ฉันจะจำเธอไปในแบบนี้ เซนต์ปีเตอร์สเบิร์ก

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์โพสต์ทูเดย์

07 ตุลาคม 2560 เวลา 09:50 น….. อ่านต่อได้ที่ : https://www.posttoday.com/travel/world/518920

ฉันจะจำเธอไปในแบบนี้ เซนต์ปีเตอร์สเบิร์ก

โดย  อุเทน เหมือนทัพ ภาพ : วิศิษฐ์ แถมเงิน

 มันเริ่มจากคำว่า “ไปเที่ยวรัสเซียกันไหม ไม่ต้องใช้วีซ่า”

เพื่อนพ้องจึงตอบมาว่า “อยากไปเห็นทะเลสาบไบคาล อยากนั่งรถไฟสายทรานไซเบียเรีย”

หรือไม่ก็ “อยากไปเห็นแสงเหนือที่เมืองเมอร์มรังส์แบบไม่ต้องไปสแกนดิเนเวีย”

ทำให้เมืองมอสโกและเซนต์ปีเตอร์สเบิร์กถูกมองข้ามไปอย่างสิ้นเชิง เพียงเพราะมีผู้คนไปเยือนสองเมืองใหญ่นี้จนล้นหลาม และคนไทยรู้จักกันดีอยู่แล้วเท่านั้นเอง

ทว่าด้วยข้อจำกัดในเรื่องของวันเดินทาง ทำให้เส้นทางสายทรานไซบีเรียถูกตัดไป และเพราะช่วงเดือน ส.ค.ที่จะไปเป็นช่วงหน้าร้อนทำให้ไม่มีแสงเหนือให้มอง ดังนั้น ตัวเลือกที่เหลืออยู่จึงเป็นเมืองยอดฮิตที่มองข้ามไปตั้งแต่ความคิดแรก

ในที่สุดทริป 6 วันใน 2 เมือง (มอสโกและเซนต์ปีเตอร์ส) จึงเริ่มต้นขึ้น พร้อมกับความลังเลใจไม่มากก็น้อย เมื่อได้ยินได้อ่านเรื่องโจรกรรมก่อนการเดินทาง แต่จะให้หันหลังกลับคงไม่ได้แล้ว

ความอลังการภายในมหาวิหารเซนต์ไอแซค

 

วันที่ 1

การเดินทางไปรัสเซียมีหลายเส้นทางทั้งบินตรงหรือแบบพักเครื่อง แต่เพราะเวลาที่ไปมีน้อย เราเลยเลือกเส้นทางบินตรงจากกรุงเทพฯ สู่มอสโกไปลงที่สนามบินนานาชาติเชเรเมเตียโว (SVO-Sheremetyevo International Airport) ซึ่งเป็นหนึ่งในสี่สนามบินหลักของกรุงมอสโก

จากนั้นเดินทางต่อไปที่เซนต์ปีเตอร์สเบิร์กด้วยรถไฟนอน ถามว่าทำไมต้องไปที่เซนต์ปีเตอร์สเบิร์กก่อน นั่นเป็นเพราะคนรัสเซียส่วนมากจะไม่ใช้ภาษาอังกฤษในการสื่อสาร รวมถึงป้ายต่างๆ ที่พบเห็นก็จะเป็นภาษารัสเซียเกือบทั้งหมด แต่ที่เซนต์ปีเตอร์สเบิร์กมีการใช้ภาษาอังกฤษมากกว่ามอสโก เพื่อการปรับตัวให้เที่ยวในรัสเซียได้อย่างมีความสุข นักท่องเที่ยวอย่างเราจึงมาปรับตัวที่เมืองนี้ก่อนเป็นลำดับแรก

สำหรับนักท่องเที่ยวส่วนมาก การพักที่ย่านการค้าและการท่องเที่ยวบนถนนเนฟสกี้ (Nevsky Prospekt) ถือว่าเป็นทำเลยอดนิยม เพราะใกล้กับสถานีรถไฟใต้ดิน แหล่งช็อปปิ้ง ร้านอาหาร รวมถึงแหล่งท่องเที่ยวสำคัญหลายแห่ง เช่นเดียวกับพวกเราที่ได้จองที่พักบนชั้น 4 ของอาคารเก่าในย่านถนนเนฟสกี้

วันที่ 2

การเดินทางด้วยเครื่องบินกว่า 9 ชม. และการนอนบนรถไฟอีก 8 ชม. ทำให้ร่างกายอ่อนล้าแบบคาดไม่ถึง ดังนั้นวันแรกที่มาถึงเซนต์ปีเตอร์สเบิร์กจึงทำได้เพียงเดินชมรอบๆ เมือง โดยหลังจากฝากกระเป๋าเดินทางไว้กับโรงแรม (ที่นี่เช็กอินเวลา 13.00 น.) เรามีเวลาเกือบ 6 ชม. ก่อนเข้าที่พักในการหาอาหารเช้าและกาแฟแบบรัสเซีย

รวมถึงเดินชมเมืองสัมผัสวิถีชีวิตยามเช้าของผู้คนในย่านถนนเนฟสกี้ ซึ่งตึกสองข้างทางมีความสวยงามตามแบบสถาปัตยกรรมของยุโรปทำให้ตื่นตะลึงได้ตลอดเส้นทาง

เราตกลงกันว่าจะไปเดินชมความงามของโบสถ์หยดเลือด (Church of our Savior on Spilled Blood) ที่โดดเด่นด้วยโดมรูปทรงหัวหอมคล้ายมหาวิหารเซนต์เบซิล (St. Basil’s Cathedral) ที่มอสโก โดยหวังลึกๆ  ว่าจะได้เห็นภาพแสงแดดตอนเย็นกระทบกับยอดโดมเหมือนภาพโปสเตอร์

แต่ก็คงเป็นเพราะช่วงเวลาของฤดูร้อนจึงทำให้เวลาสองทุ่มก็ยังคงเห็นแสงแดด การรอให้แสงแดดอ่อนลงในตอนสามทุ่ม หรือเทียบได้กับเวลาเกือบตีหนึ่งของเมืองไทย ร่างกายที่ไม่ได้พักผ่อนจึงสั่งการให้กลับมาใหม่ในวันรุ่งขึ้นแทน

การแสดงของชาวรัสเซียที่มีให้เห็นตามท้องถนน

 

วันที่ 3 จำไม่รู้ลืม

เวลาที่ต่างกันทำให้ร่างกายตื่นเองอัตโนมัติในตอน 7 โมงเช้าของรัสเซีย และต้องโร่รีบหาอาหารเช้า ซึ่งทำให้ค้นพบว่า อาหารเช้าแบบรัสเซียไม่ได้แย่ แต่ก็ไม่ได้ดีสำหรับคนไทยที่ชอบรับประทานอาหารแบบครบหมู่ เพราะแค่ข้าวโอ๊ตต้มกับนมและกาแฟหนึ่งแก้ว คงไม่สามารถทำให้กระเพาะเติมเต็มได้

ร้านสะดวกซื้อใกล้ที่พักจึงดูจะเป็นร้านอาหารเช้าที่ทำให้เราอิ่มท้องได้มากกว่า แต่ภาษารัสเซียที่ฉลากอาหารก็ทำให้เราต้องใช้ความพยายามถึง 4 ครั้ง กว่าจะสามารถเลือกไส้กรอกที่กินได้ และความพยายามอีก 3 ครั้งกว่าจะได้กินนมสดแทนโยเกิร์ต

เมื่อท้องอิ่ม เท้าก็มีแรงในการเดินทาง โดยวันนี้เราใช้การเดินด้วยเท้าเป็นหลัก ตั้งต้นจากถนนเนฟสกี้เดินตามกูเกิลแมปไปยังสถานที่ที่ใกล้ที่สุด นั่นคือ ป้อมปีเตอร์ แอนด์ พอล (Peter and Paul Fortress) ภายในมีโบสถ์ พิพิธภัณฑ์ คุก และป้อมปราการริมแม่น้ำเนวา

ถัดมาอีกฝั่งของแม่น้ำจะเห็นอาหารรูปทรงสีเขียว นั่นคือ พระราชวังฤดูหนาวเฮอร์มิเทจ (The Hermintage) ปัจจุบันได้เปลี่ยนเป็นพิพิธภัณฑ์เก็บสมบัติล้ำค่ากว่า 3 ล้านชิ้นทั่วโลก แต่การจะเข้าชมได้นั้นต้องต่อคิวซื้อตั๋วและรอคิวเข้าอีกหลายชั่วโมง

โดยด้านหลังของพระราชวังเป็นจัตุรัสกลางเมือง ซึ่งมีอนุสาวรีย์แห่งชัยชนะของพระเจ้าอเล็กซานเดอร์ เหนือกองทัพนโปเลียนตั้งอยู่ (Alexander Column) ในวันที่ไปมีการจัดวางปืนใหญ่รอบจัตุรัส และมีเหล่าทหารคอยยืนเคียงข้าง ทำให้เห็นถึงความยิ่งใหญ่ของกองทัพหมีขาวเป็นอย่างมาก

ปิดท้ายวันที่ 3 ในเซนต์ปีเตอร์สเบิร์ก ณ มหาวิหารเซนต์ไอแซค (St.Isaac Cathedral) ภายในบอกเล่าเรื่องราวผ่านภาพเขียนและงานปูนปั้นอันวิจิตรบรรจง อีกทั้งยังมีการจัดบางส่วนสำหรับการแสดงความเคารพต่อพระเยซู และในระหว่างทางก่อนกลับที่พัก เราได้พบกับอาคารทรงโค้งครึ่งวงกลม มียอดโดมตรงกลาง อาคารถูกรองรับด้วยเสาโรมันขนาดใหญ่ บริเวณสี่แยกใจกลางเมือง ซึ่งมาทราบภายหลังว่าที่นี่คือ มหาวิหารคาซาน (Kazan Cathedral) ซึ่งเป็นอีกหนึ่งมหาวิหารที่มีความสำคัญของเซนต์ปีเตอร์สเบิร์กด้วย

ความเหนื่อยล้าจากการเดินเท้าทั้งวัน การได้รับประทานอาหารอร่อยๆ ดูจะเป็นการเพิ่มพลังให้ในวันถัดไปได้ดี พวกเราจึงเลือกร้านอาหารจีนที่อยู่ไม่เกิน 5 ช่วงตึกจากที่พักเป็นจุดพักท้อง ความอร่อยของอาหารที่คุ้นลิ้นทำให้ความเหนื่อยล้าบรรเทาลงไป

จากนั้นก่อนกลับเข้าบ้าน เราได้แวะร้านกล้องเพื่อซื้อเมมโมรี่การ์ดเพิ่มไว้สำหรับถ่ายภาพพระราชวังแคทเธอรีนในวันพรุ่งนี้ ทว่า ณ นี่แห่งนี้กลับเป็นจุดที่ทำเราจดจำถนนเส้นนี้อย่างไม่มีวันลืม

ตลอดเวลาที่เราเดินทางในรัสเซีย พวกเราทุกคนต่างระมัดระวังตัวตลอดเวลา ไม่ทำตัวเป็นเป้าสายตา พยายามอยู่เป็นกลุ่มและคอยสอดส่องคนแปลกหน้าทุกย่างก้าวที่เดิน แต่มือสมัครเล่นอย่างเราหรือจะสู้มืออาชีพได้ เพื่อนที่เป็นตากล้องสะพายกล้องและเลนส์อีกตัวหนึ่งไว้ภายใต้เสื้อคลุมตลอดเวลา แต่ไม่แคล้วถูกกลุ่มมิจฉาชีพกว่า 10 คน เบียดหน้าประตูร้านขายกล้องเพื่อขโมยเลนส์ที่มันหมายตาไว้!

เพื่อนแปลกใจถึงการเบียดเสียดที่ไม่ปกติขนาดนั้น จึงรีบสำรวจเลนส์ใต้เสื้อคลุม แต่ก็เป็นไปตามคาด พวกมันได้เลนส์ไปแล้ว ซึ่งถึงแม้จะรู้ตัวและพยายามวิ่งตาม แต่การไปหาเรื่องกับชายฉกรรจ์เกือบ 10 คนคงไม่ใช่ทางออกที่ดี เพราะเมื่อเพื่อนวิ่งตาม พวกมันก็ตรงเข้ามาล็อกคอเพื่อยื้อเวลาให้คนอื่นๆ หนีไปได้ จังหวะนั้นทุกคนคิดแค่ว่าอย่าทำอะไรเพื่อนเรา เพราะถ้าเกิดการต่อสู้ขึ้นก็ไม่รู้ว่าอะไรจะตามมา เพราะคนรอบข้างกลับได้แต่มองและไม่กล้าให้ความช่วยเหลือ

ครึ่งชั่วโมงที่เราแน่วนิ่งและรวบรวมสติกันว่าควรทำอย่างไรต่อไป การโทรศัพท์หาตำรวจท้องที่ดูไม่เป็นผลเท่าไร เพราะภาษาที่เป็นอุปสรรค ดังนั้นการติดต่อสถานกงสุลดูจะเป็นทางออกที่ดีกว่า เพราะอย่างน้อยจะได้มีคนที่เป็นสื่อกลางระหว่างเรากับตำรวจ แต่เพราะวันที่เกิดเหตุเป็นวันอาทิตย์ สถานกงสุลหยุด วันรุ่งขึ้นเป็นวันชดเชยวันหยุดราชการ กว่าจะสามารถติดต่อสถานทูตได้ก็อีก 2 วันถัดมา

อย่างไรก็ตาม ในความโชคร้ายยังพอมีความโชคดี (หรือเปล่า) ที่เราได้ทำประกันการเดินทางไว้ จึงได้ติดต่อบริษัทประกันเพื่อขอความช่วยเหลือ โดยเจ้าหน้าที่ได้รับเรื่องและแจ้งถึงสิ่งจำเป็นที่ต้องใช้ในการเคลมประกัน ได้แก่ บันทึกประจำวัน และหนังสือยืนยันจากโรงแรม แต่เหนือสิ่งอื่นใด เราไม่ทราบว่าของหายจะได้คืนหรือไม่ แต่ความรู้สึกกังวลใจไม่สามารถคืนให้ใครได้แน่นอน

โบสถ์หยดเลือด

 

วันที่ 4

“The show must go on.” ไหนๆ ของก็หายไปแล้ว ใจคนอย่าหายไปด้วยเลย วันนี้สถานกงสุลก็ยังไปไม่ได้ เราจึงเดินหน้าตามแผนการที่วางไว้ โดยจะไปชมพระราชวังที่ไม่ปิดในวันจันทร์ ซึ่งก็คือ พระราชวังแคทเธอรีน (Catherine Palace)

มีหลายคำแนะนำถึงการเข้าชมพระราชวังแคทเธอรีนและห้องอัมพันที่เมืองพุชคินในฤดูร้อนว่า จะต้องต่อคิวเข้าชมนานกว่าฤดูหนาว เพราะที่นี่ถือเป็นพระราชวังฤดูร้อนจึงมีความสวยงามมาก เมื่อพระราชวังสะท้อนกับแสงแดด โดยการเดินทางไปพระราชวังแคทเธอรีนนั้นไม่ยาก เพียงแค่นั่งรถไฟใต้ดินมาลงที่สถานี Moskovskaya แล้วต่อด้วยรถบัสหรือรถตู้ที่จอดอยู่หลังรูปปั้นเลนิน ใช้เวลาประมาณ 30 นาทีก็ถึง

