เตือน!ชาวนาบุรีรัมย์ชะลอปลูกข้าว หวั่นฝนทิ้งช่วง-ผลผลิตขาดน้ำ

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์แนวหน้า

http://www.naewna.com/local/271794

วันพุธ ที่ 24 พฤษภาคม พ.ศ. 2560, 11.15 น.

ผอ.เขื่อนลำนางรอง จ.บุรีรัมย์ได้แจ้งเตือนเกษตรกรในเขตชลประทานชะลอเพาะปลูกข้าว ไปช่วงเดือน ส.ค. หวั่นเกิดภาวะฝนทิ้งช่วง ผลผลิตขาดน้ำเสียหาย หลังหลายพื้นที่มีฝนตกน้อย ทำน้ำในอ่าง 4 แห่ง มีปริมาณลดต่ำ ขณะชลประทานจะเริ่มปล่อยน้ำทำนาปี 1 ส.ค.นี้

24 พ.ค.60 นายสุพัฒน์ ฤทธิชู ผู้อำนวยการโครงการส่งน้ำและบำรุงรักษาลำนางรอง อ.โนนดินแดง จ.บุรีรัมย์ เปิดเผยว่า จากการคาดหมายลักษณะอากาศของกรมอุตุนิยมวิทยา คาดการณ์ว่าฝนจะเริ่มตกช่วงแรกกลางเดือน พ.ค.กลางเดือน มิ.ย. และในช่วงที่สองจะตกกลางเดือน ก.ค. ดังนั้นในช่วงกลางเดือน มิ.ย.-กลางเดือน ก.ค. โอกาสที่จะเกิดฝนทิ้งช่วงมีความเป็นไปได้

จึงขอแจ้งเตือนเกษตรกรในเขตชลประทานให้ชะลอการเพาะปลูกข้าวออกไปก่อน เป็นช่วงเดือนสิงหาคม 60 เพื่อลดความเสี่ยงต่อผลผลิตข้าวที่จะขาดน้ำหล่อเลี้ยงเสียหาย เนื่องจากเกรงจะเกิดภาวะฝนทิ้งช่วง และประสบปัญหาภัยแล้ง เพราะเข้าสู่ฤดูฝนแล้ว แต่หลายพื้นที่ยังมีฝนตกน้อย ส่งผลให้น้ำในเขื่อนลำนางรอง ขณะนี้มีปริมาณน้ำกักเก็บเพียงร้อยละ 50 หรือ 60.108 ล้านลูกบาศก์เมตร จากปริมาณความจุ 121.414 ล้านลูกบาศก์เมตร

โดยในพื้นที่โครงการส่งน้ำและบำรุงรักษาลำนางรอง มีอ่างเก็บน้ำอยู่ 4 อ่าง คือ เขื่อนลำนางรอง, อ่างเก็บน้ำคลองมะนาว, อ่างเก็บน้ำลำปะเทีย และอ่างเก็บน้ำลำจังหัน ในจำนวนนี้มีอ่างเก็บน้ำที่มีปริมาณน้ำเก็บกักน้อย คือ อ่างเก็บน้ำลำจังหัน มีปริมาณน้ำ 60 เปอร์เซ็นต์ หรือประมาณ 21.756 ล้านลูกบาศก์เมตร จากปริมาณความจุ 36 ล้านลูกบาศก์เมตร รองลงมาคือ อ่างเก็บน้ำคลองมะนาว มีปริมาณน้ำ 59 เปอร์เซ็นต์ หรือประมาณ 1.675 ล้านลูกบาศก์เมตร จากปริมาณความจุ 2.85 ล้านลูกบาศก์เมตร ซึ่งอ่างแห่งนี้ใช้เพื่อการผลิตประปาบริการประชาชนของอำเภอโนนดินแดง เฉลี่ยเดือนละ 75,000 ลูกบาศก์เมตร คาดว่ายังมีปริมาณน้ำพอเพียงสำหรับผลิตประปาตลอดฤดูกาลนี้

ทั้งนี้ จากข้อมูลพบว่าทั้ง 4 อ่าง มีพื้นที่ทำนาในเขตบริการอยู่กว่า 139,000 ไร่ และการปล่อยน้ำทำการเกษตรแต่ละครั้งจะต้องมีการประชุมชี้แจงเพื่อวางแผนการส่งน้ำก่อนถึงฤดูกาลส่งน้ำร่วมกันก่อน กับทางอำเภอโนนดินแดง สำนักงานเกษตรอำเภอโนนดินแดง ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์ สาขาโนนดินแดง ศูนย์การพัฒนาโนนดินแดง อันเนื่องมาจากพระราชดำริ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น กำนัน ที่มีเขตปกครองอยู่ในเขตชลประทานโครงการส่งน้ำและบำรุงรักษาลำนางรอง และประธานกลุ่มบริการการใช้น้ำชลประทาน

โดยได้มีการประชุมร่วมกัน เมื่อ วันที่ 18 พ.ค.60 ณ ห้องประชุมโครงการฯลำนางรอง ที่ประชุมมีมติเป็นเอกฉันท์ เห็นสมควรดำเนินการส่งน้ำชลประทานเพื่อการทำนาปี จะเริ่มส่งในวันที่ 1 ส.ค.2560 เพื่อเป็นการเสริมน้ำฝน หากเกิดปัญหาการขาดแคลนน้ำจึงจะมีการส่งน้ำ

 

‘เขื่อนเจ้าพระยา’ระบายน้ำเหนือไม่กระทบที่ลุ่มต่ำ ฝนขาดช่วงถูกผันเข้าทุ่งแก้มลิง

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์แนวหน้า

http://www.naewna.com/local/271775

วันพุธ ที่ 24 พฤษภาคม พ.ศ. 2560, 09.17 น.

24 พ.ค.60 จากสถานการณ์น้ำเหนือไหลหลากที่ส่งผลกระทบกับชุมชนที่อยู่อาศัยและพื้นที่การเกษตร ในหลายจังหวัดทางภาคเหนือ ทำให้มีปริมาณน้ำไหลเข้าสู่เขื่อนเจ้าพระยาอย่างต่อเนื่องนั้น ตรวจสอบล่าสุดระดับน้ำเหนือเขื่อนเจ้าพระยา ต.บางหลวง อ.สรรพยา จ.ชัยนาท วัดได้ 16.55 เมตรจากระดับน้ำทะเลปานกลาง ลดลง 20 เซนติเมตร โดยเขื่อนเจ้าพระยายังคงอัตราการระบายน้ำต่อเนื่องจากเมื่อวานไว้ที่ 649 ลูกบาศก์เมตรต่อวินาที ทำให้ระดับน้ำท้ายเขื่อนทรงตัวอยู่ที่ 10.15 เมตร จากระดับน้ำทะเลปานกลาง ซึ่งจะทำให้พื้นที่ท้ายเขื่อนตั้งแต่ อ.สรรพยา จ.ชัยนาท ลงไปมีระดับน้ำที่ทรงตัวหรือลดลงเล็กน้อย

