สยายปีกบินท่องโลกดอกไม้ อุทยานกล้วยไม้ เดอะ บลูมส์ ราชบุรี

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์โพสต์ทูเดย์

26 มีนาคม 2560 เวลา 10:12 น…. อ่านต่อได้ที่ : http://www.posttoday.com/travel/thailand/487002

สยายปีกบินท่องโลกดอกไม้ อุทยานกล้วยไม้ เดอะ บลูมส์ ราชบุรี

โดย…กาญจนา อายุวัฒน์ธนชัย ภาพ : วิศิษฐ์ แถมเงิน

อลังการงานสร้างแห่งโลกดอกไม้ต้องยกให้ อุทยานกล้วยไม้ เดอะ บลูมส์ ราชบุรี (The Blooms Orchid Park) สถานที่ที่ได้รวบรวมกล้วยไม้พันธุ์แท้และกล้วยไม้ลูกผสมสายพันธุ์ต่างๆ ไว้มากที่สุดในโลก โดยนำเสนอในรูปแบบของสวนป่าที่เหล่าดอกไม้จะสลับออกดอกให้ชมตลอดปี

ปุ้ย-รัชยาวรรณ ยุกแผน ผู้ดูแลอุทยานฯ และภรรยาเจ้าของสวนกล้วยไม้กว่า 100 ไร่ เล่าให้ฟังว่า พื้นที่ดังกล่าวใช้เวลาปรับระบบนิเวศกว่า 5 ปี เพื่อทำเป็นสวนป่าขนาดใหญ่ที่ประกอบด้วยต้นไม้หายากขนาดใหญ่ เช่น พะยูง พะยอม มะหาด กันเกรา งิ้ว สาละ และนำกล้วยไม้หายากมาจัดแสดงตามฤดูกาลที่มันออกดอก โดยใช้วิธีการปลูกแบบอินทรีย์ ไม่ใช้สารเคมี เพื่อสร้างระบบนิเวศที่ดี มีอากาศบริสุทธิ์ และไม่เป็นอันตรายต่อทั้งธรรมชาติและมนุษย์

“ตอนนี้บ้านเราอากาศร้อนมาก แต่พอเข้าไปในอุทยานกล้วยไม้อุณหภูมิในนั้นจะลดลงถึง 4 องศาฯ เพราะรอบตัวมีแต่ต้นไม้ใหญ่และมีน้ำ มันเป็นความรู้สึกที่ทำให้คนอยากเดินต่อไปจนจบเส้นทาง เพราะเขาอยากไปเห็นต่อว่าข้างหน้าจะเจอกล้วยไม้อะไร จะได้กลิ่นดอกไม้แบบไหน ความสวยงามข้างหน้าจะเป็นยังไงต่อไป ปุ้ยคิดว่านี่คือการปลูกต้นไม้ในใจคน เพราะเราสามารถทำให้คนสนใจพันธุ์ไม้ ดอกไม้ ต้นไม้ หรือแม้กระทั่งผีเสื้อ แมลงตัวเล็กๆ ตามต้นไม้ได้อย่างไม่ต้องบังคับ ดังนั้นเราไม่ได้หวังให้เขาต้องซื้อกล้วยไม้ของเรา แต่หวังให้เขาเห็นคุณค่าของต้นไม้ก็ดีใจแล้ว”

ภายในอุทยานกล้วยไม้แบ่งออกเป็นหลายส่วน โดยการเดินชมจะเริ่มต้นที่ อุทยานและสวนป่า เพื่อชมความงามของกล้วยไม้สายพันธุ์ต่างๆ อย่างใกล้ชิด ทั้งสังเกตรายละเอียด สูดดม และสัมผัสด้วยสายตา บนระยะทางประมาณ 200 เมตร ที่เต็มไปด้วยความตื่นตาและตื่นใจ จากนั้นเดินต่อไปที่ สวนจัดแต่ง เป็นการผสมผสานการจัดแสดงกล้วยไม้สายพันธุ์ต่างๆ ให้เป็นมุมถ่ายภาพ กับแปลงกล้วยไม้ตัดดอกเพื่อการส่งออกขนาดใหญ่

นอกจากนี้ ทางอุทยานฯ ยังได้ทำ ห้องแล็บ สาธิตการขยายพันธุ์กล้วยไม้แบบเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อและการเพาะเมล็ดกล้วยไม้ รวมถึงกิจกรรมที่น่ารักอย่างการให้อาหารและนมน้องแกะ ให้อาหารปลาคาร์ปจากขวดนม ป้อนหญ้าเจ้าควายแสนรู้ ให้อาหารฝูงเป็ดแสนซน ถ่ายภาพกับทุ่งคอสมอสในช่วงฤดูหนาว และชมแปลงเกษตรผสมผสาน แปลงนาตัวอย่างที่แสดงการปลูกข้าวในช่วงอายุต่างกัน ตั้งแต่เริ่มหว่าน ตั้งท้อง ออกรวงเหลืองอร่าม และเก็บเกี่ยว

“เรามีกล้วยไม้มากกว่า 1,000 สายพันธุ์ ทั้งพันธุ์แท้และผสม ยกตัวอย่าง ช้าง สิงโต เข็ม เอื้องสาย อย่างช่วงที่ผ่านมาเป็นเทศกาลชมช้าง ที่ถือเป็นเทศกาลที่สร้างชื่อให้เราที่สุด เพราะเรามีช้างเยอะมาก ช่อดอกของช้างเองเป็นพวงสวย ผสมกับกลิ่นหอมนวล และอากาศที่เย็นสบายในช่วงเดือน ม.ค.-ก.พ. ทำให้คนนิยมมาชม แต่สำหรับเดือน มี.ค.นี้ เราจะได้เห็นเอื้องสายเป็นกล้วยไม้พันธุ์แท้ กับช่อชะลูดที่สวยงามไม่แพ้กันเลย”

เวลาที่ดีที่สุดในการชมกล้วยไม้คือ ช่วงเช้าก่อนแดดจะแรง เพราะนอกจากอากาศจะไม่ร้อนจัดแล้ว กล้วยไม้จะส่งกลิ่นหอมมากที่สุดในเวลาเช้าด้วย ภายในบริเวณเดียวกันยังมีร้านกาแฟ ร้านไอศกรีมโฮมเมด ร้านขายดอกไม้ และร้านขายของที่ระลึก ที่ต้องบอกว่าห้ามพลาดชิมไอศกรีมโฮมเมดรสเด็ดเพิ่มความสดชื่นหลังการเที่ยวชม

อุทยานกล้วยไม้ เดอะ บลูมส์ ถือเป็นแหล่งท่องเที่ยวเชิงธรรมชาติที่ไม่ควรพลาดของราชบุรี และเป็นสถานที่ท่องเที่ยวใกล้กรุงเทพฯ อยู่ห่างจากเมืองหลวงเพียง 84 กิโลเมตร หรือใช้เวลาเดินทางด้วยรถยนต์ราวชั่วโมงนิดๆ ก็จะได้หลุดพ้นจากความจอแจมาอยู่ในอ้อมกอดของธรรมชาติ และตักตวงอากาศบริสุทธิ์เคล้ากลิ่นหอมของกล้วยไม้ป่าที่น้อยคนนักจะได้เห็น

 

ลา ภูริเณ่ บ้านเล็กบนเขาใหญ่

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์โพสต์ทูเดย์

25 มีนาคม 2560 เวลา 10:43 น…. อ่านต่อได้ที่ : http://www.posttoday.com/travel/thailand/486885

ลา ภูริเณ่ บ้านเล็กบนเขาใหญ่

โดย…นิทรา ราตรี

 ไม่ต้องสงสัยอะไร ณ รีสอร์ทแห่งนี้ว่า ทำไมไม่มีชื่อที่พักติดให้มองเห็น ทำไมดีไซน์แต่ละห้องช่างต่างกัน และทำไมที่นี่ไม่เหมือนโรงแรม

คุณไม่จำเป็นต้องสงสัยสิ่งใดเพราะทุกอย่างจะอธิบายได้หากเข้าไปอยู่ที่ ลา ภูริเณ่ เขาใหญ่ (La Purinée) สักคืนสองคืน

ลา ภูริเณ่ ถูกออกแบบโดย “สถาปนิก” จากความชอบและความรู้สึกของ วิชา วัฒนสุข อดีตผู้บริหาร บริษัท บัตรเครดิตกรุงไทย ที่ตอนนี้ใช้ชีวิตส่วนใหญ่อยู่ในรีสอร์ท

 เขาเริ่มสร้างบ้านพักของครอบครัว วิลล่า 4 หลัง อาคารที่พัก 11 ห้อง และห้องอาหาร ตามลำดับ ซึ่งวิลล่าหลังแรกเปิดให้บริการเมื่อปลายปี 2558 กระทั่งปัจจุบันที่ดูเหมือนว่าจะเสร็จสมบูรณ์ แต่เขาก็ยังไม่หยุดที่จะเพิ่มหรือเปลี่ยนรายละเอียดบางอย่างตามความรู้สึกที่นึกได้

ปอน-สุภาดา วัฒนสุข ลูกสาวของวิชา ผู้บริหารรีสอร์ทเล่าว่า

“เราต้องการคนเข้าใจในสิ่งที่เราเป็น เราไม่อยากเฝือ เพราะไม่อยากให้เฟอร์นิเจอร์ที่เรารักมันช้ำ ทุกอย่างที่นี่เป็นของสะสมของเรา เป็นของแอนทีกที่เราหวงทุกชิ้น ดังนั้นคนที่เข้าใจจะรู้ว่าทุกอย่างในนี้ คือของจริง ทั้งเฟอร์นิเจอร์ พรม เตียงนอน โต๊ะเครื่องแป้ง ทุกๆ อย่าง เราจึงต้องการลูกค้าที่เข้าใจความเป็นตัวเราจริงๆ”

 ห้องพักในตัวอาคารประกอบด้วย 11 ห้องแบ่งเป็นประเภทคลาสสิก สแตนดาร์ด แฟมิลี่ และแอททิค (Attic) โดย 3 ประเภทแรกมีขนาดเท่ากันที่ 16 ตร.ม. ซึ่งห้องแฟมิลี่รองรับได้ 4 คน ส่วนห้องแอททิคมีขนาด 32 ตร.ม. พิเศษด้วยห้องใต้หลังคาที่ทำให้นึกถึงวัยเด็กอีกครั้ง

ส่วนวิลล่ามีตั้งแต่ 1-3 ห้องนอน รองรับได้ 2 ถึง 4 และ 8 คน มีขนาดตั้งแต่ 32-50 ตร.ม. ปอนทำความเข้าใจว่า เธอตั้งใจทำสเกลของวิลล่าให้เท่ากับบ้านสมัยก่อน

เพราะคำว่าวิลล่าไม่ใช่วิลล่าหรูหราอย่างที่โรงแรมอื่นใช้ แต่ความหมายของมันแปลว่าบ้านหลังเล็กๆ ที่อบอวลไปด้วยความอบอุ่น

นอกจากนี้ ผู้ที่ต้องการทำกิจกรรมพิเศษสามารถเข้าคลาสงานปั้นและศิลปะกับวิชา หรือตื่นเช้าไปทำบุญใส่บาตรที่วัดพร้อมกับเขาได้ทุกวัน

คุณไม่จำเป็นต้องสงสัยสิ่งใดเพราะทุกอย่างจะอธิบายได้หากเข้าไปสัมผัส จากประตูรีสอร์ทที่ไร้ป้ายชื่อ เปิดประตูสู่หมู่บ้านเล็กๆ บนเนินเขา มองเห็นทิวสนที่ทำให้นึกถึงความทรงจำ ซึ่ง ณ ขณะนั้นจะไม่รู้สึกว่าที่นี่คือที่ไหน แต่มันคือบ้านที่คุณห่างหายไปนานเท่านั้นเอง

Price: ห้องคลาสสิก วิลล่า 1 ห้องนอน และวิลล่า 2 ห้องนอน ราคา 5,000 บ. วิลล่า 3 ห้องนอน ราคา 10,500 บ.