การเข้าชมต้องซื้อตั๋วเข้าชม 2 ที่ คือ ที่ประตูทางเข้าเป็นบัตรสำหรับชมสวน ส่วนบัตรชมพระราชวังต้องเดินต่อไปซื้อข้างในอีกครั้งหนึ่ง แต่วันนี้ดูเหมือนจะไม่ใช่วันของพวกเราอีกครั้ง เพราะต้องยืนต่อคิวเพื่อเข้าชมเป็นเวลาเกือบ 3 ชม.ท่ามกลางแสงแดด

เมื่อถึงคิวเข้าไปก็ต้องเจอกับนักท่องเที่ยวเต็มไปทุกพื้นที่ จนทำให้หาความประทับใจแทบไม่เจอ แต่กระนั้นก็มีห้องที่ทำให้เราต้องตื่นตะลึงกับความงดงามอยู่ นั่นคือ ห้องอำพัน ทุกองค์ประกอบตั้งแต่เพดาน ผนัง และกระจกถูกประดับด้วยอำพันสีทองอร่าม ซึ่งมีเพียงหนึ่งเดียวของโลก

วันที่ 5

การไปสถานกงสุลจะช่วยให้ทุกอย่างดีขึ้น เราคิดอย่างนั้น ซึ่งก็เป็นตามที่คาดคิด เพราะท่านกงสุลและเจ้าหน้าที่ได้ให้ความช่วยเหลือเป็นอย่างดี ตั้งแต่รับฟังเรื่องราว ให้คำแนะนำ พาไปสถานีตำรวจ ทำหน้าที่เป็นคนกลางในการให้ปากคำ รวมถึงติดตามผลระหว่างที่ยังอยู่รัสเซีย จนกระทั่งเราได้หนังสือแจ้งความจากสถานีตำรวจมาไว้ในมือ ส่วนหนังสือรับรองจากโรงแรมก็ได้รับในเย็นวันนั้น ที่เหลือจึงมีแค่การกลับไปเมืองไทยทำเรื่องเคลมกับประกันเท่านั้น

เวลาที่เหลือช่วงเย็น เราจึงตกลงกันว่าจะไปล่องเรือแม่น้ำเนวา เพื่อผ่อนคลายกับเรื่องที่เจอมาทั้งวัน โดยการล่องเรือตอนเย็นท่ามกลางอุณหภูมิ 15 องศา และสิ่งปลูกสร้างที่สวยงามของเซนต์ปีเตอร์สเบิร์ก นับเป็น 1 ชม.ที่สามารถเยียวยาความเจ็บปวดจากการถูกขโมยของได้เป็นอย่างดี

พวกเรายินดีจ่ายเงินเพิ่มจาก 600 รูเบิล เป็น 1,000 รูเบิล เพื่อให้ได้นั่งเรือส่วนตัว นายเรือที่พูดได้แต่ภาษารัสเซียพยายามสื่อสารผ่านภาษามือ พาเราล่องเรือผ่านคลองเล็กคลองน้อย บ้างก็มุดลอดสะพาน ผ่านโบสถ์ และอาคารเก่าแก่จนกระทั่งไปออกแม่น้ำเนวา จนทำให้เราเข้าใจแล้วว่าทำไมเมืองนี้จึงได้รับการขนานนามว่า เวนิสแห่งยุโรปตอนเหนือ

ตลาดผลไม้ในเซนต์ปีเตอร์สเบิร์ก

 

วันที่ 6

วันสุดท้ายก่อนเทกออฟสู่มอสโกในตอนค่ำ เราใช้เวลาที่เหลือในช่วงเช้าเดินทางไป พระราชวังปีเตอร์ฮอฟ (Peterhof Palace) หรือพระราชวังฤดูร้อนที่ได้รับการออกแบบสไตล์กึ่งเรเนสซองส์ บาโรค และคลาสสิก มีลานน้ำพุขนาดใหญ่ยักษ์อาบด้วยสีทองหันหน้าออกสู่อ่าวฟินแลนด์ ซึ่งน้ำพุนี้จะเปิดตลอดฤดูร้อนแต่จะปิดในฤดูหนาว

ภายในพระราชวังมีการแสดงภาพวาดสีน้ำมัน จิตรกรรมปูนปั้น ของใช้ เครื่องประดับ เครื่องเรือน ตลอดจนเครื่องกระเบื้องเคลือบจากอังกฤษ ซึ่งสามารถใช้เวลาทั้งวันในการเดินชมพระราชวัง ลานน้ำพุ และวิวรอบอ่าวฟินแลนด์ แต่สำหรับพวกเราแค่ครึ่งวันก็เพียงพอแล้ว เพราะตอนค่ำเราต้องเตรียมตัวขึ้นรถไฟนอนกลับไปพบกับความเป็นรัสเซียขนานแท้และดั้งเดิมที่มอสโก

หลายคนอาจมีคำถามว่า สรุปแล้วเลนส์ได้คืนไหม หรือสามารถเคลมประกันได้ไหม ในเมื่อเราเตรียมเอกสารครบถ้วนตามที่เขาต้องการด้วยความลำบากแล้ว แต่อนิจจัง พวกเราลืมไปว่าในประกันมักมีดอกจันอยู่ตรงข้อความสำคัญให้ไปอ่านต่อ

โชคร้ายจากรัสเซียจึงได้ตามหลอกหลอนถึงกรุงเทพฯ เพราะเลนส์ที่หายไปนั้นไม่ได้รับความคุ้มครองความสูญหายจากประกัน ตามที่ได้ระบุไว้ในดอกจันซึ่งอยู่ในเอกสารแนบ 40 กว่าหน้า!

ภาษารัสเซียอาจจะยากแก่การจำเพราะมีความซับซ้อนในเรื่องภาษา แต่ถ้าชื่อถนนบางเส้นของเซนต์ปีเตอร์สเบิร์ก เชื่อว่า มันจะคงอยู่ในความทรงจำของพวกเราไปอีกนาน เพราะทุกครั้งที่เดินผ่านถนนเนฟสกี้เราจะรู้สึกหนาวขึ้นมาทุกครั้งแม้ว่าเป็นฤดูร้อนก็ตาม

………….ใต้ภาพ…………

00 รูปเปิด ภาพสะท้อนน้ำของพระราชวังฤดูหนาวเฮอร์มิเทจ

01 ความอลังการภายในมหาวิหารเซนต์ไอแซค

02 การแสดงของชาวรัสเซียที่มีให้เห็นตามท้องถนน

03 โบสถ์หยดเลือด

04 ตลาดผลไม้ในเซนต์ปีเตอร์สเบิร์ก

05 ตึกเก่าย่านถนนเนฟสกี้

06 ทิวทัศน์แม่น้ำเนวา

07 มหาวิหารคาซาน

08 เรือใบแล่นลมในแม่น้ำเนวา

09 นักท่องเที่ยวหนาแน่นในพระราชวังแคทเธอรีน

10 แสงยามค่ำที่ถนนเนฟสกี้

11 ลานน้ำพุด้านหน้าพระราชวังปีเตอร์ฮอฟ

12 ล่องเรือบนแม่น้ำเนวาผ่านพระราชวังฤดูหนาว

 

Golden City อินเดียวันนี้ ไม่เหมือนเมื่อวาน

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์โพสต์ทูเดย์

30 กันยายน 2560 เวลา 14:12 น….. อ่านต่อได้ที่ : https://www.posttoday.com/travel/world/517655

Golden City อินเดียวันนี้ ไม่เหมือนเมื่อวาน

ในบรรดา 29 รัฐ และอีก 7 ดินแดนสหภาพของอินเดียนั้น รัฐราชาสถานเป็นรัฐที่มีพื้นที่กว้างใหญ่ที่สุด มีประวัติศาสตร์น่าสนใจที่สุด และมีภูมิประเทศแตกต่างออกไปจากพื้นที่อื่นของอินเดีย คือ มีพื้นที่กว่าร้อยละ 10 ของทั้งประเทศเลยทีเดียว แต่ประชากรที่นี่มีเพียงร้อยละ 5.7 ของทั้งประเทศเท่านั้น จึงทำให้ราชาสถานเป็นรัฐที่มีประชากรเฉลี่ยค่อนข้างเบาบาง และมักอาศัยกระจุกตัวกันอยู่ในเมืองเพราะว่าพื้นที่ส่วนใหญ่ของรัฐนี้เป็นทะเลทรายธาร์ หรือที่เรียกว่า Great Indian Dessert ซึ่งมีพื้นที่ประมาณ 2 แสนตารางกิโลเมตร ถ้าคิดไม่ออกว่าใหญ่แค่ไหน ก็เทียบง่ายๆ ว่า ประเทศไทยเรามีพื้นที่ทั้งประเทศประมาณ 5.1 แสนตารางกิโลเมตร ดังนั้นทะเลทรายธาร์ ก็มีขนาดเกือบครึ่งหนึ่งของประเทศไทยนั่นเอง

ใจกลางของทะเลทรายธาร์ คือ เมืองไจซัลเมอร์ (Jaisalmer) แม้ได้ชื่อว่าเป็นเมืองที่แห้งแล้งที่สุด แต่ไจซัลเมอร์คือหนึ่งในเมืองมรดกโลก และเป็นเมือง ที่มีบทบาทสำคัญต่อการพัฒนาประเทศ ไจซัลเมอร์ ได้รับการขนานนามว่า Golden City หรือเมืองสีทอง เพราะสมัยก่อนเป็นที่โล่งๆ ท่ามกลางทะเลทราย เมื่อมองไปจะเห็นกลุ่มอาคารบ้านเรือน ป้อมปราการ ที่สร้างด้วยหินทรายสีเหลืองโดนแสงอาทิตย์ตกกระทบเปล่งประกายเป็นสีเหลืองทองออกมา เขาก็เลยเรียกว่าเป็น Golden City กัน ไจซัลเมอร์เป็นเมืองเก่าที่มีอายุกว่าหลายร้อยปี และมีป้อมปราการ ไจซัลเมอร์ ที่ปัจจุบันอนุญาตให้มีคนอาศัยอยู่ข้างในกว่า 5,000 คน เป็นคนที่สืบ เชื้อสายมาจากข้าราชบริพารที่เคยอยู่ในวังสมัยก่อน บ้านเรือนต่างๆ ได้รับอนุญาตให้เปิดเป็นร้านค้า ร้านอาหาร โรงแรม เกสต์เฮาส์ เพียงแต่ว่าถ้าจะตกแต่งบ้าน ก็ขอให้คงธีมหินทรายสีเหลือง เพื่อคงความเป็น Golden City ไว้ ซึ่งทำให้สวยงาม และเป็นโบราณสถานที่ดูมีชีวิตชีวา ช่วงเวลากลางวันอากาศจะร้อนมาก แต่พอเริ่มตกเย็น ทะเลทรายแห่งนี้ก็เริ่มคลาคล่ำไปด้วยนักท่องเที่ยวที่พากันมาดูพระอาทิตย์ตกบนเนินทะเลทรายธาร์ ซึ่งถือเป็นมนต์เสน่ห์ที่ไม่ควรพลาดของทะเลทรายทุกๆ แห่ง

ไจซัลเมอร์ นอกจากจะเป็นเมืองใจกลางทะเลทรายธาร์แล้ว ยังมีความพิเศษอีกอย่างก็คือ เป็นที่ตั้งของทุ่งกังหันลมขนาดใหญ่เป็นอันดับสองของอินเดีย มีกำลังการผลิตติดตั้งกว่า 1,000 เมกะวัตต์ ซึ่งเรื่องพลังงานไฟฟ้า ถือว่ามีความสำคัญกับอินเดียเป็นอย่างมาก เพราะเป็นประเทศที่ใช้ไฟฟ้ามากเป็นอันดับต้นๆ ของโลก บางคนอาจจะสงสัยว่าประเทศอินเดีย เนี่ยนะ ที่ให้ความสำคัญเกี่ยวกับสิ่งแวดล้อม ใช้พลังงานสะอาด ใช้พลังงานหมุนเวียน คำตอบคือ ใช่แล้ว เพราะนี่คือส่วนหนึ่งของความพยายามในการจัดการเกี่ยวกับพลังงานของประเทศ โดยการใช้พลังงานหมุนเวียนเข้ามาเป็นส่วนหนึ่ง แต่ว่าหลักๆ แล้วคือว่าการพัฒนาแหล่งพลังงาน พื้นฐานให้มีประสิทธิภาพแล้วก็เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมมากยิ่งขึ้น

ทั้งนี้ หลายคนอาจจะยังไม่ทราบว่าเทคโนโลยีหลายๆ อย่างที่เราใช้กันอยู่บนโลก ถูกคิดค้นโดยชาวอินเดีย ไม่ว่าจะเป็นเทคโนโลยีทางด้านก่อสร้าง เทคโนโลยีทางด้านโลหะศาสตร์ อินเดียเป็นคนคิดทั้งนั้น รวมถึงด้านพลังงาน ประเทศนี้ก็ไม่ได้ด้อยไปกว่าประเทศอื่น พลังงานไฟฟ้าจากนิวเคลียร์ ประเทศนี้ก็มีเทคโนโลยีเป็นของตัวเอง รวมถึงพลังงานไฟฟ้าจากถ่านหินก็พัฒนาได้ไม่ด้อยไปกว่ายุโรปเลย ปัจจุบันอินเดียเป็นหนึ่งในประเทศที่ให้สัตยาบันลดโลกร้อน และที่ผ่านมาก็มีความพยายามจัดการกับเรื่องของพลังงานเพื่อให้เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมมากขึ้น ตัวอย่างที่เห็นก็คือ ทุ่งกังหันลมที่มีกำลังผลิตติดตั้งถึง 1,064 เมกะวัตต์ แต่อย่างไรก็ตามการผลิตกระแสไฟฟ้าเกือบร้อยละ 60 ของประเทศนี้ได้มาจากการใช้เชื้อเพลิงถ่านหิน ดังนั้น สิ่งที่เขาพัฒนาควบคู่กับการส่งเสริมพลังงานหมุนเวียน ก็คือการพัฒนาเทคโนโลยีการผลิตไฟฟ้าโดยใช้ถ่านหิน ให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น และเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมมากขึ้นนั่นเอง

เมืองที่มีความสำคัญต่อเศรษฐกิจของรัฐราชาสถานเป็นอย่างมากอีกเมืองหนึ่งก็คือ เมืองบาร์เมอร์ (Barmer) เมืองนี้ไม่ใช่ปลายทางยอดนิยมของนักท่องเที่ยวสักเท่าไรนัก ด้วยสภาพอากาศที่ค่อนข้างโหดร้าย ถ้าหน้าร้อนอุณหภูมิสามารถพุ่งขึ้นถึง 51 องศาเซลเซียส ในขณะที่หน้าหนาวก็เย็นได้ถึง 0 องศาเซลเซียสกันเลยทีเดียว แต่อย่างไรก็ตาม เพราะที่นี่อุดมไปด้วยแร่ธาตุใต้ดิน โดยเฉพาะทรัพยากรด้านพลังงาน ซึ่งมีทั้งน้ำมัน ก๊าซธรรมชาติ และถ่านหิน ด้วยความที่มีถ่านหินมากนี่เอง จึงมีโรงไฟฟ้าถ่านหินที่มีกำลังการผลิตรวมมากกว่า 1,000 เมกะวัตต์ และมีประสิทธิภาพสูง ที่เรียกว่า STPS หรือ Super Thermal Power Station อย่างเช่น โรงไฟฟ้าถ่านหิน JSW ที่เมือง บาร์เมอร์ (Barmer) แห่งนี้