ด้านนายสุชาติ เจริญศรี ผู้อำนวยการสำนักงานชลประทานที่12 ชัยนาท ตรวจสอบปริมาณน้ำเหนือที่เข้าสู่เขื่อนเจ้าพระยาที่จุดวัดน้ำหน้าค่ายจิรประวัติ จ.นครสวรรค์เช้านี้ มีอัตราไหลผ่าน 1,293 ลูกบาศก์เมตรต่อวินาที ลดลง 77 ลูกบาศก์เมตรต่อวินาที ทำให้ยังไม่จำเป็นต้องเพิ่มการระบายน้ำลงท้ายเขื่อนเจ้าพระยาในระยะนี้ เนื่องจากปริมาณน้ำหลากส่วนหนึ่งถูกผันเข้าพื้นที่เกษตรเพื่อการเพาะปลูก และเก็บไว้ในแก้มลิงธรรมชาติ เพื่อรองรับฝนทิ้งช่วง โดยกรมชลประทานจะมีการประเมินสถานการณ์น้ำจากน้ำค้างคลองและน้ำฝน มีการปรับแผนแบบรายวันเพื่อให้ทันต่อเหตุการณ์จึงไม่มีอะไรที่ต้องกังวล แต่ทั้งนี้บริเวณพื้นที่ลุ่มต่ำท้ายเขื่อนเจ้าพระยา ในตำบลบางหลวงโดด อำเภอบางบาล และตำบลบ้านกระทุ่ม ตำบลหัวเวียง อำเภอเสนา จังหวัดพระนครศรีอยุธยา ยังคงต้องเฝ้าระวังติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิดต่อไป

 

อุตุฯประกาศ’ฝนตกหนัก-คลื่นลมแรง’ฉบับ3 เตือนรับมือ24-28พ.ค.60

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์แนวหน้า

http://www.naewna.com/local/271769

วันพุธ ที่ 24 พฤษภาคม พ.ศ. 2560, 08.11 น.

24 พ.ค.60 กรมอุตุนิยมวิทยา ประกาศ “ฝนตกหนักถึงหนักมากบริเวณประเทศไทยตอนบน และคลื่นลมแรงบริเวณทะเลอันดามัน (มีผลกระทบจนถึงวันที่ 28 พ.ค.60)” ฉบับที่ 3 ระบุว่า ในช่วงวันที่ 24 – 28 พ.ค.60 ประเทศไทยจะมีฝนเพิ่มขึ้นกับมีฝนตกหนักถึงหนักมากบางพื้นที่ โดยจะเริ่มในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ และด้านตะวันออกของภาคเหนือในระยะแรก หลังจากนั้น ภาคกลาง และภาคตะวันออก รวมทั้งกรุงเทพมหานครและปริมณฑลจะ ได้รับผลกระทบในวันถัดไป โดยมีรายละเอียดดังนี้

ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ และด้านตะวันออกของภาคเหนือ มีผลกระทบในวันที่ 24 – 26 พ.ค.60

– ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ จังหวัดเลย หนองคาย บึงกาฬ อุดรธานี หนองบัวลำภู สกลนคร นครพนม มุกดาหาร กาฬสินธุ์ ชัยภูมิ ขอนแก่น มหาสารคาม ร้อยเอ็ด นครราชสีมา สุรินทร์ บุรีรัมย์ ศรีสะเกษ และอุบลราชธานี

– ภาคเหนือ จังหวัดน่าน พะเยา แพร่ อุตรดิตถ์ สุโขทัย พิษณุโลก เพชรบูรณ์ เชียงใหม่ เชียงราย ลำพูน ลำปาง

ภาคเหนือ มีผลกระทบในวันที่ 27 – 28 พ.ค.60

– ภาคเหนือ จังหวัดแม่ฮ่องสอน เชียงใหม่ เชียงราย ลำพูน ลำปาง สุโขทัย พิษณุโลก กำแพงเพชร และตาก

ภาคกลาง และภาคตะวันออก มีผลกระทบในวันที่ 26 – 28 พ.ค.60

– ภาคกลาง จังหวัดนครสวรรค์ อุทัยธานี ชัยนาท สุพรรณบุรี ลพบุรี สระบุรี พระนครศรีอยุธยา กาญจนบุรี ราชบุรี สมุทรสงคราม สมุทรสาคร รวมทั้งกรุงเทพมหานครและปริมณฑล

– ภาคตะวันออก จังหวัดนครนายก ปราจีนบุรี ฉะเชิงเทรา สระแก้ว ชลบุรี ระยอง จันทบุรี และตราด

สำหรับภาคใต้ จะมีฝนตกต่อเนื่องในช่วงวันที่ 24 – 28 พ.ค.60 โดยมีฝนตกหนักถึงหนักมากบางพื้นที่ ในจังหวัดระนอง พังงา ภูเก็ต กระบี่ ตรัง และสตูล และคลื่นลมบริเวณทะเลอันดามันจะมีกำลังแรง โดยมีคลื่นสูง 2 – 3 เมตร

ขอให้ประชาชนบริเวณดังกล่าวระวังอันตรายจากฝนตกหนักถึงหนักมากที่อาจทำให้เกิดน้ำท่วมฉับพลันและน้ำป่าไหลหลากที่จะเกิดขึ้น ส่วนชาวเรือบริเวณทะเลอันดามันควรเดินเรือด้วยความระมัดระวัง และเรือเล็กควรงดออกจากฝั่งในระยะนี้ไว้ด้วย

ทั้งนี้ เนื่องจากจะมีหย่อมความกดอากาศต่ำปกคลุมประเทศเวียดนาม และอ่าวตังเกี๋ย ประกอบกับลมมรสุมตะวันตกเฉียงใต้ที่พัดปกคลุมทะเลอันดามันและประเทศไทยมีกำลังแรงขึ้น ทำให้บริเวณประเทศไทยจะมีฝนตกเพิ่มขึ้น และมีฝนตกหนักถึงหนักมากบางพื้นที่ ส่วนคลื่นลมบริเวณทะเลอันดามันมีกำลังแรงขึ้นในระยะนี้

 

ทั่วไทยฝนตกหนักบางแห่ง!! ‘กทม.-ปริมณฑล’ฟ้าคะนอง60%

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์แนวหน้า

http://www.naewna.com/local/271766

วันพุธ ที่ 24 พฤษภาคม พ.ศ. 2560, 07.59 น.