Place: บ้านหนองซ่อม ต. โป่งตาลอง อ. ปากช่อง จ. นครราชสีมา โทร. 094-162-4995, 091-995-9651 เว็บไซต์ lapurinee.com

Promotion: เมื่อชำระด้วยบัตรเครดิตเคทีซีได้รับราคาส่วนลด ห้องคลาสสิกและวิลล่า 1 ห้องนอน ราคา 4,000 บ. วิลล่า 2 ห้องนอน ราคา  4,500 บ. และวิลล่า 3 ห้องนอน ราคา 9,000 บ. พร้อมส่วนลดค่าอาหาร 5%

 

หนีความตึงมาพึ่งความช้า ศิริวัฒน์ มะลิแย้ม

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์โพสต์ทูเดย์

19 มีนาคม 2560 เวลา 14:46 น…. อ่านต่อได้ที่ : http://www.posttoday.com/travel/thailand/485900

หนีความตึงมาพึ่งความช้า ศิริวัฒน์ มะลิแย้ม

โดย…วันพรรษา อภิรัฐนานนท์

ศิริวัฒน์ มะลิแย้ม นักเขียนแว่นแก้ว เจ้าของผลงาน “เอกอีเอ้กเอย” สำนักพิมพ์ นานมีบุ๊คส์ ในปีที่ผ่านมา ได้รับรางวัลชมเชยในโครงการประกวดรางวัลวรรณกรรม “แว่นแก้ว” ครั้งที่ 12 เมื่อได้พูดคุยสนทนาด้วย ก็พบว่าน่าสนใจไม่น้อย โดยเฉพาะจุดเปลี่ยนในชีวิตที่ทำให้ทุกอย่างในชีวิตของเขาเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง

ศิริ มะลิแย้ม เป็นนามปากกาของ ศิริวัฒน์ มะลิแย้ม นักเขียนหนุ่มจากนครขีดขิน จ.สระบุรี เริ่มฝึกเขียนเรื่องสั้นขณะเรียนชั้นมัธยมศึกษา

เรื่องสั้นเรื่องแรกเป็นต้นฉบับลายมือส่งประกวด เมื่อไม่ประสบความสำเร็จจึงหยุดเขียนไปพักใหญ่ และกลับมาเขียนอย่างจริงจังเมื่อปี 2555 กระทั่งได้รับรางวัลแว่นแก้วปีล่าสุด

นานๆ จะเข้ากรุงเทพฯ เพราะเกิดและทำงานที่ต่างจังหวัด หากชีวิต “คนทำงาน” ในต่างจังหวัด ก็มิได้ผิดแผกแตกต่างจากคนทำงานในเมืองที่ไม่มีเวลาเป็นของตัวเอง ทุกอย่างถูกกำหนดและบีบกรอบให้อยู่ในขอบเขตของงาน งาน และงานเสมอ แม้แต่ชีวิตส่วนตัวของนักเขียนหนุ่มก็แทบไม่มีเวลา

“ผมทำงานจันทร์ถึงเสาร์ ช่วงหยุดวันอาทิตย์หรือวันหยุดนักขัตฤกษ์ สมัยก่อนแทนที่จะหยุดก็คือไม่หยุด แต่จะทำงาน บ่อยมากที่เป็นอย่างนั้น หรือจะให้พูดจริงๆ ก็คือแทบจะทุกเสาร์-อาทิตย์ที่ต้องไปสะสางงาน เคลียร์งานที่ทำงาน เมื่อสองปีก่อนผมเป็นแบบนั้น” ศิริวัฒน์เล่า

เขาทำงานคลังสินค้าที่บริษัทเอกชนใหญ่แห่งหนึ่ง มีหน้าที่ดูแลรับผิดชอบเกี่ยวกับการบริหารจัดการพื้นที่หน้าคลัง รวมทั้งจัดส่งและรับสินค้าตามออร์เดอร์งาน งานจุกจิกและเต็มไปด้วยรายละเอียดให้ต้องติดตามดูแล

นอกจากนี้ คือภาระกดดันในจิตใจที่เริ่มงานช้า และออกจะล้าหลัง เมื่อเปรียบเทียบกับเพื่อนในกลุ่มเดียวกัน เนื่องจากไม่ได้เรียนมาตรงสายงาน ก็ไม่อยากรั้งท้ายอยู่ปลายแถว พยายามที่จะถีบตัวเองขึ้นมา ผลักดันตัวเองขึ้นมา

“สมัยนั้นผมทำงาน 6 วัน วันอาทิตย์ก็ยังจะทำ ในความรู้สึกคือ ต้องทำให้จบ งานไม่จบก็ไม่สบายใจ ค้างคาใจ วิตกกังวล เก็บมาครุ่นคิด ไม่อยากเครียดที่บ้าน ก็เอาตัวเองไปเครียดอยู่ที่ทำงานให้มันจบๆ ไปเลย”

ความเครียดของคนทำงาน แรกๆ ก็ไม่รู้สึกอะไร ไปทำงานวันหยุด ช่วงแรกสบายและไม่เครียดเลย แต่ทำไปเรื่อยๆ ก็ชักไม่ไหว เหมือนนักมวยที่ถูกต่อยหมัดแรกยังไม่รู้สึกอะไร แต่ถูกต่อยซ้ำๆ เข้าที่เดิมๆ นานเข้าก็ผล็อยเหมือนถูกสอยด้วยหมัด หมดแรงทั้งร่างกาย จิตใจ

จิตวิญญาณ

2 ปีเต็มๆ ที่ทำงานหักโหม เสาร์-อาทิตย์ไม่หยุด สมองล้า ร่างกายโทรมเสื่อมหมดแรงหมดสภาพ ความสัมพันธ์กับครอบครัวก็ไม่ดี ศิริวัฒน์แต่งงานแล้ว หากแทบจะไม่มีเวลาให้แก่กันเลย บิดาอยู่บ้านต่างจังหวัดอีกที่หนึ่งก็คอยแต่จะถามหา เป็นความรู้สึกที่ยากอธิบาย

“ผมพยายามมาก ในที่สุดก็ถึงจุดที่ถามตัวเอง ตั้งคำถามกับตัวเองว่า ผมทำแบบนี้ทำไม เพราะไม่มีใครได้อะไรเลย แม้แต่ตัวผมเอง” ศิริวัฒน์เล่า

ชายหนุ่มตัดสินใจเปลี่ยนชีวิตใหม่ เขาบอกว่า เหมือนคนที่กำลังจะหักดิบกับอะไรสักอย่าง เหมือนหักดิบเหล้าบุหรี่ แต่นี่เป็นการหักดิบจากความบ้างาน ต้องมีวินัย มีความซื่อตรงกับตนเอง ใช้ความพยายามมาก ก็แปลกเหมือนกันที่นึกย้อนไป หักดิบคือหักดิบ หมายถึงทำทันที สำหรับเขามันได้ผล

“ผมไม่เครียดกับงานอีก บังคับใจตน เมื่อก่อนเหมือนวางแผนชีวิตไว้ไกลๆ มองไปไกลๆ แล้วพยายามทำตามแผนให้ได้ แต่ผมคนใหม่คือไม่เอาแบบนี้เลย ไม่คิดมาก คิดวันต่อวัน เคล็ดลับคือการแบ่งเวลาให้เป็น งานคืองาน ทำเต็มที่ จนถึงจุดหนึ่งอนุญาตให้ตัวเองกดปุ่มหยุด”

ชีวิตดีขึ้นทันตาเห็น ความสัมพันธ์กับครอบครัวดีขึ้น ความสัมพันธ์กับภรรยาดีขึ้น และเหลือจะเชื่อที่หน้าที่การงานก็ดีขึ้น ไม่เฉพาะงานในหน้าที่ประจำที่ทำอยู่เท่านั้น หากงานเขียนหนังสือก็สามารถพัฒนาได้ รางวัลวรรณกรรมเยาวชนแว่นแก้วก็ได้รับต่อเมื่อระยะหลังๆ ที่เปลี่ยนชีวิตให้ช้าลงนี่เอง

“ภรรยาช่วยมากในเรื่องนี้ คือแฟนผมเป็นคนชอบเดินทางท่องเที่ยวอยู่แล้ว เขาดีใจมากที่ผมจะเปลี่ยนชีวิตให้ช้าลง อาสาทันที บอกว่าเดี๋ยวก็หาย เมื่อก่อนผมกับแฟนคือพยายามปรับตัวเข้าหากันมาตลอด แต่เมื่อผมเปลี่ยนและเริ่มออกไปเที่ยวกับเขามากขึ้น ไปพักผ่อนกับเขามากขึ้น ก็ดีขึ้นจริงๆ”

ถูกภรรยาชักนำไปในทางท่องเที่ยว ก็ไปกันทั้งครอบครัว วันหยุดจะหอบหิ้วกันไปหมด ทั้งพ่อแม่และภรรยา สนุกสนานและมีความสุขขึ้นมาก พ่อที่เคยบ่นน้อยใจลูกชาย ถึงทุกวันนี้ไม่เคยมีคำบ่นให้ได้ยิน แม้แต่โทรมาก็ยังน้อยเพราะก็จะได้เจอกันบ่อยช่วงสุดสัปดาห์อยู่แล้ว

วันเสาร์-อาทิตย์ ใช้ชีวิตนอกที่ทำงานโดยเด็ดขาด โดยถ้าไม่ไปเที่ยวก็คืออยู่บ้าน พักผ่อนสบายๆ และทำงานเขียน ได้ดูความคิดของตัวเองได้ชัดๆ สำหรับศิริวัฒน์ยังคิดว่าแปลก ชีวิตที่ลดความสับสนวุ่นวายลง มันทำให้สมองโล่งและเคลียร์ภาพได้แจ่มชัด ในแง่ของงานเขียนแล้วก็ต้องถือว่าดี

“เราได้ไปใช้ชีวิตที่มุมอื่นๆ ของโลกบ้างนะ อย่างเกาะขาม สัตหีบ ไม่เคยไปก็ไป เพชรบูรณ์ทางเหนือ หรือทางภาคใต้ผมก็เพิ่งไปเที่ยวเพิ่งกลับขึ้นมา ผมชอบทะเลนะ ผมชอบสีสดๆ ของสีเขียว ผมชอบสีแจ่มๆ ของสีฟ้า มองไปไม่มีที่สิ้นสุด หลากฉากในหนังสือของผม มาจากฉากต่างๆ ที่ได้ไปเที่ยวเห็นนี่เอง”

คนที่เปลี่ยนไปอีกคนคือพ่อของศิริวัฒน์เอง จากเมื่อก่อนที่พ่อพูดน้อย ซึมและดูเศร้า แต่เมื่อเขาเปลี่ยน พ่อก็เปลี่ยน วันนี้รู้ว่าลูกจะกลับบ้าน พ่อจะเสียงใสมาก (ฮา) กระปรี้กระเปร่า ทำกับข้าวทำต้มข่าไก่ พ่อทำอาหารภาคกลางเก่ง เป็นคนมีฝีมือเรื่องแกงกะทิหรือแกงอะไร ก็ได้ใช้เวลาด้วยกัน ซึ่งมีค่าที่สุด

“ผมเปลี่ยนชีวิตมา 3 ปีแล้ว มีความสุข งานก็โอเค หมายถึงผมมีความสุขในสิ่งที่ผมทำ งานที่เคยคิดว่าต้องหอบกลับมาทำบ้าน หรือต้องเอาตัวเองไปขลุกอยู่ด้วยทุกเมื่อเชื่อวัน เอาเข้าจริง กลับดีกว่าถ้าทิ้งระยะออกมาบ้าง กลายเป็นทำให้เรามองภาพชัด มองปัญหาชัด แก้ได้ตรงจุดและมีประสิทธิภาพ”

เงินเดือนโบนัสที่เคยคิดเคยเครียดว่าปีนี้จะได้หรือไม่? กลับกลายเป็นเรื่อง “จิ๊บๆ” เพราะถ้ามองให้ขาดว่า เป็นการตัดสินใจของคนอื่น เป็นปัจจัยภายนอกที่อยู่นอกเหนือตัวเรา ถึงกลุ้มหรือเครียดก็เท่านั้น อานิสงส์มากมายจากการปรับเปลี่ยนชีวิตให้ช้า เลิกบ้างาน สำคัญที่สุดคือชีวิตเปลี่ยนไปจากมุมมองที่คับแคบ เหมือนเราได้อยู่และอยู่ได้ ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น คือความเป็นอิสระที่ได้ใช้ชีวิต ไม่เครียดแต่มีความสุขกับมัน แค่นี้เองที่เปลี่ยน

ชีวิตถูกใช้ในปัจจุบัน วันนี้ของศิริวัฒน์ เขาคือพนักงานที่เต็มร้อยในบริษัทเอกชนแห่งหนึ่ง และเป็นนักเขียนสมัครเล่นอยู่ในโลกส่วนตัวอันแสนสงบ สนุกกับการสะสมต้นฉบับเรื่องเล่ามากมายที่เขียนขึ้น วันดีคืนดีก็จะเปิดต้นฉบับเรื่องเล่าเหล่านี้อ่านให้ตัวเองฟัง แล้วส่งให้นิตยสารพิจารณาตีพิมพ์ หรือไม่ก็ส่งประกวดในเวทีต่างๆ เท่าที่มีโอกาส

จึงเป็นชีวิตที่ตนเองเป็นผู้เลือก ผลของการเปลี่ยนแปลง ไม่มีอะไรมากไปกว่า ความสุขและความเพลิดเพลิน กับชีวิตที่…ถูกเปลี่ยน…ให้ช้าลง

 

‘แบกกล้องเที่ยว’

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์โพสต์ทูเดย์

18 มีนาคม 2560 เวลา 15:27 น…. อ่านต่อได้ที่ : http://www.posttoday.com/travel/thailand/485803

‘แบกกล้องเที่ยว’

โดย…รอนแรม ภาพ : แบกกล้องเที่ยว

สาวกนักเดินทางและนักถ่ายภาพคงคุ้นเคยกับเพจเฟซบุ๊ก “แบกกล้องเที่ยว” ของคู่รักนักเดินทาง เติ้ล-พชร เกรียงเกร็ด และ เจน-เจนจิรา ซอมรัมย์ ที่ได้ถ่ายทอดประสบการณ์การเดินทางและแชร์ภาพถ่ายฝีมือขั้นเทพให้ชม จนเกิดอาการอิจฉาตาร้อน

เติ้ล เล่าว่า ตนสร้างเพจวันแรกเมื่อ 2 ปีที่แล้ว โดยในปีแรกมียอดไลค์ประมาณ 4 หมื่นกว่าไลค์ แต่เมื่อเวลาผ่านไปเพจก็เป็นที่รู้จักขึ้นเรื่อยๆ จนบูมกลายเป็นหลักแสน และไม่นานก็เข้าสู่หลักล้าน หรือจำนวนที่แน่นอนคือ 1,087,794 ไลค์บวกๆ ณ วันนี้ ซึ่งสามารถคำนวณได้ว่า เพจมีคนกดไลค์เพิ่มขึ้นราว 9.5 แสนไลค์ในเวลาเพียง 1 ปี

“เป็นเพราะคอนเทนต์” เขาเฉลยเบื้องหลังความสำเร็จ

“ถ้าคอนเทนต์ไหนโดน ลูกเพจจะแชร์ ซึ่งการแชร์จะทำให้คนเห็นมาก อย่างบางโพสต์มียอดแชร์เป็นแสน แต่มียอดไลค์โพสต์แค่หลักหมื่น พฤติกรรมของคนไทยมักจะเป็นแบบนี้คือ ชอบแชร์ โดยข้อมูลที่เขาแชร์ต้องเป็นข้อมูลที่มีประโยชน์เวลาไปเที่ยว

