เรามีเต่าเป็นเพื่อน ที่สวนเต่าบ้านกอก

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์โพสต์ทูเดย์

26 กุมภาพันธ์ 2560 เวลา 09:29 น…. อ่านต่อได้ที่ : http://www.posttoday.com/travel/thailand/482790

เรามีเต่าเป็นเพื่อน ที่สวนเต่าบ้านกอก

โดย…สมแขก

ถ้าไปเมืองขอนแก่นแล้วอยากเห็นเต่าจำนวนเป็นร้อยๆ พันๆ ออกมาเดินทั่วหมู่บ้านประหนึ่งเจ้าถิ่นล่ะก็ ต้องตามไปดูที่หมู่บ้านเต่า บ้านกอก อ.มัญจาคีรี จ.ขอนแก่น เด้อพี่น้อง! ให้ขับรถออกไปจากตัว อ.เมือง ประมาณ 50 กิโลเมตร ก็จะเจอหมู่บ้านที่มีเต่าเพ็กกระจายตัวอยู่เกือบทั่วทุกมุมของหมู่บ้าน

บ้านกอก เป็นหมู่บ้านเก่าแก่ ผู้เฒ่าในหมู่บ้านมีเรื่องเล่าสืบต่อกันมาว่า เต่าเพ็กที่บ้านกอกมีอายุยืนยาวสืบเชื้อสายกันมาพร้อมๆ กับการก่อตั้งบ้านกอก เมื่อประมาณปี 2310 เชื่อกันว่า เจ้าคุณปู่เป็นชายแก่รูปร่างสูงใหญ่ นุ่งขาวห่มขาวมีเต่าเพ็กเป็นบริวาร เต่าเพ็ก เป็นชื่อที่คนภาคอีสานใช้เรียกเต่าเหลือง เต่าเทียน หรือเต่าแขนง ทั้งหมดคือเต่าชนิดเดียวกันคือเต่าบก ไม่สามารถอยู่ในน้ำได้ ลักษณะกระดองจะมีสีเหลืองแก่ปนน้ำตาล โดยมากเราจะพบเต่าเหลืองในป่า และแม้ว่าจะไม่สามารถอยู่ในน้ำได้ แต่เต่าเหลืองก็ชอบอาศัยอยู่ในที่ชื้นเย็น

 

ก่อนเข้าไปในตัวหมู่บ้านซึ่งเป็นโฮมสเตย์สำหรับต้อนรับนักท่องเที่ยวด้วย ด้านซ้ายมือเราจะเจอดอนเต่า หรือสวนเต่า มีพื้นที่ประมาณ 4 ไร่ พื้นที่บริเวณนี้ใกล้กับวัดของหมู่บ้าน ดอนเต่ามีกอไผ่อยู่ทั่วไป ป่าไผ่และใบไผ่ที่ร่วงทับกัน เป็นที่อาศัยของเต่าได้ดี ซึ่งนอกจากที่อยู่ตามธรรมชาติแล้ว ชาวบ้านยังสร้างบ้านเต่าเพื่อเอาไว้หลบร้อนไว้ให้เป็นจุดๆ เราจึงสามารถเห็นเต่าพักผ่อนในบ้านบ้าง หรือซุกตัวใกล้กอไผ่บ้าง พื้นที่ของดอนเต่ายังเป็นที่ตั้งของศาลเจ้าพ่อมเหศักดิ์ ศาลเจ้าคุณปู่ฟ้าระงึม ชาวบ้านเชื่อกันว่าเต่าในบริเวณดอนเต่านี้ เป็นสัตว์เลี้ยงของเจ้าปู่ฟ้าระงึม จึงเรียกเต่าพวกนี้ว่าเต่ามเหศักดิ์อีกชื่อหนึ่ง คนในหมู่บ้านกับเต่าจึงอยู่ร่วมกันเสมอมา

ด้วยความเชื่อของชาวบ้านกอกที่ว่า เต่าเพ็กเป็นเต่าสัตว์เลี้ยงของเจ้าปู่ฟ้าระงึม นอกจากจะไม่ทำอันตรายแล้ว ยังเลี้ยงดูปูเสื่ออย่างดี นอกจากในดอนเต่า มีเต่าอีกไม่น้อยที่อยู่ใต้ถุนเรือนของชาวบ้านเพื่อรออาหาร บ้างก็เดินอยู่ตามถนนในหมู่บ้าน หรืออาศัยกินผักและผลไม้สดจากร้านค้าในหมู่บ้าน และเป็นที่น่าสังเกตว่าแต่ละบ้านจะไม่สร้างรั้วหรือกำแพงสูง เพื่อให้เต่าสามารถเข้ามาหลบร้อน หรือกินอาหารได้สะดวก

 

ชาวบ้านบอกว่า เต่าเพ็กอยู่ร่วมกับสัตว์อื่นๆ ในหมู่บ้าน เช่น วัว ควาย เป็ด ไก่ ฯลฯ ได้ปราศจากปัญหา และสัตว์แต่ละชนิดจะไม่เบียดเบียนกัน และเต่าเพ็กมีสัญชาตญาณในการกินอาหารดีมาก เต่าที่อยู่นอกดอนเต่า จะไปรวมตัวกันใกล้ร้านขายของชำ ที่มักจะมีเศษอาหารมารวมกันไว้ ทำให้ในแต่ละวันเมื่อแดดร่ม ถนนไม่ร้อนในช่วงเย็นๆ นักท่องเที่ยวจะเห็นภาพการเดินทางของเต่าเพ็กในหมู่บ้านอย่างสนุกสนาน

สำหรับนักท่องเที่ยวที่มาเยือนหมู่บ้านเต่าไม่ตรงกับเวลาเต่าออกหากิน สามารถชมได้ที่สวนเต่า จะสามารถชมเต่าได้ในเวลากลางวัน แต่ถ้าอยากมาเห็นบรรยากาศที่เขาเล่ากันต้องมานอนค้างคืน เพราะเต่าจะออกเวลา 5-6 โมงเย็น อาหารของเต่าเพ็กในหมู่บ้าน ได้แก่ ขนุน สับปะรด แตงไทย พืชผักพวกแตงกวา ผักบุ้ง ผักกาด กะหล่ำปลี หน่อไม้ และซากสัตว์ ส่วนอาหารสำหรับเต่าในสวนเต่า จะมีจำหน่ายเพื่อเป็นทุนในการบำรุงสถานที่ และมีมัคคุเทศก์น้อยพานำชมเที่ยวรอบๆ หมู่บ้านเต่า สิ่งควรรู้เมื่อไปเยี่ยมเต่า คือไม่จับเต่าหงายท้อง เพราะมีผลต่อการวางไข่ ไม่จับเต่าลงน้ำ เนื่องจากเป็นเต่าบก ไม่เคาะกระดองเต่า นอกจากนี้ไม่ควรนำอาหารด้านนอกสวนเต่ามาให้เต่าโดยไม่ล้างให้สะอาดก่อน เนื่องจากมีเต่าตายเพราะสารเคมีจากผักและผลไม้ที่มีสารเคมีตกค้างมาแล้ว

 

ถ้าอยากเรียนรู้ความเป็นไปในการดำเนินชีวิตของชาวหมู่บ้านเต่า โดยอยู่ร่วมกันกับชาวบ้าน ที่นี่ก็มีบ้านพักโฮมสเตย์หมู่บ้านเต่าให้ได้มากินมานอนแบบเจาะลึก ซึ่งรับรองว่าจะได้รับอัธยาศัยและไมตรีจิตอย่างอบอุ่นของชาวหมู่บ้านกอก และที่ขาดไม่ได้เลยคือการทำกิจกรรมภายในหมู่บ้าน เช่น เข้าชมงานฝีมือของกลุ่มอาชีพต่างๆ เป็นทั้งอาชีพเสริมและเป็นอาชีพหลักของชาวบ้าน เช่น กลุ่มอาชีพเครื่องจักสานด้วยไม้ไผ่ กลุ่มอาชีพทอกระเป๋า กลุ่มอาชีพทอผ้าไหม กลุ่มอาชีพทำกระติบข้าวเหนียวด้วยเชือกไนลอน ที่ยังคงอนุรักษ์เครื่องมือแบบโบราณที่เป็นมรดกตกทอดมาตั้งแต่ปู่ ย่า ตา ยาย

จะไปหมู่บ้านเต่า ไม่ยากเลยเมื่อเดินทางถึงขอนแก่น ให้ไปตามทางหลวงหมายเลข 12 (ขอนแก่น-ชุมแพ) จากนั้นให้ไปตามถนน ขอนแก่น-มัญจาคีรี ตรงไปประมาณ 54 กม. ก่อนถึง อ.มัญจาคีรี 2 กม. จุดสังเกตคือปากทางเข้าหมู่บ้านเต่า จะเห็นรูปเต่าจำลองอยู่บนแท่นหิน จากนั้นเลี้ยวซ้ายใช้เส้นทางลูกรังข้างวัด เข้าสู่เขตหมู่บ้านกอก

 

 

ตลาดอิ่มใจ ใครมาก็อิ่มที่ครุศาสตร์ จุฬาฯ

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์โพสต์ทูเดย์

25 กุมภาพันธ์ 2560 เวลา 11:34 น…. อ่านต่อได้ที่ : http://www.posttoday.com/travel/thailand/482670