24 พ.ค.60 ลักษณะอากาศทั่วไป พยากรณ์อากาศ 24 ชั่วโมงข้างหน้า ประเทศไทยมีฝนเพิ่มมากขึ้นและมีฝนตกหนักบางแห่งในภาคเหนือ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ภาคตะวันออก และภาคใต้ ขอให้ประชาชนบริเวณที่ลาดเชิงเขาระวังอันตรายจากฝนที่ตกสะสมที่จะเกิดขึ้นในระยะนี้

ลักษณะสำคัญทางอุตุนิยมวิทยา ในช่วงวันที่ 24 – 28 พ.ค.60 จะมีหย่อมความกดอากาศต่ำปกคลุมประเทศเวียดนาม และอ่าวตังเกี๋ย ประกอบกับลมมรสุมตะวันตกเฉียงใต้ที่พัดปกคลุมทะเลอันดามันและประเทศไทยมีกำลังแรงขึ้น ทำให้ประเทศไทยมีฝนเพิ่มขึ้นและมีฝนตกหนักบางแห่ง ส่วนคลื่นลมบริเวณทะเลอันดามันจะมีคลื่นสูง 2 – 3 เมตร

พยากรณ์อากาศสำหรับประเทศไทยวันนี้ เป็นดังนี้

ภาคเหนือ มีเมฆเป็นส่วนมาก กับมีฝนฟ้าคะนอง ร้อยละ 60 ของพื้นที่ และมีฝนตกหนักบางแห่ง ส่วนมากบริเวณจังหวัดแม่ฮ่องสอน เชียงใหม่ แพร่ น่าน ตาก กำแพงเพชร พิษณุโลก และเพชรบูรณ์ อุณหภูมิต่ำสุด 25-29 องศาเซลเซียส อุณหภูมิสูงสุด 36-39 องศาเซลเซียส ลมตะวันตกเฉียงใต้ ความเร็ว 10-25 กม./ชม.

ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ เมฆเป็นส่วนมาก กับมีฝนฟ้าคะนอง ร้อยละ 60 ของพื้นที่ และมีฝนตกหนักบางแห่ง ส่วนมากบริเวณจังหวัดเลย หนองคาย บึงกาฬ อุดรธานี สกลนคร นครพนม มุกดาหาร ชัยภูมิ ขอนแก่น นครราชสีมา บุรีรัมย์ สุรินทร์ ศรีสะเกษ และอุบลราชธานี อุณหภูมิต่ำสุด 25-27 องศาเซลเซียส อุณหภูมิสูงสุด 35-36 องศาเซลเซียส ลมตะวันตกเฉียงใต้ ความเร็ว 10-30 กม./ชม.

ภาคกลาง มีเมฆเป็นส่วนมาก กับมีฝนฟ้าคะนอง ร้อยละ 30 ของพื้นที่ ส่วนมากบริเวณจังหวัดกาญจนบุรี สุพรรณบุรี ราชบุรี พระนครศรีอยุธยา ลพบุรี และสระบุรี อุณหภูมิต่ำสุด 26-27 องศาเซลเซียส อุณหภูมิสูงสุด 36-38 องศาเซลเซียส ลมตะวันตกเฉียงใต้ ความเร็ว 10-30 กม./ชม.

ภาคตะวันออก มีเมฆเป็นส่วนมาก กับมีฝนฟ้าคะนอง ร้อยละ 60 ของพื้นที่ และมีฝนตกหนักบางแห่ง ส่วนมากบริเวณจังหวัดปราจีนบุรี ฉะเชิงเทรา ชลบุรี ระยอง จันทบุรี และตราด อุณหภูมิต่ำสุด 25-29 องศาเซลเซียส อุณหภูมิสูงสุด 31-36 องศาเซลเซียส ลมตะวันตกเฉียงใต้ ความเร็ว 15-35 กม./ชม.ทะเลมีคลื่นสูง 1-2 เมตร บริเวณที่มีฝนฟ้าคะนองคลื่นสูงมากกว่า 2 เมตร

ภาคใต้ (ฝั่งตะวันออก) มีเมฆเป็นส่วนมาก กับมีฝนฟ้าคะนอง ร้อยละ 60 ของพื้นที่ ส่วนมากบริเวณจังหวัดเพชรบุรี ประจวบคีรีขันธ์ ชุมพร สุราษฎร์ธานี นครศรีธรรมราช พัทลุง สงขลา ปัตตานี ยะลา และนราธิวาส อุณหภูมิต่ำสุด 23-28 องศาเซลเซียส อุณหภูมิสูงสุด 33-36 องศาเซลเซียส ลมตะวันตกเฉียงใต้ ความเร็ว 15-30 กม/ชม.ทะเลมีคลื่นสูงประมาณ 1 เมตร ห่างฝั่งคลื่นสูง 1-2 เมตร

ภาคใต้ (ฝั่งตะวันตก) มีเมฆเป็นส่วนมาก กับมีฝนฟ้าคะนอง ร้อยละ 70 ของพื้นที่ และมีฝนตกหนักบางแห่ง ส่วนมากบริเวณจังหวัดระนอง พังงา ภูเก็ต กระบี่ ตรัง และสตูล อุณหภูมิต่ำสุด 22-26 องศาเซลเซียส อุณหภูมิสูงสุด 31-33 องศาเซลเซียส ลมตะวันตกเฉียงใต้ ความเร็ว 15-35 กม./ชม.ทะเลมีคลื่นสูง 1-2 เมตร บริเวณที่มีฝนฟ้าคะนองคลื่นสูงมากกว่า 2 เมตร

กรุงเทพมหานครและปริมณฑล มีเมฆเป็นส่วนมาก กับมีฝนฟ้าคะนอง ร้อยละ 60 ของพื้นที่ และมีฝนตกหนักบางแห่ง อุณหภูมิต่ำสุด 27-28 องศาเซลเซียส อุณหภูมิสูงสุด 36-37 องศาเซลเซียส ลมตะวันตกเฉียงใต้ ความเร็ว 15-30 กม./ชม.

‘ฝนหลวง’ปรับแผนปฏิบติการ ช่วยเกษตรกักเก็บน้ำ-เลี่ยงพื้นที่รับผลกระทบ

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์แนวหน้า

http://www.naewna.com/local/271658

วันอังคาร ที่ 23 พฤษภาคม พ.ศ. 2560, 15.36 น.