“เพจเราจะลงรายละเอียดตั้งแต่ขึ้นเครื่องบิน ถึงสนามบิน ต้องเดินไปทางซ้ายหรือขวา พักที่ไหน เดินทางยังไง รีวิวทุกอย่างในทริปให้ฟังหมดเลย ซึ่งคนจะชอบเพราะเราไปไกด์เขาได้ และเมื่อคนชอบเขาจะแชร์ต่อ อย่างยอดไลค์เพจที่เพิ่มขึ้นตอนเริ่มต้นเติ้ลไม่เคยซื้อบูสต์เลย ดังนั้นคนที่เข้ามาไลค์จึงเกิดจากการแชร์ล้วนๆ”

ทว่าก่อนที่จะเกิดเพจเฟซบุ๊ก เติ้ลเคยเขียนในพันทิปมาก่อน เขาเป็นเจ้าของกระทู้ดัง “หลงรักประเทศไทย เมื่อฉันตัดสินใจลาออกมา แบกกล้องเที่ยว ใน 3 เดือน” ซึ่งเขาถือว่าพันทิปเป็นตัวจุดประกายการสร้างเพจ

หลังจากกระทู้ถูกแชร์ไปหมื่นๆ ครั้ง วันแรกที่เปิดเพจคือวันแรกที่ตั้งกระทู้และเป็นวันแรกที่มีคนกดไลค์เกือบหมื่นคน จากคนในพันทิปที่ติดตามเขามาอย่างรวดเร็ว

ที่น่าสนใจอีกอย่าง คือชื่อเพจแบกกล้องเที่ยว ที่หลายคนคิดว่ามาจากแอดมิน เป็นช่างภาพมืออาชีพ แต่เปล่าเลย เพราะมันถูกสร้างขึ้นโดยนักการตลาด

เติ้ลสารภาพว่า ตนจบด้านการตลาด ทำงานด้านการตลาด แต่เป็นนักการตลาดที่ชอบเดินทาง และเมื่อเดินทางก็ทำให้เขาชอบถ่ายภาพไปโดยปริยาย ซึ่งวันแรกที่ลาออกจากงานประจำเขาก็ไม่เคยปล่อยกล้องอีกเลย

“ทำงานประจำมา 12 ปี ก็ยังสนุกอยู่ แต่เรากลับชอบการเดินทางมากกว่าแล้ว และอีกอย่างคือ ถ้าไม่ออกตอนนั้นเรากลัวว่าจะเที่ยวไม่ไหว เรากลัวว่าจะขึ้นเขาไม่ได้ จะขี้เกียจตื่นเช้ามาดูพระอาทิตย์ กลัวว่าจะไม่เหลือแรงไปเที่ยวแล้ว ซึ่งจริงๆ วันนั้นที่ลาออกมา ยังไม่รู้เลยว่าจะทำงานอะไร แต่มีเงินอยู่ก้อนหนึ่งเลยบอกกับตัวเองว่าขอไปเที่ยวก่อน ขอเวลา 3 เดือนแล้วค่อยหางานใหม่ แต่พอเที่ยวครบกำหนดผมก็เขียนกระทู้ในพันทิป จนมาถึงวันนี้ก็ยังเที่ยวไม่หยุด”

เติ้ล ยังกล่าวด้วยว่า เหตุที่เปิดเพจไม่เคยคิดจะทำเป็นงาน แต่เมื่อโชคชะตาและฝีมือเล่นตลกทำให้ต้องทำเพจอย่างจริงจัง จนตอนนี้รายได้ทั้งหมด 100 เปอร์เซ็นต์มาจากความอยากอวดนั้น และในตอนนี้เขาได้ขยับมาทำเว็บไซต์ baagklong.com อย่างจริงจัง เพื่อหวังสร้างบ้านของตัวเองให้แข็งแรงสำหรับแฟนสาวพร้อมพรรคพวก (ทีมงาน) ได้อย่างมั่นคง

ทั้งนี้ ใครยังไม่เป็นหนึ่งในล้านไลค์สามารถติดตามการเดินทางของคนแบกกล้องได้ที่เพจเฟซบุ๊ก “แบกกล้องเที่ยว”

 

ชนบทของต่างจังหวัด บ้านปง-ห้วยลาน หมู่บ้านในป่าไม่ห่างจากเมือง

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์โพสต์ทูเดย์

18 มีนาคม 2560 เวลา 15:20 น…. อ่านต่อได้ที่ : http://www.posttoday.com/travel/thailand/485801

ชนบทของต่างจังหวัด บ้านปง-ห้วยลาน หมู่บ้านในป่าไม่ห่างจากเมือง

โดย…กาญจน์ อายุ

แปลกใจที่สุดคือระยะทาง เพราะชุมชน “บ้านปง-ห้วยลาน” อยู่ไม่ไกลจากตัวเมืองเชียงใหม่ แต่ทุกอย่างกลับต่างกันโดยสิ้นเชิง

ทุกคนคงนึกภาพตัวเมืองเชียงใหม่ออกทั้งการจราจร ความร้อน ความหนาแน่น หรือสภาพทั่วไปที่ไม่ค่อยต่างจากกรุงเทพมหานคร แต่ต่างจังหวัดยังคงมีต่างอำเภออย่างบ้านปง-ห้วยลาน ชนบทของเมืองเชียงใหม่ตั้งอยู่ใน ต.ออนใต้ ห่างจากตัวเมืองสันกำแพงไป 7 กม. ลักษณะเป็นชุมชนขนาดเล็ก มีพื้นที่ประมาณ 41 ตร.กม. มีผู้อยู่อาศัยไม่ถึง 1,000 คน

ภูมิประเทศเป็นที่ราบลุ่มและที่ราบเชิงเขา มีแม่น้ำแม่ออนไหลผ่าน และมีผืนป่าห้วยลานเป็นจุดกำเนิดของความสมบูรณ์ ซึ่งชาวบ้านปง-ห้วยลาน ยังคงดำรงชีวิตเรียบง่ายเคียงคู่อยู่กับป่าทั้งที่สามารถกลืนเป็นเมืองได้ไม่ยากเย็น

ขั้นตอนการโว้นหูก หรือการเดินด้ายก่อนการทอผ้า

ลักษวรรณ พวงไม้มิ่ง นักวิชาการป่าไม้ชำนาญการ และหัวหน้าโครงการพัฒนาพื้นที่ห้วยล้าน อันเนื่องมาจากพระราชดำริ ได้อธิบายเกี่ยวกับป่าห้วยลานว่า โครงการมีพื้นที่ทั้งหมด 1.25 หมื่นไร่ ซึ่งก่อนที่จะอุดมสมบูรณ์ไปด้วยป่าไม้ ที่นี่เคยเป็นพื้นที่แห้งแล้งมาก่อน ทำให้ชาวบ้านปง-ห้วยลาน ทำนาได้แค่ปีละครั้งและปลูกได้เฉพาะอ้อย ข้าวโพด ที่ใช้น้ำน้อยเท่านั้น

จนกระทั่งราษฎรได้ร่วมกันทูลเกล้าฯ ถวายฎีกาต่อในหลวงรัชกาลที่ 9 พระองค์ได้เสด็จฯ มาเยี่ยมราษฎรครั้งแรกเมื่อ 30 ปีก่อน และทรงมีพระราชดำริให้สร้างอ่างเก็บน้ำห้วยลานขึ้นเพื่อกักเก็บน้ำปริมาณ 5 ล้าน ลบ.ม. รวมทั้งแนวทางการรักษาน้ำ รักษาดิน และฟื้นฟูป่าห้วยลานให้สมบูรณ์

“ท่านเสด็จฯ มาที่นี่ 4 ครั้งอย่างเป็นทางการ แต่ถ้าไปถามผู้เฒ่าผู้แก่จะรู้ว่าท่านไม่ได้เสด็จฯ มาแค่นั้น แต่เสด็จฯ มาส่วนพระองค์เองอีกหลายครั้ง เพราะท่านทรงห่วงใยราษฎรจริงๆ” พี่ลักษวรรณ กล่าวต่อ

ผ้าฝ้ายทอมือ

“จนกระทั่งปัจจุบันเรามีน้ำ มีป่า และชาวบ้านมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น ชาวบ้านสามารถทำนาได้ผลผลิตไร่ละ 1,500-2,000 กิโลกรัม จากแต่เดิมที่ทำได้แค่ไร่ละ 500 กิโลกรัม และสามารถทำนาได้ปีละ 2 ครั้ง ทำให้ชาวบ้านมีข้าวเพียงพอต่อการบริโภคและขาย

“นอกจากนี้ ที่นี่ยังมีน้ำพอสำหรับการอุปโภคบริโภคและสามารถทำพืชสวนเป็นอาชีพเสริม และที่เห็นได้ชัดคือ ป่าห้วยลานฟื้นกลับมาอุดมสมบูรณ์ จากป่าเต็งรังที่มีแต่ลูกรังกลายเป็นป่าเบญจพรรณที่สูงชะลูด ประกอบกับชาวบ้านปง-ห้วยลาน ช่วยกันรักษาป่าได้ดีมาก ไม่มีการบุกรุกเลย ขอบเขตป่าอยู่อย่างไรก็อยู่แบบนั้น ชาวบ้านช่วยกันดูแลป่าต้นน้ำ และน้อมนำหลักเศรษฐกิจพอเพียงของพ่อมาใช้เป็นหลักในการดำเนินชีวิต ไม่ได้ไปตัดไม้ทำลายป่า แต่สามารถมีชีวิตอยู่กับป่าได้อย่างยั่งยืน”

สิ่งที่น่าสนใจ ชาวบ้านยังมีโปรแกรมการท่องเที่ยวโดยชุมชน เพื่อให้นักท่องเที่ยวเข้าไปศึกษาวิถีชีวิตอย่างลึกซึ้ง ทั้งการทอผ้า การจักสานจากหวาย อาหารการกินเพื่อสุขภาพ และการใช้ชีวิตอย่างพอเพียงในโฮมสเตย์

กำแพงบ้านกลายเป็นรั้วกินได้

โดย นิคม ยะคำ กำนันตำบลออนใต้ และอดีตผู้ใหญ่บ้านปง-ห้วยลาน ได้เล่าถึงประวัติความเป็นมาของหมู่บ้านว่า บ้านปง-ห้วยลาน ก่อตั้งเมื่อปี 2310 โดยได้พบถ้วยสังคโลกฝังอยู่จำนวนมาก สันนิษฐานว่าคนโบราณได้ขุดดินเพื่อนำไปปั้นเครื่องสังคโลกทำให้เนื้อดินกลายเป็นปงหรือดินเหลวอย่างเช่นปัจจุบัน และไม่สามารถปลูกพืช กระทั่งในหลวงรัชกาลที่ 9 ทรงมีแนวพระราชดำริให้สร้างอ่างเก็บน้ำและฟื้นฟูป่า จึงสามารถพลิกฟื้นชีวิตชาวบ้านให้ลืมตาอ้าปากได้

“หมู่บ้านของเราจะเน้นทำเกษตรอินทรีย์เป็นอาชีพหลัก และทำการท่องเที่ยวชุมชนเป็นอาชีพเสริม” กำนันนิคม เล่าต่อ

“เริ่มทำเมื่อ 3 ปีก่อน ตอนนี้หมู่บ้านเป็นที่สนใจของทั้งคนในประเทศเราและต่างประเทศ นอนโฮมสเตย์ แอ่วธรรมชาติ และกินอาหารปลอดภัย สามารถมาแวะที่นี่ได้ หรือมาศึกษาการใช้ปุ๋ยอินทรีย์ หรือมาปั่นจักรยานเที่ยวก็ได้ จากเมื่อก่อนไม่มีใครอยากมาอยู่หมู่บ้านเรา แต่ในวันนี้มาแล้วไม่อยากกลับ เพราะอยู่แล้วมีความสุข สุขภาพดี”

ใบหน้ายิ้มแย้มของเจ้าของบ้านพืชผักสวนครัวอินทรีย์

โปรแกรม 2 วัน 1 คืน น่าจะกำลังดีสำหรับคนเมืองที่มีเวลาแค่เสาร์-อาทิตย์ โดยเริ่มจากเดินทางมาถึงบ้านปง-ห้วยลาน ในช่วงสายแก่ๆ ของวันแรก เพื่อสัมผัสวิถีชุมชนในบรรยากาศสบายๆ และร่วมรับประทานอาหารเย็นแบบปิ่นโตบ้านปงกับผู้เฒ่าผู้แก่ในหมู่บ้าน และเข้าพักในโฮมสเตย์

จากนั้นเช้าตรู่ของวันที่สอง จะเริ่มด้วยการปั่นจักรยานไปวัดป่าตึงและร่วมทำบุญตานขันข้าว รับประทานอาหารเช้าที่วัด และเริ่มทัวร์ชุมชนโดยการสัมผัสวิถีชุมชนทั้งบ้านทอผ้า บ้านผักอินทรีย์

จนเวลาคล้อยบ่าย แวะรับประทานอาหารกลางวันเมนูสุขภาพ และสัมผัสชุมชนต่อที่บ้านจักสาน บ้านขนมโบราณ และบ้านทำลูกประคบ ก่อนจะปิดท้ายด้วยการซื้อของฝากจากชุมชน

