9จังหวัดเหนืออ่วมค่าฝุ่นเกินมาตรฐาน‘ปภ.’เร่งสกัดเผาป่าเตือนพายุ25-29มี.ค.
ทุกจังหวัดภาคเหนืออ่วมฝุ่นละอองเกินค่ามาตรฐานปภ.เร่งแก้ปัญหา หมอกควันไฟป่าทุกมิติ พร้อมเตือนทั่วประเทศรับมืออากาศแปรปรวน พายุฝนกระหน่ำ 25-29มี.ค. ส่วนสถานการณ์วาตภัยที่ผ่านมา มี22จังหวัด ได้รับผลกระทบ บ้านพังกว่า 4พันหลัง เร่งประสานช่วยเหลือแล้ว
เมื่อวันที่ 24มีนาคม นายจตุพร บุรุษพัฒน์ อธิบดีกรมควบคุมมลพิษ (คพ.) กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม(ทส.) เปิดเผยว่า จากการตรวจสอบสภาพอากาศในวันนี้ พบว่าภาคเหนือทุกจังหวัดอากาศแย่ที่สุดในรอบปี โดยพบฝุ่นละอองสูงกว่าเกณฑ์มาตรฐานทั้ง 9 จังหวัด โดยค่าสูงสุดที่ตรวจวัดได้อยู่ที่ ต.บ้านดง อ.แม่เมาะ จ.ลำปาง วัดได้ 237 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตร ส่วนจังหวัดอื่นๆ ล้วนแต่สูงเกินค่ามาตรฐานคือ 120 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตรทั้งสิ้น สาเหตุหลักมาจาก 2 เรื่องคือ ลมที่พัดมาจากพื้นที่ฝั่งตะวันตกหรือจากประเทศเมียนมา รวมทั้งมีลมจากพื้นดินดันขึ้นข้างบน ซึ่งข้อมูลจากสำนักงานพัฒนาเทคโนโลยีอวกาศและภูมิสารสนเทศ (องค์การมหาชน) หรือจิสด้า แจ้งว่าภาพรวมการเกิดจุดความร้อนในพื้นที่ชายแดนไทย-เมียนมา วันนี้มี 234 จุด ส่วนที่ประเทศเมียนมาทั้งประเทศมีมากถึง 2,034 จุด
ส่วนอีกประการคือ ยังคงมีการลักลอบเผาเพื่อหาของป่า ล่าสัตว์ และการเตรียมพื้นที่เกษตร อย่างไรก็ตาม ขณะนี้ ได้ทำหนังสือแจ้งไปทางรัฐบาลเมียนมาแล้ว ส่วนของประเทศไทยนั้น ยอมรับว่ามีบางพื้นที่ที่ยังมีการลักลอบเผากันอยู่ แต่จากมาตรการที่ทำมาโดยตลอดนั้น พอใจระดับหนึ่ง เพราะสามารถกำจัดและลดปริมาณการเกิดหมอกควันน้อยกว่าปีที่แล้วได้มาก
นายฉัตรชัย พรหมเลิศ อธิบดีกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย(ปภ.) กล่าวถึงการแก้ปัญหาสถานการณ์หมอกควันไฟป่าว่า ปภ. ได้ประสาน 9 จังหวัดภาคเหนือดำเนินการป้องกันและแก้ไขปัญหาไฟป่าและหมอกควันอย่างเข้มข้น โดยใช้กลไก “ประชารัฐ” ขับเคลื่อนการทำงานในมิติเชิงพื้นที่ พร้อมจัดตั้งกองอำนวยการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยจังหวัดและอำเภอ เป็นศูนย์กลางในการอำนวยการ สั่งการ ควบคุมปัญหาไฟป่าและหมอกควัน จัดเจ้าหน้าที่เฝ้าระวังสถานการณ์ ติดตามข้อมูลคุณภาพอากาศและประเมินสถานการณ์อย่างใกล้ชิด
นอกจากนี้ ยังได้จัดกำลังอาสาสมัครเฝ้าระวังไฟป่าและเพิ่มความถี่ในการลาดตระเวน รวมถึงดำเนินมาตรการควบคุมการเผาอย่างเคร่งครัด โดยเฉพาะพื้นที่ป่าไม้ เน้นการบังคับใช้กฎหมายกับผู้ลักลอบจุดไฟเผา พื้นที่เกษตรกรรมให้กำหนดช่วงเวลาและจัดระเบียบการเผา ประกาศเขตห้ามเผา ส่งเสริมการจัดทำแนวกันไฟ และรณรงค์การไถกลบแทนการเผา
