Skip to primary content
Skip to secondary content

SootinClaimon.Com

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย2 [SartKasetDinPui2] : รวบรวม ข้อมูล เศรษฐกิจ สังคม สิ่งแวดล้อม เกษตร ดิน น้ำ ปุ๋ย

SootinClaimon.Com

Main menu

  • Home
  • KU23-2506
  • ข้อคิดความเห็น
  • ตระกูลคล้ายมนต์
  • ผมเองครับ
  • ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย1

Tag Archives: สกู๊ปแนวหน้า

Post navigation

← Older posts
Newer posts →

สกู๊ปแนวหน้า : ‘ข้ามชาติ’ปรับตัวใต้ข้อจำกัด เรื่องเล่ายุคโควิดที่‘เชียงใหม่’

Posted on February 5, 2023 by SoClaimon
Reply

#SootinClaimon.Com : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์แนวหน้า

https://www.naewna.com/likesara/708889

สกู๊ปแนวหน้า : ‘ข้ามชาติ’ปรับตัวใต้ข้อจำกัด  เรื่องเล่ายุคโควิดที่‘เชียงใหม่’

สกู๊ปแนวหน้า : ‘ข้ามชาติ’ปรับตัวใต้ข้อจำกัด เรื่องเล่ายุคโควิดที่‘เชียงใหม่’

วันอาทิตย์ ที่ 5 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2566, 06.55 น.

ยังคงอยู่กับงานสัมมนา “เมื่อเมืองพลิกผันพื้นที่ เวลา และชีวิตในเมืองในห้วงโควิด-19” จัดโดยภาควิชาการปกครอง คณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ร่วมกับสำนักงานสภานโยบายการอุดมศึกษาวิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรมแห่งชาติ (สอวช.) และ หน่วยบริหารและจัดการทุนด้านการพัฒนากำลังคน และทุนด้านการพัฒนาสถาบันอุดมศึกษา การวิจัยและการสร้างนวัตกรรม (บพค.) หลังจากก่อนหน้านี้(ฉบับวันเสาร์ที่ 4 ก.พ. 2566) กล่าวถึงเมืองหลวงอย่างกรุงเทพฯ ไปแล้ว ในฉบับนี้ยังมีกรณีศึกษาของ “เชียงใหม่” เมืองศูนย์กลางของภาคเหนือ

ชัยพงษ์ สำเนียง อาจารย์ภาควิชาประวัติศาสตร์ คณะสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยนเรศวร ผู้บรรยายในหัวข้อ “มนุษย์ล่องหนในระบาดวิทยา : ความเปลือยเปล่าของคนชายขอบในเมืองเชียงใหม่” เล่าถึงการเฝ้ามองวิถีชีวิตของ “แรงงานข้ามชาติ” ใน จ.เชียงใหม่ (ในที่นี้เลือกกลุ่มตัวอย่างเป็นแรงงานชาวไทใหญ่)ว่าอยู่กันอย่างไรในห้วงเวลาที่เกิดสถานการณ์โรคระบาดโควิด-19 ซึ่งแม้จะได้รับผลกระทบจากมาตรการควบคุมโรคไม่แตกต่างกับแรงงานไทย แต่ความที่ไม่มีสถานะทางสัญชาติทำให้ผลกระทบนั้นรุนแรงกว่า

แรงงานข้ามชาติใน จ.เชียงใหม่ ส่วนใหญ่อยู่ในเขต อ.เมือง รวมถึงอำเภอที่ติดกับ อ.เมือง จำนวนมากอาศัยอยู่ในที่พักแบบปลูกสร้างชั่วคราวเนื่องจากทำงานก่อสร้าง ดังนั้น จึงได้รับผลกระทบในช่วงที่รัฐออกมาตรการปิดแคมป์คนงาน แต่ไม่ว่าจะเป็นแรงงานข้ามชาติหรือคนอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องกับแรงงานต่างก็ต้องดิ้นรนหาทางทำงานแม้จะหมิ่นเหม่กับการฝ่าฝืนมาตรการของรัฐ ถึงกระนั้น แรงงานแต่ละกลุ่มก็ยังแตกต่างกันทั้งผลกระทบและการดิ้นรน

อาจารย์ชัยพงษ์ แบ่งแรงงานข้ามชาติที่ทำการศึกษาเป็น 4 กลุ่ม 1.แรงงานที่จ้างอย่างไม่เป็นทางการ เช่น คนงานทำความสะอาดบ้าน ก่อนยุคโควิด-19 ระบาด คนกลุ่มนี้เคยรับงานวันหนึ่งหลายบ้านมีรายได้มากพอสมควร แต่ในช่วงสถานการณ์โรคระบาด แรงงานกลุ่มนี้ตกงานเป็นกลุ่มแรกๆ เพราะหลายครัวเรือนไม่กล้าจ้างอีกเนื่องจากถูกมองว่าเป็นกลุ่มเสี่ยงแพร่เชื้อ

2.แรงงานภาคเกษตรที่อยู่นอกเมือง มาตรการควบคุมการเคลื่อนย้ายส่งผลกระทบต่อการลำเลียงผลผลิตไปขาย ส่งผลให้แรงงานตกงานไปด้วย ส่วนหนึ่งเดินทางจากพื้นที่เกษตรในชนบทเข้าเมืองเพื่อหางานทำ 3.แรงงานในระบบที่มีสัญญาจ้างเป็นทางการ กลุ่มนี้แม้ได้รับผลกระทบ แต่ยังพอมีสวัสดิการจากประกันสังคม และ
4.ผู้ประกอบการรายย่อย แรงงานข้ามชาติบางส่วนยกระดับมาค้าขายเล็กๆ น้อยๆ เช่น ขายกล้วยทอด ขายอาหารพื้นเมือง ได้รับผลกระทบจากมาตรการปิดตลาด แต่กลุ่มนี้มีทุนสำรองมากที่สุดจึงมีบทบาทช่วยเหลือแรงงานกลุ่มอื่นๆ ด้วย

“ชีวิตของแรงงานข้ามชาติในภาวการณ์โควิด ปัญหาใหญ่คือผลกระทบจากโควิดนอกจากไม่มีงานทำแล้วสิ่งหนึ่งที่เห็นชัดก็คือการเข้าถึงสวัสดิการ เช่น วัคซีน การเยียวยาต่างๆ แทบเป็นไปไม่ได้เลย เราจะเห็นว่าวัคซีนขณะที่เข้ามาครั้งแรกจำกัดว่าเป็นคนไทยเท่านั้นต้องฉีด แรงงานแทบเข้าไม่ถึง แต่สิ่งหนึ่งที่แรงงานเหล่านี้ทำคือเอาเงินทุ่มที่จะรักษาตัวเองโดยเฉพาะฉีดลูกเขา จะต้องซื้อซิโนฟาร์ม อะไรต่างๆ นานา จำนวนมาก และยินดีที่จะลงทุน

และที่สำคัญที่สุด แรงงานเหล่านี้เป็นกลุ่มที่บางส่วนผมสัมภาษณ์ เป็นแรงงานที่ผมใช้คำว่าเป็นแรงงานอารมณ์ ทำงานอยู่ในร้านอาหารอะไรต่างๆ นานา พวกนี้ก็ต้องป้องกันในการได้รับผลกระทบ ก็ต้องใช้เงินตัวเอง แล้วที่สำคัญ การที่เขาเข้าประกันสังคมด้วย เข้าอะไรต่างๆ ด้วย พวกนี้ก็ใช้สิทธิ์ยากมาก การเยียวยาต่างๆ นานา สิ่งที่เขาพอจะทำได้ เปลือยเปล่าทางเศรษฐกิจก็คือการรับบริจาค การจะต้องไปรอของอะไรต่างๆ นานา ท้ายที่สุดความเป็นเมืองมันช่วยให้เขารอด” อาจารย์ชัยพงษ์ ระบุ

ข้อค้นพบประการต่อมา “สื่อสังคมออนไลน์ (Social Media)” เช่น เฟซบุ๊ก เป็นเครื่องมือสำคัญที่เอื้อให้แรงงานข้ามชาติสร้างเครือข่ายเพื่อช่วยเหลือกันเองโดยประสานขอรับการสนับสนุนกับบุคคลหรือหน่วยงานภาคนอก อาทิ องค์กรพัฒนาเอกชน (NGO) บริษัทห้างร้าน วัด มหาวิทยาลัยในพื้นที่ โดยเครือข่ายจะนำสิ่งของจำเป็นที่ได้รับการบริจาคไปแจกจ่ายในชุมชน เพราะคนในชุมชนหรือในกลุ่มแรงงานด้วยกันจะรู้กันว่าครัวเรือนใดเดือดร้อนต้องการความช่วยเหลือมากที่สุดหรืออย่างเร่งด่วน เป็นการอุดช่องว่างการเข้าไม่ถึงความช่วยเหลือจากภาครัฐ

ทั้งนี้ อาจารย์ชัยพงษ์ ให้ข้อสรุปจากการศึกษา ว่า ความเปราะบางทำให้แรงงานข้ามชาติเปลือยเปล่า ซึ่งอาจเป็นเพราะรัฐมองแรงงานกลุ่มนี้ในแง่เศรษฐกิจเพียงมุมเดียวไม่ได้มองในแง่ความเป็นมนุษย์ด้วย แรงงานจึงเข้าไม่ถึงมาตรการความช่วยเหลือจากรัฐ แต่แรงงานข้ามชาติได้ใช้ช่องทางออนไลน์เป็นเครื่องมือสร้างเครือข่ายเพื่อช่วยเหลือกันให้อยู่รอด และยังคงดำรงอยู่มาอย่างต่อเนื่อง โดยคนที่เคยทำหน้าที่ประสานงานระดมทรัพยากรในช่วงโควิด-19 ระบาด ก็หันมาประสานงานด้านอื่นๆ หลังสถานการณ์โรคระบาดเบาบางลง

“ที่สำคัญที่สุด มันทำให้สิ่งหนึ่งที่เกิดขึ้นคือก่อนหน้านี้แรงงานข้ามชาติไทใหญ่ ถามว่าตระหนักในความเป็นพลเมือง หรือสิทธิที่ตนเองต้องเสียประกันสังคมทุกเดือนไหม? ก็เห็นแต่ไม่ได้คิดถึงว่ามันต้องมีผลดีกับเราขนาดไหน แต่หลังจากโควิดหลังจากที่เขาต้องเสียเงินทุกเดือนๆ จ่ายไปแต่ไมได้รับการเยียวยา สิ่งเหนึ่งที่เขาเห็นคือเริ่มมีกลุ่มที่ทำงานเข้มแข็งเรื่องการเรียกร้องความเท่าเทียม สิทธิพลเมือง ต้องการมีบัตร ยกระดับวิธีคิดนอกจากแค่มาเป็นแรงงานอย่างเดียวแล้ว อันนี้คือสิ่งที่หลังจากโควิดมันทำให้เราเห็น” อาจารย์ชัยพงษ์ กล่าว

สำหรับประเด็นการเข้าไม่ถึงสวัสดิการหรือมาตรการความช่วยเหลือจากรัฐของแรงงานข้ามชาติ นอกจากท่าทีของรัฐเองแล้ว “มายาคติของสังคม” ก็เป็นอีกปัจจัยหนึ่ง โดยสังคมไทยไม่ได้มองแรงงานข้ามชาติแบบเท่าเทียมกับคนไทยด้วยกัน เช่น ในช่วงที่สถานการณ์รุนแรงกระแสชาตินิยมก็ถูกปลุกเร้าขึ้นมาด้วย ขณะที่
ประเด็นเครือข่ายช่วยเหลือกันที่เกิดขึ้นในช่วงโควิด-19 ระบาดสิ่งที่น่าคิดต่อคือจะทำอย่างไรให้เครือข่ายเหล่านี้ดำรงอยู่ต่อไป

ยังมีประเด็นท้าทายอย่าง “ลูกหลานแรงงานข้ามชาติที่เกิดในประเทศไทย” จะวางตำแหน่งสถานะของคนกลุ่มนี้อย่างไร เห็นได้จากในช่วงโควิด-19 ระบาด แม้เงินจะไม่ค่อยมีแต่พ่อแม่ผู้ปกครองก็ยังพยายามเจียดมาใช้จ่ายเพื่อให้บุตรหลานเข้าถึงการเรียนออนไลน์ เพราะเห็นว่าการเรียนหนังสือให้สูงที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ไม่ว่า ม.6 หรือแม้แต่ปริญญาตรี จะช่วยยกระดับสถานะขึ้นไปได้

“อาจจะพูดเกินเลยไปก็ได้ สิ่งหนึ่งที่ผมเห็นในภาวะโควิดระบาด ระบบอะไรมันล่มสลายหมด สาธารณสุขล่มสลายหมด แต่โรงเรียนและครู หรือระบบการศึกษายังทำงานอย่างเข้มข้น ยังพยายามที่จะสอนเท่าที่จะทำได้ มาตรการต่างๆ ครูไปสอนที่บ้าน ไปเปิดแคมป์คนงานสอน ครูเป็นคนเดินทางไปหานักเรียน อันนี้คือสิ่งที่อาจจะกล่าวได้ว่าภายใต้เงื่อนไขแบบนี้ ระบบการศึกษาอาจจะเป็นองคาพยพของรัฐที่อาจจะพอทำงานเข้มแข็งในวิกฤตแบบนี้” อาจารย์ชัยพงษ์ กล่าวในตอนท้าย


SCOOP@NAEWNA.COM

Share this:

  • Click to share on Pocket (Opens in new window) Pocket
  • Click to share on Facebook (Opens in new window) Facebook
  • Click to share on X (Opens in new window) X
  • Click to share on LinkedIn (Opens in new window) LinkedIn
  • Click to share on Reddit (Opens in new window) Reddit
  • Click to email a link to a friend (Opens in new window) Email
  • Click to print (Opens in new window) Print
  • Click to share on Telegram (Opens in new window) Telegram
  • Click to share on Tumblr (Opens in new window) Tumblr
  • Click to share on WhatsApp (Opens in new window) WhatsApp
  • Click to share on Mastodon (Opens in new window) Mastodon
  • Click to share on Pinterest (Opens in new window) Pinterest
Like Loading...
Posted in ข่าว Like สาระ, สกู๊ปแนวหน้า, แนวหน้า | Tagged 2566(2023), ข่าว Like สาระ, สกู๊ปแนวหน้า, แนวหน้า, naewna | Leave a reply

สกู๊ปแนวหน้า : ย้อนมอง‘เมืองกรุง’ยุคโควิด ‘เปราะบาง-เหลื่อมล้ำ’ภาพชัด

Posted on February 4, 2023 by SoClaimon
Reply

#SootinClaimon.Com : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์แนวหน้า

https://www.naewna.com/likesara/708753

สกู๊ปแนวหน้า : ย้อนมอง‘เมืองกรุง’ยุคโควิด  ‘เปราะบาง-เหลื่อมล้ำ’ภาพชัด

สกู๊ปแนวหน้า : ย้อนมอง‘เมืองกรุง’ยุคโควิด ‘เปราะบาง-เหลื่อมล้ำ’ภาพชัด

วันเสาร์ ที่ 4 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2566, 02.00 น.

“สิ่งที่เราทำ เราเห็นจริงๆ ว่าจุดตัดของเรื่อง Crisis (วิกฤต) จริงๆ ของเรื่องนี้มันอยู่ตอนก่อนที่วัคซีนจะมา พอมันไม่มีวัคซีนสังคมมันไม่มีอะไรที่จะจัดการได้เลย มีทุกอย่างตั้งแต่กินขิงกินอะไรแบบคือมันกลับไปสู่สังคมที่ Knowledge (ความรู้) ในการจัดการพื้นที่มันไม่ Firm (ชัดเจน) สิ่งที่ใช้มันไม่ได้ใช้ Knowledge แล้ว มันใช้สถานะความเป็น Institution (สถาบัน) ของมันในการจัดการ”

ผศ.ดร.พิชญ์ พงษ์สวัสดิ์ อาจารย์ภาควิชาการปกครอง คณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กล่าวในการบรรยายหัวข้อ “ผลกระทบของวิกฤตโควิด-19 ต่อการผลิตและจัดการปกครองพื้นที่เมืองในกรุงเทพมหานครในสถานการณ์ฉุกเฉินเชิงสุขภาพ : ชีวิตวิถีใหม่ ความยากจน ความเหลื่อมล้ำ และความเป็นธรรมในพื้นที่เมือง” พาย้อนมองไปเมื่อ 3 ปีก่อน ในช่วงแรกๆ ที่โลกและประเทศไทยต้องเผชิญสถานการณ์การระบาดของไวรัสโควิด-19 และยังไม่มีความรู้เกี่ยวกับโรคอุบัติใหม่อย่างเพียงพอ สิ่งที่ถูกนำมาใช้จึงเน้นไปในเชิงการใช้อำนาจเพื่อควบคุมเป็นหลัก

หากไม่นับประเทศจีน ต้นทางของการเริ่มระบาดของไวรัสโควิด-19 ไทยถือเป็นประเทศแรกที่ตรวจพบไวรัสดังกล่าว การระบาดระลอกแรกในปี 2563 ตั้งแต่ต้นปีพบเชื้อที่สนามบิน (นักท่องเที่ยว) สนามมวย (คลัสเตอร์เวทีมวยลุมพินี) เหตุการณ์สำคัญในระลอกนี้คือเมื่อช่วงปลายเดือน มี.ค. 2563 รัฐบาลประกาศสถานการณ์ฉุกเฉิน ตั้งหน่วยเฉพาะกิจอย่าง ศบค. เริ่มล็อกดาวน์ปิดกิจการต่างๆ และยกระดับไปสู่การห้ามออกจากเคหสถานในยามวิกาล หรือเคอร์ฟิว ในช่วงต้นเดือน เม.ย. 2563

อาจารย์พิชญ์ อธิบายสถานการณ์ในช่วงระลอกแรกนี้ว่า เมื่อยังไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรก็ต้องงัดวิธีเดิมๆ ที่คุ้นเคยออกมาใช้โดยเน้นความเด็ดขาดและการรวมศูนย์ จากนั้นเมื่อเกิดการระบาดระลอกที่ 2 ตั้งแต่มีรายงานพบคลัสเตอร์แรงงานข้ามชาติที่ จ.สมุทรสาคร ช่วงกลางเดือน ธ.ค. 2563 ซึ่งการระบาดระลอกนี้ทำให้ภาพอคติที่สังคมไทยมีต่อแรงงานข้ามชาติชัดขึ้น เช่น มีการล้อมรั้วลวดหนามรอบหอพักแรงงานข้ามชาติ แต่อีกด้านหนึ่ง ภาครัฐเริ่มหันมาแบ่งพื้นที่ควบคุมเป็นสีต่างๆ ตามความรุนแรงของการระบาด และมีวัคซีนชุดแรก (ยี่ห้อซิโนแวคจากจีน) มาถึง