23 พ.ค.60 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นางสาวสุมามาศ ไชยวงศ์ นักวิทยาศาสตร์ปฏิบัติการ รักษาราชการแทน ผอ.ศูนย์ปฏิบัติการฝนหลวงภาคเหนือ เปิดเผยว่า กรมฝนหลวงและการบินเกษตรได้เตรียมความพร้อม ในการบรรเทาปัญหาภัยแล้งโดยให้ศูนย์ปฏิบัติการฝนหลวงประจำทั้ง 5 ศูนย์ ได้แก่ ภาคเหนือ ภาคกลาง ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ภาคตะวันออก และภาคใต้ เตรียมความพร้อมโดยติดตามสภาพอากาศและสถานการณ์น้ำอย่างใกล้ชิด เพื่อปฏิบัติการฝนหลวงช่วยเหลือพื้นที่เกษตรและเติมน้ำให้กับเขื่อนเก็บกักน้ำ ที่สอดคล้องกับสถานการณ์ความต้องการน้ำในแต่ละพื้นที่ โดยศูนย์ปฏิบัติการฝนหลวงภาคเหนือ ได้เปิดหน่วยปฏิบัติการฝนหลวงจำนวน 2 หน่วย ได้แก่ หน่วยปฏิบัติการฝนหลวงจังหวัดเชียงใหม่ และหน่วยปฏิบัติการฝนหลวงจังหวัดพิษณุโลก ตามแผนปฏิบัติการฝนหลวงเพื่อป้องกันและแก้ไขภัยแล้งตั้งแต่วันที่ 3 มีนาคม 2560 เป็นต้นมา

จากการติดตามสถานการณ์น้ำจากเก็บกักของเขื่อนภูมิพล ซึ่งอยู่ในพื้นที่รับผิดชอบของศูนย์ปฏิบัติการฝนหลวงภาคเหนือ ขณะนี้ยังมีปริมาณที่ต่ำกว่าเกณฑ์ เก็บกักปกติร้อยละ 50 และจากการสำรวจความต้องการน้ำฝนของพื้นที่ในเขตรับผิดชอบพบว่า ยังมีความต้องการขอรับการสนับสนุนฝนหลวง เพื่อให้สอดคล้องกับสถานการณ์ปัจจุบันที่เข้าสู่ช่วงฤดูฝนแล้ว ซึ่งมีสภาพอากาศที่เหมาะสมต่อการปฎิบัติการฝนหลวง และเพื่อเร่งเติมน้ำต้นทุนเขื่อนหลักในพื้นที่รับผิดชอบ โดยเฉพาะเขื่อนภูมิพลศูนย์ปฏิบัติการฝนหลวงภาคเหนือ จึงได้มีการปรับแผนการจัดตั้งหน่วยปฏิบัติการฝนหลวงในเดือนมิถุนายน 2560 ดังนี้

คงหน่วยปฏิบัติการฝนหลวงจังหวัดเชียงใหม่ อยู่ปฏิบัติการต่อเพื่อปฏิบัติการฝนหลวงช่วยเหลือพื้นที่ทางการเกษตร และเพิ่มปริมาณน้ำเก็บกักให้กับเขื่อนหลักในพื้นที่รับผิดชอบ ซึ่งมีพื้นที่การเกษตรจังหวัดเชียงใหม่ เชียงราย แม่ฮ่องสอน ลำปาง ลำพูน พะเยา แพร่ น่าน พื้นที่ลุ่มรับน้ำเขื่อนภูมิพล เขื่อนแม่งัดสมบูรณ์ชล เขื่อนแม่กวงอุดมธารา เขื่อนกิ่วลม เขื่อนกิ่วคอหมา โดยมีเครื่องบินชนิดซีเอ็น 235 จำนวน 1 เครื่อง ปรับฐานเติมสารฝนหลวงจังหวัดตาก ณ ท่าอากาศยานตาก อำเภอเมืองตาก จังหวัดตาก เป็นหน่วยปฏิบัติการฝนหลวงจังหวัดตาก เพื่อปฏิบัติการฝนหลวงช่วยเหลือพื้นที่ทางการเกษตร และเพิ่มปริมาณน้ำเก็บกักใกล้กับเขื่อนหลักในพื้นที่รับผิดชอบ ได้แก่ พื้นที่การเกษตรจังหวัดพิษณุโลกพิจิตร เพชรบูรณ์ ตาก สุโขทัย กำแพงเพชร อุตรดิตถ์ และพื้นที่ลุ่มรับน้ำเขื่อนภูมิพล เขื่อนสิริกิติ์เขื่อนแควน้อยบำรุงแดน โดยมีเครื่องบินชนิดกาซ่าจำนวน 2 เครื่อง และปรับหน่วยปฏิบัติการฝนหลวงจังหวัดพิษณุโลก เป็นฐานเติมสารฝนหลวงจังหวัดพิษณุโลก เพื่อสนับสนุนการปฎิบัติการฝนหลวงช่วยเหลือพื้นที่ทางการเกษตร และเพิ่มปริมาณน้ำเก็บกักให้กับเขื่อนหลักในพื้นที่รับผิดชอบ

อย่างไรก็ตามศูนย์ปฏิบัติการฝนหลวงเหนือ ยังคงติดตามสภาพอากาศและสถานการณ์น้ำในพื้นที่อย่างใกล้ชิดต่อเนื่อง และพร้อมที่จะขึ้นบินปฏิบัติการฝนหลวง ช่วยเหลือพื้นที่ร้องขอทันทีที่สภาพอากาศเหมาะสม รวมทั้งหลีกเลี่ยงพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบ เช่น พื้นที่ที่เก็บเกี่ยวผลผลิต พื้นที่ที่ประสบวาตภัย น้ำหลาก น้ำท่วม และดินถล่ม เป็นต้น

ทั้งนี้ สามารถแจ้งข้อมูลสถานการณ์ความต้องการฝนในพื้นที่โดยตรง ทางหมายเลขโทรศัพท์ 053-275051 ต่อ 12 และติดต่อข้อมูลข่าวสารเพิ่มเติมได้ทาง Facebook ศูนย์ปฏิบัติการฝนหลวงภาคเหนือ หรือทางเว็บไซต์กรมฝนหลวงและการบินเกษตร http://www.royalrain.go.th รวมทั้งมีบริการข้อมูลผลตรวจเรดาร์ฝนหลวงทั่วประเทศบนหน้าเว็บไซต์กรมฝนหลวงและการบินเกษตร

ปภ.เตือนภาคใต้-ตะวันออกรับมือฝนตกหนักต่อเนื่อง 3จว.ยังเกิดน้ำไหลหลาก

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์แนวหน้า

http://www.naewna.com/local/271574

วันอังคาร ที่ 23 พฤษภาคม พ.ศ. 2560, 10.36 น.

