ให้ทุกวันเที่ยว คือ ‘การเรียนรู้’

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์โพสต์ทูเดย์

11 กุมภาพันธ์ 2560 เวลา 10:02 น…. อ่านต่อได้ที่ : http://www.posttoday.com/travel/thailand/480405

ให้ทุกวันเที่ยว คือ ‘การเรียนรู้’

โดย…พี่กั๊ตจัง

“เราพาลูกไปเที่ยวเกือบทุกวัน ถ้าเที่ยวในกรุงเทพฯ จะไปกันที่พิพิธภัณฑ์เด็ก ท้องฟ้าจำลอง ทีเคปาร์ค เพราะครอบครัวเรามีแนวคิดว่าเด็กวัยนี้เขาควรจะได้เล่น ถ้าเล่นกับแม่แค่ 2 คน เขาก็จะได้แค่การเล่นเหมือนเด็กทั่วไป แต่ถ้าพาเขาออกไปเที่ยวข้างนอกเขาก็จะได้เรียนรู้โลกกว้าง ได้เรียนรู้การเข้าสังคม ได้เล่นกับเพื่อนๆ ได้เล่นกับเครื่องเล่นใหม่ๆ ได้เห็นสถานที่ใหม่ๆ เป็นประสบการณ์เรียนรู้สำหรับลูก” เปมิกา กาลัญญ คุณแม่ของน้องศิลป์รสา กาลัญญ อายุ 2 ขวบ 4 เดือน

เปมิกา เล่าต่อว่า คนอื่นมักจะคิดว่าการพาลูกออกไปเที่ยวนอกบ้านจะต้องใช้เงินเยอะ ใช้เปลือง แต่อยากสนับสนุนว่าในกรุงเทพฯ มีสถานที่เที่ยวฟรีมากมาย ทั้งที่รัฐบาลและในส่วนของกรุงเทพฯ สนับสนุนให้ประชาชนมาใช้งาน ทำให้สามารถพาลูกเข้าไปเรียนรู้ได้โดยที่ไม่ต้องใช้เงินเยอะ อย่างพิพิธภัณฑ์เด็กก็เข้าฟรี ท้องฟ้าจำลองก็เสียค่าเข้าชมไม่กี่บาท ในหนึ่งวันที่ออกไปเที่ยวอาจจะใช้เงินเพียงแค่ 100 บาท/วัน สำหรับค่าเดินทางเท่านั้น เพราะสถานที่ต่างๆ ก็ฟรีหมด

 

“ตามพิพิธภัณฑ์หรือห้องสมุดจะมีของเล่น อย่างเช่นบล็อกไม้ หนังสือนิทาน เครื่องเล่นเด็ก ให้ลูกเลือกเล่นอย่างหลากหลาย ที่จริงแล้วเราสามารถซื้อมาเล่นเองที่บ้านก็ได้ แต่ถ้าลูกได้ไปเล่นข้างนอก เขาก็จะได้เรียนรู้เรื่องการแบ่งปัน การรอคิว การเข้าสังคม อย่างที่ท้องฟ้าจำลอง ก็จะมีเมืองเด็กให้เด็กๆ ได้ใส่ชุดลองเล่นเป็นอาชีพต่างๆ ที่เขาสนใจอยากจะเป็น มีของเล่นที่สอดแทรกความรู้ดาราศาสตร์ ธรรมชาติ วิทยาศาสตร์ มีส่วนโดมที่ฉายภาพยนตร์ เราก็พาลูกเขาไปดูไปเล่นตั้งแต่อายุได้ 1 ขวบ

เธอบอกถึงความตั้งใจว่าเป็นการฝึกลูกให้สามารถอยู่ในสถานที่ที่มีผู้คน แล้วสามารถอยู่นิ่งๆ ได้ เราจะสอนลูกว่าถ้าไปอยู่ในสถานที่แบบนี้ เราจะอยู่เงียบๆ เพื่อไม่ให้เป็นการรบกวนคนอื่น

“เวลาเดินทางโดยใช้รถสาธารณะตั้งแต่รถเมล์ไปจนถึงรถไฟฟ้า เราก็ฝึกลูกไปในตัว ฝึกเรื่องความอดทนและการรอคอย ตัวน้องเองพอเที่ยวนอกบ้านด้วยกันบ่อยๆ เขาก็จะเริ่มเรียนรู้ว่าเขาควรจะปรับตัวอย่างไรเวลาที่ออกเดินทางไปเที่ยวนอกบ้าน อย่างขาไประหว่างเดินทาง เขาก็จะหลับไปก่อน พอถึงสถานที่ เช่น ท้องฟ้าจำลอง เขาก็จะวิ่งเล่นจนหมดแรง เพราะถึงขากลับเขาก็จะหลับระหว่างทางที่เรานั่งรถกลับบ้าน นี่ก็เป็นโอกาสที่เขาจะได้เรียนรู้เรื่องการปรับตัวว่าเวลาไหนที่เขาควรจะทำอย่างไร ลูกก็จะเรียนรู้ด้วยตัวเราเอง

 

เคล็ดลับที่เปมิกาวางแผนเรื่องลูกเที่ยว ก็คือ จะคุยกับลูกก่อนล่วงหน้าว่าเดี๋ยววันนี้จะไปที่ไหน จะนั่งรถอะไรไป

“แล้วหนูควรจะต้องทำตัวอย่างไร เราจะบอกกับเขาล่วงหน้า หรือบางครั้งเราก็จะให้เขาเลือกสถานที่เที่ยวของเขาเอง”

