ประเทศไทยบนทางสองแพร่ง เกษตรอินทรีย์หรือพืชจีเอ็มโอ?

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์คมชัดลึก

http://www.komchadluek.net/detail/20150906/212846.html

การศึกษา-สาธารณสุข-สิ่งแวดล้อม : ข่าวทั่วไป
วันอาทิตย์ที่ 6 กันยายน 2558
ประเทศไทยบนทางสองแพร่ง เกษตรอินทรีย์หรือพืชจีเอ็มโอ?

หลากมิติเวทีทัศน์ : ประเทศไทยบนทางสองแพร่ง เกษตรอินทรีย์หรือพืชจีเอ็มโอ? : โดย…วิฑูรย์ เลี่ยนจำรูญ

                        ก่อนวันที่ 1 ตุลาคม 2558 ประเทศที่เป็นสมาชิกสหภาพยุโรป(อียู) สามารถยื่นต่อคณะกรรมการของอียู (EU Commission) เพื่อประกาศแบนพืชจีเอ็มโอตามกฎระเบียบใหม่ที่อนุญาตให้แต่ละประเทศสามารถแบนการพืชจีเอ็มโอได้ แม้ว่าจีเอ็มโอบางชนิดได้ผ่านความเห็นชอบจากการประเมินผลกระทบด้านสุขภาพและสิ่งแวดล้อมจากหน่วยงานด้านความปลอดภัยทางอาหารของอียู (European Food Safety Authority -EFSA) ก็ตาม
                        เป็นที่ทราบกันดีว่าระเบียบใหม่ของอียู ซึ่งผ่านความเห็นชอบด้วยคะแนนเสียงถล่มทลายเหนือความคาดหมาย (ด้วยคะแนนเสียง 480 ต่อ 159 และงดออกเสียง 58 ในรัฐสภายุโรป) เกิดขึ้นจากกระแสของประชาชนในสหภาพยุโรปที่มีแนวโน้มต่อต้านพืชและอาหารดัดแปลงพันธุกรรมมากขึ้น แทนที่จะลดลงตามความคาดหวังของกลุ่มบริษัทที่ผลักดันพืชจีเอ็มโอ เช่น มอนซานโต้ ดูปองท์ ซึ่งมีสำนักงานใหญ่อยู่ในสหรัฐ หรือ ซินเจนทา ยักษ์ใหญ่ด้านเคมีเกษตรที่มีฐานอยู่ในยุโรปเอง
                        ภายใต้กฎระเบียบใหม่ กลุ่มประเทศสมาชิกอียู ได้ทยอยประกาศแบนจีเอ็มโอ โดยเริ่มต้นจากคำประกาศของรัฐบาลเยอรมัน ตามด้วยสกอตแลนด์ และเมื่อวันที่ 27 สิงหาคม 2558 ที่ผ่านมา กรีซและลัตเวียได้ประกาศใช้สิทธิแบนการปลูกพืชจีเอ็มโอเสนอต่อคณะกรรมการยุโรป คาดการณ์ว่าก่อนวันที่ 1 ตุลาคม 2558 จะมีประเทศสมาชิกอียูอีกหลายประเทศ เช่น ฝรั่งเศส ลักเซมเบิร์ก ออสเตรีย ฮังการี ฯลฯ จะเข้าร่วมยกเลิกการปลูกจีเอ็มโอ
                        จีเอ็มโอ(GMO)หรือสิ่งมีชีวิตดัดแปลงพันธุกรรม เกิดขึ้นจากการนำเอายีนของสิ่งมีชีวิตที่มีคุณสมบัติเฉพาะตัดต่อพันธุกรรมใส่ในสิ่งมีชีวิต เป้าหมายเพื่อหวังผลบางประการ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ให้สามารถสร้างสารพิษที่ฆ่าหนอนแมลงที่มากัดกิน และต้านทานสารพิษปราบวัชพืชได้ เป็นต้น เริ่มมีการปลูกพืชจีเอ็มโอเป็นการค้าครั้งแรกในสหรัฐเมื่อปี 1996 แต่ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมาได้เกิดกระแสการถกเถียงเกี่ยวกับพืชจีเอ็มโอไปทั่วโลก รวมทั้งในประเทศไทยของเรา โดยการตั้งคำถามเกี่ยวกับจีเอ็มโอรวมศูนย์ เกี่ยวกับความกังวลผลกระทบระยะยาว เกี่ยวกับสุขภาพและสิ่งแวดล้อม และปัญหาการผูกขาดเมล็ดพันธุ์เพราะมีบริษัทยักษ์ใหญ่เพียงบริษัทเดียวครอบครองตลาดเมล็ดพันธุ์จีเอ็มโอถึง 90% ของตลาดทั้งหมด