ตลาดอิ่มใจ ใครมาก็อิ่มที่ครุศาสตร์ จุฬาฯ

โดย…อารยชล ภาพ : GreenMarket

ทุกวันพุธและพฤหัสบดีที่ 3 ของเดือน ว่างกันไหมเอ่ย อยากชวนทุกคนไปเดินทอดน่องแบบชิลๆ ที่ “ตลาดอิ่มใจ” ที่คณะครุศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย บรรยากาศใต้ถุนอาคารเย็นสบาย ใครอยู่ละแวกนั้นว่างๆ ก็ลองแวะไปเดินดูของกิน ของใช้ ผัก ผลไม้ ตั้งแต่ 7 โมงเช้าเป็นต้นไปจนถึงบ่าย 3 โมงโดยประมาณ

เป็นตลาดกรีนเปิดใหม่ที่คณะครุศาสตร์ จุฬาฯ ร่วมกับตลาดสีเขียว GreenMarket จอยท์กัน โดยจัดมาแล้ว 3 ครั้ง เริ่มครั้งแรกตั้งแต่วันที่ 19-20 ธ.ค. 2559 ที่ผ่านมา ได้รับความสนใจค่อนดีทีเดียวจากคนในชุมชนจุฬาฯ ไม่ว่าจะอาจารย์ นิสิต เจ้าหน้าที่ของจุฬาฯ

แต่ละครั้งมีร้านค้าเข้าร่วมประมาณ 16-20 ร้าน ถือว่าไม่เยอะมากแต่ก็ไม่น้อยสำหรับพื้นที่ที่จัด ล่าสุดเมื่อวันที่ 16-17 ก.พ. มีร้านแนวกรีนๆ เข้าร่วม 19 ร้าน ได้แก่ บ้านคุณต้น Rice Sweet บริงเวล น้ำผึ้งธรรมชาติ พรพรรณไม้ ผักอินทรีย์ F&H ผลไม้อินทรีย์ สวนสรรปันกัน ป้าเยาว์คาวหวาน ผ้าไทยบ้านปางกอม ธารา ละเมียด ต้นคราม ชมภิญญ์ จิราออร์แกนิค น้ำหอมจำปี Nunt Product เดอลาบัว BIJa Herbal Hung Organic และ Keen

 

ร้านค้าเหล่านี้ ทางตลาดสีเขียว GreenMarket ซึ่งมีเครือข่ายร้านค้าสีเขียวอยู่มากมาย เป็นผู้ประสานติดต่อมาขาย ขณะที่สินค้าที่ร้านต่างๆ นำมาขายส่วนใหญ่เป็นออร์แกนิก มีตั้งแต่พืชผักผลไม้ เช่น พริก ผักบุัง มะเขือเทศ ถั่วฝักยาว อาหารแปรรูป อาหารพร้อมรับประทาน เสื้อผ้า ตลอดจนผลิตภัณฑ์จากสมุนไพรธรรมชาติ เป็นต้น

สำหรับที่มาตลาดอิ่มใจนั้นเกิดขึ้นมาจากแนวคิดของ รศ.ดร.ศิริเดช สุชีวะ คณบดีคณะครุศาสตร์ จุฬาฯ ร่วมกับบรรดาผู้บริหารคณะครุศาสตร์ ที่อยากเห็นจุฬาฯ เป็นมหาวิทยาลัยแห่งความยั่งยืน (Sustainable University) และมหาวิทยาลัยสีเขียว (Green University) เป็นแหล่งเรียนรู้ของเหล่านิสิตจุฬาฯ และต้องการปลุกจิตสำนึกและสร้างค่านิยมในการบริโภคที่ฉลาด ปลอดภัย ให้กับคนในชุมชนของจุฬาฯ ซึ่งสอดรับกับการสร้างสภาพแวดล้อมที่เป็นสีเขียวที่คณะครุศาสตร์ทำอยู่

“บนชั้นที่ 6 ของคณะครุศาสตร์ ตรงบริเวณที่เป็นทางเชื่อมอาคารเป็นพื้นที่ว่างได้ถูกจัดสรรให้เป็นสวนลอยฟ้า ปลูกไม้ยืนต้นและพืชผักสารพัดชนิด เช่น ผักบุ้ง พริก ต้นหม่อน ตามแนวทางปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง เพื่อเป็นแหล่งเรียนรู้ของนิสิตคณะครุศาสตร์ ขณะที่พื้นที่ข้างล่างในบริเวณพื้นที่ของคณะครุศาสตร์ก็ทำปุ๋ยหมักเพื่อเวียนกลับมาใช้กับสวนผักบนชั้นที่ 6 ขณะที่ผลผลิตจากสวนก็นำมาขายในตลาดอิ่มใจ คาดว่าอีก 2 เดือนน่าจะมีผลผลิตออกมา”

 

นอกจากนี้ อาจารย์ประจำคณะครุศาสตร์คนหนึ่งให้ข้อมูลว่า จุฬาฯ ยังมีสำนักวิชาสำนักพยากรณ์เกษตร ที่เปิดใหม่ ซึ่งในโปรเจกต์ของคณะนี้จะให้นิสิตปีสุดท้าย ทำซีเนียร์โปรเจกต์ ซึ่งเขาจะต้องสร้างและพัฒนาผลิตภัณฑ์ของตัวเองขึ้นมา โดยต้องมีความปลอดภัย รวมทั้งพัฒนาแพ็กเกจ ทำการตลาด และนำมาขาย ซึ่งจะแบ่งพื้นที่ให้กับนิสิตเหล่านี้ในการนำผลิตภัณฑ์ของตัวเองมาวางขายด้วย

แต่ว่าในเดือน มี.ค.นี้ ตลาดอิ่มใจ อาจต้องเลื่อนไปจัดสัปดาห์ที่ 4 เนื่องจากสัปดาห์ที่ 3 จุฬาฯ มีงานจุฬาวิชาการพอดี ทั้งนี้เพื่อความมั่นใจ สามารถสอบถามได้ที่คณะครุศาสตร์ จุฬาฯ โทร. 02-218-2565 หรือติดตามได้ที่เพจตลาดสีเขียว GreenMarket

 

ชิลติดดาว โลลิโก้ รีสอร์ท หัวหิน

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์โพสต์ทูเดย์

25 กุมภาพันธ์ 2560 เวลา 11:15 น…. อ่านต่อได้ที่ : http://www.posttoday.com/travel/thailand/482663

ชิลติดดาว โลลิโก้ รีสอร์ท หัวหิน

โดย…นิทรา ราตรี

สองขั้วความรู้สึกผสมกลืนกันเป็น โลลิโก้ รีสอร์ท หัวหิน (Loligo Resort Hua Hin) ที่พักริมทะเลที่มีทั้งความเรียบง่ายของหมู่บ้านชาวประมงและความหรูหราของมารีนาส่วนตัว รวมกันเป็นความรู้สึกใหม่ที่ตอบโจทย์สายชิลแต่ยังติดดาว

โลลิโก้เป็นภาษาละติน แปลว่า ปลาหมึกซึ่งเป็นชนิดที่พบได้มากในเขตทะเลหัวหิน ตัวอาคารถูกออกแบบและตกแต่งอย่างเรียบง่าย เน้นความโปร่งโล่ง เปิดรับลมและแสงธรรมชาติ ในห้องพักมีลูกเล่นของผนังบ้านชาวประมงตัดกันดีกับความโมเดิร์นของเฟอร์นิเจอร์

 

โดยมีทั้งหมด 47 ห้องแบ่งเป็น 3 ประเภท ได้แก่ ห้องดีลักซ์ ขนาด 40-44 ตร.ม. มีให้เลือกสองวิวระหว่างสวนต้นไม้และสระว่ายน้ำ รองรับได้สูงสุด 4 คน ห้องมินิสวีท ขนาด 52 ตร.ม. มาพร้อมโซฟาเบดและพื้นที่ใช้สอยที่รองรับได้สูงสุด 5 คน และห้องมินิสวีท ซี แอนด์ ฮอไรซอน บัลโคนี่ (Mini Suite Sea & Horizon Balcony) เป็นห้องที่หรูหราและดีที่สุดด้วยขนาด 58 ตร.ม. พิเศษกว่าด้วยวิวท้องทะเล ห้องนั่งเล่นแยกต่างหาก และอ่างอาบน้ำที่มีเฉพาะในห้องนี้

ส่วนห้องอาหารมีให้บริการตั้งแต่เช้าจรดเย็นที่ เดอะ กัปตัน ห้องอาหารที่ได้นำวัตถุดิบในท้องถิ่นมาสร้างสรรค์เป็นเมนูแปลกใหม่สู่นักท่องเที่ยว จากนั้นไปดื่มด่ำบรรยากาศหลังพระอาทิตย์ตกที่ สควิด อิ๊ง บาร์ ด้วยค็อกเทลและเครื่องดื่มที่นำเข้ามาจากทั่วโลก

 

หรือใครที่อายุมากกว่า 18 ปี เซลเลอร์ คลับ ก็ยินดีต้อนรับสู่โลกของผู้ใหญ่ที่เต็มไปด้วยความสนุกสุดมึน รวมทั้งยังสามารถไปใช้บริการร้านอาหารในโรงแรมเล็ทส์ซีหัวหินอัลเฟรสโกรีสอร์ท (Let’s Sea Hua Hin Al Fresco Resort) ซึ่งเป็นโรงแรมรุ่นพี่ภายใต้ผู้บริหารเดียวกันได้โดยห่างออกไปไม่กี่ก้าว

รีสอร์ทยังมีสิ่งอำนวยความสะดวกพร้อมสรรพ ไม่ว่าจะเป็นสระว่ายน้ำ อ่างจากุชชี่กลางแจ้ง ห้องประชุมสัมนา สปา ฟิตเนส และคิดส์คลับ จึงตอบโจทย์กลุ่มคู่รักและครอบครัว หลังจากที่เปิดตัวอย่างเป็นทางการเมื่อปีที่ผ่านมา (2559) โลลิโก้ถูกยกให้เป็นรีสอร์ท 4 ดาว ที่ได้รับคำนิยมให้เป็นรีสอร์ทที่มีผู้ชื่นชอบมากที่สุดแห่งหนึ่งของประเทศไทยไปแล้ว

 

Price: ห้องดีลักซ์ 7,533 บ. ห้องมินิสวีท 8,710 บ. ห้องมินิสวีท แอนด์ ฮอไรซอน บัลโคนี่ 9,298 บ.

