เม.ย. 2016

– เดินหน้าส่งเสริมธุรกิจผลิตภัณฑ์อนามัยเพื่อตอบสนองความต้องการที่เพิ่มสูง ขึ้น

มิตซุย เคมิคอล อิงค์ (TOKYO:4183; ประธานและซีอีโอ: ทสึโตมุ ทันโนวะ) จะขยายสิ่งอำนวยความสะดวกในการผลิตใยสังเคราะห์ประสิทธิภาพสูงที่โรงงานในนา โงย่า (Nagoya Works) ตามรายละเอียดด้างล่าง เพื่อตอบสนองความต้องการผลิตภัณฑ์ผ้าอ้อมระดับพรีเมียมที่จะเพิ่มสูงขึ้นต่อ ไปในอนาคต

ข้อมูลโดยสังเขปของสิ่งอำนวยความสะดวกใหม่ๆ

  1. ผลิตภัณฑ์เป้าหมาย: ผ้าใยสังเคราะห์ประสิทธิภาพสูง (สำหรับผลิตภัณฑ์ผ้าอ้อมคุณภาพสูงเป็นหลัก)
  2.  ที่ตั้ง: โรงงานในนาโงย่าของมิตซุย เคมิคอล
  3.  กำลังการผลิตใหม่: 15,000 ตัน/ปี
    (กำลังการผลิตรวมเพิ่มขึ้นจาก 94,000 (ดูที่หมายเหตุ) เป็น 109,000 ตัน/ปี)
    หมายเหตุ:
    บริษัท ซันเร็กซ์ อินดัสตรีส์ จำกัด (เมืองยกไคจิ): 49,000 ตัน/ปี
    บริษัท มิตซุย ไฮยีน แมททีเรียลส์ (ประเทศไทย) จํากัด (ประเทศไทย): 30,000 ตัน/ปี
    บริษัท มิตซุย เคมิคอล นอนวูฟเวน (เทียนจิน) จำกัด (ประเทศจีน): 15,000 ตัน/ปี
  4. กำหนดการ: เริ่มก่อสร้าง: เมษายน 2016
    ก่อสร้างแล้วเสร็จ: พฤศจิกายน 2017 (อาจมีการเปลี่ยนแปลง)
    เริ่มดำเนินการเชิงพาณิชย์: มีนาคม 2018 (อาจมีการเปลี่ยนแปลง)

ตามแผนธุรกิจระยะกลางของเรานั้น เรามีเป้าหมายที่จะวางตำแหน่งธุรกิจดูแลสุขภาพให้เป็นหนึ่งในธุรกิจหลักซึ่ง ขับเคลื่อนการเติบโต นอกเหนือไปจากธุรกิจการขนย้าย อาหารและบรรจุภัณฑ์ โดยเราตั้งเป้าที่จะขยายธุรกิจใยสังเคราะห์ในฐานะที่เป็นส่วนหนึ่งของกลุ่ม ธุรกิจดูแลสุขภาพ เพื่อรองรับการเติบโตของผู้ผลิตผลิตภัณฑ์ผ้าอ้อมคุณภาพสูง ทั้งในตลาดญี่ปุ่นและทั่วเอเชีย

ตลาดผ้าอ้อมสำเร็จรูปในเอเชียกำลังขยายตัวอย่างต่อเนื่องในแง่ของอุปสงค์ ซึ่งส่วนหนึ่งเป็นเพราะมีการใช้ผ้าอ้อมสำเร็จรูปเพิ่มขึ้นและการผ่อน คลายนโยบายลูกคนเดียวของจีน นอกจากนี้ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ตลาดผ้าอ้อมสำเร็จรูปคุณภาพสูงและประสิทธิภาพสูง ยังได้ส่งผลให้ผู้ผลิตจำนวนหนึ่งพยายามยกระดับการพัฒนาระบบเพื่อเพิ่มการ ผลิต

เพื่อสนับสนุนการจัดหาผ้าใยสังเคราะห์ประสิทธิภาพสูงป้อนให้กับผู้ผลิต ผ้าอ้อมระดับพรีเมียมได้อย่างต่อเนื่อง เราจึงตัดสินใจที่จะเพิ่มสิ่งอำนวยความสะดวกในการผลิต ใยสังเคราะห์ประสิทธิภาพสูง และเลือกที่จะเริ่มใช้สิ่งอำนวยความสะดวกใหม่ๆที่โรงงานในนาโงย่า ซึ่งทำหน้าที่เป็นศูนย์กลางการผลิตวัสดุเฉพาะทางของเรา โดยเรามุ่งหวังว่าการใช้ทักษะทางเทคนิคซึ่งพัฒนาขึ้นที่โรงงานในนาโงย่าจะ ช่วยยกระดับกระบวนการผลิตเส้นใยสังเคราะห์ประสิทธิภาพสูง รวมทั้งจะส่งเสริมระบบวิศวกรรมของเราให้แข็งแกร่งยิ่งขึ้น

และเพื่อตอบสนองความต้องการผ้าใยสังเคราะห์ประสิทธิภาพสูงในเอเชียต่อไปใน อนาคต เราจึงตั้งเป้าที่จะขยายสิ่งอำนวยความสะดวกในการผลิตเพิ่มเติมอีก ซึ่งจะช่วยยกระดับความสามารถในการแข่งขันด้านต้นทุนและคุณภาพ เราเชื่อว่านี่จะเป็นการส่งเสริมตำแหน่งของเราในฐานะผู้นำตลาดใยสังเคราะห์ คุณภาพสูงให้มั่นคงยิ่งขึ้น

รับชมข่าวต้นฉบับได้ที่ businesswire.com: http://www.businesswire.com/news/home/20160412006884/en/

ติดต่อ:
มิตซุย เคมิคอล อิงค์
ทากาชิ คาวาโมโตะ
ฝ่ายสื่อสารองค์กร
โทร: +81-3-6253-2100
อีเมล: takashi.kawamoto@mitsuichemicals.com

Toranomon Hills เตรียมเปลี่ยนโฉมครั้งใหญ่เพื่อก้าวสู่การเป็นศูนย์กลางธุรกิจโลก

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : Thai Business News

http://www.thaibusinessnews.com/

 

โตเกียว–(บิสิเนส ไวร์)–13 เม.ย. 2016

– Mori Building เผยโฉม 3 โครงการปรับภูมิทัศน์เพื่อก้าวสู่ปี 2020 และอนาคต –

Mori Building ผู้นำด้านการปรับภูมิทัศน์เมือง ประกาศโครงการปรับภูมิทัศน์ขนาดใหญ่ ซึ่งประกอบด้วยการสร้างอาคารสูง 3 หลังรอบอาคาร Toranomon Hills ที่มีอยู่เดิม โดยมุ่งเปลี่ยนให้บริเวณดังกล่าวเป็นศูนย์กลางธุรกิจระดับโลกที่มีความ คึกคักมากยิ่งขึ้น ซึ่งจะจูงใจให้ทั้งบุคคลและบริษัทต่างๆจากทั่วโลกเข้ามาอาศัย ทำงาน และพักผ่อนกันใน Toranomon

รับชมข่าวประชาสัมพันธ์ในรูปแบบ Smart News Release ซึ่งประกอบด้วยสื่อมัลติมีเดียและข่าวฉบับเต็มได้ที่:
http://www.businesswire.com/news/home/20160412006906/en/