                        สำหรับความกังวลเกี่ยวกับปัญหาด้านสุขภาพนั้น เมื่อเร็วๆ นี้ ศ.เชลดอน คริมสกี้  จากมหาวิทยาลัยทัฟท์ส สหรัฐอเมริกา ได้สำรวจงานวิจัยที่ตีพิมพ์ในวารสารคุณภาพที่ผ่านกระบวนการที่ให้มีคณะผู้เชี่ยวชาญ สำหรับแต่ละสาขา เป็นผู้พิจารณาตรวจสอบก่อน พบว่าระหว่างปี 2008-2014 มีบทความวิจัยทางวิชาการถึง 26 รายงาน ที่ผลการทดลองเชื่อมโยงระหว่างอาหารจีเอ็มโอกับผลกระทบในแง่ลบต่อสุขภาพของสัตว์ทดลอง ทั้งนี้ไม่นับปัญหาผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม-สุขภาพเชิงประจักษ์ ที่พบว่าพืชจีเอ็มโอที่ปลูกในสหรัฐนั้น ไม่ได้ทำให้มีการใช้สารเคมีปราบศัตรูพืชลดลงแต่ประการใด เพราะยิ่งปลูกจีเอ็มโอมากยิ่งต้องฉีดสารพิษปราบวัชพืชมากขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งสารไกลโฟเสทซึ่งองค์การอนามัยโลกประกาศเมื่อเร็วๆ นี้ว่า เป็นสารที่น่าจะก่อมะเร็ง
                        กระแสการต่อต้านพืชและอาหารจีเอ็มโอจึงเป็นกระแสที่นับวันยิ่งเติบโตมากยิ่งขึ้น แทนที่จะลดลง ตัวอย่างเช่น จากการสำรวจของคณะกรรมการยุโรปพบว่าเมื่อเปรียบเทียบระหว่างปีแรกๆ ที่มีการนำจีเอ็มโอมาปลูกเชิงพาณิชย์ จนมาถึงปีหลังๆ พบว่า คนในสเปนเคยสนับสนุนจีเอ็มโอถึง 66% เมื่อปี 1996 แต่ในปี 2010 กลับลดเหลือเพียง 35% คนเยอรมันเคยสนับสนุนจีเอ็มโอถึง 47% แต่ลดลงเหลือเพียง 22% ไม่จำเป็นต้องพูดถึงในฝรั่งเศสที่เคยสนับสนุน 43% ลดเหลือ 16% เท่านั้น ปรากฏการณ์นี้เกิดขึ้นกับประชาชนในประเทศยุโรปตะวันออก เช่น ฮังการี โปแลนด์ ลัตเวีย ฯลฯ ด้วย หากประเทศไทยจะตัดสินใจปลูกพืชจีเอ็มโอก็ควรตระหนักว่า เราจะสูญเสียตลาดการส่งออกในประเทศยุโรปแน่ๆ
                        ที่น่าสนใจมากที่สุดคือ การต่อต้านอาหารจีเอ็มโอได้ขยายมายังสหรัฐอเมริกาซึ่งเป็นเมืองหลวงและประเทศที่ให้กำเนิดจีเอ็มโอด้วย ประชาชนอเมริกันตื่นขึ้นมาหลังจากที่รัฐบาลของพวกเขาอนุญาตให้ปลูกพืชจีเอ็มโอมานานถึง 18 ปี การสำรวจความเห็นของประชาชนอเมริกันโดยโพลล์หลายสำนักพบว่า คนอเมริกันมากกว่า 90% เรียกร้องให้รัฐบาลตัวเองติดฉลาก และประชาชนมากกว่าครึ่งหนึ่งตอบแบบสอบถามผลการสำรวจว่าถ้ามีทางเลือกหรือทราบจากฉลาก พวกเขาจะไม่เลือกผลิตภัณฑ์ที่มาจากการดัดแปลงพันธุกรรม