Place: ไม่ห่างจากตลาดซิเคด้าและห่างจากชายหาดหัวหินประมาณ 100 ม. โทร. 032-536-777 เว็บไซต์ www.loligoresort.com

Promotion: โปรฯ Live a Good Life ห้องพักราคาเริ่มต้น 3,700 บ. และเมื่อพัก 2 คืนขึ้นไปรับส่วนลดเพิ่ม 30% ตั้งแต่วันนี้ – 12 เม.ย. 2560 สำหรับการจองผ่านเว็บไซต์ www.loligoresort.com

 

ไปคนเดียว อยากให้ทุกคนกล้าออกเดินทาง

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์โพสต์ทูเดย์

18 กุมภาพันธ์ 2560 เวลา 17:16 น…. อ่านต่อได้ที่ : http://www.posttoday.com/travel/thailand/481525

ไปคนเดียว อยากให้ทุกคนกล้าออกเดินทาง

โดย…รอนแรม ภาพ : ไปคนเดียว

“อยากให้ทุกคน…กล้าที่จะออกมาเที่ยว” คือความตั้งใจของ เก๋-พิเศษ แถมพร วัย 29 ปี เจ้าของเพจเฟซบุ๊ก ‘ไปคนเดียว’ ที่เขาสร้างขึ้นเพื่อส่งต่อแรงบันดาลใจให้ใครก็ตามกล้าออกเดินทาง ไม่ว่าจะไปคนเดียวหรือมีเพื่อนร่วมทาง เขาบอกว่ามันไม่สำคัญเท่าไปแล้วมีความสุขหรือเปล่า?… เท่านั้นเอง

เก๋ เริ่มทำเพจเพราะอยากรวบรวมภาพท่องเที่ยวที่สะสมมาให้เป็นอัลบั้ม ด้วยความที่เป็นนักเดินทางที่เที่ยวได้ทุกรูปแบบ (โดยเฉพาะป่าไม้ภูเขา) และเที่ยวได้กับทุกคน ทำให้เขาได้ออกเดินทางเป็นประจำ แม้ว่าจะทำงานประจำอยู่ด้วยก็ตาม “ส่วนใหญ่ชื่อเพจท่องเที่ยวจะมีแต่เที่ยวแบบกลุ่ม” เพจไปคนเดียวสร้างขึ้นได้ 1 ปีกว่า

“ดังนั้น ผมเลยคิดที่จะสร้างศูนย์รวมของคนที่อยากไปแต่ไม่กล้าไป โดนเพื่อนเท เพื่อนที่ไม่ว่างตรงกัน หรือเป็นคนที่ชอบอยู่คนเดียว ปรากฏว่าเราได้เจอกลุ่มคนที่คล้ายๆ กันมาพูดคุยกัน ซึ่งเนื้อหาของเพจไม่ได้บังคับว่าไปเที่ยวคนเดียวถึงจะมีความสุขอะไรแบบนั้น แต่เราพยายามสร้างอีกมุมหนึ่งของการท่องเที่ยวมากกว่า”

เก๋ ยังเผยว่า ช่วงแรกๆ ที่ทำเพจมีคนกดไลค์ไม่มาก แต่ไม่นานก็เพิ่มขึ้นเป็น 6 หมื่นไลค์ จนกระทั่งตอนนี้มีคนติดตามมากกว่า 5.6 แสนไลค์ ซึ่งปัจจัยที่เรียกคนเข้ามาคือ เนื้อหาและรูปภาพ โดยเขาจะเน้นสถานที่ที่พนักงานออฟฟิศไปเที่ยวได้ ไม่ไกลจากกรุงเทพฯ เดินทางสะดวก สามารถใช้เวลาวันหยุดสุดสัปดาห์ และเป็นสถานที่ที่คนยังไม่รู้จักนัก ส่วนรูปภาพจะเรียกว่าแนวฮิปสเตอร์ก็ไม่ผิด ทั้งสี ทั้งมุมมอง ล้วนเป็นแนวที่วัยรุ่นกำลังนิยม

“ผมจะเสนอเนื้อหาท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรม จะไม่ได้ไปเที่ยวแค่ถ่ายรูป เช็กอิน แต่จะหามุมที่ยังไม่มีคนนำเสนอ หรือหาสถานที่ที่เป็นธรรมชาติ น่าเดิน น่าไปศึกษา และที่สำคัญต้องปลอดภัย เพราะหลังจากที่เปิดเพจมาปีกว่า ผมรู้แล้วว่าคนที่ติดตามเพจมากคือ ผู้หญิง ดังนั้นก็ต้องคำนึงถึงกลุ่มที่ติดตามเรา” เขากล่าวเพิ่มเติม

“สามสี่เดือนแรกที่เปิดเพจมีคนกดไลค์เพิ่มเดือนละเกือบแสน ตกใจเหมือนกันเพราะผมไม่ได้บูสต์โพสต์บูสต์เพจเลยในตอนเริ่มต้น แต่หลังๆ ที่เป็นทริปมีคนชวนไปรีวิวจะมีการบูสต์ แต่ประสบการณ์ก็บอกเราว่า ไม่ว่าจะเสียเงินเยอะแค่ไหนแต่คอนเทนต์ไม่น่าสนใจ ยอดไลค์ก็ไม่มากขึ้น”

 นอกจากนี้ พฤติกรรมของลูกเพจจะชี้ทางได้ว่าเจ้าของเพจควรทำเนื้อหาอย่างไร อย่างเพจไปคนเดียว เขาต้องเขียนอธิบายให้น้อยลงแล้วระบุข้อมูลที่จำเป็นให้ชัดเจน เช่น สถานที่ การเดินทาง และค่าใช้จ่าย สี่รูปแรกที่โชว์บนโพสต์ต้องน่าสนใจพอให้คนคลิกเข้าไปอ่านในเว็บไซต์ต่อ และช่วงเวลาการโพสต์จะเน้นช่วงเย็นหลังเลิกงาน เพราะคนติดตามส่วนใหญ่เป็นพนักงานออฟฟิศ เป็นต้น

“การต่อยอดไปสู่อาชีพบล็อกเกอร์เต็มตัวเป็นเรื่องที่ผมยังไม่อยากเป็น เพราะการเดินทางเป็นเรื่องงานอดิเรก เป็นงานที่ผ่อนคลาย ไม่ใช่งานที่จำเป็นต้องทำ หรือบังคับตัวเองให้ออกเดินทาง ไม่อยากรู้สึกเหนื่อยเกินไปกับการที่ต้องรีวิวทุกวัน ตอนนี้หลังบ้านมีคนเขียนคอนเทนต์อยู่สองสามคน ผมอยากให้การทำงานเป็นแบบนี้ เดินทางวันหยุดเหมือนพนักงานออฟฟิศทั่วไปน่าจะเป็นจุดที่มีความสุขที่สุดแล้ว”

เพจไปคนเดียว จะทำหน้าที่สร้างแรงบันดาลใจให้ทุกคนกล้าออกเดินทางและเดินทางอย่างมีความสุข ด้วยรูปภาพและเนื้อหาที่ผ่านกระบวนการคิดมาอย่างดีจะจุดประกายให้ทุกคนอยาก “ไป”

 

ก่อนดอกไม้จะหายไป ช่วงเวลาสุดท้ายบนภูลมโล

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์โพสต์ทูเดย์

18 กุมภาพันธ์ 2560 เวลา 17:12 น…. อ่านต่อได้ที่ : http://www.posttoday.com/travel/thailand/481524

ก่อนดอกไม้จะหายไป ช่วงเวลาสุดท้ายบนภูลมโล

โดย…กาญจน์ อายุ

ประวัติศาสตร์สงครามบนภูลมโลน่าสนใจพอๆ กับทุ่งพญาเสือโคร่งที่กำลังเบ่งบาน ย้อนกลับไปในปี 2511-2525 พื้นที่สีชมพูในปัจจุบันเคยเป็นพื้นที่สีแดง โดยเป็นสมรภูมิรบระหว่างฝ่ายคอมมิวนิสต์กับรัฐบาลไทย เป็นพื้นที่ยุทธศาสตร์สำคัญในการรวมพลและเป็นสนามบินลำเลียงอาวุธยุทโธปกรณ์ด้วย

14 ปีของการสู้รบสิ้นสุดลงพร้อมการเปลี่ยนโฉมหน้าประวัติศาสตร์ หลังการประกาศให้ภูลมโลและพื้นที่ใกล้เคียงเป็นอุทยานแห่งชาติภูหินร่องกล้าเมื่อปี 2527 ทางอุทยานฯ ได้เข้ามาขอคืนพื้นที่จากชาวม้งที่ทำไร่เลื่อนลอยจนทำให้ภูลมโลเป็นเขาหัวโล้น โดยทำข้อตกลงกันให้ชาวม้งปลูกพืชไร่ควบคู่ไปกับต้นพญาเสือโคร่งเป็นระยะเวลา 3 ปีก่อนออกจากพื้นที่ ทำให้ปัจจุบันมีต้นนางพญาเสือโคร่งประมาณ 3 แสนต้น บนพื้นที่ราว 2,000 ไร่ กลายเป็นสถานที่ท่องเที่ยวยอดนิยมของอุทยานแห่งชาติภูหินร่องกล้าที่สามารถท่องเที่ยวได้เพียง 3 เดือนตั้งแต่เดือน ธ.ค.-ก.พ.