Mori Building unveils three redevelopment projects leading up to 2020 and beyond-

Overview of Toranomon Hills (Graphic: Business Wire)
http://mms.businesswire.com/media/20160412006906/en/519044/4/MORI_BUILDING_Toranomon.jpg
ภาพรวมของ Toranomon Hills (กราฟฟิก: บิสิเนส ไวร์)

Toranomon เร่งเดินหน้าสู่การเปลี่ยนแปลง

ในช่วงหลายปีต่อจากนี้ Mori Building จะพัฒนาอาคารสูงแบบผสมผสาน (mixed-use tower) ขึ้นใหม่ 3 อาคาร ซึ่งมีชื่ออย่างไม่เป็นทางการว่า Toranomon Hills Business Tower, Toranomon Hills Residential Tower และ Toranomon Hills Station Tower โดยอาคารเหล่านี้จะตั้งอยู่โดยรอบตึกToranomon Hills หลังเดิมที่ได้เปิดให้บริการเมื่อเดือนมิถุนายน 2014

เมื่อสร้างแล้วเสร็จ ย่าน Toranomon Hills จะมีพื้นที่รวมอยู่ที่ประมาณ 7.5 เฮกตาร์ ประกอบไปด้วยอาคาร Toranomon Hills จำนวน 4 หลัง สถานีขนส่งใหม่ ถนน และพื้นที่สีเขียว โดยจะมีพื้นที่ในแต่ละชั้นรวม 800,000 ตารางเมตร ซึ่งมีขนาดใกล้เคียงกับพื้นท ี่ของ Roppongi Hills ซึ่งประกอบด้วยพื้นที่สำนักงานประมาณ 300,000 ตารางเมตร และพื้นที่ค้าปลีกอีก 26,000 ตารางเมตร นอกจากนี้ พื้นที่ของ Toranomon Hills ยังจะเป็นที่ตั้งของสถานีรถไฟฟ้าใต้ดินสาย Hibiya Line สถานีใหม่ และสถานีรถโดยสารด่วนพิเศษ หรือ Bus Rapid Transit (BRT) แห่งใหม่ ซึ่งจะเชื่อมต่อใจกลางกรุงโตเกียวและอ่าวโตเกียว

ผลจากการเร่งการปรับภูมิทัศน์ทำให้ขณะนี้โครงการของ Mori ในการปรับปรุงพื้นที่ของ Toranomon Hills เริ่มมองเห็นเป็นรูปเป็นร่างแล้ว โดยนับตั้งแต่มีการเปิดใช้อาคาร Toranomon Hills ปัจจุบันราคาที่ดินได้พุ่งสูงขึ้นราว 34.4 % และมีจำนวนผู้ใช้สถานี Toranomon Station เพิ่มขึ้น 7% ทั้งนี้ คาดว่าพื้นที่สำนักขนาดใหญ่ซึ่งจะได้รับการพัฒนาขึ้นในโครงการนี้ จะทำให้มีผู้ที่ทำงานในย่าน Toranomon Hills เพิ่มขึ้น 3 เท่า เป็น 30,000 คน ขณะเดียวกันมีการคาการณ์ว่า โครงการซึ่งดำเนินงานโดย Mori และผู้พัฒนารายอื่นๆในพื้นที่ของ Toranomon จะทำให้มีพื้นที่สำนักงานใหม่ในช่วง 10 ปีข้างหน้าเพิ่มขึ้นมากกว่าที่เพิ่มขึ้นตลอด 30 ปีที่ผ่าน มา

ทั้งนี้ มีการคาดการณ์ด้วยว่าจำนวนผู้พักอาศัยในบริเวณดังกล่าวจะปรับตัวสูงขึ้น เนื่องจาก Toranomon Residential Tower จะมีพื้นที่พักอาศัยถึงราว 600 ยูนิต นอกจากนี้ ทางโครงการยังได้มีการพัฒนาพื้นที่สีเขียวขนาดยักษ์ครอบคลุมพื้นที่ 15,000 ตารางเมตร ซึ่งเพิ่มขึ้นกว่า 2 เท่าจากพื้นที่ปัจจุบันที่มีขนาด 6,000 ตารางเมตร โดยโครงการดังกล่าวจะสร้างเครือข่ายสีเขียวซึ่งเชื่อมต่อระหว่าง Toranomon Hills ไปยังเนิน Mt. Atago และย่าน Atago Green Hills ที่อยู่ใกล้เคียง ก่อให้เกิดเป็นเกาะทางธรรมชาติที่สร้างความสดชื่นและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม

“ทั้งเมืองและชาวเมืองต่างก็ต้องมีการพัฒนาอยู่เสมอ เพื่อให้เมืองมีอำนาจมากขึ้นในการดึงดูดบุคคลและบริษัทจากทั่วทุกมุมโลก” Shingo Tsuji ซีอีโอของ Mori Building กล่าว “เราเชื่อมั่นว่า ย่าน Toranomon Hills จะยังคงกระตุ้นการเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจ วัฒนธรรม และสิ่งแวดล้อมต่อไป ด้วยการสร้างให้พื้นที่แห่งนี้เป็นศูนย์กลางของธุรกิจนานาชาติ ซึ่งจะเสริมให้ท ั้งเมืองโตเกียวมีความคึกคักและแข็งแกร่งยิ่งขึ้น”

อาคารสูงแบบผสมผสาน และสถานีขนส่งแห่งใหม่ ก่อกำเนิดเป็น “ประตูสู่โตเกียว”

Mori ได้มองภาพโครงการนี้ออกเป็นโครงสร้างต่างๆที่สัมพันธ์กันอย่างกลมกลืน โดยจะเชื่อมต่อการคมนาคมทุกรูปแบบเข้าไว้ด้วยกันอย่างราบรื่น ทำให้ Toranomon กลายเป็นประตูสู่โตเกียว และศูนย์กลางของธุรกิจนานาชาติ

“เราเชื่อในพลังของคนเราในการเปลี่ยนโฉมเมืองที่ตนเองอยู่ สิ่งที่พวกเราจะทำนั้นคือการทำให้ Toranomon Hills ไม่เป็นเพียงแค่สถานที่สำหรับทำธุรกิจ แต่ยังเป็นชุมชนที่อุ้มชูและเชื่อมต่อผู้คนหลากหลายจากที่ต่างๆ เข้าไว้ด้วยกัน ตามแนวคิดการออกแบบเมืองในรูปแบบสวนแนวตั้ง หรือ Vertical Garden Cities อันเป็นเอกลักษณ์ของเรา โดยเน้นการใช้โครงสร้างอาคารสูงและพื้นที่ใต้ดินอย่างชาญฉลาดเพื่อเพิ่ม ประสิทธิภาพของโครงสร้างพื้นฐานและผนวกรวมบทบาทหน้าที่ต่างๆของ เมือง” Shingo Tsuji กล่าว

Toranomon Hills Business Tower จะมีพื้นที่สำนักงานประมาณ 94,000 ตารางเมตร โดยมีกำหนดแล้วเสร็จในปี 2019 อาคารสูง 36 ชั้นแห่งนี้จะเป็นที่ตั้งของศูนย์นวัตกรรม หรือ Innovation Center พื้นที่สำนักงาน ร้านทำผม และห้องสัมมนาสำหรับนักลงทุนและฝ่ายพัฒนาธุกิจของบริษัทชั้นนำต่างๆ และเพื่อให้อาคารมีการออกแบบที่เป็นสากลและทันสมัย Mori จึงได้ว่าจ้าง Christoph Ingenhoven สถาปนิกชาวเยอรมัน ให้เป็นผู้ควบคุมการออกแบบภายนอกอาคาร และ Masamichi Katayama มัณฑนากรแถวหน้าของญี่ปุ่น ให้เป็นผู้รับผิดชอบการออกแบบภายในตัวอาคาร

