‘ปภ.’แนะอพยพหนีไฟไหม้!!ถูกวิธี อย่าประมาท-ตั้งสติอพยพ

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์แนวหน้า

http://www.naewna.com/local/261600

วันพุธ ที่ 22 มีนาคม พ.ศ. 2560, 11.39 น.

22 มี.ค.60 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า กระทรวงมหาดไทยโดยกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย (ปภ.) แนะวิธีปฏิบัติตนเมื่อเกิดเพลิงไหม้อาคารสูง โดยตั้งสติประเมินสถานการณ์ หากเพลิงไหม้เล็กน้อย ให้ใช้ถังดับเพลิงควบคุมเพลิงในเบื้องต้น กรณีเพลิงไหม้รุนแรง ให้รีบอพยพออกจากอาคาร ไปตามเส้นทางหนีไฟที่ปลอดภัยและใกล้ที่สุด

โดยหมอบคลานต่ำและใช้ผ้าชุบน้ำปิดจมูกและปาก เพื่อป้องกันการสูดดมควันไฟเข้าสู่ร่างกาย ห้ามใช้ลิฟต์ในการอพยพหนีไฟ ไม่เข้าไปอยู่ในบริเวณที่เป็นจุดอับของอาคาร เพราะเสี่ยงต่อการได้รับอันตราย

นายฉัตรชัย พรหมเลิศ อธิบดีกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย (ปภ.) เปิดเผยว่า ฤดูร้อนเป็นช่วงที่มีสถิติการเกิดเพลิงไหม้สูง โดยเฉพาะหากเกิดเพลิงไหม้อาคารสูงและอาคารขนาดใหญ่ที่มีผู้อาศัยจำนวนมาก ซึ่งพื้นที่ใช้งานที่กว้างขวางและความสูงของอาคาร ถือเป็นปัจจัยเสี่ยงที่ทำให้ได้รับอันตรายเพิ่มมากขึ้น อีกทั้งหากเกิดเหตุฉุกเฉินจะยากต่อการเข้าช่วยเหลือของเจ้าหน้าที่ เพื่อความปลอดภัย กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย ปภ.ขอแนะวิธีปฏิบัติตนเมื่อเกิดเพลิงไหม้

โดยตั้งสติไม่ตื่นตระหนก ประเมินสถานการณ์เบื้องต้น กรณีเพลิงไหม้เล็กน้อย ให้ใช้ถังดับเพลิงควบคุมเพลิงในเบื้องต้น รีบออกจากห้องและปิดประตู เพื่อควบคุมเพลิงมิให้ลุกลามมากขึ้น พร้อมแจ้งฝ่ายอาคารและสถานที่มาควบคุมเพลิง กรณีเพลิงไหม้รุนแรง ให้กดสัญญาณเตือนเพลิงไหม้ เพื่อแจ้งให้ผู้อื่นทราบและอพยพออกจากอาคาร จากนั้นให้โทรศัพท์เรียกเจ้าหน้าที่ดับเพลิงมาระงับเหตุ

สำหรับการอพยพออกจากอาคาร ก่อนออกจากห้องให้ใช้มือสัมผัสลูกบิดประตูหรือผนังห้อง หากไม่ร้อนให้เปิดประตูออกไปช้าๆ ใช้ผ้าชุบน้ำปิดจมูกและปากหรือนำถุงพลาสติกใสขนาดใหญ่อัดอากาศบริสุทธิ์แล้วนำมาคลุมศีรษะ เพื่อป้องกันการสูดดมควันไฟเข้าสู่ร่างกาย ทำให้หมดสติและเสียชีวิตได้ จากนั้น ให้หมอบคลานต่ำไปยังประตูฉุกเฉินตามเส้นทางอพยพหนีไฟที่ปลอดภัยและใกล้ที่สุด เพื่อออกจากอาคารทางบันไดหนีไฟ หากลูกบิดประตูหรือผนังห้องมีความร้อนสูง แสดงว่าเกิดเพลิงไหม้บริเวณใกล้เคียง ห้ามเปิดประตูออกไป ให้ใช้ผ้าชุบน้ำปิดช่องที่ควันไฟสามารถลอยเข้ามาได้ ปิดพัดลมระบายอากาศและเครื่องปรับอากาศ เพื่อป้องกันการสูดดมควันไฟ

จากนั้นโทรศัพท์แจ้งเจ้าหน้าที่เพื่อบอกตำแหน่งที่ติดอยู่หรือส่งสัญญาณให้ผู้อื่นทราบ จะได้รับการช่วยเหลืออย่างทันท่วงที ห้ามใช้ลิฟต์และบันไดภายในอาคารอพยพหนีไฟ เพราะมีลักษณะเป็นช่อง ทำให้ควันไฟ ความร้อน และเปลวเพลิงสามารถลอยเข้าไปได้ ส่งผลให้สำลักควันไฟเสียชีวิต

