เหนือ-อีสานกระทบวาตภัย22จ. ซ่อมบ้าน-ชดเชยเงินช่วยเหลือ

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์แนวหน้า

http://www.naewna.com/local/261939

วันศุกร์ ที่ 24 มีนาคม พ.ศ. 2560, 11.32 น.

24 มี.ค.60 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า กระทรวงมหาดไทยโดยกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย (ปภ.) รายงานช่วงวันที่ 14 – 24 มีนาคม 2560 มีพื้นที่ได้รับผลกระทบจากวาตภัยรวม 22 จังหวัด 65 อำเภอ 115 ตำบล 398 หมู่บ้าน บ้านเรือนประชาชนเสียหาย 4,726 หลัง ผู้เสียชีวิต 3 ราย ซึ่ง ปภ.ได้ร่วมกับหน่วยทหาร จังหวัด และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งสำรวจความเสียหาย แจกจ่ายเครื่องอุปโภคบริโภค อุปกรณ์ซ่อมแซมบ้านเรือน และให้การช่วยเหลือผู้ประสบภัยตามระเบียบกระทรวงการคลังฯ โดยด่วนแล้ว พร้อมประสานทุกจังหวัดเตรียมพร้อมรับมือพายุฝนฟ้าคะนองและลมกระโชกแรง  ช่วงวันที่ 25 – 29 มีนาคม 2560 โดยจัดเจ้าหน้าที่ติดตามสภาพอากาศ เฝ้าระวังสถานการณ์ภัย รวมถึงเตรียมพร้อมปฏิบัติการเผชิญเหตุและช่วยเหลือผู้ประสบภัยอย่างทันท่วงที

นายฉัตรชัย พรหมเลิศ อธิบดีกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย (ปภ.) เปิดเผยว่า ในช่วงวันที่ 14 – 24 มีนาคม 2560 มีพื้นที่ได้รับผลกระทบจากวาตภัย รวม 22 จังหวัด 65 อำเภอ 115 ตำบล 398 หมู่บ้าน บ้านเรือนประชาชนเสียหาย 4,726 หลัง ผู้เสียชีวิต 3 ราย แยกเป็น ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ 13 จังหวัด ได้แก่ อุบลราชธานี ศรีสะเกษ สุรินทร์ เลย สกลนคร มหาสารคาม นครราชสีมา หนองคาย ร้อยเอ็ด ขอนแก่น ชัยภูมิ บึงกาฬ และอำนาจเจริญ ภาคเหนือ 1 จังหวัด ได้แก่ พะเยา ภาคกลาง 6 จังหวัด ได้แก่ ลพบุรี เพชรบูรณ์ นครสวรรค์ สุโขทัย ชัยนาท และกำแพงเพชร และภาคตะวันออก 2 จังหวัด ได้แก่ สระแก้ว และตราด ซึ่งกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยได้ประสานจังหวัด หน่วยทหาร องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งให้การช่วยเหลือผู้ประสบภัย

ในเบื้องต้นโดยแจกจ่ายเครื่องอุปโภคบริโภค กระเบื้องมุงหลังคา และวัสดุอุปกรณ์ซ่อมแซมบ้านเรือนแก่ผู้ประสบภัยโดยด่วนแล้ว รวมถึงจัดเจ้าหน้าที่สำรวจ ประเมินและจัดทำบัญชีข้อมูลความเสียหาย เพื่อดำเนินการช่วยเหลือตามระเบียบกระทรวงการคลังฯ ทั้งการชดเชยความเสียหายของบ้านเรือนเป็นวัสดุก่อสร้าง หรือจ่ายเงินช่วยเหลือตามความเหมาะสม อีกทั้งจ่ายเงินสงเคราะห์ค่าจัดการศพ ตามระเบียบและหลักเกณฑ์ที่กำหนดแก่ครอบครัวผู้เสียชีวิต

ทั้งนี้ จากการติดตามสภาพอากาศกับกรมอุตุนิยมวิทยา พบว่าในช่วงวันที่ 25–29 มีนาคม 2560 ประเทศไทยมีสภาพอากาศแปรปรวน ทำให้เกิดพายุฤดูร้อนในทุกพื้นที่ของประเทศไทย ในลักษณะพายุฝนฟ้าคะนอง ลมกระโชกแรง และลูกเห็บตกบางพื้นที่ ปภ.จึงได้ประสานทุกจังหวัดเตรียมรับมือพายุฝนฟ้าคะนอง

โดยจัดเจ้าหน้าที่ติดตามสภาพอากาศและเฝ้าระวังสถานการณ์ภัย อีกทั้งจัดเตรียมวัสดุอุปกรณ์ให้พร้อมปฏิบัติการเผชิญเหตุและช่วยเหลือผู้ประสบภัยอย่างทันท่วงที ตลอดจนแจ้งเตือนประชาชนให้ระมัดระวังอันตรายจากพายุลมแรง อยู่ให้ห่างจากต้นไม้ใหญ่ ป้ายโฆษณา และสิ่งก่อสร้างที่ไม่แข็งแรงในระยะนี้ไว้ด้วย ท้ายนี้ ประชาชนที่ได้รับความเดือดร้อนจากพายุฤดูร้อนสามารถติดต่อขอความช่วยเหลือได้ทางสายด่วนนิรภัย 1784 ตลอด 24 ชั่วโมง เพื่อประสานให้การช่วยเหลือโดยด่วนต่อไป

9จ.เหนือหมอกควันเกินมาตรฐาน ปภ.ประสานแก้หมอกควัน-ไฟป่า

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์แนวหน้า

http://www.naewna.com/local/261938

วันศุกร์ ที่ 24 มีนาคม พ.ศ. 2560, 11.15 น.

24 มี.ค.60 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า กระทรวงมหาดไทย โดยกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย (ปภ.) รายงานคุณภาพอากาศในพื้นที่ภาคเหนือ ณ วันที่ 24 มีนาคม 2560 เวลา 05.00 น.มีปริมาณฝุ่นละอองในอากาศเกินค่ามาตรฐาน และส่งผลกระทบต่อสุขภาพ ทั้ง 9 จังหวัด ได้แก่ ลำปาง แม่ฮ่องสอน ตาก เชียงราย เชียงใหม่ แพร่ พะเยา ลำพูน และน่าน ทั้งนี้ ปภ.ได้ประสาน 9 จังหวัดภาคเหนือดำเนินการป้องกันและแก้ไขปัญหาไฟป่าและหมอกควันอย่างเข้มข้น

โดยใช้กลไก “ประชารัฐ” พร้อมจัดตั้งกองอำนวยการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยจังหวัดและอำเภอ จัดเจ้าหน้าที่เฝ้าระวังสถานการณ์ ติดตามข้อมูลคุณภาพอากาศ และประเมินสถานการณ์อย่างใกล้ชิด รวมถึงดำเนินมาตรการควบคุมการเผาในพื้นที่ป่าไม้ พื้นที่การเกษตร และพื้นที่ริมทางหลวงอย่างเคร่งครัด อีกทั้งจัดเตรียมอุปกรณ์ดับเพลิงให้พร้อมปฏิบัติการระงับไฟป่า ระดมรถบรรทุกน้ำและเครื่องมือฉีดพ่นน้ำเพิ่มความชื้น และลดปริมาณฝุ่นละอองในอากาศ ตลอดจนขอความร่วมมือประชาชนงดเว้นการเผาขยะและเศษวัสดุทางการเกษตร เพื่อลดระดับความรุนแรงของสถานการณ์หมอกควันมิให้วิกฤตมากขึ้น