                        ศิลปินอเมริกันในตำนานอย่าง นีล ยัง ถึงกับทำอัลบั้มใหม่ของตนเองเพื่อต่อต้านจีเอ็มโอเป็นการเฉพาะ ไม่นับดาราฮอลลีวู้ดเป็นจำนวนมาก เช่น กวินเน็ท พัลโทรว, ซูซาน ซาแรนดอน, ดาริล ฮันนาห์, ไมเคิล เจฟอกซ์, อีไลจา วู้ด, วิเวียน เวสต์วูด, แดนนี่ เดอวีโต เป็นต้น ที่ได้ลุกขึ้นมาเรียกร้องให้มีการบังคับติดฉลากจีเอ็มโอ
                        กระแสการต่อสู้ระหว่างฝ่ายสนับสนุนจีเอ็มโอและฝ่ายคัดค้านกำลังดำเนินไปอย่างดุเดือด ทั้งในสหรัฐอเมริกา ยุโรป และในประเทศไทย ฝ่ายหนึ่งมาในนามของความก้าวหน้าทางเทคโนโลยี โดยมีบรรษัทยักษ์ใหญ่ที่ขายเมล็ดพันธุ์จีเอ็มโอและสารพิษกำจัดศัตรูพืชอยู่ข้างหลัง ในขณะที่อีกฝ่ายคือผู้บริโภคและประชาชนที่กังวลเกี่ยวกับผลกระทบต่อสุขภาพและสิ่งแวดล้อม รวมทั้งกังวลกับปัญหาการผูกขาดระบบเกษตรและอาหารระยะยาว
                        ประสบการณ์ในสหรัฐนับว่าน่าจับตามองมาก เมื่อประชาชนในรัฐต่างๆ เช่น เมน คอนเนตทิคัท และวอร์มอนต์ ลงมติบังคับให้มีการติดฉลากโดยไม่ต้องรอกฎหมายจากรัฐบาลกลาง กลุ่มอุตสาหกรรมอาหารและเมล็ดพันธุ์ตอบโต้โดยร่วมกับกรรมาธิการเกษตรในสภาผู้แทนราษฎรซึ่งมีสมาชิกทั้งพรรคเดโมแครตและรีพับลิกัน (ซึ่งทราบกันโดยทั่วไปว่ากลุ่มเหล่านี้ได้รับเงินสนับสนุนในการหาเสียงจากอุตสาหกรรมเกษตรและอาหารเป็นจำนวนมาก) ผลักดันกฎหมายฉบับหนึ่งชื่อ The Safe and Accurate Food Labeling Act of 2015 ซึ่งจะมีผลให้รัฐต่างๆ ที่ออกกฎหมายหรือกำลังจะออกกฎหมายบังคับติดฉลากจีเอ็มโอเหมือนกับยุโรปต้องกลายเป็นหมัน กฎหมายนี้ผ่านความเห็นชอบของสภาผู้แทนราษฎรแล้วเมื่อวันที่ 23 กรกฎาคม 2558 แต่จะออกมาบังคับใช้ได้จะต้องผ่านความเห็นชอบของวุฒิสภา และการลงนามของประธานาธิบดีโอบามาเสียก่อน กลุ่มรณรงค์เพื่อสิทธิผู้บริโภคและประชาชนเรียกกฎหมายนี้ว่า “กฎหมายมืด” DARK Act ซึ่งย่อมาจากคำว่า Deny Americans the Right to Know หรือ “กฎหมายปิดหูปิดตาคนอเมริกันไม่ให้รู้ว่าอาหารมาจากไหน” นั่นเอง
                        ท่ามกลางกระแสดังกล่าว ผู้บริโภคในสหรัฐได้หันหลังให้แก่อาหารที่ผลิตจากจีเอ็มโอไปให้การอุดหนุนผลิตภัณฑ์จากเกษตรกรรมอินทรีย์และสินค้าที่ติดฉลากว่าเป็น Non-GMO แทนพวกเขากดดันอย่างหนักให้ผลิตภัณฑ์ที่เป็นที่รู้จักแพร่หลายของ Cheerios, Similac และ Chipotle ให้เปลี่ยนมาใช้วัตถุดิบที่ปราศจากจีเอ็มโอในการผลิตอาหาร กาแฟสตาร์บัค และอีกหลายยี่ห้อสินค้า กลายเป็นเป้าหมายให้เปลี่ยนมาใช้ผลผลิตที่ไม่ใช่จีเอ็มโอ