อีกทั้งเมื่อเกิดเพลิงไหม้ไฟฟ้าจะดับ ทำให้ลิฟต์หยุดทำงาน จึงติดค้างอยู่ในลิฟต์ขาดอากาศหายใจเสียชีวิตได้ ที่สำคัญไม่ควรอพยพหนีไฟเข้าไปอยู่บริเวณที่เป็นจุดอับของอาคาร อาทิ ห้องน้ำ ห้องใต้ดิน เพราะยากต่อการเข้าช่วยเหลือของเจ้าหน้าที่ ทำให้ถูกไฟคลอกเสียชีวิตได้ รวมถึงไม่หนีไฟขึ้นไปชั้นบนหรือดาดฟ้าของอาคาร เพราะไฟจะลุกลามจากชั้นล่างขึ้นสู่ชั้นบน ทำให้เสี่ยงต่อการได้รับอันตราย

ทั้งนี้การเรียนรู้วิธีปฏิบัติตนอย่างถูกต้องและปลอดภัยเมื่อเกิดเพลิงไหม้ จะช่วยลดความเสี่ยงต่อการเกิดอันตราย ทำให้สามารถเอาตัวรอดจากเหตุเพลิงไหม้ได้อย่างปลอดภัย

เสี่ยงตาย!เลี้ยงปลากระชังหน้าร้อน แนะลดอาหาร-น้ำหมุนเวียน

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์แนวหน้า

http://www.naewna.com/local/261597

วันพุธ ที่ 22 มีนาคม พ.ศ. 2560, 11.25 น.

22 มี.ค.60 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นักวิชาการประมงชำนาญการ ดร.อัตรา ไชยมงคล ศูนย์วิจัยและพัฒนาการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำชายฝั่งเขต 6 สงขลา เตือนเกษตรกรที่เลี้ยงปลาในกระชังช่วงหน้าร้อน ว่าในช่วงหน้าร้อนเป็นช่วงที่ปลามีการเจริญเติบโตดี เพราะฉะนั้นการควบคุมในเรื่องอาหารเป็นสิ่งสำคัญ และเกษตรกรผู้เลี้ยงปลาควรระวังอย่างยิ่ง ในเรื่องของปลาขาดออกซิเจน

โดยตั้งแต่เดือนมีนาคม ถึงกรกฎาคมของทุกปี ซึ่งเป็นช่วงหน้าร้อนของภาคใต้ พบว่ามีปัญหาในเรื่องปลาตายเป็นจำนวนมาก เนื่องจากระดับน้ำ การหมุนเวียนของน้ำค่อนข้างจะนิ่ง น้ำขึ้น-น้ำลงน้อย เพราะฉะนั้นปลากะพงขาวที่เราเลี้ยงในกระชัง ถ้ามีจำนวนมาก อาจจะมีปัญหาในเรื่องออกซิเจนไม่พอในช่วงหน้าร้อนได้ จึงจำเป็นที่จะต้องลดปริมาณอาหารลง

ดร.อัตรา ไชยมงคล กล่าวเพิ่มเติมว่า ในช่วงหน้าร้อนอุณหภูมิในน้ำสูงขึ้น ทำให้ขบวนการเผาผลาญอาหารของสัตว์น้ำมากขึ้น ออกซิเจนในน้ำก็ถูกใช้มากขึ้น เพราะฉะนั้นสิ่งที่ควรระมัดระวังก็คือการให้อาหาร ความหนาแน่นของปลา และระดับน้ำในกระชัง เนื่องจากกระชังเราไม่สามารถควบคุมระดับน้ำได้ ต้องระมัดระวังในเรื่องของการไหลผ่านของน้ำ ต้องคอยตรวจสอบกระชังว่ามีสาหร่ายเกาะหนาแน่นมากน้อยแค่ไหน จะต้องทำให้น้ำไหลผ่านกระชังมากที่สุด และระมัดระวังในเรื่องของการควบคุมปริมาณอาหารไม่ให้มากเกินไป เพื่อป้องกันไม่ให้เศษอาหารเหลือ จะได้ไม่เกิดการย่อยสลายและเป็นพิษ ส่งผลต่อเนื่องด้านลบต่อสุขภาพของปลา