การระบาดระลอกที่ 3-4 เกิดขึ้นในเดือน เม.ย. และ ก.ค. 2564 ในกรุงเทพฯ ที่สถานบันเทิงย่านทองหล่อ และลามเข้าสู่ชุมชนแออัดย่านคลองเตย หรืออีกจุดหนึ่งคือที่พักแรงงานก่อสร้าง ซึ่งช่วงเวลาดังกล่าวถือเป็นการระบาดที่รุนแรงที่สุดจากเชื้อไวรัสโควิด-19 กลายพันธุ์สายเดลตา และแนวทางที่ให้คนอยู่บ้านเพื่อหลีกเลี่ยงการรวมกลุ่มอันจะทำให้เกิดสถานการณ์โรคระบาดถูกตั้งคำถามมากขึ้น เพราะการอยู่บ้านหมายถึงการไม่ได้ทำงานทำให้ขาดรายได้ กระทั่งการระบาดระลอก 5 ช่วงปลายปี 2564 ในการระบาดรัฐเริ่มผ่อนคลายมาตรการควบคุมลง ไวรัสกลายพันธุ์ที่ระบาดกลายเป็นสายโอมิครอน สุดท้ายคือยุติการประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินในเดือน ต.ค. 2565

“จากข้อมูลที่เราเก็บตัวอย่างมา เราเก็บตัวอย่างหลายกลุ่มในกรุงเทพฯ อาจจะไม่ได้เยอะแต่เราได้ข้อสรุปว่า มาตรการของรัฐในมุมมองของประชาชนนั้นไม่เพียงพอและไม่สามารถทดแทนผลกระทบของสิ่งที่เกิดขึ้นได้ มันจึงทำให้คนต้องพึ่งพาตัวเองเยอะ ดิ้นรนกันเองตลอดเวลา ภายใต้สิ่งที่เรารู้สึกว่ารัฐไม่มีความยืดหยุ่นอะไรเลย สั่งมาก็ไม่รู้เรื่อง แล้วรอบนี้คือไม่รู้เรื่องจริงๆ แต่ก็ยังใช้อำนาจ

กิจกรรมทางเศรษฐกิจ เราพบว่ากิจกรรมของภาคเอกชน สิ่งที่เกิดขึ้นจริงคือการนำเงินออมมาใช้และก่อหนี้ของครอบครัวเพิ่มขึ้น การก่อหนี้คือเรื่องใหญ่ มีการปิดพื้นที่สาธารณะ แล้วพื้นที่สาธารณะประเด็นใหญ่ในสังคมไทยที่ต่างจากที่อื่น คือพื้นที่สาธารณะเป็นพื้นที่ทำมาหากิน เป็นพื้นที่ทำมาค้าขายด้วยไม่ใช่เป็นพื้นที่สำหรับพักผ่อนหย่อนใจอย่างเดียว ฉะนั้นการปิดสวน (สาธารณะ) ไม่ได้สำคัญเท่าปิดไม่ให้ขายของ ปิดตลาดนัด ตลาดนัดคือพื้นที่สาธารณะสำหรับคนไทย” อาจารย์พิชญ์ ระบุ

สถานการณ์โรคระบาดใหญ่ครั้งนี้ยังทำให้เห็นภาพความเหลื่อมล้ำที่ชัดเจนขึ้นจากกรณีครัวเรือนยากจนไม่สามารถแบ่งพื้นที่บ้านให้ผู้ติดเชื้อหรือกลุ่มเสี่ยงกักตัวได้ ขณะที่เด็กและเยาวชนซึ่งต้องเปลี่ยนมาเรียนทางออนไลน์ก็รู้สึกว่าตนเองมองภาพอนาคตได้ยากขึ้นเพราะไม่ได้ออกจากบ้าน ไม่ได้ทำกิจกรรมเพื่อสะสมประวัติไปยื่นสมัครเรียน ด้านคนพิการก็ต้องใช้ชีวิตอย่างยากลำบากเพราะต้องพึ่งพาตนเองมากขึ้นจากเดิมที่มีผู้ช่วยดูแล

แม้แต่เจ้าหน้าที่รัฐเอง หากเป็นบุคลากรระดับปฏิบัติการก็ยังต้องออกมาทำงานนอกบ้านซึ่งเสี่ยงต่อการติดเชื้อ ขณะเดียวกันด้วยความที่เป็นคนทำงานภาคสนาม มีปฏิสัมพันธ์กับประชาชนในพื้นที่ จึงต้องแบกรับความกดดันเพราะด้านหนึ่งต้องกำชับประชาชนว่าเบื้องบนระดับนโยบายสั่งการลงมาห้ามสิ่งต่างๆ นานา แต่อีกด้านหนึ่งก็ไม่สามารถตอบคำถามประชาชนได้ว่าสั่งล็อกดาวน์แล้วประชาชนขาดรายได้จะทำอย่างไร โดยเฉพาะแรงงานนอกระบบที่มีรายได้รายวันแบบหาเช้ากินค่ำ

อาจารย์พิชญ์ ยังกล่าวอีกว่า ในสถานการณ์ที่รัฐใช้อำนาจเพื่อควบคุมโรค ภาคเอกชนเองก็ใช้ความรู้ด้านเศรษฐกิจพยายามเจรจาต่อรอง แต่ก็พบว่าเอกชนที่เป็นทุนใหญ่มีอำนาจต่อรองมากกว่าทุนเล็กรายย่อย สำหรับวิธีการต่อรองของภาคเอกชนจะมีทั้งใช้ความเป็นทุนใหญ่หรือใช้การรวมกลุ่มเคลื่อนไหวในนามสมาคม แต่หากเป็นภาคประชาชนก็จะไม่สามารถต่อรองใดๆ ได้ ทำได้เพียงใช้ชีวิตด้วยความทุกข์ยากลำบาก มีเสียงสะท้อนความรู้สึกเบื่อหน่ายและเหนื่อยล้ากับการใช้ชีวิต

เจาะจงมาที่การบริหารจัดการในเมือง ในโลกยุคก่อนโควิด-19 ระบาด ให้นิยามเมืองที่ดีคือเมืองที่แน่น (Density) เน้นการใช้ระบบขนส่งมวลชนมากกว่าพาหนะส่วนบุคคล แต่เมื่อโควิด-19 ระบาด พบว่าเมืองใดยิ่งแน่นความรุนแรงของสถานการณ์ก็ยิ่งมาก มีการจำกัดการใช้ระบบขนส่งมวลชน ควบคุมคนให้ต้องอยู่แต่ในบ้าน ดังนั้นจึงเป็นโจทย์ให้ไปคิดต่อว่า ในความปกติใหม่ (New Normal) จะออกแบบที่อยู่อาศัยและเมืองอย่างไร

“ในงานวิจัยผมอีกชิ้นที่ทำเรื่องบ้านเช่า บางชุมชนแออัดหายไปเกินครึ่งโดยเฉพาะที่เป็นแรงงาน อย่างกรณีชุมชนวัดสังเวชซึ่งอยู่ตรงข้ามกับถนนข้าวสาร เกินครึ่งหนึ่งหายไปเลยแล้ว Trace (ติดตาม) ไม่ได้ว่าไปไหน แต่คำอธิบายคือกลับบ้านนอก กรณีใกล้ตัวผม คนที่เคยทำความสะอาดบ้านผมปัญหาคือเขาเช่าบ้านอยู่ในชุมชนแออัด เขาอยู่ไม่ได้แล้วเพราะระบบห้องเช่ามันใช้ห้องน้ำรวม

แล้วเขาโดนหนักเพราะเขารับทำความสะอาดบ้านหลายๆ หลังในสัปดาห์หนึ่ง บางบ้านไม่ให้เข้าเลยเพราะถือว่ามาจากพื้นที่ชุมชน แต่บางบ้านที่ไม่ให้เข้าแต่ใจดีจ่ายเงินให้ ยอมเลี้ยงไว้เพราะหวังว่าจะกลับมาทำงานหลังโควิดหาย แต่สุดท้ายเขาเองก็ต้องกลับไปหางานในต่างจังหวัดที่ใกล้บ้านเขา เพราะว่าเขาไม่สามารถทำงานได้และตัวเขาก็เสี่ยงเกินไป เขาเสี่ยงอยู่ในบ้านเพราะชุมชนใช้ห้องน้ำรวมในบ้านเช่า แล้วบ้านคนรวยก็กลัว ไม่ให้เข้าบ้าน จะมียุคหนึ่งที่ไม่ให้เข้าบ้านด้วย ห้ามความสัมพันธ์ระหว่างการทำงานแบบนี้ด้วย” อาจารย์พิชญ์ ยกตัวอย่าง

บทสรุปของการเฝ้ามองสถานการณ์โควิด-19 ที่เกิดขึ้นตลอดห้วงเวลาที่ผ่านมา อาจารย์พิชญ์ มองว่า ภาครัฐไทยมุ่งรับมือแบบมองเป็นสถานการณ์ชั่วคราว เช่น เมื่อพื้นที่ใดเกิดสถานการณ์ขึ้นก็จะมีการตั้งจุดพักชั่วคราวตั้งโรงพยาบาลสนาม กระทั่งเมื่อสถานการณ์เบาลงก็ยกเลิก วนไปแบบนี้เสมอแต่ไม่ได้ถูกนำไปคิดต่อยอดให้เป็นระบบว่าหลังจากนั้นจะทำอย่างไรด้วยความรู้ที่มี (Institutionalize Knowledge)

หมายเหตุ : การบรรยายครั้งนี้เป็นส่วนหนึ่งของงานสัมมนา “เมื่อเมืองพลิกผัน พื้นที่ เวลา และชีวิตในเมืองในห้วงโควิด-19” จัดโดยภาควิชาการปกครอง คณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ร่วมกับ สำนักงานสภานโยบายการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรมแห่งชาติ (สอวช.) และหน่วยบริหารและจัดการทุนด้านการพัฒนากำลังคน และทุนด้านการพัฒนาสถาบันอุดมศึกษา การวิจัยและการสร้างนวัตกรรม (บพค.)

SCOOP@NAEWNA.COM

Share this:

  • Click to share on Pocket (Opens in new window) Pocket
  • Click to share on Facebook (Opens in new window) Facebook
  • Click to share on X (Opens in new window) X
  • Click to share on LinkedIn (Opens in new window) LinkedIn
  • Click to share on Reddit (Opens in new window) Reddit
  • Click to email a link to a friend (Opens in new window) Email
  • Click to print (Opens in new window) Print
  • Click to share on Telegram (Opens in new window) Telegram
  • Click to share on Tumblr (Opens in new window) Tumblr
  • Click to share on WhatsApp (Opens in new window) WhatsApp
  • Click to share on Mastodon (Opens in new window) Mastodon
  • Click to share on Pinterest (Opens in new window) Pinterest
Like Loading...
Posted in ข่าว Like สาระ, สกู๊ปแนวหน้า, แนวหน้า | Tagged 2566(2023), ข่าว Like สาระ, สกู๊ปแนวหน้า, แนวหน้า, naewna | Leave a reply

สกู๊ปแนวหน้า : ‘นักชิม’อาชีพทางเลือก เอื้อศักยภาพ‘ผู้พิการสายตา’

Posted on January 29, 2023 by SoClaimon
Reply

#SootinClaimon.Com : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์แนวหน้า

https://www.naewna.com/likesara/707343

สกู๊ปแนวหน้า : ‘นักชิม’อาชีพทางเลือก  เอื้อศักยภาพ‘ผู้พิการสายตา’

สกู๊ปแนวหน้า : ‘นักชิม’อาชีพทางเลือก เอื้อศักยภาพ‘ผู้พิการสายตา’

วันอาทิตย์ ที่ 29 มกราคม พ.ศ. 2566, 06.10 น.

ข้อมูลจาก กรมส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ ระบุว่า ณ สิ้นปี 2565 ประเทศไทยมีคนพิการทั้งสิ้น 2,153,519 คน (นับจากผู้ที่ขึ้นทะเบียนและได้รับบัตรประจำตัวคนพิการ) ในจำนวนนี้ราวครึ่งหนึ่ง หรือร้อยละ 50.81 หรือจำนวน 1,094,101 คน เป็นคนพิการประเภททางการเคลื่อนไหวหรือทางร่างกาย รองลงมา ร้อยละ 18.64 หรือ 401,318 คน พิการทางการได้ยินหรือสื่อความหมาย และอันดับ 3 ร้อยละ 8.58 หรือ 184,711 พิการทางการเห็น

และเพื่อให้คนพิการสามารถพึ่งพาตนเองได้ ที่ผ่านมาประเทศไทยมีการออกกฎหมาย พ.ร.บ.ส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ พ.ศ.2550 เพื่อสนับสนุนการมีงานทำของคนพิการ ขณะเดียวกัน ยังมีความพยายามจากหลายภาคส่วนในการฝึกทักษะอาชีพให้กับคนพิการ อาทิ “โครงการพัฒนาทักษะอาชีพนักชิมอาหารปรุงสำเร็จผู้พิการทางการเห็นเพื่อสร้างรายได้เสริม” ซึ่งเป็นความร่วมมือระหว่าง 2 สถาบันอุดมศึกษาของไทยอย่าง มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี และ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์

โครงการนี้ได้รับทุนสนับสนุนจาก สำนักงานการวิจัยแห่งชาติ ระยะเวลาดำเนินงาน 12 เดือน (ก.พ.2565 – ก.พ. 2566) มีเป้าหมายยกระดับรายได้ให้กับคนพิการทางการเห็นผ่านการพัฒนาทักษะอาชีพนักชิมอาหาร ดำเนินการร่วมกับบุคลากรและนักเรียนในโรงเรียนสอนคนตาบอด/ศูนย์ฝึกอาชีพคนตาบอด ในพื้นที่เป้าหมาย 3 แห่ง ได้แก่ อ.ปากเกร็ด จ.นนทบุรี อ.เมือง จ.สิงห์บุรี และ อ.สามพราน จ.นครปฐม

ผศ.ดร.ธิติมา วงษ์ชีรี นักวิจัย ศูนย์วิจัยและบริการเพื่อชุมชนและสังคม สำนักวิจัยและบริการวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี ในฐานะหัวหน้าโครงการ เล่าถึงงานวิจัยเกี่ยวกับการพัฒนาศักยภาพของคนพิการทางการเห็น ที่ทำการศึกษามาตั้งแต่ปี 2558 แล้วพบว่า“คนพิการทางการเห็นมีความสามารถในการจำแนกกลุ่มกลิ่นได้แม่นยำ” ซึ่งน่าเสียดายหากคนพิการไม่สามารถนำจุดเด่นนี้มาสร้างรายได้หาเลี้ยงชีพตนเอง

โดย “นักชิมอาหาร” เป็นอีกหนึ่งทางเลือกที่คนพิการทางการเห็นสามารถพัฒนาตนเองเป็น “นักชิมอาหารปรุงสำเร็จมืออาชีพ” ได้ในอนาคต แต่ก็ต้องมีการเตรียมตัว ต้องมีความรู้ที่ลึกและกว้าง และต้องมีความรู้ถึงสินค้าวัตถุดิบหลายชนิดรวมถึงคุณลักษณะต่างๆ ของเมนูอาหาร ดังนั้น ก่อนที่คนพิการจะเข้าร่วมงานวิจัย จึงต้องทดสอบขีดความสามารถในการแยกแยะรสหวานเปรี้ยวเค็มขมต่ำสุดในระดับที่มนุษย์จะรับรสได้ตามหลักเกณฑ์มาตรฐาน

“ที่มาของแนวคิดอาชีพนักชิมอาหารปรุงสำเร็จคนพิการทางการเห็น เริ่มจากสถานการณ์โควิค-19 เนื่องจากผู้บริโภคส่วนใหญ่จะสั่งอาหารจากร้านต่างๆ มาทาน หากคนพิการไปชิมอาหารให้กับร้านค้าและสามารถให้ดาว ในด้านรสชาติอาหาร หรือร้านอาหารที่มีออกเมนูใหม่ๆ ทุก 3 เดือน 5 เดือน หรือได้ชิมอาหารที่สร้างความแตกต่างจากร้านอื่นก็จะช่วยเพิ่มมูลค่ายอดขายให้กับผู้ประกอบการได้ และจะทำให้คนพิการมีรายได้” ผศ.ดร.ธิติมา กล่าว

สำหรับเมนูอาหารที่นำมาใช้ทดสอบความเป็นนักชิมอาหารของคนพิการทางการเห็นครั้งนี้ มีด้วยกัน 3 เมนู ได้แก่ ทอดมันหน่อกะลา (จากร้าน Mango 88 Café เกาะเกร็ด จ.นนทบุรี) แกงเขียวหวานซี่โครงหมูกรุบกะลา (จากร้าน Little Tree Garden อ.สามพราน จ.นครปฐม) และเค้กมะพร้าวอ่อน (จากร้านชมเฌอคาเฟ่ & บิสโทร อ.สามพราน จ.นครปฐม) มาเทียบกับอาหารเมนูเดียวกันที่ได้รับความนิยมจากร้านดังต่างๆ ที่นำมาทดสอบ

ว่า มีความต่างกันอย่างไร มีความโดดเด่นอย่างไร โดยการทดสอบชิมอาหารจัดขึ้น ณ ศูนย์ฝึกอาชีพหญิงตาบอดสามพราน อ.สามพราน จ.นครปฐม ในวันที่ 17 ม.ค. 2566 ที่ผ่านมา ซึ่งนักชิมคนพิการทางการเห็นจะได้ใบประกาศนียบัตร เพื่อการันตีความรู้ที่ได้ผ่านการอบรมและการทดสอบประสาทสัมผัสในระดับหนึ่งที่จะเป็นใบเบิกทางในการสมัครงานหรือนำไปประกอบอาชีพนักชิมอาหารได้

ซึ่ง ผศ.ดร.ธิติมา ยังกล่าวอีกว่า ข้อมูลที่ได้จากการทดสอบชิมอาหารของคนพิการ จะถูกส่งกลับไปให้กับทางร้านเหมือนเป็นการให้ข้อมูลย้อนกลับให้ร้านได้รู้ว่าเมนูอาหารของร้านมีความเด่นอย่างไร อาหารของเขามีกลิ่นอะไรเด่น หรือมีความแตกต่างจากร้านอื่นๆ อย่างไร ซึ่งทางร้านสามารถนำข้อมูลที่ได้ไปเป็นแนวทางการปรับปรุงหรือพัฒนาสูตรอาหาร ทั้งนี้ จะไม่ได้มีการตัดสินว่าอาหารของร้านดีกว่าอาหารร้าน 5 ดาวแต่อย่างใด

ขณะที่ ผศ.ดร.อุศมา สุนทรนฤรังษี อาจารย์ประจำภาควิชาพัฒนาผลิตภัณฑ์ คณะอุตสาหกรรมเกษตร มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ อธิบายว่า เนื่องจากอาหารแต่ละประเภทมีคุณลักษณะที่แตกต่างกัน ดังนั้น ขั้นตอนการทดสอบชิมจึงมีความแตกต่างกัน ในหนึ่งเมนูจะมีคุณลักษณะประจำอยู่ค่อนข้างมากซึ่งยังไม่รวมเรื่องรสชาติพื้นฐาน (หวาน เปรี้ยว เค็ม ขม อูมามิ)