กระติบสาน ผลิตภัณฑ์แฮนด์เมดของชาวปง-ห้วยลาน

แม่อารีย์ ใจวงค์ หนึ่งในกลุ่มทอผ้าบ้านปง-ห้วยลาน เล่าว่า วิถีชุมชนผูกพันกับเส้นฝ้ายตั้งแต่เกิดจนตาย โดยมีขั้นตอนเริ่มจากการเก็บดอกฝ้ายในชุมชน นำไปอีดเพื่อคัดเม็ดออก ตีให้ฟู แล้วปั้นเป็นหางฝ้ายเพื่อเปลี่ยนดอกฝ้ายให้เป็นเส้นใย

จากนั้นนำไปสู่การกรอ ดึง สาว ให้เป็นเส้นด้าย และม้วนเป็นหลอดก่อนสาวออกมาด้วยเปี๋ยฝ้าย จนได้เส้นด้ายที่จะนำไปใช้ตามวิถีในช่วงชีวิต เช่น งานเกิด งานตาย งานสู่ขวัญรับขวัญ งานมงคล และพิธีกรรมความเชื่อ

หลังจากนั้นเส้นฝ้ายที่ม้วนเป็นหลอดด้ายจะนำมาขึ้นเรียงลาย หรือที่เรียกว่าโว้นหูก ให้เกิดการเรียงตัวของเส้นฝ้ายตามลวดลายที่วางไว้ ต่อด้วยการหวีหูก เพื่อให้เส้นฝ้ายเรียงตัวและกำจัดเศษฝ้ายต่างๆ ก่อนนำไปขึ้นกี่และการทอผ้า เอกลักษณ์ของผ้าปง-ห้วยลาน คือ ทำจากฝ้ายร้อยเปอร์เซ็นต์ ย้อมสีธรรมชาติ ไม่เน้นสีฉูดฉาด และเหนียวยืดหยุ่นใช้งานได้นาน

คุณยายสาธิตการปั่นฝ้าย

ผู้หญิงบ้านปง-ห้วยลาน นุ่งซิ่นทอมือกันทุกคน ทุกคนปลูกพืชผักอินทรีย์กินเองในครอบครัว ทุกครอบครัวส่งต่อความพอเพียงจากรุ่นสู่รุ่น และทุกรุ่นรักษาวิถีธรรมชาติได้อย่างไม่ขัดขืน จึงไม่แปลกใจว่าทำไมความเป็นเมืองถึงทำอะไรบ้านปง-ห้วยลานไม่ได้

นั่นเป็นเพราะคนที่นี่ใช้ชีวิตอย่างพอเพียงและพอใจ สิ่งศิวิไลซ์ที่ฟุ่มเฟือยและเกินไปจึงเข้ามาเปลี่ยนวิถีดั้งเดิมได้ยากและดูท่าว่าจะไม่ได้เลย

เส้นทางบ้านปง-ห้วยลาน เป็น 1 ใน 8 เส้นทางท่องเที่ยวชุมชนของโครงการ “เหนือฝันล้านแรงบันดาลใจ แอ่วเหนือครั้งใหม่ ไม่เหมือนเดิม” จากความร่วมมือระหว่างกองตลาดภาคเหนือ การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) และโลเคิล อไลค์ ที่ต้องการกระตุ้นแรงบันดาลใจผู้หญิงวัยทำงานให้ออกค้นหาความหมายของชีวิต โดยเส้นทางนี้อยู่ภายใต้คอนเซ็ปต์ “พ่อคือแรงบันดาลใจ สัมผัสมุมมองใหม่ ไม่เหมือนเดิม”

ผู้ที่สนใจสามารถเดินทางกับโลเคิล อไลค์ และรับฟังเรื่องราวแท้จริงจากชาวบ้านได้อย่างลึกซึ้ง ติดต่อโทร. 08-1139-5593 หรืออีเมล hollie@localalike.com

ป่ายางรัก

 

เที่ยวยุคใหม่ ในวิถีดั้งเดิม

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์โพสต์ทูเดย์

15 มีนาคม 2560 เวลา 09:55 น…. อ่านต่อได้ที่ : http://www.posttoday.com/travel/thailand/485273

เที่ยวยุคใหม่ ในวิถีดั้งเดิม

โดย…โยธิน อยู่จงดี

ท้องนา ต้นมะพร้าว ทุ่งหญ้า และสัตว์เลี้ยงในชนบท สิ่งแวดล้อมและวิถีชีวิตที่เราเห็นจนคุ้นชินตาตั้งแต่เด็กๆ ทำให้เราละเลยไม่เห็นคุณค่า บ่ายหน้าสู่สังคมเมืองเพื่อหวังความก้าวหน้าในชีวิต ทิ้งรากเหง้าความเป็นไทยไปสู่สากล แต่สุดท้ายแล้วใครจะยอมรับ ฝรั่งก็เห็นไทยเราเป็นแค่ประเทศโลกที่สาม วันเวลาผ่านไปเราต่างนึกย้อนกลับไปในอดีต สิ่งที่เคยเป็นเอกลักษณ์ความเป็นไทยยังคงอยู่ดีไหม และถ้ายังอยู่เราจะกลับไปหาได้จากที่ไหน คำตอบนั้นอาจจะอยู่ที่ศูนย์เรียนรู้ของเอกชนที่ยังคงเห็นคุณค่าความเป็นไทยเหล่านี้

ย้อนเวลาเรียนรู้วิถีไทยเดิม

ที่สวนสามพราน ริเวอร์ไซด์ มีศูนย์การเรียนรู้วิถีชีวิตวัฒนธรรมไทย และศูนย์การเรียนรู้เกษตรอินทรีย์ ที่แห่งนี้ในวันธรรมดาจะเต็มไปด้วยนักเรียนหลายร้อยคนมาเรียนรู้ศึกษาวิถีชีวิต และในวันหยุดสุดสัปดาห์จะมีหลายครอบครัวที่พาเด็กๆ มาเรียนรู้วิถีชีวิตแบบไทยเดิมที่ไม่เคยรู้จักมาก่อน

ธัญญาลักษณ์ กิจบำรุง ผู้จัดการฝ่ายสื่อสารการตลาด สวนสามพราน ริเวอร์ไซด์ เล่าถึงที่มาที่ไปของการริเริ่มกิจกรรมวิถีไทยและเกษตรอินทรีย์ ว่าที่ศูนย์การเรียนรู้ของที่สวนสามพราน ริเวอร์ไซด์ จะแยกเป็น 2 ส่วน คือ ศูนย์เรียนรู้ด้านวัฒนธรรมไทยและศูนย์เรียนรู้ด้านเกษตรอินทรีย์

ในด้านวัฒนธรรมไทย สวนสามพราน ริเวอร์ไซด์ ได้มีการจัดการแสดงด้านวัฒนธรรรมไทยมายาวนานถึง 44 ปี จนกระทั่งผู้บริหารรุ่นที่ 3 โอ-อรุษ และฟี่-อนัฆ นวราช เข้ามาบริหารต่อ ก็ยังคงยึดถือเกี่ยวกับวิถีชีวิตวัฒนธรรมไทยอยู่ เพราะมองว่าวิถีไทยเป็นสิ่งที่คนไทยยังโหยหาอยู่ เพียงแต่ว่าพวกเขายังหาสถานที่ที่จะทำให้รำลึกความหลังย้อนวัยกลับมาหาวิถีชีวิตแบบไทยดั้งเดิมนั้นก็หาได้ยาก

จึงจัดเป็นเวิร์กช็อปให้นักท่องเที่ยวได้เข้ามาศึกษาเรียนรู้เกี่ยวกับการดำรงวิถีชีวิตไทยในสมัยก่อน ดูการทำสวน ทำนา การทำกับข้าวเข้าครัวของคนสมัยก่อน เทรนด์การเที่ยวของนักท่องเที่ยวจากแค่ดูการแสดงเพียงอย่างเดียว ก็อยากจะลงมือทำด้วย และเป็นที่นิยมของนักท่องเที่ยว รวมทั้งกลุ่มครอบครัวที่พาเด็กๆ มาเรียนรู้วิถีชีวิตไทยด้วยตัวเอง

เป็นการเรียนรู้นอกตำราที่หาสถานที่เรียนได้ยาก อย่างเช่นกิจกรรมที่ทำในสวนสามพราน ริเวอร์ไซด์ ก็มีฐานให้ทำกิจกรรมอยู่หลายฐาน อย่างเช่นเรื่องของการร้อยมาลัย เด็กก็จะได้เรียนรู้ตั้งแต่การเก็บอกไม้มาร้อยมาลัย ไปจนถึงขั้นตอนการร้อยจนออกมาเป็นรูปร่าง หรือการทำร่มที่ขึ้นชื่อของไทย ก็คือ การทำร่มบ่อสร้าง เรารู้จักกันแต่ในชื่อเสียงในตำราเรียน แต่ว่าเด็กส่วนใหญ่ยังไม่มีโอกาสที่จะเดินทางไปดูถึงสถานที่จริง ก็มีให้สอนการทำให้ดูว่าการทำร่มบ่อสร้างนั้นทำอย่างไร เป็นสถานที่ที่รวบรวมวิถีชีวิตของไทยของแต่ละภาคมารวมกัน

ในขณะที่ศูนย์เรียนรู้เกษตรอินทรีย์ เป็นการใช้พื้นที่ของสวนสามพราน ริเวอร์ไซด์ ฝั่งตรงข้ามแม่น้ำท่าจีน ซึ่งมีเนื้อที่อยู่ประมาณ 20 กว่าไร่ เคยเป็นสวนที่ปล่อยให้ชาวบ้านเช่า จนผู้บริหารมองว่าอยากจะนำพื้นที่นี้สร้างผลผลิตที่สามารถนำมาใช้ในโรงแรมได้ จึงทำการปรับพื้นที่บุกเบิกทำเป็นสวนเกษตรอินทรีย์ป้อนผลผลิตมาใช้ในโรงแรม

เริ่มต้นก็ทำแบบไม่มีความรู้มากนัก แต่ก็ได้รับความช่วยเหลือจากเกษตรกร จากผู้ใหญ่บ้าน นักวิชาการด้านการเกษตร และคนในชุมชนโดยรอบเข้ามาให้ความรู้และร่วมกันสร้างศูนย์การเรียนรู้เกษตรอินทรีย์ขึ้นมา ทำไปสักพักก็เริ่มมีเกษตรกรและนักท่องเที่ยวอยากจะเข้าชม จึงปรับให้เป็นพื้นที่ให้นักท่องเที่ยวได้ข้ามไปเรียนรู้วิถีเกษตรอินทรีย์

“ในช่วงแรกๆ ของมีแค่การเก็บกล้วยมาทำกล้วยปิ้งกิน มีกิจกรรมยิงหนังสติ๊ก ไปดูวิถีชีวิตชาวบ้านชาวสวน แต่แค่เปิดช่วงนั้นก็ได้รับความนิยมอย่างมาก เด็กๆ เวลามาเที่ยวแค่ได้วิ่งในท้องร่องสวนก็สนุกแล้ว สมัยนี้เด็กรุ่นใหม่ในเมืองคงไม่ได้มีโอกาสที่จะวิ่งเล่นตามท้องร่องสวนเหมือนเด็กสมัยก่อน

ปัจจุบันจึงต่อยอดให้นักท่องเที่ยวข้ามไปดูแปลงปลูกผัก แปลงปลูกต้นไม้ ดูการทำชีวภัณฑ์อย่างสมุนไพรไล่แมลง ได้ชิมผลไม้ตามฤดูกาล ให้คนที่มาสามารถเก็บผักเก็บผลไม้เอามาประกอบอาหารรับประทานได้ อาหารที่ทำก็จะเป็นอาหารง่ายๆ อย่างเช่นผัดผักออร์แกนิก และชะอมไข่เจียว โดยทั้งหมดจะประกอบอาหารบนเตาถ่าน

ดูเป็นกิจกรรมง่ายๆ แต่เป็นการเชื่อมโยงของครอบครัว จากผู้ใหญ่สู่ลูกหลาน อย่างเด็กๆ จะไม่เคยเห็นเตาถ่าน เพราะที่บ้านใช้แต่เตาแก๊ส เตาไฟฟ้า ยังไม่เคยเห็นเตาถ่านว่าใช้งานอย่างไร ปู่ย่า ตายาย หรือคุณพ่อคุณแม่ ก็จะได้เริ่มเล่าเรื่องราวในสมัยก่อนที่บ้านไหนอยากจะกินขนมก็จะเดินเข้าสวน ตัดกล้วย ตัดมะพร้าวเอามาทำขนมกินในบ้าน จุดด้วยเตาถ่านทำขนมทำกับข้าว กับข้าวก็จะมีกลิ่นหอมของเตาถ่านเข้ามาด้วย ไม่เหมือนสมัยนี้ที่อยากจะกินขนมก็เดินเข้าร้านสะดวกซื้อใกล้บ้าน

บางครั้งสิ่งที่มีอยู่ที่นี่พนักงานของเราเห็นจนชินตาคิดว่าเป็นเรื่องปกติ ปลูกต้นไม้ พายเรือในแม่น้ำ เห็นแมลงเห็นควาย ไม่มีอะไรน่าตื่นเต้น แต่สำหรับนักท่องเที่ยว โดยเฉพาะเด็กๆ แค่ได้เห็นแมลงปอบินผ่านก็ตื่นเต้นแล้ว เพราะในเมืองจะหาธรรมชาติและวิถีชีวิตแบบนี้ได้ยาก เราจึงภูมิใจที่เป็นส่วนหนึ่งให้เกิดการอนุรักษ์วัฒนธรรมไทย ซึ่งเป็นสิ่งที่ดีงามและใกล้จะเลือนหายไปในอนาคต”