รวมทั้งระมัดระวังและเฝ้าสังเกตอาการของปลา บางครั้งช่วงหน้าร้อนอุณหภูมิสูงเกินไป ทำให้ออกซิเจนในน้ำต่ำลง เกษตรกรควรหมั่นเฝ้าดูอาการ ถ้ามีปัญหาสิ่งหนึ่งสิ่งใดก็ติดต่อประมงจังหวัด ประมงอำเภอหรือหน่วยงานของกรมประมงในพื้นที่ที่ใกล้ที่สุดได้

‘ผมคิดว่าคนของกรมประมงทุกท่านจะช่วยดูแลเกษตรกรทุกคนอยู่แล้ว ในส่วนของเรื่องโรคในหน้าร้อนของสัตว์น้ำ ก็เกิดจากความเครียดเนื่องจากอ๊อกซิเจนในน้ำน้อยหรือเกิดจากของเสียที่ย่อยสลายมากขึ้น ก็ต้องระมัดระวังดูอาการให้ดี ถ้ามีปัญหาอาจจะต้องส่งตัวอย่างให้หน่วยงานของกรมประมงที่เกี่ยวกับสุขภาพสัตว์น้ำตรวจสอบได้ทันที’ ดร.อัตรา กล่าว

ปะการังหมู่เกาะสุรินทร์เริ่มฟื้นตัวแล้วกว่า 40%

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์แนวหน้า

http://www.naewna.com/local/261581

วันพุธ ที่ 22 มีนาคม พ.ศ. 2560, 09.42 น.

22 มี.ค.60 นายปรารพ แปลงงาน หัวหน้าศูนย์ปฏิบัติการอุทยานแห่งชาติทางทะเลที่ 2 จ. ภูเก็ต เปิดเผยกับผู้สื่อข่าวว่า  หลังจากได้รับคำสั่งให้นำกำลังเจ้าหน้าที่ กรมอุทยานแห่งชาติฯ ปฏิบัติภารกิจเพื่ออนุรักษ์แนวปะการังด้วยการติดตั้งทุ่นจอดเรือจำนวน 90 ทุ่น ในเขตอุทยานแห่งชาติหมู่เกาะสิมิลัน และหมู่เกาะสุรินทร์  อ.คุระบุรี  จ.พังงา เนื่องจากทุ่นเก่าเสียหาย ประกอบกับจำนวนนักท่องเที่ยวที่เพิ่มมากขึ้น ทำให้ทุ่นผูกเรือไม่เพียงพอ เพื่อป้องความเสียหายแนวปะการัง ที่เกิดจากการทิ้งสมอเรือท่องเที่ยวในจุดดำน้ำ  ทางกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และ พันธุ์พืช จึงให้เร่งดำเนินการ และล่าสุดดำเนินการได้ครบแล้วเสร็จ 6 จุดที่ดำน้ำ ซึ่งจะช่วยลดผลกระทบต่อแนวปะการัง และเป็นระเบียบมากขึ้น

สำหรับแนวโน้มของแนวปะการัง  พบว่ามีการฟื้นตัวมากยิ่งขึ้น จากที่ผ่านมา ปี 2553 ปะการังได้รับความเสียหายจากปรากฎการณ์ปะการังฟอกขาวจาก 70%  จนเหลือเพียง 10% แต่ปัจจุบันฟื้นตัวกลับคืนมา 40% นับว่าได้เดินทางมาเกือบครึ่งทางแล้ว โดยเฉพาะ ในพื้นที่หมู่เกาะสุรินทร์ ปะการังน้ำตื้น กำลังจะฟื้นตัวตามธรรมชาติในระยะเวลาไม่นานนี้

 

บูรณาการมาตรฐานด้านสาธารณภัย จ่อพัฒนาบริหารจัดการน้ำประเทศ

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์แนวหน้า

http://www.naewna.com/local/261518

วันอังคาร ที่ 21 มีนาคม พ.ศ. 2560, 17.36 น.

21 มี.ค.60 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า กระทรวงมหาดไทยโดยกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย (ปภ.) จัดประชุมสัมมนาเพื่อนำเสนอแนวคิด และรวบรวมข้อคิดเห็นเกี่ยวกับมาตรฐานกลางข้อมูลด้านสาธารณภัย ภายใต้โครงการสนับสนุนการใช้ข้อมูลสารสนเทศข้อมูลสาธารณภัยแห่งชาติ เพื่อสนับสนุนการบริหารจัดการภัยพิบัติด้านน้ำในระดับพื้นที่ โดยมีเจ้าหน้าที่กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้าร่วมประชุมฯ เพื่อร่วมกันวางแนวทางในการจัดทำมาตรฐานกลางข้อมูลด้านสาธารณภัย นำไปสู่การพัฒนาระบบข้อมูลสารสนเทศที่มีประสิทธิภาพ ส่งผลให้การแจ้งเตือนประชาชนในพื้นที่เสี่ยงภัยเป็นไปด้วยความรวดเร็ว ทั่วถึง ถูกต้อง และแม่นยำ ซึ่งถือเป็นส่วนหนึ่งในการสร้างประเทศไทยปลอดภัย (Safety Thailand)