นายฉัตรชัย พรหมเลิศ อธิบดีกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย (ปภ.) เปิดเผยว่า จากการประสานข้อมูลคุณภาพอากาศกับ   กรมควบคุมมลพิษ เมื่อวันที่ 24 มีนาคม 2560 เวลา 05.00 น. พบว่า พื้นที่ภาคเหนือ 9 จังหวัด ได้แก่ เชียงราย เชียงใหม่ ลำปาง ลำพูน แม่ฮ่องสอน น่าน แพร่ พะเยา และตาก ปริมาณฝุ่นละอองขนาดเล็กไม่เกิน 10 ไมครอน (PM10)  เฉลี่ย 24 ชั่วโมง มีค่าระหว่าง 119 – 249 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตร และดัชนีคุณภาพอากาศ (AQI) มีค่าระหว่าง 104 – 156 ซึ่งคุณภาพอากาศในภาพรวมอยู่ในระดับส่งผลกระทบต่อสุขภาพตามลำดับดังนี้

ลำปาง ในพื้นที่ตำบลบ้านดง อำเภอแม่เมาะ ปริมาณฝุ่นละอองขนาดเล็กไม่เกิน 10 ไมครอน (PM10) เฉลี่ย 24 ชั่วโมง มีค่า 249 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตร และดัชนีคุณภาพอากาศ (AQI) มีค่า 156 แม่ฮ่องสอน ในพื้นที่ตำบลจองคำ อำเภอเมืองแม่ฮ่องสอน ปริมาณฝุ่นละอองขนาดเล็กไม่เกิน 10 ไมครอน (PM10) เฉลี่ย 24 ชั่วโมง มีค่า 186 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตร และดัชนีคุณภาพอากาศ (AQI) มีค่า 129

ในพื้นที่ตำบลแม่ปะ อำเภอแม่สอด ปริมาณฝุ่นละอองขนาดเล็กไม่เกิน 10 ไมครอน (PM10) เฉลี่ย 24 ชั่วโมง มีค่า 178 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตร และดัชนีคุณภาพอากาศ (AQI) มีค่า 126

ในพื้นที่ตำบลเวียงพางคำ อำเภอแม่สาย มีคุณภาพอากาศเกินค่ามาตรฐานและอยู่ในระดับส่งผลกระทบต่อสุขภาพ ปริมาณฝุ่นละอองขนาดเล็กไม่เกิน 10 ไมครอน (PM10) เฉลี่ย 24 ชั่วโมง มีค่า 154 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตร และดัชนีคุณภาพอากาศ (AQI) มีค่า 115

ในพื้นที่ตำบลช้างเผือก อำเภอเมืองเชียงใหม่ ปริมาณฝุ่นละอองขนาดเล็กไม่เกิน 10 ไมครอน (PM10) เฉลี่ย 24 ชั่วโมง มีค่า 150 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตร และดัชนีคุณภาพอากาศ (AQI) มีค่า 115

ในพื้นที่ตำบลนาจักร อำเภอเมืองแพร่ ปริมาณฝุ่นละอองขนาดเล็กไม่เกิน 10 ไมครอน (PM10) เฉลี่ย 24 ชั่วโมง มีค่า 147 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตร และดัชนีคุณภาพอากาศ (AQI) มีค่า 112 พะเยา ในพื้นที่ตำบลเวียง อำเภอเมืองพะเยา ปริมาณฝุ่นละอองขนาดเล็กไม่เกิน 10 ไมครอน (PM10) เฉลี่ย 24 ชั่วโมง มีค่า 130 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตร และดัชนีคุณภาพอากาศ (AQI) มีค่า 105

ในพื้นที่ตำบลในเมือง อำเภอเมืองลำพูน ปริมาณฝุ่นละอองขนาดเล็กไม่เกิน 10 ไมครอน (PM10) เฉลี่ย 24 ชั่วโมง มีค่า 127 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตร และดัชนีคุณภาพอากาศ (AQI) มีค่า 104

ในพื้นที่ตำบลในเวียง อำเภอเมืองน่าน ปริมาณฝุ่นละอองขนาดเล็กไม่เกิน 10 ไมครอน (PM10) เฉลี่ย 24 ชั่วโมง มีค่า 119 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตร และดัชนีคุณภาพอากาศ (AQI) มีค่า 111

ทั้งนี้กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย (ปภ.) ได้ประสาน 9 จังหวัดภาคเหนือดำเนินการป้องกันและแก้ไขปัญหาไฟป่าและหมอกควันอย่างเข้มข้น โดยใช้กลไก “ประชารัฐ” ขับเคลื่อนการทำงานในมิติเชิงพื้นที่ พร้อมจัดตั้งกองอำนวยการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยจังหวัดและอำเภอ เป็นศูนย์กลางในการอำนวยการ สั่งการ ควบคุมปัญหาไฟป่าและหมอกควัน จัดเจ้าหน้าที่เฝ้าระวังสถานการณ์ ติดตามข้อมูลคุณภาพอากาศและประเมินสถานการณ์อย่างใกล้ชิด จัดกำลังอาสาสมัครเฝ้าระวังไฟป่าและเพิ่มความถี่ในการลาดตระเวน รวมถึงดำเนินมาตรการควบคุมการเผาอย่างเคร่งครัด

โดยเฉพาะพื้นที่ป่าไม้ เน้นการบังคับใช้กฎหมายกับผู้ลักลอบจุดไฟเผา พื้นที่เกษตรกรรมให้กำหนดช่วงเวลาและจัดระเบียบการเผา ประกาศเขตห้ามเผา ส่งเสริมการจัดทำแนวกันไฟ และรณรงค์การไถกลบแทนการเผา ส่วนพื้นที่ริมทางหลวง ให้เฝ้าระวังการเผาในเขตริมทางหลวงอย่างเข้มข้น อีกทั้งจัดเตรียมอุปกรณ์ดับเพลิงให้พร้อมปฏิบัติการระงับไฟป่า ระดมรถบรรทุกน้ำและเครื่องมือฉีดพ่นน้ำเพิ่มความชื้นและลดปริมาณฝุ่นละอองในอากาศ พร้อมประชาสัมพันธ์ผลกระทบของหมอกควันต่อสุขภาพอนามัย และข้อมูลคุณภาพอากาศ รวมถึงคำแนะนำในการปฏิบัติตนแก่ประชาชน ตลอดจนขอความร่วมมือประชาชนงดเว้นการเผาขยะและเศษวัสดุทางการเกษตร เพื่อลดระดับความรุนแรงของสถานการณ์หมอกควันมิให้วิกฤตมากขึ้น