เปิดศูนย์เรียนรู้ ดีกว่าเปิดร้านอาหาร

มินิ มูร่าห์ ฟาร์ม อ.บ้านโพธิ์ จ.ฉะเชิงเทรา เป็นหนึ่งในศูนย์การเรียนรู้วิถีชีวิตที่กำลังได้รับความนิยมอย่างมากในกลุ่มครอบครัวที่มีเด็กเล็ก เพราะที่นี่มีกิจกรรมเด่นๆ หลายอย่าง ตั้งแต่การให้นมควายมูร่าห์ ทำพิซซ่า ทำไอศกรีมที่ทำจากนมควาย และพื้นที่ให้เด็กๆ ได้เรียนรู้การดำนา

“จุดเริ่มต้นมาจากการทำฟาร์มควายนมพันธุ์มูร่าห์ ซึ่งเปิดมาได้ประมาณ 14 ปีที่แล้ว มีลูกค้าสนใจที่ขอเข้าชมควายนมพันธุ์มูร่าห์ แต่ติดอยู่ที่เรื่องของความสะอาดความปลอดภัย เพราะว่าควายนมพันธุ์นี้จะต้องมีการแยกในโรงปลอดเชื้อเพื่อป้องกันโรคระบาด ประกอบกับที่แรกจะต้องใช้ระยะเวลาเดินทางที่ค่อนข้างไกลจากกรุงเทพฯ จนกระทั่งเมื่อ 3 ปีก่อน เรามีความคิดที่จะเปิดร้านอาหารบรรยากาศฟาร์มที่ อ.บ้านโพธิ์ จ.ฉะเชิงเทรา

ร้านอาหารบรรยากาศฟาร์ม เป็นศูนย์เรียนรู้เพื่อให้คนเข้ามาเรียนรู้จักควายพันธุ์มูร่าห์ ว่ามีลักษณะหน้าตาเป็นอย่างไร และมีจุดเด่นอย่างไรบ้าง จุดยืนเราในเวลานั้น คือ การเปิดให้คนได้เข้ามารู้จักกับควายมูร่าห์ และผลิตภัณฑ์ที่ได้จากนมควายมูร่าห์มากขึ้น โดยมีกิจกรรมเล็กๆ น้อยๆ ให้นักท่องเที่ยวได้ลงมือสัมผัสประสบการณ์ทำผลิตภัณฑ์ที่ทำจากนม เช่น ทำชีสที่จะทำไปพิซซ่าเตาถ่าน และการนำนมไปทำเป็นไอศกรีมให้เด็กๆ ได้เรียนรู้ว่าตั้งแต่รีดนมควายมาผลิตภัณฑ์นมสามารถแปรรูปเป็นอะไรได้บ้าง

เริ่มแรกก็มีเพียงแค่ 2 เวิร์กช็อปพอให้ลูกค้าได้มีกิจกรรมทำสนุกๆ แต่พอเปิดปุ๊บกลายเป็นว่าตัวกิจกรรมนั้นเด่นกว่าร้านอาหาร ลูกค้าส่วนมากมากันเป็นครอบครัวเพื่อทำกิจกรรมโดยเฉพาะ เราจึงตัดสินใจเปลี่ยนจุดยืนของตัวเองจากการที่ทำเป็นร้านอาหาร มาเป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่มีกิจกรรม จึงเพิ่มกิจกรรมอื่นๆ เข้าไป เช่น เรียนรู้การดำนา ปลูกผัก ให้อาหารสัตว์

เรียนรู้เกษตรแบบครบวงจร ตั้งแต่ปลูกพืชปลูกนาปลูกข้าวและเอาฟางไปให้ควายกิน พอควายถ่ายมูลออกมาก็ไปทำปุ๋ยไส้เดือนให้เด็กๆ และครอบครัวได้เข้าไปเรียนรู้การเกษตรแบบครบวงจร ซึ่งเด็กๆ ที่มาที่นี่จะสนุกกับการดำนา สัมผัสกับธรรมชาติและสัตว์ต่างๆ ที่อยู่ในฟาร์ม ซึ่งตอนนี้เราตั้งเป้าไว้ว่า ในทุก 3 ปี เราจะเพิ่มอย่างน้อย 2 กิจกรรม และมีแผนที่จะเปิดสาขาที่กรุงเทพฯ ในอีกไม่นานนี้” ชาริณี ชัยยศลาภ ผู้บริหารมินิ มูร่าห์ ฟาร์ม กล่าว

ชาริณี บอกต่อว่า ที่มินิ มูร่าห์ ฟาร์ม สามารถเข้าชมได้ไม่มีค่าบริการ แต่ถ้าสนใจทำกิจกรรมอย่างเช่นการทำพิซซ่า ราคาประมาณ 250 บาท ส่วนกิจกรรมอื่นๆ ก็อยู่ที่ประมาณ 250 บาทเช่นกัน สามารถทำร่วมกันได้ทุกคนในครอบครัว แต่แนะนำว่าให้ 1 กิจกรรมต่อเด็ก 1 คน เจ้าตัวเล็กจะได้รับประสบการณ์ในการลงมือทำมากที่สุด

วิถีออร์แกนิกใจกลางเมือง

ทุกวันเสาร์ที่ 2 ของเดือน ในซอยสุขุมวิท 49/6 ร้านปฐม ออร์แกนิค ลิฟวิ่ง จะเปลี่ยนพื้นที่สวนในร้านให้เป็นลานกิจกรรม ให้เด็กๆ ได้เรียนรู้การปลูกพืชออร์แกนิก การเกษตรพอเพียง และทดลองจัดสวนในขวดแก้วด้วยตัวเอง ไม่เพียงแค่นี้ยังมีอาหารออร์แกนิกและผลิตภัณฑ์ที่ได้จากผลผลิตเกษตรออร์แกนิกอีกหลายอย่างให้คนทั่วไปได้สัมผัสและศึกษาในวันนั้น

“ชอบกิจกรรมของที่นี่ โดยเฉพาะเด็กๆ จะชอบกิจกรรมเรียนรู้การปลูกต้นไม้อย่างง่ายๆ ได้จัดสวนในขวดได้วิ่งเล่นและทำกิจกรรมเรียนรู้วัฒนธรรมไทย ซึ่งแล้วแต่ว่าแต่ละเดือนจะมีอะไรมาจัดแสดงที่นี่ อาจจะไม่ได้มากเหมือนที่อื่น แต่สำหรับคนเมืองแล้วถือเป็นสถานที่เรียนรู้สำหรับเด็กและทุกคนในครอบครัวได้เป็นอย่างดี” พร ชนะลาภ คุณแม่ลูก 2 ซึ่งมาเที่ยวชมเป็นครั้งที่ 2 บอกกับเราอย่างนั้น

เดิมทีปฐม ออร์แกนิค ลิฟวิ่ง นี้เป็นร้านอาหารออร์แกนิกที่นำเข้าสินค้าออร์แกนิกจากสวนสามพราน ริเวอร์ไซด์ โดยใช้พื้นที่บ้านส่วนตัวของเจ้าของร้าน ทำเป็นร้านจำหน่ายสินค้าออร์แกนิกและปรับให้เป็นพื้นที่เรียนรู้การเกษตรออร์แกนิกตั้งแต่วิธีการทำดินปลูกต้นไม้ เพาะเมล็ดพันธุ์ผัก ย้ายกล้าลงแปลง ทำปุ๋ยหมักแทนการใช้สารเคมี เลี้ยงไส้เดือน และทำฮอร์โมนไข่แบบครบวงจร สามารถต่อยอดความรู้ไปใช้กับที่บ้านได้ บางครั้งก็จะมีการเรียนรู้วัฒนธรรมไทยเล็กๆ น้อยๆ ให้เด็กๆ ได้เรียนรู้ไปในตัว

ดูเหมือนว่าทางร้านจะให้ความร่วมมือกับทาง สสส.มากเป็นพิเศษ เพราะทุกเมนูในร้านตั้งแต่เครื่องดื่มไปจนถึงข้าวกล่องออร์แกนิก จะถูกคำนวณปริมาณสารอาหารที่ควรได้รับต่อวันมาเสร็จสรรพ หากต้องการรับประทานเครื่องดื่มออร์แกนิกปั่น ลูกค้าก็จะต้องลงแรงปั่นจักรยานส่งพลังงานไปให้กับเครื่องปั่นผลไม้ให้ตัวเองได้รับประทาน หากต้องการรับประทานแกงเลียงผักรวมออร์แกนิกก็แค่เดินไปกรอกแบบสอบถามก็จะได้แกงเลียงที่มีสารอาหารและใยจากผักเพียงพอต่อวันมา 1 ถ้วยฟรีๆ จึงเป็นแหล่งเรียนรู้วิถีเกษตรใกล้เมืองที่น่าสนใจอย่างมาก

สถานที่เหล่านี้เป็นเพียงหนึ่งในแหล่งเรียนรู้ที่เริ่มเปิดรองรับความต้องการของคนรุ่นใหม่ที่เกิดและเติบโตในเมืองใหญ่ ใช้ชีวิตอยู่ท่ามกลางการแข่งขันมุ่งเน้นความเป็นเลิศทางวิชาการ แต่ขาดทักษะการประกอบอาหาร ปลูกต้นไม้ และใช้ชีวิตอยู่กับธรรมชาติแสนเรียบง่ายไปสู่ความวุ่นวายของสังคมคนเมืองอย่างน่าเสียดายให้พวกเขาได้รู้จักการใช้ชีวิตกับธรรมชาติเรียนรู้พื้นฐานของชีวิตที่แท้จริง

 

พระเจดีย์โบดาทาวน์ เดินวนๆ ชมโบราณวัตถุ

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์โพสต์ทูเดย์

12 มีนาคม 2560 เวลา 10:10 น…. อ่านต่อได้ที่ : http://www.posttoday.com/travel/thailand/484806

พระเจดีย์โบดาทาวน์ เดินวนๆ ชมโบราณวัตถุ

โดย…โยโมทาโร่

 ผู้คนมากมายหลายร้อยคนกำลังต่อแถวยาวเหยียดเพื่อขอพรกับเทพทันใจที่พระเจดีย์โบดาทาวน์ (Botahtaung Pagoda) หรือที่เรารู้จักกันในชื่อ วัดเทพทันใจ ณ กรุงย่างกุ้ง

เราแปลกใจอย่างหนึ่งก็คือทำไมไม่เรียกว่า วัดเจดีย์โบดาทาวน์ แต่กลับเรียกว่า วัดเทพทันใจ หรือภาษาพม่าเรียกว่า นัตโบโบจี

นั่นอาจจะเป็นเพราะการเรียกขานติดปากของชาวบ้านแต่ก่อนว่า พูดถึงวัดนี้มีอะไรเด่นที่สุด คงหนีไม่พ้นองค์เทพทันใจ ซึ่งว่ากันว่าศักดิ์สิทธิ์ยิ่งนัก ขออะไรก็มักจะได้สมใจทันใจเสมอ

 แต่จุดที่ผมสนใจมากที่สุดคือในส่วนของพระเจดีย์โบดาทาวน์มากกว่าเพราะไม่เพียงแต่มีประวัติศาสตร์ที่น่าสนใจ แต่ภายในยังได้รวบรวมโบราณวัตถุล้ำค่าของเมียนมาที่มีอายุตั้งแต่หลักหลายร้อยปีไปจนถึงพันกว่าปี

เจดีย์แห่งนี้สร้างเมื่อ 2,000 กว่าปีที่แล้ว ในสมัยพระเจ้าโอกะลาปะ กษัตริย์มอญผู้มีจิตศรัทธาในพระพุทธศาสนา หากจะเทียบอายุการสร้างก็น่าจะใกล้เคียงกับองค์พระปฐมเจดีย์ จ.นครปฐม ที่มีอายุราวๆ 2,000 กว่าปีเช่นกัน

ในสมัยนั้น พระเจ้าโอกะลาปะ ได้อัญเชิญพระเกศาธาตุแห่งองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า มาประดิษฐานไว้ที่พระมหาเจดีย์ชเวดากอง

 แต่ครั้งนั้นการเดินทางจะใช้ทางเรือเป็นหลัก ในวันที่พระเกศาธาตุมาขึ้นฝั่งที่เมืองดากอง พระเจ้าโอกะลาปะ ได้แบ่งพระเกศาธาตุ 1 เส้น และสร้างพระเจดีย์โบดาทาวน์เพื่อเป็นที่ระลึกถึงการเฉลิมฉลองในครั้งนั้น

เราจึงนับได้ว่า พระเจดีย์โบดาทาวน์ เป็นพระเจดีย์ที่สร้างคู่กันมากับพระมหาเจดีย์ชเวดากองนั่นเอง จึงเป็นหนึ่งในมหาบูชาสถานของชาวมอญและชาวเมียนมามาโดยตลอด

แต่ทุกสิ่งเกิดขึ้นตั้งอยู่และดับไป เมื่อคราวสงครามโลกครั้งที่ 2 เจดีย์แห่งนี้ได้ถูกเครื่องบินทิ้งระเบิดทำลาย แต่ยังพอเหลือโครงสร้างและโบราณวัตถุต่างๆ ที่เก็บรักษาไว้ภายใน

จึงมีการบูรณะใหม่ในปี 2496 และนำพระเกศาธาตุบรรจุในครอบแก้วใส ให้พุทธศาสนิกชนได้เข้ามาบูชาอย่างใกล้ชิด ปรับปรุงเปลี่ยนแปลงใต้ฐานพระเจดีย์เป็นช่องทางเดินวนโดยรอบ และใช้เป็นที่เก็บรักษาพระพุทธรูป

 ข้าวของเครื่องใช้มีค่าสมัยโบราณนำมาเก็บรักษาไว้ทำให้พระเจดีย์เป็นพิพิธภัณฑ์โบราณวัตถุไปในตัว

การต่อคิวเข้าไปนมัสการพระเกศาธาตุที่นี่ต้องทำใจสักหน่อยครับ ควรเปลี่ยนเอากระเป๋าสะพายไว้ด้านหน้าเพราะคุณจะได้เจอกับชาวเมียนมาและไทยพยายามเบียดเสียดลัดคิวเข้าไปสักการะ