นายฉัตรชัย พรหมเลิศ อธิบดีกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย (ปภ.) เปิดเผยว่า ปัจจุบันภัยพิบัติทางธรรมชาติเกิดบ่อยครั้งและมีแนวโน้มรุนแรงมากขึ้น โดยเฉพาะภัยพิบัติที่เกี่ยวข้องกับน้ำ ทั้งภัยแล้ง และอุทกภัยรัฐบาลและคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ได้ให้ความสำคัญกับการบริหารจัดการน้ำอย่างเป็นระบบ และเชื่อมโยงทุกมิติ โดยเฉพาะการจัดทำฐานข้อมูลสาธารณภัยด้านน้ำที่ครอบคลุมทุกด้าน จะทำให้การวิเคราะห์คาดการณ์แนวโน้มสถานการณ์และการแจ้งเตือนภัยมีความรวดเร็ว ถูกต้อง และแม่นยำ

ดังนั้น กระทรวงมหาดไทย โดยกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย (ปภ.) จึงได้จัดประชุมสัมมนาเพื่อนำเสนอแนวคิดและรวบรวมข้อคิดเห็นเกี่ยวกับมาตรฐานกลางข้อมูลด้านสาธารณภัย ภายใต้โครงการสนับสนุนการใช้ข้อมูลสารสนเทศข้อมูลสาธารณภัยแห่งชาติ เพื่อสนับสนุนการบริหารจัดการภัยพิบัติด้านน้ำในระดับพื้นที่

โดยการประชุมสัมมนาฯ แบ่งเป็น 2 รอบ ดังนี้ รอบที่ 1 วันอังคารที่ 21 มีนาคม 2560 ณ โรงแรมเอสดี อเวนิว กรุงเทพมหานคร ผู้เข้าร่วมประชุมฯ ประกอบด้วย เจ้าหน้าที่กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย รวม 50 คน และรอบที่ 2 วันอังคารที่ 28 มีนาคม 2560 ณ โรงแรมแอมบาสเดอร์ สุขุมวิท กรุงเทพมหานคร ผู้เข้าร่วมประชุมฯ ประกอบด้วย ผู้แทนจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับการบริหารจัดการน้ำ ซึ่งมีวัตถุประสงค์เพื่อร่วมกันวางแนวทางในการจัดทำมาตรฐานกลางข้อมูลด้านสาธารณภัย โดยนำเสนอแนวคิด กรอบการจัดทำเนื้อหา และข้อสรุปของชุดมาตรฐานกลางข้อมูลด้านสาธารณภัย เพื่อนำไปพัฒนาระบบข้อมูลสารสนเทศที่มีประสิทธิภาพ สอดคล้องกับบริบทการจัดการสาธารณภัยในระดับพื้นที่ รวมถึงสามารถเชื่อมโยงข้อมูล การบริหารจัดการสาธารณภัยด้านน้ำระหว่างหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง

ตลอดจนเป็นเครื่องมือสำคัญที่หน่วยปฏิบัติทุกระดับสามารถนำไปใช้ในการวิเคราะห์ ตัดสินใจสั่งการ และบริหารจัดการแก้ไขปัญหาสาธารณภัย ส่งผลให้การเตรียมพร้อมป้องกัน การเฝ้าระวัง และการแจ้งเตือนประชาชนในพื้นที่เสี่ยงภัยเป็นไปด้วยความรวดเร็ว ทั่วถึง ถูกต้อง และแม่นยำ รวมถึงการบริหารจัดการสาธารณภัยด้านน้ำเกิดประสิทธิภาพสูงสุด ซึ่งถือเป็นส่วนหนึ่งในการสร้างประเทศไทยปลอดภัย (Safety Thailand)

บุรีรัมย์ประกาศพื้นที่วาตภัย13อ. พายุพัดบ้าน-คอกสัตว์เสียหาย

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์แนวหน้า

http://www.naewna.com/local/261514

วันอังคาร ที่ 21 มีนาคม พ.ศ. 2560, 17.04 น.