                        บรรษัทอาหารอาจชนะพวกเขาได้ชั่วคราวในรัฐสภาสหรัฐ แต่ในสงครามตลาด พวกเขาสามารถใช้สิทธิในฐานะผู้บริโภคเลือกซื้อผลิตภัณฑ์ที่เขาต้องการและสั่งสอนพวกบริษัทยักษ์ใหญ่ได้ แบบเดียวกับที่เกิดขึ้นในยุโรป
                        ตลาดสินค้าเกษตรอินทรีย์ในสหรัฐเติบโตอย่างก้าวกระโดดในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา เช่น ตลาดสินค้าอินทรีย์มียอดขายเพิ่มขึ้นเป็น 35,500 ล้านดอลลาร์ หรือมากกว่า 120,000 ล้านบาท เพิ่มขึ้นกว่า 11.5% จากปีก่อนหน้านั้น เช่นเดียวกับสินค้าที่ติดตราว่าปลอดจีเอ็มโอที่มีมูลค่า 10,000 ล้านดอลลาร์และมีอัตราการเติบโตอย่างรวดเร็ว
                        กลุ่มผลักดันจีเอ็มโอกำลังผลักดันให้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางการผลิตจีเอ็มโอในภูมิภาค รัฐบาลสหรัฐและบริษัทยักษ์ใหญ่ ร่วมกับกลุ่มสนับสนุนจีเอ็มโอเข้าพบผู้นำของประเทศ สนับสนุนคนไทยไปดูงาน ผลักดันให้มีการออกกฎหมายที่เอื้ออำนวยให้มีการปลูกพืชจีเอ็มโอโดยสะดวก เชิญฝรั่งที่พบว่าส่วนใหญ่มีความสัมพันธ์กับบริษัทยักษ์ใหญ่ที่มีผลประโยชน์จากจีเอ็มโอมาบรรยาย ฯลฯ ประเทศไทยกำลังอยู่ในทางสองแพร่ง ว่าจะเดินหน้าผลิตสินค้าราคาถูกๆ เดินตามประเทศอย่างอาร์เจนตินา หรือฟิลิปปินส์ ที่โหนขบวนรถไฟจีเอ็มโอตามก้นสหรัฐอเมริกา ซึ่งประชาชนในประเทศของตัวเองกำลังลุกขึ้นมาต่อต้านผลิตภัณฑ์จีเอ็มโอ หรือจะพัฒนาเกษตรกรรมเชิงนิเวศเพื่อรับมือการเปลี่ยนแปลงทั้งทางเศรษฐกิจและปัญหาสุขภาพ-สิ่งแวดล้อมที่รออยู่เบื้องหน้า
                        ประเทศไทยไม่จำเป็นต้องเดินตามก้นใคร แต่เราสามารถใช้สติปัญญาใช้จุดแข็งของประเทศที่มีฐานของความหลากหลายทางชีวภาพ สร้างระบบเกษตรกรรมและอาหารที่สะอาด ปลอดภัย มั่นคง และยั่งยืน เป็นประโยชน์ทั้งต่อเกษตรกรรายย่อยและผู้บริโภคในประเทศ และสามารถแข่งขันได้ในทุกตลาดสำคัญของโลกไปพร้อมๆ กันได้
———————–
(หลากมิติเวทีทัศน์ : ประเทศไทยบนทางสองแพร่ง เกษตรอินทรีย์หรือพืชจีเอ็มโอ? : โดย…วิฑูรย์ เลี่ยนจำรูญ)

‘ข้อบัญญัติท้องถิ่น’ จัดการปัญหาคนอยู่ร่วมกับป่า

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์คมชัดลึก

http://www.komchadluek.net/detail/20150830/212434.html

การศึกษา-สาธารณสุข-สิ่งแวดล้อม : ข่าวทั่วไป
วันอาทิตย์ที่ 30 สิงหาคม 2558
'ข้อบัญญัติท้องถิ่น' จัดการปัญหาคนอยู่ร่วมกับป่า