คุณแม่เปมิกา แนะนำต่อว่า สำหรับสถานที่เที่ยวในกรุงเทพฯ ที่เหมาะกับการพาเด็กๆ ไปเที่ยวก็คือ ท้องฟ้าจำลอง เพราะว่ามีหลายอย่างให้เด็กๆ ได้เล่นได้เรียนรู้ อีกสถานที่ คือ พิพิธภัณฑ์เด็ก เพราะพื้นที่เฉพาะเจาะจงสำหรับเด็กๆ โดยเฉพาะ และสุดท้าย ก็คือ ห้องสมุดดรุณบรรณาลัย ซอยเจริญกรุง 34 เป็นห้องสมุดสำหรับเด็กปฐมวัยโดยเฉพาะ มีหนังสือเด็กที่คัดมาอย่างดีสำหรับทุกช่วงวัยของเด็ก ที่สำคัญคือไม่เสียค่าเข้า แต่หากต้องการจะยืมหนังสือก็เสียค่าสมาชิกประมาณ 100 บาท จึงสามารถยืมหนังสือได้

“คนทั่วไปหากมาเที่ยวที่ห้องสมุดนี้ จะต้องทำใจในเรื่องเสียงของเด็กๆ เพราะว่าเป็นห้องสมุดที่สร้างขึ้นสำหรับเด็กๆ โดยเฉพาะ ดังนั้นเรื่องเสียงการอ่านนิทาน การส่งเสียงหัวเราะของเด็กๆ ก็จะมีบ้าง ไม่เหมือนกับห้องสมุดทั่วไปที่ต้องเคร่งครัดเรื่องความสงบ แต่อย่างไรก็ตามห้องสมุดก็ถือเป็นห้องที่คุณควรที่จะมานั่งอ่านหนังสือมากกว่าปล่อยให้เด็กจะวิ่งเล่นไปมา”

 

เธอบอกว่า การเปลี่ยนแปลงที่ชัดเจนของลูก ก็คือ เขารู้จักโลกภายนอกมากกว่าเด็กคนอื่นๆ ในวัยเดียวกัน

“ก็มักจะเล่าให้น้องฟังทุกอย่างว่าวันนี้เราไปเจออะไรมา ทุกวันนี้ตัวน้องเองก็สามารถเล่าได้ว่าวันนี้นั่งรถอะไร บางครั้งถ้าเราบอกจะนั่งแท็กซี่ ลูกก็จะห้ามไว้ว่าอย่านั่งเพราะเสียเงินเยอะ เขารู้ว่าถ้าเราจะเดินทางไปท้องฟ้าจำลองจะต้องนั่งรถไฟฟ้าลงสถานีเอกมัย หรือถ้าไปที่นี่ต้องนั่งรถไฟใต้ดินเขาจะได้เรียนรู้ในเรื่องการเดินทางในโลกความเป็นจริงมากกว่าที่เราจะไปนั่งอ่านหนังสือดูภาพ สู้เราพาไปดูของจริงเลยจะดีกว่า

สุดท้าย เปมิกา มองว่า การพาลูกไปเรียนรู้ด้วยการไปเที่ยวไม่ใช่เรื่องยาก หลายคนมองว่าการพาลูกไปเที่ยวแต่ละทีมันต้องยิ่งใหญ่ต้องเตรียมตัวต้องเยอะ

“แต่สำหรับเราแล้ว เที่ยวให้เหมือนกับใช้ชีวิตทั่วไป เพียงแค่เรามีเจ้าตัวน้อยเดินทางไปกับเราด้วยเท่านั้นเอง”

 

เที่ยว 3 วัด รับปีใหม่

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์โพสต์ทูเดย์

08 มกราคม 2560 เวลา 11:23 น…. อ่านต่อได้ที่ : http://www.posttoday.com/travel/thailand/474430

เที่ยว 3 วัด รับปีใหม่

โดย…สืบสิน

ยังอยู่ในช่วงของปีใหม่ หลายคนตั้งเป้าหมายที่จะทำสิ่งดีๆ ให้กับชีวิต การเข้าวัดเพิ่มความสุข และเป็นสิริมงคลกับการดำเนินชีวิตทางใจ จึงเป็นอีกสิ่งหนึ่งที่อยู่ในโปรแกรมของหลายคน หากมีเวลาไม่มากนัก แนะนำว่าให้มานมัสการและไหว้พระกันที่ จ.พระนครศรีอยุธยา ที่มาเพียงวันเดียวก็จะสุขทั้งกายและใจ

วันนี้เราหลบจากวัดใหญ่ๆ ที่ใครเดินทางมาที่จังหวัดนี้แล้วต้องแวะไปไหว้พระกันเป็นประจำ เป็นวัดร้างที่อาจถูกหลงลืม ทั้งที่ในอดีตนั้นล้วนเป็นวัดสำคัญทางประวัติศาสตร์เช่นกัน และมาครั้งเดียวก็สามารถไหว้พระได้ 3 วัดเลยทีเดียว ซึ่งทั้ง 3 วัดนี้ตั้งอยูที่ ต.ประตูชัย อ.พระนครศรีอยุธยา จ.พระนครศรีอยุธยา ซึ่งตั้งอยู่ทางด้านหลังพระราชวังหลวง