21 มี.ค.60 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นายฉัตรณรงค์   ศิริพร ณ ราชสีมา หัวหน้าสำนักงานป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยจังหวัดบุรีรัมย์ เปิดเผยว่า ในห้วง 2 เดือน ตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา จนถึงขณะนี้ ได้เกิดพายุฤดูร้อนพัดถล่มจำนวน 6 ครั้ง มีพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบ 13 อำเภอ 25 ตำบล  66 หมู่บ้าน มีบ้านเรือนราษฎรถูกพายุพัดพังเสียหาย 373 หลัง  ยุ้งข้าว 27 หลัง โรงเรือน 15 หลัง  คอกสัตว์ 12 หลัง  โรงสี 1 หลัง  รวมจำนวน 428 หลัง ทั้งยังมีพืชสวน พืชไร่ ถูกกระแสลมพัดหักโค่นเสียหายอีกเป็นจำนวนหลายไร่ด้วย

ขณะที่ ล่าสุดทางจังหวัดได้พิจารณาประกาศเป็นพื้นที่ประสบสาธารณภัยทั้ง 13 อำเภอ   และประกาศเขตพื้นที่ให้ความช่วยเหลือผู้ประสบภัยพิบัติด้วย เพื่อเร่งให้ความช่วยเหลือประชาชน และเกษตรกรที่ได้รับผลกระทบจากวาตภัยที่เกิดขึ้น เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนให้กับผู้ประสบวาตภัยอย่างเร่งด่วน

นายฉัตรณรงค์   ศิริพร ณ ราชสีมา ยังได้แจ้งเตือนประชาชนที่อาศัยอยู่ในพื้นที่เสี่ยงภัย  เช่น ใกล้ต้นไม้ใหญ่ก็ควรจะตัดหรือริดกิ่งที่เสี่ยงอันตรายออก รวมถึงหลีกเลี่ยงการอยู่ใกล้ป้ายโฆษณาขนาดใหญ่ พร้อมประชาสัมพันธ์ให้ผู้นำชุมชน  ท้องถิ่น ได้เฝ้าระวังดูแลช่วยเหลือราษฎรที่ประสบวาตภัยในพื้นที่ด้วย หากเกิดพายุพัดถล่มในพื้นที่ใดก็ให้เร่งเข้าสำรวจและให้ความช่วยเหลืออย่างเร่งด่วน

 

สาธารณสุขเตือนภัยแดดหน้าร้อน ระวัง!!!’โรคฮีทสโตรก’

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์แนวหน้า

http://www.naewna.com/local/261512

วันอังคาร ที่ 21 มีนาคม พ.ศ. 2560, 16.54 น.

21 มี.ค.60 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นายแพทย์บรรเจิด สุขพิพัฒปานนท์ นายแพทย์สาธารณสุขจังหวัดสตูล  เปิดเผยว่าจากสภาพอากาศที่มีอุณหภูมิสูงขึ้นในช่วงนี้ ก่อให้เกิดปัญหาสุขภาพตามมาโดยเฉพาะโรคฮีทสโตรก (Heat Stroke) หรือโรคลมแดด ซึ่งเกิดจากการที่ร่างกายอยู่ในสิ่งแวดล้อมที่อุณหภูมิสูง และได้รับความร้อนมากเกินไป ทำให้เกิดการทำงานที่ผิดปกติของสมอง ในส่วนการควบคุมอุณหภูมิของร่างกาย ทำให้มีอุณหภูมิในร่างกายสูงเกิน 40 องศาเซลเซียส ซึ่งส่งผลต่อระบบไหลเวียนโลหิตและระบบสมอง

โดยสัญญาณเตือนที่สำคัญของโรคฮีทสโตรก คือไม่มีเหงื่อออกแม้จะอากาศร้อนหน้าแดงและตัวร้อนจัดขึ้นเรื่อยๆ จะรู้สึกกระหายน้ำมาก วิงเวียน ปวดศีรษะ คลื่นไส้ หายใจเร็ว อาเจียน  เกร็งกล้ามเนื้อ ชัก มึนงง สับสน รูม่านตาขยาย ความรู้สึกตัว  ลดน้อยลง อาจหมดสติ หัวใจเต้นเร็วแต่แผ่วเบา ถ้าไม่ได้รับการแก้ไขอย่างถูกต้องและทันเวลา อาจทำให้หัวใจหยุดเต้นและถึงแก่ชีวิตได้