ปีที่ผ่านมาชมรมส่งเสริมการท่องเที่ยวกกสะทอน มีรายได้จากการให้บริการรถนำเที่ยวมากกว่า 2.7 ล้านบาท มีจำนวนเที่ยวรถวิ่งขึ้นภูลมโล 1,724 เที่ยว สำหรับปีนี้ยังนับไม่เสร็จ แต่คาดว่าจะมีนักท่องเที่ยวใช้บริการรถขึ้นภูลมโลเพิ่มขึ้นร้อยละ 20-30 ในช่วงเวลาเดียวกันกับปีที่แล้ว ทว่าการเดินทางขึ้นภูลมโลสามารถขึ้นได้ 3 ทาง คือ ทางบ้านร่องกล้า จ.พิษณุโลก ทางภูทับเบิก จ.เพชรบูรณ์ และทางกกสะทอน จ.เลย ดังนั้นรายได้ภายใน 3 เดือนจึงต้องมีมากกว่า 3 ล้านบาท และรถที่วิ่งขึ้นภูลมโลก็น่าจะมีมากกว่า 3,000 เที่ยว

ถึงกระนั้น ทางกกสะทอนเป็นเส้นทางที่ไกลและลำบากที่สุด ด้วยระยะทาง 19 กม. จากตัวตำบลไปถึงภูลมโลจำเป็นต้องใช้รถขับเคลื่อนสี่ล้อผ่านถนนลูกรัง ขรุขระ ฝุ่นตลบ คดเคี้ยว แต่กลับเป็นเส้นทางที่ได้รับความนิยมจากนักท่องเที่ยวโดยเฉพาะกลุ่มคนรุ่นใหม่ที่ชอบความท้าทาย ซึ่งนักท่องเที่ยวต้องใช้บริการรถยนต์ของชมรมส่งเสริมการท่องเที่ยวกกสะทอน ห้ามใช้รถส่วนตัวขึ้นไป เพื่อควบคุมปริมาณรถและจำนวนนักท่องเที่ยว

 

เส้นทางชมพญาเสือโคร่งจะเปลี่ยนไปแล้วแต่ช่วงเวลา ข้างบนหนาวก่อนจะบานก่อนไล่จากแปลงบนสู่แปลงล่างตามระดับความสูง ซึ่งแปลงที่บานแล้วจะมีเวลาอวดโฉมเพียง 3 สัปดาห์ ก่อนที่จะร่วงโรยจนเหลือแต่กิ่งก้านเปล่าเปลือย ส่วนเส้นทางและช่วงเวลาขึ้นภูลมโลแนะนำเป็น 2 ช่วง คือ เช้ามืด กับ เช้ามาก เช้ามืดคือ ล้อหมุนตี 5 ไปดูพระอาทิตย์ขึ้นบนยอดภูลมโล ส่วนเช้ามากคือ ไปให้ทันชมพญาเสือโคร่งสัมผัสแสงนวลแรก

รถโฟล์วีลถูกบังคับด้วยความชำนิชำนาญไปตามความมืดระยะทางกว่า 20 กม. ผู้โดยสารแทบไม่รู้ว่ามันไกลหรือใกล้จนกระทั่งรถได้หยุดจอดอยู่บนพื้นราบตีนดอยภูลมโล หลายคนรอคอยพระอาทิตย์อยู่ตรงนี้ แต่อีกหลายคนก็เดินขึ้นไปดูบนยอดภู เส้นทางเดินไม่ยากแต่เมื่อย ซึ่งข้างบนมีสิทธิเห็นพระอาทิตย์มากกว่า แต่ก็มีลมมากกว่า หนาวมากกว่า และอาจมีหมอกมากกว่าไม่สามารถคาดคะเนได้ในแต่ละวัน

 

กล่าวง่ายๆ คือ แล้วแต่ดวง บางวันเห็นเป็นไข่แดง แต่บางวันอาจเป็นไข่ขาว มันน่าสนุกตรงนี้ ตรงที่ควบคุมอะไรไม่ได้สักอย่างกับธรรมชาติ แต่ตะวันก็ไม่ใจร้ายเกินไปนัก เพราะทุกครั้งมันจะส่องแสงผ่านก้อนเมฆมาตกกระทบน้ำค้างปลายกลีบดอกนางพญาเสือโคร่งไม่ผิดพลาด นั่นคือจังหวะที่งดงามที่สุด

ถึงแม้ว่าปีนี้จะมีฝนหลงฤดูมาทำให้ขนาดดอกเล็กกว่าปีก่อน แต่ทุ่งนางพญาเสือโคร่งยังสวยเป็นผืนใหญ่ สีสันยังฉ่ำใจ และรายละเอียดของดอกไม้ยังเหมือนเดิม พี่พลขับจะพาแวะทุกแปลงที่บาน ซึ่งทุกคันจะไปปิดท้ายที่จุดชมวิวทุ่งนางพญาเสือโคร่งมุมสูงที่จะเห็นโลกสีชมพูเต็มตา สวยสด และงดงาม ตัดกับภาพเขาหัวโล้นนอกเขตที่ถูกทำเป็นแปลงปลูกกะหล่ำปลี

 

นางพญาเสือโคร่งแปลงสุดท้ายน่าจะบานไปถึงสิ้นเดือน ก.พ.ตามที่คาดการณ์ไว้ หลังจากนั้นภูลมโลจะปิดฤดูการท่องเที่ยวให้ธรรมชาติฟื้นตัว ส่วนชาวบ้านก็กลับไปสู่วิถีชีวิตปกติ ประกอบอาชีพชาวไร่ปลูกข้าวโพด มันสำปะหลัง และขิง

ทั้งนี้ อบต.กกสะทอนได้ประกาศตั้งชมรมส่งเสริมการท่องเที่ยวกกสะทอนตั้งแต่ปี 2555 พร้อมการสนับสนุนและดูแลจากองค์การบริหารการพัฒนาพื้นที่พิเศษเพื่อการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน (อพท.) โดยในเขตพื้นที่พิเศษเลย ทาง อพท.ได้จัดตั้งชุมชนต้นแบบขึ้น 2 แห่ง คือ ชมรมส่งเสริมการท่องเที่ยวโดยชุมชนกกสะทอน และชมรมส่งเสริมการท่องเที่ยวโดยชุมชนปลาบ่า

 

ชุมชนปลาบ่า เป็นชุมชนน้องใหม่ที่เปิดเป็นแหล่งท่องเที่ยวโดยเน้นไปที่ธรรมชาติ อย่างเส้นทางพิชิต “ภูบักได๋” เดินป่า กางเต็นท์บนยอดภูที่ขึ้นชื่อเรื่องความหนาวและมีลมแรงตลอดปี และค้นหาต้นน้ำของแม่น้ำ 4 สายที่สำคัญของอีสาน หรือนั่งรถอีแต๊กดูแปลงผักแนวกันไฟมีชีวิตที่ชาวบ้านช่วยกันทำเพื่อกันไฟป่าในฤดูแล้งและเป็นเสบียงอาหารของคนในชุมชน หรือนอนโฮมสเตย์ใช้ชีวิตพอเพียงแบบชาวบ้าน ซึ่งทั้งหมดล้วนเป็นกิจกรรมที่กำลังเป็นที่สนใจของกลุ่มเจนวายที่กำลังหาที่เที่ยวไม่ซ้ำใคร โดยชุมชนเพิ่งเปิดการท่องเที่ยวเมื่อ 2 ปีก่อน สร้างรายได้กว่า 4.7 ล้านบาทในปีแรก และโตต่อเนื่องถึง 7 ล้านบาทในปีที่ผ่านมา

การท่องเที่ยวชุมชนถือเป็นการท่องเที่ยวทางเลือกที่กำลังได้รับความนิยม ทาง อพท.เห็นแนวโน้มว่าเป็นเช่นนั้น ทั้งในกลุ่มนักท่องเที่ยวรุ่นใหม่ที่ต้องการเพิ่มประสบการณ์ชีวิต รวมถึงกลุ่มบริษัทและผู้ประกอบการที่ต้องการทำกิจกรรมเพื่อสังคม ทำให้การท่องเที่ยวชุมชนเป็นตลาดคุณภาพ

 

ปัจจุบันทั้งสองชุมชนได้เป็นต้นแบบให้ชุมชนใกล้เคียง 5 ชุมชน ได้แก่ ชุมชนแสงภา ชุมชนบ้านผาหวาย ชุมชนชัยพฤกษ์ ชุมชนบ้านต้นหล้า และชุมชนนาอ้อ ในอนาคตชุมชนจะกลายเป็นชมรมส่งเสริมการท่องเที่ยวได้หรือไม่ย่อมขึ้นอยู่กับชาวบ้านและไม่ใช่เรื่องที่น้อยหน้าใคร เพราะการท่องเที่ยวไม่ใช่ทุกอย่างของการพัฒนา แต่คุณภาพชีวิตและความสุขของชาวบ้านต่างหากที่เป็นตัวชี้วัดสำคัญ

 

ทุกพื้นที่มีศิลปะ

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์โพสต์ทูเดย์

12 กุมภาพันธ์ 2560 เวลา 10:09 น…. อ่านต่อได้ที่ : http://www.posttoday.com/travel/thailand/480530