ถึงแม้ว่าดูไปแล้วอินเดียเป็นประเทศที่ไม่ได้ดูสะอาดสักเท่าไรนัก ยังมีปัญหาสิ่งแวดล้อม ยังมีปัญหาขยะ น้ำเน่าเสีย แต่ในขณะเดียวกันนั่นเอง สิ่งที่รัฐบาลกำลังพยายามทำคือ การพัฒนาสิ่งเหล่านั้น ให้ควบคู่ไปกับการส่งเสริมรณรงค์ช่วยภาวะลดโลกร้อน ทำให้สิ่งที่เกิดขึ้นในช่วงที่ผ่านมาก็คือ มีแหล่งพลังงานที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมมากขึ้น มีกังหันลม มีโซลาร์ฟาร์ม มีแหล่งพลังงานหมุนเวียนอื่นๆ ที่ได้รับการพัฒนาและส่งเสริม พร้อมๆ กับใช้เชื้อเพลิงฟอสซิลแบบเดิมๆ อยู่ โดยทำทั้งสองอย่างควบคู่กันไปได้อย่างเหมาะสมกับสภาพปัญหาและความต้องการของประชาชนในประเทศ

อย่างไรก็ตาม แม้ประเทศอินเดียจะพยายามผลิตกระแสไฟฟ้าจากการใช้ เชื้อเพลิงหลายๆ รูปแบบ เช่น โรงไฟฟ้าที่ใช้เชื้อเพลิงจากฟอสซิล โรงไฟฟ้าพลังงานนิวเคลียร์จากการใช้แร่ยูเรเนียม รวมไปถึงการผลิตกระแสไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียน เพื่อให้เกิดความมั่นคงทางด้านพลังงานไฟฟ้ามากที่สุด แต่ก็ต้องไม่ลืมว่าประเทศนี้ยังมีประชากรอีกจำนวนไม่น้อยที่ยังไม่มีไฟฟ้าใช้ นโยบาย Power for all ที่ส่งเสริมให้ทุกคนมีไฟฟ้าใช้ ก็ได้รับการสนับสนุนไปควบคู่กัน ดังนั้นแหล่งพลังงานที่จะเอามาใช้ก็คงไม่ใช่แหล่งพลังงานหมุนเวียนเสียทั้งหมด เพราะว่า ต้นทุนก็อาจจะยังแพงอยู่ แล้วหลายๆ แหล่งก็ยังไม่มีเสถียรภาพสักเท่าไร ดังนั้น แหล่งพลังงานหลักที่จะขับเคลื่อนนโยบาย Power for all ก็คือ โรงไฟฟ้าถ่านหิน ซึ่งเป็นโรงไฟฟ้าที่มีเทคโนโลยีใหม่ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมมากยิ่งขึ้น

คงไม่ผิดนักถ้าจะเปรียบเปรยไปว่า หาก Golden City เกิดจากหินทรายสีเหลืองที่โดนแสงอาทิตย์ตกกระทบเกิดเป็นประกายสีทองออกมาแล้ว แสงอาทิตย์ที่ตกกระทบ Golden City นั้นยังเกิดเป็นประกายแห่งความคิดที่ทำให้ผู้นำอินเดียได้กล่าวไว้ว่า “ไฟฟ้าจากถ่านหินเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับอินเดียแทนที่จะหยุดใช้ เราควรหันกลับมาใช้เทคโนโลยีจากถ่านหิน แต่เป็นถ่านหินที่สะอาดและมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น ทั้งไม่สมควรอย่างยิ่งที่ประเทศใดจะนำวิถีของประเทศตนมาเป็นเงื่อนไขในการพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศอื่น” อินเดียจึงเป็นกรณีศึกษาอีกหนึ่งประเทศที่มีความเชื่อว่าการจะเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมนั้น ไม่จำเป็นว่าจะต้องยกเลิกถ่านหิน ยกเลิกนิวเคลียร์ แล้วติดตั้งกังหันลม หรือแผงโซลาร์เซลล์ทั่วทั้งประเทศ แต่ควรเลือกใช้วิธีการที่สมเหตุสมผลมากกว่า นั่นก็คือ การพัฒนาการใช้เชื้อเพลิงที่มีอยู่อย่างมีประสิทธิภาพ เป็นมิตรต่อชุมชนและสิ่งแวดล้อม เพราะนี่คือ หนึ่งในปัจจัยสำคัญที่จะสร้างการพัฒนาอย่างยั่งยืนให้กับประเทศอินเดียต่อไป

ติดตามชมเรื่องราวทั้งหมดได้ที่ รายการ โลก 360 องศา ทุกวันเสาร์ ทาง ททบ.5 เวลา 20.55 น.

 

ต้องร้องว่าโอเอ็มจี! ‘โฮเต็ล จี ย่างกุ้ง’

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์โพสต์ทูเดย์

30 กันยายน 2560 เวลา 10:57 น….. อ่านต่อได้ที่ : https://www.posttoday.com/travel/world/517689

ต้องร้องว่าโอเอ็มจี! 'โฮเต็ล จี ย่างกุ้ง'

 โดย นิทรา ราตรี

 ครั้งแรกที่เมียนมามีโรงแรมไลฟ์สไตล์ กับที่พักแห่งใหม่ “โฮเต็ล จี ย่างกุ้ง” ด้วยดีไซน์สุดชิก เทคโนโลยีทันสมัย และห้องพักพร้อมพื้นที่ใช้สอยสะดวกสบายจนคุณต้องร้องว่า “โอเอ็มจี!”

 โรงแรมประกอบด้วยห้องพัก 85 ห้อง แบ่งเป็น 4 ประเภท ได้แก่ Good ห้องกะทัดรัดขนาด 15 ตารางเมตร (ตร.ม.) แต่ยังอยู่สบายด้วยเตียงนอนคิงไซส์ และที่นั่งริมหน้าต่างให้ทอดสายตา Great ใหญ่ขึ้นอีกนิดที่ขนาด 20 ตร.ม. Greater ดีขึ้นไปอีกกับห้องนอนขนาด 22 ตร.ม. มีห้องน้ำแยกต่างหากจากห้องอาบน้ำ และโทรศัพท์มือถือที่สามารถโทรออกเบอร์ภายในและต่างประเทศฟรี

รวมถึงยังใช้เป็นตัวปล่อยสัญญาณอินเทอร์เน็ตให้คุณได้ท่องเที่ยวสนุกขึ้น และห้องที่ดีที่สุดกับ Greatest พิเศษด้วยโซฟานั่งเล่น โต๊ะหนังสือ พื้นที่ใช้สอยกว้างขวาง และวิวเมืองย่างกุ้งที่สวยที่สุด

โดยทุกห้องคุมโทนสีน้ำเงิน เฟอร์นิเจอร์สีดำคลาสสิก พื้นลายไม้ และของตกแต่งที่ทำให้นึกถึงห้องนอนที่บ้านคุณ

 นอกจากนี้ โรงแรมยังมีฟิตเนสเซ็นเตอร์ขนาดใหญ่ที่ Real Fitness Express ขนาด 550 ตร.ม. สำหรับผู้เข้าพักและสมาชิกฟิตเนสสามารถใช้อุปกรณ์ออกกำลังกาย และคลาสออกกำลังกายต่างๆ ทั้งพิลาทิส โยคะ และซุมบ้า หรือจะจริงจังถึงขั้นมีเทรนเนอร์ส่วนตัวที่นี่ก็มีให้บริการ

ส่วนห้องอาหารมีให้ลิ้มลองที่ บาเบตต์ อีตเตอรี่ แอนด์ บาร์ ร้านอาหารรุ่นน้องของห้องอาหารสการ์เรตต์ กรุงเทพฯ และฮ่องกง นำทีมโดย เชฟฮาเวียร์ บอลเลสต้า ที่ได้สร้างห้องอาหารขึ้นเพื่อเป็นจุดนัดพบสังสรรค์ระหว่างผู้เข้าพักและคนท้องถิ่น ผ่านอาหารมื้ออร่อยทั้งพิซซ่าอบใหม่จากเตาขนาด 1 เมตร อาหารตะวันตก ไวน์ และค็อกเทล

โฮเต็ล จี ย่างกุ้ง ได้ถูกออกแบบมาเพื่อตอบโจทย์นักท่องเที่ยวสมั

ยใหม่ ทั้งดีไซน์ที่มีกลิ่นอายพื้นเมืองผสมความทันสมัย อินเทอร์เน็ตไร้สายความเร็วสูง สมาร์ททีวี เครื่องชงชากาแฟ และแอพพลิเคชั่นอี-รีดเดอร์ ที่มีหนังสือพิมพ์และนิตยสารให้อ่านกว่า 6,000 ฉบับ

อย่างไรก็ตาม ที่สำคัญที่สุดน่าจะเป็นข้อได้เปรียบที่โรงแรมตั้งอยู่ใจกลางแหล่งท่องเที่ยว ไม่ว่าจะเป็นสถานีรถไฟย่างกุ้ง เจดีย์ซูเล ตลาดพื้นเมือง และห่างจากเจดีย์ชเวดากอง 8 นาที ซึ่งตอบโจทย์นักเดินทางที่ต้องการใช้เวลากับจุดหมายปลายทางให้มากที่สุด และกลับไปพักผ่อนที่โรงแรมอย่างผ่อนคลายที่สุด

 

 

ติดปีกให้หัวใจ ไปเสพศิลป์ ที่อินเดีย

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์โพสต์ทูเดย์

23 กันยายน 2560 เวลา 10:20 น…. อ่านต่อได้ที่ : https://www.posttoday.com/travel/world/516363

ติดปีกให้หัวใจ ไปเสพศิลป์ ที่อินเดีย

ถึงแม้ว่าจะเป็นประเทศใหญ่ก็ตามแต่ก่อนหน้านี้หลายคนอาจจะไม่กล้า หรือไม่อยากเดินทางไปประเทศนี้กันสักเท่าไรนัก เพราะว่าติดภาพเก่าๆ ของบ้านเมืองที่ไม่ได้สะอาด ผู้คนหน้าตาขึงขัง เดินชนกันไปมา เสียงคน เสียงรถเต็มไปหมด มีแต่ความวุ่นวาย แต่กระนั้นทีมงานโลก 360 องศา เชื่อว่า ยังมีคนกลุ่มหนึ่งอยากไปประเทศที่คนส่วนใหญ่ขนานนามว่า ดินแดนภารต ใช่แล้ว เราหมายถึงประเทศอินเดีย แต่เป็นอินเดียมุมใหม่และแตกต่างไปจากที่เคยรู้จัก เพราะเราจะพาไปยัง Land of Kings ดินแดนแห่งราชา ไปยังรัฐที่ชื่อว่า ราชสถาน ที่อยู่ทางตะวันตกเฉียงเหนือของประเทศอินเดีย!!!

 

คนอินเดียเรียกรัฐนี้ว่า รัจ-ส่ะ-ถ่าน (Rajasthan) เป็นการออกเสียง รวบๆ ซึ่งค่อนข้างยากสำหรับคนไทยเรา ดังนั้น เราจึงเรียกง่ายๆ ว่า ราชสถาน เป็นรัฐที่มีพื้นที่ใหญ่สุดของประเทศ ถ้าพิจารณาตัวเลขทางเศรษฐกิจ ที่นี่อาจจะตามหลังรัฐอื่นๆ อยู่มาก แต่ถ้าเป็นเรื่องของศิลปวัฒนธรรมแล้ว นี่คือรัฐที่รุ่มรวยทางวัฒนธรรมที่สุด เพราะเต็มไปด้วยป้อมปราการ ปราสาทราชวัง และศิลปะหลากแขนง มีทั้ง เจปูร, ไปเปอ หรือชัยปุระ เป็นเมืองหลวง และเป็นเมืองที่ใหญ่ที่สุดของรัฐนี้ ภายในมีเขตของเมืองเก่า ซึ่งได้ชื่อว่าเป็นผังเมืองโบราณที่เป็นระบบมาก คือ ผังเมืองจะวางเป็นรูปตารางสี่เหลี่ยมตัดกัน แต่ละช่องห่างกันประมาณ 7 ช่วงตึก และคั่นด้วยถนน

ชัยปุระ มีใจกลางเมือง คือ ซิตี้ พาเลส เป็นพระราชวังซึ่งเคยเป็น ที่ประทับของมหาราชาแห่งชัยปุระ มุมหนึ่งของกำแพง จะมีสถาปัตยกรรม ที่ดูเผินๆ เหมือนเป็นส่วนหนึ่งของกำแพง แต่จริงๆ แล้วคือพระราชวังอีกแห่งหนึ่ง เรียกว่า ฮาวามาฮาล (Palace of Wind) หรือพระราชวังแห่งสายลม แม้ว่าจะเป็นส่วนหนึ่งของพระราชวัง แต่คนส่วนใหญ่มักจะจดจำภาพของฮาวามาฮาล ว่าเป็นสัญลักษณ์ของเมืองชัยปุระ อาจจะเป็นเพราะว่ารูปทรงแปลกตาและสีของอาคารที่สวยงามทุกรายละเอียด ไม่แปลกใจเลยที่เขาบอกว่า คนมาที่นี่จะใช้เวลาอยู่เป็นวันๆ ไม่ว่าอากาศจะร้อนขนาดไหนก็ตาม เมื่อได้เดินอยู่ข้างในจะสัมผัสได้ถึงสายลมเย็นที่พัดผ่านช่องลมจากหน้าต่างกว่า 360 บาน แต่ถ้าออกไปมองมาจากด้านนอกตรงร้านกาแฟที่อยู่ตรงข้ามกับพระราชวังพอดี เป็นคาเฟ่ หลังคาเปิดชื่อร้าน Wind view caf’e จะเห็นภาพรวมได้สวยสุด

 

แม้อาคารในเมืองนี้ส่วนใหญ่จะมีสีคล้ายๆ กับสีของดินเผา แต่เมืองนี้กลับมีฉายาว่า Pink City ซึ่งย้อนไปยังปี ค.ศ. 1876 เมื่อครั้งที่อินเดียยังอยู่ภายใต้การปกครองของอังกฤษ มหาราชาราม สิงห์ ผู้ปกครองเมืองได้รับคำสั่งให้ราษฎรทาเมืองทั้งหมดเป็นสีชมพู เพื่อต้อนรับการมาเยือนของเจ้าชายแห่งเวลส์ (Prince of Wales) มกุฎราชกุมารของอังกฤษ ด้วยไมตรีจิตที่หยิบยื่นให้แก่พระราชอาคันตุกะ ถึงวันนี้สีชมพูนั้นกลับกลายเป็นแรงดึงดูดใจสำหรับนักท่องเที่ยวทั่วโลก คนที่ชอบงานสถาปัตยกรรม ชอบประวัติศาสตร์ ถ้ามาที่ชัยปุระจะต้องรู้สึกอิ่มเอม และสนุกสนานแน่ๆ เพราะว่ามีแต่ความวิจิตรพิสดาร ความพิเศษของสถาปัตยกรรมที่มีความผสมผสานระหว่างอินเดียกับอาหรับ ไม่ว่าจะเป็นปราสาท ป้อมปราการที่อยู่บนเขาสูงๆ สร้างกำแพงยาวๆ ไปตามแนวทิวเขา เมื่อลองนึกถึงสมัยก่อนที่ไม่มีเครื่องมือก่อสร้างที่ทันสมัย ก็สงสัยว่าเขาขึ้นไปสร้างได้อย่างไร แล้วก็จะรู้สึกทึ่ง และอัศจรรย์กับความสามารถของบรรดาช่างเหล่านั้นยิ่งนัก