ส่วนตัวผมเองก็ได้แค่ขอเดินเข้าไปกราบชมใกล้ๆ ให้เป็นบุญตาแบบเร่งด่วน เพราะมีผู้มีจิตศรัทธาอีกเป็นจำนวนมากรออยู่เบื้องหลัง

เดินเวียนขวาทักษิณาวรรตไปตามโถงทางเดินด้านซ้าย จะมีโบราณวัตถุดูแปลกตาจากที่เคยเห็นในประเทศไทยตั้งเรียงรายอยู่เป็นจำนวนมาก

 หากเป็นผู้ที่นิยมสะสมพระเครื่อง หรือมีความชื่นชอบในพระพุทธรูปอาจจะใช้เวลานานกว่าครึ่งวันเพื่อเดินดูให้ครบ ขนาดคนไม่มีความรู้มากนักอย่างเราๆ ท่านๆ ก็ใช้เวลาร่วมชั่วโมงกว่าจะเต็มอิ่ม

ระหว่างทางเดินจะมีพระสงฆ์ แม่ชี และนักปฏิบัติธรรมนั่งทำสมาธิกรรมฐานอยู่ภายใน บ้างก็เรียกเราไปให้ศีลให้พรถ้าพูดภาษาเดียวกันเราคงได้สนทนาธรรมกันแล้ว

มองไปที่ช่องหน้าต่างจะเห็นว่า มีธนบัตรและเหรียญสอดเสียบไปทั่วผนัง มีทั้งแบงก์ไทยและพม่า เป็นนัยว่าขอทำบุญให้กับวัดแต่จะใช่ธรรมเนียมปฏิบัติที่ถูกต้องหรือไม่นั้นยังไม่มีใครตอบได้

แต่อย่างไรก็ดี แค่ได้กราบพระเกศาธาตุกับเดินชมโบราณวัตถุก็สดชื่นแล้ว

 ออกจากพระเจดีย์ภายในวัดจะมีอีก 2 ส่วนให้เดินชม ก็คือส่วนของวิหารประดิษฐานพระพุทธรูปทองคำปางมารวิชัย พระพุทธรูปนี้เคยประดิษฐานอยู่ในพระราชวังมัณฑะเลย์ เมื่อพม่าตกเป็นอาณานิคมอังกฤษในปี 2428 ก็ถูกขนย้ายไปตั้งไว้ในพิพิธภัณฑ์ในต่างประเทศอีกหลายแห่ง จนกระทั่งได้นำกลับมาไว้ที่วัดเทพทันใจในที่สุด

จากนั้นเราไปปิดท้ายกันที่โซนขอพรของวัดเทพทันใจ ที่เรียกว่า โซนขอพร เพราะทางวัดจัดให้เป็นส่วนที่ตั้งของวิหารเทพทันใจ (นัตโบจีจี) และเทพกระซิบ เทพประทานความโชคดี ซึ่งว่ากันว่าต้นแบบเทพทันใจที่ศักดิ์สิทธิ์ที่สุดจะอยู่ที่วัดแห่งนี้ในประเทศไทย

โดยเฉพาะจังหวัดทางภาคเหนือ ก็มีการสร้างเทพทันใจเหมือนกับเมียนมาเช่นกัน แต่จะให้บอกว่าศักดิ์สิทธิ์เหมือนกันไหมก็คงต้องลองไปขอพรกันดูครับ

เทพทันใจนี้ถือเป็น “นัต” หรือเทพเทวาอารักษ์ผู้คุ้มครองของชาวเมียนมา ตามความเชื่อ นัตก็คือวิญญาณของเหล่าวีรชนที่ทำคุณงามความดีให้แก่บ้านเมือง เมื่อพวกท่านเหล่านี้เสียชีวิตวิญญาณก็จะยังคงเป็นห่วงบ้านเมืองประชาชนอยู่ไม่อาจไปเกิดใหม่ได้ จึงกลายเป็นนัต ให้คนกราบไหว้บูชาในสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ต่างๆ

นัต ในประเทศเมียนมามีทั้งหมด 36 องค์ โดยองค์ที่รู้จักกันมากที่สุดคือองค์ที่ตั้งอยู่ที่วัดเทพทันใจ การตั้งนัตนี้สืบมาตั้งแต่ สมัยพระเจ้าอนิรุธมหาราช (พระเจ้าอโนรธา) แห่งอาณาจักรพุกาม ราวๆ ปี 1600 ทรงใช้พระราชอำนาจจัดระเบียบนัตในเมียนมาใหม่เพื่อให้ประชาชนฟังหลักคำสอนในพระพุทธศาสนามากขึ้น เพราะในยุคนั้นสมัยนั้นมีนัตมากมายหลายองค์

 นัตแท้ๆ ที่น่าบูชาก็มี นัตปลอมสร้างหลอกลวงประชาชนก็มี จนเกิดความวุ่นวายและพากันงมงายจนเกิดเหตุก็ต้องมาคัดกรอง รวบรวม นัตที่มีผู้คนนับถือมากและมีความน่าเชื่อถือมากที่สุด 36 องค์ และตั้งจัดให้เป็นมหาคีรีนัต หรือเทพประจำอาณาจักร นัตนี้มีทั้งนัตที่เป็นชายและหญิง

ชาวเมียนมาเชื่อกันว่า นัตสามารถบันดาลความต้องการของผู้อธิษฐานขอพรให้สำเร็จสมใจอย่างรวดเร็ว

ขนาดมีคำกล่าวที่ว่า “เทพทันใจ ใครบูชา พาสำเร็จ เทพทันใจ ใครขอเสร็จ ดังประสงค์ เทพทันใจ ใครติดตัว ดวงเหนือคน เทพทันใจ ช่วยดล บันดาลจริง” จึงทำให้เทพทันใจกลายเป็นหนึ่งในเทพที่มีผู้คนบูชามากที่สุด ตั้งแต่ชนรากหญ้าไปจนถึงผู้หลักผู้ใหญ่ในบ้านเมืองทั้งของเมียนมาและไทย

เราต่อแถวอยู่ราวๆ 15 นาที ไม่ช้าไม่เร็วไปแบบมึนๆ ว่า เขาบูชากันอย่างไร ต้องสังเกตเอาว่าชาวเมียนมานิยมนำอะไรไปบูชา และหาซื้อเอากับร้านค้าในวัดที่จัดเตรียมไว้ให้พร้อม และแน่นอนว่าของที่ใช้กราบไหว้บูชาก็วนๆ กันไป

การบูชาเทพทันใจต้องใช้ดอกไม้และผลไม้บูชา ยกมือไหว้บูชาและยื่นหน้าผากแตะที่ปลายนิ้วรูปปั้นเทพทันใจ แล้วขอพรให้สำเร็จสมประสงค์ โดยเราจะขอได้ข้อเดียวเท่านั้น เสร็จแล้วเดินวนไปอีก 3 รอบ หากทำตัวไม่ถูกจะมีเจ้าหน้าที่ของวัดคอยจัดการแนะนำให้

ส่วนใหญ่ก็ไม่ค่อยขออะไรกันมากครับ คนหนุ่มสาวก็ขอเรื่องความรัก ผู้ใหญ่วัยทำงานก็ขอให้ร่ำรวย ส่วนคนวัยชราขอแค่ไขข้อแข็งแรงเดินเหินได้ปกติก็ดีนักหนาแล้ว

 การบูชาใครอาจจะว่างมงาย แต่สำหรับผมแล้ว หากไม่ใช่เรื่องผิดศีลธรรมเป็นที่พึ่งทางใจ ที่พึ่งความหวังของคนยากจนทั้งหลายให้คลายทุกข์ไปได้บ้าง ถือเป็นสิ่งดีๆ ที่ควรรักษาเอาไว้

จบจากบูชาเทพทันใจก็ไปต่อกันที่เทพกระซิบ เทพกระซิบจะอยู่ตรงข้ามกับวัดเทพทันใจ เดินไปก็จะเห็นกล้วยนากวางเรียงกันให้ผู้ศรัทธาได้ซื้อไปบูชา เทพกระซิบชาวเมียนมาเรียกว่า “อะมาดอว์เมียะ” ตำนานว่ากันว่านัตองค์นี้เป็นธิดาของพญานาค ศรัทธาในพุทธศาสนา รักษาศีล ไม่ยอมกินเนื้อสัตว์ จนตายไปจึงกลายเป็นนัตในที่สุด

ส่วนที่มาของการกระซิบไม่ทราบแน่ชัด แต่เล่ากันว่ามาจากคนไทยเป็นต้นกำเนิด บอกว่านักท่องเที่ยวไทยเราไปถามไกด์ท้องถิ่น ถามว่าป้ายที่ติดตรงหน้าวัดหมายความว่าอะไร ไกด์แปลให้ว่างดใช้เสียง เพราะวัดเป็นเขตศักดิ์สิทธิ์ นักท่องเที่ยวไทยเราเลยกระซิบขอพรแทน แล้วก็ทำตามๆ กันมา ทั้งที่ก่อนหน้านี้ไม่มีชาวเมียนมาคนไหนขอพรกับนัตแบบนี้

เป็นเรื่องเล่าที่ทำให้เราหัวเราะในความแปลก ควรเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่งหรือฟังหูไว้หูเลยก็ได้ ซึ่งความเป็นจริงอาจจะมีสาเหตุอื่นที่ดูน่าเชื่อถือกว่านี้

โดยส่วนตัวคิดว่าที่วัดเทพทันใจนี้ เป็นวัดที่ค่อนข้างจะมีสีสันกว่าวัดอื่นๆ ในเมียนมา ที่ทำให้เราได้เห็นโบราณวัตถุทรงคุณค่า เห็นความเชื่อความศรัทธาและวิถีชีวิตของชาวเมียนมาในอีกมุมที่แตกต่างจากหนังสือประวัติศาสตร์อย่างสิ้นเชิง

 

หลงรักเขา ‘เลอ มอนเต้’

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์โพสต์ทูเดย์

11 มีนาคม 2560 เวลา 11:36 น…. อ่านต่อได้ที่ : http://www.posttoday.com/travel/thailand/484698

หลงรักเขา ‘เลอ มอนเต้’

โดย…นิทรา ราตรี

 สถาปัตยกรรมสเปนเอกลักษณ์ของ เลอ มอนเต้ เขาใหญ่ (Le Monte Hotel Khao Yai) ได้ผสมผสานเสน่ห์ของเขาใหญ่ให้ลงตัวกับกลิ่นอายสเปน โดยได้คัดสรรความเรียบง่ายมาใช้เป็นความอยู่สบายเหมาะควรแก่การพักผ่อน

เลอ มอนเต้ เป็นโรงแรมน้องใหม่ที่เพิ่งเปิดให้บริการเมื่อปลายปีที่ผ่านมา ด้วยห้องพักจำนวน 44 ห้องบนอาคารโลวไลส์ที่เผยให้เห็นเขาใหญ่อยู่เบื้องหลัง แบ่งออกเป็นห้องดีลักซ์ 30 ห้องบนชั้น 2 ของอาคาร จากระเบียงจะมองเห็นสระว่ายน้ำและทิวเขา

ส่วนในห้องพักได้จัดสรรสิ่งอำนวยความสะดวกไว้ครบ ทั้งเตียงนอนใหญ่ โต๊ะเครื่องแป้ง มุมทำงาน มินิบาร์ ตู้เสื้อผ้า ห้องน้ำแยกส่วนเปียก-แห้ง โดยใช้เฟอร์นิเจอร์สไตล์โมเดิร์น สีขาวสะอาดตาแทรมด้วยสีไม้เพิ่มความอบอุ่น

 ห้องดีลักซ์พูลแอสเซสบนชั้นที่ 1 เชื่อมต่อกับสระว่ายน้ำ โดยชุดโต๊ะเก้าอี้บนระเบียงจะถูกแทนที่ด้วยเตียงอาบแดด จึงสามารถเดินลงสระได้จากห้องพักเสมือนเป็นพูลวิลล่าส่วนตัว

จูเนียร์สวีทห้องพักรับรองสองผู้ใหญ่กับสองเด็ก ภายใต้การตกแต่งที่เรียบหรูพร้อมรายละเอียดพิเศษกว่าห้องพักประเภทอื่น

แฟมิลี่สวีท 2 ห้องนอน ได้แบ่งสัดส่วนระหว่างห้องนอนกับห้องนั่งเล่นเพื่อเพิ่มพื้นที่ใช้สอยพร้อมอ่างอาบน้ำจึงเหมาะกับครอบครัว

 เพนต์เฮาส์สวีท ห้องพัก 3 ห้องนอน ที่เสมือนย่อบ้านเดี่ยวไว้ในห้องเดียว ด้วยห้องนั่งเล่น ห้องรับประทานอาหาร ห้องครัว และห้องทำงาน เหมาะกับการพักผ่อนขั้นสุดสำหรับคู่รักหรือครอบครัว

นอกจากนี้ โรงแรมมีห้องอาหาร 2 ห้องที่ ลา โชซ่า (La choza) ห้องอาหารเช้าในบรรยากาศชิลริมสระว่ายน้ำที่จะต้อนรับความสดชื่นยามเช้าด้วยวิวเขาใหญ่ และร้านอาหารกึ่งบาร์ที่โคเซ่ (Koze) บริการอาหารนานาชาติ เครื่องดื่ม และความครึกครื้นยามค่ำคืนจากวงดนตรีสดทุกวัน

รวมถึงสิ่งอำนวยความสะดวกอื่นๆ อย่างฟิตเนส ห้องประชุมสัมมนา และสนามหญ้ากลางแจ้งเพื่อตอบรับองค์กร หรืองานสังสรรค์

เลอ มอนเต้ แปลว่า ภูเขา ตามทำเลที่ตั้งใกล้เขาใหญ่มองเห็นทิวเขา จนเกิดอาการหลงรักเขาเข้าอย่างจังโดยเฉพาะความรู้สึกสบายที่ได้พักผ่อนอยู่ท่ามกลางธรรมชาติในบรรยากาศสเปน

Price: ห้องดีลักซ์ราคา 3,531 บ. ห้องแฟมิลี่ 2 ห้องนอนราคา 9,651 บ.