ดังนั้น ก่อนฝึกงานชิมอาหารให้กับร้านอาหารที่เข้าร่วมโครงการจริง คนพิการจะได้รับการอบรมเรื่องวัตถุดิบอาหารไทย และคุณสมบัติต่างๆ ผ่านระบบออนไลน์ โดยมี smelling training kit หรือชุดฝึกฝนการดมกลิ่นเครื่องเทศ ที่บริษัท บุญ คอร์ปอเรชั่น จำกัด ได้ทำการสร้างสรรค์และสนับสนุนให้ทดลองใช้ในราคาพิเศษ โดยทางโครงการได้ทำการจัดส่งให้กับคนพิการที่ผ่านการคัดเลือกคนละหนึ่งชุด เพื่อให้คนพิการทดลองดมตัวอย่างอ้างอิงเหล่านี้ก่อนแล้วให้บอกลักษณะของกลิ่นและรสสัมผัสที่ได้รับ เพื่อดูความเข้าใจคุณลักษณะเหล่านั้นของคนพิการเบื้องต้น

“กลิ่นมะกรูดเป็นอย่างไร กลิ่นเครื่องแกงในแกงเขียวหวานและทอดมันแตกต่างกันอย่างไร ก่อนจะอบรมเรื่องของระดับความเข้มของรสชาติพื้นฐาน (หวาน เปรี้ยว เค็ม ขม อูมามิ) สามารถบอกหรือแยกแยะความเข้มของรสชาติในลักษณะที่ใกล้เคียงกันได้ จากนั้นเป็นการฝึกให้คะแนน โดยการสร้างขั้นตอนในการชิม เพื่อเป็นไกด์ไลน์หรือแนวทางในการทดสอบให้กับคนพิการสามารถอธิบายคุณลักษณะและการให้คะแนนได้” ผศ.ดร.อุศมา ยกตัวอย่าง

สำหรับโครงการอาชีพนักชิมอาหารปรุงสำเร็จผู้พิการทางการเห็น จะเป็นการอบรม 3 หลักสูตรต่อเนื่องกัน เริ่มจาก หลักสูตร Train the Trainer ระยะเวลาอบรม 1 เดือน ผ่านระบบออนไลน์ มีตัวแทนครูหรือผู้สอนคนพิการทางการเห็น จากศูนย์ฝึกอาชีพคนพิการเข้าร่วมหลายแห่ง ต่อด้วย หลักสูตรพื้นฐานการชิมอาหาร ระยะเวลาอบรม 2 เดือน โดยมีผู้ผ่านเข้ารับการอบรมประมาณ 50 คน เป็นหลักสูตรออนไลน์ สอนตั้งแต่วัตถุดิบ ลักษณะเด่นของอาหารแต่ละภาค ลักษณะหวานเปรี้ยวเค็มขม และการใช้เครื่องเทศต่างกันอย่างไร สุดท้ายคือ หลักสูตรนักชิมเบื้องต้น หรือฝึกงานชิมอาหาร ที่มีผู้ผ่านเกณฑ์ 25 คน เป็นการพาไปชิมอาหารจากร้านที่เข้าร่วมโครงการ

โดยก่อนการชิมอาหารจริง ผู้เข้ารับการอบรมจะได้รับการฝึกอบรมในเรื่องของคุณลักษณะวัตถุดิบและผลิตภัณฑ์ อบรมการทดสอบการชิม และอบรมการให้คะแนนก่อนเพื่อทดสอบว่านักชิมจะสามารถแยกแยะรสชาติได้จริงหรือไม่!!!

มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี

SCOOP@NAEWNA.COM

Share this:

  • Click to share on Pocket (Opens in new window) Pocket
  • Click to share on Facebook (Opens in new window) Facebook
  • Click to share on X (Opens in new window) X
  • Click to share on LinkedIn (Opens in new window) LinkedIn
  • Click to share on Reddit (Opens in new window) Reddit
  • Click to email a link to a friend (Opens in new window) Email
  • Click to print (Opens in new window) Print
  • Click to share on Telegram (Opens in new window) Telegram
  • Click to share on Tumblr (Opens in new window) Tumblr
  • Click to share on WhatsApp (Opens in new window) WhatsApp
  • Click to share on Mastodon (Opens in new window) Mastodon
  • Click to share on Pinterest (Opens in new window) Pinterest
Like Loading...
Posted in ข่าว Like สาระ, สกู๊ปแนวหน้า, แนวหน้า | Tagged 2566(2023), ข่าว Like สาระ, สกู๊ปแนวหน้า, แนวหน้า, naewna | Leave a reply

สกู๊ปแนวหน้า : ‘ธัชภูมิ’แหล่งรวมความรู้ ‘ธงนำ’พัฒนาระดับพื้นที่

Posted on January 28, 2023 by SoClaimon
Reply

#SootinClaimon.Com : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์แนวหน้า

https://www.naewna.com/likesara/707239

สกู๊ปแนวหน้า : ‘ธัชภูมิ’แหล่งรวมความรู้  ‘ธงนำ’พัฒนาระดับพื้นที่

สกู๊ปแนวหน้า : ‘ธัชภูมิ’แหล่งรวมความรู้ ‘ธงนำ’พัฒนาระดับพื้นที่

วันเสาร์ ที่ 28 มกราคม พ.ศ. 2566, 06.00 น.

“ถ้าเราจะทำให้ Local Economy (เศรษฐกิจชุมชน) กินดีอยู่ดีในชุมชน มันมีคำอยู่ 2 คำ 1.จะทำให้หมุนเวียนในพื้นที่ได้อย่างไร 2.จะชะลอไม่ให้เงินออกจากพื้นที่เร็วเกินไปได้อย่างไร2 คำถามนี้ มันทำให้เราต้องมาตีความและหานัยเครื่องมือใหม่ๆสิ่งหนึ่งที่เราพบเลยว่าตัวเศรษฐกิจชุมชนจะทำให้เกิดความชุ่มน้ำขึ้น การจะมี Rich (ความมั่งคั่ง) ในพื้นที่ได้ สิ่งเดียวคือต้องเอาฐานให้แน่น ผมใช้คำว่าถ้ารากไม่รอดต่อยอดไม่ได้”

ผศ.ดร.บัณฑิต อินณวงศ์ กล่าวในวงเสวนา “ธัชภูมิ”กับการขับเคลื่อนความเปลี่ยนแปลงในพื้นที่ เมื่อเร็วๆ นี้ถึงความสำคัญของ “ธุรกิจชุมชน” ที่แม้ด้านหนึ่งจะเปราะบางแต่อีกด้านก็มีมุมที่เข้มแข็ง เพราะครอบคลุมทั้งทรัพยากรและภูมิปัญญา อีกทั้งเศรษฐกิจในชุมชนมักมีการจ้างงานคนในชุมชนด้วยกัน ดังนั้นจุดสำคัญคือ จะทำให้ธุรกิจชุมชนรู้ด้วยตนเองได้อย่างไรใน 2 สิ่งคือ

1.รู้ลึก เข้าใจปัญหาและสาเหตุที่ตนเองเป็นอยู่เพื่อออกแบบแนวทางการแก้ไขได้ ผ่านชุดเครื่องมือสนับสนุนการวิเคราะห์ เช่น ในสถานการณ์โรคระบาดโควิด-19 นั้นการเงินเป็นปัญหาสำคัญ ข้อมูลที่ได้จากการวิเคราะห์ไม่เพียงทำให้รู้จุดที่เป็นปัญหาเท่านั้น แต่ยังช่วยให้วางแผนทำสิ่งต่างๆหลังจากนั้นต่อไปได้ด้วย กับ 2 รู้รอบ หมายถึงชุดความรู้การทำธุรกิจแบบใหม่ที่ไม่ได้รู้เฉพาะเรื่องของตนเอง แต่ไปร่วมกับคนอื่นๆ เพื่อให้โตไปด้วยกัน

“เขาต้องรู้ว่าเขาใช้วัตถุดิบอะไร มาจากใคร มาก-น้อยแค่ไหน ในช่วงนี้ของปีมีไหม ธุรกิจเขาเกี่ยวข้องกับใครบ้าง ทั้งตัว Supply Chain (ห่วงโซ่อุปทาน) และ Demand Chain (ห่วงโซ่อุปสงค์) เมื่อเขาเห็นภาพแบบนี้เขาออกแบบได้นะ เขาจะเริ่มรู้ พูดง่ายๆ Demand คือซื้อได้ที่ไหนที่เป็นธรรม ที่เพียงพอกับการดำเนินธุรกิจ ขณะเดียวกัน ตัว Supply บอกว่าตลาดอยู่ที่ไหน ลูกค้าเราคือใคร การที่เขาเฝ้ามองแค่ตรงนี้ มันทำให้หลักคิดที่เราพยายามพูดว่าหลักคิดคน-ของ-ตลาด ที่เข้าไปยกระดับการทำงานกับธุรกิจมันเกิดขึ้น” ผศ.ดร.บัณฑิต กล่าวว่า

รศ.ดร.วีระศักดิ์ เครือเทพ กล่าวถึง “พลังของท้องถิ่น”ว่า ท้องถิ่นมีศักยภาพ แต่ไม่ได้รับความเชื่อมั่นทั้งจากประชาชนในพื้นที่และรัฐส่วนกลาง หรือแม้แต่ผู้บริหารท้องถิ่นเองก็ไม่มั่นใจในตนเองว่าทำอะไรได้-ไม่ได้บ้างด้วยกฎกติกาที่มีอยู่โดยเฉพาะเรื่องการเงิน-การคลัง ซึ่งจริงๆ แล้วท้องถิ่นสามารถเก็บภาษีได้แต่ต้องได้รับความเชื่อมั่น ผ่านการสนับสนุนชุดความรู้ กระบวนการมีส่วนร่วมกับภาคประชาชน กระทั่งรัฐบาลกลางก็ยังมองเห็นว่าท้องถิ่นทำได้และออกมติคณะรัฐมนตรี (ครม.) และประกาศคณะกรรมการกระจายอำนาจมาสนับสนุน

“เรื่องรายจ่ายหรือการจัดบริการท้องถิ่น เราก็เริ่มมองภาพท้องถิ่นทำงานเรื่องนี้เป็นปกติ แต่ใช้วิถีแบบภาษาชาวบ้านคือแบบดั้งเดิม แบบโบราณๆ ทำแผนก็ยังต้องมานั่งเขียนมือเราก็เริ่มทดลองว่าถ้าเอา Data (ข้อมูล) เอา Digital Transformation (เปลี่ยนไปใช้เทคโนโลยีดิจิทัล) ไปใส่มันจะเห็นการเปลี่ยนแปลงไหม เราไปทดลองที่กระบี่มาแบบเต็มจังหวัด เก็บข้อมูลนู่นนี่ เราพบโจทย์บางอย่างที่เขามองไม่เห็น

เช่น เวลาเราพูดเรื่องกระบี่คนจะพูดเรื่องเศรษฐกิจท่องเที่ยวทางทะเล ชายหาดสวยงาม แต่ปรากฏว่าพอเราสแกนจังหวัดทั้งหมด เราพบว่าทะเลคนทุ่มกันเยอะเลยทั้งรัฐบาลทั้งท้องถิ่น แต่จริงๆ กระบี่มันมีความหลากหลายทางชีวภาพอยู่แยอะ มี GI (Geographical Indication : สิ่งบ่งชี้ทางภูมิศาสตร์) 2 ตัวไม่ได้ถูกเอามาใช้ พอเราลงพิกัด ทำ Mapping (แผนที่) ออกมาปุ๊บ! ท้องถิ่นบอกนี่คือช่องว่าง” รศ.ดร.วีระศักดิ์ ยกตัวอย่าง

ดร.กิตติ สัจจาวัฒนา กล่าวว่า ข้อมูลของประเทศไทยนั้นอ่อนแอมาก เพราะเมื่อใดที่พูดถึงคำว่า “คนฐานราก” กลับไม่มีข้อมูลที่เกินระดับอำเภอลงไป จึงไม่รู้ว่าเมื่อออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจไปแล้วผลจะไปอยู่จุดใด กลายเป็นที่มาของคำว่า“รวยกระจุก-จนกระจาย” เพราะออกมาตรการไปก็ไหลเข้าทุนใหญ่หมด โดยหนึ่งในข้อค้นพบของการทำงานนี้คือ “ความพยายามเข้าใจสาเหตุของความจน” ว่ามีต้นตอจากอะไร

ซึ่งก็เป็นไปได้ทั้งการถูกกดทับจากนโยบายการพัฒนาของรัฐ ภัยพิบัติธรรมชาติ หรือพฤติกรรมส่วนบุคคลหรือในครัวเรือน การทำความเข้าใจนั้นใช้ข้อมูลผ่านการทำงานเชิงพื้นที่ โดยมีมหาวิทยาลัยคอยสนับสนุน และพบข้อมูลที่น่าสนใจ 2 ด้าน กล่าวคือ ในขณะที่บางพื้นที่มีครัวเรือนยากจนแต่ตกหล่นจากการได้รับสวัสดิการของรัฐถึงร้อยละ 40 บางพื้นที่ก็พบครัวเรือนที่ไม่ได้จนจริงถึงร้อยละ 60 หมายถึงอยู่ในระบบของรัฐแต่ไม่มีรายได้

ดร.กิตติ อธิบายเพิ่มเติมว่า “การวัดความยากจนใช้เพียงรายได้ไม่พอ..ต้องใช้รายได้บวกกับชีวิตความเป็นอยู่”ตามไปดูกันถึงบ้านว่าใช้ชีวิตกันอย่างไร ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของระบบสอบทานโดยให้ชุมชน มหาวิทยาลัยและรัฐมีส่วนร่วม ซึ่งก็จะพบครัวเรือนยังไม่ถึงขั้นยากจนแต่เข้าถึงสวัสดิการของรัฐได้ ข้อค้นพบนี้ยังนำไปสู่ข้อเสนอเชิงนโยบายในการปรับหลักเกณฑ์นิยามความยากจนด้วย แต่ที่สำคัญกว่านั้นคือเกิดการช่วยเหลือกันเองในชุมชน

“หลายชุมชนอยู่ติดชลประทานแต่ไม่เคยเข้าถึงชลประทาน ชุมชนติดชายฝั่งแต่ไม่เคยเข้าถึงทรัพยากรทางทะเลฉะนั้นพอโอกาสมันเอื้อและคนที่มีแรงมากกว่าเขาไปเปิดโอกาส เขาเข้าถึงปุ๊บหลุดเลย อันนี้เรียกว่า Social Safety Net (เครือข่ายพยุงรองรับทางสังคม) เราเกิดกองทุนกฐินทำมหกรรมแก้จนในพื้นที่ช่วยเหลือกันเอง อันนี้สำคัญที่สุด แล้วท้ายที่สุดคือปรับจิตสำนึกของคนว่าเวลาเราจนไม่จริงเรารับไปก็เป็นบาปนะ แต่ถ้าเราเป็นคนจนจริงแล้วเข้าไม่ถึง คนที่มีแรงแต่ไม่เปิดโอกาสให้ก็เป็นบาปเหมือนกัน

พฤติกรรมของความยากจนเป็นพลวัตขึ้นอยู่กับพฤติกรรมของเขาด้วย ไม่ได้ขึ้นอยู่กับการกดทับนโยบายภาครัฐอย่างเดียว พฤติกรรมรายคน-รายครัวเรือนมีส่วนร่วมมาก เพราะฉะนั้นการเอาความเชื่อ การเอาศาสนา การเอาพลังทางสังคมมาช่วยหนุนเพื่อปรับพฤติกรรมกับจิตสำนึกเข้าไปด้วย” ดร.กิตติ กล่าว

รศ.ดร.ปุ่น เที่ยงบูรณธรรม กล่าวว่า ในขณะที่เมืองอัจฉริยะ (Smart City) กำลังเคลื่อนไป แต่โครงสร้างเดิมที่มีบริหารจัดการไม่ทัน งานพัฒนาเมืองจึงต้องให้ความสำคัญกับโครงสร้างพื้นฐานอย่างอ่อน (Soft Technology) เช่น ระบบฐานข้อมูล กลไกการเงินที่เอื้อให้เมืองทำสิ่งใหม่ๆ ได้อย่างถูกต้องและรวดเร็ว รวมถึงการดึงภาคเอกชนและภาคประชาชนเข้ามามีส่วนร่วมทำโครงการระดับพื้นที่ ซึ่งแม้หน้างานจะมีคนเก่งอยู่มากแต่ยังขาดคนที่กล้าทำเพราะไม่มั่นใจในเชิงกฎหมาย และหลายคนก็อึดอัดไม่รู้จะทำอย่างไรต่อ

“อีกอันที่เป็นความรู้อีกชุดหนึ่งของเมือง เราพบว่าอย่างเคสหนึ่งกลไกใหม่นอกจากกลไกเดิมที่มาจากภาคเอกชนแล้ว กลไกภาคประชาชนไปภาคเยาวชนที่ทำงานด้วยกันเราพบว่าจำเป็นจะต้องถ่ายทอด ดังนั้นผมเลยมองว่า ความรู้แต่ละที่ที่เป็น Local Wisdom (ภูมิปัญญาท้องถิ่น) มันต้อง Synergy (ทำงานร่วมกัน) และต้องถ่ายทอด ดังนั้น กลไกความรู้จึงไม่ใช่เป็นกลไกที่คุยกันภายในเมืองอย่างเดียว แต่คุยกันระหว่างเมืองด้วย และคุยไปกับเมืองต่างประเทศด้วย เพราะฉะนั้นการให้กำลังใจกัน การ Empowerment (เสริมพลัง) กันแล้วนำมาสู่ความสามารถในการลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน โดยที่ลงทุนไปแล้วสามารถกลับมาพวกเขาเอง” รศ.ดร.ปุ่น กล่าว

ดร.สีลาภรณ์ บัวสาย กล่าวว่า ประเทศไทยนั้นร่ำรวยไปด้วยต้นทุนทางวัฒนธรรม อีกทั้งยังบริหารจัดการได้ดี ตัวอย่างหนึ่งคือการทำให้กลุ่มชาติพันธุ์ต่างๆ อยู่ร่วมกันได้
ในขณะที่บางประเทศมีความขัดแย้งระหว่างกลุ่มชาติพันธุ์ถึงขั้นสู้รบเข่นฆ่ากันหรือถึงขนาดต้องแบ่งแยกออกไปตั้งเป็นประเทศใหม่ ทั้งนี้ การทำงานด้านทุนทางวัฒนธรรมจะอยู่บนความคิดเรื่องสำนึกท้องถิ่น นำไปสู่การสร้างคุณค่าและรู้สึกหวงแหน เช่น โครงการตลาดนัดวัฒนธรรม ที่ทุกวันนี้ไม่ได้เดินด้วยเงินวิจัยแล้วแต่เป็นเงินของท้องถิ่น โดยทุนวิจัยเป็นเพียงเมล็ดพันธุ์ (Seed) ตั้งต้นเท่านั้น

“คล้ายๆ กับเวลาเราเข็นรถ กับตอนนี้พอมันเริ่มสตาร์ทได้มันเป็นแค่ Monitor (เฝ้าดู) เติมเต็มนิดๆ หน่อยๆ ลากตรงนั้นตรงนี้ต่อเชื่อม ซึ่งอันนี้เป็น Knowhow (ความรู้) อีกเรื่องซึ่งคิดว่าต้องถอดออกจาก 5 ชุด คือระบบติดตามสนับสนุน คนนึกว่าสร้างอะไรแล้วทิ้งได้เลย จะว่าไปแล้วก็เหมือนต้นไม้ ต้องมีการตามดูบ้าง รดน้ำพรวนดินบ้าง หรือปล่อยเรือออกท่องมหาสมุทร เขามีพลังงานไปหาข้างหน้าได้ แต่มันต้องมี ว. บอกว่าพายุจะมาหรือเปล่า มันต้องมีระบบพวกนี้อยู่บ้างแล้วยังไม่มีการออกแบบเท่าไร” ดร.สีลาภรณ์ กล่าว

สำหรับ วิทยสถาน “ธัชภูมิ” เพื่อการพัฒนาพื้นที่ นั้นเป็นดำริของ ศ.(พิเศษ) ดร.เอนก เหล่าธรรมทัศน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) มุ่งหวังให้เป็น “ธงนำ” ของการพัฒนาพื้นที่โดยครอบคลุมทั้ง 5 เรื่องของฐานทุนความรู้จากงานวิจัยเพื่อพัฒนาพื้นที่ที่มีผลกระทบอย่างสูงต่อการพัฒนาประเทศ ผ่านสถาบันความรู้ 5 สถาบันได้แก่ สถาบันความรู้เพื่อการจัดการทุนทางวัฒนธรรม สถาบันความรู้เพื่อพัฒนาเศรษฐกิจชุมชน สถาบันความรู้เพื่อการสร้างโอกาสทางสังคม สถาบันความรู้เพื่อการพัฒนาเมือง และสถาบันความรู้เพื่อเสริมพลังท้องถิ่น!!!