สำหรับประชาชนที่อาศัยในพื้นที่ที่มีหมอกควันปกคลุม ให้หลีกเลี่ยงการประกอบกิจกรรมในที่โล่งแจ้งเป็นเวลานาน เพราะจะสูดดมฝุ่นละอองจำนวนมากเข้าสู่ร่างกาย อาจทำให้เจ็บป่วยได้ รวมถึงใช้ผ้าเช็ดหน้าหรือหน้ากากอนามัยปิดปากและจมูกทุกครั้งที่ออกนอกบ้าน เพื่อป้องกันมิให้สูดดมฝุ่นละอองเข้าสู่ร่างกาย ส่วนผู้ขับขี่ให้เพิ่มความระมัดระวังในการใช้รถใช้ถนน เป็นพิเศษ เพราะทัศนวิสัยในการมองเห็นเส้นทางอยู่ในระดับต่ำ จะเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดอุบัติเหตุทางถนน สำหรับประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากหมอกควัน สามารถติดต่อได้ที่สายด่วนนิรภัย 1784 ตลอด 24 ชั่วโมง เพื่อประสานแก้ไขปัญหาโดยด่วนต่อไป

 

เชียงรายแล้งหนัก!ลำธารแห้งขอด ชาวบ้านควักเงินต่อท่อหาน้ำใช้

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์แนวหน้า

http://www.naewna.com/local/261935

วันศุกร์ ที่ 24 มีนาคม พ.ศ. 2560, 11.05 น.

24 มี.ค.60 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นายสุนันท์ เมอะแล ชาวบ้านบ้านอาดุใหม่ หมู่ 11 ตำบลแม่ยาว อำเภอเมือง จังหวัดเชียราย พร้อมด้วยภรรยา ต้องทำการท่อน้ำขนาดเล็กจากแหล่งน้ำธรรมชาติในป่าลึก ที่ยังมีน้ำไหลตามลำธารธรรมชาติ ระยะทางห่างจากหมู่บ้าน 2 กิโลเมตร เพื่อนำน้ำมามายังบ้านตัวเอง และให้ชาวบ้านอาดุใหม่ มีน้ำใช้ด้วย

โดยเป็นการลงทุนซื้อท่อน้ำด้วยตนเอง ในการเดินท่อน้ำจากแหล่งน้ำมายังหมู่บ้าน เพราะขณะนี้น้ำที่ใช้อยู่ที่ใกล้หมู่บ้าน ไม่มีน้ำใช้แล้ว ลำธารหลายจุดแห้งขอดลง จึงจำเป็นต้องต่อน้ำมาแหล่งน้ำอื่น หากไม่ทำก็จะไม่มีน้ำใช้ตลอดฤดูแล้ง

นายสุนันท์ เปิดเผยว่า หมู่บ้านอาดุในปัจจุบันนั้น เริ่มประสบปัญหาภัยแล้งอย่างรุนแรง เพราะน้ำใช้ปกติที่เป็นลำธารใกล้หมู่บ้านน้ำแห้งขอด จึงต้องหาแหล่งน้ำใหม่ ซึ่งแหล่งน้ำใหม่ก็อยู่ห่างไกลจากหมู่บ้าน กว่า 2 กิโลเมตร จึงตัดสินใจว่าต้องซื้อท่อน้ำมาต่อน้ำใช้ด้วยตัวเอง ส่วนหนึ่งจะทำประตูน้ำแยก เพื่อให้น้ำลงถังน้ำหน้าหมู่บ้านอาดุใหม่ และอีกท่อหนึ่งต่อเข้าบ้านตัวเอง

เพราะการต่อน้ำให้ลงถังหน้าหมู่บ้านนั้น ก็เพื่อให้ชาวบ้านคนอื่นๆได้ใช้น้ำด้วยงคิดว่ามีอะไรต้องช่วยกัน ถึงแม้ว่าจะต่อน้ำมาใช้เองก็ตาม ซึ่งชาวบ้านก็มีน้ำใจ หากมาใช้น้ำก็จะให้เงิน 5 บาท หรือ 10 บาท แล้วแต่กำลังของแต่ละบ้าน ซึ่งตนเองทำไปแล้ว ก็ภาคภูมิใจที่ได้ช่วยเหลือซึ่งกันและกัน ในช่วงประสบปัญหาภัยแล้งหนักนี้

 

พายุฤดูร้อนทำอากาศแปรปรวน ปปช.รับมือ-ใต้ตกหนักบางพื้นที่

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์แนวหน้า

http://www.naewna.com/local/261931

วันศุกร์ ที่ 24 มีนาคม พ.ศ. 2560, 10.46 น.

24 มี.ค.60 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า กระทรวงมหาดไทย โดยกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย (ปภ.) ประสานจังหวัดภาคเหนือ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ภาคตะวันออก ภาคกลาง กรุงเทพมหานครและปริมณฑล เตรียมพร้อมรับมือพายุฤดูร้อนในช่วงวันที่ 25 – 29 มีนาคม 2560 ในขณะที่ภาคใต้จะมีฝนตกหนักบางแห่ง

โดยจัดเจ้าหน้าที่ติดตามสภาพอากาศและเฝ้าระวังสถานการณ์ภัยอย่างใกล้ชิด จัดเตรียมชุดเคลื่อนที่เร็ว และวัสดุอุปกรณ์ให้พร้อมปฏิบัติการเผชิญเหตุและช่วยเหลือผู้ประสบภัยอย่างทันท่วงที รวมถึงสำรวจท่อระบายน้ำ ทางระบายน้ำไม่ให้มีสิ่งกีดขวางทางน้ำ เพื่อป้องกันน้ำท่วมขัง ตลอดจนตรวจสอบสิ่งก่อสร้างและป้ายโฆษณาให้อยู่ในสภาพมั่นคงแข็งแรง ตัดแต่งกิ่งไม้และต้นไม้ที่เสี่ยงต่อการโค่นล้มบริเวณริมถนนและในพื้นที่ชุมชน เพื่อป้องกันอันตรายจากการล้มทับในช่วงที่มีลมกระโชกแรง

นายฉัตรชัย พรหมเลิศ อธิบดีกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย (ปภ.) เปิดเผยว่า จากการตรวจสอบสภาพอากาศกับกรมอุตุนิยมวิทยา พบว่า ประเทศไทยมีสภาวะอากาศแปรปรวน ซึ่งจะมีพายุฤดูร้อนเกิดขึ้น โดยมีพายุฝนฟ้าคะนอง ลมกระโชกแรง กับลูกเห็บตกบางพื้นที่ ซึ่งมีพื้นที่ได้รับผลกระทบ ดังนี้ ช่วงวันที่  25 – 26 มีนาคม 2560 จะมีพายุฤดูร้อนบริเวณภาคตะวันออก เฉียงเหนือ ภาคตะวันออก และช่วงวันที่ 27 – 29 มีนาคม 2560 จะเกิดพายุฤดูร้อนเพิ่มมากขึ้น ครอบคลุมพื้นที่ภาคเหนือ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ภาคตะวันออก ภาคกลาง กรุงเทพมหานครและปริมณฑล ส่วนภาคใต้จะมีฝนตกหนักบางแห่ง

กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย จึงได้ประสานจังหวัด ศูนย์ป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยเขต และสำนักงานป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยจังหวัดในพื้นที่เสี่ยงภัย เตรียมพร้อมรับมือสภาพอากาศแปรปรวน พายุฤดูร้อน และฝนตกหนักบางพื้นที่ในช่วงวันที่ 25 – 29 มีนาคม 2560 จัดเจ้าหน้าที่และมิสเตอร์เตือนภัยติดตามสภาพอากาศอย่างใกล้ชิด เฝ้าระวังสถานการณ์ภัยตลอด 24 ชั่วโมง พร้อมทั้งจัดเตรียมเจ้าหน้าที่ชุดเผชิญเหตุ อาสาสมัครป้องกันภัยฝ่ายพลเรือน ทีมกู้ชีพกู้ภัยประจำตำบล ชุดกู้ชีพกู้ภัยทางน้ำและทางทะเล รวมถึงเครื่องมืออุปกรณ์ประจำพื้นที่เสี่ยงให้พร้อมปฏิบัติเผชิญเหตุและช่วยเหลือผู้ประสบภัยในทันทีที่เกิดภัย อีกทั้งสำรวจท่อระบายน้ำ ทางระบายน้ำไม่ให้มีสิ่งกีดขวางทางน้ำ เพื่อป้องกันน้ำท่วมขัง รวมถึงตรวจสอบสิ่งก่อสร้างในพื้นที่สาธารณะและป้ายโฆษณาให้อยู่ในสภาพมั่นคงแข็งแรง ตัดแต่งกิ่งไม้และต้นไม้ที่เสี่ยงต่อการโค่นล้มบริเวณริมถนนและในพื้นที่ชุมชน เพื่อป้องกันอันตรายจากการล้มทับ พร้อมแจ้งเตือนประชาชนให้ระมัดระวังอันตรายจากสภาพอากาศแปรปรวน โดยดำเนินการผ่านวิทยุกระจายเสียง เสียงตามสาย หอกระจายข่าวประจำหมู่บ้าน เครือข่ายวิทยุสมัครเล่น สถานีโทรทัศน์ เคเบิ้ลทีวี และสื่อสังคมออนไลน์ สำหรับประชาชนที่อาศัยอยู่ในพื้นที่เสี่ยงภัยให้ติดตามพยากรณ์อากาศและปฏิบัติตามประกาศเตือนภัยอย่างเคร่งครัด จัดเก็บสิ่งของที่ปลิวลมได้ในที่มิดชิด ดูแลสิ่งปลูกสร้างให้อยู่ในสภาพมั่นคงแข็งแรง

โดยเฉพาะต้นไม้ที่เสี่ยงต่อการหักโค่น เมื่อเกิดพายุฝนฟ้าคะนอง ให้หลบเข้าไปอยู่ในอาคารหรือบ้านเรือนที่มั่นคงแข็งแรง ปิดประตูและหน้าต่างให้มิดชิด เพื่อป้องกันแรงลมพัดสิ่งของเข้ามาในบ้าน ไม่หลบใต้ต้นไม้ใหญ่ใกล้ป้ายโฆษณา เสาไฟฟ้า หรือสิ่งปลูกสร้างที่ไม่มั่นคงแข็งแรง รวมถึงไม่เข้าใกล้บริเวณที่เป็นโลหะ ไม่สวมใส่เครื่องประดับประเภทเงิน ทอง นาค  รวมถึงงดเว้นการใช้เครื่องมือสื่อสารและอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ ในช่วงที่เกิดพายุฝนฟ้าคะนอง เพื่อป้องกันอันตรายจากการถูกฟ้าผ่า สำหรับเกษตรกรให้จัดทำที่ค้ำยันต้นไม้หรือที่กำบังปกคลุมผลผลิตทางการเกษตร เพื่อป้องกันความเสียหายจากพายุฝนและลมพัดแรง

ทั้งนี้ ประชาชนที่ได้รับความเดือดร้อนพายุฤดูร้อน สามารถติดต่อขอความช่วยเหลือได้ทางสายด่วนนิรภัย 1784 ตลอด 24 ชั่วโมง เพื่อประสานให้การช่วยเหลือโดยด่วนต่อไป

ปี2560คาดอุณหภูมิร้อนพุ่งสูง!! ภัยธรรมชาติรุนแรง-น้ำแข็งละลาย(ชมคลิป)

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์แนวหน้า

http://www.naewna.com/local/261921

วันศุกร์ ที่ 24 มีนาคม พ.ศ. 2560, 09.08 น.

24 มี.ค.60 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า องค์การอุตุนิยมวิทยาโลก (WMO) ได้ออกมาเผยว่า อุณหภูมิความร้อนเมื่อปี 2016 ปีที่ผ่านมาอุณหภูมิโลกพุ่งสูงที่สุดเป็นประวัติการณ์

โดยคาดว่าในปี 2017หรือปี 2560 นี้ แนวโน้มดังกล่าวจะดำเนินอย่างต่อเนื่อง ซึ่งก็คือสภาพอากาศที่จะร้อนขึ้นกว่าเดิม และที่สำคัญปริมาณน้ำแข็งในมหาสมุทรจะลดลง แน่นอนว่าจะนำไปสู่ปัญหาระดับน้ำทะเลที่เพิ่มสูงขึ้น

อย่างไรก็ตาม ประชากรบนโลกนี้ อาจจะต้องเผชิญภัยธรรมชาติต่างๆ เช่น พายุ น้ำท่วม ภัยแล้ง และไฟป่า ที่จะเพิ่มความรุนแรงมากขึ้น

คลิกที่ภาพเพื่อชมคลิป

ขอบคุณข้อมูล :บีบีซีไทย – BBC Thai

 

เปิด3เวทีใหญ่จันทร์นี้ ฟังความเห็นโรงไฟฟ้า

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์แนวหน้า

http://www.naewna.com/local/261898

วันศุกร์ ที่ 24 มีนาคม พ.ศ. 2560, 06.00 น.

ผบ.ทบ.จัดเต็มสั่งผุด 3 เวทีใหญ่ที่สุราษฎร์ธานี กระบี่และสงขลา รับฟังความเห็นทุกฝ่าย ก่อนสร้างโรงไฟฟ้าปักษ์ใต้ด้าน”บิ๊กป้อม”สั่งแม่ทัพภาคที่ 4 ดูแลความสงบห้ามป่วนเวที ยันระยะเวลา 1 เดือนเพียงพอแล้ว

เมื่อวันที่ 23 พล.อ. เฉลิมชัย สิทธิสาท ผู้บัญชาการทหารบก ผบ.ทบ.และเลขาธิการคณะรักษาความสงบแห่งชาติ(คสช.)ในฐานะประธานคณะกรรมการสร้างความรู้ ความเข้าใจ และรับทราบความคิดเห็นเกี่ยวกับสถานการณ์พลังงานไฟฟ้าในพื้นที่ภาคใต้ ตามคำสั่ง คสช.ที่4/2560 กล่าวว่า ในวันจันทร์ 27 มีนาคม คสช.ร่วมกับหน่วยงานด้านความมั่นคงและฝ่ายปกครอง จัดเวทีสร้างความรู้ ความเข้าใจ และรับทราบความคิดเห็นเกี่ยวกับสถานการณ์พลังงานไฟฟ้าในพื้นที่ภาคใต้