วัดโลกยสุธาราม วัดที่มีพระนอนองค์ใหญ่ที่สุด

สันนิษฐานว่าได้สร้างขึ้นในสมัยกรุงศรีอยุธยาตอนกลาง ในรัชสมัยสมเด็จพระนครินทราธิราช พระราชบิดาเจ้าสามพระยา ราว พ.ศ. 1995 เป็นวัดที่ขึ้นเชื่อว่ามีพระพุทธไสยาสน์ หรือพระนอนที่มีขนาดใหญ่ที่สุดของ จ.พระนครศรีอยุธยา ที่ประดิษฐานอยู่กลางแจ้ง ก่ออิฐถือปูน มีความยาว 42 เมตร และสูง 8 เมตร พระพักตร์หันไปทางทิศเหนือ ที่พระเศียรมีดอกบัวเกยซ้อนรองรับพระเศียรแทนพระเขนย พระบาทซ้อนกันเป็นมุมฉาก นิ้วพระบาทยาวเท่ากัน สันนิษฐานว่าแต่เดิมเป็นพระพุทธรูปไม่ทรงเครื่อง แต่การบูรณะใน พ.ศ. 2499 คงมีการแก้พระเศียรเป็นอย่างพระพุทธรูปทรงเครื่อง รอบองค์พระมีเสาอิฐ 8 เหลี่ยม รวม 24 ต้น ซึ่งแต่เดิมคงจะมีการสร้างวิหารครอบพระพุทธไสยาสน์ แต่ไม่ปรากฏหลักฐานว่าได้พังทลายลงเมื่อใด ยามที่ดวงอาทิตย์ทอแสงอ่อนจะแลเห็นพระพุทธไสยาสน์องค์สีขาวห่มคลุมด้วยจีวรสีสดตัดกับท้องฟ้าจะงดงามมากทีเดียว

 

วัดแห่งนี้อยู่ใกล้กับเขตพระราชวังโบราณ และวัดพระศรีสรรเพชญ์ ด้วยเค้าโครงของสิ่งก่อสร้างขนาดใหญ่ที่หลงเหลือในพระอารามร้างที่ถูกผลาญด้วยไฟแห่งสงครามนั้น แสดงให้เห็นถึงคุณค่าและความสำคัญของวัดโลกยสุธารามในอดีต เช่น ฐานรากที่เหลืออยู่ของพระวิหารขนาดใหญ่ถึง 9 ห้อง ที่ตั้งอยู่ตรงกลางมีความยาวถึง 49.50 เมตร กว้าง 20.10 เมตร มีมุขยื่นออกมาทั้งสองด้าน พระประธานขนาดใหญ่ที่ชำรุดเสียหายเหลือเพียงฐานด้านหลังพระอุโบสถ ยังมีพระปรางค์องค์ใหญ่สูงถึง 30 เมตร และมีแนวกำแพงแก้วล้อมรอบเขตพุทธาวาสทั้งหมด

ทุกวันนี้วัดโลกยสุธารามมักมีผู้เดินทางมาสักการะพระพุทธไสยาสน์อยู่เสมอ จนกลายเป็นสัญลักษณ์ที่สำคัญของอุทยานประวัติศาสตร์พระนครศรีอยุธยา ยังมีความเชื่อที่แพร่หลายในหมู่ผู้ที่เลื่อมใสศรัทธาว่าการได้มานมัสการพระพุทธไสยาสน์ วัดโลกยสุธารามซึ่งมีพระพักตร์ที่เปี่ยมด้วยเมตตาบารมีแห่งนี้ ถือเป็นดังนิมิตหมายอันดีที่ช่วยส่งเสริมสิริมงคลให้ชีวิต และให้คุณทางด้านเมตตามหานิยมแก่ผู้นั้นด้วย

 

วัดวรเชษฐาราม วันสำคัญที่ถูกลืม

วัดเล็กๆ ที่มีป้ายบอกเล่าเรื่องราวที่ง่ายต่อการเลยผ่านไป แต่หากได้แวะชมที่วัดนี้แล้ว นอกจากที่จะพบกับความร่มรื่นด้วยสถานแห่งธรรมะภายในขอบสีมาธรรมจักรแห่งบวรพุทธศาสนาแล้ว ยังได้แวะหาข้อมูลความรู้เชิงประวัติศาสตร์อันน่าทึ่งอีกด้วย

จากประวัติของวัดเล่าว่าวัดแห่งนี้เป็นวัดสำคัญวัดหนึ่งของกรุงศรีอยุธยา ตั้งอยู่ทางตะวันตกของพระราชวังหลวงและด้านหลังของพระราชวังหลัง ภายในกำแพงเมืองพระนครศรีอยุธยา วัดนี้ตามพระราชพงศาวดารสมเด็จพระเอกาทศรถทรงสร้างขึ้นเมื่อประมาณ พ.ศ. 2136 ซึ่งเป็นวัดที่สมเด็จพระนเรศวรมหาราช พระเชษฐาของสมเด็จพระเจ้าเอกาทศรถได้ยกทัพไปตีเมืองตองอู และขณะเคลื่อนทัพถึงเมืองหางทรงประชวรหนักและเสด็จสวรรคต สมเด็จพระเอกาทศรถจึงโปรดให้อัญเชิญพระศพมายังกรุงศรีอยุธยา และให้แต่งพระเมรุสูงเส้น 17 วา แล้วเสด็จไปถวายพระเพลิงศพให้นิมนต์พระสงฆ์มาร่วมในพิธีจำนวน 1 หมื่นรูป เข้าใจว่าได้ถวายพระเพลิงศพ ณ วัดวรเชษฐารามแห่งนี้

 