ซึ่งโรคนี้แตกต่างจากอาการเพลียแดดทั่วๆไป ที่จะมีเหงื่อออกด้วย สำหรับผู้ที่มีความเสี่ยงในการเกิดโรคฮีทสโตรก คือผู้สูงอายุ  เด็ก ผู้ที่อดนอน ผู้ที่ดื่มเหล้าจัด ผู้ที่ทำงานในสภาพอากาศที่ร้อนชื้นและผู้ที่เป็นโรคเรื้อรัง เช่น โรคความดันโลหิตสูง โรคเบาหวาน โรคหัวใจ และโรคอ้วน รวมถึงนักกีฬา และทหารที่เข้ารับการฝึก โดยไม่มีการเตรียมสภาพร่างกายให้พร้อมที่จะเผชิญกับสภาพอากาศร้อนจัด

นายแพทย์บรรเจิด สุขพิพัฒปานนท์ นายแพทย์สาธารณสุขจังหวัดสตูล กล่าวเพิ่มเติมว่า การป้องกันโรคฮีทสโตรก คือดื่มน้ำ 1-2 แก้ว ก่อนออกจากบ้านในวันที่มีอากาศร้อนจัด  ควรสวมใส่เสื้อผ้าที่มีสีอ่อน โปร่ง ไม่หนา น้ำหนักเบา และสามารถระบายอุณหภูมิความร้อนได้ดีและป้องกันแสงแดดได้ และหากต้องอยู่ท่ามกลางสภาพอากาศร้อน หรือออกกำลังกลางสภาพอากาศร้อน ควรดื่มน้ำอย่างน้อยวันละ 6-8 แก้ว ควรหลีกเลี่ยงการอยู่กลางแดดในวันที่อากาศร้อนจัด โดยเฉพาะก่อนการออกกำลังกายหรืออยู่ท่ามกลางสภาพอากาศร้อนเป็นเวลานาน

ทั้งนี้ในเด็กเล็กและคนชราควรได้รับการดูแลเป็นพิเศษ โดยให้อยู่ในห้องที่มีอากาศระบายได้ดี ควรออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ อย่างน้อยสัปดาห์ละ 3 ครั้งๆ ละ 30 นาที  เพื่อให้ร่างกายเคยชินกับสภาพอากาศร้อนจัด

 

ชาวสวนทุเรียน-เงาะน้ำตาตก!! พายุพัดโค่นร่วงระนาว2,500ลูก

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์แนวหน้า

http://www.naewna.com/local/261492

วันอังคาร ที่ 21 มีนาคม พ.ศ. 2560, 15.31 น.

21 มี.ค.60 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นายแสงอรุน ปรุงผล เกษตรกรชาวสวนทุเรียน ม.6 ต.อ่าวใหญ่ อ.เมือง จ.ตราด นายสมนึก อนันต์ เกษตรอำเภอเมืองตราด และ นายไพศาล ศรีสกลมารค หัวหน้าฝ่ายอำเภอเมืองตราด ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร เดินทางตรวจสอบสำรวจความเสียหายของทุเรียนและเงาะ หลังถูกพายุพัดเมื่อช่วงดึกที่ผ่านมา

นายแสงอรุน กล่าวว่า เมื่อช่วงเวล ตี 3 คืนที่ผ่านมา เกิดพายุลมแรงเพียง 5 นาทีเท่านั้น คิดว่าไม่มีปัญหาอะไร แต่เมื่อเดินทางมา สวนทุเรียน เพื่อเตรียมจะตัดทุเรียนตามกำหนดเวลาในเช้าวันนี้ กลับต้องผิดหวังเมื่อต้นทุเรียนพันธุ์ชะนี อายุ 30 ปี ความสูงเกือบ 10 เมตร ถูกพายุพัดล้มโค่นกว่า 10 ต้น บางต้นกิ่งฉีกขาด ทุเรียนร่วงตกลงมานับพันลูก ความเสียหายเฉพาะสวนตนเองอยู่ประมาณ 700,000 บาท ยังไม่รวมความเสียหายของต้นทุเรียนอายุ 30 ปี ที่ไม่สามารถประเมินค่าได้ จากนั้นตนเองได้เก็บลูกทุเรียนที่ร่วงมา กองไว้ แล้วแยกทุเรียนที่สามารถขายต่อได้ ซึ่งมีเพียง 2 เปอร์เซ็นต์เท่านั้นที่สามารถขายได้ และขายได้ไม่เต็มราคาที่พ่อค้าคนกลางเสนอราคาให้ในกิโลกรัมละ 85 บาท

โดยที่สวนของ นายถวิล สุภาพ เกษตรกรชาวสวนเงาะ ม.5  ต.อ่าวใหญ่ กล่าวว่า ตั้งแต่ทำสวนผลไม้มา ไม่เคยเจอเหตุการณ์แบบนี้มาก่อน ที่พายุพัดต้นเงาะพันธุ์โรงเรียนที่มีอายุกว่า 30 ปี โค่นเสียหายไป 13 ต้น เงาะเสียหายประมาณ 12 ตัน สูญเงินไปหลายแสนบาท ซึ่งเงาะโรงเรียนรุ่นแรกจะสามารถเก็บผลผลิตได้หลังสงกรานต์ แต่ต้องเจอกับพายุที่พัดถล่มเมื่อคืนเพียงไม่กี่นาที