23 พ.ค.60 กระทรวงมหาดไทย โดยกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย (ปภ.) รายงานตั้งแต่วันที่ 16-22 พฤษภาคม 2560 เกิดสถานการณ์อุทกภัยใน 14 จังหวัด รวม 49 อำเภอ 168 ตำบล 963 หมู่บ้าน ประชาชนได้รับผลกระทบ 20,636 ครัวเรือน สถานการณ์คลี่คลายแล้ว 11 จังหวัด ยังคงมีสถานการณ์น้ำไหลหลาก 3 จังหวัด ได้แก่ สุโขทัย พิจิตร และเลย ภาพรวมระดับน้ำท่วมลดลง สถานการณ์คลี่คลายและอยู่ระหว่างการฟื้นฟู ทั้งนี้ ปภ.ได้ร่วมกับหน่วยทหาร และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เร่งให้การช่วยเหลือผู้ประสบภัยโดยด่วนแล้ว พร้อมประสานจังหวัดในพื้นที่ภาคใต้และภาคตะวันออก เตรียมพร้อมรับมือภาวะฝนตกต่อเนื่องและฝนตกหนักบางแห่งในระยะนี้ โดยจัดเจ้าหน้าที่ติดตามสภาพอากาศ เฝ้าระวังสถานการณ์ภัย รวมถึงจัดเตรียมเครื่องมือและวัสดุอุปกรณ์ให้พร้อมปฏิบัติการเผชิญเหตุและช่วยเหลือผู้ประสบภัยอย่างทันท่วงที

นายฉัตรชัย พรหมเลิศ อธิบดีกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย (ปภ.) เปิดเผยว่า ฝนที่ตกหนักต่อเนื่องในหลายพื้นที่ ส่งผลให้เกิดน้ำไหลหลาก และน้ำเอ่อล้นตลิ่ง โดยตั้งแต่วันที่ 16 – 22 พฤษภาคม 2560 มีพื้นที่เกิดสถานการณ์อุทกภัยใน 14 จังหวัด รวม 49 อำเภอ 168 ตำบล 963 หมู่บ้าน ประชาชนได้รับผลกระทบ 20,636 ครัวเรือน ผู้เสียชีวิต 5 ราย ปัจจุบันสถานการณ์คลี่คลายแล้ว 11 จังหวัด ยังคงมีสถานการณ์น้ำไหลหลาก 3 จังหวัด 20 อำเภอ 101 ตำบล 786 หมู่บ้าน แยกเป็น ภาคเหนือ 2 จังหวัด ได้แก่ สุโขทัย น้ำไหลหลากเข้าท่วมพื้นที่ 8 อำเภอ ได้แก่ อำเภอศรีสำโรง อำเภอเมืองสุโขทัย อำเภอคีรีมาศ อำเภอศรีนคร อำเภอสวรรคโลก อำเภอทุ่งเสลี่ยม อำเภอบ้านด่านลานหอย และอำเภอกงไกรลาศ รวม 56 ตำบล 405 หมู่บ้าน บ้านเรือนประชาชนได้รับความเสียหาย 20 หลัง ผู้เสียชีวิต 3 ราย ประชาชนได้รับความเดือดร้อน 17,119 ครัวเรือน 39,654 คน พื้นที่การเกษตรเสียหาย 17,655 ไร่ พิจิตร น้ำจากอำเภอไทรงาม จังหวัดกำแพงเพชร ไหลหลากเข้าท่วมพื้นที่ตำบลรังนก อำเภอสามง่าม รวม 4 หมู่บ้าน ประชาชนได้รับความเดือดร้อน 20 ครัวเรือน พื้นที่การเกษตรเสียหาย 3,000 ไร่ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ 1 จังหวัด ได้แก่ เลย น้ำไหลหลากเข้าท่วมพื้นที่ 11 อำเภอ ได้แก่ อำเภอเมืองเลย อำเภอวังสะพุง อำเภอภูหลวง อำเภอภูกระดึง อำเภอท่าลี่ อำเภอนาแห้ว อำเภอเชียงคาน อำเภอผาขาว อำเภอปากชม อำเภอด่านซ้าย และอำเภอนาด้วง รวม 44 ตำบล 332 หมู่บ้าน ประชาชนได้รับความเดือดร้อน 2,289 ครัวเรือน 6,417 คน สถานการณ์อุทกภัยในจังหวัดพิจิตรและเลยคลี่คลายแล้ว อยู่ระหว่างการฟื้นฟู ส่วนจังหวัดสุโขทัยยังคงมีน้ำท่วมขังในพื้นที่อำเภอคีรีมาศ รวม 4 ตำบล โดยระดับน้ำลดลง

ทั้งนี้ กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยได้ร่วมกับหน่วยทหาร และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งให้การช่วยเหลือผู้ประสบภัยโดยด่วนแล้ว อย่างไรก็ตาม จากการตรวจสอบสภาพอากาศกับกรมอุตุนิยมวิทยา พบว่า มรสุมตะวันตกเฉียงใต้พัดปกคลุมทะเลอันดามัน และประเทศไทย ทำให้ภาคใต้และภาคตะวันออกยังคงมีฝนตกหนักบางแห่ง โดยในช่วงวันที่ 24-25 พฤษภาคม 2560 จะมีหย่อมความกดอากาศต่ำปกคลุมประเทศเวียดนามและอ่าวตังเกี๋ย ทำให้ประเทศไทยมีฝนตกเพิ่มขึ้นและฝนตกหนักบางแห่ง ปภ.จึงได้ประสานจังหวัดภาคใต้และภาคตะวันออก รวมถึงศูนย์ป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยเขต และสำนักงานป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยจังหวัดในพื้นที่เสี่ยงภัย จัดเจ้าหน้าที่ติดตามสภาพอากาศและเฝ้าระวังสถานการณ์ภัยอย่างใกล้ชิด อีกทั้งจัดเตรียมวัสดุอุปกรณ์และชุดเคลื่อนที่เร็วให้พร้อมปฏิบัติการเผชิญเหตุและช่วยเหลือผู้ประสบภัยอย่างทันท่วงที ตลอดจนแจ้งเตือนประชาชนในพื้นที่เสี่ยงภัยให้ระมัดระวังอันตรายจากฝนตกหนักถึงหนักมาก อาจทำให้เกิดน้ำท่วมฉับพลัน และ น้ำป่าไหลหลาก โดยติดตามพยากรณ์อากาศและประกาศเตือนภัยจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง พร้อมปฏิบัติตามอย่างเคร่งครัด หากได้รับความเดือดร้อนจากสถานการณ์ภัย สามารถติดต่อขอความช่วยเหลือได้ทางสายด่วนนิรภัย 1784 ตลอด 24 ชั่วโมง เพื่อประสานให้การช่วยเหลือโดยด่วนต่อไป

4จว.ยังอ่วมน้ำไหลหลาก-ล้นตลิ่ง ปภ.เตือน7จังหวัดรับมือระลอกใหม่

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์แนวหน้า

http://www.naewna.com/local/271535

วันจันทร์ ที่ 22 พฤษภาคม พ.ศ. 2560, 20.26 น.