จากสายลมพัดสู่สายน้ำ ในทะเลสาบมานซาการ์ มีพระราชวังที่ชื่อว่า จาลมาฮาล หรือว่า Water Palace เป็นพระราชวังกลางน้ำ สร้างด้วยหินทรายสีแดง มี 5 ชั้น ถ้าช่วงน้ำขึ้นสูงสุด ก็อาจจะเห็นพระราชวังโผล่พ้นน้ำมาแค่ชั้นเดียวเท่านั้น ปัจจุบันก็ยังตั้งตระหง่านอยู่แบบนี้ แต่การบูรณะให้พระราชวังแห่งนี้คงสภาพอยู่อย่างที่เห็น ไม่ใช่เรื่องง่ายเลย เพราะตัวอาคารแช่น้ำอยู่ตลอดเวลา วัสดุและเทคนิคที่ใช้ก่อสร้างในสมัยก่อน ก็หาช่างทำยาก และลงทุนสูง ดังนั้น จึงมีการร่วมทุนกับเอกชน เพื่อฟื้นฟูและพัฒนาให้กลายเป็นโรงแรมหรูกลางน้ำ ปัจจุบันยังอยู่ในระหว่างดำเนินการ

หากเดินทางจากชัยปุระไปยังใจกลางเมืองรัฐราชสถานประมาณ 340 กม. ใช้เวลาเดินทางโดยรถยนต์ประมาณ 5-6 ชม. ก็จะถึงเมืองที่เป็นศูนย์กลางการค้าและการคมนาคม นั่นก็คือเมืองที่ชื่อว่า จ๊อดปูร เพื่อการออกเสียงง่ายๆ สำหรับคนไทยเรา จึงเรียกชื่อเป็นไทยๆ ว่า เมืองโยธาปุระ เป็นเมืองที่ได้รับฉายาว่า Blue City ด้วยชื่อนี้เอง ที่ทำให้เราอยากมาเห็น และอยากมาหาคำตอบว่าทำไมเขาถึงเรียกอย่างนี้

 

เพื่อให้สัมผัสเสน่ห์ของ Blue City แบบใกล้ชิดได้อารมณ์ ได้ความรู้สึก ก็ต้องมาพักในเขตเมืองเก่า ความพิเศษของการมาพักบ้านแบบนี้ ก็คือ ข้างบนจะเป็นดาดฟ้า สามารถขึ้นไปดูวิวของหมู่บ้าน Blue City ได้สวยงามมาก นี่คือ คำตอบว่าทำไม เขาถึงเรียกเมืองนี้ว่า Blue City แห่งจ๊อดปูร ก็เพราะว่าในเขตเมืองเก่าอาคารส่วนใหญ่จะทาสีฟ้า มาจากเรื่องเล่าว่า สมัยก่อนนักบวชให้คำแนะนำว่า ถ้าอยากโชคดีมีความสุขก็ให้ทาอาคารเป็นสีฟ้าซะ ดังนั้น ชาวบ้านที่นี่ก็เลยทาสีอาคารเป็นสีฟ้า นอกจากฉายา Blue City แล้ว ที่นี่ก็ยังมีอีกหนึ่งฉายา คือ Sun City นั่นก็เพราะว่าที่นี่มีแดดจ้าตลอดทั้งปี ดังนั้น ถ้ามาเที่ยวที่นี่ก็ต้องระวังดูแลเรื่องสุขภาพ คอยดื่มน้ำเยอะๆ จะไปไหนก็ต้องเตรียมน้ำติดตัวไปด้วยตลอดเวลา

คนในย่านนี้ ส่วนใหญ่จะเป็นวรรณะพราหมณ์ เพราะว่าสมัยก่อนย่านนี้เป็นที่พำนักของเหล่าพราหมณ์ ประจำราชสำนัก ซึ่งเป็นกลุ่มแรกๆ ที่เริ่มทาสีบ้านเรือนให้เป็นสีฟ้า และต่อมาก็ขยายจนเป็นเมืองสีฟ้า ถ้าเรามองจากบนดาดฟ้าจะเห็นว่าบ้านเรือนไม่ได้ทาสีฟ้าทั้งหลัง แต่ส่วนใหญ่จะทาสีฟ้าด้านที่หันหน้าเข้าหาป้อมเมห์รังการห์ที่อยู่บนเขาหินด้านบนโน้นเท่านั้น เป็นป้อมที่สร้างขึ้นบนเขาหินสูงกว่า 100 เมตร ซึ่งเป็นชัยภูมิที่สามารถมองเห็นได้รอบทิศทาง หากมีข้าศึกมารุกราน และเขาบอกว่านี่คือป้อมปราการที่สวยงาม และยิ่งใหญ่ที่สุดในอินเดีย ป้อมแห่งนี้สร้างด้วยหินแทบทั้งหมด แต่ถึงแม้ว่าจะเป็นหิน เมื่อได้สัมผัสใกล้ชิดกลับรู้สึกถึงความอ่อนช้อยของงานสถาปัตยกรรม และความประณีตของช่างในสมัยนั้น ที่สามารถแกะสลักหินที่แข็งแกร่งให้มีความละเอียดสุดยอด ยิ่งได้เห็นในส่วนของพระราชฐาน ก็จะยิ่งเห็นถึงความงดงามที่สะท้อนถึงอำนาจและบารมีของมหาราชาในสมัยนั้นได้เป็นอย่างดี

สถานที่สะท้อนความยิ่งใหญ่ของราชวงศ์กษัตริย์ในชัยปุระอีกแห่งหนึ่ง คือ Umaid Brawan Palace เป็นพระราชวังสุดท้ายที่สร้างในประเทศอินเดีย แล้วก็เป็นหนึ่งในพระราชวังที่ใหญ่ที่สุดในโลก สร้างช่วงต้นศตวรรษที่ 20 ในสมัยของมหาราชาราม สิงห์ ระยะเวลาการก่อสร้างกว่า 15 ปี พระราชวังแห่งนี้สร้างงานให้คนท้องที่กว่า 3,000 คน ด้วยงบประมาณ 11 ล้านรูปี ซึ่งเป็นค่าเงินในปี ค.ศ. 1943 ปัจจุบันเป็นมรดกตกทอดมาถึงรุ่นที่ 3 แล้ว ภายในมีห้องเล็กใหญ่รวมกัน 347 ห้อง ปัจจุบันแบ่งส่วนหนึ่งเป็น Art Gallery และ Museum อีกส่วนหนึ่งเปิดเป็นโรงแรมหรูไว้คอยบริการนักท่องเที่ยวที่สนใจ

 

แลนด์มาร์คสำคัญที่นักท่องเที่ยวจะพลาดไม่ได้ถ้ามาที่ชัยปุระ ก็คือ หอนาฬิกา (Clock Tower) แต่ว่าไม่ได้มาเพื่อดูเวลาเท่านั้น เพราะที่นี่มีสิ่งที่น่าสนใจยิ่งกว่า ก็คือ วิถีชีวิต สไตล์ อินเดี๊ย อินเดีย สไตล์ที่ว่าด้วยความมีสีสัน และความแปลกใหม่ ชวนให้เราอยากเข้าไปดูใกล้ๆ ชวนให้ลองเปิดใจ ลองมาทำความรู้จัก แล้วคุณจะรู้ว่า อินเดียไม่ใช่แค่ที่ที่คุณเคยรู้จักแน่นอน

เชิญติดตามเรื่องราวทั้งหมดนี้ได้ในรายการโลก 360 องศา วันเสาร์นี้ เวลา 20.55 น. ทาง ททบ.5

 

ฟิลิปปินส์ เมื่อมองหา ก็มองเห็น

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์โพสต์ทูเดย์

09 กันยายน 2560 เวลา 12:51 น….. อ่านต่อได้ที่ : https://www.posttoday.com/travel/world/513834

ฟิลิปปินส์ เมื่อมองหา ก็มองเห็น

โดย โลก 360 องศา

เสน่ห์และสีสันในการเดินทางท่องเที่ยวในประเทศฟิลิปปินส์ ที่ประกอบไปด้วยเกาะน้อยใหญ่จำนวน 7,641 เกาะ ซึ่งทอดตัวตามแนวเหนือ-ใต้ ตั้งอยู่ในแถบวงแหวนไฟ และเคยมีการเคลื่อนตัวของแผ่นดิน คือ มีภูมิประเทศที่หลากหลายและแปลกตา เช่น แนวเขาหินปูน ทะเลสาบบนยอดเขา หุบเขาบนเกาะกลางทะเล ถ้ำใต้ดิน ป่าเขตร้อน และทุ่งหญ้ากว้างใหญ่ จึงทำให้มีที่เที่ยวมากมาย ไม่ว่าจะเป็นเกาะลูซอน เกาะใหญ่ที่สุดทางตอนเหนือ เป็นศูนย์กลางทางเศรษฐกิจ การเมืองของประเทศ และเป็นเกาะที่มีพื้นที่ราบมากที่สุด หรือพาลาวัน เกาะสวรรค์ของคนรักทะเลก็น่าสนใจไม่น้อย เซบู เกาะที่มีประวัติศาสตร์เก่าแก่ และมีหาดทรายขึ้นชื่อสวยงามก็อยากไปเยือน แต่ถ้าออกนอกมะนิลาไปสักชั่วโมงครึ่งก็จะไปเจอภูเขาไฟ ตาอัล (Taal) ขึ้นเหนือไปทางเกาะ Luzon ก็จะมีบรรยากาศ ทุ่งหญ้า เหมือนกับว่าเรายืนอยู่ในยุโรปในช่วงหน้าหนาว ส่วนทางตอนใต้ก็จะเป็นอีกอารมณ์เหมือนเราไปอยู่บาหลี  เยอะแยะไปหมดจนเลือกไม่ถูกว่าจะไปเที่ยวไหนดี แต่ครั้นจะเดินทางไปทั่วทั้งประเทศ ก็คงจะเป็นเรื่องยาก และใช้เวลานานเกินไป แล้วเราควรไปที่ไหนกันดีล่ะ?

หากคำนิยามของการเดินทางท่องเที่ยวที่ดี คือ ต้องเดินทางไม่ไกลจนเกินไป ค่าใช้จ่ายไม่สูงมาก​และที่สำคัญ คือ ต้องมีภูมิประเทศที่หลากหลายมารวมกันไว้ในเกาะเดียว เกาะโบโฮล (Bohol) คือ คำตอบที่ลงตัวสำหรับพวกเราทีมงานโลก 360 องศา ที่คิดว่าน่าจะเป็นจุดคุ้มที่สุด เพราะใช้เวลาเดินทางโดยเครื่องบินจากมะนิลาเพียงชั่วโมงครึ่ง ค่าที่พักก็ไม่แพงจนเกินไป การเดินทางไปในแต่ละจุดบนเกาะ ก็มีรถเช่าไว้คอยบริการอย่างสะดวกสบาย โบโฮล เป็นเกาะไม่ใหญ่มากตั้งอยู่ในพื้นที่ “วิสาย๊าส”(Visayas) ทางตอนกลางของประเทศ มีพื้นที่ประมาณ 4,800 ตารางกิโลเมตร และมีประชากรอาศัยอยู่ประมาณ 1 ล้าน 3 แสนคนเท่านั้น เริ่มเป็นที่รู้จักจากนักท่องเที่ยว ในฐานะที่ตั้งของช็อกโกแลตฮิลล์ (Chocolate hills) กลุ่มภูเขาทรงกรวยคว่ำ สีน้ำตาล เหมือนกับว่าภูเขาทั้งลูกถูกราดด้วยช็อกโกแลต และเมื่อมาถึงเกาะนี้ยังมีอะไรที่น่าสนใจกว่านั้นอีกมาก

โบฮอล มีเมืองหลวงชื่อน่ารักว่า ตั๊กบิลารัน แม้จะเป็นเมืองหลวง แต่ก็ไม่ได้เป็นเมืองใหญ่ จึงไม่รู้สึกแออัด หรือกังวลเรื่องรถติดเพราะเมืองนี้มีประชากรอยู่แค่ประมาณ 1 แสนคนเท่านั้นเอง เป็นเมืองเล็กๆ ที่นี่มีทุกสิ่งทุกอย่างที่จำเป็น มีห้างสรรพสินค้าอยู่ 3-4 แห่ง มีโรงพยาบาล มีมหาวิทยาลัย  มีโรงเรียน มีท่าเรือ และท่ารถโดยสารครบ ยานพาหนะหลักที่คนส่วนใหญ่ใช้ในการเดินทาง ก็คือ Pedicap หรือรถมอเตอร์ไซค์พ่วงข้างสีสันสดใส เพราะเจ้าโครงที่นำมาครอบมอเตอร์ไซค์นั้น ถูกออกแบบมาให้บรรทุกได้มาก แถมสามารถกันแดดกันฝนได้อีกด้วยจึงสามารถใช้ประโยชน์ได้สารพัด ผู้คนที่นี่ส่วนใหญ่ล้วนมีสีหน้ายิ้มแย้มแจ่มใสและเป็นมิตร ทำให้เมืองนี้ถูกขนานนามว่า “City of friendships” หรือเมืองแห่งมิตรภาพ ซึ่งทีมงานก็สัมผัสได้ถึงความรู้สึกแบบนั้นเช่นกัน คือ คนที่นี่ยิ้มแย้มแจ่มใส มีน้ำใจ​ และชอบทักทายคนแปลกหน้าอย่างพวกเรา ยิ่งพอได้รู้ว่าเรามาจากเมืองไทยด้วยแล้วละก็ ยิ่งมีเรื่องให้ได้คุยกันยาว ซึ่งประโยคหลักๆ ที่เรามักได้ยินเสมอคือ พวกเราหน้าตาคล้ายกันมาก และคนฟิลิปปินส์ชอบหนังไทยม๊ากกกกกนั่นเอง