อาคารแห่งนี้ยังจะเป็นที่ตั้งของสถานี BRT แห่งใหม่ที่เชื่อมต่อใจกลางกรุงโตเกียว อ่าวโตเกียว และสถานที่จัดการแข่งขันโอลิมปิกและพาราลิมปิก 2020 ที่กรุงโตเกียวเป็นเจ้าภาพ รวมทั้งเป็นที่ตั้งของสถานีรถรับส่งสนามบิน หรือ Airport Limousine แห่งใหม่ ซึ่งจะเชื่อมต่อ Toranomon กับสนามบินนานาชาติของกรุงโตเกียว สำหรับรถด่วน BRT นั้นจะสามารถรับส่งผู้โดยสารได้ราว 3,000 คนต่อชั่วโมง และคาดว่าจะเป็นช่องทางคมนา คมที่สำคัญสำหรับนักกีฬาและผู้ชมจากนานาประเทศในระหว่างการแข่งขันกีฬาดัง กล่าว

Toranomon Hills Residential Tower จะประกอบด้วยที่พักอาศัยระดับพรีเมียม 600 ยูนิต ซึ่งมีกำหนดแล้วเสร็จในปี 2019 โดยจะทำให้จำนวนที่พักอาศัยในย่าน Toranomon Hills เพิ่มขึ้นเป็นประมาณ 800 ยูนิต ทั้งนี้ เพื่อตอบสนองความต้องการของนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติแบบระยะยาว อาคารสูง 56 ชั้นแห่งนี้จะนำเสนอห้องพักขนาดใหญ่และเซอร์วิสอพาร์ทเมนท์ที่เพียบพร้อม ด้วยบริการและสิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆ เช่น ห้องน้ำในตัวสไตล์ตะวันตก สปา ฟิตเนส สถานรับเลี้ยงเด็ก และบริการพนักงานที่พูดได้ 2 ภาษา ตลอด 24 ชั่วโมง สำหรับการออกแบบภายในของอาคารนั้น ทางบริษัทได้ว่าจ้าง Tony Chi นักออกแบบจากนิวยอร์ก ผู้เคยออกแบบโรงแรม Grand Hyatt Tokyo และ Andaz Tokyo มาแล้ว ในขณะเดียวกัน Christoph Ingenhoven จะรับหน้าที่ออกแบบภายนอกของอาคารแห่งนี้ โดยมุ่งเน้นให้สัมพันธ์กันอย่างกลมกลืนกับอาคาร Toranomon Hills Business Tower และ Toranomon Hills ที่สร้างอยู่ก่อนแล้ว

Toranomon Hills Station Tower จะเป็นอาคารที่มีลักษณะเฉพาะตัวที่รวมเอาอาคารสูงแบบผสมผสานที่สร้างโดย Mori และสถานีรถไฟใต้ดินแห่งใหม่ที่สร้างโดย Urban Renaissance Agency เข้าไว้ด้วยกัน โดยอาคารแห่งนี้จะเชื่อมกับสถานีรถไฟใต้ดินสาย Hibiya Line สถานีใหม่ที่จะเริ่มเปิดให้บริการในบางส่วนในปี 2020 และยังมีสวนลอยที่เชื่อมกับบริเวณอื่นๆผ่านอาคาร Toranomon Hills หลังเดิมอีกด้วย ด้วยสไตล์อันเป็นเอกลักษณ์ของ Mori Building ในการพัฒนาอาคารแบบครบวงจร ผู้มาเยือน ผู้ที่ทำงานและผู้อยู่อาศัยในย่านนี้และทั่วทั้งเมืองนี้ จึงจะได้สัมผัสกับสภาพแวดล้อมที่เขียวชอุ่ม พร้อมๆไปกับการเดินทางสัญจรที่สะดวกสบาย โครงการนี้จะได้รับการออกแบบโดย Shohei Shigematsu แห่ง OMA ร่วมกับ Rem Koolhaas ประธานผู้ก่อตั้ง ทั้งนี้ Toranomon Hills Station Tower ยังอยู่ในขั้นตอนของการสรุปรายละเอียด และมีกำหนดเปิดให้บริการในปี 2022

สำหรับระบบคมนาคมบนดิน อาคาร Toranomon Hills จะยังคงเป็นประตูที่นำไปสู่ถนนวงแหวนหมายเลข 2 ซึ่งเป็นช่องทางหลักที่จะเชื่อ มตั้งแต่ย่าน Shimbashi ไปจนถึง Toyosu เมื่อแล้วเสร็จในปี 2020 และจะทำให้พื้นที่แถบนี้เชื่อมต่อโดยตรงกับบริเวณอ่าวโตเกียวที่มีการพัฒนา อย่างรวดเร็ว

ในอนาคต Mori Buildings จะยังคงรับผิดชอบโครงการปรับภูมิทัศน์ขนาดใหญ่ใน Toranomon และพื้นที่โดยรอบ รวมทั้งสิ้น 10 โครงการ โดยมีอาคาร 3 หลังนี้เป็นหัวใจสำคัญ

รับชมข้อมูลเพิ่มเติม และดาวน์โหลดรูปภาพ/วิดีโอ:
www.mori.co.jp/dl/image.zip
www.mori.co.jp/dl/video.zip

รับชมวิดีโออย่างเป็นทางการบนยูทูบ:
https://www.youtube.com/watch?v=SuzeIhU47Yc

เกี่ยวกับ Mori Building

Mori Building Co., Ltd. ตั้งอ ยู่ในกรุงโตเกียว บริษัทสร้างสรรค์แนวคิดที่แปลกใหม่สำหรับการอยู่อาศัยในเมืองทั่วทั้ง ญี่ปุ่นและเอเชีย ในฐานะที่เป็นหนึ่งในผู้พัฒนาภูมิทัศน์เมืองระดับแนวหน้าของญี่ปุ่น Mori Building ได้มีส่วนร่วมในการปรับภูมิทัศน์เมือง การให้เช่าอสังหาริมทรัพย์ การบริหารจัดการและการให้คำปรึกษา ซึ่งครอบคลุมทั้งสถานที่พักผ่อนหย่อนใจ สำนักงาน และที่พักอาศัยระดับสูง ตัวอย่างเช่นย่าน Roppongi Hills ในโตเกียว และ Shanghai World Financial Center ทั้งนี้ Mori Building ก่อตั้งขึ้นในปี 1959 กรุณาเยี่ยมชม www.mori.co.jp/en

รับชมข่าวต้นฉบับได้ที่ businesswire.com: http://www.businesswire.com/news/home/20160412006906/en/

ติดต่อ:
สำหรับสื่อมวลชน
Weber Shandwick
Rutsuko Nakajima / Masashi Nonaka
โทร. +81-90-9006-2769 / +81-80-1037-7879
อีเมล: moribldg@webershandwick.com