ทุกพื้นที่มีศิลปะ

โดย…เสน่ห์จันทน์

การสร้างงานศิลปะขึ้นมาเพื่อสื่อสารกับคนดูบางครั้งก็ต้องอาศัยพื้นที่เป็นสื่อกลาง ถ้าเป็นเมื่อก่อนก็คงนึกถึงแต่แกลเลอรี่ของเอกชน หอศิลปะต่างๆ ของหน่วยงานภาครัฐ ซึ่งก็มีไม่กี่แห่ง คนที่ใจรักถึงจะปักหมุดหมายไปชม แต่ตอนนี้ศิลปะต้องออกมาทักทายผู้คน สะกิดให้เขาหันมาสนใจ ดังนั้นพื้นที่ของการแสดงงานศิลปะจึงไม่จำกัดจำเขี่ย และศิลปินสามารถสร้างพื้นที่ของตัวเองได้ง่ายขึ้น แม้จะดูไม่ยิ่งใหญ่อย่างจัดในหอศิลป์ระดับประเทศก็ตาม หรือการลงผลงานในโลกออนไลน์ แต่อย่างไรก็ตาม ศิลปะจะมีพลังมากเมื่อมันได้สื่อสารกับผู้ชมโดยตรง เพราะภาพถ่ายกับผลงานจริงนั้น เส้นสีแสง น้ำหนักการขีดป้ายมันเห็นชัดและให้อารมณ์ต่างกันมากโข

เหตุที่ต้องการให้ศิลปะเข้าถึงผู้คนจำนวนมาก จึงเกิดงาน Bangkok Artisan 2017 เทศกาลศิลปะและศิลปินกรุงเทพฯ ครั้งที่ 2 ด้วยความร่วมมือของ ศูนย์การค้า ธัญญาพาร์ค ศรีนครินทร์ ร่วมกับ สำนักงานศิลปวัฒนธรรมร่วมสมัย กระทรวงวัฒนธรรม ให้เป็นเทศกาลที่รวบรวมงานศิลป์ร่วมสมัยจากศิลปินหลายเจเนอเรชั่น รวมถึงครอบคลุมงานศิลป์แขนงต่างๆ ทัศนศิลป์ มัณฑนศิลป์ วรรณศิลป์ สถาปัตยกรรม ศิลปะการแสดง ภาพยนตร์ ดนตรีและการขับร้อง ดิจิทัลอาร์ต มาจัดแสดงภายใต้แนวคิด “ศิลปะบันดาลทุกสิ่ง Art Is Everything”

“ศ.วิโชค มุกดามณี” ศิลปินแห่งชาติ สาขาทัศนศิลป์ (สื่อผสม) ประจำปี 2555 เล่าว่า “ในสมัยก่อนตอนที่เรียนศิลปะอยู่นั้น เวลาอาจารย์ให้ทำผลงาน เราก็ต้องไปค้นหาแรงบันดาลใจ โดยการไปศึกษาดูผลงานของศิลปินหลายๆ ท่านตามหอศิลป์หรือนิทรรศการต่างๆ ที่จัดแสดงขึ้น ซึ่งมีไม่มากนัก ทำให้มุมมองด้านศิลปะของเยาวชนสมัยนั้นยังอยู่ในมุมจำกัด มาจนถึงปัจจุบันต้องยอมรับว่ามีการสนับสนุนทั้งภาครัฐและเอกชนให้มีการจัดแสดงผลงานศิลปะเพิ่มมากขึ้น แต่ก็ยังจำกัดอยู่ในบางสถานที่

จากประสบการณ์ที่อยู่วงการนี้มายาวนาน พบว่า หากต้องการให้คนไทยได้เข้าใกล้ศิลปะมากขึ้น จำเป็นต้องได้รับความร่วมมือจากทุกๆ หน่วยงานภาครัฐหรือเอกชนควรเปิดให้มีพื้นที่สำหรับการจัดงานแสดงผลงานศิลปะ ไม่จำกัดเพียงในตึกหรือในหอศิลป์ แต่หมายรวมไปถึง ศูนย์การค้า โรงเรียน และสถานที่สำคัญต่างๆ เพื่อเปิดโอกาสให้เยาวชนคนรุ่นใหม่และประชาชนได้เข้ามาสัมผัสงานศิลปะมากขึ้น นอกจากนี้ในระยะยาวตัวศิลปินเองก็ควรสร้างสรรค์ผลงานให้เข้าใกล้คนมากขึ้น ซึ่งอาจจะทำผลงานโดยอิงจากสิ่งที่มีอยู่ใกล้ตัวหรือมีอยู่ในชีวิตประจำวัน เพราะหากมองกันจริงๆ แล้วศิลปะมีอยู่ในทุกที่ ทุกสิ่ง ขึ้นอยู่กับมุมมองของแต่ละบุคคล”

ด้าน “ผศ.วุฒิกร คงคา” หัวหน้าภาควิชาศิลปกรรม คณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง กล่าวว่า “ในยุคสมัยนี้ผลงานของศิลปินรุ่นใหม่สามารถเข้าถึงคนดูได้รวดเร็ว เพราะการสื่อสารในยุคปัจจุบันที่เปลี่ยนแปลงไป ศิลปินสามารถแชร์ผลงานลงออนไลน์ให้คนเข้ามาดูได้ทันที แต่ก็ต้องยอมรับว่ากลุ่มคนที่เข้ามาดูยังอยู่ในวงจำกัดเฉพาะผู้ที่ชื่นชอบเท่านั้น ดังนั้นศิลปินก็ต้องพัฒนาฝีมือของตนเองให้เข้าถึงกลุ่มคนทั่วไปได้มากขึ้น ซึ่งปัจจุบันเป็นยุคของการเชื่อมโยง เราสามารถนำศิลปะในแขนงต่างๆ มาผสมผสานเชื่อมโยงให้เกิดผลงานใหม่ที่มีความน่าสนใจและนำเสนอในรูปแบบที่เข้าใจง่ายให้คนได้ชม ส่วนเรื่องพื้นที่การจัดแสดงผลงานก็ถือเป็นส่วนหนึ่งที่มีความสำคัญในการช่วยให้ศิลปะกับคนไทยใกล้ชิดกันมากขึ้น ในจุดนี้ต้องอาศัยความร่วมมือกับหลายภาคส่วนไม่ว่าจะเป็นการสนับสนุนพื้นที่จัดแสดง การประกวด”

“ฐกฤต ครุธพุ่ม” ตัวแทนศิลปินกราฟฟิตี้ กลุ่ม October29 กล่าวว่า “ศิลปะแนวกราฟฟิตี้นับเป็นงานศิลปะประเภทจิตรกรรมฝาผนังที่ได้รับอิทธิพลมาจากฝั่งยุโรปและอเมริกา เป็นการสร้างสรรค์ผลงานตามกำแพงบ้าน กำแพงรั้ว ซึ่งในสมัยก่อนคนไทยส่วนมากมีมุมมองในด้านลบกับงานศิลปะประเภทนี้ มักคิดว่าเป็นการทำลายมากกว่าการสร้างสรรค์ แต่ปัจจุบันต้องยอมรับว่าคนเริ่มเข้าใจคำว่ากราฟฟิตี้มากขึ้น และมองว่าเป็นศิลปะที่สร้างสรรค์ เข้าถึงคนได้มากขึ้น เพราะมักปรากฏในสถานที่สาธารณะต่างๆ ที่ได้รับการอนุญาตให้สร้างสรรค์ผลงาน และเพื่อให้คนไทยได้มีโอกาสเสพงานศิลปะประเภทกราฟฟิตี้เพิ่มมากขึ้น ผมอยากให้คนไทยเปิดโอกาสยอมรับในความสวยงามของศิลปะประเภทนี้ และอยากให้หน่วยงานต่างๆ สนับสนุนเปิดสถานที่ให้ศิลปินเข้าไปสร้างสรรค์ผลงาน เพื่อจะได้เป็นส่วนหนึ่งในการช่วยส่งเสริมการสร้างผลงานศิลปะดีๆ ให้กับสังคม”

ดังนั้น ภายในเทศกาลจึงได้รวบรวมผลงานศิลปะให้ชมกว่า 300 ชิ้น เช่น 89 ผลงานศิลปะเทิดพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ผลงานจิตรกรรมจากศิลปินแห่งชาติ อาทิ ศ.ประหยัด พงษ์ดำ ศาสตรเมธีปัญญา เพ็ชรชู และ ศ.วิโชค มุกดามณี โซน Art Is Living แสดงผลงานศิลปะในรูปแบบจัดวาง (Installation Art) นำเสนอผลงานด้านสถาปัตยกรรมและงานดีไซน์ เช่น ผลงานประติมากรรม ชุด “เคลื่อนไหวและเปลี่ยนแปลง” ต้นแบบงาน Sculpture Prototype โดย “โด่ง-พงษธัช อ่วยกลาง” ประติมากรแถวหน้าของเมืองไทย ผลงานชุด “OSISU PERFECT 10” เก้าอี้อีโค ฉลองครบรอบ 10 ปี โดย ผศ.ดร.สิงห์ อินทรชูโต สถาปนิกนักออกแบบเพื่อสิ่งแวดล้อม ผลงาน Art Wall บนสวนลอยฟ้า ความยาวกว่า 34 เมตร ภายใต้แนวคิด Green & Healthy Life Society โดยกลุ่มศิลปินสตรีท อาร์ต ได้แก่ An Officer Dies, October29, Stupidnoobmacc, NDTM, Angryboy เป็นต้น

สามารถเข้าชมงานได้โดยไม่เสียค่าใช้จ่าย ณ ศูนย์การค้า ธัญญาพาร์ค ศรีนครินทร์ วันนี้-26 ก.พ. เวลา 10.00-20.00 น.