หลากมิติเวทีทัศน์ : พลวัตสิทธิชุมชน สู่ ‘ข้อบัญญัติท้องถิ่น’ จัดการปัญหาคนอยู่ร่วมกับป่า : โดย…โอฬาร อ่องระ มูลนิธิเพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืน ภาคเหนือ

                      ความสลับซับซ้อนของปัญหาที่เกิดขึ้นจากการเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจและสังคมที่เป็นไปอย่างรวดเร็วและไร้ทิศทาง ส่งผลให้ฐานทรัพยากรธรรมชาติซึ่งมีความสำคัญต่อการดำรงชีวิต รวมไปถึงการรักษาระบบนิเวศ ถูกบุกรุกขยายพื้นที่มากขึ้นเรื่อยๆ จนนำไปสู่ความขัดแย้งในการจัดการทรัพยากรธรรมชาติ ระหว่างชุมชนกับชุมชน ชุมชนกับกลุ่มทุนที่แสวงหาผลประโยชน์จากทรัพยากรธรรมชาติ ความขัดแย้งระหว่างชุมชนกับเจ้าหน้าที่รัฐที่เกี่ยวข้อง
                      อันทำให้เห็นว่า แนวทางการจัดการทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมในมิติเชิงเดี่ยว หรือการจัดการที่มุ่งเน้นไปที่องค์กรใดองค์กรหนึ่ง คงไม่เพียงพอและมีประสิทธิภาพ ต่อเงื่อนไขความสลับซับซ้อนของปัญหาที่ดำรงอยู่มาอย่างยาวนาน
                      จากข้อจำกัดที่เกิดมานั้นเอง ภาคส่วนต่างๆ ที่มีส่วนเกี่ยวข้องในระดับปฏิบัติการไม่ว่าจะเป็น ภาคประชาชน องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น นักวิชาการ องค์กรพัฒนาเอกชน หน่วยงานราชการที่เกี่ยวข้อง ได้มีการพัฒนากลไกความร่วมมือในรูปแบบต่างๆ ขึ้นมา เพื่อให้เป็นเครื่องมือในการบริหารจัดการและแก้ไขปัญหาทรัพยากรที่เกิดขึ้น
                      จุดเปลี่ยนที่มีความสำคัญต่อการพัฒนากลไกการทำงานที่นำไปสู่การจัดความสัมพันธ์ทางอำนาจในการจัดการทรัพยากรขึ้นมาใหม่ มาจากการกระจายอำนาจจากรัฐส่วนกลางสู่ท้องถิ่น โดยมีเจตนารมณ์ที่มุ่งลดบทบาทของรัฐส่วนกลางลงเหลือภารกิจหลักเท่าที่จำเป็น และให้ประชาชนในท้องถิ่นได้มีส่วนในการบริหารจัดการท้องถิ่นด้วยตนเองให้มากขึ้น บทบาทภารกิจ หน้าที่ ได้ถูกถ่ายโอนลงมายังองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ไม่ว่าจะเป็นการพัฒนาสาธารณูปโภค โครงสร้างพื้นฐาน การพัฒนาคุณภาพชีวิต สังคม รวมถึงการจัดการทรัพยากรธรรมชาติ ภายใต้หน้าที่ บทบาทนี้เอง ได้กำหนดให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น สามารถใช้อำนาจในการสนับสนุนกระบวนการในการจัดทำข้อบัญญัติท้องถิ่น เพื่อเป็นเครื่องมือในการแก้ไขปัญหาในขอบเขตการบริหารงานของท้องถิ่นนั้นๆ
