ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์แนวหน้า
http://www.naewna.com/local/263766
วันอังคาร ที่ 4 เมษายน พ.ศ. 2560, 14.46 น.

ท้องทะเลตรัง กว้างใหญ่ไพศาล เลาะเรียบชายฝั่งทะเลตรัง 119 กิโลเมตร ปรากฎให้เห็นถึงอุดมสมบูรณ์ของทรัพยากรทางทะเลอย่างพิศุทธิ์ ไม่ว่าจะเป็นผืนป่าชายเลน ชายหาด น้ำทะเล เกาะแก่ง ยังคงใช้เป็นที่อยู่อาศัยของเหล่าสัตว์น้ำทางทะเลหลากชนิด หรือแม้กระทั้งทรัพยากรทางทะเลที่ยังคงสภาพความสมดุล ไม่ว่าจะเป็นปะการัง หญ้าทะเล หรือพืชหลากชนิดใต้ท้องทะเลกว้าง เป็นความสมบูรณ์ของการดูแลทรัพยากรทางทะเลจากเหล่าชาวประมงพื้นบ้าน ที่ยึดท้องทะเลเป็นที่ทำกินและหลับนอน การใช้ชีวิตของเหล่าชาวบ้านเลียบชายทะเล และในเกาะแก่ง มีการสานสำนึกในอันที่จะช่วยกันดูแลและรักษาทรัพยากรทางทะเลด้วยจิตใจที่เข้มแข็ง แม้ว่าที่ผ่านมาจะเผชิญกับการรุกรานจากคนที่หวังกอบโกยประโยชน์จากท้องทะเลอย่างขาดจิตสำนึก
เกาะลิบง ต.เกาะลิบง อ.กันตัง จ.ตรัง เป็นเกาะที่ใหญ่ที่สุดในท้องทะเลตรัง กระจายการปกครองออกเป็นหลายหมู่บ้าน ชาวบ้านกว่า 90 % นับถือศาสนาอิสลาม ที่ยังยึดถือขนมธรรมเนียมประเพณีวิถีชีวิตท้องถิ่นอย่างแนบแน่น ชาวบ้านส่วนใหญ่มีความผูกพันกับท้องทะเล เพราะถือว่า ท้องทะเลเป็นเสมือนอาหารหน้าบ้านที่สามารถหาเลี้ยงชีพทำกิน บนวิถีแห่งความพอเพียง ด้วยความอุดมสมบูรณ์ของท้องทะเลชาวบ้านจึงมีความคิดในอันที่จะช่วยกันดูแลรักษาทรัพยากรเหล่านั้นให้คงอยู่อย่างยั่งยืน
โดยเฉพาะสัตว์น้ำทางทะเล ชาวบ้านเกาะลิบงให้ความสำคัญ และช่วยกันดูแล “พะยูน”สัตว์เลี้ยงลูกด้วยน้ำนม เป็นสัตว์น้ำทางทะเลที่บ่งบอกถึงความสมบูรณ์ของท้องทะเล โดยสังเกตว่า หากพบฝูงพะยูนจำนวนมาก สะท้อนให้เห็นถึงความสมบูรณ์ของทะเลตรัง กลับกันหาก ฝูงพะยูน ลดลง บ่งบอกให้รู้ว่าท้องทะเลตรังขาดความสมบูรณ์ จึงมีความจำเป็นที่ชาวบ้าน จะต้องช่วยกันดูแล อนุรักษ์ “พะยูน” ให้คงอยู่กับท้องทะเลตรัง อย่างยั่งยืน

ที่ผ่านมาจะได้รับข่าวเศร้าจากท้องทะเลตรัง อยู่เป็นเนืองๆ โดยเฉพาะข่าวการเสียชีวิตของ “พะยูน”สัตว์เลี้ยงลูกด้วยน้ำนม ซึ่งเป็นสัตว์ทะเลที่หายากในท้องทะเล ที่มีนิสัยน่ารัก อ่อนโยน สังเกตได้จากที่ฝูงพะยูน อาศัยแหล่งหญ้าทะเลน้ำตื้นเป็นอาหารและเป็นที่อาศัยหลบภัย ไม่มีภัยกับเหล่าสัตว์น้ำด้วยกัน หรือแม้แต่มนุษย์เรา กลับกัน “พะยูน”มักจะถูกทำร้ายหรือคร่าชีวิตที่เกิดจากน้ำมือมนุษย์ โดยเฉพาะศัตรูตัวฉกาจ ที่ทำให้ “พะยูน” ต้องตายไปตัวแล้วตัวเล่า มาจากสาเหตุของการใช้เครื่องมือประมงผิดกฎหมาย