22 พ.ค.60 นายฉัตรชัย พรหมเลิศ อธิบดีกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย (ปภ.) กล่าวสรุปสถานการณ์น้ำไหลหลาก และเอ่อล้นตลิ่งจากฝนที่ตกหนักต่อเนื่องในหลายพื้นที่ ว่า ตั้งแต่วันที่ 16 – 22 พ.ค.มีพื้นที่เกิดสถานการณ์อุทกภัยใน 14 จังหวัด รวม 49 อำเภอ 168 ตำบล 963 หมู่บ้าน ประชาชนได้รับผลกระทบ 20,636 ครัวเรือน ผู้เสียชีวิต 3 ราย ปัจจุบันสถานการณ์คลี่คลายแล้ว 10 จังหวัด ยังคงมีสถานการณ์น้ำไหลหลากและน้ำล้นตลิ่ง 4 จังหวัด 21 อำเภอ 103 ตำบล 792 หมู่บ้าน แยกเป็น ภาคเหนือ 2 จังหวัด ได้แก่ สุโขทัย , พิจิตร  ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ 1 จังหวัด ได้แก่ เลย ภาคใต้ 1 จังหวัด ได้แก่ สุราษฎร์ธานี สถานการณ์ในภาพรวมระดับน้ำท่วมลดลงทุกพื้นที่ แต่ยังคงท่วมขังในพื้นที่ลุ่มต่ำทางการเกษตร

ทั้งนี้ จากการตรวจสอบสภาพอากาศกับกรมอุตุนิยมวิทยาพบว่า บริเวณประเทศไทยตอนบนมีฝนน้อยลง ส่วนภาคใต้ และภาคตะวันออกยังคงมีฝนตกต่อเนื่องและฝนตกหนักบางแห่งในระยะนี้ จึงได้ประสานจังหวัดภาคใต้และภาคตะวันออก รวมถึงศูนย์ป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยเขต และสำนักงานป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยจังหวัดในพื้นที่เสี่ยงภัย จัดเจ้าหน้าที่ติดตามสภาพอากาศและเฝ้าระวังสถานการณ์ภัยอย่างใกล้ชิด

“ฝนที่ตกหนักต่อเนื่องในพื้นที่ตอนบนของประเทศทำให้มีน้ำหลากจากพื้นที่ตอนบนของลุ่มน้ำเจ้าพระยา คาดว่าสถานการณ์น้ำในเขื่อนเจ้าพระยามีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้น ตั้งแต่บริเวณท้ายเขื่อนเจ้าพระยา อ.สรรพยา จ.ชัยนาท ถึงบริเวณ ต.บางหลวงโดด อ.บางบาล และ ต.บ้านกระทุ่ม ต.หัวเวียง อ.เสนา จ.พระนครศรีอยุธยา โดยควบคุมปริมาณการไหลของน้ำผ่านเขื่อนเจ้าพระยาให้อยู่ในเกณฑ์ 700 ลูกบาศก์เมตรต่อวินาที เข้าสู่พื้นที่ชลประทานฝั่งตะวันตกและตะวันออกของเขื่อนเจ้าพระยา อาจส่งผลให้เกิดน้ำล้นตลิ่งในพื้นที่ริมฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยา กรม ปภ.จึงได้ประสาน 7 จังหวัดริมฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยา ได้แก่ อุทัยธานี ชัยนาท สิงห์บุรี ลพบุรี อ่างทอง พระนครศรีอยุธยา และสุพรรณบุรี เตรียมพร้อมรับมือภาวะน้ำล้นตลิ่ง โดยจัดเจ้าหน้าที่ติดตามสถานการณ์น้ำอย่างต่อเนื่อง” อธิบดี ปภ.กล่าว

ยื่นหนังสือถึง’ปธน.สีจิ้นผิง’ หยุดระเบิดน้ำโขง-แนะปรับขนาดเรือ

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์แนวหน้า

http://www.naewna.com/local/271510

วันจันทร์ ที่ 22 พฤษภาคม พ.ศ. 2560, 18.56 น.

22 พ.ค.2560 ผู้สื่อข่าวรายงานจากจังหวัดเชียงรายว่า เครือข่ายธรรมชาติและวัฒนธรรมลุ่มน้ำโขง-ล้านนา (กลุ่มรักษ์เชียงของ) จ.เชียงราย นำโดยนายนิวัฒน์ ร้อยแก้ว ประธานเครือข่ายฯ ได้ยื่นหนังสือผ่านสถานเอกอัคราชฑูต สาธารณรัฐประชาชนจีนประจำประเทศไทย โดยเป็นหนังสือที่ขอให้ไปถึงประธานาธิบดี สีจิ้นผิง แห่งสาธารณรัฐประชาชนจีน อย่างเป็นทางการ โดยมีเนื้อหาคล้ายกับประกาศเชียงของที่เคยมีการประกาศ เมื่อครั้นรวมตัวกันไปยังบริเวณริมแม่น้ำโขง ต.ริมโขง อ.เชียงของ จ.เชียงราย เพื่อคัดค้านการสำรวจแม่น้ำโขงของเรือเอกชนจีน ที่เข้าไปปฏิบัติการบริเวณดังกล่าวเมื่อวันที่ 15 พ.ค.ที่ผ่านมาว่าแม่น้ำโขงเป็นแม่น้ำที่ผ่านหลายประเทศ และแต่ละประเทศใช้ประโยชน์ร่วมกันมานาน แต่ในช่วง 29 ปีที่ผ่านมา มีการสร้างเขื่อนกั้นแม่น้ำโขงหลายแห่งในมณฑลยูนนานถึง 7 แห่ง ทำให้ท้ายน้ำเผชิญกับความผันผวนของระดับน้ำและได้รับผลกระทบ

โดยหนังสือระบุถึงความจำเป็นของชาวริมฝั่งแม่น้ำโขง ที่ใช้ประโยชน์จากการประมง ร่อนทอง เกษตรริมฝั่ง คมนาคม วัฒนธรรมและประเพณีที่เชื่อมโยงถึงกัน ดังนั้นหากมีการเปลี่ยนแปลงก็จะได้รับผลกระทบโดยตรง และปัจจุบันก็มีความกังวลกรณีบริษัทจากประเทศจีน ได้สำรวจแม่น้ำโขงภายใต้โครงการปรับปรุงร่องน้ำ เพื่อการเดินเรือพาณิชย์แม่น้ำล้านช้าง-แม่น้ำโขง ปี 2015-2025 โดยคณะสำรวจจากประเทศจีนบริเวณพรมแดนไทย-สปป.ลาว จึงเกรงว่าจะเป็นบ่อเกิดของปัญหาที่ทำให้การอยู่ร่วมกันยากยิ่งขึ้นในอนาคต