ภายในกำแพงวัดประกอบด้วยเจดีย์ประธานทรงลังกาแบบสุโขทัย พระวิหารจำนวน 3 หลังพระอุโบสถ และเจดีย์ย่อมุมขนาดเล็ก 2 องค์ ตั้งอยู่บนฐานเดียวกันเชื่อกันว่าน่าจะมีการบรรจุพระอัฐิของสมเด็จพระนเรศวรมหาราชไว้ภายในเจดีย์องค์ใดองค์หนึ่งภายในวัดนี้

ยังมีเรื่องราวกล่าวถึงวันนี้อีกว่าในสมัยโบราณ วัดวรเชษฐ์ถูกเรียกว่าวัดเจ้าเชษฐ์ ถือเป็นวัดประจำพระองค์พระนเรศวร แต่ที่มาเพี้ยนเป็น วัดวรเชษฐาราม นั้นอนุมานได้ว่าเป็นเพราะภายหลังการถวายพระเพลิงพระบรมศพของสมเด็จพระนเรศวรมหาราชแล้ว

ผู้เฒ่าแม่แก่ชาวกรุงเก่ายังเล่าให้ฟังอีกว่าเคยมีผู้ที่ลงไปในเจดีย์ทรงปรางค์องค์ใหญ่ จะได้พบกับโกศขนาดใหญ่และมีงูเห่าเผือกนอนขดอยู่ใกล้ๆ จากนั้นให้หลังประมาณ 30 ปีก็มีเจ้าหน้าที่กรมศิลปากรลงไปเก็บสมบัติและของมีค่าเพื่อนำไปเก็บไว้ในพิพิธภัณฑ์ ก็พบงูเห่าเผือกที่อยู่เฝ้าโกศขนาดใหญ่นี้เช่นกัน และเมื่อเร็วๆ นี้ที่ผ่านมาที่ได้มีการบวงสรวงเจดีย์เหล่านี้ ก็มีผู้พบงูเห่าเผือกเลื้อยออกมาจากช่องเจดีย์เช่นกัน

 

น่าเสียดายที่วัดแห่งนี้ถูกทอดทิ้งปล่อยให้วัดโบราณที่มีหมู่เจดีย์และเต็มไปด้วยซากปรักหักพังทางประวัติศาสตร์ วิหารที่มีเสมาโบราณที่ควรได้รับการบูรณะปฏิสังขรณ์ จนภายหลังได้มีกรมศิลปากรมาบูรณะจึงได้กลับมามีชีวิตชีวาอีกครั้ง โดยส่วนตัวผมชอบวัดนี้มาก ผนังโบสถ์ดูขลังและงดงามมาก นอกจากนี้ยังมีโอกาสได้กราบนมัสการองค์พระภายในโบสถ์ที่แสดงถึงความสวยงาม รวมถึงองค์พระพุทธรูปด้านนอกที่ตั้งเด่นสง่าท้ากาลเวลา

วัดวรโพธิ์ วัดที่พระเจ้าทรงธรรมเคยผนวช

วัดวรโพธิ์ตั้งอยู่ตรงข้ามกับวัดวรเชษฐ์ เดิมชื่อ วัดระฆัง ใกล้กับวัดโลกยสุธาราม เป็นวัดสำคัญมาแต่อดีตโดยเป็นวัดที่ประทับของพระสังฆราชในสมัยกรุงศรีอยุธยา ไม่ปรากฏหลักฐานการสร้างที่แน่ชัด แต่มีชื่อวัดปรากฏในพงศาวดารว่า พระศรีศิลป์ (ภายหลังได้ปราบดาภิเษกขึ้นเป็น พระเจ้าทรงธรรม) ได้ผนวชที่วัดแห่งนี้ โดยได้สมณศักดิ์เป็น พระพิมลธรรมอนันตปรีชา ต่อมาในสมัย พระเจ้าบรมโกศ ได้มีการปลูกต้นโพธิ์ ซึ่งได้จากเกาะลังกา คราวที่คณะสงฆ์ได้เดินทางไปเผยแผ่พระพุทธศาสนา และได้เปลี่ยนชื่อวัดเป็น วัดวรโพธิ์ นับแต่บัดนั้นเป็นต้นมา

ภายในวัดประกอบด้วย ปรางค์ประธาน มีระเบียงคตล้อมรอบ ปัจจุบันเหลือให้เห็นเฉพาะฐานเท่านั้น ด้านทิศเหนือของปรางค์ประธานยังคงปรากฏซากของอาคาร วิหารและเจดีย์เหลี่ยม ส่วนทางทิศใต้มีพระวิหารสำหรับประดิษฐานรอยพระพุทธบาทตั้งอยู่ซึ่งงดงามมาก อาคารโบราณสถานของวัดทั้งหมด มีกำแพงวัดล้อมรอบอยู่อีกชั้นหนึ่ง และต่างหันหน้าไปทางทิศตะวันออก

 

 

 

 

‘โลหะปราสาท’ พุทธศิลป์สถาปัตย์หัวแหวนแห่งรัตนโกสินทร์

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์โพสต์ทูเดย์

07 มกราคม 2560 เวลา 13:57 น…. อ่านต่อได้ที่ : http://www.posttoday.com/travel/thailand/474327

‘โลหะปราสาท’ พุทธศิลป์สถาปัตย์หัวแหวนแห่งรัตนโกสินทร์

โดย…โสภิตา สว่างเลิศกุล ภาพ… คลังภาพโพสต์ทูเดย์

กรุงเทพมหานครเป็นเมืองที่มีอายุเดินทางมาถึง 235 ปี เข้าไปแล้ว เพราะฉะนั้นทุกพื้นที่ในเขตเมืองเก่าแก่ชั้นใน รวมถึงชั้นนอกก็มีประวัติศาสตร์ที่ยาวนาน เรียกว่าหากจะศึกษาและท่องเที่ยวกันอย่างละเอียดลออคงต้องใช้เวลากันมากมายหลายสิบปีอย่างแน่นอน