SCOOP@NAEWNA.COM

Share this:

  • Click to share on Pocket (Opens in new window) Pocket
  • Click to share on Facebook (Opens in new window) Facebook
  • Click to share on X (Opens in new window) X
  • Click to share on LinkedIn (Opens in new window) LinkedIn
  • Click to share on Reddit (Opens in new window) Reddit
  • Click to email a link to a friend (Opens in new window) Email
  • Click to print (Opens in new window) Print
  • Click to share on Telegram (Opens in new window) Telegram
  • Click to share on Tumblr (Opens in new window) Tumblr
  • Click to share on WhatsApp (Opens in new window) WhatsApp
  • Click to share on Mastodon (Opens in new window) Mastodon
  • Click to share on Pinterest (Opens in new window) Pinterest
Like Loading...
Posted in ข่าว Like สาระ, สกู๊ปแนวหน้า, แนวหน้า | Tagged 2566(2023), ข่าว Like สาระ, สกู๊ปแนวหน้า, แนวหน้า, naewna | Leave a reply

สกู๊ปแนวหน้า : ‘ไรเดอร์’เสี่ยง!..แลกเลี้ยงชีพ ‘ควบคุม-คุ้มครอง’รอรัฐยื่นมือ

Posted on January 22, 2023 by SoClaimon
Reply

#SootinClaimon.Com : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์แนวหน้า

https://www.naewna.com/likesara/705837

สกู๊ปแนวหน้า : ‘ไรเดอร์’เสี่ยง!..แลกเลี้ยงชีพ  ‘ควบคุม-คุ้มครอง’รอรัฐยื่นมือ

สกู๊ปแนวหน้า : ‘ไรเดอร์’เสี่ยง!..แลกเลี้ยงชีพ ‘ควบคุม-คุ้มครอง’รอรัฐยื่นมือ

วันอาทิตย์ ที่ 22 มกราคม พ.ศ. 2566, 06.15 น.

“บริษัทเองหรือเปล่าที่เป็นสาเหตุที่ทำให้ไรเดอร์ต้องรีบเร่งวิ่งงาน รีบเร่งส่งงาน บริษัทหนึ่ง ขออนุญาตยังไม่เอ่ยชื่อ วิ่ง 1 งานจากสุขุมวิทไปส่งคลองเตย ค่ารอบ 40 บาท แต่ปัจจุบันนี้เป็นมาแล้วเกือบ 2 ปี คือเขาเรียกว่างานคู่ คือยิงเข้ามาทีเดียวเลย 2 ร้าน ลูกค้า 2 ราย งานแรกจากสุขุมวิท 26 ไปส่งคลองเตย งานที่ 2 ต้องย้อนกลับมาแถวๆ สุขุมวิทไปส่งอีกทีรัชดา 1 งานถ้างานเดี่ยวๆ เด้งมา 40 บาท ถ้างานคู่เด้งเข้ามา ลองทายว่าไรเดอร์ได้ค่าวิ่งเท่าไร?

เราสู้มานานแล้ว เราไปมาแล้วทุกที่ไม่ว่าจะเป็นกระทรวงแรงงาน กระทรวงคมนาคมกระทรวงดีอีเอส (ดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม) แม้กระทั่งสำนักงานตรวจการแผ่นดิน (ผู้ตรวจการแผ่นดิน) ค่ารอบของการวิ่ง 2 งานได้ 55 บาท แต่บริษัทจะได้ GP (Gross Profit-ค่าบริการระบบ) เต็มจากร้านค้า-ร้านอาหาร นี่คือประเด็นว่าทำไมไรเดอร์ถึงต้องรีบวิ่งค่ารอบ เพราะเราเลือกไม่ได้เราไม่สามารถปิดงานคู่ที่แอปพลิเคชั่นเราได้ผมไม่รับ”

แชมป์ ชลพรรธน์ รองนายกและโฆษกสมาคมไรเดอร์ไทย (Thai Rider Assiciation) กล่าวในงานแถลงข่าว “โครงการความร่วมมือเพื่อสร้างการขับขี่ที่ปลอดภัยในกลุ่มรถจักรยานยนต์รับจ้างและกลุ่มไรเดอร์” เมื่อช่วงกลางสัปดาห์ที่ผ่านมา ระบายความอัดอั้นคับข้องใจในฐานะตัวแทนของชาว “ไรเดอร์” หรือผู้รับงานส่งอาหารผ่านแพลตฟอร์มแอปพลิเคชั่นโทรศัพท์มือถือ เกี่ยวกับรูปแบบการทำงานที่ไม่เป็นธรรม

ซึ่งนอกจากระบบ “งานคู่” แล้วระยะหลังๆ ยังมีระบบ “จองรอบงาน” โดยต้องจองก่อนเที่ยงคืนเพื่อที่จะได้มีงานวิ่งในเช้าวันรุ่งขึ้นไปจนถึงช่วงเย็น อีกทั้งมีระบบ “จำกัดพื้นที่และเวลา” หากอยู่นอกพื้นที่หรือนอกเวลาจะไม่มีงานเข้ามา แม้กระทั่ง “ปล่อยให้มีการใช้แอปฯ ดูดงาน” หมายถึงมีผู้พัฒนาแอปพลิเคชั่นให้นำไปใช้ในทางที่ผิดโดยแอปฯ ที่ว่านี้สามารถดึงงานจากระบบของแพลตฟอร์มส่งอาหารที่กระจายให้ไรเดอร์ที่อยู่บริเวณนั้นให้เข้าเครื่องของไรเดอร์ที่ติดตั้งแอปฯ นี้แต่เพียงผู้เดียว ที่ผ่านมาพยายามแจ้งบริษัทแพลตฟอร์มแล้วแต่ยังไม่มีการแก้ไข

ด้าน นพ.ธนะพงศ์ จินวงษ์ ผู้จัดการศูนย์วิชาการเพื่อความปลอดภัยทางถนน (ศวปถ.) กล่าวถึงผลสำรวจหลายๆ เรื่องที่เกี่ยวข้องกับวิถีชีวิตของไรเดอร์ อาทิ 1 ใน 3 ของไรเดอร์เคยประสบอุบัติเหตุจากการทำงาน และในจำนวนนี้ร้อยละ 40 เป็นการบาดเจ็บรุนแรง ขณะที่การดูโทรศัพท์ก็เป็นอีกพฤติกรรมเสี่ยงเกิดอุบัติเหตุ โดยพบในกลุ่มไรเดอร์สูงถึงร้อยละ 86.5

นอกจากนั้นยังมีการสำรวจความคิดเห็นของไรเดอร์ 465 คน พบว่า อายุน้อยที่สุดคือ 17 ปี ซึ่งผู้มีอายุ 16 ปี แต่ไม่ถึง 18 ปีสามารถสมัครงานไรเดอร์ได้โดยมีหนังสือยินยอมจากผู้ปกครอง ส่วนอายุมากที่สุดคือ 63 ปี เนื่องจากเป็นอาชีพที่เปิดกว้างใครก็สามารถเข้ามาทำได้ขอเพียงมีมอเตอร์ไซค์ของตนเอง แต่การเปิดอิสระแบบนี้โอกาสได้รับการฝึกอบรมหรือการวางระบบก็ไม่ง่ายแล้ว ทั้งนี้ หากเปรียบชีวิตไรเดอร์กับกีฬาวิ่งผลัด4×100 เมตร ไรเดอร์ก็เหมือนไม้สุดท้ายที่ถูกตั้งความหวังให้วิ่งเข้าเส้นชัยให้เร็วที่สุด ในขณะที่ไม้อื่นๆ ที่วิ่งก่อนหน้าอาจไม่ได้รีบขนาดนั้น

“ผมเคยฟังไรเดอร์ท่านหนึ่ง เขาไปรอของที่ห้าง เขาจัดพื้นที่ให้ไรเดอร์เฉพาะไม่ให้ไปรอหน้าร้าน แต่กลายเป็นว่าเขารอนานเพราะรับออเดอร์มาหลายเจ้า เนื่องจากร้านอาหารร้านนี้เขาอยู่ชั้นบนๆ ของห้างเขาก็เลยทำทีหนึ่งหลายเจ้า ปรากฏว่ามีไรเดอร์มารอรับหลายคิว ทุกคิวรอกัน คือฉัน (ร้านอาหาร) รอทำให้ครบทุกเมนูแล้วจึงให้เด็กเดินเอามาส่งให้ไรเดอร์ พูดง่ายๆ เจ้าแรกก็มารอนาน เพราะฉะนั้นถ้าวิถีไรเดอร์เป็นแบบนี้ ผมคิดว่าไม้ที่ 4 ลำบากแล้ว เพราะถ้าวิ่ง 4×100 ไม้แรกวิ่งมาช้าๆ ชิลๆ แต่ไม้สุดท้ายต้องวิ่งเข้าเส้นชัยก็ต้องเต็มที่เพราะลูกค้ารออยู่” นพ.ธนะพงศ์ ระบุ

นพ.ธนะพงศ์ กล่าวต่อไปว่า อีกด้านหนึ่ง ยังมีการสำรวจความคิดเห็นจากผู้ใช้บริการรับ-ส่งอาหารผ่านแพลตฟอร์ม มีกลุ่มตัวอย่าง 20 ราย พบว่า กลุ่มตัวอย่างให้ความสำคัญกับการที่ไม่เกิดผลกระทบต่ออาหารจนทำให้อาหารเสียหาย ร้อยละ 95 ดังนั้นจึงเป็นแรงกดดันให้ไรเดอร์ต้องทำงานอย่างเร่งรีบ รองลงมาคือกิริยามารยาทในการส่งอาหาร ร้อยละ 90 ส่วนการขับขี่ ความปลอดภัยของผู้ขับขี่ และความปลอดภัยของพนักงาน (เช่น สวมหมวกนิรภัย ถุงมือและรองเท้าป้องกันอันตราย) ถูกให้ความสำคัญอยู่ที่เพียงร้อยละ45 25 และ 15 ตามลำดับเท่านั้น

ขณะที่เมื่อดูต่างประเทศ ปัจจุบันมีเพียงสเปนชาติเดียวที่มีกฎหมายรับรองไรเดอร์ในฐานะแรงงานในระบบ กล่าวคือ มีสถานะเป็นลูกจ้าง มีสหภาพแรงงาน มีกฎหมายคุ้มครอง โดยผู้ให้บริการแพลตฟอร์มมีหน้าที่ต้องประกันรายได้ขั้นต่ำ มีการทำประกันสุขภาพ ประกันอุบัติเหตุ และต้องชดเชยรายได้เมื่อเกิดอุบัติเหตุ ส่วนไรเดอร์
ในไทยนั้นจัดเป็นแรงงานนอกระบบ ไม่มีสถานะเป็นลูกจ้าง ไม่มีกฎหมายคุ้มครองเฉพาะ ไม่มีการประกันรายได้ขั้นต่ำ ไม่มีการชดเชยรายได้จากแพลตฟอร์มเมื่อเกิดอุบัติเหตุ แต่ยังมีการทำประกันสุขภาพและประกันอุบัติเหตุ

ทั้งนี้ การจะขับเคลื่อนประเด็นการยกระดับสถานะการเป็นแรงงานของไรเดอร์ ต้องอาศัยการขับเคลื่อนจากศูนย์อำนวยการความปลอดภัยทางถนน (ศปถ.) ไปจับมือกับฝ่ายกฎหมาย รวมถึงต้องผลักดันไปยังหน่วยงานภาครัฐต่างๆ เช่น กระทรวงแรงงาน ซึ่งเป็นโจทย์เชิงโครงสร้างที่อาจต้องชั่งน้ำหนักหาสมดุลว่าหากไปในแนวทางนั้นจะเสียความเป็นอิสระหรือความเป็นเอกลักษณ์ แต่อีกด้านหนึ่ง การเปลี่ยนพฤติกรรมของผู้ใช้บริการก็สำคัญ

“ทำอย่างไรให้ประชาชนไม่ใช่แค่สนใจในเรื่องอาหาร สนใจแค่เรื่องความเร็ว แต่ใส่ใจว่าเจ้านี้ความปลอดภัย 5 ดาว สั่งเจ้านี้ดีกว่าอะไรอย่างนี้ คือทำอย่างไรให้ในใจของผู้บริโภคมีเซ้นส์ หรือมีความรู้สึกว่าจะต้องเลือกความปลอดภัยควบคู่เสมอ ไม่ใช่อันดับท้ายๆ ความปลอดภัยมันต้องขึ้นมาอันดับต้นๆ” นพ.ธนะพงศ์ กล่าว

ขณะที่ ประสิทธิ์ คำเกิด รองกรรมการผู้จัดการ บริษัท กลางคุ้มครองผู้ประสบภัยจากรถ จำกัด เปิดเผยว่า ตนมีโอกาสเข้าไปร่วมร่างกฎหมาย พ.ร.บ.ส่งเสริมการพัฒนาคุณภาพชีวิตและคุ้มครองแรงงานนอกระบบ พ.ศ. …. ซึ่งไรเดอร์ก็ถือว่าเป็นแรงงานนอกระบบ ดังนั้น หากกฎหมายดังกล่าวสามารถผ่านขั้นตอนที่เกี่ยวข้องจนออกมาบังคับใช้ได้ ในอนาคตก็จะมีการจัดเก็บข้อมูลอย่างเป็นระบบและนำไปใช้ขับเคลื่อนเรื่องความปลอดภัยได้

แต่กว่าจะมีข้อมูลหรือกฎหมาย อุบัติเหตุเป็นสิ่งที่รอไม่ได้ จึงต้องมาพูดคุยกันว่าจะมีมาตรการอย่างไรสามารถใช้รถได้อย่างปลอดภัย และผู้ให้บริการแพลตฟอร์มจะต้องเข้ามามีบทบาท เช่น ออเดอร์ต้องสั่งล่วงหน้าหรือไม่ เพราะอย่างที่มีการเปรียบเทียบกันไว้ไรเดอร์เหมือนผู้เล่นไม้สุดท้าย เป็นด่านหน้าที่ต้องเร่งรีบเพราะไปช้าก็ถูกต่อว่า จึงต้องมีกฎเกณฑ์เพื่อลดความเสี่ยง รวมถึงสนับสนุนคนทำดีด้วย อาทิ 1 ปีไม่เกิดอุบัติเหตุเลย

“เรื่องที่อยากให้เป็นพนักงานเจ้าหน้าที่ ผมได้ไปดูตัวร่าง พ.ร.บ. คุ้มครองแรงงานนอกระบบ ที่เขากำลังจะทำ เขาออกแบบไว้ครอบคลุมแล้ว ดีมาก ก็พยายามที่จะต้องเชียร์ รัฐบาลนี้ไม่ทันอาจจะเป็นรัฐบาลหน้า แต่วันนี้มันมีในกรอบ ทั้งผู้ให้บริการแพลตฟอร์มเองจะต้องดูแลอย่างไร สวัสดิการที่ต้องให้ไรเดอร์ มาตรฐานที่ต้องใช้มีอะไรบ้าง ตรงนั้นก็จะไปตอบโจทย์ มันก็จะเป็นภาพที่ชัดเจนขึ้น”ประสิทธิ์ กล่าว

SCOOP@NAEWNA.COM

Share this:

  • Click to share on Pocket (Opens in new window) Pocket
  • Click to share on Facebook (Opens in new window) Facebook
  • Click to share on X (Opens in new window) X
  • Click to share on LinkedIn (Opens in new window) LinkedIn
  • Click to share on Reddit (Opens in new window) Reddit
  • Click to email a link to a friend (Opens in new window) Email
  • Click to print (Opens in new window) Print
  • Click to share on Telegram (Opens in new window) Telegram
  • Click to share on Tumblr (Opens in new window) Tumblr
  • Click to share on WhatsApp (Opens in new window) WhatsApp
  • Click to share on Mastodon (Opens in new window) Mastodon
  • Click to share on Pinterest (Opens in new window) Pinterest
Like Loading...
Posted in ข่าว Like สาระ, สกู๊ปแนวหน้า, แนวหน้า | Tagged 2566(2023), ข่าว Like สาระ, สกู๊ปแนวหน้า, แนวหน้า, naewna | Leave a reply

สกู๊ปแนวหน้า : ฐานข้อมูล‘กลุ่มเปราะบาง’ ความหวังแก้จนที่‘ปัตตานี’

Posted on January 21, 2023 by SoClaimon
Reply

#SootinClaimon.Com : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์แนวหน้า

https://www.naewna.com/likesara/705666

สกู๊ปแนวหน้า : ฐานข้อมูล‘กลุ่มเปราะบาง’ ความหวังแก้จนที่‘ปัตตานี’

สกู๊ปแนวหน้า : ฐานข้อมูล‘กลุ่มเปราะบาง’ ความหวังแก้จนที่‘ปัตตานี’

วันเสาร์ ที่ 21 มกราคม พ.ศ. 2566, 02.00 น.