Place: ริมถนนธนะรัชต์ อ. ปากช่อง จ. นครราชสีมา โทร. 044-077-770-5 เว็บไซต์ www.lemontekhaoyai.com

Promotion: พิเศษเฉพาะสมาชิกบัตรเครดิตเคทีซี ห้องดีลักซ์พร้อมอาหารเช้าราคา 2,500 บ. และห้องแฟมิลี่พร้อมอาหารเช้าราคา 6,000 บ. โดยสามารถเข้าพักได้ทุกวันไม่เว้นวันหยุดต่อเนื่องและนักขัตฤกษ์ และสามารถอัพเกรดห้องดีลักซ์เป็นห้องพูลแอคเซสได้ทันทีที่มีห้องพักว่าง รวมถึงรับส่วนลด 10% สำหรับค่าอาหารและเครื่องดื่ม เข้าพักได้ตั้งแต่วันนี้ – 31 มี.ค. 2560 สอบถามโทร. 02-123-5000 กด 6 หรือเว็บไซต์ www.ktcworld.co.th

 

 

เมฆน้อยลอยเที่ยว มินิมูร่าห์ ฟาร์ม

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์โพสต์ทูเดย์

11 มีนาคม 2560 เวลา 11:33 น…. อ่านต่อได้ที่ : http://www.posttoday.com/travel/thailand/484697

เมฆน้อยลอยเที่ยว มินิมูร่าห์ ฟาร์ม

โดย… พี่กั๊ตจัง

“ทริปล่าสุดที่เราเพิ่งไปมาคือ มินิมูร่าห์ ฟาร์ม จ.ฉะเชิงเทรา ที่นี่เป็นเป็นฟาร์มออร์แกนิก เปิดให้เด็กๆ ได้ป้อนนมลูกควาย มีกวาง หมูป่า มีเป็ด และให้เด็กๆ หัดทำพิซซ่า ปลูกต้นไม้ ปลูกผัก มีทำนา ให้เด็กๆ ได้ใกล้ชิดธรรมชาติ ที่นี่จะแตกต่างจากที่อื่นๆ ที่ไปมา อย่างเวลาเราไปสวนสัตว์เราก็ได้แค่ดู และซื้อของข้างทาง แต่การมาที่นี่เด็กๆ จะได้เรียนรู้และสัมผัสธรรมชาติ ได้ป้อนอาหารสัตว์ใกล้ๆ ได้เรียนรู้ว่าผลิตภัณฑ์ที่ทำจากนมนั้นมีที่มาจากอะไร และนำไปทำอะไรได้บ้างด้วยมือของตัวเอง”

ปอง-ศศิโสภา พุ่มพวง ผู้ช่วยผู้จัดการ บริษัท บีเอ็มดับเบิลยู แมนูแฟคเจอริ่ง เล่าถึงทริปล่าสุดที่ทำให้น้องเมฆน้อย-เลิศพิสิฐ สิทธิเหรียญชัย วัย 3 ขวบ 2 เดือน สนุกอย่างเต็มที่

“รู้จักที่นี่ เพราะมีเพื่อนในกลุ่มไปมาและบอกต่อ ซึ่งดูแล้วก็ตรงกับสไตล์การเลี้ยงลูกของเรา ที่อยากให้เขาได้ออกนอกบ้านเรียนรู้ธรรมชาติ ได้สูดอากาศบริสุทธิ์ ดีกว่าพาลูกไปเดินห้างและปล่อยให้เขาเล่นกับบ้านบอลเพียงอย่างเดียว และก็พาให้เด็กได้ออกกำลังกายสัปดาห์ละครั้ง ซึ่งเรากับคุณพ่อเอิร์ธ (อัศวเทวินทร์ สิทธิเหรียญชัย ผู้จัดการ บริษัท วาลีโอ สยามเทอมอล ซิสเต็ม) ก็มีความเห็นตรงกัน ทุกวันหยุดสุดสัปดาห์เราจะพาลูกออกมาเที่ยวออกกำลังกาย และจะมีอย่างน้อยเดือนละครั้ง ที่พาน้องเมฆน้อยมาทำกิจกรรมร่วมกันในครอบครัวเช่นที่มินิมูร่าห์ ฟาร์ม”

แม่ปองเล่าต่อว่า เด็กๆ ที่มาที่นี่ก็จะได้มีส่วนร่วมในกิจกรรมต่างๆ อย่างเช่นพิซซ่า เขาก็จะรู้ว่าขั้นตอนการทำนั้นเป็นอย่างไร? แต่งหน้าพิซซ่าด้วยตัวเอง เมื่อทำเสร็จออกมาเขาก็จะรู้สึกภูมิใจในสิ่งที่ทำ หรือจะเป็นเรื่องการปลูกผัก ทางฟาร์มก็จะแยกดินกับปุ๋ยเตรียมเอาไว้ให้เด็กๆ ได้ผสม และเอาต้นไม้กับดินที่เด็กๆ ผสมกับมือใส่ลงไปในกระถาง ซึ่งก่อนหน้านี้เด็กๆ ก็จะได้วาดรูประบายสีกระถางต้นไม้ของเขาเอง เมื่อเสร็จแล้วก็จะได้เป็นผลงานกลับบ้าน

 

“การเตรียมตัวและเตรียมพร้อม การที่พาเด็กออกนอกบ้าน คนอื่นมักจะกังวล แต่เราจะหาข้อมูลเรื่องการเดินทางว่าใช้เวลากี่ชั่วโมง? สภาพอากาศเป็นอย่างไร? ตอนเช้าเราก็จะให้เขากินข้าวทำธุระส่วนตัวให้เรียบร้อย และพยายามให้ลูกหลับบนรถ เพื่อเวลาไปถึงจะได้มีแรงเล่นเต็มที่ ของอื่นๆ ที่เตรียมก็มีขวดน้ำส่วนตัว ของเล่นไม่กี่ชิ้น แต่เน้นคุยกับลูกมากกว่า”

เวลาเราขับรถไป แม่ปองก็จะคุยกับลูกก่อนว่าจะไปทำอะไร? จะไปให้อาหารสัตว์ มีกระต่าย มีหมู มีอะไรให้เล่น เพื่อลูกจะรู้ว่าจะต้องไปเจออะไร และจะได้รู้สึกสนุกไปกับทริป

“ส่วนตัวเราไม่กังวลว่าลูกจะลำบากหรือเปล่า เพราะการไปแต่ละครั้งก็มีการแก้ปัญหาเฉพาะหน้า บางครั้งเราไปแล้วลูกเหนื่อยเกินไป ไม่อยากกินอาหาร เราก็ให้กินเท่าที่เขาต้องการ หรือบางครั้งไม่ยอมกิน อยากจะเล่น เราก็จะปล่อยให้เขาเล่นอย่างเต็มที่ เด็กเวลาหิวเดี๋ยวก็มากินเอง เพราะในหนึ่งสัปดาห์เราจะได้ออกมาเล่นแบบนี้ไม่บ่อยนัก แต่ที่ต้องระวังก็คือเรื่องการขาดน้ำของลูก เพราะเด็กเวลาเล่น เขาจะไม่รู้ลิมิตของตัวเอง ดังนั้นเราต้องคอยดูเป็นระยะๆ”

แม่ปองทิ้งท้ายว่า สิ่งสำคัญที่เห็นชัดเจนว่าลูกได้จากการเที่ยวที่นี่ ก็คือรู้จักการรอคิวและมีความรักสัตว์ต่างๆ มากขึ้น

“แต่เดิมน้องเมฆน้อยก็มีความรักสัตว์เป็นทุนเดิมอยู่แล้ว เพราะที่บ้านก็เลี้ยงสุนัข 2 ตัว แต่ความเมตตาต่อสัตว์ก็ไม่ได้มีแค่สัตว์เลี้ยงที่บ้าน เราควรมีให้กับสัตว์อื่นๆ ด้วย เวลาให้อาหารกระต่าย ลูกก็จะพูดกับกระต่ายว่าไม่ต้องแย่งกัน แสดงให้เห็นว่าเขารู้จักการรอคิว และเวลาที่เขาไปทำกิจกรรมที่ต้องรอคิวอย่างทำพิซซ่า เขาก็จะได้เรียนรู้ในการที่จะรอคอย ไม่ใช่ไปถึงแล้วอยากจะเล่นก็กรีดร้อง เด็กๆ ต้องรู้จักการเข้าคิว การอดทนที่จะรอคอย ซึ่งสิ่งเหล่านี้จะได้จากการพาลูกๆ ออกไปเที่ยว ไปอยู่กับคนในสังคม ฝึกฝนเขาไปในตัวนั่นเอง”

 

บ้านพระบาทห้วยต้ม ปกาเกอะญอพื้นราบ พุทธศรัทธาและมังสวิรัติ

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์โพสต์ทูเดย์

11 มีนาคม 2560 เวลา 11:26 น…. อ่านต่อได้ที่ : http://www.posttoday.com/travel/thailand/484694

บ้านพระบาทห้วยต้ม ปกาเกอะญอพื้นราบ พุทธศรัทธาและมังสวิรัติ

โดย…กาญจน์ อายุ

 การเดินทางอันแสนยาวนานจากตัวเมืองลำพูนถึงอำเภอ “ลี้” ทำให้ตาสว่างในขณะที่จะหลับเป็นรอบที่สามว่า จังหวัดที่คิดว่าเล็กมากแท้จริงแล้วกว้างขวางกว่าที่คิด

เช่นเดียวกับปลายทาง ณ “บ้านพระบาทห้วยต้ม” ที่แม้แต่ชื่อยังไม่เคยได้ยิน แต่กลับน่าตามหาเพื่อสัมผัสความสุข ความงาม และความอร่อยแบบมังสวิรัติ

บ้านพระบาทห้วยต้ม เป็นชุมชนขนาดย่อมของชาวปกาเกอะญอที่มีความพิเศษต่างจากปกาเกอะญอที่อื่น พวกเขาอาศัยอยู่บนพื้นราบ (ที่อื่นอยู่บนภูเขา) นับถือศาสนาพุทธ (ที่อื่นนับถือผี) และรับประทานอาหารมังสวิรัติตลอดชีวิต

เครื่องประดับปกาเกอะญอ เป็นสัญลักษณ์ของหญิงสาวทุกวัย

 เมื่อสืบประวัติกลับไปในวันแรกของการตั้งถิ่นฐานชาวบ้านที่นี่ อพยพมาตามความศรัทธาอันแรงกล้าที่มีต่อหลวงปู่ครูบาวงศ์

วิมล สุขแดง หรือ หนานวิมล ประธานกลุ่มการจัดการท่องเที่ยวโดยชุมชนบ้านพระบาทห้วยต้ม เล่าว่า ในปี 2514 ชาวปกาเกอะญอหรือชาวกระเหรี่ยงจากหลากหลายพื้นที่ทั้งจากตาก เชียงใหม่ และแม่ฮ่องสอน มารวมตัว โดยทุกคนต่างมาด้วยความศรัทธาในองค์หลวงปู่ครูบาวงศ์และความศรัทธาในพุทธศาสนา

ทว่าการอยู่ที่นี่ไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะต้องรับประทานมังสวิรัติ ห้ามเลี้ยงไก่ เลี้ยงหมู เพื่อกินและจำหน่าย อันเป็นข้อกำหนดของการอยู่ร่วมกัน

รอยยิ้มของชาวบ้านน้ำบ่อน้อยแทนคำทักทายแก่นักท่องเที่ยว

 “หลักสำคัญคือ การดำเนินชีวิตของคนที่นี่ต้องปฏิบัติตามคำสอนของพุทธศาสนา ต้องช่วยกันดูแล และเผยแผ่พระพุทธศาสนา เพราะฉะนั้นทุกเช้าชาวบ้านจะไปร่วมทำบุญตักบาตรที่วัด และทุกเย็นจะไปร่วมสวดมนต์ ในส่วนของวันพระก็จะมีกิจกรรมอื่นๆ ที่พิเศษออกไป อย่างเช่นการถวายสังฆทานผัก หรือการเวียนเทียนที่จะทำทุกวันพระไม่ใช่แค่วันสำคัญทางพระพุทธศาสนาเท่านั้น”

ลักษณะพื้นที่ยังมีความพิเศษ คือเมื่อขุดลงไปใต้ดิน 1 เมตร จะพบศิลาแลง ทำให้ชุมชนมีสภาพร้อนแล้ง น้ำน้อย ดินไม่ดี ป่าเสื่อมโทรม ซึ่งในช่วงแรกที่ตั้งถิ่นฐานไม่สามารถทำการเกษตรได้ แต่ด้วยพระมหากรุณาธิคุณของในหลวง รัชกาลที่ 9 พระองค์ได้เสด็จฯ มาเยี่ยมราษฎรและทอดพระเนตรเห็นว่า ที่นี่มีความลำบาก ชาวบ้านไม่สามารถเพาะปลูกได้ จึงรับสั่งให้สร้างอ่างเก็บน้ำ 3 แห่ง และทรงมีพระราชดำริให้ก่อตั้งโครงการหลวงขึ้น ซึ่งเป็นโครงการหลวงแห่งเดียวในไทยที่ตั้งอยู่บนพื้นราบ ไม่มีดอกไม้หรือต้นไม้ที่สวยงาม แต่เป็นการส่งเสริมอาชีพทอผ้าและเกษตรกร