ตัวเมืองเก่าของกรุงรัตนโกสินทร์ ที่ได้รับสมญาว่าเป็น “หัวแหวนแห่งรัตนโกสินทร์” มีสถาปัตยกรรมไทยที่มีรูปแบบแปลกไปจากธรรมเนียมประเพณีบนพื้นที่เกาะรัตนโกสินทร์ และมีความสำคัญทางประวัติศาสตร์อย่างมาก นั่นคือ “โลหะปราสาท” มียอดปราสาทประดิษฐานพระบรมสารีริกธาตุ ซึ่งตั้งอยู่ในพื้นที่วัดราชนัดดารามวรวิหาร และอยู่ในบริเวณลานพลับพลามหาเจษฎาบดินทร์

โดยในปี 2555 กรมศิลปากรได้ร่วมกับทางวัดบูรณะมณฑปให้เป็นสีทอง ปัจจุบันเสร็จแล้วเป็นส่วนใหญ่ ซึ่งคาดว่าจะแล้วเสร็จสมบูรณ์ในปี 2560

โลหะปราสาท หมายถึง คฤหาสน์ที่มียอดเป็นโลหะ เป็นชื่อดั้งเดิมของอินเดีย เรียกมาแต่ครั้งพุทธกาล

แนวความคิดของมนุษยชาติที่มีต่อการสร้างสถาปัตยกรรมในศาสนสถานที่ตนนับถือนั้น อุรา สุนทรศารทูล ช่างเอกแห่งกรมโยธาธิการให้ความเห็นว่า ช่างมักมีปรัชญาอย่างเดียวกัน ลักษณะของสถาปัตยกรรมย่อมมีความคล้ายคลึง และมีความสำคัญเท่าเทียมกันด้วย

โลหะปราสาท วัดราชนัดดารามวรวิหาร เป็นพุทธสถานสำคัญ นับเป็นองค์ที่ 3 ของโลก ปัจจุบันเหลืออยู่เพียงแห่งเดียวในประเทศไทย องค์แรกสร้างขึ้นในประเทศอินเดีย องค์ที่ 2 ที่เมืองอนุราธปุระ ประเทศศรีลังกา ซึ่งทั้งสององค์ได้ปรักหักพังสูญสิ้นไปแล้ว

ในประวัติศาสตร์ก็เคยมีการสร้างโลหะปราสาทมาแล้ว 2 หลังด้วยกัน หลังแรกก็คือปราสาทของนางวิสาขา บุตรีของธนัญชัย เศรษฐีแห่งเมืองสาวัตถี ประเทศอินเดีย โดยได้สร้างโลหะปราสาทที่มีชื่อว่า “มิคารมาตุปราสาท” เพื่อถวายเป็นที่อยู่ให้แก่พระสงฆ์ มีลักษณะเป็นปราสาท 2 ชั้น มี 1,000 ห้อง ปัจจุบันโลหะปราสาทหลังนี้หักพังจนไม่เหลือร่องรอยให้เห็นแล้ว

ส่วนโลหะปราสาทหลังที่ 2 ผู้สร้างคือพระเจ้าทุฏฐคามณี กษัตริย์แห่งกรุงอนุราชปุระ ประเทศลังกา ทรงสร้างเมื่อประมาณปี 382 โลหะปราสาทหลังนี้มี 9 ชั้น 1,000 ห้อง หลังคามุงด้วยแผ่นทองแดง ผนังเป็นไม้ประดับด้วยหินมีค่าและงาช้าง สร้างให้พระภิกษุสงฆ์อยู่อาศัยเช่นกัน ภายหลังโลหะปราสาทนี้ได้ถูกไฟไหม้และถูกทำลาย จนตอนนี้เหลือเพียงซากปราสาท แต่ก็ยังเห็นความยิ่งใหญ่ของเสาหินถึงประมาณ 1,600 ต้นด้วยกัน

สำหรับโลหะปราสาท วัดราชนัดดารามวรวิหาร ตั้งอยู่ข้างพระอุโบสถ ถัดไปทางทิศตะวันตก ตรงส่วนที่เป็นศูนย์กลางของพื้นที่ทั้งหมด พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว โปรดให้ช่างออกแบบก่อสร้างเมื่อปี 2389 ตามลักษณะของโลหะปราสาทที่พรรณนาไว้ในหนังสือมหาวงศ์ พงศาวดารลังกา ซึ่งพระเจ้าทุฏฐคามณีอภัย กษัตริย์ลังกาสร้างไว้เมื่อปี 387 โดยมอบหมายให้สมเด็จเจ้าพระยาบรมมหาพิชัยญาติ (ทัต บุนนาค) ขณะยังเป็นพระยาศรีพิพัฒน์รัตนราชโกษา ดำรงตำแหน่งอธิบดีก่อสร้าง ว่าช่างสิบหมู่และช่างศิลา เป็นแม่กองดำเนินการก่อสร้าง การออกแบบก่อนก่อสร้างได้เล่าขานกันว่า พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว โปรดให้ช่างเดินทางไปดูแบบโลหะปราสาท ณ ลังการประเทศด้วย โดยนำเค้าเดิมมาเป็นแบบ แล้วปรับปรุงให้เป็นสถาปัตยกรรมตามลักษณะศิลปกรรมไทย