โดยจัดที่จังหวัดกระบี่ จังหวัดสงขลา และจังหวัดสุราษฎร์ธานี เพื่อสร้างความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับสถานการณ์พลังงานไฟฟ้าแก่ประชาชนในพื้นที่ภาคใต้ 14 จังหวัด

ทั้งนี้ เวทีที่ 1 จัดที่โรงแรมไดมอนด์พลาซ่า จังหวัดสุราษฎร์ธานี ครอบคลุมพื้นที่ 4 จังหวัด ได้แก่ ชุมพร ระนอง สุราษฎร์ธานี และนครศรีธรรมราช มีผู้เข้าร่วมงานจำนวน 1,360 คน เวทีที่ 2 จัดที่โรงแรมเมอริไทม์ จังหวัดกระบี่ ครอบคลุมพื้นที่ 4 จังหวัด ได้แก่ พังงา ภูเก็ต กระบี่ และตรัง มีผู้เข้าร่วมงานจำนวน 1,380 คน

และเวทีที่ 3 จัดที่ศูนย์ประชุมนานาชาติฉลองสิริราชสมบัติครบ 60 ปี มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ จังหวัดสงขลา ครอบคลุมพื้นที่ 6 จังหวัด คือ พัทลุง สตูล สงขลา ปัตตานี ยะลา และนราธิวาส มีผู้เข้าร่วมงานจำนวน 1,480 คน

ผบ.ทบ.กล่าวว่า สำหรับกิจกรรมในภาคเช้าเป็นการนำเสนอข้อมูลจากภาครัฐ ประกอบด้วย กระทรวงพลังงาน โดยสำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน (สนพ.) นำเสนอสถานการณ์การใช้ไฟฟ้าในพื้นที่ภาคใต้ การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) นำเสนอทางเลือกที่เหมาะสมและความเป็นไปได้เกี่ยวกับการสร้างโรงไฟฟ้า กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม นำเสนอข้อพิจารณาผลกระทบต่อทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม

ส่วนกิจกรรมในภาคบ่ายเป็นการนำเสนอความคิดเห็นจากผู้แทนในจังหวัดต่างๆ ซึ่งมีคณาจารย์ผู้ทรงคุณวุฒิจากสถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ (นิด้า) เป็นผู้ควบคุมเวทีและสรุปข้อมูลความคิดเห็นทั้งหมด เพื่อจัดทำรายงานนำเสนอต่อ คสช.

“การนำเสนอความคิดเห็นในเวทีนี้ ยังไม่ใช่ข้อสรุปที่ คสช. และรัฐบาลจะนำไปประกอบการตัดสินใจสร้างโรงไฟฟ้า แต่จัดขึ้นเพื่อให้ทุกภาคส่วนได้รับทราบความคิดเห็นซึ่งกันและกันรวมทั้งเพื่อหาทางออกให้ประชาชนได้รับผลกระทบน้อยที่สุด ขณะเดียวกันก็ต้องรักษาผลประโยชน์ของประเทศชาติด้วย” พล.อ.เฉลิมชัย กล่าว

ทั้งยืนยันว่า นายกรัฐมนตรี และ คสช. มีความห่วงใยสถานการณ์พลังงานของประเทศ เพราะเป็นปัจจัยสำคัญต่อการดำเนินชีวิตของประชาชนและต่อการพัฒนาประเทศ โดยเฉพาะภาคใต้มีการประกอบอาชีพในด้านประมง ด้านเกษตรกรรม ด้านอุตสาหกรรม ตลอดจนด้านธุรกิจท่องเที่ยวจำนวนมาก ซึ่งต้องอาศัยพลังงานไฟฟ้าขับเคลื่อนทั้งสิ้น

พล.อ.เฉลิมชัย ยังกล่าวยืนยันถึงความจำเป็นของรัฐบาล ในการสร้างความมั่นคงด้านพลังงานไฟฟ้าในภาคใต้ ต้องดำเนินการเร่งด่วน และต้องรับฟังความคิดเห็นหาทางออกให้กับทุกฝ่าย

ด้านพล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรีรัฐฝ่ายความมั่นคง และรมว.กลาโหม กล่าวว่า แผนงานดังกล่าวเพื่อรองรับฟังความคิดเห็นของประชาชน ที่เกี่ยวกับพลังงานที่อยู่ในพื้นที่ภาคใต้ ซึ่งปัจจุบันรัฐบาลผลิตพลังงานได้จำนวนที่ไม่เพียงพอต่อความต้องการ จะต้องทำอย่างไร ก็ต้องว่ากันไป ไม่ต้องเป็นห่วง โดยให้ พล.ท.ปิยวัฒน์ นาควานิช แม่ทัพภาคที่ 4 จะดูแลในเรื่องดังกล่าว ส่วนระยะเวลารับฟังเพียง 1 เดือนจะเพียงพอหรือไม่นั้นเนื่องจากปัญหาในพื้นที่รุนแรง ตนคิดว่าเพียงพอ

ชิง!เผาแนวกันไฟหน้าผาภูกระดึง ถางหญ้า-ป้องกันไฟป่าลุมลาม

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์แนวหน้า

http://www.naewna.com/local/261788

วันพฤหัสบดี ที่ 23 มีนาคม พ.ศ. 2560, 14.05 น.

23 มี.ค.60 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นายอดิสร เหมทานนท์ หัวหน้าสถานีควบคุมไฟป่าภูกระดึง จ.เลยกล่าวว่า การจัดทำแนวกันไฟป้องกันไฟป่าบริเวณขอบหน้าผาเส้นผาหล่มสัก ถึง ผาเมษา ดำเนินการเพื่อตัดทอนความต่อเนื่องของเชื้อเพลิง ที่มีอันตรายสูง ยิ่งในช่วงนี้ไฟป่ามีการจุดเพิ่มขึ้นจำนวนมาก เพื่อเป็นการป้องกันไม่ให้ไฟลุกลามเข้าไปในพื้นที่ ที่ทำการป้องกันหรือลุกลามออกนอกพื้นที่ ที่กำหนดแนวกันไฟจะทำล่วงหน้าก่อนเกิดไฟไหม้

โดยดำเนินการในพื้นที่ ที่มีเชื้อเพลิงสะสมหนาแน่น และเสี่ยงต่อการเกิดไฟป่ารุนแรง โดยเฉพาะพื้นที่ทุ่งหญ้า-ป่าสน บนยอดภูกระดึง ที่มีกว่า 60 ตารางกิโลเมตร (37,500 ไร่) และนอกจากนี้แนวกันไฟยังใช้เป็นเส้นทางตรวจการณ์ระวังไฟป่า และเป็นเส้นทางลำเลียงเจ้าหน้าที่และเครื่องมือดับไฟป่า หรือใช้เป็นแนวสำหรับการดับไฟป่าทางอ้อม โดยวิธีเผากลับได้อีกด้วย