คนที่นี่บอกว่า ถ้ามาถึงโบโฮลแล้วสิ่งแรกที่ควรทำ คือ ต้องแวะไปทักทายเจ้าบ้านตัวจิ๋ว นั่นก็คือ ลิงทาร์เซียร์ฟิลิปปินส์ (Philippines Tarsier) ภาษาตากาล็อก เรียกพวกมันว่า “มามัก” แต่บางครั้ง เจ้าลิงจิ๋วนี่ ก็รู้จักในชื่อของ “ลิงปิ๊กมี่ทาร์เซียร์” เป็นสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมขนาดเล็กที่สุดในโลกชนิดหนึ่ง คือเล็กพอๆ กับกำปั้นของเราเมื่อโตเต็มวัย จะมีน้ำหนักแค่ 80-150 กรัม ส่วนของลำตัวก็ยาวประมาณ 5 นิ้วเท่านั้น บวกกับหางอีกประมาณ 10 นิ้ว เลยทำให้เจ้าจิ๋วของเราดูตัวโตขึ้นมาอีกนิดหนึ่ง เบ้าตาของทาร์เซียร์ใหญ่มาก เมื่อเทียบกับขนาดสมองของมันเอง ทั้งนี้ก็เพื่อให้มองเห็นชัดในเวลากลางคืนเห็นลูกตาโตๆ แบบนี้ แต่กลับกลิ้งตาไม่ได้ ดังนั้นถ้าจะมองอะไร เจ้าทาร์เซียร์ก็ต้องหมุนคอไปมอง ซึ่งทำให้มันหมุนคอได้ถึง 180 องศาเลยทีเดียว ปัจจุบันลิงทาร์เซียร์จึงได้รับการคุ้มครองจากรัฐบาล โดยมีศูนย์อนุรักษ์และคุ้มครองอยู่บนเกาะโบโฮล และเปิดให้นักท่องเที่ยวได้เข้ามาชมได้ แต่มีกติกาพื้นฐานก็คือ ห้ามส่งเสียงรบกวน​ ห้ามใช้แฟลช​และห้ามใช้ไม้เซลฟี่ยื่นเข้าไปเพื่อถ่ายรูปใกล้ๆ ว่ากันว่า เจ้าลิงทาร์เซียร์นี่แหละที่เป็นต้นแบบของตุ๊กตาเฟอร์บี้ ที่เคยเป็นที่นิยมไปทั่วโลกนั่นเอง

บนเกาะโบฮอลยังมีที่เที่ยวน่าสนใจอีกก็คือหมู่บ้านเล็กๆ ที่มีชื่อว่า คานดิเจ (Candijay) ซึ่งมีภูมิประเทศสวยงาม และมีวิธีการจัดการที่น่าสนใจ เพราะแต่เดิมสถานที่แห่งนี้ไม่ได้จงใจถูกสร้างขึ้นมา เพื่อรองรับนักท่องเที่ยว แต่ภาพความงามที่ถูกเผยแพร่ออกไป ก็ทำให้หลายคนอยากจะมาเห็น พอมีนักท่องเที่ยวมามากๆ เข้า ถนนหนทางก็ชำรุด เสื่อมโทรมเร็วขึ้น และนักท่องเที่ยวบางคนก็อาจบุกรุกเข้าไปในพื้นที่เพาะปลูกของชาวบ้าน สร้างความเสียหายให้กับพืชผล ดังนั้นชาวบ้านที่นี่เขาก็เลยรวมกลุ่มกันเพื่อเข้ามาจัดการกับนักท่องเที่ยวให้เป็นระบบมากขึ้น เช่น ไม่อนุญาตให้ขับรถยนต์เข้าไปในหมู่บ้าน เพราะว่าจะทำให้ถนนเสื่อมสภาพเร็ว บางชุมชนก็จะจัดเป็น Ecotouism ก็คือชาวบ้านมีส่วนร่วม แล้วก็พานักท่องเที่ยวชมภูมิประเทศของเขา นักท่องเที่ยวต้องจ่ายค่าผ่านประตูนิดหน่อยเพื่อนำรายได้กลับมาบำรุงชุมชน นับว่าเป็นช่องทางของการกระจายรายได้ไปทั่วถึงคืนสู่ชุมชนอย่างแท้จริง

คนฟิลิปปินส์กินข้าวเป็นอาหารหลัก แล้วก็กินเยอะมาก แต่ว่าโชคร้ายหน่อยที่ประเทศนี้ไม่มีที่ราบลุ่มริมน้ำเหมือนบ้านเรา เขาก็เลยผลิตข้าวได้จำกัด แล้วก็ไม่พอที่จะบริโภคภายในประเทศเสียด้วยซ้ำ ส่วนใหญ่ยังต้องนำเข้าอยู่ แต่ว่าด้วยความที่พื้นที่จำกัด ทำให้ต้องหาพื้นที่ปลูกตามพื้นที่ที่ดินพอจะปลูกได้ ตามริมเขา หรือว่าหุบลงมาก็จะปลูกโดยทำเป็นนาขั้นบันได แม้จะมีความยากลำบากแต่ว่านอกจากจะมีข้าวไว้กินแล้ว ก็ยังได้ทัศนียภาพที่สวยงามให้กับประเทศที่ทำให้ใครๆ ก็อยากมาเที่ยวกัน

ถ้ามาที่ Bohol แล้วที่ที่คนส่วนใหญ่จะต้องมาอีกที่หนึ่งก็คือเมือง Ubay มาเพื่อลองชิมของขึ้นชื่อคือ นมจาก Carabao  ซึ่งมีหลายรสด้วยกัน ถ้าแบบดั้งเดิมก็เป็น Fresh milk เลย แต่ถ้าเป็นรสแบบเอาใจคนฟิลิปปินส์หน่อย ก็เป็นนมควายรสมะม่วง ซึ่งไม่ใช่แค่แปลกเท่านั้นแต่อร่อยมากด้วย สำหรับคนฟิลิปปินส์แล้ว ควายหรือ คาราเบานั้น มีความหมายและมีความสำคัญกับพวกเขามาก เพราะเป็นแรงงานสำคัญที่เอาไว้ใช้ในการเกษตร ดังนั้นรัฐบาลจึงมีหน่วยงานที่คอยส่งเสริมและพัฒนาสายพันธุ์ควายพื้นเมืองฟิลิปปินส์ คาราเบา เซ็นเตอร์ (Philippines Carabao Center) เป็นหน่วยงาน ภายใต้กระทรวงเกษตร ที่จัดตั้งขึ้นมาเพื่อส่งเสริมและพัฒนาพันธุ์ควาย ให้กลายเป็นความสารพัดประโยชน์ พูดง่ายๆ ก็คือ ใช้ทำนาได้ด้วย ให้นมได้ด้วย และบางทีก็เลี้ยงไว้เพื่อบริโภคเนื้อ แต่จริงๆ แล้วคนฟิลิปปินส์เขาไม่ได้ดื่มนมควายเป็นอาหารหลัก เพราะว่าเดิมทีควายถูกใช้เพื่อทำการเกษตรเท่านั้น แต่ว่ามาช่วงหลังนี่เองที่เขาพยายามปรับปรุงสายพันธุ์ เพื่อให้ควายสามารถทำนาได้ด้วย แล้วก็สามารถรีดนมได้ด้วย

ถึงตรงนี้หลายคนที่ไม่เคยมองให้ประเทศฟิลิปปินส์เป็นหนึ่งในตัวเลือกที่จะเดินทางไปท่องเที่ยวหรือว่าหาประสบการณ์อาจจะเปลี่ยนใจ เพราะเพียงแค่เกาะๆ หนึ่งในประเทศเอง นอกจากสามล้อสีสดใส ลิงตัวจิ๋ว น้ำตกสูง ทุ่งนาขั้นบันได และผลิตนมควาย แล้ว ที่เกาะโบโฮล ที่ประเทศฟิลิปปินส์ยังมีอะไรอีกมากมายซุกซ่อนอยู่แน่นอน เพราะทุกสิ่งทุกอย่างนั้นแม้มีความแตกต่างกัน แต่ล้วนมีคุณค่า ความงาม ความสำคัญไม่แตกต่างกัน ขอเพียงแค่เรามองหาและมองให้เห็น เราก็จะสัมผัสถึงเสน่ห์แห่งความงามในฟิลิปปินส์ได้อย่างแท้จริง

สัปดาห์หน้ามีอีกหนึ่งมิติที่จะนำมาเสนอให้กับการรับรองว่าฟิลิปปินส์จะเป็นหนึ่งในตัวเลือกปลายทางของการเดินทางครั้งต่อไปอย่างแน่นอน เชิญติดตามเรื่องราวของฟิลิปปินส์ เพียงแค่มองหา ก็มองเห็น ได้ในรายการโลก 360 องศา วันเสาร์นี้ ทาง ททบ. 5

 

ฟ้าจรดทรายบนดินแดนในฝัน

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์โพสต์ทูเดย์

26 สิงหาคม 2560 เวลา 07:50 น…. อ่านต่อได้ที่ : https://www.posttoday.com/travel/world/511147

ฟ้าจรดทรายบนดินแดนในฝัน

โดย…กันย์ ภาพ : พัชรินทร์ ลิขิตโต

 จั่วหัวชื่อเรื่องอาจจะไม่ไกลเกินจริงสำหรับคนที่รักการเดินทาง เพราะโลกสร้างมาให้มีความแตกต่าง เพื่อให้เราได้ออกเดินทางไปพบเห็นสิ่งที่แตกต่างไปจากชีวิตเดิมๆ

สำหรับผู้ที่ชื่นชอบอารยธรรม ชอบธรรมชาติ ผสมความใหม่ สด ดิบ ประเทศ “โมร็อกโก” ถือว่าเป็นตัวเลือกที่น่าสนใจ

โมร็อกโกเป็นดินแดนแอฟริกาเหนือ อาณาจักรแขกมัวร์อันไกลโพ้น ที่คุณจะได้สูดกลิ่นอายของมหาสมุทรแอตแลนติก ผสานกับกลิ่นอายของทะเลทรายที่นวลเนียนที่สวยที่สุดของซาฮารา

สุเหร่ากษัตริย์ฮัสซันที่ 2

 โมร็อกโกเป็นดินแดนอาหรับ หากอุณหภูมิร้อนระอุจะทะลุถึง 45 องศาเซลเซียส แต่ถ้าหนาวจะมีหิมะตกในบางเมืองอุณหภูมิเหลือ 7 องศาเซลเซียส แต่สำหรับการเดินทางครั้งนี้เราเดินทางไปเที่ยวในช่วงปลายเดือน ก.ค. ซึ่งเป็นครั้งแรกที่เดินทางไปเที่ยวกันเองโดยไม่ซื้อทัวร์จากประเทศไทย แต่ไปซื้อทัวร์ท้องถิ่นที่โมร็อกโกโดยใช้บริการทัวร์ของบริษัทเล็กๆ ชื่อ OVER MOROCCO TOUR ซึ่งมาพร้อมรถออฟโรดและไกด์ท้องถิ่นในราคาที่ไม่แพงนัก

เราลงเครื่องที่ คาซาบลังกา ตอนเช้า โดยเริ่มต้นด้วยการแวะชมสุเหร่าของกษัตริย์ฮัสซันที่ 2 สุเหร่าที่มีขนาดใหญ่เป็นลำดับที่ 3 ของโลก ตั้งอยู่ริมชายฝั่งมหาสมุทรแอตแลนติก สร้างขึ้นในวาระครบ 60 ชันษาของกษัตริย์ฮัสซันที่ 2 ในรูปแบบสถาปัตยกรรมโมร็อกโก คือตัวสุเหร่าปูด้วยหินอ่อนสีไข่ไก่ มีการสลักลวดลายอย่างวิจิตรและเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัว ส่วนตัวหลังคาสร้างด้วยกระเบื้องสีเขียว และภายในสุเหร่าบรรจุคนได้มากกว่า 1 แสนคน

จากนั้นผ่าน เมืองราบัต เมืองหลวงของประเทศโมร็อกโก เพื่อแวะกินข้าวกลางวันในตลาดริมทาง เป็นเมนูเนื้อและไก่ย่างแบบคนท้องถิ่น กินกับแผ่นแป้งหนาๆ อบ โรยเกลือ พริกไทย และเครื่องเทศพื้นเมือง

ระหว่างทางจะเจอโอเอซิสเป็นระยะ

 หลังจากนั้นเรามุ่งหน้าสู่ เมืองเชฟชาอูน นครสีฟ้า เมืองเล็กแต่น่ารัก อากาศดีเย็นสบาย ทั้งเมืองทาด้วยสีฟ้าและขาว เป็นเมืองเก่าแก่กว่า 500 ปี

เชฟชาอูน ไม่ได้เป็นเมืองท่องเที่ยวที่หรูหรา แต่เป็นเมืองเล็กที่ดูอบอุ่นเป็นกันเอง ถนนเป็นซอยแคบไม่ให้รถใหญ่เข้า เพราะเป็นทางลงเนินเขา ในอดีตชาวยิวจากสเปนอพยพมาอยู่และทาบ้านเป็นสีฟ้าขาว จากนั้นเป็นต้นมาทั้งเมืองก็ยังทาสีฟ้าขาวทุกตรอกซอกซอย และเชื่อกันว่าสีฟ้าเป็นสีที่ป้องกันยุงได้ดีด้วย

เราค้างที่เมืองเล็กๆ แห่งนี้ ซึ่งถือเป็นเมืองที่นักท่องเที่ยวทุกคนต้องมาปักหมุด และที่สำคัญคือเป็นเมืองที่ปลอดภัย ขนาดร้านรวงปิดแล้วก็ไม่เก็บข้าวของเข้าร้าน ใช้เพียงผ้าคลุมไว้ของก็ไม่หาย

เชฟชาอูน นครสีฟ้า

 วันต่อมามุ่งหน้าไปทะเลทรายซาฮาราโดยผ่าน เมืองเออร์ฟูน เมืองที่ได้ชื่อว่าเป็นแหล่งปลูก ผลิต และส่งออกอินทผลัมคุณภาพดีไปทั่วประเทศและต่างประเทศ ชิมแล้วรสดีสมคำร่ำลือ มีความหนึบเหนียว และไม่แฉะเยิ้มเหมือนที่เคยกิน

เรานอนที่ซาฮารา 2 คืน โดยนอนที่โรงแรม 1 คืน และนอนในแคมป์กลางทะเลทราย 1 คืน โดยทิ้งกระเป๋าเดินทางใบใหญ่ไว้ที่โรงแรม อาบน้ำจากโรงแรม นำแค่ชุดนอนกับของใช้จำเป็นไป พอแดดร่มทางบริษัททัวร์ได้พาเราขี่อูฐจากโรงแรมไปทะเลทรายประมาณ 45-50 นาที เพื่อไปชมพระอาทิตย์ตก

บริเวณแคมป์กลางทะเลทรายมีห้องน้ำ มีที่นอนแคมป์ละ 2 คน มีพ่อครัว (คนดูแลอูฐ) ทำอาหารแบบเบอร์เบอร์ให้รับประทาน เขาทำอาหารง่ายๆ 2-3 อย่าง พร้อมชงชาสะระแหน่ให้ดื่ม หลังจากนั้นก็เดินไปดูพระอาทิตย์ตกที่สันทราย ซึ่งแม้จะเป็นหน้าร้อนแต่อากาศยามเย็นค่ำที่ทะเลทรายก็ไม่ร้อน พอมีลมเอื่อยๆ ให้ชื่นใจ และแม้จะเกือบ 2 ทุ่มแล้ว แต่พระอาทิตย์ก็ยังส่องแสงอยู่เลย

ถนนคดเคี้ยวท่ามกลางธรรมชาติ

 ทว่า เมื่ออิ่มเอมกับมื้อเย็นเสร็จ เราทุกคนก็เตรียมนอนดูดาวซึ่งท้องฟ้าเหนือซาฮาราโล่งกว้างทำให้เราเห็นดาวอย่างชัดเจน นับเป็นช่วงเวลาแห่งความโรแมนติกหากคุณไปกับคู่รักที่จะได้จับมือนั่งดูดาวด้วยกัน