“จากการที่เราไปหาข้อมูล เราพบว่ามีครัวเรือนเปราะบางที่ไม่อยู่ในฐานข้อมูลของรัฐเยอะมาก เราได้ข้อมูลนี้มาจากไหน? จากชุมชนนี่ละที่เป็นคนชี้เป้า อาจารย์!..ตรงนี้เขายังไม่เคยได้รับสวัสดิการอะไรเลย ในเฟสแรกที่เราทำของจังหวัดปัตตานี ก็จะมีครัวเรือนที่ไม่ได้อยู่ในรายชื่อเลย 147 ครัวเรือน ซึ่งตรงนี้เราก็จะมีรายชื่ออยู่ว่าเป็นครัวเรือนที่เหมือนตกหล่น แล้วเราต้องใส่เขาเข้าไปในระบบเพื่อให้เขาได้รับสวัสดิการที่เหมาะสม

พอปีหลังเราดูแค่ในบางอำเภอ ซึ่งอำเภอที่เราดูหลักๆก็จะเป็นยะหริ่ง เนื่องจากว่ายะหริ่ง จากข้อมูลบอกว่าเป็นอำเภอที่มีจำนวนครัวเรือนยากจนมากที่สุดในจังหวัดปัตตานี ก็ 3 ตำบล ตำบลแรกก็คือแหลมโพธิ์ ต่อด้วยบางปู และพื้นที่ที่เราทำงานด้วยมากที่สุดก็คือตาลีอายร์”

ผศ.ดร.อรุณีวรรณ บัวเนี่ยว รักษาการแทนรองอธิการบดี วิทยาเขตปัตตานี มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์(ม.อ.ปัตตานี) กล่าวในการบรรยายหัวข้อ “องค์ความรู้ด้านกลุ่มเปราะบางในจังหวัดชายแดนใต้ สำคัญอย่างไรกับการสร้างสันติภาพ” ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของงานสัมมนา “สันติภาพที่เบาบางของคนเปราะบาง” ที่ ม.อ.ปัตตานี เมื่อเร็วๆ นี้ โดย “กลุ่มเปราะบาง” นี้ ยึดตามนิยาม “ครัวเรือนยากจน” ของ สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช. หรือสภาพัฒน์) หมายถึงคนที่มีรายได้ต่อปีต่ำกว่า 1 แสนบาท

องค์ความรู้ที่เกิดขึ้นมาจากการลงพื้นที่เก็บข้อมูลตลอด 3 ปี (2563-2565) โดยปัตตานีเป็น 1 ใน 10 จังหวัดที่ได้เข้าร่วม “โครงการวิจัยพัฒนาเชิงพื้นที่เพื่อการลดความยากจน และการพัฒนาความเท่าเทียมในประเทศไทย” ซึ่งคัดเลือกจาก 10 จังหวัด ที่ติดอันดับความยากจนรุนแรงมากที่สุดของไทยอย่างต่อเนื่อง รัฐบาลจึงให้โจทย์กับสถาบันการศึกษาในพื้นที่ไปค้นหาสาเหตุว่าอะไรทำให้จังหวัดเหล่านี้ยังยากจน ซึ่งนอกจากเรื่องรายได้น้อยแล้วยังมีเกณฑ์อื่นที่ต้องพิจารณาประกอบกัน เช่น เป็นครัวเรือนที่มีผู้สูงอายุแต่เข้าไม่ถึงสวัสดิการเบี้ยยังชีพ เป็นต้น

ลำดับการทำงาน เริ่มจากการค้นหาว่า “คนจน-ครัวเรือนเปราะบางอยู่ที่ไหน” โดยอ้างอิงเบื้องต้นจากข้อมูลของบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ (บัตรคนจน) และข้อมูลความจำเป็นพื้นฐาน (จปฐ.) ที่รัฐมีอยู่แล้ว ก่อนลงพื้นที่ไปดูว่า คนหรือครัวเรือนเหล่านี้ประสบความยากลำบากในชีวิตจริงหรือไม่อย่างไรก็ตาม ในส่วนของงานที่ทำดำเนินการไปเพียง 11,791 คน จากข้อมูลทั้งหมดในจังหวัดประมาณ 3 หมื่นคนซึ่งบางครั้งก็พบเรื่องแปลกๆ เช่น บางคนมีรายชื่อเป็นคนจนแต่ไปดูจริงๆ กลับเป็นผู้นำชุมชนบ้าง ข้าราชการเกษียณบ้าง หรือบางคนเสียชีวิตไปแล้วแต่รายชื่อยังอยู่บ้าง

การสำรวจเบื้องต้นนี้ใช้เวลานานร่วมถึง 1 ปี กับแบบสอบถามประมาณ 100 ข้อ จากนั้นนำมาป้อนเข้าระบบเพื่อคิดคำนวณออกมาแต่ละครัวเรือนโดยมีคะแนนตั้งแต่ 1 คือแย่สุด ถึง 4 คือดีสุด แล้วการสรุปเป็นข้อเสนอแนะในระดับจังหวัด โดยเมื่อโครงการครบ 3 ปีก็ได้เข้าไปอยู่ในแผนแก้จนของ จ.ปัตตานี แบ่งปัจจัยที่เกี่ยวข้องกับการแก้ปัญหาความยากจนไว้ 5 ด้าน

คือ 1.ทุนมนุษย์ หมายถึงการศึกษา ได้คะแนน 1.81 พบว่า กลุ่มเปราะบางที่ทีมงานเข้าไปสำรวจจบเพียงชั้นประถม 2.ทุนการเงิน หมายถึงเศรษฐกิจ ได้คะแนน 2.13 แม้จะไม่ดีแต่ก็ยังไม่ถือว่าแย่ที่สุด เพราะอย่างน้อยก็พบว่าคนจนเหล่านี้แทบไม่เป็นหนี้หรือถึงเป็นหนี้แต่ก็น้อยมาก อย่างไรก็ตาม สาเหตุของการไม่เป็นหนี้นั้นมาจากการไม่สามารถเข้าถึงสินเชื่อจากสถาบันการเงิน หรือหากจะมีหนี้สินก็จะมาจากการหยิบยืมคนรู้จักเสียมากกว่า และที่ต้องกังวลคือรายได้น้อยและไม่มีเงินออม

3.ทุนทางสังคม หมายถึง การที่สังคมหรือชุมชนให้ความช่วยเหลือกัน ได้คะแนน 1.55 น้อยที่สุดใน 5 ด้านเนื่องจากกลุ่มเปราะบางไม่ได้เข้ามาร่วมกิจกรรมต่างๆ ในสังคมหรือชุมชน 4.ทุนกายภาพ หมายถึงโครงสร้างพื้นฐานสิ่งอำนวยความสะดวก เช่น ที่อยู่อาศัย ได้ 3.10 คะแนน และ 5.ทุนธรรมชาติ หมายถึงการได้รับประโยชน์จากทรัพยากรธรรมชาติที่มี ซึ่งด้านนี้อยู่ที่ 2.69 คะแนน โดยทั้ง 5 ด้านข้างต้น มีการสำรวจแบบเจาะลึกเป็นรายหมู่บ้าน

การจัดแบ่งระดับความยากจนใน 4 ระดับของครัวเรือนนั้น แบ่งได้เป็น “อยู่ลำบาก (1.00-1.75 คะแนน)” ขาดแคลนปัจจัยพื้นฐานในการดำรงชีวิต เบื้องต้นทีมวิจัยทำได้เพียงการมอบสิ่งของที่จำเป็น พร้อมกับประสานให้ทาง สำนักงานพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์จังหวัด (พมจ.) เข้าไปดูแล, “อยู่ยาก (1.76-2.50 คะแนน)” มีปัจจัยพื้นฐานในการดำรงชีวิตเป็นรายวัน แต่ต้องได้รับการยกระดับในการจัดหาปัจจัยดำรงชีพ,

“พออยู่ได้ (2.51-3.25)” มีฐานทุนสำหรับการดำรงชีพ แต่ยังไม่เพียงพอต่อการอยู่รอดปลอดภัยหากเผชิญสถานการณ์แปรปรวนต่างๆ และ “อยู่ดี (3.26-4.00)” มีภูมิคุ้มกันความเสี่ยงจากสถานการณ์แปรปรวนต่างๆ และมีฐานทุนในการแผนอนาคตของตนเองและครอบครัว ซึ่งจากข้อมูลที่สำรวจได้ ครัวเรือนเปราะบางส่วนใหญ่ใน จ.ปัตตานี จะอยู่ในระดับ 2 (อยู่ยาก) และระดับ 3 (พออยู่ได้) และไม่มีครัวเรือนใดเลยที่มาถึงระดับ 4 (อยู่ดี)

“อยู่ยากอาจหมายถึงกลุ่มที่มีผู้ป่วยติดเตียง เราเจอหลายๆ เคส นอกจากจะเป็นผู้สูงอายุแล้วก็มีเรื่องของสมาชิกครัวเรือนมีสารเสพติด เขาต้องดูแลคนที่มีเรื่องของการติดยาอยู่ในบ้าน มีครัวเรือนหนึ่งน้องเขามาเล่าให้ฟัง คือมีคุณแม่กับลูกชายซึ่งมีปัญหาเรื่องของสารเสพติด แล้วเหมือนคุณแม่เขาก็กลัวมากเพราะว่าลูกอาจจะทำร้ายเขาได้ตลอด เขาก็เลยมาสร้างเป็นที่นอนเล็กๆ อยู่หน้าบ้าน คือไม่ได้อยู่ในบ้านกับลูก มาสร้างสิ่งที่คล้ายๆ แคร่อยู่หน้าบ้าน สิ่งที่เขาขอพวกเราคือช่วยเขาทำแคร่ให้มันดีหน่อย ช่วยเขาเอามุ้งที่เป็นมุ้งกางเอาไปให้เขาหน่อย แค่นั้นเองที่เขาอยากได้

แล้วก็อีกหลายๆ ครัวเรือนที่เราไปดูแลเรื่องของห้องน้ำ เนื่องจากไม่มีห้องน้ำในบ้าน เราเองก็พยายามส่งต่อข้อมูลไปให้ พมจ. ด้วย ให้หลายๆ ส่วน ให้ อบจ. (องค์การบริหารส่วนจังหวัด) ถ้าระดับใหญ่ๆ ก็ส่งไปให้ ศอ.บต. (ศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้) แต่พวกนี้ก็เหมือนเป็นหน่วยงานให้ของ คือไปบริจาค แต่เหมือนระบบการดูแลกันในชุมชน ที่บอกว่าทุนทางสังคมที่มันขาด” ผศ.ดร.อรุณีวรรณ ระบุ

รักษาการแทนรองอธิการบดี ม.อ.ปัตตานี สรุปสิ่งที่ได้จากการศึกษาในครั้งนี้ คือ ทุนทางสังคมของครัวเรือนใน จ.ปัตตานี ในภาพรวมเฉลี่ยอยู่ในระดับอยู่ลำบาก ซึ่งเป็นเรื่องของความเข้าใจกัน การร่วมมือกัน การนำกลุ่มเปราะบางเข้ามาเป็นสมาชิกของกลุ่มที่ตั้งขึ้น รวมถึงกฎเกณฑ์ต่างๆ ในสังคม เช่น รู้ระเบียบต่างๆ หรือไม่ หรือหากมีเรื่องต้องการความช่วยเหลือจะมีใครที่สามารถนึกถึงได้หรือไม่ เป็นต้น

ขณะที่ทุนการเงินและทุนมนุษย์อยู่ในระดับอยู่ยาก ประชากรกลุ่มเปราะบางใน จ.ปัตตานี ส่วนใหญ่จบเพียงชั้นประถมและไม่เรียนต่อ โดยมีคนกลุ่มนี้หลุดออกจากระบบการศึกษามากถึงราว 4 พันคน ซึ่งได้ประสานไปยังสำนักงานส่งเสริมการศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัย (กศน.) โดยต้องบอกว่า สำนักงาน กศน.จังหวัดปัตตานี มีความเข้มแข็ง แจ้งไปยังครู กศน. ในแต่ละตำบลเพื่อให้ช่วยติดตาม เบื้องต้นทราบว่ามีบางส่วนกลับมาเรียนต่อ แต่ก็ไม่มากนักเพราะคนกลุ่มนี้ต้องการทำงานหาเงินมากกว่า

ในด้านอาชีพ ครัวเรือนเปราะบางใน จ.ปัตตานี ส่วนใหญ่ ร้อยละ 31 รับจ้างทั่วไปนอกภาคเกษตร รองลงมาร้อยละ 18ประกอบอาชีพเกษตรกรรมและปศุสัตว์ “700 บาทต่อเดือนเป็นรายได้น้อยที่สุดที่ทีมวิจัยพบ” มีสมาชิกอย่างน้อย 1 คนในครัวเรือนที่มีปัญหาสุขภาพ มีคนป่วยเรื้อรังหรือคนพิการแต่ยังสามารถพึ่งพาตนเองได้ไม่ถึงขั้นติดเตียง และที่น่าสนใจและถือเป็นเรื่องดีคือ “ปัตตานีไม่ค่อยมีปัญหากลุ่มเปราะบางหลุดระบบสวัสดิการ” ส่วนใหญ่จะได้กันครบถ้วนตามสิทธิที่มี ทั้งเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุ เบี้ยยังชีพคนพิการ รวมถึงบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ

“เราใช้หัวข้อนี้ตอนส่งเข้าไปในจังหวัด เรื่องของความยากจนข้ามรุ่น การแก้ปัญหาความยากจนข้ามรุ่น ดูเรื่องของการเงิน ดูเรื่องของการศึกษา ดูเรื่องของสุขภาพ เราทุกคนทราบว่าเด็กที่นี่ขาดสารอาหารเยอะที่สุดในประเทศไทย มีภาวะทุพโภชนาการเยอะสุด อันนี้ก็อาจจะเป็นอีกประเด็นหนึ่งที่เราอาจจะได้คุยกันในอนาคต แล้วก็มีผู้สูงอายุที่อยู่ในภาวะที่ต้องพึ่งพิง อันนี้เป็นประเด็นที่เราได้เสนอเข้าไปในจังหวัดบ้างแล้ว” ผศ.ดร.อรุณีวรรณ กล่าวในตอนท้าย

SCOOP@NAEWNA.COM

Share this:

  • Click to share on Pocket (Opens in new window) Pocket
  • Click to share on Facebook (Opens in new window) Facebook
  • Click to share on X (Opens in new window) X
  • Click to share on LinkedIn (Opens in new window) LinkedIn
  • Click to share on Reddit (Opens in new window) Reddit
  • Click to email a link to a friend (Opens in new window) Email
  • Click to print (Opens in new window) Print
  • Click to share on Telegram (Opens in new window) Telegram
  • Click to share on Tumblr (Opens in new window) Tumblr
  • Click to share on WhatsApp (Opens in new window) WhatsApp
  • Click to share on Mastodon (Opens in new window) Mastodon
  • Click to share on Pinterest (Opens in new window) Pinterest
Like Loading...
Posted in ข่าว Like สาระ, สกู๊ปแนวหน้า, แนวหน้า | Tagged 2566(2023), ข่าว Like สาระ, สกู๊ปแนวหน้า, แนวหน้า, naewna | Leave a reply

สกู๊ปแนวหน้า : ผลักดัน‘บำนาญถ้วนหน้า’ คำตอบสุดท้ายอยู่ที่‘การเมือง’

Posted on January 19, 2023 by SoClaimon
Reply

#SootinClaimon.Com : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์แนวหน้า

https://www.naewna.com/likesara/705197

สกู๊ปแนวหน้า : ผลักดัน‘บำนาญถ้วนหน้า’  คำตอบสุดท้ายอยู่ที่‘การเมือง’

สกู๊ปแนวหน้า : ผลักดัน‘บำนาญถ้วนหน้า’ คำตอบสุดท้ายอยู่ที่‘การเมือง’

วันพฤหัสบดี ที่ 19 มกราคม พ.ศ. 2566, 02.00 น.

“12,519,926 คน” เป็นจำนวน “ผู้สูงอายุในประเทศไทย” ตามข้อมูล ณ วันที่ 31 ธ.ค. 2565 ที่เผยแพร่โดย กรมกิจการผู้สูงอายุ ซึ่งคิดเป็นร้อยละ 18.94 ของประชากรทั้งประเทศในช่วงเวลาเดียวกันคือ 66,090,475 คน เข้าใกล้นิยามความเป็น “สังคมสูงวัยสมบูรณ์” ที่ประชากรอายุ 60 ปี
ขึ้นไปมีสัดส่วนร้อยละ 20 ของประชากรทั้งประเทศ แต่อีกด้านหนึ่งก็เป็นที่รับรู้กันว่า “สังคมไทยแก่ก่อนรวย” เพราะประเทศอื่นๆ ที่เข้าสู่ภาวะสังคมสูงวัยล้วนเป็นประเทศพัฒนาแล้ว ซึ่งมีการเตรียมระบบออมเงินรวมถึงจัดสรรทรัพยากรมาจัดทำระบบบำนาญ

ปัจจุบันประเทศไทยมีการจ่ายเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุกับผู้มีอายุตั้งแต่ 60 ปีขึ้นไป แบบขั้นบันไดตามช่วงอายุที่ 600-1,000 บาท/เดือน ซึ่งในความเป็นจริงไม่เพียงพอกับค่าครองชีพจึงเป็นที่มาของข้อเรียกร้อง “บำนาญถ้วนหน้า” จากภาคประชาชนอย่างต่อเนื่อง ต้องการให้รัฐไทยเพิ่มการจ่ายเป็น 3,000 บาท/เดือน ล่าสุดเมื่อเร็วๆ นี้ มีการแถลงข่าว“ร่วมผลักดันบำนาญถ้วนหน้า สู่นโยบายสำคัญพรรคการเมือง” โดยสภาองค์กรของผู้บริโภค

สารี อ๋องสมหวัง เลขาธิการสภาองค์กรของผู้บริโภค กล่าวว่า บำนาญถ้วนหน้า เป็นแนวคิดที่มีการพูดคุยกันในภาคประชาชน แต่การจะขับเคลื่อนไปให้สำเร็จต้องมีหลายส่วน ทั้งการเคลื่อนไหวของภาคประชาชน ดังที่หลายกลุ่มทำอยู่ เช่น สลัม 4 ภาค เครือข่ายรัฐสวัสดิการ วีแฟร์ (WeFair) แต่ทางภาควิชาการเองก็ยังไม่ตกผลึก ยังมีความกังวลว่าทำแล้วจะสร้างภาระให้ประเทศหรือไม่? มีงบประมาณเพียงพอหรือเปล่า?