แผนผังรูปสี่เหลี่ยมจัตุรัสตามโลหะปราสาทที่เมืองลังการ ส่วนลักษณะสถาปัตยกรรมนั้น สร้างตามแบบศิลปกรรมไทย ฐานกว้างด้านละ 23 วา เป็นอาคาร 7 ชั้น ลดหลั่นกันขึ้น อาคารชั้นล่างชั้นที่ 3 และชั้นที่ 5 จะเป็นคูหาและระเบียงรอบ ในชั้นที่ 2 ชั้นที่ 4 ชั้นที่ 6 ทำเป็นคูหาจตุรมุขมียอดเป็นบุษบกชั้นละ 12 ยอด และชั้นที่ 7 เป็นยอดปราสาทจตุรมุขสำหรับประดิษฐานพระบรมธาตุ รวมเป็น 37 ยอด หมายถึงหลักธรรมในพระพุทธศาสนา 37 ประการ ที่เป็นปัจจัยให้ดำเนินไปสู่ความหลุดพ้นเข้าสู่ดินแดนพระนิพพาน ที่เรียกว่า “โพธิปักขิยธรรม 37 ประการ” การขึ้นสู่โลหะปราสาทแต่ละชั้น จะมีบันไดวนตั้งอยู่ใจกลางของอาคาร โดยตั้งซุงขนาดใหญ่ยึดเป็นแม่บันได

โลหะปราสาท ได้รับการปรับปรุงหลายครั้ง ภายหลังก่อสร้างขึ้นตามพระราชดำริของพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว แต่ภายหลังพระองค์สวรรคตลง โลหะปราสาทก็มิได้ปรับปรุงแล้วเสร็จ จนกระทั่งได้บูรณะครั้งใหญ่จนแล้วเสร็จในสมัยพระราชปัญญาโสภณ (สุข ปุญญรํสี) ปี 2506 โดยมี จอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ นายกรัฐมนตรีในขณะนั้น ได้ร่วมกันปรับปรุงแล้วเสร็จ เป็นแบบก่อโบกปูนสีแดง มณฑปทาสีขาว และเมื่อปี 2525 ครั้งสมโภชกรุงรัตนโกสินทร์ 200 ปี โลหะปราสาทได้รับการตกแต่งให้สง่างามอีกครั้งหนึ่ง

ครั้งเมื่อปี 2530 มีการจัดงานเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว ครบ 200 ปีวันพระราชสมภพ ได้มีการสร้างพระบรมราชานุสาวรีย์พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวและพลับพลามหาเจษฎาบดินทร์ ได้มีการรื้อถอนอาคารหรือโรงภาพยนตร์ศาลาเฉลิมไทยที่บดบังโลหะปราสาทอยู่เป็นเวลานานออก โลหะปราสาทจึงปรากฏให้เห็นความงามสง่าเด่นชัดอยู่ท่ามกลางสถาปัตยกรรมไทยของวัดราชนัดดารามวรวิหาร

ในปี 2539 พล.อ.ต.อาวุธ เงินชูกลิ่นศิลปินแห่งชาติสาขาสถาปัตยกรรม (ในเวลาต่อมา) ได้ออกแบบวัสดุมุงและเครื่องประดับหลังคาเป็นโลหะและทองแดงรมดำ ทำให้ออกมาเป็นสีดำ ก่อนที่จะบูรณะมณฑปให้เป็นสีทองในปัจจุบัน

สามารถเข้าชมโลหะปราสาทได้ตั้งแต่เวลา 09.00-17.00 น. มีรถโดยสารประจำทาง สาย 2 5 12 15 35 39 503 511 512 หรือจะนั่งเรือโดยสาร (คลองแสนแสบ) มาลงท่าเรือผ่านฟ้าลีลาศ

 

เดินชิลเสพงานศิลปะเก๋ๆ ARTBOX At Chatuchuk

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์โพสต์ทูเดย์

07 มกราคม 2560 เวลา 13:53 น…. อ่านต่อได้ที่ : http://www.posttoday.com/travel/thailand/474326

เดินชิลเสพงานศิลปะเก๋ๆ ARTBOX At Chatuchuk

โดย…

ใครชื่นชอบงานศิลปะและงานแฮนด์เมดเก๋ๆ ขอแนะนำให้ไป ARTBOX ที่หลายคนตั้งตาคอย คราวนี้มายึดโลเกชั่นแถวสวนจตุจักร จึงใช้ชื่อว่า ARTBOX At Chatuchuk เริ่มเปิดตั้งแต่ปลายเดือน ก.ย.ปีที่แล้ว

ครั้งนี้ ARTBOX At Chatuchuk ขยายเวลาเดินชิลให้เร็วกว่าเดิมราวเที่ยงๆ บ่ายๆ ก็สามารถไปเดินเที่ยวเล่นได้จนถึง 5 ทุ่ม เปิดเฉพาะวันศุกร์ เสาร์ และอาทิตย์เท่านั้น คาดว่าจะมีไปถึงปลายเดือน เม.ย.นู้น

ตลาดแห่งนี้แบ่งโซนออกเป็นร้านอาหารสมัยใหม่ คือ โซน Food Truck ที่จะมีเวทีคอนเสิร์ตให้ดื่มด่ำกับเสียงเพลงเพราะๆ ด้วย นอกจากนี้ยังมี Street Art ที่กระจายอยู่ตามจุดต่างๆ อีกด้วย

 