จุดชมวิว sky100 Hong Kong Observation ฉลองครบรอบ 5 ปีด้วยข้อเสนอแก่นักท่องเที่ยว

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : Thai Business News

http://www.thaibusinessnews.com/

 

ฮ่องกง, จีน –(Marketwired)–18 เม.ย. 2559

– เพลินเพลินไปกับวิวทิวทัศน์ของเมือง 360 องศาจากสถานที่ท่องเที่ยวอันน่าสนใจของฮ่องกง

ด้วยทำเลที่ตั้งบนชั้นที่ 100 ของศูนย์การค้านานาชาติ International Commerce Centre ซึ่งเป็นตึกที่สูงที่สุดในฮ่องกง sky100 Hong Kong Observation Deck (sky100) จึงเป็นจุดชมวิวภายในอาคารเพียงแห่งเดียวของฮ่องกงที่สามารถชมวิวเมืองอัน สวยงามและอ่าววิคตอเรียที่มีชื่อเสียงโด่งดัง

ทั้งกลางวันและกลางคืน ดื่มด่ำกับบรรยากาศอันเงียบสงบที่ 393 เมตรเหนือระดับน้ำทะเล และเพลิดเพลินกับทัศนียภาพสวยงามจากมุมต่างๆ มากมายตามอัธยาศัยของคุณเอง ด้วยการจัดแต่งอย่างหรูหรา พื้นที่กว้างขวางและเพดานสูงโอ่อ่า sky100 คือโอเอซิสที่สมบูรณ์แบบที่สุดในการชื่นชมวิวที่สวยงดงามของฮ่องกง ในช่วงเวลานี้ เพื่อเป็น การเฉลิมฉลองครบรอบ 5 ปี ทุกวันเสาร์ตั้งแต่วันที่ 16 เมษายน ถึง 16 กรกฎาคม sky100 จะขยายเวลาในการเปิดเข้าชมจนถึงเวลา 24.00 น. (เข้าชมก่อนเวลา 23.00 น.) ซึ่งเหมาะสำหรับเป็นการพักผ่อนในช่วงสุดสัปดาห์!

แม้ว่าจะเปิดให้บริการมาเป็นเวลาเพียงแค่ห้าปี sky100 ก็ได้รับรางวัลยอดเยี่ยมติดต่อกันสองปีซ้อนในปี พ.ศ. 2557 และปี พ.ศ. 2558 จากเว็บไซต์ท่องเที่ยวที่มีชื่อเสียงอย่าง TripAdvisor นอกจากเป็นที่รู้กันว่าเป็นจุดชมวิวที่เหมาะกับการมาสูดอากาศแล้ว sky100 ยังติดอยู่ในสิบอันดับแรกของสถานที่ท่องเที่ยวที่น่าสนใจจากทั่วโลกของ Tripadvisor อีกด้วย!

คุณต้องการมาเที่ยวชม sky100 ไหม? นี่เป็นโอกาสที่คุณไม่อาจจะปล่อยให้พลาดไปได้! sky100 ภูมิใจนำเสนอ ‘Sky High 5’ ฉลองครบรอบ 5 ปี ตั้งแต่วันที่ 15 เมษายน ถึง 30 มิถุนายน พร้อมสุดยอดข้อเสนอสำหรับแขกผู้มาเยือนจากต่างประเทศ!
ข้อเสนอ   รายละเอียด

  • เป็นเจ้าภาพที่ดี มันเป็นช่วงเวลาในการมาเยี่ยมเยือนเพื่อนๆของคุณในฮ่องกง! ผู้ที่พักอาศัยอยู่ในฮ่องกงจะได้รับส่วนลด 25% สำหรับแขกผู้มาเยือนจากต่างประเทศแต่ละคนทีพวกเขาพามายัง sky100 จนถึงเข้าชมฟรีถ้าพวกเขาพาแขกมาด้วยกันสี่คน!
  • ฉลองวันเกิดของคุณไปพร้อมกันกับเรา ถ้าหากว่าอายุของแขกที่มาลงท้ายด้วย 5 (เช่น 5, 15 เป็นต้น) และเขาหรือเธอมาพร้อมกันเพื่อน เขาหรือเธอก็จะได้รับเค้กฟรีพร้อมเครื่องดื่มด้วย!
  • แพ็คเก็จถ่ายรูปสำหรับ 5 ราคาแพ็คเก็จสุดพิเศษเพียง 700 เหรียญฮ่องกง ซึ่งรวมถึงตั๋วมาตรฐานเข้าชม sky100 5 ใบและรูปถ่ายสนุกๆ 6R อีกหนึ่งใบ
  • ข้อเสนอ Sky-high Coolest เด็กๆ ที่มีตั๋วเข้าชม sky100 จะได้รับส่วนลด 25% จาก Holly Brown gelato อีกด้วย
  • จองล่วงหน้าออนไลน์ โดยจองล่วงหน้าตั๋วมาตรฐานได้ที่เว็บไซต์อย่างเป็นทางการของ sky100 ลูกค้าจะได้รับส่วนลด 15%

รูปภาพ
http://release.media-outreach.com/i/Download/4564

ตราบริษัท
http://release.media-outreach.com/i/Download/4566

สำหรับข้อมูลเพิ่มเติม กรุณาเยี่ยมชมเว็บไซต์อย่างเป็นทางการของ sky100 (www.sky100.com.hk)

ข้อมูลการติดต่อ
สำหรับสื่อมวลชนต้องการข้อมูล กรุณาติดต่อ:
sky100 Hong Kong Observation Deck
Ms Tweety Ho
Tel: (852) 2613 3831
Email: tweetyho@sky100.com.hk

เฮอร์บาไลฟ์เผยผลสำรวจโภชนาการในที่ทำงาน ชี้คนวัยทำงานในเอเชียแปซิฟิกไม่ค่อยได้เคลื่อนไหวร่างกาย ทำให้เสี่ยงเป็นโรคอ้วน

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : Thai Business News

http://www.thaibusinessnews.com/

 

ฮ่องกง–(บิสิเนส ไวร์)–18 เม.ย. 2016

– เฮอร์บาไลฟ์ เอเชียแปซิฟิก เวลเนสทัวร์ (Herbalife Asia-Pacific Wellness Tour) ครั้งที่ 5 มุ่งแก้ปัญหาสุขภาพอันเกิดจากรูปแบบการใช้ชีวิตที่ไม่ค่อยได้เคลื่อนไหวร่าง กาย รวมถึงสร้างความเข้าใจอย่างลึกซึ้งเกี่ยวกับประโยชน์ของการใช้ชีวิต อย่างกระฉับกระเฉงและมีสุขภาพดี

เฮอร์บาไลฟ์ (NYSE:HLF) บริษัทโภชนาการระดับโลก ได้เปิดเผยผลการสำรวจโภชนาการในที่ทำงาน ซึ่งชี้ให้เห็นว่า คนวัยทำงานในเอเชียแปซิฟิกส่วนใหญ่ใช้ชีวิตแบบไม่ค่อยได้เคลื่อนไหวร่างกาย ส่งผลให้มีความเสี่ยงต่อการเป็นโรคอ้วน การสำรวจนี้ [1] ออกแบบมาเพื่อทำความเข้าใจพฤติกรรมการใช้ชีวิตและทัศนคติของคนวัยทำงานรุ่น ใหม่ในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก โดยทำการสำรวจในเดือนมีนาคม และมีผู้ทำแบบสำรวจเป็นพนักงานประจำ 5,500 คน ใน 11 ประเทศเอเชียแปซิฟิก