วันถัดมาก๊วนเราได้ออกเดินทางต่อไปยัง เมืองมาราเกซ โดยผ่านเมืองโบราณที่มีความเป็นมาอย่างยาวนานชื่อ เมืองไอท์ เบน ฮาดดู เมืองนี้เคยเป็นจุดพักกองคาราวานจากซาฮาราที่จะเดินทางไปยังเมืองมาราเกซ โดยมีจุดโดดเด่นคืออาคารต่างๆ ที่ถูกสร้างด้วยดินทราย ล้อมรอบด้วยกำแพงสูงซึ่งเป็นสถาปัตยกรรมทางใต้ของโมร็อกโก

ภูมิประเทศที่เป็นเนินเขาทำให้เมืองโบราณแห่งนี้มีความสวยงามแปลกตาจนได้รับการขึ้นทะเบียนให้เป็นมรดกโลกของยูเนสโกในปี 1987 และยังเป็นโลเกชั่นสำหรับการถ่ายทำภาพยนตร์มาแล้วหลายเรื่อง เช่น ลอเรนซ์แห่งอาราเบีย (Lawrence of Arabia) และนักรบผู้กล้าผ่าแผ่นดินทรราช (Gladiator) ซึ่งยังมีโรงถ่ายเก่าที่เก็บอุปกรณ์เอาไว้ให้เยี่ยมชมได้

นกนางนวลที่เมืองเอสซาเวลา

 ส่วนเมืองมาราเกซนั้นเป็นเมืองสีชมพู อาคารบ้านเรือนเป็นโทนสีชมพูไปทั้งเมือง และเป็นเมืองเศรษฐกิจใหม่ที่มีดีไซเนอร์ดังๆ มาอยู่เพื่อสร้างสรรค์ผลงาน ทำให้สินค้าที่นี่สวยและมีราคาแพง ส่วนสถานที่ที่ต้องแวะต้องไม่พลาด คือบ้านและสวนของดีไซเนอร์ชื่อดัง อีฟ แซงต์ โลรองต์ ที่กระดูกของเขาได้ฝังไว้ที่สวนแห่งนี้ด้วย

นอกจากนี้ ยังต้องไปช็อปปิ้งที่ตลาดกลางแจ้ง จามา เอลฟานา เป็นตลาดขนาดใหญ่บนลานโล่งกว้าง ขายอาหาร ผลไม้ ถั่ว และด้านหลังเป็นบาร์ซาขนาดใหญ่ประหนึ่งจตุจักรบ้านเรา ขายงานพื้นเมืองและงานแฮนด์เมดมากกว่าสินค้าจากโรงงานอย่างบ้านเรา

และอีกหนึ่งสถานที่สำคัญอย่างพระราชวังบาเฮีย ของท่านมหาอำมาตย์ ผู้สำเร็จราชการแผ่นดินแทนยุวกษัตริย์ในอดีต สร้างขึ้นในช่วงปลายศตวรรษที่ 19 ตกแต่งโดยการแกะสลักปูนปั้น มีการวาดลายบนไม้ และประดับประดาด้วยโมเสก ซึ่งถึงแม้ว่าวังนี้จะไม่ใหญ่มากมาย แต่ความสวยงามนั้นสุดอลังการ

แพะภูเขาบนต้นอาร์แกนออยล์

 จนกระทั่งเส้นทางได้ไปสิ้นสุดที่เมืองริมทะเล เมืองเอสซาเวลา อันแสนคลาสสิก อากาศในเมืองนี้มีลมเย็นจนขนลุกสมกับเป็นเมืองแห่งลม (Windy City) จนทำให้เกสต์เฮาส์ริมทะเลไม่มีทั้งแอร์และพัดลม เพราะว่ามีลมพัดอื้ออึงแถมยังต้องห่มผ้านอน

การเดินทางของเราผ่านหลายเมือง ซึ่งระหว่างที่รถเคลื่อนผ่าน หากโชคดีจะเจอกับไฮไลต์สำคัญที่ไม่ใช่ทุกคนจะเจอ นั่นคือแพะภูเขาที่กำลังปีนต้นอาร์แกนออยล์ ที่ไม่ได้พบบ่อยนัก และอดไม่ได้ที่ต้องขอจอดรถแล้วลงไปเก็บภาพไว้เป็นที่ระลึก

โดยสรุปแล้วทริปนี้เราเดินทางทั้งหมด 7 เมือง เจออากาศทั้งร้อนมาก ร้อนสบาย เย็น หนาว และฝน ครบทุกอารมณ์ในประเทศเดียว รวมถึงสถาปัตยกรรมที่เต็มไปด้วยเสน่ห์ ก็ยิ่งทำให้หลงใหลและหลงรักโมร็อกโกเข้าอย่างจัง

สวนในบ้านของดีไซเนอร์ดัง อีฟ แซงต์ โลรองต์

รถม้าชมเมืองมาราเกซ

จานกระเบื้องประดับบ้าน เป็นของฝากขึ้นชื่อที่ตลาดจามา เอลฟานา

ป้อมทาเริท แห่งตระกูลกลาวี

ตรอกซอกซอยในนครสีฟ้า

ถนนตัดผ่านภูเขาแทนเจีย

ร้านขายโคมไฟที่ตลาดจามา เอลฟานา

จุดชมวิวเมืองเชฟชาอูน

พระราชวังบาเฮีย

ชายทะเลเมืองเอสซาเวลา

 

 

ก๊วนบล็อกเกอร์ แนะนำ 5 ประเทศมาแรง

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์โพสต์ทูเดย์

19 สิงหาคม 2560 เวลา 08:41 น….. อ่านต่อได้ที่ : https://www.posttoday.com/travel/world/509838

ก๊วนบล็อกเกอร์ แนะนำ 5 ประเทศมาแรง

โดย…รอนแรม ภาพ : สกายสแกนเนอร์

 เวลาครึ่งปีผ่านไปอย่างรวดเร็ว จนหลายคนต้องหันไปเปิดเช็กลิสต์ที่เขียนไว้ด้วยความแน่วแน่เมื่อต้นปี ซึ่งหากหนึ่งในนั้นคือ คุณยังไม่ได้เดินทางไปต่างประเทศ

สกายสแกนเนอร์ ผู้บริการด้านเสิร์ชเอนจิ้นหรือบริการค้นหาตั๋วเครื่องบิน โรงแรมที่พัก และรถเช่าออนไลน์ ได้ร่วมกับบล็อกเกอร์ท่องเที่ยว 10 คน 10 เพจเฟซบุ๊ก ได้แก่ ไปไหนดี บันทึกคนขี้เที่ยว พาวัวไปล่าม ไปไงมาไง แวร์เรฟเวอร์ไอโก (Wherever I Go) เจอร์นีย์อะฮอลิก (Journeyaholic) อะทราเวลเลอร์บล็อก (A Traveler Blog) โกกราฟ (Go Graph) เดอะทราเวลเลอร์ซ (The Travelerz) แนะนำ 5 จุดหมายปลายทางมาแรงที่ต้องไปพิชิตก่อนสิ้นปี 2560

อินโดนีเซีย ประเทศฮิปสเตอร์

บล็อกเกอร์ 6 คน ได้แก่ ไปไหนดี บันทึกคนขี้เที่ยว พาวัวไปล่าม แวร์เรฟเวอร์ไอโก เจอร์นีย์อะฮอลิก และอะทราเวลเลอร์บล็อก ลงความเห็นว่า อินโดนีเซีย เป็นประเทศที่น่าจับตามองในปีนี้ ซึ่งตรงกับข้อมูลจากสกายสแกนเนอร์ ที่พบว่า อินโดนีเซียถูกจัดให้อยู่ในอันดับที่ 14 จาก 100 สถานที่ท่องเที่ยวยอดนิยม ที่มีผู้ค้นหามากที่สุดบนสกายสแกนเนอร์ เนื่องจากมีกิจกรรมมากมายให้กับนักท่องเที่ยวหลายประเภท

นอกจากบาหลีสถานที่ท่องเที่ยวทางทะเลที่โด่งดัง อินโดนีเซียยังมีสถานที่ที่ควรค่าแก่การไปเยือนอย่าง บุโรพุธโธ พุทธสถานในแดนอิเหนาที่เป็นมรดกโลก และภูเขาไฟโบรโม่ ภูเขาไฟที่ยังคุกรุ่นอยู่บนเกาะชวาตะวันออกที่สาวกฮิปสเตอร์นิยมไปพิชิต ทั้งนี้ อินโดนีเซียยังได้รับความนิยมจากนักท่องเที่ยวมากขึ้น โดยมีสัดส่วนการค้นหาเพิ่มขึ้นร้อยละ 4.80

ฟิลิปปินส์ ประเทศสีฟ้าคริสตัล

บล็อก 4 คน ได้แก่ เดอะทราเวลเลอร์ซ แวร์เรฟเวอร์ไอโก โกกราฟ และเจอร์นีย์อะฮอลิก ยกให้ฟิลิปปินส์เป็นประเทศน่าเที่ยวสำหรับนักท่องเที่ยวคนไทยในปีนี้ ด้วยความที่มีอากาศคล้ายคลึงกับประเทศไทย คนท้องถิ่นสามารถพูดภาษาอังกฤษได้ เป็นมิตรกับนักท่องเที่ยว และสถานที่ท่องเที่ยวอย่าง ท้องทะเล ที่ขึ้นชื่อเรื่องน้ำทะเลใสประหนึ่งคริสตัล โดยสามารถสัมผัสได้ที่ เกาะโบราไกย์ ปาลาวัน และปวยร์โตกาเลรา สามสุดยอดชายหาดที่ควรไปเยือนสักครั้งในชีวิต นอกจากนี้ ฟิลิปปินส์ยังถูกจัดให้อยู่ในอันดับที่ 23 จาก 100 สถานที่ยอดนิยมของสกายสแกนเนอร์ด้วย

เนปาล ประเทศของสายธรรมชาติ

บล็อกเกอร์แห่งเพจเฟซบุ๊ก บันทึกคนขี้เที่ยว การันตีว่า ประเทศเนปาล เป็นสวรรค์ของคนรักธรรมชาติ เพราะวิวทิวทัศน์ของเทือกเขาหิมาลัยจากภูมิภาคอันนาปุรณะที่สวยจับใจ โดยเฉพาะยอดเขาต่างๆ ที่ทำให้รู้สึกราวกับอยู่บนสวรรค์ รวมถึงทะเลสาบที่ทำให้เนปาลเป็นดินแดนในอุดมคติของนักท่องเที่ยว จนได้รับการขนานนามว่า สวิตเซอร์แลนด์ของเอเชีย และสถานที่สำคัญหลายแห่งก็ยังได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกทางวัฒนธรรมจากองค์การยูเนสโก

คนไทยจึงต้องลบความคิดที่ว่า การไปเที่ยวเนปาลเป็นเรื่องที่เป็นไปได้ยาก เพราะหารู้ไม่ว่าดินแดนในอ้อมกอดของภูเขาแห่งนี้อยู่ใกล้แค่เอื้อม

โครเอเชีย ประเทศในเทพนิยาย

บล็อกเกอร์แห่งเพจเฟซบุ๊ก โกกราฟ ได้แนะนำให้คนไทยไปเยือนโครเอเชีย ประเทศในยุโรปที่สวยงามดั่งเทพนิยาย ด้วยสถานที่ท่องเที่ยวอลังการ เช่น ซากพระราชวังโบราณเก่าแก่ อัฒจรรย์ ทะเล และภูเขาที่จะทำให้ประทับใจและหลงรัก เรียกได้ว่าเป็นเมืองประวัติศาสตร์ที่เต็มไปด้วยความบันเทิง โดยโครเอเชียเป็นประเทศที่มีแดดตลอดปี ช่วงเวลาที่เหมาะสมในการไปเที่ยวคือ ตั้งแต่เดือน พ.ค.-ส.ค. และใครที่เป็นสาวกซีรี่ส์ชื่อดังอย่าง เกม ออฟ โทรนส์ ก็ยิ่งต้องไม่พลาดไปตามรอยสถานที่ถ่ายทำในดินแดนในฝันแห่งนี้

อิหร่านและโอมาน ประเทศแห่งอารยธรรม

บล็อกเกอร์ท่องเที่ยว 2 คน ได้แก่ โกกราฟ และไปไงมาไง ได้เลือกให้ประเทศอิหร่านและโอมาน เป็นทางเลือกที่คนไทยต้องหันไปมอง เพราะนับตั้งแต่สายการบินราคาประหยัดเปิดเส้นทางไปยังทั้งสองประเทศนี้ ก็ได้ทำให้ตะวันออกกลางได้รับความสนใจจากคนไทยเป็นอย่างมาก

นักท่องเที่ยวจะได้ชื่นชมพระราชวังแห่งอาราเบียน มัสยิด และสถาปัตยกรรมที่ล้ำค่า ที่ถูกห้อมล้อมโดยภูเขาและซากปรักหักพังโบราณ รวมถึงทะเลทรายกว้างไกลสุดตา ที่ถึงแม้ว่าสภาพอากาศจะร้อนและแห้ง แต่รับรองว่าจะได้รับความทรงจำน่าตื่นเต้นและประทับใจกลับไปแน่นอน

สกายสแกนเนอร์เผยข้อมูลว่า มีสัดส่วนการค้นหาเที่ยวบินไปยังอิหร่านบนสกายสแกนเนอร์เพิ่มขึ้นร้อยละ 50.69 และสัดส่วนการค้นหาเที่ยวบินไปยังโอมานเพิ่มขึ้นร้อยละ 34.42 จึงน่าตื่นตาตื่นใจที่จะได้ค้นหาความแปลกใหม่ในดินแดนตะวันออกกลาง

 

 

ซิดนีย์ เมืองนี้ไม่ได้มีดีแค่โอเปร่าเฮ้าส์

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์โพสต์ทูเดย์

01 กรกฎาคม 2560 เวลา 09:21 น…. อ่านต่อได้ที่ : http://www.posttoday.com/travel/world/500819

ซิดนีย์ เมืองนี้ไม่ได้มีดีแค่โอเปร่าเฮ้าส์

โดย…อาภารัตน์

 หากพูดถึงซิดนีย์ เมืองหนึ่งในรัฐนิวเซาท์เวลส์ที่มีชื่อเสียงที่สุดในออสเตรเลีย หลายๆ คนอาจจะรู้สึกว่าเมืองนี้ยังคงไกลตัวเกินไปที่จะออกเที่ยว เพราะนึกดูแล้วซิดนีย์ ก็ไม่ได้มีชื่อเสียงด้านไหนเป็นพิเศษ นอกเสียจากสัญลักษณ์ของเมือง อย่าง โอเปร่าเฮ้าส์ และสะพานฮาเบอร์บริดจ์ ตั้งโดดเด่นอยู่คู่กันเท่านั้นที่ชวนให้นึกถึง และที่สำคัญซิดนีย์ยังเคยได้รับการจัดอันดับให้เป็นเมืองที่มีค่าครองชีพสูงที่สุดในโลกอีกด้วย

เหตุนี้เองจึงทำให้นักท่องเที่ยวหลายๆ คนแอบขยาดอยู่เล็กๆ แต่ถ้าหากได้ลองไปใช้เวลาสัมผัสกับเมืองนี้ดีๆ จะพบว่าซิดนีย์ก็มีเสน่ห์และน่าสนใจอยู่ไม่ใช่น้อย