ที่น่าสนใจสำหรับหญิงสาวและคนที่มาเป็นครอบครัว คือ โซนแฟชั่นที่มีขายตั้งแต่กระเป๋า รองเท้า หมวก เครื่องประดับ เคสโทรศัพท์มือถือเก๋ๆ มากมาย และอีกจุดที่ดึงดูดใจสำหรับคนรักงานศิลปะ คือ มุมวาดภาพอาร์ตสวยๆ โดยนักวาดส่วนใหญ่มาจากรั้วศิลปากร เช่น บูธของ ขนุน-ศิริพรศรีศุภวิชากิจ วัย 19 ปี นักศึกษาคณะมัณฑนศิลป์ เอกออกแบบตกแต่งภายใน ให้บริการวาดภาพสีน้ำเป็นภาพวิวและพอร์ตเทรต ราคาย่อมเยาแต่ฝีมือใช้ได้เลย คือ ภาพเดี่ยว 180 บาท ภาพคู่ 300 บาท ภาพ 3 คน 400 บาท หากใครจองคิววาดภาพของเธอก่อนในเฟซบุ๊กหรือไลน์ส่วนตัว ก็สามารถเอารูปที่คุณต้องการวาดมาให้เธอวาดได้เลยที่ไลน์ไอดี k-kanun หรือทางเฟซบุ๊ก kanun srisupavichakit จะได้เป็นคิวแรกๆ แล้วเดินต่อไปเที่ยวหลังจากนั้นครึ่งชั่วโมงสามารถมารับภาพสวยๆ ไปได้เลย

เช่นเดียวกับนักวาดภาพ นันท์-กุลนันท์ โอภาสสถาพร วัย 19 ปี นักศึกษามหาวิทยาลัยศิลปากร คณะนิเทศศิลป์ สาขาออกแบบ ภาพที่นันท์ถนัดวาดคือภาพประกอบ หรือภาพการ์ตูนมีคาแรกเตอร์ นันท์มีบริการส่งภาพทางไปรษณีย์ด้วยหากส่งธรรมดาคิดค่าบริการ 30 บาท ส่งทางอีเอ็มเอส 50 บาท หากใครอยากได้ภาพเร็วสามารถไปจองคิวและส่งภาพที่ต้องการให้วาดผ่านทางไอดีไลน์ nun_3004 หรือทางไอจี : nunnlk ได้เลย

สำหรับการเดินทางมา ARTBOX At Chatuchuk ก็ง่ายสะดวกสบายด้วยการเดินทางด้วยรถไฟฟ้า MRT กำแพงเพชร ทางออกที่ 1 เดินต่อไปอีกนิดก็จะเจอ สังเกตง่ายๆ คือมีบอลลูนสีขาวสกรีน ARTBOX ลอยอยู่บนฟ้ารับรองเห็นง่ายแต่ไกล

 

 

ใกล้ภูเขาเคียงทะเล เซ็นทรา ภูพาโน รีสอร์ท กระบี่

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์โพสต์ทูเดย์

07 มกราคม 2560 เวลา 13:28 น…. อ่านต่อได้ที่ : http://www.posttoday.com/travel/thailand/474316

ใกล้ภูเขาเคียงทะเล เซ็นทรา ภูพาโน รีสอร์ท กระบี่

โดย…นิทรา ราตรี ภาพ… เสกสรร โรจนเมธากุล

เขาหินปูนทอดยาวเป็นภาพพาโนรามาขนานกับโรงแรม เซ็นทรา บาย เซ็นทารา ภูพาโน รีสอร์ท กระบี่ โรงแรมน้องใหม่ใกล้อ่าวนางที่สร้างบรรยากาศแบบใหม่ ด้วยการเอาใจคนรักภูเขาและหลงทะเล

เซ็นทรา ภูพาโน ตกแต่งสไตล์ไทยร่วมสมัยโดยนำตัวละครหนุมาน จากเรื่องรามเกียรติ์มาดัดแปลงให้เป็นภาพและกราฟฟิก ประดับตกแต่งตั้งแต่ล็อบบี้ไปจนถึงห้องพักทั้งหมด 158 ห้อง ประกอบด้วย ห้องเซ็นทรา สุพีเรียร์ ขนาด 24 ตร.ม. พร้อมระเบียงชมวิวเมือง ห้องเซ็นทรา สุพีเรียร์ พูลวิว ขนาดเดียวกันกับประเภทแรก แต่ได้วิวภูเขาพาโน สระว่ายน้ำ และทะเลอ่าวนางจากมุมไกล และห้องเซ็นทรา แฟมิลี่ เรสซิเดนซ์ ขนาด 49 ตร.ม. มี 9 ห้อง สำหรับการเข้าพักแบบครอบครัว ด้วยห้องนอนใหญ่แยกต่างหากกับห้องนั่งเล่น พร้อมเตียงสองชั้นสำหรับเด็กๆ จุผู้ใหญ่ได้ถึง 3 คน และเด็กอีก 2 คน

 

ห้องอาหารมีให้บริการริมสระว่ายน้ำที่มิกซ์ บิสโทร เปิดให้บริการตลอดวันตั้งแต่อาหารเช้าไปจนถึงเวลา 23.00 น. เสิร์ฟทั้งอาหารไทย อาหารนานาชาติ ของหวาน ชา กาแฟ และเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ โดยจะไม่มีบาร์ชัดเจนเพื่อเคารพต่อชุมชนอิสลามที่อยู่โดยรอบ และผู้เข้าพักยังสามารถสั่งไปรับประทานในห้องส่วนตัวได้ (In-Room Dining) โดยจะบริการในห้องพักทุกประเภท