 

ไปแล้วไม่ขึ้นคาน ‘ตลาดไร้คาน’

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์โพสต์ทูเดย์

12 กุมภาพันธ์ 2560 เวลา 10:02 น…. อ่านต่อได้ที่ : http://www.posttoday.com/travel/thailand/480528

ไปแล้วไม่ขึ้นคาน ‘ตลาดไร้คาน’

โดย…กาญจนา อายุวัฒน์ธนชัย

ใกล้วาเลนไทน์เข้ามาทุกที น่าจะดีถ้าจะไปตอกย้ำความมีคู่ที่ “ตลาดไร้คาน” ตลาดประจำชุมชน “บ้านบุ” ริมคลองบางกอกน้อย ที่นอกจากจะมีตลาดชื่อแปลกขายอาหารอร่อยราคาไม่แพงแล้ว ในย่านยังมีโรงงานขันลงหิน วัดทอง และโรงรถจักรธนบุรี ครบหมดทุกวิถีวัยรุ่น

ใครนั่งเรือด่วนเจ้าพระยามาให้ขึ้นที่ท่าเรือสุวรรณฯ (ที่ไม่ใช่ท่าวัดสุวรรณ ย่านคลองสาน) ส่วนใครที่ขับรถมาก็ให้สละไว้ที่วัดสุวรรณารามราชวรวิหาร เพราะการ “เดิน” ทางจะเริ่มตั้งแต่จุดนี้ วัดสุวรรณฯ เดิมชื่อ วัดทอง สันนิษฐานว่าเป็นวัดที่สร้างขึ้นเมื่อปลายสมัยอยุธยา ในพระอุโบสถเป็นที่ประดิษฐานพระพุทธรูปหล่อปางมารวิชัย ฝีมือช่างเดียวกันกับพระศรีศากยมุนีที่วัดสุทัศน์ และจิตรกรรมฝาผนังเก่าแก่สวยงาม

สักการะสิ่งศักดิ์สิทธิ์นับเป็นฤกษ์งามยามดีที่จะเดินเข้าสู่ชุมชน เลาะไปตามถนนที่กว้างแค่ให้จักรยานพอสวนกัน โดยจะเดินเลียบคลองบางกอกน้อยไป ผ่านท่าเรือบ้านบุ เห็นป้ายสื่อความหมายของชุมชน แล้วจะพบตลาดไร้คาน

ตลาดไร้คาน (วัดทอง) มีโครงสร้างหลังคาที่ไม่มีคานอันเป็นที่มาของชื่อตลาด สันนิษฐานว่ามีอายุมากกว่า 80 ปี เดิมเชื่อว่าบริเวณนี้มีทั้งตลาดบกที่เป็นเรือนแถวและเรือนแพต่างๆ ที่มาจอดค้าขายริมคลองบางกอกน้อย โดยตลาดเจริญรุ่งเรืองเป็นแหล่งค้าขายของชาวจีนในย่านบ้านบุ เป็นที่รวมสินค้าและอาหารสดจำนวนมาก แผงที่ยกขึ้นเตี้ยๆ ที่เห็นอยู่ในปัจจุบัน จะใช้เป็นที่ขายพวกผักและปลา ส่วนแผงที่ตั้งขึ้นสูงกว่าจะใช้เป็นที่ขายเนื้อหมูและเนื้อสัตว์ใหญ่

ถือได้ว่าเป็นตลาดกลางของชุมชนทัดเทียมกับตลาดพรานนกและตลาดวังหลัง เพราะทำเลที่ตั้งใกล้กับคลองบางกอกน้อยทำให้สัญจรสะดวก ชาวบ้านจากชุมชนบางขุนนนท์ บางขุนศรี ตลิ่งชัน และชาวนนทบุรีแถบบางกรวย ก็ต่างมาจับจ่ายซื้อของจากตลาดบ้านบุนี้

ในเวลาต่อมา ตลาดเริ่มซบเซาลงหลังจากคนเปลี่ยนไปใช้ถนนแทนลำคลอง ประกอบกับเกิดเหตุไฟไหม้ใหญ่ในชุมชนถึง 3 ครั้ง ทำให้ชาวบ้านดั้งเดิมย้ายออกไปอยู่ที่อื่น ตลาดที่เคยคึกคักก็เหลือเพียง 1-2 ร้านเท่านั้น แต่ด้วยคุณค่าทางวัฒนธรรมของชุมชนบ้านบุและตลาดไร้คานที่ควรค่าแก่การอนุรักษ์ ชาวชุมชนและเครือข่ายต่างๆ จึงได้ร่วมมือกันพลิกฟื้นชีวิตของตลาดกลับมาอีกครั้ง และเริ่มทำการท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมโดยชุมชนเพื่อหล่อเลี้ยงชีวิตของชุมชนและตลาดได้ตลอดไป

พ่อค้าแม่ค้าจะมาเปิดแผงในวันเสาร์-อาทิตย์ที่ 1 และ 3 ของเดือน ตั้งแต่เวลา 09.00-16.00 น. โดยมีลิสต์ของอร่อยที่ห้ามพลาด ยกตัวอย่าง ร้านป้าเล็ก ทอดมันปลาโบราณ ร้านคุณแอ๊ว ขนมหวาน ร้านคุณตุ๊ก ขนมเบื้องญวนและข้าวยำปักษ์ใต้ ร้านคุณป๊อก ถั่วแปบไส้เค็ม ร้านผัดไทยโบราณและกระยาสารทโบราณ ร้านแม่เพ็ญศรี ขนมเรไร ขนมขี้หนู และลอดช่อง ร้านคุณแอร์ บัวลอยไข่หวานน้ำขิง ร้านคุณสมใจ หมูสะเต๊ะ ร้านคุณแขก ก๋วยเตี๋ยวแกง เป็นต้น ในวันที่มีตลาด บรรยากาศจะคึกคักทั้งคนขายและคนซื้อ ครึกครื้นด้วยการแสดงของเด็กๆ ในชุมชน และครื้นเครงกับบรรยากาศเก่าๆ ที่กลับมามีชีวิตชีวาอีกครั้ง

ใกล้กับตลาดไร้คาน ในซอยข้างๆ จะเป็นที่ตั้งของ ร้านยาสงวนโอสถ ก่อตั้งมานาน 75 ปี มียาขึ้นชื่ออย่าง ยาหอมอินทจักร์ ช่วยบำรุงหัวใจแก้วิงเวียน น่าซื้อฝากคนรัก จากนั้นเดินเลียบคลองบางกอกน้อยไปต่อไม่ไกลจะเจอ โรงงานขันลงหิน เจียม แสงสัจจา บ้านหลังสุดท้ายที่ยังสืบสานวิชาการทำขันลงหิน เครื่องใช้อย่างหนึ่งที่มีความประณีต ทำจากมือทุกขั้นตอน และมีคุณค่ามากกว่ามูลค่า โดยนักท่องเที่ยวสามารถขออนุญาตเข้าไปชมขั้นตอนการทำได้ ในบ้านจะแบ่งเป็นขั้นๆ พร้อมช่างฝีมือตัวจริง จากนั้นเดินต่อไม่กี่ก้าวจะพบกับบ้านผลิตเครื่องใช้สเตนเลส บ้านบุ คอลเลกชั่นสเตนเลส ที่ยังคงความดั้งเดิมกับทำลายผิวด้วยค้อน นับเป็นบ้านหลังสุดท้ายของการชมบ้านนักฝีมือ ก่อนจะเดินไปตามตรอก ผ่านบ้าน ผ่านคน ผ่านหมา ผ่านคนชรา และเส้นทางจะทะลุไปยัง โรงรถจักรธนบุรี ด้วยตัวมันเอง โรงรถจักรธนบุรีเป็นที่จัดเก็บและจัดซ่อมรถไฟทั้งรถจักรดีเซลและรถจักรไอน้ำ ปัจจุบันยังคงเปิดใช้งานอยู่และเปิดให้นักท่องเที่ยวสามารถเก็บภาพรถไฟโบราณ รวมทั้งยังสามารถขออนุญาตเจ้าหน้าที่ขึ้นไปถ่ายภาพในรถไฟได้ด้วย

จากเช้าจรดบ่ายสามารถใช้เวลาทั้งหมดไปกับชุมชนเล็กๆ แห่งนี้ ที่นี่คนยังน่ารักใจดีเหมือนคนชนบท บ้านเรือนยังเป็นไม้สองชั้นแบบเรือนริมน้ำโบราณ ผู้คนยังยึดอาชีพตามบรรพบุรษที่สืบทอดกันมา ถึงแม้ว่ายุครุ่งเรืองทางการค้าจะเหลือแค่ร่องรอย แต่ชาวบ้านยังคงคอยรักษาวัฒนธรรมของบ้านบุไว้ไม่ให้สูญหาย อันเป็นเสน่ห์ชุมชนที่พบได้เพียงที่เดียวเท่านั้น

 

ป้อมมหากาฬ

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์โพสต์ทูเดย์

11 กุมภาพันธ์ 2560 เวลา 10:30 น…. อ่านต่อได้ที่ : http://www.posttoday.com/travel/thailand/480415

ป้อมมหากาฬ

โดย…โสภิตา สว่างเลิศกุล

เดินทางมาจากถนนราชดำเนินนอก หลานหลวง หรือนั่งเรือหางยาวแผดเสียงกระหึ่มในคลองแสนแสบที่ท่าเรือผ่านฟ้า สิ่งที่กระทบสายตาเมื่อเห็นก็คือ “ป้อมมหากาฬ” ก่อนที่จะมุ่งเข้าสู่ถนนราชดำเนินใน

เมื่อมองในบางมุมก็จะมีภูเขาทอง หรือชื่อทางราชการเรียกว่า บรมบรรพต ตั้งอยู่ภายในบริเวณวัดสระเกศราชวรมหาวิหาร เป็นปูชนียสถานที่สร้างขึ้นในสมัยพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 3 เพื่อให้กรุงเทพฯ มีภูเขาทองเหมือนอย่างกรุงศรีอยุธยา เด่นสง่าเหลืองอร่ามเป็นฉากหลังตระการตา