                      กระบวนการการพัฒนาข้อบัญญัติท้องถิ่น ถือว่าเป็นส่วนหนึ่งของรูปแบบการกระจายอำนาจ ที่มุ่งเน้นไปที่กระบวนการมีส่วนร่วมของชุมชน องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น เครือข่ายองค์กรชาวบ้านเป็นผู้ดำเนินการ เรียนรู้ควบคู่กันไป ไม่ได้เกิดขึ้นจากกระบวนการตัดสินใจจากฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งโดยลำพัง แต่เป็นกระบวนการที่เริ่มต้นตั้งแต่การเรียนรู้ปัญหา วิเคราะห์ปัญหา สร้างความเข้าใจ จนมั่นใจว่า ข้อบัญญัติท้องถิ่น เป็นเครื่องมือที่จะทำให้ชุมชนอยู่ร่วมกับป่าได้อย่างยั่งยืน ซึ่งมีกรณีตัวอย่างในหลายพื้นที่ที่ได้แสดงให้เห็นถึงกระบวนการและหัวใจในการขับเคลื่อนกระบวนการพัฒนาข้อบัญญัติท้องถิ่น
                      อย่าง ต.ทาเหนือ อ.แม่ออน จ.เชียงใหม่ มีลักษณะภูมิประเทศเป็นที่ราบระหว่างหุบเขา ซึ่งเป็นพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบจากการเข้ามาสัมปทานตัดไม้ จากนโยบายการพัฒนาประเทศ รวมไปถึงการส่งเสริมพืชเศรษฐกิจ ส่งผลให้ทรัพยากรในผืนป่าต้นน้ำแม่ทา ในบริเวณ ต.ทาเหนือ เริ่มถูกขยายบุกรุกพื้นที่ป่ามากขึ้นเรื่อยๆ ด้วยปัจจัยภายในที่เชื่อมโยงกับระบบเศรษฐกิจภายในและภายนอกชุมชน
                      ขณะเดียวกันการเตรียมประกาศอุทยานแห่งชาติแม่ตะไคร้ ซึ่งซ้อนทับกับพื้นที่ป่าชุมชนและเขตพื้นที่ทำกินของชาวบ้านในพื้นที่ ต.ทาเหนือ ส่งผลให้เกิดการตื่นตัวและผลักดันให้เกิดการแก้ไขปัญหาการจัดการทรัพยากรในรูปแบบต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นการจัดทำข้อเสนอในเชิงนโยบายเพื่อให้เกิดมาตรการในการแก้ไขปัญหาผ่านการชุมนุมเรียกร้อง การรณรงค์ในทางสังคมในประเด็นสิทธิชุมชนในการจัดการทรัพยากรรวมถึงการผลักดันพระราชบัญญัติป่าชุมชน
                      ความล้มเหลวของกระบวนการผลักดันกฎหมายในระดับนโยบาย โดยเฉพาะร่างพระราชบัญญัติป่าชุมชน รวมถึงแนวทางในการแก้ไขปัญหาที่ดินทำกินในเขตป่า ได้ส่งผลให้เกิดการทบทวนการทำงานและการเคลื่อนไหวเพื่อให้เกิดการแก้ไขปัญหาในระดับท้องถิ่นอย่างจริงจัง และการมีคณะกรรมการเครือข่ายทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ต.ทาเหนือ เป็นการกำหนดยุทธศาสตร์ใหม่ ในการจัดการฐานทรัพยากรในระดับตำบล ภายใต้โครงสร้างความสัมพันธ์ทางอำนาจใหม่ที่อาศัยอำนาจ หน้าที่ โครงสร้างขององค์การบริหารส่วนตำบล เข้ามาเป็นกลไก รวมถึงเป็นเครื่องมือที่สำคัญในการสถาปนาอำนาจในการจัดการทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมในระดับท้องถิ่นขึ้นมาใหม่ ผ่านการตรากฎหมายท้องถิ่นหรือที่เรียกว่า “ข้อบัญญัติท้องถิ่น” ซึ่งเป็นกฎ กติกา ที่ออกโดยอาศัยอำนาจนิติบัญญัติขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ซึ่งอยู่ภายใต้พระราชบัญญัติว่าด้วยการเข้าชื่อเสนอข้อบัญญัติท้องถิ่น พ.ศ. 2542 โดยถูกตราขึ้นเพื่อวางหลักเกณฑ์และวิธีการของการเข้าชื่อเสนอข้อบัญญัติท้องถิ่น