รับชมข่าวประชาสัมพันธ์ในรูปแบบมัลติมีเดียได้ที่
http://www.businesswire.com/news/home/20160410005045/en/

Infographic - Key findings of the Nutrition At Work Survey conducted by Herbalife. (Graphic: Business Wire)

http://mms.businesswire.com/media/20160410005045/en/518405/4/Herbalife_Nutrition_at_Work_Infographic_-_final.jpg
อินโฟกราฟฟิก – ข้อมูลสำคัญที่ได้จากการสำรวจโภชนาการในที่ทำงานโดยเฮอร์บาไลฟ์ (กราฟฟิกโดยบิสิเนส ไวร์)

ผลการสำรวจพบว่า คนวัยทำงาน 9 ใน 10 (85%) นั่งอยู่กับโต๊ะทำงานอย่างน้อย 6 ชั่วโมงต่อวัน ขณะที่ 5 ใน 10 รับประทานอาหารกลางวันที่โต๊ะทำงาน 2-5 ครั้งต่อสัปดาห์ โดยอินโดนีเซียมีคนนั่งรับประทานอาหารที่โต๊ะทำงานมากที่สุด คิดเป็นสัดส่วนถึง 71%

ผลสำรวจยังเผยให้เห็นว่า คนวัยทำงานในเอเชียแปซิฟิกส่วนใหญ่ (83%) ออกกำลังกายน้อยกว่า 3 ครั้งต่อสัปดาห์ ขณะที่ 6 ใน 10 ออกแรงเคลื่อ นไหวร่างกายในที่ทำงานน้อยกว่า 30 นาทีต่อวัน สถานการณ์นี้ค่อนข้างน่าเป็นห่วงในฮ่องกง ที่มีคนวัยทำงานราว 66% ออกแรงเคลื่อนไหวร่างกายในที่ทำงานเพียง 1 ครั้งต่อสัปดาห์หรือน้อยกว่านั้น ขณะเดียวกัน 7 ใน 10 ก็ออกแรงเคลื่อนไหวร่างกายไม่ถึง 30 นาทีต่อวัน นับว่าเป็นแนวโน้มที่น่าวิตกสำหรับฮ่องกงซึ่งมีอัตราคนเป็นโรคอ้วนเพิ่มสูง ขึ้นอย่างต่อเนื่องในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา

อย่างไรก็ตาม ความเสี่ยงต่อโรคอ้วนเป็นสิ่งที่สามารถหลีกเลี่ยงได้ หากคนวัยทำงานในเอเชียแปซิฟิกมีการควบคุมอาหารและออกกำลังกาย โดยคนวัยทำงานเกือบ 7 ใน 10 (67%) ยืนยันว่าต้องการใช้ชีวิตอย่างกระฉับกระเฉงและมีสุขภาพดี แต่ส่วนใหญ่ระบุว่าการทำตัวเองให้กระฉับกระเฉงในวันทำงานเป็นเรื่องยาก

“คนวัยทำงานในเอเชียแปซิฟิกส่วนใหญ่ต้องการใช้ชีวิตอย่างกระฉับกระเฉงและมี สุขภาพดี แต่ก็ยังมีข้อจำกัดที่ขัดขวางมิให้ทำเช่นนั้นได้” แฟรงค์ แลมเบอร์ติ รองประธานอาวุโสและกรรมการผู้จัดการประจำเอเชียเหนือของเฮอร์บาไลฟ์ กล่าว “ในฐานะที่เป็นบร ิษัทโภชนาชั้นนำระดับโลก เราต้องการช่วยให้ผู้คนในภูมิภาคนี้ลุกขึ้นมาเปลี่ยนแปลงตัวเองอย่างเป็น รูปธรรมเพื่อชีวิตที่กระฉับกระเฉงและมีสุขภาพดี ด้วยการสร้างสุขนิสัยทั้งในด้านโภชนาการและการออกแรงเคลื่อนไหวร่างกายใน ชีวิตประจำวัน ด้วยหวังว่าจะช่วยลดความเสี่ยงโรคอ้วนและช่วยให้มีสุขภาพโดยรวมที่ดีขึ้นใน ระยะยาว”

เฮอร์บาไลฟ์จัดงานเฮอร์บาไลฟ์ เอเชียแปซิฟิก เวลเนสทัวร์ ครั้งที่ 5 ประจำปี 2016 ในเดือนเมษายนและพฤษภาคม โดยมีจุดมุ่งหมายเพื่อหยิบยกปัญหาสุขภาพอันเกิดจากรูปแบบการใช้ชีวิตที่ไม่ ค่อยได้เคลื่อนไหวร่างกาย รวมถึงสร้างความเข้าใจอย่างลึกซึ้งเกี่ยวกับประโยชน์ของการใช้ชีวิต อย่างกระฉับกระเฉงและมีสุขภาพดี เวลเนสทัวร์ครั้งนี้ต่อยอดความสำเร็จมาจาก 4 ครั้งที่แล้ว ซึ่งมีผู้เข้าร่วมงานมากถึง 80,000 คนจากทั่วภูมิภาค โดยในงานมีทั้งการจัดประชุมสัมมนาทางการแพทย์ การเสวนา และการทำเวิร์กช็อป ซึ่งนำโดยผู้เชี่ยวชาญ 7 ท่านจากคณะกรรมการที่ปรึกษาด้านโภชนาการของเฮอร์บาไลฟ์ การเดินสายในครั้งนี้ครอบคลุม 26 เมืองในหลายประเทศ ได้แก่ ออสเตรเลีย กัมพูชา ฮ่ องกง อินเดีย อินโดนีเซีย ญี่ปุ่น เกาหลี มาเก๊า นิวซีแลนด์ ฟิลิปปินส์ สิงคโปร์ ไต้หวัน ไทย และเวียดนาม

คณะผู้เชี่ยวชาญของเฮอร์บาไลฟ์จะมาร่วมแบ่งปันมุมมองแบบมืออาชีพในประเด็น ต่างๆที่เกี่ยวข้องกับสุขภาพ เช่น การควบคุมน้ำหนัก การสูงวัยและสุขภาพสมอง การเผาผลาญ เวชศาสตร์การกีฬา วิทยาศาสตร์การกีฬา และโภชนาการ นอกจากนั้นยังร่วมพูดคุยถึงปัญหาสุขภาพและโภชนาการอันเกิดจากรูปแบบการใช้ ชีวิตที่ไม่ค่อยได้เคลื่อนไหวร่างกาย อีกทั้งยังร่วมแบ่งปันเคล็ดลับเพื่อให้คนวัยทำงานมีสุขภาพดีขึ้น ด้วยการเปลี่ยนแปลงรูปแบบการใช้ชีวิตอย่างง่าย ทั้งนี้ ผู้เชี่ยวชาญด้านสุขภาพและการแพทย์ นักวิชาการ รวมถึงสาธารณชนทั่วไป สามารถเข้าร่วมการเสวนากับผู้เชี่ยวชาญของเฮอร์บาไลฟ์ รวมถึงทำความรู้จักกับผู้เชี่ยวชาญท่านอื่นๆที่มีความสนใจตรงกันได้ที่งาน เฮอร์บาไลฟ์ เอเชียแปซิฟิก เวลเนสทัวร์ ครั้งนี้