และที่น่ากลัวยิ่งกว่านั้นก็คือ การไล่ล่าของมนุษย์เรา ที่มีความเชื่อว่า “เขี้ยวพะยูน” นำมาเป็นของขลังนำโชคให้กับผู้ครอบครองได้ แม้ว่ากระแสการอนุรักษ์พะยูน จะมาแรงแต่ก็ไม่วายที่จะได้รับข่าวเศร้าว่า พะยูนตาย พะยูนถูกไล่ล่า ดังที่ นายประจวบ โมฆรัตน์ หัวหน้าสำนักงานบริหารจัดการทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งที่ 7 (ตรัง) แจงให้รู้ว่า “ เมื่อปี พ.ศ. 2559 พะยูนในท้องทะเลตรัง เสียชีวิตไปจำนวน 7 ตัว และในปี 2560 เสียชีวิตไปแล้ว 1 ตัว” เป็นเรื่องที่น่าวิตก และหวั่นว่า “พะยูน” จะเสียชีวิตที่ส่วนใหญ่เกิดจากฝีมือของเครื่องมือประมงอวนลอย อวนติดตาข่ายชนิดต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นอวนปลาสีเสียด อวนลอยปลากะพง อวนสามชั้น อวนจมปู อวนปลากระเบน และโป๊ะ
อีกทั้งบริเวณเกาะตะลิบง-เกาะมุกด์ เป็นแหล่ง ธุรกิจการท่องเที่ยว เรือทัวร์ต่างๆ โรงแรมและรีสอร์ทต่างๆเพิ่มจำนวนมากขึ้นทุกวัน หรือธุรกิจที่พาคนออกไปดูพะยูน กิจกรรมต่างๆที่เกิดขึ้นดูเสมือนว่าจะไม่ได้มีใครมองปัญหาที่จะเกิดขึ้นในอนาคต ว่าจะมีผลกระทบกับพะยูนและหญ้าทะเล โดยเฉพาะบริเวณแหลมจุโหย เกาะลิบงซึ่งเป็นสวรรค์ของพะยูน เวลาน้ำขึ้นเต็มที่พะยูนกว่า 50 ชีวิตมารวมกันหากิน และในปีนี้ ทางจังหวัด อำเภอกันตัง และชาวบ้านเกาะลิบง หันมาให้ความสนใจมีการปลุกกระแสให้มีการช่วยกันดูแลพะยูน ด้วยการจัดกิจกรรมเสวนา “รักพะยูน”ที่เกาะลิบงขึ้นโดยมีภาคส่วนราชการ ผู้นำท้องที่ ท้องถิ่น ผู้นำชุมชน และชาวบ้านร่วมเสวนา ใช้สถานที่ ท่าเทียบเรือหาดยาว-เจ้าไหม ต.เกาะลิบง อ.กันตัง เป็นจุดสร้างกระแส จุดประกาย ให้ทุกคนกันมาให้ความสนใจกับพะยูนมากขึ้นกว่าเดิม
โดยมี นายกมล ประเสริฐกุล นายอำเภอกันตัง นายสิทธิพร จิเหลา นายก อบต.เกาะลิบง นายชัยพฤกษ์ ชีวะวงค์ หัวหน้าเขตห้ามล่าพันธุ์สัตว์ป่าหมู่เกาะลิบง นายอับดุลรอหีม ขุนรักษา กำนันตำบลเกาะลิบง นายสุเทพ ขันชัย ประธานกลุ่มพิทักษ์ดุหยงเกาะลิบง และนายมาโนช วงษ์สุรีรัตน์ หน.อุทยานแห่งชาติหาดเจ้ไหม ร่วมวงเสวนา
นายกมล กล่าวในวงเสวนาว่า การเสวนา “รักพะยูนที่เกาะลิบง” เป็นภารกิจของอ.กันตังในการพัฒนาและส่งเสริมการท่องเที่ยว เนื่องจากช่วงนี้เป็นฤดูกาลท่องเที่ยว มีนักท่องเที่ยวเดินทางมาเที่ยว อ.กันตังเป็นจำนวนมาก และที่เป็นไฮไลต์ คือการท่องเที่ยวทางทะเล โดยมีเกาะลิบง เกาะมุกด์ เกาะกระดาน รวมทั้งถ้ำมรกตที่มีชือเสียงของ จ.