“ดูเหมือนภาควิชาการจะยังไม่ชัดเจน เพราะภาคประชาชนเราชัดเจนว่าเงินมีแน่นอน ทำได้ แล้วก็เหมือนจะรีๆ รอๆ กับภาคการเมืองอยู่อีกส่วนหนึ่งว่าการเมืองจะเอาไหม? แน่นอนเราคิดว่าสิ่งเหล่านี้มันต้องทดลองปฏิบัติการแล้วก็ทำเลย เพราะฉะนั้นมันก็ต้องการเจตจำนงจากหลายส่วนที่จะมาช่วยทำให้เกิดความสำเร็จ แล้วก็ข้อมูลต่างๆ ที่ประชาชนจะผลักดันจะใช้ ย่อมมีความสำคัญที่ทำให้เห็นว่าขณะนี้เรื่องงบประมาณเราไม่ต้องกังวลอย่างไร? หรือถ้ามีแล้วจะทำให้เกิดประโยชน์อย่างไร? สิ่งเหล่านี้อาจจะต้องทำให้ชัดเจนมากขึ้น” สารี กล่าว

นิมิตร์ เทียนอุดม เครือข่ายประชาชนเพื่อรัฐสวัสดิการ กล่าวว่า ในขณะที่นักวิชาการบอกว่าบำนาญถ้วนหน้าสามารถทำได้ และภาคประชาชนซึ่งเผชิญกับปัญหาก็บอกว่าควรทำเพราะสัดส่วนประชากรร้อยละ 20 ของประเทศเข้าสู่วัยสูงอายุแล้วแต่ยังยากจนและไม่มีเงินออม ด้วยเงื่อนไขข้างต้นนั้นสุกงอมพอที่จะทำ แต่ที่ยังทำไม่ได้เพราะติดอยู่ที่วิธีคิดของผู้มีอำนาจที่ไม่พร้อมกระจายทรัพยากรอย่างเป็นธรรม

“ดูจากการเสนอผลการศึกษาของคณะกรรมาธิการสวัสดิการสังคม ที่ไปดูแนวทางการแก้กฎหมาย พ.ร.บ.ผู้สูงอายุ ที่จะเปลี่ยนจากเบี้ยยังชีพเป็นบำนาญ 3,000 บาท การนำเสนอในสภามีคนต่อคิวอภิปรายทุกพรรค 30 กว่าคน ไม่มีพรรคไหนค้านเลย สภาลงมติเป็นเอกฉันท์ว่าควรจะต้องแก้ควรจะต้องแก้กฎหมาย พ.ร.บ.ผู้สูงอายุ เปลี่ยนเบี้ยยังชีพเป็นบำนาญ แก้มาตรา 9 ใช้คำนี้เลย บำนาญแห่งชาติแก้มาตรา 11 แก้เรื่องเงินว่าจะต้องใช้เงินกี่เปอร์เซ็นต์ สภาลงมติกันเป็นเอกฉันท์เลย ไปถึง ครม. (คณะรัฐมนตรี) ครม. ไม่พิจารณาเสียอย่าง..จบ!” นิมิตร์ กล่าว

หนูเกณ อินทจันทร์ ตัวแทนผู้สูงอายุ เครือข่ายสลัมสี่ภาค กล่าวว่า สังคมปัจจุบันผู้สูงอายุมักอาศัยอยู่เพียงลำพัง มีรายได้จากเบี้ยยังชีพ หรือบางรายยังได้บัตรคนจน (บัตรสวัสดิการแห่งรัฐ)สำหรับนำไปแลกอาหารแห้งมาเก็บไว้กินแบบเดือนชนเดือนค่าน้ำ-ไฟฟ้าก็ประหยัดกันแบบสุดๆ และหลายคนยังต้องทำงานแม้สุขภาพไม่ค่อยดีเพื่อให้พอมีรายได้เพิ่มขึ้นมาบ้าง

“เราตัวคนเดียว สามีก็เสียไปสิบกว่าปีที่แล้ว มีลูกแต่ลูกเขาก็มีรายได้ไม่มั่นคงเพราะเขาอาชีพอิสระ แล้วลูกครอบครัวเขาก็ไม่สมบูรณ์นะ เราก็ต้องมารับผิดชอบดูภาระ ส่งหลานเรียน เราก็ต้องขายของ ตื่นตั้งแต่ตี 3 พอขายของเสร็จตอนเช้าเราก็ต้องออกไปทำงานข้างนอก ไปทำความสะอาดซึ่งได้เดือนละ 2,500 บาท ไม่ได้ไปทำทุกวัน แล้วงานส่วนอื่นเราก็ไปทำงานสังคม ลงชุมชน ทำเรื่องบำนาญ ไปพูดคุยกับพี่น้องที่อยู่ในชุมชน ให้เห็นว่าทำไมถึงอยากให้เกิด เราก็ยกตัวอย่างตัวเรา 600 มันไม่พอ” หนูเกณ กล่าว

นพ.ประทีป ธนกิจเจริญ เลขาธิการคณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติ (สช.) กล่าวว่า หลักประกันรายได้หรือบำนาญถ้วนหน้าถือเป็นเรื่องใหญ่และซับซ้อน ซึ่งจะมีปัญหาว่าประเทศไทยจะหาเงินจากที่ไหนมาใช้ในส่วนนี้ โดยเฉพาะช่วง 3 ปีล่าสุดยังเจอการระบาดของไวรัสโควิด-19 ส่งผลให้เกิดความจนถ้วนหน้า แม้กระทั่งรัฐบาลก็จนลงด้วย อย่างไรก็ตามเรื่องนี้ดูจะคล้ายกับการเกิดขึ้นของหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้าที่กว่ากฎหมายจะออกมาในปี 2545 ก็ต้องเผชิญกับข้อกังวลเดียวกัน และเวลานั้นไทยก็เพิ่งเจอกับวิกฤตเศรษฐกิจ “ต้มยำกุ้ง” ปี 2540 มาหมาดๆ

“พอมองจริงๆ ช่วงเวลาก่อนหน้านั้นเมื่อปี 2545 รัฐบาลก็มีเงินไปใช้จ่ายเรื่องการรักษาพยาบาล เรื่องการสงเคราะห์เต็มไปหมดแล้ว พอเราเอาวิชาการมาดู ถ้าเราเริ่มต้นเฉพาะเจาะจงคน 45 ล้านคน ที่ยังไม่มีหลักประกัน เพราะตอนนั้นข้าราชการก็มี ประกันสังคมก็มี คน 45 ล้านคนที่ยังไม่มี มีแต่การสงเคราะห์ ก็เพิ่มเงินอีกไม่มากตอนนั้นตัวเลขดูเหมือนว่าเริ่มต้นเรามีการจ่าย ต้องนึกถึงว่าเมื่อ 20 ปีที่แล้ว สงเคราะห์อยู่ประมาณ 2 หมื่นล้านบาท ถ้าทำถ้วนหน้าเข้ามาครอบคลุมคน เพิ่มอีกแค่ประมาณ 2 หมื่นล้านบาทก็ทำได้แล้ว”นพ.ประทีป กล่าว

ดร.ทีปกร จิร์ฐิติกุลชัย อาจารย์คณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ กล่าวว่า ในภาควิชาการมีไม่น้อยที่เห็นด้วยกับการมีระบบบำนาญถ้วนหน้า แม้จะมีความกังวลในประเด็นการจัดหางบประมาณให้เพียงพอ แต่ก็มีนักเศรษฐศาสตร์หลายท่านได้เสนอแนวทางว่าจะหาจากที่ไหนได้บ้าง ขณะที่ในภาคการเมือง ตั้งแต่เดือน พ.ค. 2565 เป็นต้นมาที่ประชุมสภาผู้แทนราษฎร ได้เห็นชอบรายงานการศึกษา เรื่องแนวทางการเสนอกฎหมายบำนาญพื้นฐานแห่งชาติ และขั้นตอนต่อไปคือการนำเข้าที่ประชุมคณะรัฐมนตรี

“ภาคประชาชน ภาควิชาการและภาคการเมืองมีเสียงสนับสนุน แล้วถ้าทำโหวตผมก็เชื่อว่าทั่วประเทศมันน่าจะมีเสียงที่สนับสนุนมากกว่า เพราะมันสมเหตุสมผล มันคุ้มครองความยากจน มันคือชีวิตของคนที่มันเดือดร้อนจริงๆ ในทางเศรษฐศาสตร์มหภาคมันมีประโยชน์ตรงที่ช่วยเป็น Economic Stabilizer (ตัวปรับเสถียรภาพทางเศรษฐกิจ) ก็คือเป็นเครื่องมือป้องกันความเสี่ยงระดับเศรษฐกิจมหภาคด้วย คือถ้ามีEconomic Shock (เหตุการณ์ช็อกทางเศรษฐกิจ) เข้ามา มันสามารถที่จะรักษาระดับการบริโภคได้” ดร.ทีปกร กล่าว

SCOOP@NAEWNA.COM

Share this:

  • Click to share on Pocket (Opens in new window) Pocket
  • Click to share on Facebook (Opens in new window) Facebook
  • Click to share on X (Opens in new window) X
  • Click to share on LinkedIn (Opens in new window) LinkedIn
  • Click to share on Reddit (Opens in new window) Reddit
  • Click to email a link to a friend (Opens in new window) Email
  • Click to print (Opens in new window) Print
  • Click to share on Telegram (Opens in new window) Telegram
  • Click to share on Tumblr (Opens in new window) Tumblr
  • Click to share on WhatsApp (Opens in new window) WhatsApp
  • Click to share on Mastodon (Opens in new window) Mastodon
  • Click to share on Pinterest (Opens in new window) Pinterest
Like Loading...
Posted in ข่าว Like สาระ, แนวหน้า | Tagged 2566(2023), ข่าว Like สาระ, สกู๊ปแนวหน้า, แนวหน้า, naewna | Leave a reply

สกู๊ปแนวหน้า : ‘เด็ก-เยาวชน’กลุ่มเสี่ยง ‘สุขภาพจิต’สิทธิต้องเข้าถึง

Posted on January 15, 2023 by SoClaimon
Reply

#SootinClaimon.Com : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์แนวหน้า

https://www.naewna.com/likesara/704271

สกู๊ปแนวหน้า : ‘เด็ก-เยาวชน’กลุ่มเสี่ยง  ‘สุขภาพจิต’สิทธิต้องเข้าถึง

สกู๊ปแนวหน้า : ‘เด็ก-เยาวชน’กลุ่มเสี่ยง ‘สุขภาพจิต’สิทธิต้องเข้าถึง

วันอาทิตย์ ที่ 15 มกราคม พ.ศ. 2566, 07.00 น.

“เราเล่าเรื่องที่เราถูกล่วงละเมิดทางเพศกับครูประจำชั้นตั้งแต่เราอายุ 11 ญาติที่บ้านรับทราบเรื่องเงียบ เราไปโรงพยาบาล ฉุกเฉินต้องล้างท้อง สุดท้ายชีวิตก็กลับมาเหมือนเดิมไม่มีการเยี่ยมบ้าน ไม่มีการติดตาม อันนี้เป็นปัญหา อายุ 14 ปี พบครูแนะแนว ไปโรงพยาบาล แจ้งผู้ใหญ่อีกรอบ แจ้งผู้ดูแลทุน เราได้ทุนตั้งแต่อายุ 11 พอโตมาได้ออกสื่อได้ความรู้มากขึ้นก็จริงแต่ก็ยังไม่มีหน่วยงานของรัฐเข้ามาช่วยเหลือ”

เรื่องเล่าของ จอมเทียน จันสมรักผู้เคยมีประสบการณ์กับโรคซึมเศร้าที่เปิดเผยในวงเสวนา “ทางออกสุขภาพจิต พิชิตปัญหาวัยรุ่น” ที่งานสมัชชาสุขภาพแห่งชาติ ครั้งที่ 15 เมื่อเร็วๆ นี้ ถึงชีวิตที่ผ่านวิกฤตมาตั้งแต่เด็ก ตั้งแต่ต้องใช้ชีวิตกับแม่ที่มีอาการหวาดระแวง เคยถูกแม่พาไปลาออกจากโรงเรียนอนุบาลซึ่งกว่าจะได้กลับเข้าระบบการศึกษาต้องรอถึงอายุ 9 ปี เคยอยู่แบบลำบากอดมื้อกินมื้อต้องพึ่งพาอาหารจากญาติข้างบ้าน เคยถูกล่วงละเมิดทางเพศจากลูกพี่ลูกน้องแต่ตอนนั้นยังเด็กจึงไม่รู้ว่าคืออะไร เคยทำร้ายตนเองด้วยการกินยาพาราเซตามอลเกินขนาด

แต่ทั้งหมดนี้ไม่เคยมีหน่วยงานของรัฐเข้ามาช่วยเหลือ ไม่เคยมีการประสานส่งต่อทั้งที่โรงเรียนและโรงพยาบาลรับรู้กระทั่งจุดเปลี่ยนในชีวิตคือได้เข้าเรียนที่จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ที่นั่นมีคณะจิตวิทยาและนิสิตสามารถพบนักจิตวิทยาได้และได้อยู่หอพักโดยไม่ต้องอยู่กับแม่ จึงเริ่มดูแลตนเองพร้อมกับดูแลแม่ กระทั่งเมื่อไม่นานนี้เพิ่งได้เห็นนักสังคมสงเคราะห์ พยาบาลจิตเวช และอาสาสมัครสาธารณสุขหมู่บ้าน (อสม.)ลงพื้นที่เยี่ยมบ้าน ทำให้คิดว่า หากระบบนี้มีมาถึงตั้งแต่ตนเองยังเป็นเด็กก็อาจไม่ต้องเผชิญกับความรุนแรงต่างๆ เลยก็เป็นได้

ปราชญา ศิริ์มหาอาริยะโพธิ์ญาตัวแทนเยาวชนที่ผลักดันให้เกิดการแก้ไข พ.ร.บ.สุขภาพจิต เล่าถึงสาเหตุของการแก้ไขกฎหมายให้ผู้มีอายุต่ำกว่า 18 ปี พบจิตแพทย์ได้โดยไม่ต้องมีผู้ปกครองยินยอม ว่า ในหลายกรณีปัญหาสุขภาพจิตของเด็กและเยาวชนมาจากครอบครัว จึงต้องการผลักดันให้แก้ไขกฎหมายดังกล่าว ทั้งนี้นับตั้งแต่การเริ่มทำงานกับสภาเด็กและเยาวชนเมื่ออายุได้ 12 ปี แผนงานส่วนใหญ่จะเป็นการแก้ปัญหาสุขภาพกาย แต่เมื่อได้เข้าไปเก็บข้อมูลจริงๆ แล้ว ปัญหาสุขภาพจิตก็รุนแรงไม่ยิ่งหย่อนไปกว่ากัน ซึ่งหลายครั้งหมายถึงความพยายามฆ่าตัวตาย

แต่การผลักดันก็ไม่ใช่เรื่องง่ายโดยเฉพาะการที่เด็กเพิ่งเรียนชั้นมัธยมต้องไปชี้แจงกับรัฐมนตรีและผู้เชี่ยวชาญของกระทรวงสาธารณสุขที่วัยวุฒิและคุณวุฒิสูงกว่ามาก ทีมงานจึงต้องพยายามรวบรวมข้อมูลหลักฐานให้ได้มากที่สุดเพื่อให้ข้อเรียกร้องมีน้ำหนัก เช่น สถานการณ์สุขภาพจิตในต่างประเทศ ซึ่งพบว่าประเทศที่ให้ผู้มีอายุต่ำกว่า 18 ปี พบจิตแพทย์ได้เองปัญหาเรื่องนี้ของเด็กและเยาวชนจะน้อยกว่าประเทศที่ต้องให้ผู้ปกครองยินยอม ใช้เวลากันถึง 3 ปี กว่าที่กระทรวงฯ จะยอมรับมีแนวปฏิบัติกับบุคลากรทางการแพทย์ออกมา

“บางคนอาจจะรู้สึกว่าการพบจิตแพทย์คือเหมือนกับเด็กได้เจอจิตแพทย์คนเดียว แต่เรามองว่ามันไม่ใช่ คือการที่ถ้าเขาได้เข้าถึงบริการแล้ว เขาได้เจอจิตแพทย์ นักจิตวิทยา นักสังคมสงเคราะห์ เด็กที่เดินเข้าไปพบจิตแพทย์ด้วยตัวเองจะแบ่งได้เป็น 2 ประเภทหลักๆ 1.บอกไม่ได้จริงๆ บอกแล้วครอบครัวจะมีปัญหา บอกแล้วครอบครัวจะใช้ความรุนแรง คือไม่สามารถจะสื่อสารกับครอบครัวได้ รวมถึงเคสเหล่านี้ก็จะมีบางส่วนที่ครอบครัวมีปัญหาทางจิตเวชด้วย

กับ 2.ตัวเขาไม่มีข้อมูล ไม่มีชุดความรู้ ไม่มีชุดคำพูดที่จะพูดกับพ่อแม่ อยากให้คุณหมอ อยากให้นักสังคมสงเคราะห์ช่วยบอกแทนเขาหน่อย การเปิดประตูบานแรกมันก็จะช่วยทั้ง 2 เคส เคสแรกเขาก็จะได้เข้าถึงการรักษาและสามารถเยียวยาเขาได้ เคสที่สองคือนักสังคมสงเคราะห์จะสามารถพูดคุยกับครอบครัวช่วยเยียวยา อารมณ์เหมือนช่วยรักษารอยร้าวในครอบครัว ให้สามารถช่วยเหลือเขาได้” ปราชญา กล่าว

พญ.วิรัลพัชร กิตติธะระพันธุ์ จิตแพทย์เด็กและวัยรุ่น โรงพยาบาลยุวประสาทไวทโยปถัมภ์ กล่าวว่า โรคหรือภาวะซึมเศร้าคือความผิดปกติทางร่างกาย เพราะคนทุกคนมียีนที่เสี่ยงกับภาวะซึมเศร้าอยู่แล้ว และความเครียดหรือความเสียใจคือปัจจัยกระตุ้นให้เกิดอาการ อย่างไรก็ตาม วัยรุ่นที่ซึมเศร้าอาจมีอาการต่างจากผู้ใหญ่ โดยในขณะที่ผู้ใหญ่อาจร้องไห้หรือมีความคิดอยากฆ่าตัวตาย แต่วัยรุ่นคืออาจพบเห็นว่ามีอารมณ์ที่เปลี่ยนแปลงไป หงุดหงิดง่ายขึ้น มีความคิดไม่อยากมีชีวิตอยู่ อยากหายไปจากโลกนี้

ประสิทธิภาพในการเรียนแย่ลง จากที่เคยไปเรียนก็ไม่อยากเรียน มีพฤติกรรมเก็บตัว หรืออาจมีอาการทางกายร่วมด้วย เช่น ปวดศีรษะ ปวดท้อง คลื่นไส้อาเจียน น้ำหนักลดเนื่องจากเบื่ออาหาร ส่วน “ความแตกต่างระหว่างโรคซึมเศร้ากับภาวะซึมเศร้า” คือภาวะซึมเศร้าเป็นสิ่งที่เกิดได้กับทุกคนเมื่อประสบกับเหตุการณ์ที่ทำให้เกิดความเครียดหรือเสียใจ นำไปสู่ความรู้สึกเศร้าหรือเบื่อหน่าย แต่อาการนี้จะไม่คงอยู่ไปตลอด แต่เมื่อใดที่อาการเหล่านั้นเริ่มส่งผลกระทบต่อชีวิตประจำวัน เช่น ไม่อยากไปเรียน-ไม่อยากไปทำงาน นั่นคือสัญญาณว่ากำลังป่วยเป็นโรคซึมเศร้าแล้ว