ทางด้าน นายสมนึก อนันต์ เกษตรอำเภอเมืองตราด กล่าวว่า เบื้องต้นจากการสำรวจพื้นที่สวนผลไม้ ที่ได้รับผลกระทบจากวาตภัยในครั้งนี้ มีด้วยกันทั้งหมด 4 ราย ใน ม.5 ม.6 ต.อ่าวใหญ่ คือ สวนนายแสงอรุน ปรุงผล  สวนนายเรวัต เทศสี สวนนายถวิล สุภาพ และนางสุรัชดา สุภาพ ความเสียหายรวมกันมีทุเรียน 2,500 ลูก เงาะอีก 14 ตัน เบื้องต้นความเสียหายประมาณ 2 ล้านกว่าบาท

นอกจากนี้ผลทุเรียนที่ยังไม่ร่วงได้ถูกพายุพัด ได้รับความเสียหายเช่นกันบริเวณก้าน ซึ่งคาดว่าในอีก 1-2 วันข้างหน้าจะร่วงลงมาอีกจำนวนมาก ส่วนการช่วยเหลือตามระเบียบกระทรวงการคลัง สามารถช่วยได้เพียงต้นที่โค่นเสียหายเท่านั้น 1 ไร่ จะรับเงินช่วยเหลือ 1,690 บาท

อย่างไรก็ตาม นายไพศาล ศรีสกลมารค หัวหน้าฝ่ายอำเภอเมืองตราด ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร กล่าวว่า ทั้ง 4 ราย ที่ได้รับผลกระทบในครั้งนี้ ทาง ธกส.จะนำเรื่องเข้าไปพิจารณาให้การช่วยเหลือ ซึ่งมีแนวทางการช่วยเหลืออยู่ 2 ทาง คือการขยายเวลาผ่อนชำระหนี้และการลดดอกเบี้ย เพื่อช่วยบรรเทาความเดือดร้อนให้กับเกษตรกรที่เป็นลูกค้าธกส

 

ตั้งเครื่องสูบน้ำโขงเข้าห้วยหลวงแก้แล้ง หวั่น’หนองคาย-อุดร’ขาดน้ำใช้

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์แนวหน้า

http://www.naewna.com/local/261485

วันอังคาร ที่ 21 มีนาคม พ.ศ. 2560, 15.08 น.

21 มี.ค.60 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ผู้ว่าราชการจังหวัดหนองคาย นายสุชาติ นพวรรณ ได้ติดตามการติดตั้งเครื่องสูบน้ำบริเวณปากประตูห้วยหลวง อ.โพนพิสัย จ.หนองคาย โดยกรมชลประทานได้นำเครื่องสูบน้ำจำนวน 4 เครื่อง มาติดตั้ง เพื่อทำการสูบน้ำโขงเข้ามาตามห้วยหลวง ให้ประชาชนในพื้นที่ อ.โพนพิสัย จ.หนองคาย อ.สร้างคอม และ อ.เพ็ญ จ.อุดรธานี ได้ใช้ประโยชน์เพื่อการกสิกรรม

โดยเครื่องสูบน้ำที่ทำการติดตั้งนี้จะสามารถสูบน้ำโขงได้ ปริมาตร 3 ลูกบาศก์เมตรต่อวินาที ซึ่งปีนี้เป็นการดำเนินการปีที่ 2 ในช่วงเดือนมีนาคม – พฤษภาคม ผลการดำเนินการในปีที่ผ่านมาพบว่า ประชาชนได้รับประโยชน์ มีน้ำใช้เพื่อการเกษตรสำหรับข้าวนาปรัง มีน้ำใช้ในไร่นา พื้นที่ประมาณ 30,000 ไร่ ประชาชนได้มีการร้องขอให้ทางกรมชลประทาน ช่วยสูบน้ำโขงเข้ามาให้อีกในปีนี้ ซึ่งคาดว่าจะติดตั้งเครื่องสูบน้ำและระบบไฟฟ้าแล้วเสร็จ และสามารถเดินเครื่องสูบน้ำได้ปลายเดือนมีนาคมนี้

 

ชาวบ้านจ.ตราดขาดแคลนน้ำ! เร่งนำรถน้ำแจกจ่ายบรรเทาแล้ง

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์แนวหน้า

http://www.naewna.com/local/261463

วันอังคาร ที่ 21 มีนาคม พ.ศ. 2560, 13.55 น.