ในการจัดทำแนวป้องกันไฟป่าบริเวณขอบหน้าผา เส้นผาหล่มสักถึง ผาเมษา นั้น สถานีควบคุมไฟป่าภูกระดึงจะดำเนินการตามแผนฯการปฏิบัติงาน ที่ได้รับจากกรมอุทยานแห่งชาติสัตว์ป่าและพันธุ์พืช โดยสถานีฯ จะกำหนดพื้นที่ที่จะดำเนินการจัดทำแนวกันไฟ เมื่อกำหนดพื้นที่เป้าหมายได้แล้วจะดำเนินการจัดทำแนวกันไฟ โดยดำเนินการติดป้ายแนวกันไฟ เพื่อเป็นการประชาสัมพันธ์ให้บุคคลภายนอก ได้ทราบถึงการปฏิบัติงานของสถานีฯ

เมื่อติดตั้งป้ายแนวกันไฟเสร็จแล้ว ก็เริ่มดำเนินการจัดทำแนวกันไฟ โดยการถางเพื่อกำจัดเชื้อเพลิง จำพวกหญ้าให้ขาดแยกออกจากกัน ตรงบริเวณขอบแนวกันไฟทั้งสองด้าน โดยแนวกันไฟบริเวณทุ่งหญ้า-ป่าสน จะต้องมีความกว้างประมาณ 40–80 เมตร

ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับสภาพพื้นที่และปริมาณเชื้อเพลิง จากนั้นเมื่อกำจัดเชื้อเพลิงจำพวกหญ้า ทั้งสองขอบแนวกันไฟออกแล้วจึงดำเนินการเผากำจัดเชื้อเพลิงในแนวกันไฟโดยแบ่งพื้นที่ออกเป็นช่วงๆ ตลอดความยาวของแนวกันไฟ เพื่อป้องกันไฟไม่ให้ลุกลามออกนอกแนวกันไฟ ในการจุดไฟเผากำจัดเชื้อเพลิง จะเริ่มจุดไฟเผาบริเวณเหนือลมก่อน

ทั้งนี้จะต้องเฝ้าระวังไฟภายในแนวกันไฟ ต่อมาให้เริ่มจุดไฟบริเวณใต้ลม เมื่อไฟไหม้เชื้อเพลิงภายในแนวกันไฟหมดแล้วนั้น ผู้ที่ปฏิบัติงานทำแนวกันไฟ จะต้องสำรวจจัดเก็บความเรียบร้อยของเชื้อเพลิงภายในแนวกันไฟให้ดับสนิท โดยการใช้น้ำรดเพื่อดับไฟบริเวณขอนไม้เล็กๆที่ติดไฟ ให้ดับสนิทไม่ให้มีควันเหลืออยู่

 

ซับน้ำตา!ศรีสะเกษประสบวาตภัย ซ่อมแซมบ้านเรือนหลังพายุซัด

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์แนวหน้า

http://www.naewna.com/local/261783

วันพฤหัสบดี ที่ 23 มีนาคม พ.ศ. 2560, 13.43 น.

23 มี.ค.60 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อเวลา 10.00 น.ที่บ้านตัง หมู่ 6 ต.หนองแค อ.ราษีไศล จ.ศรีสะเกษ พ.อ.ชลิต บรรจงปรุ ผบ.กกล.รส. จ.ศรีสะเกษ สั่งการให้ พ.ท. วรากร ธนยั่งยืน ผบ.ร้อย กกล.รส.กองพันทหารปืนใหญ่ที่ 106 กรมทหารปืนใหญ่ที่ 6 นำกำลังพลลงพื้นที่ ต.หนองแค อ.ราษีไศล เพื่อช่วยเหลือซ่อมแซมบ้านเรือนประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากเหตุวาตภัย เพื่อบรรเทาความเดือดร้อน

โดยมีนาย กรุงไทย ชิณราช นายก อบต.หนองแค จัดสรรเงินงบกลางซื้อวัสดุก่อสร้างมาช่วยเหลือ นายสุพจน์ แสนมี นายอำเภอราษีไศล พร้อมด้วย นาย สุวรรณ หอมกลิ่น กำนันตำบลหนองแค ให้การต้อนรับ มีชาวบ้านในหมู่บ้านตังมา ช่วยออกแรงในการซ่อมแซมในครั้งนี้ด้วย

พ.ท. วรากร ธนยั่งยืน ผบ.ร้อย กกล.รส.จ.ศรีสะเกษ กล่าวว่า สืบเนื่องจากได้เกิดเหตุการณ์ ลมพายุฤดูร้อนเข้าพัดถล่มในพื้นที่อำเภอราษีไศล เป็นเหตุให้มีบ้านเรือนประชาชนพังเสียหายกว่า 504 ครัวเรือน ทาง ผบ.กกล.รส.จ.ศรีสะเกษ จึงได้สั่งการให้กำลังพลออกมาร่วมกับองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น และชาวบ้านในพื้นที่ ให้การช่วยเหลือในการซ่อมแซมบ้านเรือนราษฎร เพื่อบรรเทาความเดือดร้อน ไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายในการจ้างช่างมาซ่อมแซมบ้านเรือน

นายสุพจน์ แสนมี นายอำเภอราษีไศล เปิดเผยว่า จากที่มีเหตุวาตภัยที่รุนแรงขึ้นในพื้นที่อำเภอราษีไศล ส่งผลให้เกิดผลกระทบเป็นวงกว้าง  ทำให้ได้รับความเสียหายในพื้นที่ 5 ตำบล 24 หมู่บ้าน  จากการตรวจสอบแล้ว มีบ้านเรือนพังเสียหาย มีผู้ได้รับความเดือดร้อน 584 ครัวเรือน วันนี้เจ้าหน้าที่ทหารกองกำลังรักษาความสงบเรียบร้อยจังหวัดศรีสะเกษ ได้ลงพื้นที่มาช่วยเหลือในการซ่อมแซมบ้านเรือนที่พังเสียหายประชาชนได้รับความเดือดร้อนที่บ้านตัง หมู่ 6 ต.หนองแค และนอกจากนั้นตนได้สั่งการให้ทางองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นตามนโยบายของผู้ว่าราชการจังหวัดศรีสะเกษได้เร่งรัดให้การช่วยเหลือประชาชนที่ได้รับความเดือดร้อนโดยเร่งด่วนแล้ว

ส่วน นาย กรุงไทย ชิณราช นายก อบต.หนองแค กล่าวว่า ก็ต้องขอขอบคุณกองกำลังรักษาความสงบเรียบร้อยจังหวัดศรีสะเกษ ที่ได้ส่งกำลังพลมาช่วยเหลือในการซ่อมแซมบ้านเรือนประชาชน ซึ่งองค์การบริหารส่วนตำบลหนองแคก็ได้จัดสรรเงินงบกลางเป็นจำนวน 300,000 บาทในการซื้อวัสดุอุปกรณ์ในการซ่อมแซมบ้านเรือนประชาชนในครั้งนี้

ด้านนายเส็ง อาจศรี อายุ 59 ปี ราษฎรบ้านตัง ซึ่งเป็นหนึ่งในชาวบ้านที่ได้รับผลกระทบจากพยุฤดูร้อนพัดถล่มในครั้งนี้  กล่าวว่า  ตนเป็นคนหนึ่งที่ได้รับผลกระทบจากพายุพัด บ้านและยุ้งฉางพร้อมทั้งคอกเลี้ยงสัตว์ของตนถูกลมพายุพัดพังเสียหาย ก็เกิดความเสียใจ เมื่อเกิดการสูญเสีย แต่มาวันนี้ ได้รับการช่วยเหลือจากทางทหาร  ทางอำเภอและ อบต. ตนและชาวบ้านทั้งหมรู้สึกดีใจที่ทุกหน่วยงานเร่งให้การช่วยเหลือ

 

5จ.เหนือคุณภาพอากาศยังวิกฤต! เร่งประสานลดผลกระทบหมอกควัน

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์แนวหน้า

http://www.naewna.com/local/261772

วันพฤหัสบดี ที่ 23 มีนาคม พ.ศ. 2560, 12.40 น.