“วัยรุ่นแบบไหนที่เราต้องสงสัยว่าจะเป็นโรคซึมเศร้า? ก็คือวัยรุ่นที่มีความเจ็บป่วยทางจิตเวชมาก่อนหน้าที่แล้ว อย่างเช่นเด็กหลายๆ คนเรามาเจอว่าเขาเป็นสมาธิสั้นในวัยเด็ก หรือมีภาวะออทิสติกปรับตัวยาก มีภาวะการเข้าสู่สังคมที่ผิดปกติ ถูกเพื่อนแกล้งหรือโดน Bully (ล้อเลียน-เหยียดหยาม) มาโดยตลอด หรือแม้แต่ครอบครัวที่มีปัญหาสุขภาพจิต อย่างเช่น พ่อแม่ติดการพนัน ติดสารเสพติด หรือแม้กระทั่งติดเหล้านี่เราเจอบ่อยที่สุดเลย ว่าเป็นสาเหตุที่ทำให้เด็กถูกทารุณกรรมและเกิดภาวะซึมเศร้าได้

เด็กที่มีปัญหาการเรียน โดดเรียนบ่อย เข้าห้องฝ่ายปกครองบ่อยๆ ชอบชกต่อย ชอบใช้สารเสพติด หรือติดพนัน ติดเกมพวกนี้ให้สงสัยว่าถึงจุดหนึ่งเขาอาจจะมีภาวะซึมเศร้าที่เขาต้องใช้ปัจจัยพวกนี้เป็นตัวกระตุ้นให้เขาเกิดความสุขขึ้นมาแทนที่ แต่มีเด็กอีกกลุ่มที่เราแทบจะไม่น่าเชื่อเลยว่าเขาจะมีภาวะซึมเศร้า ก็คือเด็กที่เราเรียกว่าเด็กดีเกินไป คุณครูคุณพ่อคุณแม่เคยเจอไหม?ไม่กล้าที่จะปฏิเสธ อ่อนไหวต่อคำวิพากษ์วิจารณ์ รู้สึกแย่มากกับการไมได้คะแนนเต็ม หรือไม่ได้ 4.00 หรือไม่ได้เป็นที่ 1 ของห้องเด็กพวกนี้เขาน่าสงสารมากเพราะเขามีความเปราะบางทางจิตใจ เพราะฉะนั้นเวลามีผลกระทบอะไรก็ตาม เขาแตกสลายได้ง่าย” พญ.วิรัลพัชร ระบุ

ทั้งนี้ “ครอบครัวก็เป็นปัจจัยสำคัญที่กระตุ้นให้คนเป็นโรคซึมเศร้า” เช่น พ่อแม่ผู้ปกครองที่ไม่เปิดโอกาสให้บุตรหลานได้แสดงออกหรือได้เป็นตัวของตัวเอง พอบุตรหลานจะแสดงความคิดเห็นก็ตำหนิว่าก้าวร้าวชอบโต้เถียง หรือการเกิดมาเป็นผู้ชายแล้วต้องแบกรับค่านิยมว่าเพศชายต้องแสดงท่าทีเข้มแข็งตลอดเวลา เหล่านี้เป็นจุดที่สังคมไทยต้องฝ่าวงล้อมออกไปให้ได้ และโดยสรุปแล้ว “โรคซึมเศร้าเกิดได้กับทุกคน รักษาให้หายได้และเป็นซ้ำได้”ดังนั้นจึงต้องให้ความรู้กับสังคในเรื่องของการที่ผู้ป่วยได้รับการดูแลอย่างเหมาะสม

โดยเฉพาะ “ต้องมีพื้นที่ปลอดภัย (Safe Zone)”ให้ได้แสดงตัวตนความคิดโดยไม่ต้องถูกตัดสินผิด-ถูก!!!

SCOOP@NAEWNA.COM

Share this:

  • Click to share on Pocket (Opens in new window) Pocket
  • Click to share on Facebook (Opens in new window) Facebook
  • Click to share on X (Opens in new window) X
  • Click to share on LinkedIn (Opens in new window) LinkedIn
  • Click to share on Reddit (Opens in new window) Reddit
  • Click to email a link to a friend (Opens in new window) Email
  • Click to print (Opens in new window) Print
  • Click to share on Telegram (Opens in new window) Telegram
  • Click to share on Tumblr (Opens in new window) Tumblr
  • Click to share on WhatsApp (Opens in new window) WhatsApp
  • Click to share on Mastodon (Opens in new window) Mastodon
  • Click to share on Pinterest (Opens in new window) Pinterest
Like Loading...
Posted in ข่าว Like สาระ, สกู๊ปแนวหน้า, แนวหน้า | Tagged 2566(2023), ข่าว Like สาระ, สกู๊ปแนวหน้า, แนวหน้า, naewna | Leave a reply

สกู๊ปแนวหน้า : ‘มุ่งมั่นเด็ดเดี่ยว’ผลลัพธ์เลิศ วิถี‘การศึกษา’แบบ‘เกาหลีใต้’

Posted on January 14, 2023 by SoClaimon
Reply

#SootinClaimon.Com : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์แนวหน้า

https://www.naewna.com/likesara/704138

สกู๊ปแนวหน้า : ‘มุ่งมั่นเด็ดเดี่ยว’ผลลัพธ์เลิศ  วิถี‘การศึกษา’แบบ‘เกาหลีใต้’

สกู๊ปแนวหน้า : ‘มุ่งมั่นเด็ดเดี่ยว’ผลลัพธ์เลิศ วิถี‘การศึกษา’แบบ‘เกาหลีใต้’

วันเสาร์ ที่ 14 มกราคม พ.ศ. 2566, 06.00 น.

“เกาหลีใต้” ประเทศที่โดดเด่นทั้งอุตสาหกรรมไม่ว่ายานยนต์ เครื่องใช้ไฟฟ้าและอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ สื่อบันเทิง“เค-ป๊อป (K-Pop)” รวมไปถึง “การศึกษา” ที่ผลคะแนนการทดสอบวัดความรู้ระหว่างประเทศอย่าง PISA เกาะกลุ่มหัวแถวของโลกของทวีปเอเชีย อาทิ การทดสอบในปี 2561 มี 77 ประเทศ และเขตปกครองเข้าร่วม เกาหลีใต้อยู่ได้อันดับที่ 7 เป็นรองเพียงจีนแผ่นดินใหญ่ (ทดสอบใน 4 พื้นที่คือกรุงปักกิ่ง เมืองเซี่ยงไฮ้ มณฑลเจียงซูและมณฑลเจ้อเจียง) สิงคโปร์ มาเก๊า ฮ่องกง เอสโตเนีย และญี่ปุ่นตามลำดับ ส่วนปีนั้นไทยอยู่อันดับที่ 60

เมื่อเร็วๆ นี้ สถาบันเอเชียตะวันออกศึกษา มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ (มธ.) ร่วมกับ โครงการประเมินและพัฒนาสู่ความเป็นเลิศทางคณิตศาสตร์และวิทยาศาสตร์ (TEDET) จัดบรรยายหัวข้อ “สร้างนิสัยเรียนเก่งตามแบบฉบับเกาหลี” โดยวิทยากรคือ ดร.ไพบูลย์ ปีตะเสน ประธานศูนย์เกาหลีศึกษา สถาบันเอเชียตะวันออกศึกษา มธ. ซึ่งเคยมีประสบการณ์เรียนต่อระดับปริญญาเอกที่มหาวิทยาลัยแห่งชาติ กรุงโซล สถาบันอุดมศึกษาอันดับ 1 ของเกาหลีใต้ เริ่มต้นด้วยการกล่าวถึง “Reborn Rich” ซีรี่ส์ดังจากแดนกิมจิ ที่มีมหาวิทยาลัยแห่งนี้เป็นฉากหลังส่วนหนึ่งด้วย

“เขาฉายภาพของมหาวิทยาลัยโซล และฉายให้เห็นถึงการเรียนให้มีผลดี การเข้าไปแข่งขันในวงการธุรกิจ มันคือเรื่องเดียวกัน การที่เราเรียนได้ประสบความสำเร็จมันก็เป็นบันไดก้าวแรกที่จะให้เราไปใช้ชีวิตในสังคมได้อย่างประสบความสำเร็จเหมือนกัน อันนี้มาในภาพมหาวิทยาลัยโซลในยุค 90 (ปี 2533-2542) ในฉากในหนัง” ดร.ไพบูลย์กล่าว

ดร.ไพบูลย์ เล่าต่อไปว่า เมื่อครั้งได้ทุนจากประเทศไทยไปเรียนที่เกาหลีใต้ในช่วงทศวรรษ 1990 ได้พบนักเรียนท้องถิ่นชั้น ม.6 คนหนึ่ง เลือกที่จะไม่เรียนต่อมหาวิทยาลัยในทันทีหลังเรียนจบ เพราะตั้งใจจะสอบเข้ามหาวิทยาลัยแห่งชาติ กรุงโซล ให้ได้ ซึ่งในปีแรกหลังจบ ม.6 เขาสอบไม่ผ่าน จึงใช้เวลาอ่านหนังสืออีก 1 ปีก่อนกลับมาสอบแต่ครั้งนี้สอบผ่านได้เข้าไปเรียน โดยไม่สนใจที่นั่งในมหาวิทยาลัยอื่นๆ ที่เขาสอบได้แล้วแต่อย่างใด

ความน่าสนใจคือพฤติกรรมแปลกๆ ของเด็กคนนี้“เมื่ออ่านหนังสือจบก็จะฉีกทำลายหนังสือทิ้ง” ซึ่งหลังจากสังเกตอยู่หลายวันจึงตัดสินใจเข้าไปสอบถาม และได้รับคำตอบว่า “ถ้าอยากไปข้างหน้าอย่างไม่ลังเลก็ต้องไม่เหลือเส้นทางให้กลับหลัง” การอ่านหนังสือแล้วทำลายทิ้งก็เพื่อกระตุ้นให้ต้องจำสาระสำคัญของบทเรียนให้ได้ ไม่เพียงเท่านั้น เขายังเดินทางไป-กลับระหว่างที่พักกับมหาวิทยาลัยเป็นประจำ ราวกับว่าได้เข้าไปเรียนแล้ว เพื่อปลุกเร้าตนเองว่าจะต้องเข้าไปเรียนให้ได้ด้วย

อีกเหตุการณ์หนึ่งคือเมื่อ ดร.ไพบูลย์ ได้เพื่อนร่วมห้องในหอพักเป็นลูกครึ่งเกาหลีใต้-ญี่ปุ่น ในเวลานั้นก็คุยกันว่าจะเลือกห้องไหนระหว่างชั้น 5 กับชั้น 2 ซึ่ง เพื่อนคนนี้ขอให้เลือกชั้น 2 แม้จะเป็นห้องแคบๆ เมื่อเทียบกับชั้น 5 ที่ห้องกว้างกว่า โดยให้เหตุผล 3 ข้อ คือ 1.สะดวกในการเดินทาง หากอยู่ชั้น 5 ต้องใช้ลิฟต์ในการขึ้น-ลง แต่อยู่ชั้น 2 เดินลงบันไดเองได้ ทำให้ในตอนเช้าเมื่อต้องขึ้นรถไปเรียนซึ่งรถก็มีที่นั่งจำกัดจะทำได้ง่ายกว่า

2.หลีกเลี่ยงการถูกรบกวน เนื่องจากเพื่อนคนนี้ทราบว่าคณะที่ตนเรียนสอบช้าที่สุด และนักศึกษาทุกคณะเมื่อสอบเสร็จก็มักจะมีปาร์ตี้สังสรรค์ ดังนั้นการเลือกห้องเล็กๆ
ก็น่าจะทำให้เพื่อนจากคณะอื่นๆ ไม่มาขอใช้ห้องเป็นพื้นที่สังสรรค์ 3.ไม่ทำให้เกิดความรู้สึกอยากอยู่ในห้องนานๆ วิถีชีวิตของนักศึกษาในเกาหลีใต้นิยมไปอ่านหนังสือในห้องสมุด โดยห้องในหอพักมีไว้เพียงเป็นที่ซุกหัวนอนเท่านั้น โดยห้องสมุดในมหาวิทยาลัยนั้นเปิด 24 ชั่วโมง และในทุกเช้าจะตื่นกันตั้งแต่ตี 4 เพื่อรีบกินมื้อเช้าแล้วเข้าไปหาพื้นที่อ่านหนังสือ

“คนเกาหลีจะชอบอ่านหนังสือในห้องสมุด ไม่เหมือนกับคนไทยที่ชอบอ่านที่บ้าน คืออ่านที่บ้านมันเงียบจริงแต่ข้อเสียคือเราอาจจะขาดวินัยได้ เราอาจจะทำโน่นทำนี่
จนเพลินแล้วเวลาอ่านมันไม่มีบรรยากาศเหมือนกับคนที่นั่งอ่านแข่งขันกับเราอยู่ มีคนอีกเป็นร้อยที่อยู่ด้านข้างเรา ห้องสมุดเกาหลีก็เงียบเหมือนกัน เขา (เพื่อนร่วมห้องที่หอพัก) ก็เลยบอกถ้าอยู่ห้องสบายเกินไปจะทำโน่นทำนี่วอกแวก เขาแถมให้อีกเหตุผลหนึ่งคือถ้าห้องใหญ่จะซื้อของเข้ามาเยอะแล้วเปลืองเงินมาก

ตลอดเวลาที่เขาเรียนกับผมมาทั้ง ป.โท-ป.เอก เขาใช้แก้วแค่ใบเดียวเอง ถ้าเขาใช้ห้องใหญ่เขาก็จะต้องมีแก้วกาแฟ แก้วน้ำ เยอะแยะมากมาย แก้วนมแก้วอะไร สะสมเจอแก้วสวยๆ ก็ต้องซื้อเพราะเขามีพื้นที่จัดเก็บ แต่ถ้าห้องมันเล็กเขาจำเป็นจะต้องใส่ของได้น้อย เสื้อผ้าเขาก็มีเท่าที่เขาต้องการ แก้วน้ำ ปากกา ดินสอ เวลาจะซื้อแต่ละอย่างที่จะบรรจุเข้าไปเขาก็ต้องคิด ผมก็เลยเห็นดีด้วยกับเขาในเมื่อเขาให้เหตุผลมาแล้วว่าเราควรจะอยู่ห้องเล็ก จบไวแล้วก็ประหยัดเงินด้วย” ดร.ไพบูลย์ ระบุ

ข้อคิดที่ ดร.ไพบูลย์ ได้เพื่อนร่วมห้องในหอพักคนนี้คือ “การสร้างสภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อการเรียน” ซึ่งในวันที่เรียนจบเพื่อนคนนี้มีเงินเหลือเก็บออมมากกว่านักศึกษาคนอื่นๆ ในกลุ่ม แต่ก็อาจเป็นเพราะยุคนั้นยังไม่มีโทรศัพท์มือถือ จึงไม่มีใครมารบกวนมากนัก จึงฝากเพิ่มเติมถึงคนยุคปัจจุบันด้วยว่า “ขอให้มีเป้าหมายแน่ชัดว่าตนเองต้องการทำอะไร และสร้างเงื่อนไขให้เดินไปตามเส้นทางนั้น” อย่าให้วอกแวก

เมื่อเทียบรายได้ต่อหัวระหว่างคนไทยกับคนเกาหลีใต้ทั้ง 2 ชาติเคยอยู่ระดับเดียวกันจนกระทั่งถึงปี 2518 จากนั้นเกาหลีใต้ก็ค่อยๆ ทิ้งห่างไทยขึ้นไปเรื่อยๆ โดยการสำรวจครั้งล่าสุดในปี 2563 พบว่า เกาหลีใต้อยู่ที่ 32,780 เหรียญสหรัฐต่อปี ส่วนไทยอยู่ที่ 7,260 เหรียญสหรัฐต่อปี หรือโดยสรุปคือ ในปี 2563คนเกาหลีใต้มีรายได้มากกว่าคนไทยถึงเกือบ 5 เท่า และการศึกษาก็คือหนึ่งในปัจจัยสำคัญที่ทำให้เศรษฐกิจเกาหลีใต้เติบโตอย่างก้าวกระโดด

โดยเกาหลีใต้วางนโยบายหลักด้านการศึกษาไว้ 4 เรื่อง 1.จัดหาการศึกษาคุณภาพสูงให้แก่ประชาชน 2.ขยายโอกาสตามความฝันและความสามารถของนักเรียน 3.สนับสนุนการศึกษาในกลุ่มผู้ด้อยโอกาสทางสังคม และ 4.จัดให้มีการศึกษาในภาคปฏิบัติ โดยการให้น้ำหนักที่ความเท่าเทียมกันและวางอยู่บนค่านิยมที่เป็นสากล ซึ่งอาจเป็นเพราะยุคก่อนปี 2518 (ที่คนเกาหลีใต้ยังมีรายได้ต่อหัวไล่เลี่ยกับคนไทย) เป็นช่วงที่เกาหลีใต้ต้องฟื้นฟูประเทศหลังสงครามเกาหลี (ปี 2493-2496) เวลานั้น
จึงยังไม่มีโอกาสได้ให้ความสำคัญกับการศึกษามากนัก

แต่เมื่อโอกาสอำนวย รัฐบาลเกาหลีใต้จึงทุ่มเทกับการพัฒนาด้านการศึกษาอย่างมาก โดยมีสัดส่วนงบประมาณรายจ่ายด้านนี้สูงเป็นอันดับ 3 ของโลก อยู่ที่ร้อยละ 14 ของงบประมาณทั้งหมดต่อปี เช่นเดียวกับในฝั่งครัวเรือนที่พ่อแม่ผู้ปกครองในเกาหลีใต้ ลงทุนด้านการศึกษาให้บุตรหลานมากที่สุดในโลก คิดเป็นร้อยละ 0.8 ของรายได้ทั้งหมดที่มีต่อปี ซึ่งสูงยิ่งกว่าหลายประเทศในทวีปยุโรปไม่ว่าจะเป็นสวิตเซอร์แลนด์ เยอรมนีหรือเนเธอร์แลนด์เสียด้วยซ้ำ

ตัวอย่างผลสำเร็จของเกาหลีใต้ เกิดขึ้นในการสอบ PISA เมื่อปี 2552 โดยการสอบ PISA จะจัดสอบทุกๆ 3 ปี วัดผลใน 3 ด้าน คือคณิตศาสตร์ วิทยาศาสตร์และการอ่าน คะแนนด้านการอ่านและคณิตศาสตร์ของเกาหลีใต้อยู่ที่เกือบ 550 คะแนน มากที่สุดในโลก และมากกว่าฟินแลนด์หรือแม้แต่สหรัฐอเมริกา ส่วนด้านวิทยาศาสตร์แพ้เพียงฟินแลนด์กับญี่ปุ่นเท่านั้น ซึ่งเป็นที่ทราบกันดีว่าฟินแลนด์คือประเทศที่มีระบบการศึกษาดีที่สุดในโลก

ทั้งหมดที่กล่าวมานี้เป็นเพียง “โหมโรง” ฉายภาพการให้ความสำคัญของการศึกษาตั้งแต่ระดับปัจเจกบุคคลไปจนถึงครัวเรือนและภาครัฐ ซึ่งผู้สนใจเคล็ดลับการเรียนเก่งแบบคนเกาหลี สามารถเข้าไปรับชม-รับฟัง ได้ที่เพจ “TEDET” หรือที่ลิงก์ https://www.facebook.com/tedet.or.th/videos/652560313327745

SCOOP@NAEWNA.COM

Share this:

  • Click to share on Pocket (Opens in new window) Pocket
  • Click to share on Facebook (Opens in new window) Facebook
  • Click to share on X (Opens in new window) X
  • Click to share on LinkedIn (Opens in new window) LinkedIn
  • Click to share on Reddit (Opens in new window) Reddit
  • Click to email a link to a friend (Opens in new window) Email
  • Click to print (Opens in new window) Print
  • Click to share on Telegram (Opens in new window) Telegram
  • Click to share on Tumblr (Opens in new window) Tumblr
  • Click to share on WhatsApp (Opens in new window) WhatsApp
  • Click to share on Mastodon (Opens in new window) Mastodon
  • Click to share on Pinterest (Opens in new window) Pinterest
Like Loading...
Posted in ข่าว Like สาระ, สกู๊ปแนวหน้า, แนวหน้า | Tagged 2566(2023), ข่าว Like สาระ, สกู๊ปแนวหน้า, แนวหน้า, naewna | Leave a reply

สกู๊ปแนวหน้า : ‘กัญชา’โอกาสของไทย การแพทย์ชุมชน-เศรษฐกิจ

Posted on January 12, 2023 by SoClaimon
Reply

#SootinClaimon.Com : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์แนวหน้า

https://www.naewna.com/likesara/703632

สกู๊ปแนวหน้า : ‘กัญชา’โอกาสของไทย  การแพทย์ชุมชน-เศรษฐกิจ

สกู๊ปแนวหน้า : ‘กัญชา’โอกาสของไทย การแพทย์ชุมชน-เศรษฐกิจ

วันพฤหัสบดี ที่ 12 มกราคม พ.ศ. 2566, 06.45 น.