ด้วยความที่ออสเตรเลียเป็นประเทศที่มีขนาดใหญ่เป็นอันดับ 6 ของโลก จึงทำให้มีสภาพภูมิประเทศที่หลากหลาย เรียกว่าแทบจะหาได้ครบเลยทีเดียว ทั้งป่าเขา พื้นที่แห้งแล้งแบบทะเลทรายทางตอนกลางของประเทศ ยอดเขาที่ปกคลุมไปด้วยหิมะ เกาะแก่งน้อยใหญ่ ที่ซ่อนความงามชวนหลงใหล ของหาดทรายสีขาวหรือแนวปะการังที่ใหญ่ที่สุดในโลกอย่าง เกรทแบริเออร์รีฟที่สามารถมองเห็นได้จากชั้นบรรยากาศของโลก

มหาวิหารเซนต์แมรี่รูปทรงสวยงามที่มีอายุเก่าแก่กว่าร้อยปี ที่มีชื่อเสียงของซิดนีย์

 แต่ถ้าหากไม่รู้จะเริ่มต้นจากเมืองไหน แนะนำให้ลองสัมผัสประเทศนี้โดยเริ่มจากซิดนีย์ ก็เป็นความคิดที่ดีอยู่ไม่ใช่น้อย เพราะซิดนีย์เอง ก็มีครบทั้งแสงสีของเมืองใหญ่ ผู้คนกับวัฒนธรรมที่หลากหลายและธรรมชาติที่สวยงามซ่อนไว้ด้วยกัน

ว่าแล้วก็ลองแพ็กกระเป๋าแล้วมาเริ่มต้นสัมผัส “ซิดนีย์” ด้วยการเดินเล่นย่านใจกลางเมือง ซึ่งเป็นอีกเมืองที่เที่ยวง่าย ด้วยผังเมืองที่ได้รับการออกแบบอย่างเป็นระเบียบ ตัวอาคารและสถานที่สำคัญต่างๆ ถูกสร้างเรียงกันเหมือนจับวางไว้ในบล็อกสี่เหลี่ยม แต่ละบล็อกถูกคั่นด้วยทางข้ามสี่แยกขนาดเล็ก พร้อมสัญญาณไฟคนข้าม จึงทำให้การเดินเล่นในเมืองใหญ่ไม่ใช่เรื่องยากอะไร

ยิ่งถ้าใครที่ชื่นชอบการเดินเล่น เดินทอดน่องไป ชมวิวตึกเก่าๆ ที่ตั้งเรียงรายสลับกันไปกับตึกสูงๆ รูปทรงทันสมัย ผสมผสานความคลาสสิกทั้งเก่าและใหม่ไว้ได้อย่างลงตัว ก่อนจะแวะจิบกาแฟหรือช็อกโกแลตร้อนๆ ตามคาเฟ่ที่มีให้เลือกมากมาย เรียกว่าแทบทุกจะมุมตึกก็ว่าได้ เพราะการนั่งจิบกาแฟตามคาเฟ่ เป็นอีกหนึ่งไลฟ์สไตล์ที่ชาวออสซี่มักทำกัน

หลังจากนั้นจึงเริ่มต้นแวะเช็กอินตามสถานที่สำคัญต่างๆ ทั้งอาคารควีนวิคตอเรีย (Queen Victoria Building) หรือที่เรียกสั้นๆ ว่า QVB ห้างสรรพสินค้าเก่าแก่อายุกว่า 100 ปี ตัวตึกดีไซน์คลาสสิกสไตล์ยุโรป ที่เต็มไปด้วยสินค้าแบรนด์ดัง ร้านขนมและอาหาร

นกพิลิแกนที่อาศัยอยู่ตามธรรมชาติที่ The Entrance ในเมือง Newcastle

 ก่อนจะเดินหรือเลือกนั่งรถไฟฟ้าใต้ดิน มุ่งหน้าสู่ย่านเซอร์คูลาร์คีย์ แวะชม Custom House อาคารศุลกากรเก่าสไตล์ยุโรป บนถนน Alfred ที่ถูกปรับแต่งภายในให้กลายเป็นห้องสมุด พร้อมซ่อนผังเมืองของซิดนีย์ทั้งหมดไว้ ใต้แผ่นกระจกขนาดใหญ่บนพื้นของอาคาร ให้ได้เห็นซิดนีย์แบบย่อส่วน ที่สำคัญมาถึงแล้วต้องไม่ลืมแวะขึ้นไป ซิดนีย์ คาเฟ่ คาเฟ่เก๋ๆ ชั้นบนสุด พร้อมสั่งอาหารอร่อยจิบวิวสวยของอ่าวดาร์ลิ่งฮาเบอร์ ที่คลาคล่ำไปด้วยเรือแล่นสัญจรไปมาตลอดทั้งวัน

ถึงแม้ว่าซิดนีย์จะเป็นเมืองที่เคยได้ชื่อว่า มีค่าครองชีพสูงเป็นอันดับหนึ่งของโลก แต่ก็มีหลายๆ โปรแกรมทัวร์ ที่ทำได้ฟรีในซิดนีย์ ยิ่งในช่วงเข้าสู่หน้าหนาวของซิดนีย์แบบนี้ เมื่อพระอาทิตย์ลับขอบฟ้า เมืองนี้จะถูกแต่งแต้มไปด้วยแสงไฟหลากสีจากเทศกาลแสงสีเสียง Vivid Sydney ที่ถูกจัดยาวกว่า 23 วัน

ทำให้ฤดูหนาวของซิดนีย์มีสีสัน นับเป็นอีกหนึ่งเทศกาลใหญ่ประจำปีที่สามารถดึงดึงดูดเหล่านักท่องเที่ยวจากทั่วทุกมุมโลกให้ต้องมาเห็นภาพของโอเปร่าเฮ้าส์ ที่ถูกแต่งแต้มสีจนแปลกตาด้วยการฉายภาพงานศิลปะเคลื่อนไหว ซึ่งจะถูกเปลี่ยนคอนเซ็ปต์ไปไม่ซ้ำกันในแต่ละปี เป็นภาพที่ชวนให้ตื่นตาตื่นใจ รวมไปถึงสถาปัตยกรรมต่างๆ ทั่วเมืองก็ถูกแต่งแต้มไปด้วยผลงานศิลปะหลากสีสัน

นกอัลบาทรอสที่เกาะอยู่บนป้ายนิทรรศการ ย่านดาร์ลิ่งฮาร์เบอร์

 แม้ว่าอากาศจะเริ่มหนาวเย็น แต่ก็มีนักท่องเที่ยวและชาวออสซี่เป็นจำนวนมากออกมาสัมผัสกับเทศกาลใหญ่แห่งปี ที่มักจะจัดขึ้นช่วงปลายเดือน พ.ค.ไปจนถึงกลางเดือน มิ.ย. นับเป็นช่วงเริ่มต้นฤดูหนาวของซิดนีย์ และแน่นอนว่ามาเยือนเมืองนี้ทั้งที ต้องไม่พลาดถ่ายรูปคู่กับมุมสวยๆ ของสถาปัตยกรรมชื่อก้องโลกอย่าง โอเปร่าเฮ้าส์ ที่มีสะพานฮาเบอร์บริดจ์เป็นฉากหลังเก็บไว้เป็นที่ระลึก

แนะนำให้เดินเข้าไปภายในสวนพฤกษศาสตร์หลวง (The Royal Botanic Gardens) ตรงจุดของม้าหินมิสซิสแมคควอรี่ เป็นจุดที่มีแหลมยื่นออกมาขนานคู่กับโอเปร่าเฮ้าส์ ซึ่งจะได้ภาพที่สวยสมใจ และถ้าใครพอมีเวลาเหลือลองแวะมาดูโอเปร่าเฮ้าส์ที่ต่างช่วงเวลา ก็จะได้เห็นความสวยงามที่ต่างกันไป

นอกจากนี้ สำหรับคนที่ชื่นชอบประวัติศาสตร์น่าจะแบ่งเวลาสักวันทำความคุ้นเคยกับซิดนีย์ โดยเริ่มที่ย่านชุมชนอันเก่าแก่อย่าง เดอะ ร็อก ชุมชนแห่งแรกในซิดนีย์ ที่คงเสน่ห์เอาไว้ด้วยตัวอาคารรูปทรงเก่า ตั้งเรียงรายไว้อย่างสวยงาม ชวนให้ต้องหยิบกล้องขึ้นมาถ่ายรูปเก็บไว้ แล้วเดินเลี้ยวเข้าร้านรวงต่างๆ ซื้อของที่ระลึกติดไม้ติดมือ

ภาพถ่ายโอเปร่าเฮ้าส์จากมุมภายในสวน The Royal Botanic Gardens ยามเช้าที่มีสะพานฮาร์เบอร์บริดจ์เป็นฉากหลัง

 ก่อนจะเดินเลียบดาร์ลิ่งฮาเบอร์ นั่งเรือไปไม่กี่นาทีก็ได้ชมความน่ารักของสัตว์ประจำชาติอย่างจิงโจ้ ที่สวนสัตว์ทารองก้า สวนสัตว์พร้อมวิวเมืองสวยๆ ซึ่งรวบรวมสัตว์หลากสายพันธุ์เอาไว้ ที่สำคัญมีจิงโจ้และโคอาล่าให้ได้ถ่ายรูปแบบใกล้ชิด ตกบ่ายนั่งเรือไป วัตสันเบย์แวะกินฟิชแอนด์ชิพ ก่อนเดินไปจุดชมวิวที่เรียกว่า เดอะแก๊บ หน้าผาสูง สุดชายขอบแผ่นดินซิดนีย์ ที่เผยให้เห็นภาพของมหาสมุทรแปซิฟิกแบบไกลสุดลูกหูลูกตา

เมื่อชมความงามของธรรมชาติจนหนำใจ ก็ต่อรถเมล์นั่งไปเรื่อยๆ แวะถ่ายรูปคู่กับประภาคารแมคควอรี่ สีขาวสวยโดดเด่นตัดกับผืนหญ้าสีเขียว มีฉากหลังเป็นท้องฟ้าและมหาสมุทรแปซิฟิก แล้วค่อยนั่งรถต่อไปยัง บอนไดบีช ชายหาดทรงโค้งที่มีชื่อเสียงที่สุดของซิดนีย์ ข้างทางเต็มไปด้วยร้านค้าและร้านอาหารให้เลือกนั่งกันได้ตามใจชอบ หรือจะลองเดินเลียบไปตามทางไม้ยาวกว่า 6 กม. เชื่อมไปจนถึง คูกี้บีช ที่สามารถสัมผัสกับวิวทะเลสวยๆ ได้ตลอดทาง

หากพูดถึงอีกหนึ่งไฮไลต์สำคัญของซิดนีย์ ก็เห็นจะเป็นเรื่องของอาหารที่มีความหลากหลาย เรียกว่าแทบจะทุกสัญชาติสามารถหาได้ในซิดนีย์ เป็นอีกโปรแกรมเตรียมไว้รอเหล่านักชิม ที่สำคัญต้องไม่พลาดแวะไปตลาดปลาซิดนีย์ ที่ใหญ่เป็นอับดับสามของโลก ได้รวบรวมอาหารทะเลสดไว้มากมาย ทั้งแบบปรุงสุกให้ได้ลิ้มลองและแบบสดสำหรับซื้อกลับบ้าน

ตึกรูปทรงเก่าๆ ในย่านเดอะร็อก ชุมชนแห่งแรกของซิดนีย์

 แต่ถ้าใครคิดถึงอาหารจัดจ้านรสไทย คงต้องไป ไทยทาวน์ ซึ่งเป็นอีกหนึ่งความภูมิใจของคนไทยในซิดนีย์ เพราะไทยทาวน์แห่งนี้ถือเป็นแห่งที่สองของโลก รองจากไทยทาวน์แห่งแรกในลอสแองเจลิส โดยเป็นย่านที่รวมร้านขายของชำและร้านอาหารไทยไว้มากมาย หากคิดถึงรสอาหารไทยเมื่อไหร่ แวะไปสั่งข้าวเหนียว ส้มตำ หรือผัดกะเพรากินสักจานพร้อมพูดคุยกับคนไทยในร้าน ก็ช่วยให้หายคิดถึงบ้านไปได้

ใครที่อยากลองเปลี่ยนบรรยากาศมาสัมผัสธรรมชาติ แนะนำให้ลองมองออสเตรเลียในมุมที่ต่างออกไป สัมผัสกับกิจกรรมแนวเอ็กซ์ตรีมสุดท้าทายอย่าง สกายไดฟ์ ดูสักครั้งในชีวิต ท้าทายความกล้าปล่อยตัวเองทิ้งดิ่งจากเครื่องบินขนาดเล็ก ที่บินอยู่บนความสูงราว 1.4 หมื่นฟุตเหนือระดับน้ำทะเล ให้อะดรีนาลีนในร่างกายได้พุ่งพล่าน ก่อนจะค่อยๆ ดื่มด่ำกับวิวสวยแบบสุดลูกหูลูกตาเมื่อร่มชูชีพถูกกางออก

แต่ถ้าใครไม่ชอบความตื่นเต้นหวาดเสียว ลองจัดวันเดย์ทริปเช่ารถขับออกไปสัมผัสกับบรรยากาศนอกเมืองเสียหน่อย ถ้าจะให้ดีแนะนำให้ลองหากรุ๊ปทัวร์ซึ่งจะมีให้เลือกอยู่หลากหลายจากร้านที่ซ่อนตัวอยู่ตามโฮสเทล

ในทริปนี้เราโชคดี ได้พบกับไกด์คนไทยชื่อ พี่ดาม-ศรุติ ธราพร หรือลุงไกด์จากเพจเฟซบุ๊ก “ลุงไกด์ทัวร์ทั่วออส” ไกด์ชาวไทยคนแรกของสมาคมไกด์ออสเตรเลีย The Institude of Australian Tour Guides (IATG) ที่จัดทริปหนึ่งวันเล็กๆ ขับรถยนต์เอสยูวีพาเราเที่ยว

ด้านหน้าของ State Library of NSW อีกหนึ่งห้องสมุดที่มีชื่อเสียงของซิดนีย์

 อย่าง นิวคาสเซิล เมืองเล็กๆ ทางตอนเหนือของซิดนีย์ที่ใช้เวลาเดินทางจากซิดนีย์ประมาณชั่วโมงครึ่ง มีกิจกรรมให้ทำเพียบทั้งให้อาหารนกพิลิแกนที่อยู่ตามธรรมชาติ ขี่อูฐ เล่นแซนด์บอร์ดที่พอร์ตสตีเฟ่น ก่อนจะแวะชิมไวน์ในไร่เล็กๆ ระหว่างทาง ซึ่งต้องบอกว่า แม้ทริปนี้ฟ้าฝนจะไม่เป็นใจ ทำให้เราไม่ได้ขี่อูฐตามที่ตั้งใจไว้ แต่ก็ยังนับว่าเป็นความโชคดีที่เราได้พบกับพี่ดาม ไกด์ชาวไทย ที่อาศัยอยู่ในซิดนีย์มากว่า 7 ปี