ตรัง โดยเฉพาะเกาะลิบงมีแหล่งท่องเที่ยว 25 จุด แล้วยังมีจุดชมพะยูน ซึ่งเป็นจุดที่นักท่องเทียวให้ความสนใจเป็นอย่างมาก ซึ่งในวันนี้ทางเครือข่ายภาคี ได้ร่วมกันให้ข้อมูลด้านการท่องเที่ยวของเกาะลิบง แก่ผุ้มาท่องเที่ยว ซึ่งจำนวนพะยูนที่มีอยู่ในท้องทะเลตรังบริเวณเกาะลิบง มีจำนวนที่เพิ่มขึ้น จากเดิมที่มีอยุ่ 100 ตัว ปัจจุบันเพิมขึ้นเป็น 150 ตัว โดยการเฝ้าระวังระหว่างชาวบ้านในพื้นที่รวมทั้งภาคภาคีช่วยกันดูแลอนุรักษ์พะยูนรวมทั้งแหล่งอาหารหญ้าทะเล ซึ่งขณะนี้ทาง อ.กันตัง ได้มีการ ประชาสัมพันธ์แหล่งท่องเที่ยวดโดยให้ประชาชนเข้ามามีส่วนร่วมด้วยการส่งเสริมการท่องเที่ยวโดยชุมชน

ขณะที่ นายสิทธิพร ให้ความเห็นว่า ในส่วนของแหล่งท่องเที่ยวเกาะลิบง มีการประชาสัมพันธ์ด้านการท่องเที่ยวเป็นประจำ รวมทั้งมีการจัดกิจกรรมด้านการท่องเที่ยว ไม่ว่าจะเป็นจุดชมพะยูน หาดทุ่งหญ้าคา วิถีชีวิตของพี่น้องเกาะลิบง เป็นวิถีชีวิตของชาวมุสลิม 98 เปอร์เซ็นต์ นักท่องเที่ยวที่เดินทางเข้ามาเที่ยวเกาะลิบงจะเกิดความประทับใจถึงความมีน้ำใจของพี่น้องชาวเกาะลิบง มิตรไมตรีของชาวบ้านเกาะลิบง นอกจากนี้เกาะลิบงยังมีอาหารทะเลสดจากทะเล คิดว่าความพร้อมดังกล่าวสามารถต้อนรับนักท่องเที่ยวได้อย่างเต็มที่ ในส่วนของจุดชมพะยูนมี 2 จุด เป็นหอชมวิถีชีวิตสัตว์น้ำ สร้างไว้สูงประมาณ 21 เมตร สามารถมองเห็นพะยูนได้ตลอดเวลาที่น้ำทะเลขึ้นมา อีกทั้งยังมีความสมบูรณ์ของหญ้าทะเลที่มีอยู่ 12 ชนิด และอยู่ในเกาะลิบง 11 ชนิด เป็นแหล่งหญ้าทะเลที่อุดมสมบูรณ์ ฝูงพะยูนประมาณ 150 กว่าตัว อาศัยแหล่งหญ้าทะเล ในส่วนของการอนุรักษ์พะยูนในพื้นที่นอกจากชาวบ้านแล้วยังมีภาคส่วนราชการเข้ามาช่าวยดูแลด้วย อีกทั้งยังส่งเสริมให้เยาวชนเข้ามาดูแลพะยูนอีกด้วย เป็นการอนุรักษ์พะยูน
ทางด้าน นายชัยพฤกษ์ บอกว่า ในส่วนของเขตห้ามล่าเกาะลิบง จัดทำเครือข่ายดูแลพะยูนประกอบด้วยชาวบ้าน กลุ่มอนุรักษ์พะยูนในท้องถิ่นด้วยการประสานงานร่วมกัน โดยออกคำสั่งให้เจ้าหน้าที่ออกตรวจเครื่องมือประมงที่ผิดกฎหมาย เพื่อดูแลประชากรพะยูนไม่ให้ถูกล่า โดยจะมีการจัดทำข้อมูลจำนวนพะยูนแต่ละปี ว่าเพิ่มขึ้นหรือลดลงอย่างไร ซึ่งขณะนี้มีอยู่ประมาณ150 ตัว นอกจากนี้นยังมีสร้างเครือข่ายกลุ่มองค์กรอนุรักษ์ต่าง ๆ ช่วยกันดูแลพะยูน “จากการที่ปฏิบัติการมาทุกปี การเสียชีวิตของพะยูน ลดน้อยลงช่วงแรกๆ พะยูนจะเสียชีวิตประมาณปีละ 10 ตัว ได้ลดลงมาเรื่อยๆ จนถึงบัดนี้จำนวนพะยูนเสียชีวิตลดลงที่ผ่านมา สถิติการเกิดของพะยูนเพิ่มขึ้น โดยพบฝูงพะยูนแม่ลูกเพิ่มขึ้น ประมาณ 10 กว่าคู่ เป็นกลุ่ม ๆ ละ 20 กว่าตัว สาเหตุการเสียชีวิตของพะยูนมาจากเครื่องมือประมงผิดกฎหมาย ซึ่งทางเขตห้ามล่าฯ ได้มีการกวดขัน ตรวจสอบ ไม่ให้ชาวประมงนำเครื่องมือผิดกฎหมายมาใช้ ซึ่งจริง ๆ แล้วพะยูนที่เสียชีวิตเกิดจากสาเหตุเครื่องมือประมงผิดกฎหมาย ไม่ได้ถูกล่าตามที่ปรากฏเป็นข่าว” นายชัยพฤกษ์ กล่าว