“ชาวปกาเกอะญอสามารถทอผ้าเป็นเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว” หนานวิมล กล่าวต่อ

หนานวิมล ไกด์กิตติมศักดิ์พาเดินชมหมู่บ้าน

 “เพราะทุกคนต้องทอผ้าไว้ใส่เอง โดยเฉพาะผู้หญิงเมื่ออายุ 10 ปีขึ้นไป ต้องทอผ้าเป็น นอกจากต้องทอใส่เองยังต้องทอให้เจ้าบ่าว ผู้หญิงที่ทอผ้าไม่เป็นจะมีความลำบากนิดหนึ่ง เพราะผู้หญิงปกาเกอะญอต้องสู่ขอผู้ชาย ดังนั้นสิ่งที่โดดเด่นในชุมชนนี้ นอกเหนือจากวิถีชีวิตและวิถีวัฒนธรรมแล้ว ยังมีเรื่องของการทอผ้าแบบกี่เอว รวมถึงเครื่องเงินที่ทำในชุมชนด้วย”

วิถีชีวิตของชาวบ้านพระบาทห้วยต้มก่อให้เกิดเป็นคำขวัญประจำตำบลว่า เครื่องเงินลือเลื่อง ถิ่นเมืองครูบา ผ้าทองามตา เด่นสง่าพระบาทห้วยต้ม โดยปัจจุบันชุมชนประกอบด้วย 10 หมู่บ้าน มีชาวปกาเกอะญออาศัยอยู่จำนวนกว่า 2 หมื่นคน ซึ่งแต่ละหมู่บ้านต่างมีเอกลักษณ์เฉพาะตนอย่าง บ้านน้ำบ่อน้อย ที่เลือกที่จะไม่ใช้ไฟฟ้าและน้ำประปาในการดำรงชีวิต

บ้านน้ำบ่อน้อย ศรัทธาในธรรมชาติ

“ขอให้ทุกท่านอยู่ในความสงบ” หนานวิมล ประกาศเป็นประโยคแรกเมื่อก้าวเท้าเข้าสู่บ้านน้ำบ่อน้อย

กลุ่มแม่บ้านสาธิตการทอผ้าแบบเรียบง่าย โดยไม่ต้องใช้กี่ทอผ้า

 ที่แห่งนี้ไม่มีไฟฟ้า ไม่มีประปา ชาวบ้านรักความสงบ อยู่กับธรรมชาติ และพูดเพียงภาษาปกาเกอะญอ บ้านเรือนมุงด้วยใบตองตึงและหญ้าคา ฝาบ้านทำด้วยไม้ไผ่ มีห้องนอนห้องเดียว โดยชาวบ้านเข้ามาอยู่ครั้งแรกเมื่อปี 2541 จากเริ่มต้น 18 ครอบครัวตอนนี้มีถึง 50 ครอบครัว

เดิมทีที่ตั้งของบ้านน้ำบ่อน้อยเป็นแอ่งศิลาแลง มีคนเข้ามาขุดจำนวนมากจนพบกับบ่อน้ำ ซึ่งชาวบ้านเชื่อว่าเป็นบ่อน้ำศักดิ์สิทธิ์สามารถรักษาโรคและปัดเป่าสิ่งที่ไม่เป็นมงคลออกไปได้ เคยมีการนำน้ำในบ่อไปตรวจตามหลักวิทยาศาสตร์ปรากฏว่า ไม่พบเชื้อแบคทีเรียหรือสารปนเปื้อนใดๆ แม้จะอยู่ในบ่อดินลึก 1 ฟุต

“ในบ่อจะมีน้ำตลอดทั้งปี ซึ่งไม่ใช่ตาน้ำหรือน้ำผุดด้วย เพราะพอน้ำสูงขึ้นมาถึงขอบบ่อจะไม่ล้นออกมา ชาวบ้านเชื่อว่าเป็นน้ำศักดิ์สิทธิ์ แต่สำหรับผม คิดว่าน้ำบ่อน้อยมีความมหัศจรรย์ตรงที่สามารถนำคนห้าสิบหลังคาเรือนมาอยู่รวมกันได้โดยที่ไม่ต้องกลัวอันตราย บ้านไม่ต้องมีรั้วกั้น ประตูไม่ต้องปิด เพราะมีเพื่อนบ้านอยู่รอบตัวอยู่แล้ว ผมว่านี่แหละคือความศักดิ์สิทธิ์ของบ่อน้ำน้อย” หนานวิมล พูดไปพลางตักน้ำให้ดื่มไปพลาง ซึ่งผู้ที่ตักน้ำได้ต้องเป็นผู้ชายเท่านั้น

พระมหาธาตุเจดีย์ศรีเวียงชัย

 อย่างไรก็ตาม สิ่งศักดิ์สิทธิ์ของชุมชมบ้านพระบาทห้วยต้ม อันเป็นศูนย์รวมใจของชาวปกาเกอะญอทุกคน ประดิษฐานอยู่ที่พระมหาธาตุเจดีย์ศรีเวียงชัย พุทธสถานของวัดพระบาทห้วยต้ม ที่สร้างขึ้นโดยเจตนาของหลวงปู่ครูบาวงศ์ และสานต่อจนสมบูรณ์โดยชาวบ้าน

ศรัทธาในพระพุทธศาสนา

พระมหาธาตุเจดีย์ศรีเวียงชัย สร้างจากศิลาแลงทั้งองค์และปิดทับด้วยแผ่นทองคำเปลว โดยหลวงปู่ครูบาวงศ์สร้างขึ้นเพื่อจำลองเจดีย์ชเวดากอง ในประเทศเมียนมา ให้ชาวปกาเกอะญอได้มีโอกาสสักการะ เริ่มสร้างในปี 2538 แต่ยังไม่เสร็จสมบูรณ์ดี หลวงปู่ครูบาวงศ์ได้ถึงแก่มรณภาพในปี 2543 จากนั้นชาวบ้านจึงช่วยกันสานต่อจนแล้วเสร็จ

ภายในองค์พระมหาธาตุเจดีย์ได้บรรจุพระพุทธรูปจำนวน 8.4 หมื่นองค์ รายล้อมด้วยดอกบัวและเจดีย์ 49 องค์ โดยความตั้งใจของหลวงปู่ยังมีนัยตั้งแต่ถนนในหมู่บ้านที่เป็นเส้นตรงทุกสาย ตามคำสอน ถ้าทางเดินยังไม่ตรง แล้วจิตใจของคนจะตรงได้อย่างไร ถนนเส้นหลักจะไปสิ้นสุดที่พระมหาธาตุเจดีย์ศรีเวียงชัย และเมื่อเดินทางตรงดิ่งต่อไปจะนำไปสู่เจดีย์ชเวดากององค์จริงที่เมียนมา

สีสันและความน่ารักของชาวบ้านน้ำบ่อน้อย

 ทุกเช้าของทุกวัน ชาวบ้านจะเข้าวัดไปทำบุญใส่บาตรที่วัดพระบาทห้วยต้ม และพระจะมีการถวายสังฆทานผักและเวียนเทียนรอบพระมหาเจดีย์ ทว่าการตักบาตรของที่นี่จะแตกต่างจากที่อื่นคือ พระสงฆ์จะไม่เดินบิณฑบาต แต่ชาวบ้านจะมาใส่บาตรที่วัด หนานวิมลยังได้กล่าวถึงหลวงปู่ครูบาวงศ์ หรือครูบาชัยยะวงศาพัฒนา ที่ตอนนี้ร่างของหลวงปู่ยังนอนสงบในโลงแก้วภายในพระวิหาร

“หลวงปู่ไม่ใช่ชาวกะเหรี่ยงแต่เป็นคนเหนือ ท่านธุดงค์ในป่าผ่านหมู่บ้านชาวปกาเกอะญอ ซึ่งแต่ก่อนเรานับถือผี ต้องฆ่าสัตว์ไปเซ่นผีหรือสิ่งที่เราไม่เคยเห็น หลวงปู่ได้นำคำสอนของพระพุทธศาสนามาแนะนำ สอนจนชาวบ้านเกิดความเลื่อมใสศรัทธา พอทราบว่าหลวงปู่จะมาบูรณะวัดพระบาทห้วยต้ม เราก็เริ่มจากการมาช่วยงานก่อน จนกระทั่งได้เข้ามาอยู่อาศัยและก่อตั้งเป็นหมู่บ้าน สำหรับคนปกาเกอะญอแล้ว เราศรัทธาหลวงปู่เสมือนเทพเจ้าหรือพระพุทธเจ้าน้อย เพราะหลวงปู่ท่านได้ออกแบบทุกอย่างแม้แต่วิถีชีวิตของคนที่นี่ ท่านเน้นหลักง่ายๆ อย่างศีล สมาธิ ปัญญา จนถึงวันนี้หลวงปู่ไม่อยู่เป็นเวลาสิบเจ็ดปี แต่ชาวบ้านยังคงมากราบหลวงปู่ ทำบุญตักบาตรทุกเช้า และยังไหว้พระสวดมนต์กันทุกเย็น”

ตั้งแต่ผู้เฒ่าจนถึงเด็กและวัยรุ่นต่างเดินเท้าเปล่าเข้าวัด พร้อมสำรับอาหารและดอกไม้ ทุกคนใส่ผ้าทอสีสันสดใสสุภาพตามธรรมเนียมและปฏิบัติตามขั้นตอนอย่างคุ้นเคย

ชาวบ้านต่างเข้าวัดทำบุญในวันพระอย่างพร้อมเพรียง

 กล่าวคือสำรับใส่บาตรจะประกอบด้วยข้าวเหนียว อาหารมังสวิรัติ น้ำ และกรวยดอกไม้ เริ่มจากวางกรวยดอกไม้บนพาน นำถุงอาหารใส่บนถาด ปั้นข้าวเหนียวส่วนหนึ่งถวายพระพุทธ และเทน้ำปริมาณหนึ่งใส่คันโธถวายพระพุทธ

จากนั้นนำข้าวเหนียวส่วนใหญ่ใส่บาตรต่อหน้าพระสงฆ์ โดยเรียงลำดับจากผู้ชาย ผู้ใหญ่ ถึงเด็กสาว พนมมือรับพรและกรวดน้ำอีกค่อนขวดให้หมดเป็นการเสร็จสิ้นพิธี

“ผมเองเกิดมาก็ทำแบบนี้แล้ว ตื่นมาใส่บาตร ไหว้พระ สวดมนต์ กินมังสวิรัติ จนกลายเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตที่ไม่ต้องมีใครบังคับ เด็กๆ ในชุมชนก็เช่นเดียวกัน เขาได้ซึมซับวิถีจากพ่อแม่ จึงไม่น่าแปลกใจว่าทำไมธรรมเนียม ประเพณี วัฒนธรรมของชาวบ้านพระบาทห้วยต้มยังคงอยู่ได้ในโลกปัจจุบันที่ทุกอย่างเปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็วนี้ เราชาวปกาเกอะญอมีแรงศรัทธาในพระพุทธศาสนา และมีแรงศรัทธาในการมีชีวิตอยู่ เรามีชีวิตที่มีความสุขได้โดยไม่เบียดเบียนชีวิตอื่น และเราไม่ต้องการสิ่งฟุ่มเฟือยมากมาย เพราะความสุขเกิดขึ้นอยู่ในจิตใจอยู่แล้ว”

ชาวบ้านต่อคิวใส่บาตรพระสงฆ์ที่วัดพระบาทห้วยต้ม

 3 วัน 2 คืนในชุมชนบ้านพระบาทห้วยต้ม สรุปใจความสำคัญได้อย่างที่หนานวิมลกล่าวทิ้งท้ายไว้ และที่นี่เป็นแรงบันดาลใจแห่งศรัทธา 1 ใน 8 เส้นทางท่องเที่ยวชุมชนในโครงการ “เหนือฝันล้านแรงบันดาลใจ แอ่วเหนือครั้งใหม่ ไม่เหมือนเดิม”

โครงการร่วมมือระหว่างกองตลาดภาคเหนือ การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย และโลเคิล อไลค์ ที่ต้องการบุกตลาดกระตุ้นแรงบันดาลใจผู้หญิงวัยทำงานให้ออกค้นหาความหมายของชีวิตในรูปแบบที่แตกต่าง ผ่านการท่องเที่ยวที่เข้าถึงชุมชนอย่างลึกซึ้ง มีทั้งหมด 8 เส้นทางใน จ.เชียงใหม่ เชียงราย และลำพูน โดยได้เปิดโปรแกรมให้คนเดินทางจริงผ่านโลเคิล อไลค์ (สอบถามข้อมูลโทร. 08-1139-5593 หรือทีมงานฝ่ายขายที่อีเมล hollie@localalike.com)

บ้านพระบาทห้วยต้มเป็นเส้นทางเดียวในลำพูน ที่จะพาไปสัมผัสวิถีชีวิตชุมชนอย่างลึงซึ้ง อย่างที่โลเคิล อไลค์ ตั้งความหวังไว้ว่า อยากให้นักท่องเที่ยวมีความสุข กลับบ้านพร้อมรอยยิ้ม และมีความทรงจำที่ลึกซึ้งมากกว่าครั้งไหนๆ ผ่านสิ่งที่ประสบและสัมผัสได้จากการท่องเที่ยวชุมชน ซึ่งท้ายที่สุดแล้ว ประสบการณ์จะกลายเป็นแรงผลักดันและแรงบันดาลใจต่อไปไม่สิ้นสุด

ตลาดเช้าบ้านพระบาทห้วยต้ม

น้ำบ่อน้อยไม่เคยเหือดแห้ง

ลายผ้าทอมือสีสดใส

วิถีชีวิตเรียบง่ายของชาวบ้านน้ำบ่อน้อย