                      ภายใต้กระบวนการพัฒนาให้เกิดข้อบัญญัติตำบล ว่าด้วยการจัดการทรัพยากรธรรมชาติในพื้นที่ ต.ทาเหนือ อ.แม่ออน จ.เชียงใหม่ พบว่าทำให้เกิดกระบวนการสำคัญถึง 9 ประการ คือ
                      1.การทบทวนต้นทุน ระบบข้อมูล การจัดการกลไกการทำงาน ทั้งต้นทุนที่มีอยู่เดิมกับต้นทุนที่เกิดขึ้นจากการเรียนรู้ การปฏิบัติการการจัดการทรัพยากรที่ผ่านมาไม่ว่าจะเป็น ด้านต้นทุนฐานข้อมูล(Data Base) ที่แสดงถึงพัฒนาการการจัดการทรัพยากรของชุมชน เช่น การจัดการป่าชุมชน การจัดการไฟป่า การจัดการแหล่งน้ำ ด้านต้นทุนกลไกในการบริหารจัดการทรัพยากรในชุมชน(Functional Base) และต้นทุนทางสังคม(Social Capital Base) เป็นต้นทุนที่สำคัญในการทำให้กระบวนการทำงานในพื้นที่ดำเนินการไปอย่างต่อเนื่อง
                      2.การปรับปรุงระบบฐานข้อมูลการจัดการทรัพยากร ป่าชุมชน ที่ดินทำกิน การจัดการเหมืองฝาย ไฟป่า โดยฐานข้อมูลดังกล่าวเป็นผลจากการทำงานของเครือข่ายป่าชุมชนที่ได้รวบรวม การดำเนินการดังกล่าวเป็นการขับเคลื่อนไปสู่การสร้างความชัดเจนในตัวฐานข้อมูล
                      3.การเรียนรู้ขั้นตอนและข้อกฎหมายที่เกี่ยวข้อง ซึ่งจำเป็นที่คณะทำงานที่จะต้องเรียนรู้ให้เข้าใจเป็นลำดับถัดมา เนื่องจากความรู้ความเข้าใจในเรื่องกฎหมายและขั้นตอนการดำเนินการตามบัญญัติของกฎหมาย นอกจากนี้ยังต้องเรียนรู้ให้เข้าใจหลักการของกฎหมาย และการเชื่อมโยงกันของกฎหมาย โดยมีกฎหมายรัฐธรรมนูญเป็นกรอบหลักในการเรียนรู้
                      4.การจัดทำระบบฐานข้อมูลชุมชนและทรัพยากร เป็นการจัดทำขึ้นเพื่อต้องการจะสื่อสารกับภาคีต่างๆ ภายนอก ในระยะแรก การจัดทำข้อมูลของชุมชนใช้เพียงกระดาษ ปากกา เขียนแผนที่ทำมือ กฎกติกาในการดูแลรักษาและใช้ประโยชน์ ในยุคที่ 2 เป็นการใช้แผนที่มาตราส่วน 1:50,000 เป็นฐานในการจัดทำแผนที่จำลองสามมิติ (Model) ใช้ในการนำเสนอการดำเนินการของชุมชนทำให้เกิดความชัดเจนมากขึ้นมาอีกระดับ ปัจจุบันมีความก้าวหน้าทั้งเทคโนโลยี และการประสานความร่วมมือกับภาคีต่างๆ ทำให้มีการนำเอาแผนที่ภาพถ่ายทางอากาศ สี 1:4,000 กับเครื่องหาตำแหน่งพิกัดดาวเทียมมาใช้ ทำให้ชุมชนทำการปรับปรุงข้อมูลของตนเองและสามารถใช้ประโยชน์ได้เป็นอย่างดี