23 มี.ค.60 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า กระทรวงมหาดไทย โดยกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย (ปภ.) รายงาน 5 จังหวัดภาคเหนือ ได้แก่ ลำปาง แม่ฮ่องสอน ตาก แพร่ และเชียงราย คุณภาพอากาศอยู่ในระดับที่ส่งผลกระทบต่อสุขภาพ

ทั้งนี้ ปภ.ได้ประสาน 9 จังหวัดภาคเหนือ ดำเนินการป้องกันและแก้ไขปัญหาไฟป่าและหมอกควันอย่างเข้มข้น โดยใช้กลไก “ประชารัฐ” พร้อมจัดตั้งกองอำนวยการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยจังหวัดและอำเภอ จัดเจ้าหน้าที่เฝ้าระวังสถานการณ์ ติดตามข้อมูลคุณภาพอากาศ และประเมินสถานการณ์อย่างใกล้ชิด รวมถึงดำเนินมาตรการควบคุมการเผาในพื้นที่ป่าไม้พื้นที่การเกษตร และพื้นที่ริมทางหลวงอย่างเคร่งครัด อีกทั้งจัดเตรียมอุปกรณ์ดับเพลิงให้พร้อมปฏิบัติการระงับไฟป่า ระดมรถบรรทุกน้ำและเครื่องมือฉีดพ่นน้ำเพิ่มความชื้นและลดปริมาณฝุ่นละอองในอากาศ ตลอดจนขอความร่วมมือประชาชนงดเว้นการเผาขยะและเศษวัสดุทางการเกษตร เพื่อลดระดับความรุนแรงของสถานการณ์หมอกควันมิให้วิกฤตมากขึ้น

นายฉัตรชัย พรหมเลิศ อธิบดีกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย (ปภ.) เปิดเผยว่า จากการประสานข้อมูลคุณภาพอากาศกับกรมควบคุมมลพิษ เมื่อวันที่ 23 มีนาคม 2560 เวลา 09.00 น. พบว่า 9 จังหวัดภาคเหนือ ได้แก่ เชียงราย เชียงใหม่ ลำปาง ลำพูน แม่ฮ่องสอน น่าน แพร่ พะเยา และตาก ปริมาณฝุ่นละอองขนาดเล็กไม่เกิน 10 ไมครอน (PM10) เฉลี่ย 24 ชั่วโมง มีค่าระหว่าง 72 – 233 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตร ซึ่งคุณภาพอากาศในภาพรวมอยู่ในระดับปานกลาง ถึงส่งผลกระทบต่อสุขภาพ

โดยมี 5 จังหวัด คุณภาพอากาศเกินเกณฑ์มาตรฐานและอยู่ในระดับส่งผลกระทบต่อสุขภาพ ได้แก่ ลำปาง ในพื้นที่ 2 อำเภอ แยกเป็น อำเภอเมืองลำปาง ตำบลพระบาท ค่า PM10 183 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตร ค่า AQI 128 อำเภอแม่เมาะ จำนวน 2 ตำบล ได้แก่ ตำบลบ้านดง ค่า PM10 233 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตร ค่า AQI 149 ตำบลแม่เมาะ ค่า PM10                       151 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตร ค่า AQI 114 แม่ฮ่องสอน ในพื้นที่ตำบลจองคำ อำเภอเมืองแม่ฮ่องสอน ค่า PM10 155 ไมโครกรัม ต่อลูกบาศก์เมตร ค่า AQI 116 ตาก ในพื้นที่ตำบลแม่ปะ อำเภอแม่สอด ค่า PM10 146 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตร ค่า AQI 112แพร่ ในพื้นที่ตำบลนาจักร อำเภอเมืองแพร่ ค่า PM10 126 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตร ค่า AQI 103 และเชียงราย ในพื้นที่ตำบลเวียงพางคำ ค่า PM10 122 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตร ค่า AQI 101

ทั้งนี้ กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย (ปภ.) ได้ประสาน 9 จังหวัดภาคเหนือดำเนินการป้องกันและแก้ไขปัญหาไฟป่าและหมอกควันอย่างเข้มข้น โดยใช้กลไก “ประชารัฐ” ขับเคลื่อนการทำงานในมิติเชิงพื้นที่ พร้อมจัดตั้งกองอำนวยการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยจังหวัดและอำเภอ เป็นศูนย์กลาง

ในการอำนวยการ สั่งการ ควบคุมปัญหาไฟป่าและหมอกควัน จัดเจ้าหน้าที่เฝ้าระวังสถานการณ์ ติดตามข้อมูลคุณภาพอากาศและประเมินสถานการณ์อย่างใกล้ชิด จัดกำลังอาสาสมัครเฝ้าระวังไฟป่าและเพิ่มความถี่ในการลาดตระเวน รวมถึงดำเนินมาตรการควบคุมการเผาอย่างเคร่งครัด โดยเฉพาะพื้นที่ป่าไม้ เน้นการบังคับใช้กฎหมายกับผู้ลักลอบจุดไฟเผา พื้นที่เกษตรกรรม

ให้กำหนดช่วงเวลาและจัดระเบียบการเผา ประกาศเขตห้ามเผา ส่งเสริมการจัดทำแนวกันไฟ และรณรงค์การไถกลบแทนการเผา  ส่วนพื้นที่ริมทางหลวง ให้เฝ้าระวังการเผาในเขตริมทางหลวงอย่างเข้มข้น อีกทั้งจัดเตรียมอุปกรณ์ดับเพลิงให้พร้อมปฏิบัติการระงับไฟป่า ระดมรถบรรทุกน้ำและเครื่องมือฉีดพ่นน้ำเพิ่มความชื้นและลดปริมาณฝุ่นละอองในอากาศ พร้อมประชาสัมพันธ์ผลกระทบ ของหมอกควันต่อสุขภาพอนามัย และข้อมูลคุณภาพอากาศ รวมถึงคำแนะนำในการปฏิบัติตนแก่ประชาชน ตลอดจนขอความร่วมมือประชาชนงดเว้นการเผาขยะและเศษวัสดุทางการเกษตร เพื่อลดระดับความรุนแรงของสถานการณ์หมอกควันมิให้วิกฤตมากขึ้น