“ทุกครั้งที่จัดเวลเนสทัวร์ เราได้เห็นผู้คนจำนวนมากขึ้นมีความเข้าใจเกี่ยวกับการใช้ชีวิตอย่างกระฉับ กระเฉงและมีสุขภ าพดี เราหวังว่าการจัดเวลเนสทัวร์ในปีนี้จะกระตุ้นให้หลายๆคนหันมาควบคุมดูแล โภชนาการของตนพร้อมกับออกกำลังกาย เพื่อให้ได้รับประโยชน์อย่างเต็มที่จากชีวิตที่มีสุขภาพดีขึ้น” สตีเฟน คอนชี รองประธานและผู้จัดการทั่วไปประจำเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ของเฮอร์บาไลฟ์ กล่าว “สำหรับงานในปีนี้ เรามีความยินดีที่ได้ให้การต้อนรับดร.ดาร์เรน เบอร์เกสส์ สู่คณะกรรมการที่ปรึกษาด้านโภชนาการของเฮอร์บาไลฟ์ เขาผู้นี้มีความรู้ความเชี่ยวชาญอย่างลึกซึ้งในแวดวงวิทยาศาสตร์การกีฬาและ โภชนาการ เราหวังว่าเขาจะได้ร่วมแบ่งปันความรู้และมุมมองต่างๆ รวมถึงพบปะกับเหล่าผู้เชี่ยวชาญและผู้บริโภคในประเทศต่างๆ ตลอดระยะเวลาการจัดเวลเนสทัวร์ครั้งนี้”

ผู้เชี่ยวชาญจากคณะกรรมการที่ปรึกษาด้านโภชนาการของเฮอร์บาไลฟ์ที่ร่วม เวลเนสทัวร์ครั้งนี้ ประกอบไปด้วย

– ดร.เดวิด ฮีเบอร์ (Dr. David Heber) ประธานสถาบันโภชนาการเฮอร์บาไลฟ์ และประธานคณะกรรมการที่ปรึกษาด้านโภชนาการของเฮอร์บาไลฟ์ เขาเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านโภชนาการชั้นแนวหน้า ที่ ได้รับการยกย่องว่าเป็นหนึ่งใน “นักวิทยาศาสตร์ผู้ทรงอิทธิพลที่สุดในโลก” จากทอมสัน รอยเตอร์ ในปี 2014 ทั้งยังได้รับตำแหน่ง “แพทย์ที่ดีที่สุดในอเมริกา” หลายต่อหลายครั้ง

– ดร.แกรี่ สมอลล์ (Dr. Gary Small) ผู้เชี่ยวชาญด้านการสูงวัยและสุขภาพสมอง เขาได้สร้างสรรค์งานเขียนด้านวิทยาศาสตร์มากกว่า 500 ชิ้น และได้รับรางวัลแห่งเกียรติยศมากมาย รวมถึง “รางวัลนักวิจัยอาวุโส” จากสมาคมจิตเวชผู้สูงอายุแห่งสหรัฐอเมริกา

– ดร.ชิน-คุน หวัง (Dr. Chin-Kun Wang) ผู้เชี่ยวชาญด้านเมตาบอลิซึมและโภชนาการ ที่มุ่งเน้นการให้ความสำคัญกับการประเมินผลทางคลินิกของผลิตภัณฑ์เสริม โภชนาการ โภชนเภสัช ผลิตภัณฑ์อาหารสุขภาพ และสมุนไพร เขาเคยได้รับรางวัลแห่งชาติสาขาชีวการแพทย์ที่ไต้หวันเมื่อปี 2008 จากความทุ่มเทในการให้ความรู้ทางการแพทย์

– ดร.จูเลียน อัลวาเรซ การ์เซีย (Dr. Julian Alvarez Garcia) ผู้เชี่ยวชาญด้านเวชศาสตร์การกีฬาและสรีรวิทยาทางการกีฬา ซึ่งให้คำปรึกษาแก่ทีมนักกีฬามืออาชีพ ทีมนักกีฬาระดับชาติ รวมถึงนักกีฬารายบุคคลในกีฬาประเภทต่างๆ ทั้งกีฬายกน้ำหนัก ไตรกีฬา จักรยานภูเขา ฟุตบอล และบาสเกตบอล

– ดร.ดาร์เรน เบอร์เกสส์ (Dr. Darren Burgess) ผู้เชี่ยวชาญด้านวิทยาศาสตร์การกีฬาและโภชนาการ เจ้าของงานเขียนทางวิชาการมากมายที่ได้ตีพิมพ์ในวารสารที่มีกระบวนการกลั่น กรองโดยผู้ทรงคุณวุฒิ (Peer Review) ปัจจุบันเขายังดำรงตำแหน่งหัวหน้าฝ่ายเสริมสร้างสมรรถภาพของสโมสรฟุตบอล พอร์ตแอดิเลด (AFL) และเคยเป็นหัวหน้าฝ่ายสมรรถภาพและพัฒนาความพร้อมของสโมสรฟุตบอลลิเวอร์พูล

– ดร.นาทาเนียล วิยูนิสกี (Dr. Nataniel Viuniski) ผู้เชี่ยวชาญด้านกุมารเวชศาสตร์และโภชนาการ และผู้เขียน “Childhood Obesity – A Practical Guide” ปัจจุบันเขายังดำรงตำแหน่งที่ปรึกษากระทรวงสาธารณสุขและศึกษาธิการของบราซิล โดยให้คำปรึกษาเรื่องโรคอ้วนในเด็ก

– ดร.ฟรานซิส เกรกอรี ซามอนเต (Dr. Francis Gregory Samon te) แพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านระบบประสาทในเด็กชั้นแนวหน้าของฟิลิปปินส์ และเป็นชาวฟิลิปปินส์คนแรกที่ได้รับการแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งใน คณะกรรมการที่ปรึกษาด้านโภชนาการของเฮอร์บาไลฟ์ เขาเคยได้รับรางวัล Chairman’s Achievement Award จากแผนกกุมารเวชศาสตร์ มหาวิทยาลัยลุยส์วิลล์ รัฐเคนทักกี

นอกจากนั้นยังมีผู้ทรงคุณวุฒิอีกท่านที่เข้าร่วมเวลเนสทัวร์ครั้งนี้ นั่นคือ ดร.ลุยจิ กรัตตัน (Dr. Luigi Gratton) รองประธานฝ่ายการศึกษาและพัฒนาด้านโภชนาการของเฮอร์บาไลฟ์ ผู้เขียนบทความมากมายเกี่ยวกับโภชนาการและโรคอ้วน และยังเคยปรากฏตัวในรายการโทรทัศน์เพื่อให้ความรู้ในเรื่องของโภชนาการ วิทยาการชะลอวัย โภชนาการทางกีฬา และประเด็นอื่นๆทางการแพทย์

อ้างอิง
[1] การสำรวจโภชนาการในที่ทำงานของเฮอร์บาไลฟ์ จัดทำขึ้นเมื่อเดือนมีนาคม 2016 โดยผู้ทำแบบสำรวจเป็นคนวัยทำงานอายุ 18 ปีขึ้นไป จำนวน 5,500 คน ในออสเตรเลีย ฮ่องกง อินเดีย อินโดนีเซีย มาเลเซีย ฟิลิป ปินส์ สิงคโปร์ เกาหลีใต้ ไต้หวัน ไทย และเวียดนาม