                      5.การตรวจสอบข้อมูล เพื่อให้เกิดความชัดเจนของข้อมูลที่ได้จัดทำเป็นขั้นแรกก่อนที่จะทำการปรับปรุงแก้ไขในฐานข้อมูล GIS ว่ามีการเปลี่ยนแปลงสภาพพื้นที่และการใช้ประโยชน์หรือไม่ ประการสำคัญยังถือเป็นการตรวจสอบว่ากฎระเบียบ กติกาการใช้ประโยชน์ได้ถูกละเมิดหรือไม่ ซึ่งตามปกติชุมชนโดยแกนนำจะทำการลาดตระเวนตรวจสอบอยู่เป็นประจำ
                      6.การยกร่างข้อบัญญัติกระบวนการยกร่างข้อบัญญัติ มีวิธีการที่ต้องการการสนับสนุนจากนักวิชาการเนื่องจากสาระสำคัญที่ต้องมีการเรียนรู้ ตั้งแต่หลักคิด/หลักการของ(ร่าง)ข้อบัญญัติ เนื้อหารายละเอียด กลไก วิธีการดำเนินการจะต้องทำไปพร้อมกับการเรียนรู้กฎหมายที่ให้อำนาจ บทบาทหน้าที่แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ไม่ว่าจะเป็น กฎหมายรัฐธรรมนูญ พระราชบัญญัติที่เกี่ยวข้อง
                      7.การประชาพิจารณ์ร่างข้อบัญญัติ และการสนับสนุนร่างข้อบัญญัติของชุมชนประเด็นการจัดประชาพิจารณ์ร่างข้อบัญญัติฯ เป็นการกระทำเพื่อให้ประชาชนผู้มีส่วนได้ส่วนเสียได้รับทราบรายละเอียดและได้แสดงความคิดเห็นในเนื้อหาของร่างฯ เพื่อให้คณะทำงานได้ปรับปรุงตามความเห็นที่เป็นประโยชน์ก่อนนำเข้าสู่กระบวนการขั้นตอนการพิจารณาของสภา
                      8.การนำเข้าสู่กระบวนการของสภาองค์การบริหารส่วนตำบล
                      9.ขั้นตอนการขออนุมัติต่อนายอำเภอ เมื่อนายกองค์การบริหารส่วนตำบลได้รับมอบร่างข้อบัญญัติที่ผ่านการเห็นชอบ พร้อมบันทึกการประชุมสภา จากประธานสภาแล้ว ก็จะดำเนินจัดทำหนังสือขออนุมัติ ตามระเบียบองค์การบริหารส่วนตำบล
                      จากบทเรียนการขับเคลื่อนการเพื่อให้เกิดการปฏิรูปการจัดการฐานทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ในหลายพื้นที่ได้ส่งผลในทางรูปธรรมที่มีความชัดเจนถึงพลังในการปกป้องฐานทรัพยากรที่อยู่บนพื้นฐานของความเป็นธรรมและยั่งยืน
                      โจทย์ที่สำคัญที่ท้าทายคือกระบวนการที่สำคัญดังกล่าวจะสามารถสร้างพื้นที่ในทางนโยบาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งการพิจารณาร่างรัฐธรรมนูญที่มีเนื้อหาและเจตนารมณ์ในเรื่องสิทธิชุมชน การกระจายอำนาจ เพื่อนำไปสู่การปฏิรูปสังคม การเมือง อย่างเป็นจริงต่อไป
——————–
(หลากมิติเวทีทัศน์  : พลวัตสิทธิชุมชน สู่ ‘ข้อบัญญัติท้องถิ่น’ จัดการปัญหาคนอยู่ร่วมกับป่า : โดย…โอฬาร อ่องระ มูลนิธิเพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืน ภาคเหนือ)