เราได้คุยกันตลอดทางอย่างออกรส ฟังเรื่องเล่าประวัติศาสตร์ออสเตรเลีย แถมได้ความรู้เกี่ยวกับซิดนีย์มาเต็มกระเป๋า เท่านี้ก็ถือว่าคุ้มเกินคุ้ม ซึ่งถ้าใครสนใจอยากไปทัวร์ออสเตรเลียในบรรยากาศที่เป็นกันเองก็ลองติดต่อสอบถามกับลุงไกด์หรือพี่ดามได้ พี่ดามสามารถจัดให้ทั้งทริปแบบกรุ๊ปใหญ่และกรุ๊ปส่วนตัวแบบครอบครัว

สุดท้ายต้องบอกว่าทั้งหมดนี้เป็นเพียงส่วนหนึ่งของซิดนีย์เท่านั้น และเชื่อว่าเมืองนี้ยังมีเสน่ห์ที่ซ่อนไว้ รอให้ไปค้นหาอีกเพียบ โดยหวังว่าผู้เขียนจะได้กลับไปอีกในเร็ววัน อ้อ! ลืมบอกไปอีกนิดว่า ซิดนีย์ ไม่ใช่เมืองสำหรับการช็อปปิ้ง แต่ถ้าคุณเป็นคนหนึ่งที่อยากสัมผัสกับไลฟ์สไตล์สุดชิลของชาวออสซี่ ลิ้มลองอาหารอร่อยๆ จิบกาแฟตามคาเฟ่ และหลงใหลในธรรมชาติ ซิดนีย์ก็น่าจะเป็นจุดหมายปลายทางที่สร้างความประทับใจให้กับการเดินทางของคุณได้เป็นอย่างดี

David Jones Café’ ในย่าน Barangaroo (บารองการู) อีกหนึ่งศูนย์กลางทางธุรกิจของซิดนีย์ที่เต็มไปด้วยอาคารสำนักงานขนาดใหญ่

เทศกาลแสงสีเสียงที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในออสเตรเลีย

บรรยากาศของโอเปร่าเฮ้าส์ก่อนพระอาทิตย์ตกดิน สวยไปอีกแบบ

 

 

ทริปไต้หวันหรรษา ครอบครัวตรัยพัทธ์ อัจฉรียา สร้างคุณณ์ จิรายุส

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์โพสต์ทูเดย์

06 พฤษภาคม 2560 เวลา 11:02 น…. อ่านต่อได้ที่ : http://www.posttoday.com/travel/world/493553

ทริปไต้หวันหรรษา ครอบครัวตรัยพัทธ์ อัจฉรียา สร้างคุณณ์ จิรายุส

โดย…โสภิตา สว่างเลิศกุล ภาพ : เฟซบุ๊ก Tar Jirayus กับ Traiphat Jirayus

 ครอบครัวแสนอบอุ่นรุ่มรวยไปด้วยกลิ่นอายของความรักความเข้าใจ สามารถเห็นได้จากการเดินทางท่องเที่ยวพร้อมหน้าพร้อมตา

โดยเฉพาะพ่อแม่ลูกที่จูงมือกันลุยไปท่องเที่ยวในสถานที่ต่างๆ ที่แปลกใหม่และท้าทาย ยิ่งเป็นทริปต่างประเทศ ก็เป็นความหมายของสายใยผูกพันที่น่าซึ้งใจ

ความสุขของครอบครัว ตรัยพัทธ์ กับ อัจฉรียา จิรายุส และลูกชายหัวแก้วหัวแหวน สร้างคุณณ์ จิรายุส หรือน้องทาชิ น่าจะเปล่งประกายในเรื่องราวของวันหยุดสุดสุขกับครอบครัวท่องเที่ยว กับทริปเที่ยวกรุงไทเป สาธารณรัฐจีน หรือไต้หวัน

หยิบบันทึกของคุณแม่อัจฉรียา จิรายุส ที่เขียนสรุปบันทึกประสบการณ์ลงในเฟซบุ๊กของเธอเอง ก็สัมผัสได้ถึงความรักความพอใจที่ได้หนีบลูกไปเที่ยวกับพ่อแม่

 ‘#บันทึกของแม่ 17/4/60

เมื่อก่อนเวลาจะไปเที่ยวไหนจะต้องเอาลูกเป็นหลัก ที่ที่ไปต้องสะดวกสบายและมีอะไรให้เด็กทำสนุกๆ ตื่นตาตื่นใจทั้งวัน เลยหนีไม่พ้นเมืองที่มีสวนสนุกทั้งหลาย แต่ตอนนี้ทาชิเริ่มโตขึ้นมากทั้งทางด้านร่างกาย อารมณ์ และความคิด เขาไม่ใช่เด็กเล็กอีกต่อไปในความคิดเรา ทำให้เราอยากทดลองพาเขาไปสัมผัสอะไรใหม่ๆ ที่จะเป็นประสบการณ์ให้เขาได้พัฒนาตัวเอง

ครั้งนี้เราเลือกไปไต้หวัน เมืองที่เต็มไปด้วยรีวิวท่องเที่ยวแนวธรรมชาติ วัดวาอาราม และการกิน (อันนี้ถูกใจแม่) แต่มีรีวิวเกี่ยวกับสถานที่ท่องเที่ยวสำหรับเด็กน้อยมาก ข้อมูลที่หาได้ก็ดูไม่ได้น่าตื่นเต้นเท่าไรนัก

ก่อนเดินทางก็ทำใจว่าลูกคงบ่นอุบแน่นอนเพราะครั้งนี้เราเน้นกิน เที่ยวธรรมชาติและทำ Workshop ไม่ได้แตะเครื่องเล่นใดๆ แม้แต่น้อย

วันสองวันแรกลูกถามโปรแกรมตลอดว่าเราจะไปไหนบ้างแต่ก็ไม่มีอะไรสำหรับเด็กเลย ทาชิบอกว่าไต้หวันไม่สนุกเลย

วันถัดมาไปสวนสัตว์ แล้วก็ทำขนม ทาชิก็พอยิ้มออกขึ้นมาหน่อย แต่วันสุดท้ายพอทาชิได้มาทำกล่องดนตรี (ซึ่งในโซน diy นี้ส่วนมากมีแต่วัยรุ่นไม่มีเด็กเลย) ทาชิกลับตื่นเต้นมาก ไม่เคยคิดว่าจะมีกล่องดนตรีเป็นของตัวเอง ค่อยๆ เลือกค่อยๆ ทำ

 ช่วงแรกทาชินั่งทำเองทั้งหมดเพราะป๊าก็ต้องทำของตัวเอง แม่ก็ออกไปเดินเล่น พอแม่กลับมา ทาชิก็ทำใกล้เสร็จแล้ว แม่เลยมาช่วยดูว่ากาวที่ทาไปมันติดอยู่ไหม ทาชิดูภูมิใจมากๆ กับผลงานตัวเอง แม่ชวนอยู่เที่ยวต่อทาชิถึงกับตอบรับแต่โดยดี

ทริปไต้หวันครั้งนี้เหมือนเป็นการพิสูจน์ให้ได้เห็นว่าลูกสามารถไปกับพ่อแม่ได้ทุกที่ เที่ยวแบบผู้ใหญ่บ้างก็ได้ ไม่จำเป็นต้องเที่ยวแบบเด็กๆ ตลอดเวลา (เพราะแม่ก็เบื่อบ้างไรบ้าง) และที่สำคัญทาชิได้เรียนรู้ที่จะเสียสละ ไม่เอาแต่ตัวเองเป็นหลัก ยอมไปที่ใหม่ๆ และลองรับประทานอาหารแปลกๆ

ไม่ว่าฝนจะตกแดดจะออกแค่ไหน ทาชิก็พร้อมลุยไปทุกที่ด้วยกัน แค่นี้แม่ก็มีความสุขมากแล้ว อยากหนีบลูกไปทุกที่และหวังว่าถึงแม้ลูกจะโตเป็นวัยรุ่นก็ยังยอมไปเที่ยวด้วยกันอยู่นะ #รักที่สุด’

ทั้งหมดเป็นบันทึกของแม่ที่ดูพัฒนาการของลูกชายวัยซน ผ่านการท่องเที่ยวด้วยกันทั้งครอบครัว ซึ่งเป็นความสุขผ่านประสบการณ์ร่วมกันของครอบครัวที่จะเป็นความทรงจำที่สวยงามอย่างมิมีวันลืมเลือน

 

Travelkanuman การเดินทางของคู่รัก

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์โพสต์ทูเดย์

06 พฤษภาคม 2560 เวลา 10:59 น…. อ่านต่อได้ที่ : http://www.posttoday.com/travel/world/493552

Travelkanuman การเดินทางของคู่รัก

โดย…รอนแรม ภาพ : TravelKanuman

 คู่รักนักเดินทาง ต้า-นิธิธาดา และ นุ-อนุพันธุ์ สุขะปิณฑะ ได้สร้างสรรค์พื้นที่รวบรวมประสบการณ์การเดินทางผ่านเพจเฟซบุ๊ก Travelkanuman/2 เท้าชาวท่องโลก โดยได้ถ่ายทอดเรื่องราวผ่านภาพถ่ายและบทความในฐานะของช่างภาพและนักเขียน

“เราทำเพจเพราะเราเขียนหนังสือ” ต้าเปิดบทสนทนา

“ดังนั้น เวลาเดินทางเราจะใช้เวลาอยู่ที่นั่นนาน เพื่อที่จะได้ลงพื้นที่และสัมผัสมันจริงๆ จากนั้นเมื่อกลับมาเขียนและหนังสือวางแผงแล้ว บางครั้งอาจมีข้อมูลบางอย่างที่อัพเดทใหม่ ซึ่งหนังสือไม่อาจแก้ไขเพิ่มเติม ณ ขณะนั้นได้เพจเฟซบุ๊กจึงเป็นหนทางที่จะอัพเดทข้อมูล รวมถึงเป็นพื้นที่แชร์ข้อมูลระหว่างเรากับผู้อ่านโดยตรง”

ปัจจุบัน Travelkanuman ออกหนังสือมาแล้ว 8 เล่ม เล่มล่าสุดคือ Backpacker 101 หนังสือคู่มือการเตรียมตัวเป็นนักเดินทาง สำหรับคนที่อยากไปเที่ยวเมืองนอกด้วยตัวเอง แต่ไม่รู้ว่าจะเริ่มต้นอย่างไร

 “เพจของเราจึงไม่ได้สร้างขึ้นมาเพื่อบิซิเนสร้อยเปอร์เซ็นต์ แต่เราทำขึ้นมาเพื่อซัพพอร์ตคนที่ตามงานหนังสือของเรา และอยากพูดคุยหรือสอบถามเรื่องเส้นทางการเดินทาง เพราะเราจะบอกกับผู้อ่านทุกคนว่า ถ้าอ่านแล้วไม่เข้าใจตรงไหนสามารถอินบอกซ์มาถามในเพจ หรือถ้าพวกเขาอยากเดินทางเองก็สามารถจัดเส้นทางมาให้พวกเราดูได้เลย”

ต้า กล่าวต่อว่า ตนและนุท่องเที่ยวเพราะอยากเที่ยว ซึ่งคำว่า “ท่องเที่ยว” ของทั้งคู่คือ ความไม่ลำบาก ไม่จำเป็นต้องเที่ยวให้ถูกที่สุด แต่จะถูกเท่าที่ทำได้และยอมรับได้

ที่สำคัญไม่ใช่การเที่ยวแบบชะโงกทัวร์ แต่จะให้เวลากับสถานที่นั้นอย่างน้อย 1 วัน หรือทริปละอย่างต่ำ 1 เดือน ทั้งสองจึงไม่เร่งรีบในการนับจำนวนสถานที่ แต่จะไปที่เดิมซ้ำๆ เพื่อเจาะลึกแต่ละแห่งอย่างลึกซึ้ง

 “ใน 1 ปีเราจะมีดรีมทริปใหญ่ๆ 2 ทริป ซึ่งเราจะเดินทางด้วยตัวเอง ไม่มีสปอนเซอร์ ยกตัวอย่างทริปแอฟริกาใต้ที่เราเดินทางกันนาน 40 วัน แต่กว่าจะไปได้เราต้องวางแผนและเตรียมตัวกันนานถึง 2 ปี ส่วนเรื่องของการถ่ายรูปนั้นเป็นแค่ผลพลอยได้ ที่บังเอิญนุสามารถถ่ายรูปและขายภาพได้ในระดับหนึ่ง ซึ่งนุจะถ่ายภาพวิวกับสถาปัตยกรรม ส่วนต้าชอบเที่ยวแบบไปเจอคน วัฒนธรรม เราสองคนเลยเป็นส่วนซัพพอร์ตกันและกัน และพอมารวมกันทำให้มีทั้งภาพวิวและเนื้อเรื่องของคน”

เพจ Travelkanuman/2 เท้าชาวท่องโลก เปิดตัวมาตั้งแต่ปี 2554 ซึ่งเป็นระยะเวลาเดียวกับประสบการณ์การเดินทาง 62 ประเทศทั่วโลก

“เรียกได้ว่า งานที่เราทำในตอนนี้บางส่วนทำให้เราได้เดินทางต่างประเทศบ่อย เลยเป็นช่วงชีวิตที่อยู่เมืองนอกมากกว่าเมืองไทยในตอนนี้” เธอกล่าว และดรีมทริปครั้งต่อไป ทั้งคู่เลือกไปยุโรปตะวันออกเป็นระยะเวลา 2 เดือน

ทั้งนี้ ในด้านงานเขียน ต้าและนุเริ่มเขียนหนังสือมาตั้งแต่ปี 2556 เฉลี่ยปีละ 2 เล่ม โดยส่วนใหญ่เป็นไกด์บุ๊ก ไม่เน้นการแชร์ประสบการณ์ เพราะทั้งคู่เห็นพ้องกันว่า พวกเขาไม่ใช่กูรูการเดินทาง แต่เป็นเพียงคนที่บังเอิญได้ท่องเที่ยวเท่านั้น

 “เราบอกกับแฟนเพจอยู่เสมอว่า อย่าทำตามพวกเรา เพราะแต่ละคนมีความฝันของตัวเอง คุณต้องมุ่งมั่นตั้งใจไปในทางนั้นและลองทำ จะสำเร็จหรือไม่สำเร็จอยู่ที่คุณจะถอดใจเมื่อไหร่ ไม่มีใครบอกได้เลยว่า พวกเราเป็นนักเขียนที่ประสบความสำเร็จหรือเปล่า แต่เราทำเพราะเรามีความสุข และเราได้รับการยอมรับจากคนกลุ่มหนึ่งที่ชอบงานเราจริงๆ แค่นี้เราแฮปปี้แล้ว

“วันแรกที่เราก้าวเข้ามาเรารู้แล้วว่าอยากเป็นอะไร เรามีความสุขกับการเป็นช่างภาพ มีความสุขกับการเป็นนักเขียน และเราสนุกกับการได้เที่ยว ต่อให้วันข้างหน้าเราไม่ได้อยู่ในจุดนี้แล้ว เราก็ยังชอบเที่ยวเหมือนเดิม” ต้า กล่าวเพิ่มเติม

ติดตามเรื่องราวการเดินทาง ทิปส์การประหยัด และแง่คิดต่างๆ จากต้าและนุได้ทางเพจเฟซบุ๊ก Travelkanuman/2 เท้าชาวท่องโลกและเว็บไซต์ travelkanuman.com