เกี่ยวกับเฮอร์บาไลฟ์

เฮอร์บาไลฟ์ บริษัทโภชนาการระดับโลก ช่วยส่งเสริมให้ชีวิตผู้คนทั่วโลกมีการเปลี่ยนแปลงที่ดีขึ้นตั้งแต่ปี ค.ศ. 1980 ผลิตภัณฑ์คุณภาพของเฮอร์บาไลฟ์ ครอบคลุมตั้งแต่ผลิตภัณฑ์โภชนาการ ผลิตภัณฑ์เสริมอาหารเพื่อการจัดการน้ำหนัก ผลิตภัณฑ์เพื่อเสริมสร้างพลังงานและเพื่อการกีฬา ผลิตภัณฑ์ดูแลผิวพรรณและเส้นผม จัดจำหน่ายเพื่อการอุปโภคบริโภคส่วนตัวของสมาชิกอิสระของเฮอร์บาไลฟ์และผ่าน สมาชิกไปยังผู้บริโภคในกว่า 90 ประเทศทั่วโลก เฮอร์บาไลฟ์มุ่งมั่นที่จะต่อสู้กับสภาวะน้ำหนักเกินของผู้คนทั่วโลก ด้วยการส่งมอบผลิตภัณฑ์คุณภาพสูง พร้อมคำแนะนำเฉพาะบุคคลจากสมาชิกและชมรมของเฮอร์บาไลฟ์ ที่เป็นแรงบันดาลใจให้ผู้บริโภคได้ใช้ชีวิตอย่างมีสุขภาพดีและมีวิถีชีวิต ที่กระฉับกระเฉง

บริษัทให้การสนับสนุน เฮอร์บาไลฟ์ แฟมิลี่ ฟาวเดชั่น (Herbalife Family Foundation: HFF) และโครงการคาซ ่า เฮอร์บาไลฟ์ (Casa Herbalife) เพื่อนำพาโภชนาการที่ดีไปสู่เด็กๆ ที่ขาดแคลน อีกทั้งยังให้การสนับสนุนนักกีฬา สโมสรกีฬา รวมถึงการจัดการแข่งขันระดับโลกรวมกว่า 190 ราย อาทิ คริสเตียโน โรนัลโด ทีมฟุตบอลแอลเอ กาแล็กซี่ และนักกีฬาระดับแชมเปี้ยนของกีฬาประเภทต่างๆ

ปัจจุบัน เฮอร์บาไลฟ์มีพนักงานทั่วโลกกว่า 8,000 คน และมีหุ้นเข้าซื้อขายอยู่ในตลาดหลักทรัพย์นิวยอร์ก (NYSE: HLF) โดยมียอดขายสุทธิ 4.5 พันล้านเหรียญสหรัฐในปี ค.ศ.2015

รับชมข่าวต้นฉบับได้ที่ businesswire.com: http://www.businesswire.com/news/home/20160410005045/en/

ติดต่อ:
เฮอร์บาไลฟ์ เอเชียแปซิฟิก
Daliea Mohamad-Liauw
รองประธานฝ่ายสื่อสารองค์กรประจำเอเชียแปซิฟิก
โทร. +852-3589-2643
อีเมล: dalieal@herbalife.com

OPPLE Lighting เร่งขยายธุรกิจไปทั่วโลก ในโอกาสฉลองครบรอบ 20 ปี

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : Thai Business News

http://www.thaibusinessnews.com/

 

เซี่ยงไฮ้–(บิสิเนส ไวร์)–7 เม.ย. 2016

OPPLE Lighting ผู้ผลิตหลอดไฟและอุปกรณ์ให้แสงสว่างชั้นนำในเซี่ยงไฮ้ ประเทศจีน ประกาศเมื่อเร็วๆนี้ว่า บริษัทจะเร่งขยายธุรกิจไปทั่วโลก พร้อมยกระดับการสื่อสารและความร่วมมือกับตัวแทนจำหน่ายทั่วโลกให้ดียิ่งขึ้น เพิ่อเฉลิมฉลองการครบรอบ 20 ปีของบริษัท

รับชมข่าวประชาสัมพันธ์ในรูปแบบ Smart News Release ซึ่งประกอบด้วยสื่อมัลติมีเดียและข่าวฉบับเต็มได้ที่:
http://www.businesswire.com/cgi-bin/mmg.cgi?eid=51307174&lang=en


http://mms.businesswire.com/media/20160324005666/en/515967/4/thumb__MG_2677_1024.jpg
ทีมขายต่างประเทศของ OPPLE แนะนำผลิตภัณฑ์และสาธิตการให้บริกา รอย่างมืออาชีพ ที่งาน Light + Building 2016 ซึ่งจัดขึ้นในแฟรงก์เฟิร์ต (รูปภาพ: บิสิเนส ไวร์)

เพื่อเพิ่มการรับรู้แบรนด์ในตลาดต่างประเทศ OPPLE Lighting จึงได้เข้าร่วมงาน Light + Building 2016 เมื่อวันที่ 13-18 มีนาคม โดยปีนี้ บูธของ OPPLE Lighting ได้ย้ายจากห้องจัดแสดงจีน (Chinese Pavilion) ไปยังห้องจัดแสดงนานาชาติ (International Pavilion) ซึ่งมีพื้นที่กว้างขวางขึ้น เพื่อจัดแสดงเทคโนโลยีแสงสว่างและศิลปะการจัดไฟอันหลากหลายของบริษัท OPPLE Lighting ประสบความสำเร็จในการเปิดตัวผลิตภัณฑ์ที่เป็นนวัตกรรมและแนะนำภาพลักษณ์ของ แบรนด์สู่กลุ่มเป้าหมายในต่างประเทศ ภายใต้แนวคิด “Let’s Connect” เช่นเดียวกับการเสริมสร้างความสัมพันธ์กับลูกค้าปัจจุบันและเปิดรับโอกาสใน การได้ลูกค้ารายใหม่ๆ ซึ่งนับเป็นความก้าวหน้าอันยอดเยี่ยมของกลยุทธ์ขยายธุรกิจไปยังต่างประเทศ ของบริษัท

ในขณะเดียวกัน ด้วยวัตถุประสงค์ที่จะกระชับความสัมพันธ์ระหว่าง OPPLE Lighting กับตัวแทนจำหน่ายในประเทศไทย บริษัทยังได้จั ดการประชุม Thai Dealer Meeting ขึ้นในกรุงเทพฯ เมื่อไม่นานมานี้ เพื่อเฉลิมฉลองความสำเร็จในการร่วมมือกับตัวแทนจำหน่ายในประเทศไทย