นายอับดุลรอหีม กล่าวในตอนท้ายว่า ในส่วนของท้องที่มีส่วนดูแลอนุรักษ์พะยูนมาตั้งแต่ 20 กว่าปีที่ผ่านมา เริ่มทราบข่าวว่ากลุ่มพะยูนมาอาศัยอยู่บริเวณเกาะลิบง ซึ่งขณะนี้ทางชุมชนมีแนวร่วมเครือข่ายภาคี กลุ่มอนุรักษ์ดุหยง นักเรียนโรงเรีนบ้านบาตูปูเต๊ะ ซึ่งเป็นเครือข่ายช่วยอนุรักษ์?การปลูกหญ้าทะเล รวมทั้งการดูแล พะยูน นอกจากนี้ทางมหาวิทยาลัยราชมงคลศรีวิชัยฯ ได้ทำการวิจัยเกี่ยวกับเรื่องพะยูนอีกด้วย ถ้าหากเกิดเหตุพะยูนตาย จะมีชาวประมงเป็นเครือข่ายแจ้งข่าวมายังผู้นำในพื้นที่ หรือแม้กระทั่งจะมีเรือประมงจากนอกพื้นที่เข้ามายังเขตท้องทะเลเกาะลิบง ก็จะมีการแจ้งข่าวมายังพื้นที่เพื่อรับทราบ สำหรับปัญหาที่ผ่านมาของการดูแลพะยูนมีไม่มากนัก เนื่องจากชุมชนร่วมมือกั้นให้การดูแลมาโดยตลอด ไม่ว่าที่ผ่านมาจะเกิดข่าวเศร้าพะยูนตาย ซึ่งมิทราบจากสาเหตุอะไรก็ต้องยอมรับว่าชุมชนเองจะต้องเข้ามาดูแลอนุรักษ์พะยูนให้อยู่คู่กับเกาะลิบงต่อไป
“ล่าสุดศูนย์วิจัยและพัฒนาทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งทะเลอันดามัน นำโดย ดร.ก้องเกียรติ กิตติวัฒนาวงศ์ นักวิชาการประมงชำนาญการกลุ่มสัตว์ทะเลหายาก พร้อมเจ้าหน้าที่และนักบินชาวต่างชาติ นำเครื่องบินเล็ก 2 ที่นั่ง จำนวน 2 ลำ ทำการบินสำรวจพะยูนในทะเลตรัง โดยเฉพาะบริเวณ รอบเกาะลิบง เกาะมุกด์ เพื่อสำรวจนับจำนวนประชากรพะยูนที่มีอยู่พบว่า ฝูงพะยูนเพิ่มจำนวนมากขึ้นเป็นรวมฝูงใหญ่ขึ้น อีกทั้งยังพบพะยูนคู่แม่ลูก เพิ่มจำนวนขึ้นด้วยมากกว่า 10 คู่ เจอพะยูนระหว่าง 60 ตัว ถึง 150 ตัว การสำรวจบินสำรวจพะยูนทางอากาศติดต่อกันปีนี้เป็นปีที่ 10 พบพะยูนหลายฝูง และฝูงพะยูนก็มีขนาดใหญ่ขึ้น พะยูนบางฝูงอยู่รวมกันมากกว่า 30 ตัว และที่สำคัญได้พบพะยูนคู่แม่ลูกเพิ่มจำนวนขึ้น ไม่น้อยกว่า 10 คู่ ซึ่งเป็นสัญญาณที่ดีเป็นข้อมูลที่ดีว่าพะยูนมีการเจริญเติบโตของประชากรเพิ่มขึ้น”
การจัดกิจกรรมของกลุ่มก้อนทั้งภาครัฐ เอกชน องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ชาวบ้าน นักเรียน ในครั้งนี้ บ่งบอกให้สังคมได้รับรู้ว่า ภายในท้องทะเลตรัง จะต้องมี “พะยูน” อยู่คู่ การุกราน ทำร้ายพะยูนจะต้องลดน้อยลง อย่างน้อยของการจัดกิจกรรมในครั้งนี้ จะเป็นประกายเล็กๆในอันที่จะช่วยกันอนุรักษ์พะยูนให้อยู่คู่ท้องทะเลสืบไป