ป้อมมหากาฬเป็น 1 ใน 2 ป้อมในกำแพงเมือง ที่เหลืออยู่ในปัจจุบัน อีกที่คือ ป้อมพระสุเมรุ ที่ถนนพระอาทิตย์ และป้อมนอกกำแพงเมืองที่เหลืออยู่คือ ป้อมวิไชยประสิทธิ์ ที่ตั้งอยู่ริมฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยาด้านฝั่งธนบุรีตรงข้ามกับโรงเรียนราชินีปากคลองตลาด

สร้างขึ้นในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช ในปี 2326 เป็นป้อม 1 ใน 14 ป้อมที่โปรดเกล้าฯ ให้สร้างขึ้นเพื่อป้องกันรักษาพระนคร

เมื่อมาดูลักษณะสถาปัตยกรรมของป้อมมหากาฬ สร้างขึ้นเป็นรูปแปดเหลี่ยม มีกำแพงล้อมรอบ 2 ชั้น เป็นป้อมประจำพระนครด้านตะวันออก กรมศิลปากรได้บูรณะซ่อมแซมป้อมมหากาฬเมื่อคราวพระราชพิธีสมโภชกรุงรัตนโกสินทร์ 200 ปี ในปี 2525 ได้ก่อคอนกรีตแนวเชิงเทินเชื่อมช่วงกำแพงที่ขาดเข้าด้วยกันตามแบบเดิม และได้มีการบูรณะเรื่อยมาจนมีสภาพที่เห็นในปัจจุบัน

กรมศิลปากรได้ขึ้นทะเบียนป้อมมหากาฬพร้อมด้วยกำแพงเมืองเป็นโบราณสถานสำคัญของชาติ โดยประกาศในราชกิจจานุเบกษา เล่ม 66 ตอนที่ 65 วันที่ 22 พฤศจิกายน พุทธศักราช 2492

 

ป้อมมหากาฬเป็นป้อมขนาดใหญ่ทรงแปดเหลี่ยม วัดจากฐานรากชั้นนอกด้านทิศเหนือจรดฐานด้านทิศใต้กว้าง 38 เมตร ความสูงจากพื้นดินถึงปลายใบเสมา 4.90 เมตร และจากพื้นดินถึงหลังคาป้อม 15 เมตร โครงสร้างก่ออิฐฉาบปูน รากฐานอยู่ใต้ระดับผิวดิน ลักษณะเป็นป้อม 3 ชั้น มีบันไดทางขึ้นสู่ชั้นที่ 1 และ 2 กำแพงป้อมเป็นแบบใบเสมาเหลี่ยมขนาดใหญ่ทั้งหมด ยกเว้นกำแพงปีกกาที่ต่อออกมาจากกำแพงป้อมชั้นที่ 2 มีลักษณะใบเสมาปลายแหลมเหมือนกำแพงเมือง

ตัวป้อมชั้นบนสุดมีลักษณะเป็นหอรูปแปดเหลี่ยม มีประตูทางเข้า 1 ประตู หลังคาโครงไม้มุงกระเบื้องทรงคล้ายฝาชีหรือใบบัว คว่ำ 2 ชั้น ที่ป้อมชั้นล่างมีปืนใหญ่ตั้งประจำช่องเสมาเป็นจำนวน 6 กระบอก กำแพงเมืองที่ต่อจากป้อมมหากาฬไปตามแนวถนนมหาไชยนั้น มีลักษณะเป็นกำแพงมีเชิงเทิน ใบเสมาชนิดปลายแหลม ยาว 180 เมตร ถูกตัดขาดเป็นช่วงๆ รวม 4 ช่วง กำแพงช่วงยาวมีช่องประตูรูปโค้งแบบประตูช่องกุดใต้เชิงเทิน 3 ประตู สองข้างช่องประตูเป็นบันไดขึ้นสู่ชานบนกำแพง

ป้อมมหากาฬและกำแพงเมือง ตั้งอยู่บริเวณริมคลองรอบกรุง ใกล้เชิงสะพานผ่านฟ้าลีลาศ โดยมีกำแพงเมืองต่อไปเป็นแนวยาวตามถนนมหาไชย จนสุดที่ร้านน้ำอบนางลอย เนื่องจากตั้งอยู่ในที่ชุมชน มีแขกเมืองและนักท่องเที่ยวผ่านอยู่เสมอ ในสมัยรัฐบาลจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ เป็นนายกรัฐมนตรี ได้มีการติดไฟสำหรับส่องป้อมให้เกิดความงดงามในเวลากลางคืนด้วย ภาพของป้อมมหากาฬเคยได้รับการนำลงพิมพ์ในธนบัตรใบละ 10 บาท ในรัชกาลปัจจุบันอยู่ช่วงระยะหนึ่ง

ชุมชนป้อมมหากาฬ ชานพระนคร เป็นชุมชนขนาดย่อมที่อยู่หลังกำแพงป้อมมหากาฬ กินพื้นที่ตั้งแต่หัวถนนมหาไชยไปจรดชายคลองหลอดวัดราชนัดดา มีเนื้อที่ 4 ไร่ 300 ตารางวา เป็นชุมชนขนาดกะทัดรัดประมาณ 50 กว่าหลังคาเรือน เมื่อเดินผ่านเข้าไป “ประตู 4” หรือตรอกพระยาเพชรปาณี

ปัจจุบัน ป้อมมหาหาฬ ยังโดดเด่นเป็นสง่าท้าทายสายตาผู้มาเยือนและผ่านไปผ่านมา แม้เบื้องหลังกำแพงยังมีความขัดแย้งที่ยังคาราคาซังอยู่

ในอดีต ตรงป้อมมหากาฬเคยเป็นท่าเรือสำคัญสำหรับชาวบ้าน ขุนนาง และเจ้านายที่เดินทางมาตามลำคลองเข้าและออกไปนอกเมือง เพราะเป็นบริเวณที่จะต่อไปยังที่อื่นตามคลองมหานาค คลองแสนแสบ และตามคลองโอ่งอ่างไปยังรอบเมืองอื่นๆ รวมทั้งเป็นที่อยู่อาศัยของข้าราชการ และชาวบ้านมาหลายยุคสมัย มีการปลูกสร้างอาคาร เป็นแนวยาวตลอดตั้งแต่สะพานผ่านฟ้าลีลาศจรดแนวคูคลองวัดเทพธิดารามในปัจจุบัน ต่อมาเรียกกันว่า ตรอกพระยาเพชรฯ เพราะเคยเป็นบ้านพักของพระยาเพชรปาณี (ตรี) ข้าราชการกระทรวงวังและเป็นชาวปี่พาทย์โขนละคร ซึ่งเป็นแหล่งกำเนิดลิเกทรงเครื่องนั่นเอง

ชุมชนป้อมมหากาฬ จึงเป็นชุมชนแห่งสุดท้ายที่ยังมีหายใจร่วมสมัย อยู่สืบทอดยุคกรุงรัตนโกสินทร์มายาวนาน

 

พิพิธภัณฑ์เรือนคำเที่ยง สูดกลิ่นล้านนากลางกรุง

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์โพสต์ทูเดย์

11 กุมภาพันธ์ 2560 เวลา 10:28 น….. อ่านต่อได้ที่ : http://www.posttoday.com/travel/thailand/480414

พิพิธภัณฑ์เรือนคำเที่ยง สูดกลิ่นล้านนากลางกรุง

โดย…พาแลง ภาพ : คลังภาพโพสต์ทูเดย์

หากใครคิดถึงกลิ่นอายเมืองเหนือ ถ้ามีเวลาไม่มากพอจะบินไปถึงที่ แต่หากคุณมีเวลาสักครึ่งวันไม่ต้องดั้นด้นไปไกลถึงถิ่นล้านนา สุดสัปดาห์นี้ลองแวะไปสูดกลิ่นอายของล้านนาขนานแท้ ที่ไม่ใช่แค่มีมุมฮิปสำหรับถ่ายรูป แต่ที่นี่ยังมีประวัติความเป็นมาให้ได้ศึกษาด้วย เป้าหมายที่ว่าคือ “พิพิธภัณฑ์เรือนคำเที่ยง” ซึ่งอยู่ที่ถนนสุขุมวิท 21 รถไฟฟ้าใต้ดิน ลงที่สถานีสุขุมวิท (ทางออกที่ 1) และรถไฟฟ้าบีทีเอส ลงที่สถานีอโศก (ทางออกที่ 3) ง่ายๆ คือหากคุณไปถึงสยามสมาคมในพระบรมราชูปถัมภ์ คุณก็ถึงพิพิธภัณฑ์เรือนคำเที่ยง ที่โดดเด่นสะดุดตาด้วยทรงเรือนไทยสไตล์ล้านนาดั้งเดิมตั้งตระหง่านอยู่ข้างๆ

อะไรทำให้บ้านหลังนี้เป็นพิพิธภัณฑ์? เพราะ “เรือนคำเที่ยง” เป็นเรือนไทยล้านนาหลังเดียวที่ยังคงรูปแบบการสร้างแบบล้านนาไว้ทั้งหมด เป็นเรือนไทยภาคเหนือที่สวยงามที่สุดแห่งหนึ่ง และที่สำคัญมีอายุกว่า 1 ศตวรรษ สร้างเมื่อปี  2391 โดย นางแซ้ด ลูกหลานสืบเชื้อสายธิดาเจ้าเมืองแช่ ชาวไทลื้อจากแคว้นสิบสองปันนา ซึ่งถูกกวาดต้อนมาอยู่เมืองเชียงใหม่สมัยที่พระเจ้ากาวิละเป็นเจ้าเมืองเชียงใหม่ แต่เดิมบ้านหลังนี้อยู่ริมฝั่งน้ำปิง จ.เชียงใหม่