การประชุม Thai Dealer Meeting จัดขึ้นภายใต้หัวข้อ“Grow with OPPLE” เมื่อวันที่ 12 มีนาคม โดยมีผู้เข้าร่วมประชุมทั้งสิ้น 150 ราย ซึ่งรวมถึงตัวแทนจำหน่าย 79 รายจากทั่วประเทศไทย เจ้าหน้าที่จากการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) และทีมงานของ OPPLE Lighting ในระหว่างการประชุมยังได้มีการจัดแสดงผลิตภัณฑ์ที่ได้รับความนิยมสูงสุดของ OPPLE Lighting ซึ่งรวมถึงโคมไฟดาวน์ไลท์ สปอตไลท์ หลอดไฟ สายไฟ ไฟเส้น LED ไฟประดับตกแต่ง และผลิตภัณฑ์อัจฉริยะ Little “O” ซึ่งได้รับรางวัลชนะเลิศจากเวที China International Lighting Design Awards 2015 และรางวัล Smart Lighting Product Design Award ในงานเปิดตัว Interni Global Design Power ซึ่งสร้างความตื่นเต้นให้กับตัวแทนจัดจำหน่ายเป็นอย่างยิ่ง ขณะเดียวกัน ตัวแทนจำหน่ายในประเทศไทยยังได้ร่วมแบ่งปันเรื่องราวของตน ด้านทีมขายของ OPPLE Lighting ก็ได้ร่วมแลกเปลี่ยนกลยุทธ์การตลาดและก ารส่งเสริมการตลาด

สำหรับช่วงสุดท้ายของการประชุมเป็นกิจกรรมความบันเทิงที่นำความสุขและเสียง หัวเราะมาสู่ทุกคน ด้วยการแสดงศิลปะจีนโบราณ และการแสดงอันยอดเยี่ยมจาก “บี้” นักร้องยอดนิยมของไทย ตลอดจนพิธีมอบรางวัลและการจับฉลากผู้โชคดีเพื่อรับรางวัลทองคำหนัก 20 บาท งานนี้จบลงอย่างประสบความสำเร็จ โดยตัวแทนจำหน่ายในประเทศไทยมีความเข้าใจเกี่ยวกับบริษัทและตัวผลิตภัณฑ์มาก ขึ้น และหลายรายได้สั่งซื้อสินค้าภายในงาน

เกี่ยวกับ OPPLE Lighting

OPPLE Lighting Co. Ltd. เป็นแบรนด์หลอดไฟและอุปกรณ์ให้แสงสว่างชั้นนำของจีนที่กำลังขยายตัวอย่างรวด เร็วในกว่า 70 ประเทศทั่วโลก ด้วยยอดขาย 623 ล้านยูโรในปี 2015 บริษัทมีเครือข่ายจัดจำหน่ายที่ใหญ่ที่สุดในจีน ตลอดจนจุดจำหน่ายกว่า 41,000 จุดทั่วโลก ซึ่งรวมถึงร้านค้าจำหน่ายผลิตภัณฑ์ของแบรนด์กว่า 6,000 ร้าน OPPLE มีจุดมุ่งหมายด้านนวัตกรรมอันแข็งแกร่งโดยมีสิทธิบัตรมากกว่า 1000 รายการ ซึ่งสนับสนุน โดยศูนย์ R&D อันทันสมัย และทีม R&D ซึ่งประกอบด้วยวิศวกรกว่า 300 คน

รับชมข่าวต้นฉบับได้ที่ businesswire.com: http://www.businesswire.com/cgi-bin/mmg.cgi?eid=51307174&lang=en

ติดต่อ:
OPPLE
Kiko Li
โทร: +86-21-38550000
อีเมล: lisiying@opple.com
LinkedIn: https://www.linkedin.com/company/opple-lighting
Facebook: https://www.facebook.com/OppleLightingCoLtd
Global OPPLE Website: http://www.opple.com/en

Batman v Superman Turkish Airlines Product Placement by A List Entertainment, Inc.

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : Thai Business News

http://www.thaibusinessnews.com/

 

BEVERLY HILLS, CA–(Marketwired)–April 03, 2016

A leading pioneer with 20 years in the field of product placement and branded integration, Marsha R. Levine is again recognized for her skill in initiating a lynchpin product placement and tie-in to Hollywood Warner Bros. property, “Batman v Superman: Dawn of Justice,” for Turkish Airlines.

More than 10 billion impressions for her clients are credited to Levine, through brand and product placement.

“There is an art to curating a product placement,” says Levine. “It takes a certain skill to match a brand seamlessly with a film or television show. Success is achieved when there is an understanding of the filmmaker’s sensibility of the production, the feel and emotion of characterization, and then matching a brand with a similar demographic and value.”

The Art of Curating A Product Placement view is at https://youtu.be/Ng9CknYHNnI

While the founder and CEO of A List Entertainment, Inc. has previously secured successful airline placements in Hollywood films, the Turkish Airlines placement marks the first product placement in a major motion picture for Turkish Airlines and extends Turkish Airlines’ global reach into the U.S. market. “Turkish Airlines is one of the largest tie-ins to date in the film industry, spanning multiple mediums, and WB films,” added Levine.

Levine has curated placements for well-known brands in:

– Spiderman 2 & 3 (Sony)
– The Matrix (Warner Bros.)
– The Client (Warner Bros.)
– The Pelican Brief (Warner Bros.)
– The Departed (Warner Bros.)
– Fast & Furious franchise (Universal)
– Twilight Saga Breaking Dawn 1 (Summit Entertainment)

Levine’s latest placement is Swiss Airlines in Sony’s upcoming, “Inferno,” starring Tom Hanks, to be released late 2016.

See placement compilation at https://youtu.be/8Q07qGwdqqw

“Batman v Superman” filmmaker Zack Snyder expressed praise for Turkish Airlines’ representation in the film. “Once you enter a fantastica l world like Batman v Superman and then you bring in a real world company like Turkish Airlines, you set the world as real, and that’s what I was inspired by as a filmmaker.”

Turkish Airlines has been featured in two Super Bowl ads for the film, along with a featurette in addition to film placement and licensing, all stemming from the initial product placement. Levine credits her timing in presenting and submitting the letter of intent for the placement that allowed the partnership to develop before another airline offer closed that would have been exclusive to that category.

About A List Entertainment, Inc. and Marsha R. Levine
Marsha R. Levine founded A List Entertainment, Inc. (www.AListEntertainment.com) in 1990. A pioneer in aviation and brand product placement, Levine is a leader in her field and ha s speaking engagements worldwide. Her historic placements encompass Duracell in “The Matrix” and Dr Pepper in “Spiderman 2.” Levine is one of the founders of the Product Placement Association established in 1991. She was on the board for two terms, headed its ethics committee, and was instrumental in establishing product placement guidelines and business practices.

Image Available: http://www.marketwire.com/library/MwGo/2016/3/31/11G090528/Images/BvS_Turkish_Airlines_tarmac_C-838cbf25e552832dbb31cd8930d1431d.jpg

Image Available:http://www.marketwire.com/library/MwGo/2016/3/31/11G090528/Images/BvS_GalGadot_Turkish_Airlines_trailer_-6b5b553277ed9bf8baba1d3dcdf6b62d.jpg

Image Available: http://www.marketwire.com/library/MwGo/2016/3/31/11G090528/Images/Photo_ML_Istanbul_cropped-a5f84141e90e89d08e8a8d2d9ab 9ac61.jpg

Image Available: http://www.marketwire.com/library/MwGo/2016/3/31/11G090528/Images/2_Superman_crowd-2d2313dc8308a84499ecbf2dad496319.jpg

CONTACT INFORMATION
Marsha R. Levine
A List Entertainment, Inc.
Beverly Hills, CA 90210
PHONE: 310 492 0655
EMAIL: info@alistentertainment.com
http://www.alistentertainment.com
Twitter: https://twitter.com/MLALIST
Facebook: https://www.facebook.com/AListEntertainmentInc/
LinkedIn: https://www.linkedin.com/nhome/?trk=nav_responsive_tab_home