21 มี.ค.60 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ที่หน่วยพัฒนาการเคลื่อนที่ 14 พ.อ.กฤษฎิ์ชัย จำนงเนียร ผู้บังคับหน่วยพัฒนาการเคลื่อนที่ 14 สำนักงานพัฒนาภาค 1 หน่วยบัญชาการทหารพัฒนา กองบัญชาการกองทัพไทย มอบนโยบายการให้ความช่วยเหลือประชาชนที่ประสบปัญหาขาดแคลนน้ำอุปโภคบริโภค พร้อมรถยนต์บรรทุกน้ำขนาด 6,000 ลิตร ออกแจกจ่ายน้ำอุปโภคบริโภค ให้กับบ้านเรือนประชาชน และวัดมะม่วง หมู่ที่ 3 ตำบลนนทรีย์ อำเภอบ่อไร่ จังหวัดตราด และในถังเก็บน้ำของวัดที่ได้รับความเดือดร้อน หลังจากเริ่มประสบปัญหาการขาดแคลนน้ำสำหรับการอุปโภค บริโภค

ด้านผู้บังคับหน่วยพัฒนาการเคลื่อนที่ 14 กล่าวว่า หน่วยพัฒนาการเคลื่อนที่ 14 เป็นหน่วยทหารพัฒนา รับผิดชอบพื้นที่อำเภอบ่อไร่ ได้จัดรถบรรทุกน้ำและกำลังพลออกแจกจ่ายน้ำในระยะเริ่มแรกแล้ว พร้อมทั้งมีการประสานไปยังผู้นำหมู่บ้านทุกพื้นที่

 

‘ชัยภูมิ’อ่วมรับวาตภัยอีก1จว. ปภ.ชี้ยังมีลมกระโชกแรงในหลายพื้นที่

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์แนวหน้า

http://www.naewna.com/local/261452

วันอังคาร ที่ 21 มีนาคม พ.ศ. 2560, 13.21 น.

(แฟ้มภาพ)

21 มี.ค.60 นายฉัตรชัย พรหมเลิศ อธิบดีกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย (ปภ.) กล่าวว่า ช่วงวันที่ 14 – 21 มี.ค. มีพื้นที่ได้รับผลกระทบจากวาตภัย รวม 19 จังหวัด 55 อำเภอ 90 ตำบล 331 หมู่บ้าน บ้านเรือนประชาชนเสียหาย 4,137 หลัง ผู้เสียชีวิต 3 ราย แยกเป็นภาคตะวันออกเฉียงเหนือ 11 จังหวัด ได้แก่ อุบลราชธานี ศรีสะเกษ สุรินทร์ เลย สกลนคร มหาสารคาม นครราชสีมา หนองคาย ร้อยเอ็ด ขอนแก่น และชัยภูมิ ภาคเหนือ 1 จังหวัด ได้แก่ พะเยา ภาคกลาง 6 จังหวัด ได้แก่ ลพบุรี เพชรบูรณ์ นครสวรรค์ สุโขทัย ขัยนาท และกำแพงเพชร และภาคตะวันออก 1 จังหวัด ได้แก่ สระแก้ว บ้านเรือนประชาชนเสียหาย 4,137 หลัง ผู้เสียชีวิต 3 ราย ซึ่ง ปภ.ได้ประสานจังหวัด หน่วยทหาร องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งให้การช่วยเหลือผู้ประสบภัยในเบื้องต้น รวมถึงจัดเจ้าหน้าที่สำรวจและประเมินความเสียหาย เพื่อดำเนินการช่วยเหลือตามระเบียบกระทรวงการคลัง

นายฉัตรชัย กล่าวอีกว่า จากการติดตามสภาพอากาศกับกรมอุตุนิยมวิทยาพบว่า ระยะนี้ประเทศไทยจะมีฝนฟ้าคะนองบางแห่ง และลมกระโชกแรงในหลายพื้นที่ บริเวณภาคเหนือตอนล่าง ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ภาคตะวันออก และภาคกลาง ปภ. จึงได้ประสานจังหวัดในพื้นที่ดังกล่าวเตรียมรับมือพายุฝนฟ้าคะนอง โดยจัดเจ้าหน้าที่ติดตามสภาพอากาศและเฝ้าระวังสถานการณ์ภัย พร้อมจัดเตรียมวัสดุอุปกรณ์ให้พร้อมปฏิบัติการเผชิญเหตุและช่วยเหลือผู้ประสบภัยอย่างใกล้ชิด