กระทั่งปี  2506 กิมฮ้อ นิมมานเหมินท์ ทายาทผู้เป็นเจ้าของเรือน ได้เล็งเห็นถึงความสำคัญอยากที่จะอนุรักษ์เอาไว้ให้รุ่นลูกรุ่นหลานได้เรียนรู้ถึงความเป็นอยู่ของชาวล้านนา จึงมอบเรือนหลังนี้ไว้ให้กับสยามสมาคมในพระบรมราชูปถัมภ์ และจัดตั้งเป็นพิพิธภัณฑ์ชาติพันธุ์วิทยาพิพิธภัณฑ์เรือนคำเที่ยง เปิดอย่างเป็นทางการตั้งแต่วันที่ 21 พ.ย. 2509 ที่สำคัญขณะนี้อยู่กลางกรุงเทพฯ

โดยทั่วไปเรือนล้านนาจะเป็นเรือนยกใต้ถุนสูง พื้นที่ใช้สอยประกอบด้วยชานกว้าง ซึ่งเป็นส่วนเชื่อมของพื้นที่ในส่วนต่างๆ ของเรือน บันไดหลักหรือทางขึ้นเรือนจะอยู่ด้านหน้า จุดเด่นที่เห็นของเรือนล้านนา คือ “กาแล” ซึ่งเป็นเอกลักษณ์ ซึ่งเรือนไทยล้านนาแบบดั้งเดิมก็จะเรียกว่า “เรือนกาแล” สำหรับเรือนคำเที่ยงบันไดทางขึ้นจะมีหม้อใส่น้ำไว้สำหรับล้างมือล้างเท้าก่อนขึ้นบ้าน

แต่ก่อนที่จะขึ้นเรือน แนะนำให้แวะชมใต้ถุนของเรือนคำเที่ยงก่อน เพราะที่นี่จัดแสดงเครื่องมือทำมาหากินของชาวล้านนาไว้มากมาย เช่น ไซดักปลา ข้อง สุ่ม เครื่องมือทางด้านหัตถกรรม เช่น กี่ทอผ้า นอกจากนี้ยังมีแอนิเมชั่น เรื่อง ต๊กโตผจญภัย เล่าเรื่องราวของตุ๊กแกตัวหนึ่งที่เข้ามาเกี่ยวข้องกับเหตุการณ์และวิถีประจำวันของคนล้านนา อาทิ การทำเหมืองฝาย การจับปลา การทำนา พิธีกรรมในการลงเสาเอก ขั้นตอนการปลูกเรือน เป็นต้น

หลังจากล้างเท้าเตรียมขึ้นเรือน เมื่อเดินขึ้นเรือนจะพบกับชานกว้าง ด้านบนของเรือนจะแบ่งออกเป็น 3 ส่วนใหญ่ ประกอบด้วย ห้องครัว ห้องนั่งเล่น ห้องนอน ทั้ง 3 ห้องนี้จะเชื่อมต่อกันสามารถเดินถึงกันได้หมด และทั้งสามห้องได้จัดนิทรรศการที่สะท้อนคติความเชื่อของคนล้านนาได้อย่างน่าสนใจ คนล้านนาจะให้ความสำคัญกับความเชื่อค่อนข้างมาก และบ่งบอกถึงวิถีชีวิตของชาวล้านนา ตลอดจนสิ่งที่สะท้อนพิธีกรรม ความเป็นอยู่ของคนล้านนาที่สอดคล้องกับธรรมชาติ เช่น การบูชาขันแก้วทั้งสาม การแอ่วสาว การสักยันต์ เครื่องประดับ การนับถือผีปู่ย่า เป็นต้น และสิ่งสำคัญของสาวๆ ชาวล้านนาที่แสดงออกถึงค่านิยม รสนิยม และฐานะของผู้สวมใส่ตลอดจนเชื้อสายเผ่าพันธุ์ ซึ่งเครื่องประดับส่วนมากทำมาจากทองคำ เงิน อัญมณีประเภทพลอย เช่น ปิ่น ต่างหู แหวน กำไลข้อมือ กำไลข้อเท้า ฯลฯ

การที่เด็กรุ่นใหม่ได้ไปเดินชมอดีต สิ่งสำคัญที่ไม่เพียงแค่การได้รับรู้ความเป็นมาของคนที่เกิดมาก่อน เหนืออื่นใดยังให้แรงบันดาลใจกลับมาด้วย หลายคนอาจได้แนวคิดการออกแบบใหม่ๆ กลับไปจากที่นี่ หรือบางคนแค่มาได้สูดกลิ่นอายของความเข้มขลังก็ได้รับพลังพอแล้ว

บ้านคำเที่ยง หรือพิพิธภัณฑ์เรือนคำเที่ยง อยู่ภายในสยามสมาคมในพระบรมราชูปถัมภ์ ถนนสุขุมวิท 21 เปิดให้เข้าชมได้ทุกวัน เว้นวันอาทิตย์ วันจันทร์ และวันหยุดนักขัตฤกษ์ เวลา 09.00-17.00 น. อัตราค่าเข้าชมสำหรับผู้ใหญ่ 100 บาท นักศึกษา 50 บาท เด็ก(ต่ำกว่า 18 ปี) 20 บาท โทร.02-661-6470-7 หรือ www.siam-society.org

 

ชาเทรียม กอล์ฟ รีสอร์ท สอยดาว จันทบุรี ธรรมชาติและกีฬาที่รัก

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์โพสต์ทูเดย์

11 กุมภาพันธ์ 2560 เวลา 10:07 น…. อ่านต่อได้ที่ : http://www.posttoday.com/travel/thailand/480406

ชาเทรียม กอล์ฟ รีสอร์ท สอยดาว จันทบุรี ธรรมชาติและกีฬาที่รัก

โดย…นิทรา ราตรี

หวดวงสวิงไปให้ไกลถึงดวงดาวที่ ชาเทรียม กอล์ฟ รีสอร์ท สอยดาว จันทบุรี สถานที่พักผ่อนแต่ไม่หย่อนแรงด้วยสนามกอล์ฟ 18 หลุมระดับสากล พร้อมวิวหลักล้าน “เขาสอยดาว” ที่สูงตั้งตระหง่านเป็นเอกลักษณ์

รีสอร์ท 4 ดาวบนพื้นที่สีเขียวที่ถูกออกแบบให้ตัวอาคารเปิดรับธรรมชาติมากที่สุด ประกอบด้วยห้องพัก 3 ประเภท เริ่มต้นที่ห้องดีลักซ์ ขนาด 40 ตร.ม. จากห้องพักจะมองเห็นวิวสนามกอล์ฟและมุมหนึ่งของเขาสอยดาว ห้องแกรนด์ ดีลักซ์ ห้องหัวมุมที่ให้ความรู้สึกกว้างกว่าพร้อมระเบียงชมสนามหญ้าสุดลูกหูลูกตา และปิดท้ายด้วย สอยดาว สวีท ห้องที่หรูหราที่สุด มีขนาดใหญ่กว่าห้องอื่น 1 เท่าตัว พร้อมห้องนั่งเล่นแยกต่างหากจากห้องนอน

 

นอกจากนี้ ยังมีห้องอาหารสอยดาวให้บริการทั้งอาหารไทยและนานาชาติ รวมถึงพูลบาร์ (บาร์ริมสระว่ายน้ำ) โดยสระว่ายน้ำนับเป็นจุดชมวิวแบบพาโนรามา เพราะรูปทรงของตัวสระที่ขนานไปกับทิวทัศน์จึงให้ความรู้สึกเสมือนได้แหวกว่ายไปในธรรมชาติ ถัดจากสระว่ายน้ำจะเป็นที่ตั้งของคลับเฮาส์ สถานที่รวมตัวของเหล่านักกอล์ฟที่สามารถจัดงานปาร์ตี้ในบรรยากาศที่ใช่ในสไตล์ที่ออกแบบเอง

ทั้งนี้ สนามกอล์ฟ 18 หลุมถูกออกแบบโดย มร.เดนนิส กริฟฟิธส์ แต่สำหรับผู้ที่ไม่ตีกอล์ฟ ทางรีสอร์ทยังมีบริการทัวร์สนามกอล์ฟด้วยรถกอล์ฟ 8 ที่นั่ง รวมถึงจักรยานให้ยืมฟรี ดังนั้นไม่ว่าใครก็สามารถไปดื่มด่ำธรรมชาติและเซลฟี่ระยะไกลกับเขาสอยดาวได้ เพราะ ชาเทรียม กอล์ฟ รีสอร์ท สอยดาว จันทบุรี มีความพิเศษด้วยบริการชิ้นใหญ่ แล้วแต่ว่าใครจะมาวัตถุประสงค์ไหน ที่นี่ก็ตอบสนองได้ทั้งนั้น

 

Price: ห้องดีลักซ์ 2,107 บ. แกรนด์ดีลักซ์ 2,494 บ. สอยดาวสวีท 7,324 บ.

Place: ห่างจากตัวเมืองจันทบุรี 46 กม. โทร. 089-934-3008 เว็บไซต์ www.chatrium.com/chatrium_soidao

Promotion: ตั้งแต่วันนี้ – 31 มี.ค. 2560 ห้องดีลักซ์ราคาคืนละ 2,099 บ. รวม อาหารเช้า บริการรถจักรยาน และบริการรถกอล์ฟสำหรับขับชมทัศนียภาพรอบสนามกอล์ฟ