หนังสือยังแจ้งว่า การคมนาคมในปัจจุบันสามารถทำได้หลายเส้นทางทั้งทางบก รถไฟ และทางเรือดังกล่าวโดยไม่ต้องปรับปรุงร่องน้ำ ระเบิดเกาะแก่ง ขุดลอกสันดอนทรายกลางแม้นำโขง เพียงแต่ปรับขนาดเรือให้สอดคล้องกับระบบนิเวศกายภาพของแม่น้ำโขงเท่านั้น จึงอยากให้ประธานาธิบดีของประเทศจีน ได้มองการอยูร่วมกันของพี่น้องในลุ่มน้ำโขงอย่างสันติ ดูแลรักษาแม่น้ำโขงร่วมกันและหากมุ่งทำลายก็คงไม่มีใครได้ประโยชน์ ท้ายหนังสือระบุว่า “การค้าขายต้องควบคู่กับการรักษามิตรภาพและอยู่ร่วมกันอย่างสันติ มุ่งเน้นการพัฒนาอย่างสร้างสรรค์”

รายงานข่าวแจ้งว่าตั้งแต่วันที่ 19 พ.ค.ที่ผ่านมา ได้มีบริษัท CCCC Second Harbor Consultant จำกัด ของจีนจำนวน 3 ลำ ได้เข้าสำรวจแม่น้ำโขงเขตติดประเทศไทย-สปป.ลาว ด้าน จ.เชียงราย ระยะทาง 96 กิโลเมตร จำนวน 15 จุด กำหนดระยะเวลา 55 วัน โดยเป็นการสำรวจเพื่อดำเนินโครงการระยะที่ 2 ที่อยู่ภายใต้ข้อตกลงการเดินเรือพาณิชย์แม่น้ำโขงตอนบน 4 ชาติคือไทย สปป.ลาว จีน และเมียนมา ที่มีมาตั้งแต่ปี 2543 ทั้งนี้ก่อนสำรวจทางการไทยแจ้งว่า หลังสำรวจจะต้องศึกษาผลกระทบและนำเสนอเพื่อพิจารณาก่อนดำเนินการก่อนด้วย

 

ลงทุนซ่อมเขื่อนแม่สรวย200ล้าน ยันปี61เก็บน้ำเต็ม-แข็งแรงรับมือแผ่นดินไหว

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์แนวหน้า

http://www.naewna.com/local/271419

วันจันทร์ ที่ 22 พฤษภาคม พ.ศ. 2560, 13.48 น.

22 พ.ค.2560 ผู้สื่อข่าวรายงานจากจังหวัดเชียงรายว่า จากกรณีที่กรมชลประทานได้ทำการซ่อมแซมเขื่อนแม่สรวย ซึ่งเป็นเขื่อนกั้นแม่น้ำสรวย ต.แม่สรวย อ.แม่สรวย จ.เชียงราย เนื่องจากมีการร้องเรียนเรื่องความเสียหาย อันเกิดจากเหตุการณ์แผ่นดินไหวเมื่อวันที่ 5 พ.ค.2557 และเกิดอาร์ฟเตอร์ช็อคตามมากว่า 1,000 ครั้ง ล่าสุดพบว่าการซ่อมแซมยังคงดำเนินการไปอย่างต่อเนื่อง โดยมีกำหนดซ่อมแซมแล้วเสร็จในปี 2560 อย่างไรก็ตามทางโครงการส่งน้ำและบำรุงรักษาแม่ลาว สำนักชลประทานที่ 2 ซึ่งรับผิดชอบเขื่อนได้มีการปล่อยระบายน้ำส่วนใหญ่ ออกสู่ท้ายน้ำและคงเหลือปริมาณน้ำในเขื่อนเพียงเล็กน้อย ซึ่งสามารถมองเห็นได้อย่างชัดเจน

นายณรงค์ศักดิ์ โอสถธนากร ผู้ว่าราชการ จ.เชียงราย เปิดเผยภายหลังตรวจดูเขื่อนแม่สรวย ว่าสาเหตุที่ระดับน้ำในเขื่อนแม่สรวยแห้งโดยไม่กักเก็บน้ำเอาไว้อย่างเต็มที่ เนื่องจากหลังจากเหตุการณ์แผ่นดินไหวในปี 2557 ดังกล่าวทางเจ้าหน้าที่ได้มีการระบายน้ำออกจนเกือบหมดเพื่อรักษาสภาพและจะได้ทำการซ่อมแซมเขื่อนได้อย่างเต็มที่ โดยได้มีการกักเก็บน้ำเอาไว้ใช้บ้างบางส่วนแม้ว่าหากกักเก็บน้ำได้อย่างเต็มระบบแล้ว จะทำให้มีปริมาณน้ำได้กว่า 73 ล้านลูกบาศก์เมตร และระดับน้ำสูงกว่า 507 เมตร ซึ่งปริมาณน้ำดังกล่าวสามารถหล่อเลี้ยงพื้นที่ทางการเกษตรใน 4 อำเภอคือ อ.แม่สรวย อ.พาน อ.แม่ลาว จ.เชียงราย และ อ.แม่ใจ จ.พะเยา ทำให้เกษตรกรจะได้ประโยชน์อย่างมากก็ตาม

นายณรงค์ศักดิ์ กล่าวอีกว่า สำหรับการซ่อมแซมเขื่อนนั้นดำเนินการมาตั้งแต่ปี 2559 โดยในปีแรกได้มีการซ่อมแซมตรงบานประตูน้ำโดยใช้งบประมาณ 20 ล้านบาท ซึ่งปัจจุบันดำเนินการแล้วเสร็จไปแล้ว ปัจจุบันกำลังดำเนินการบริเวณขอบเขื่อนทั้งหมดและพัฒนาในภาพรวมโดยในปี 2560 นี้จะใช้งบประมาณอีกราว 80-90 ล้านบาท และปี 2561 จะจัดระบบทั้งหมดให้เข้าที่ซึ่งจะใช้งบประมาณอีกประมาณ 100 ล้านบาท ก็จะแล้วเสร็จ ซึ่งก็จะสามารถยืนยันได้ว่าเขื่อนแม่สรวยไม่ได้มีสภาพเสียหายจากเหตุการณ์แผ่นดินไหวดังกล่าวมากนัก และเมื่อซ่อมแซมแล้วเสร็จก็จะยิ่งแข็งแรงมากยิ่งขึ้น ทำให้หากเกิดแผ่นไหวขึ้นบ้างก็คงจะไม่มีผลกระทบอีกแล้ว

“การที่รัฐลงทุนอีก 200 กว่าล้านบาทเพื่อให้เขื่อนครบระบบดังกล่าว จะทำให้สามารถกักเก็บน้ำได้อย่างเต็มที่ตามปริมาณดังกล่าวได้ตั้งแต่ปี 2561 เป็นต้นไป หลังจากที่ในปัจจุบันกักเก็บน้ำเอาไว้ใช้เพีง 10% ของปริมาณที่สามารถกักเก็บได้ทั้งหมดหรือเพียงประมาณ 7.4 ล้านลูกบาศก์เมตร ดังนั้นในช่วงนี้ประชาชนในพื้นที่ 4 อำเภอดังกล่าวอาจจะเหนื่อยเรื่องน้ำกันบ้างในช่วงนี้เพราะน้ำอีก 90% ยังกักเก็บไม่ได้ แต่ยืนยันว่าปีหน้าจะมีน้ำเต็มระบบแน่นอน” นายณรงค์ศักดิ์ กล่าว

 

ทส.ยุค”4.0″เปิดตัวแอพน้ำบาดาล ระบบกระจายน้ำพลังแสงอาทิตย์

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์แนวหน้า

http://www.naewna.com/local/271405

วันจันทร์ ที่ 22 พฤษภาคม พ.ศ. 2560, 12.50 น.

กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ประกาศเคลื่อนสู่ยุค “ทส.4.0” เปิดตัว “ระบบกระจายน้ำบาดาลพลังแสงอาทิตย์” (OVOWS) พร้อมแอพพลิเคชั่นใหม่บนมือถือ  “Badan4thai” กระจายข้อมูลแหล่งน้ำบาดาลสู่ประชาชน ทั้งการค้นหาแหล่งน้ำ แผนที่น้ำบาดาลรายจังหวัด รวมทั้งการใช้ประโยชน์อื่นๆ ย้ำเป้าหมายสำคัญช่วยสนับสนุนการบริหารทรัพยากรน้ำบาดาลอย่างมีประสิทธิภาพ และให้ประชาชนเข้าถึงน้ำอย่างเท่าเทียม

พล.อ.สุรศักดิ์ กาญจนรัตน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เปิดเผยว่า รัฐบาลได้วางแผนแม่บทการพัฒนาประเทศโดยวางเป้าหมายขับเคลื่อนไปสู่ “Thailand 4.0” ซึ่งมีความมั่งคง มั่งคั่ง และยั่งยืน ภายใน 20 ปีข้างหน้า (พ.ศ.2560-2579) ตามยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี โดยมีฐานคิดหลัก คือ การมุ่งขับเคลื่อนการพัฒนาด้านต่างๆของประเทศด้วยเทคโนโลยี ความคิดสร้างสรรค์ และนวัตกรรม

กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (ทส.) ในฐานะหน่วยงานภาครัฐที่มีภารกิจด้านการปกป้องดูแลและบริหารจัดการทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมของประเทศ จึงได้รับนโนยายดังกล่าวมาผนวกเข้าเป็นส่วนหนึ่งของการกำหนดทิศทางการขับเคลื่อนภารกิจของหน่วยงาน โดยวางเป้าหมายก้าวไปสู่ความเป็น “ทส.4.0” ด้วยการส่งเสริมการพัฒนาเทคโนโลยี ความคิดสร้างสรรค์ และนวัตกรรม เพื่อสนับสนุนการบริหารจัดการทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมของประเทศให้เกิดประสิทธิภาพและความยั่งยืน

โดยการนำเทคโนโลยีและนวัตกรรมมาส่งเสริมการใช้น้ำให้เกิดประโยชน์สูงสุด นับเป็นแนวนโยบายหนึ่งที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเล็งเห็นถึงความสำคัญ และได้มอบหมายให้ กรมทรัพยากรน้ำบาดาล ดำเนินโครงการระบบกระจายน้ำบาดาลด้วยพลังงานแสงอาทิตย์ หรือ OVOWS (One Village One Water Supply) โดยต่อยอดมาจากโครงการน้ำบาดาลเพื่อการเกษตร ด้วยการเจาะบ่อน้ำบาดาลศักยภาพไม่ต่ำกว่า 10 ลูกบาศก์เมตรต่อชั่วโมง จำนวน 1 บ่อ พร้อมกับก่อสร้างหอถังเก็บน้ำความจุ 30 ลูกบาศก์เมตร และวางระบบสูบน้ำพลังงานแสงอาทิตย์พร้อมทั้งระบบกระจายน้ำ เพื่อรองรับการจัดหาแหล่งน้ำและกระจายน้ำในระดับไร่นาและชุมชนให้ได้อย่างทั่วถึงและเท่าเทียม

“จากผลการดำเนินงานในช่วงที่ผ่านมา ปรากฏว่า สามารถบรรเทาปัญหาการขาดแคลนน้ำในพื้นที่เกษตรกรรมนอกเขตชลประทานที่มีแหล่งน้ำผิวดินไม่เพียงพอ โดยเกษตรกรจะมีปริมาณน้ำต้นทุนไม่ต่ำกว่าปีละ 116,800 ลูกบาศก์เมตรต่อแห่ง ทั้งนี้ครัวเรือนได้รับประโยชน์มากกว่า 10 ครัวเรือนต่อแห่ง และพื้นที่เกษตรกรรมได้รับประโยชน์ 50-100 ไร่ต่อแห่ง”

รมว.ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กล่าวต่อว่า นอกจากการพัฒนาโครงการระบบกระจายน้ำบาดาลด้วยพลังงานแสงอาทิตย์แล้ว กรมทรัพยากรน้ำบาดาลยังได้พัฒนาแอพพลิเคชั่นสำหรับโทรศัพท์มือถือ “Badan4thai” เพื่อให้ประชาชนทราบถึงแนวทางการพัฒนาใช้ประโยชน์จากทรัพยากรน้ำบาดาล ได้แก่ การค้นหาบ่อน้ำบาดาล แผนที่น้ำบาดาลรายจังหวัด รวมทั้งข้อมูล ข่าวสารเรื่องน้ำบาดาล และเป็นการเพิ่มช่องทางการติดต่อ เพื่ออำนวยความสะดวกให้กับประชาชนทั่วไปมากยิ่งขึ้น

“จะเห็นได้ว่า กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ก้าวไปข้างหน้าเข้าสู่ Thailand 4.0 ด้วยคุณภาพการบริการ มุ่งประสิทธิผลการดำเนินงาน เพื่อคุณภาพชีวิตที่ดีของประชาชน ซึ่งโครงการ OVOWS และ Badan4thai ถือเป็นอีกหนึ่งความสำเร็จในการก้าวเข้าสู่ความเป็น ทส. 4.0 ด้วยเช่นกัน และที่สำคัญ ยังถือว่า การดำเนินการทั้ง 2 โครงการดังกล่าว ไม่เพียงแต่จะเป็นการสนับสนุนการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำบาดาลให้เป็นไปได้อย่างมีประสิทธิภาพเท่านั้น แต่ยังเป็นการช่วยให้ประชาชนสามารถเข้าถึงน้ำอุปโภคบริโภคได้อย่างเท่าเทียมอีกด้วย” รมว.ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กล่าว