สำหรับประชาชนที่อาศัยในพื้นที่ที่มีหมอกควันปกคลุมให้หลีกเลี่ยงการประกอบกิจกรรมในที่โล่งแจ้งเป็นเวลานาน             เพราะจะสูดดมฝุ่นละอองจำนวนมากเข้าสู่ร่างกาย อาจทำให้เจ็บป่วยได้ รวมถึงใช้ผ้าเช็ดหน้าหรือหน้ากากอนามัย ปิดปากและจมูกทุกครั้งที่ออกนอกบ้าน เพื่อป้องกันมิให้สูดดมฝุ่นละอองเข้าสู่ร่างกาย ส่วนผู้ขับขี่ให้เพิ่มความระมัดระวังในการใช้รถใช้ถนน เป็นพิเศษ เพราะทัศนวิสัยในการมองเห็นเส้นทางอยู่ในระดับต่ำ จะเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดอุบัติเหตุทางถนน สำหรับประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากหมอกควัน สามารถติดต่อได้ที่สายด่วนนิรภัย 1784 ตลอด 24 ชั่วโมง เพื่อประสานแก้ไขปัญหาโดยด่วนต่อไป

เตือน!รับมือพายุฤดูร้อน25–28มี.ค. คาดลูกเห็บตก-ปภ.เฝ้าระวัง

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์แนวหน้า

http://www.naewna.com/local/261761

วันพฤหัสบดี ที่ 23 มีนาคม พ.ศ. 2560, 11.03 น.

23 มี.ค.60 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า กระทรวงมหาดไทย โดยกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย (ปภ.) รายงานช่วงวันที่ 14 – 22 มีนาคม 2560 มีพื้นที่ได้รับผลกระทบจากวาตภัยรวม 22 จังหวัด 62 อำเภอ 109 ตำบล 389 หมู่บ้าน บ้านเรือนประชาชนเสียหาย 4,701 หลัง ผู้เสียชีวิต 3 ราย

ซึ่งทาง ปภ.ได้ร่วมกับหน่วยทหาร จังหวัด และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งสำรวจความเสียหาย แจกจ่ายเครื่องอุปโภคบริโภค อุปกรณ์ซ่อมแซมบ้านเรือน และให้การช่วยเหลือผู้ประสบภัยตามระเบียบกระทรวงการคลังฯ โดยด่วนแล้ว

พร้อมประสานจังหวัดในพื้นที่ภาคเหนือ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ภาคตะวันออก และภาคกลาง เตรียมพร้อมรับมือพายุฝนฟ้าคะนองและลมกระโชกแรงช่วงวันที่ 25 – 28 มีนาคม 2560 โดยจัดเจ้าหน้าที่ติดตามสภาพอากาศ เฝ้าระวังสถานการณ์ภัย รวมถึงเตรียมพร้อมปฏิบัติการเผชิญเหตุและช่วยเหลือผู้ประสบภัยอย่างทันท่วงที

นายฉัตรชัย พรหมเลิศ อธิบดีกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย (ปภ.) เปิดเผยว่า ในช่วงวันที่ 14 – 22 มีนาคม 2560 มีพื้นที่ได้รับผลกระทบจากวาตภัย รวม 22 จังหวัด 61 อำเภอ 109 ตำบล 389 หมู่บ้าน บ้านเรือนประชาชนเสียหาย 4,701 หลัง ผู้เสียชีวิต 3 ราย แยกเป็น ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ 13 จังหวัด ได้แก่ อุบลราชธานี ศรีสะเกษ สุรินทร์ เลย สกลนคร มหาสารคาม นครราชสีมา หนองคาย ร้อยเอ็ด ขอนแก่น ชัยภูมิ บึงกาฬ และอำนาจเจริญ ภาคเหนือ 1 จังหวัด ได้แก่ พะเยา ภาคกลาง 6 จังหวัด ได้แก่ ลพบุรี เพชรบูรณ์ นครสวรรค์ สุโขทัย ชัยนาท และกำแพงเพชร และภาคตะวันออก  2 จังหวัด ได้แก่ สระแก้ว และตราด

ซึ่งกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยได้ประสานจังหวัด หน่วยทหาร องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งให้การช่วยเหลือผู้ประสบภัยในเบื้องต้น โดยแจกจ่ายเครื่องอุปโภคบริโภค กระเบื้องมุงหลังคา และวัสดุอุปกรณ์ซ่อมแซมบ้านเรือนแก่ผู้ประสบภัย รวมถึงจัดเจ้าหน้าที่สำรวจและประเมินความเสียหาย เพื่อดำเนินการช่วยเหลือตามระเบียบกระทรวงการคลังฯ ทั้งการชดเชยความเสียหายของบ้านเรือนเป็นวัสดุก่อสร้าง หรือจ่ายเงินช่วยเหลือตามความเหมาะสม อีกทั้งจ่ายเงินสงเคราะห์ค่าจัดการศพตามระเบียบ และหลักเกณฑ์ที่กำหนด แก่ครอบครัวผู้เสียชีวิต

ทั้งนี้ จากการติดตามสภาพอากาศกับกรมอุตุนิยมวิทยา พบว่า ในช่วงวันที่ 25 – 28 มีนาคม 2560 ประเทศไทยมีสภาพอากาศแปรปรวน ทำให้เกิดพายุฤดูร้อนในพื้นที่ภาคเหนือ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ภาคกลาง และภาคตะวันออก ในลักษณะพายุฝนฟ้าคะนอง ลมกระโชกแรง และลูกเห็บตกบางพื้นที่ แบ่งเป็น 2 ช่วง ดังนี้ ช่วงวันที่ 25 มีนาคม 2560 เกิดพายุฤดูร้อนบริเวณภาคตะวันออกเฉียงเหนือและภาคตะวันออก ช่วงวันที่ 26 – 28 มีนาคม 2560 เกิดพายุฤดูร้อนเพิ่มมากขึ้นครอบคลุมพื้นที่ภาคเหนือ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ภาคตะวันออก ภาคกลาง กรุงเทพมหานครและปริมณฑล ส่วนภาคใต้จะมีฝนตกหนักบางแห่ง ปภ.จึงได้ประสานจังหวัดในพื้นที่ดังกล่าวเตรียมรับมือพายุฝนฟ้าคะนอง

โดยจัดเจ้าหน้าที่ติดตามสภาพอากาศและเฝ้าระวังสถานการณ์ภัย พร้อมจัดเตรียมวัสดุอุปกรณ์ให้พร้อมปฏิบัติการเผชิญเหตุและช่วยเหลือผู้ประสบภัยอย่างทันท่วงที ตลอดจนแจ้งเตือนประชาชน ให้ระมัดระวังอันตรายจากพายุลมแรง อยู่ให้ห่างจากต้นไม้ใหญ่  ป้ายโฆษณา และสิ่งก่อสร้างที่ไม่แข็งแรงในระยะนี้ไว้ด้วย

อย่างไรก็ตาม ประชาชนที่ได้รับความเดือดร้อนจากพายุฤดูร้อนสามารถติดต่อขอความช่วยเหลือได้ทางสายด่วนนิรภัย 1784 ตลอด 24 ชั่วโมง เพื่อประสานให้การช่วยเหลือโดยด่วนต่อไป