ส่วนพื้นที่ริมทางหลวง ให้เฝ้าระวังการเผาในเขตริมทางหลวงอย่างเข้มข้น อีกทั้งจัดเตรียมอุปกรณ์ดับเพลิงให้พร้อมปฏิบัติการระงับไฟป่า ระดมรถบรรทุกน้ำและเครื่องมือฉีดพ่นน้ำเพิ่มความชื้นและลดปริมาณฝุ่นละอองในอากาศ พร้อมประชาสัมพันธ์ผลกระทบของหมอกควันต่อสุขภาพอนามัย และข้อมูลคุณภาพอากาศ รวมถึงคำแนะนำในการปฏิบัติตนแก่ประชาชน ตลอดจนขอความร่วมมือประชาชนงดเว้นการเผาขยะและเศษวัสดุทางการเกษตร เพื่อลดระดับความรุนแรงของสถานการณ์หมอกควันมิให้วิกฤตมากขึ้น
สำหรับประชาชนที่อาศัยในพื้นที่ที่มีหมอกควันปกคลุมให้หลีกเลี่ยงการประกอบกิจกรรมในที่โล่งแจ้งเป็นเวลานาน ส่วนผู้ขับขี่ให้เพิ่มความระมัดระวังในการใช้รถใช้ถนน เป็นพิเศษ เพราะทัศนวิสัยในการมองเห็นเส้นทางอยู่ในระดับต่ำ จะเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดอุบัติเหตุทางถนน
อธิบดี ปภ. เปิดเผยด้วยว่า จากการตรวจสอบสภาพอากาศกับกรมอุตุนิยมวิทยาพบว่าประเทศไทยมีสภาวะอากาศแปรปรวน ซึ่งจะมีพายุฤดูร้อนเกิดขึ้น โดยมีพายุฝนฟ้าคะนอง ลมกระโชกแรง กับลูกเห็บตกบางพื้นที่ ซึ่งมีพื้นที่ได้รับผลกระทบ ดังนี้ ช่วงวันที่ 25-26 มีนาคม จะมีพายุฤดูร้อนบริเวณภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ภาคตะวันออก และช่วงวันที่ 27-29 มีนาคม จะเกิดพายุฤดูร้อนเพิ่มมากขึ้น ครอบคลุมพื้นที่ภาคเหนือ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ภาคตะวันออก ภาคกลาง กรุงเทพมหานครและปริมณฑล ส่วนภาคใต้จะมีฝนตกหนักบางแห่ง ปภ.จึงได้ประสานจังหวัด ปภ.เขตและปภ.ในพื้นที่เสี่ยงภัย เตรียมพร้อมรับมือสภาพอากาศแปรปรวน พายุฤดูร้อน และฝนตกหนักบางพื้นที่ในช่วงวันที่ 25-29มีนาคม
สำหรับสถานการณ์วาตภัย ในช่วงวันที่ 14-24มีนาคมที่ผ่านมา มีพื้นที่ได้รับผลกระทบ รวม 22 จังหวัด 65 อำเภอ 115 ตำบล 398 หมู่บ้าน บ้านเรือนเสียหาย 4,726 หลัง ผู้เสียชีวิต 3 ราย แยกเป็นภาคตะวันออกเฉียงเหนือ 13จังหวัด ได้แก่ อุบลราชธานี ศรีสะเกษ สุรินทร์ เลย สกลนคร มหาสารคาม นครราชสีมา หนองคาย ร้อยเอ็ด ขอนแก่น ชัยภูมิ บึงกาฬ และอำนาจเจริญ ภาคเหนือ 1จังหวัด ได้แก่ พะเยา ภาคกลาง 6จังหวัด ได้แก่ ลพบุรี เพชรบูรณ์ นครสวรรค์ สุโขทัย ชัยนาท และกำแพงเพชรและภาคตะวันออก 2จังหวัด ได้แก่ จ.สระแก้วและจ.ตราด
นายฉัตรชัย กล่าวว่า ปภ.ได้ประสานจังหวัด หน่วยทหาร องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งให้การช่วยเหลือผู้ประสบภัยในเบื้องต้น ซ่อมแซมบ้านเรือนแก่ผู้ประสบภัยโดยด่วนแล้ว รวมถึงจัดเจ้าหน้าที่สำรวจ ประเมินและจัดทำบัญชีข้อมูลความเสียหายเพื่อดำเนินการช่วยเหลือตามระเบียบกระทรวงการคลัง ชดเชยความเสียหายของบ้านเรือน อีกทั้งจ่ายเงินสงเคราะห์ค่าจัดการศพตามระเบียบและหลักเกณฑ์ที่กำหนดแก่ครอบครัวผู้เสียชีวิต