ยังคงต้องติดตามกันต่อไปกับ “(ร่าง) พ.ร.บ.กัญชา กัญชง พ.ศ. ….” ซึ่งภาคประชาชนพยายามผลักดันอย่างต่อเนื่องท่ามกลางสถานการณ์ที่ของสภาผู้แทนราษฎรชุดปัจจุบันใกล้จะสิ้นสุดลง โดยล่าสุดเมื่อช่วงบ่ายวันที่ 8 ม.ค. 2566 ที่ผ่านมามีการจัดงานเสวนาหัวข้อ “13 ภาพอนาคตกัญชาไทย จาก 13 ทัศนคตินักคิดและนักกิจกรรมสังคมไทย” ณ คณะศิลปศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ (ท่าพระจันทร์)

ภายในงานมีเสียงสะท้อนจากผู้ผลิตและใช้กัญชาเพื่อบำบัดรักษาโรคในระดับท้องถิ่น อาทิ ธนโชติ เธียรรุ่งโรจน์ ประธานวิสาหกิจชุมชนสมุนไพรอากานิกส์ เขาฉกรรจ์ จ.สระแก้ว กล่าวว่า มี 3 ประเด็นเกี่ยวกับกัญชาที่ต้องการนำเสนอ 1.ประชาชนต้องสามารถปลูกได้ 2.ประชาชนต้องใช้เป็น และ 3.ชุมชนต้องมีส่วนร่วม เพื่อให้เกิดความยั่งยืน ทั้งนี้ กัญชามีหลายสายพันธุ์ซึ่งแตกต่างกันไปตามปัจจัย เช่น ดิน น้ำ อากาศ ของแต่ละพื้นที่

ขณะเดียวกันก็ต้องมีองค์ความรู้ว่ากัญชาแต่ละสายพันธุ์เหมาะสมกับการใช้ทำอะไรหรือรักษาโรคใด
ขณะเดียวกันคนนำไปใช้ก็ต้องมีความรู้เพื่อให้ใช้ได้เกิดประโยชน์สูงสุด ไม่ใช่นำยานอนหลับไปใช้แก้ปวดท้อง หรือนำกัญชาสายพันธุ์ที่ใช้ด้านสันทนาการไปใช้รักษาโรคมะเร็ง ดังนั้นทั้งคนปลูกและคนใช้จึงต้องได้รับการฝึกอบรมให้ใช้เป็นซึ่งจะนำไปสู่การคัดเลือกสายพันธุ์ที่เหมาะสมกับการปลูกในแต่ละพื้นที่ด้วย

ส่วนประเด็นร่างกฎหมาย พ.ร.บ.กัญชา กัญชง พ.ศ. …. ที่ยังอยู่ในการพิจารณาของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (สส.) นั้น เท่าที่ทราบคือทางสมาชิกวุฒิสภา (สว.) ได้ตั้งคณะกรรมาธิการ (กมธ.) รอไว้แล้ว 4 คณะ เพื่อเตรียมพิจารณา แต่จะต้องเข้าไปให้ถึงชั้น สว. ให้ได้ภายในต้นเดือน ก.พ. 2566 เพราะทาง สว. จะต้องส่งร่างกฎหมายกลับมาให้ฝั่ง สส. พิจารณากันอีกรอบ ดังนั้น ประชาชนจะต้องติดตามและเป็นกำลังหลักสำคัญในการสร้างความเปลี่ยนแปลง

“ผมเคยพูดไปครั้งหนึ่งแล้วว่าบ้านผมพรรคพลังประชารัฐทั้งจังหวัดเลย แต่วันนี้ผมรู้สึกว่าท่านอนุทินทำเพื่อชาวบ้าน ทำเพื่อเรา ผมเป็นกำลังใจแล้วก็จะผลักดันช่วย ถ้าโอกาสหน้าท่านได้กลับมาเป็นคณะรัฐบาล อยากให้ท่านดูกระทรวงสาธารณสุขต่อแล้วก็เดินต่อไป แต่ถ้ามันจบในสมัยนี้ได้ มันจะเป็นความมั่นคงของประชาชนที่เป็นรากหญ้าที่จะดูแลตัวเองได้ด้วยสารสกัดจากกัญชา อย่างถูกวิธีและถูกต้อง” ธนโชติ กล่าว

พระครูปัญญาวโรบล เจ้าอาวาสวัดสิรินธรวรารามภูพร้าว อ.สิรินธร จ.อุบลราชธานี กล่าวว่า ที่วัดมีการรักษาผู้มีอาการทางจิตประสาท ผู้ป่วยลมชัก และบำบัดผู้ติดสุราเรื้อรัง โดยใช้สมุนไพรมาตั้งแต่ยุคที่ยังไม่มีกัญชาให้ใช้ กระทั่งต่อมาได้เข้าร่วมโครงการของ นพ.นิรันดร์ พิทักษ์วัชระ อดีตคณบดีวิทยาลัยแพทยศาสตร์และการสาธารณสุข มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี จึงได้นำกัญชามาใช้กับอาการทั้ง 3 กลุ่มดังกล่าว รวมถึงผู้ป่วยมะเร็งที่ไม่มีบัตร เนื่องจากบริเวณที่ตั้งของวัดเป็นชายแดน จึงพบปัญหาประชากรที่ไม่มีเอกสารแสดงสถานะบุคคล

“รพ.สต. ผู้ป่วยที่ไม่มีบัตรก็เอาเข้ามา เราจะแจกยาผู้ป่วยมะเร็งที่ไม่มีบัตร ตรงนี้เราดูแลมาค่อนข้างนานพอสมควร ดังนั้นกลุ่มพวกนี้เราก็จะเริ่มเห็นว่าการใช้สมุนไพรบำบัด ไม่ใช่กัญชาอย่างเดียว กัญชามันลดปวดดี นอนหลับดี กินดี แต่การขับพิษมะเร็งแพทย์แผนไทยองค์ความรู้เขาเยอะดังนั้นก็เชิญอาจารย์แพทย์มาประยุกต์ยา ก็เกิดการเรียนการสอนแล้วเราเอากัญชามาประยุกต์ยากับการแพทย์แผนไทยเลยเอาโรคนี้ๆ ปรุงยาไม่ต้องเยอะ ปรุงแค่ 2-3 อย่างก็ใช้เลย”พระครูปัญญาวโรบล กล่าว

สฤษดิ์ โชติช่วง ปราชญ์ชาวบ้านผู้รู้ด้านกัญชาแห่งเกาะพะงัน จ.สุราษฎร์ธานี กล่าวว่า นับตั้งแต่เด็กได้ติดตามพ่อแม่ไปดูการปลูกข้าวไร่ ซึ่งเกษตรกรบนเกาะพะงันจะหว่านเมล็ดกัญชาควบคู่ไปกับเมล็ดข้าว ขณะที่ย่าก็เล่าว่า ตอนที่แม่คลอดคนก็ใช้กัญชาไปต้มให้เกิดเป็นไอขณะอยู่ไฟเพื่อทำให้ร่างกายผ่อนคลาย ส่วนข้อกังวลเรื่องเด็กและเยาวชนติดยาเสพติดเพิ่มขึ้น สำหรับที่เกาะพะงันปัจจุบันยังไม่เป็นเช่นนั้น แม้ว่าบนเกาะจะเต็มไปด้วยชาวต่างชาติ ที่จำนวนไม่น้อยมีการใช้ยาเสพติดก็ตาม โดยชาวต่างชาติหลายคนก็บอกว่ากัญชาเลิกใช้ง่าย แต่จริงไม่จริงก็อีกเรื่องหนึ่ง

“กลุ่มวิสาหกิจในปัจจุบันนี้รวมตัวกัน 5 กลุ่ม สร้างเป็นเครือข่าย ทำข้อตกลงกับโรงพยาบาลเกาะพะงันเพื่อปลูกกัญชาเพื่อรักษาชาวเกาะพะงันฟรี โดยกลุ่มวิสาหกิจชุมชนปลูกให้ฟรี ไม่ได้แบ่งดอกแบ่งใบแบ่งต้นขาย ให้ทั้งหมดกับโรงพยาบาลแล้วก็ไม่ได้คิดสตางค์ คิดค่าตอบแทนอะไรทั้งสิ้น อันนั้นเป็นข้อตกลง ทำเอ็มโอยูกันไว้ และเราจะต้องทำต่อ” สฤษดิ์ กล่าว

นพ.ปัตพงษ์ เกษสมบูรณ์ คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น กล่าวว่า ประเทศไทยพึ่งพาตนเองด้านยาได้น้อยมาก ซึ่งค่าใช้จ่ายในการนำเข้ายาจากต่างประเทศเฉลี่ยปีละ 1.3 แสนล้านบาท และยังมีแนวโน้มสูงขึ้น ทั้งนี้ ประเทศไทยมีตัวอย่างดีๆ มากมายเรื่องการใช้กัญชารักษาโรคมะเร็ง และไทยน่าจะสามารถก้าวกระโดดไปเป็นศูนย์กลางการรักษามะเร็งของโลกได้ เป็นการตอบสนองนโยบาย Health for Wealth (สุขภาพเพื่อความมั่งคั่ง) ได้อย่างดี เม็ดเงินจำนวนมากจะไหลเข้ามาและกระจายต่อไปยังชุมชน

“เราจะเห็นว่าปัจจุบันคนที่ต่อต้านกัญชาคือแพทย์แผนปัจจุบัน แต่ถ้าเราเปิดมุมมองให้เขาเห็นว่าคุณมาช่วยกันทำสิ แล้วมันจะช่วยสร้างรายได้ให้กับประเทศชาติด้วยนะ สถาบันวิจัย รัฐบาล แหล่งทุนวิจัยต่างๆ ต้องอัดฉีดให้กับคุณหมอแผนปัจจุบันมาทำวิจัยเรื่องนี้อย่างจริงจัง พันธุ์สมุนไพรดีๆ ที่เราอุตส่าห์อนุรักษ์ไว้” นพ.ปัตพงษ์ กล่าว

ดร.พิพัฒน์ นนธนาธรณ์ นายกสมาคมนักวิจัยแห่งประเทศไทย นำหนังสือ “The Cannabis Health Index”
ซึ่งรวบรวมผลการศึกษาการใช้กัญชากับโรคภัยไข้เจ็บต่างๆ ในแวดวงวิชาการของโลกตะวันตก ระบุเป็นระดับ 0 คือใช้ไม่ได้ผล ไปจนถึงระดับ 5 คือใช้ได้ผลดีมากที่สุด มาแสดงในงานด้วย โดยสมาคมฯ ได้จัดทำหลักสูตร “นักวิจัยกัญชาศาสตร์ (Cannabis Science Researcher : CSR)” เพื่อสร้างนักวิจัยที่สามารถผลิตผลงานวิชาการด้านกัญชาไปนำเสนอในงานประชุมวิชาการและตีพิมพ์ในวารสารวิชาการได้

“อนาคตของการวิจัยด้านกัญชาศาสตร์ ผมมองว่าเราวิจัยในแง่การผสมผสานระหว่างแพทย์แผนปัจจุบันกับแพทย์แผนไทย แล้วก็ตามหลักที่เรามีอยู่ และสายพันธุ์ที่เรามีอยู่ซึ่งมีคุณสมบัติแตกต่างจากสายพันธุ์อื่นๆ เอามาจัดดูแล้วก็ใช้แบบ Cannabis Health Index เราก็น่าจะทำเป็น Thailand Cannabis Health Index บ้าง ด้วยสายพันธุ์ของภูพาน หางกระรอก สารพัดอะไรต่างๆ เยอะแยะ น่าทำ น่าเป็น Thailand Cannabis Health Index” นายกสมาคมนักวิจัยแห่งประเทศไทย กล่าว
 

SCOOP@NAEWNA.COM
 

Share this:

  • Click to share on Pocket (Opens in new window) Pocket
  • Click to share on Facebook (Opens in new window) Facebook
  • Click to share on X (Opens in new window) X
  • Click to share on LinkedIn (Opens in new window) LinkedIn
  • Click to share on Reddit (Opens in new window) Reddit
  • Click to email a link to a friend (Opens in new window) Email
  • Click to print (Opens in new window) Print
  • Click to share on Telegram (Opens in new window) Telegram
  • Click to share on Tumblr (Opens in new window) Tumblr
  • Click to share on WhatsApp (Opens in new window) WhatsApp
  • Click to share on Mastodon (Opens in new window) Mastodon
  • Click to share on Pinterest (Opens in new window) Pinterest
Like Loading...
Posted in ข่าว Like สาระ, สกู๊ปแนวหน้า, แนวหน้า | Tagged 2566(2023), ข่าว Like สาระ, สกู๊ปแนวหน้า, แนวหน้า, naewna | Leave a reply

Post navigation

← Older posts
Newer posts →

BamBam Family

BamBam Family

สถิติบล็อก

  • 2,821,195 hits

Join 3,805 other subscribers
Follow SootinClaimon.Com on WordPress.com

Categories

Top Posts & Pages

‘นายกฯ’ลั่น‘เขมร’ต้องกลับเข้า 4 ข้อปฏิญญา เหน็บประเทศมหาอำนาจต้องกดดันฝ่ายละเมิด
ถอดแนวคิด 'มอนเดลีซฯ' กับการเป็นองค์กรในดวงใจคนนิวเจน
'แคนดิเดตนายกฯภท.'ยังไม่ชัด! แต่ถ้าคัมแบ็ครัฐบาล'เอกนิติ-ศุภจี-สีหศักดิ์'ร่วม รบ.ต่อ
ตำรวจชี้ตัวผู้ต้องสงสัยกราดยิงม.บราวน์ เร่งสอบเอี่ยวคดีฆ่าอาจารย์ MIT ด้วยหรือไม่
'เจาะใจ'พาคุยกับสตรีคนสำคัญแห่ง'กระทรวงวัฒนธรรม'ผู้ถือภารกิจแห่งการส่งเสริมวัฒนธรรมไทย
จุฬาฯ-มหิดล ผนึกกำลังสร้างนวัตกรรมเวชสำอางจากข้าวไรซ์เบอร์รี่ไทยถ่ายทอดเทคโนโลยี "AnthoRice™ Complex" เตรียมทดสอบทางคลินิกที่ศิริราช
บังกลาเทศประท้วงเดือด บุกผาสำนักงานหนังสือพิมพ์ยักษ์ใหญ่ 2 แห่ง
นทท.สะพรึง แห่ชมปรากฎการณ์ธรรมชาติชายหาดสีเลือดในอิหร่าน
ทรัมป์สั่งระงับโครงการกรีนการ์ดล็อตโต้ หลังผู้ต้องสงสัยกราดยิง ม.บราวน์ ใช้เป็นช่องทางเข้าสหรัฐฯ
ทรัมป์ลงนามคำสั่ง ขยายการเข้าถึงกัญชา เพิ่มขอบเขตการวิจัย

Recent Posts

  • ทรัมป์สั่งระงับโครงการกรีนการ์ดล็อตโต้ หลังผู้ต้องสงสัยกราดยิง ม.บราวน์ ใช้เป็นช่องทางเข้าสหรัฐฯ
  • อียูตกลงปล่อยกู้ยูเครน 9 หมื่นล้านยูโร เลี่ยงใช้ทรัพย์สินรัสเซียที่ถูกอายัด
  • ปิดฉากล่าตัวมือกราดยิง ม.บราวน์ พบกลายเป็นศพในห้องเก็บของ หลังหนีกบดานข้ามรัฐ
  • ออสเตรเลียประกาศ “รับซื้อคืนปืน” ทั่วประเทศ หลังเหตุกราดยิงหาดบอนได
  • ศรีลังกาจับ 3 ผู้ต้องสงสัยเผาช้างป่าเป็น ๆ จนล้ม จุดกระแสโกรธแค้นในสังคม

ป้ายกำกับ

  • 2559(2016)
  • 2564(2021)
  • entertain
  • naewna
  • The Nation
  • การเมือง
  • คมชัดลึก
  • ต่างประเทศ
  • บันเทิง
  • แนวหน้า
  • RSS - Posts
  • RSS - Comments

Archives

Follow Us

  • https://soclaimon.tumblr.com/
  • https://www.facebook.com/soclaimon
  • https://www.instagram.com/sootinclaimon/
  • https://www.facebook.com/SootinClaimon/
  • https://www.facebook.com/profile.php?id=100001170824639
  • https://www.facebook.com/pompam.pp
  • https://www.facebook.com/toraman666
  • https://www.facebook.com/apich214
  • https://www.facebook.com/samabat.klaimon
  • https://www.facebook.com/profile.php?id=100005312762480
  • https://www.facebook.com/jirasuda.manomaiyanon
  • https://www.facebook.com/eikpakkred
  • https://www.facebook.com/profile.php?id=100003091451547
Blog at WordPress.com.
  • Subscribe Subscribed
    • SootinClaimon.Com
    • Join 1,659 other subscribers
    • Already have a WordPress.com account? Log in now.
    • SootinClaimon.Com
    • Subscribe Subscribed
    • Sign up
    • Log in
    • Report this content
    • View site in Reader
    • Manage subscriptions
    • Collapse this bar
 

Loading Comments...
 

    %d