สำหรับสระว่ายน้ำมีทั้งสระผู้ใหญ่และสระเด็ก พร้อมเก้าอี้อาบแดดที่หันหน้าไปยังภูเขาพาโน นอกจากนี้โรงแรมยังมีสิ่งอำนวยความสะดวกอื่นๆ ทั้งฟิตเนส ห้องประชุมและสัมมนา รถชัตเติลบัสไป-กลับจากโรงแรมและอ่าวนางจักรยานให้เช่า และอินเทอร์เน็ตไว-ไฟฟรีทั่วโรงแรม

 

กลุ่มประชุมและสัมมนา ทางโรงแรมมีห้องประชุม 2 ห้อง ได้แก่ ห้องหนุมาน รองรับเฉพาะการประชุมขนาดเล็กไม่เกิน 14 คน และห้องรามา ขนาด 163 ตร.ม. รองรับการประชุมแบบเธียเตอร์ได้ถึง 160 คน ทำให้เซ็นทรา ภูพาโน ตอบโจทย์ทั้งกลุ่มองค์กร ครอบครัว กลุ่มเพื่อน และคู่รัก ที่ต้องการช่วงเวลาอันเป็นส่วนตัวในย่านอ่าวนาง ซึ่งเป็นทำเลที่สะดวกสบาย ท่องเที่ยวได้ และจะได้รับประสบการณ์ใหม่กับวิวภูเขาพาโน

Price: เซ็นทรา ซูพีเรียร์ ราคาเริ่มต้นที่ 2,340 บ. เซ็นทรา ซูพีเรียร์ พูลวิว 2,520 บ. และเซ็นทรา แฟมิลี่ เรซสิเดนซ์ 3,420 บ. ทั้งนี้ราคาจะเปลี่ยนแปลงไปในแต่ละวัน

Place: อยู่ห่างจากอ่าวนางประมาณ 5 นาที โทร. 075-607-888-9 เว็บไซต์ www.chr.co.th

Promotion: –

 

โกลเด้นไทม์

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์โพสต์ทูเดย์

31 ธันวาคม 2559 เวลา 09:54 น…. อ่านต่อได้ที่ : http://www.posttoday.com/travel/thailand/473205

โกลเด้นไทม์

โดย…ภัทรชัย ปรีชาพานิช

ฤดูหนาว นอกจากอากาศที่สดชื่นเย็นสบายแล้ว ดอกไม้หลายๆ พื้นที่ ยังพร้อมใจกันผลิบานให้ชื่นชม นับเป็น “โกลเด้น ไทม์” หรือช่วงเวลาสำคัญของเหล่าช่างภาพ ที่จะออกมาเก็บเกี่ยวความสวยงามของดอกไม้และแสงยามเช้าของฤดูหนาว การเฝ้าสังเกตลักษณะดอกไม้ และช่วงเวลาของการถ่ายรูปเป็นหัวใจสำคัญของการถ่ายภาพ

เพียงไม่กี่ชั่วโมงจากกรุงเทพฯ สู่สวนดอกไม้นานาพรรณสีสันสดใส ที่ “ฟ้าประทาน ฟลอร่า พาร์ค” อ.วังน้ำเขียว จ.นครราชสีมา ครั้งนี้ผมตั้งใจเดินทางมาถึงสถานที่แต่เช้าตรู่ เพื่อรอแสงยามเช้า และทันทีที่พระอาทิตย์พ้นขอบฟ้าแสงสีส้มเริ่มฉาบท้องฟ้า ตัดกับทิวเขาสีเข้ม และสีสันของเหล่าดอกไม้ก็เริ่มสดใสขึ้นทีละน้อย

ความตื่นเต้นของผู้คนรอบตัว เมื่อยกโทรศัพท์มาเก็บภาพความสวยงามของดอกไม้ ทำให้ผมเผลอยิ้มให้หลายครั้ง จริงๆ แล้ว การมองโลกเป็นอะไรที่ง่ายดาย ตราบใดที่เรายังรู้สึกมีความสุขกับสิ่งที่เห็น

 

 

Village to the World ซีเอสอาร์เอื้อการท่องเที่ยว

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์โพสต์ทูเดย์

28 ธันวาคม 2559 เวลา 11:52 น…. อ่านต่อได้ที่ : http://www.posttoday.com/travel/thailand/472604

Village to the World ซีเอสอาร์เอื้อการท่องเที่ยว

โดย…กาญจนา อายุวัฒน์ธนชัย

การส่งเสริมท่องเที่ยวชุมชนให้ประสบความสำเร็จเป็นโจทย์ที่ท้าทายอย่างมาก เพราะประเทศไทยมีชุมชนท่องเที่ยวหลายร้อยชุมชน แต่ละชุมชนมีศักยภาพและอัตลักษณ์ทางการท่องเที่ยวแตกต่างกันไป ซึ่งถ้าเป็นชุมชนที่มีทรัพยากรธรรมชาติ เช่น ทะเล น้ำตก เป็นจุดขาย การส่งเสริมให้คนเข้าไปท่องเที่ยวในชุมชนก็จะไม่ใช่เรื่องยาก คำถามคือ แล้วถ้าเป็นชุมชนที่ไม่มีแหล่งท่องเที่ยวที่ดึงดูดใจ ชุมชนเหล่านั้นจะทำอย่างไร

จากโจทย์ที่ท้าทายนี้ การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) ได้จับมือกับ 9 หน่วยงานพันธมิตร จัดทำโครงการ Village to the World มีภารกิจที่เรียกว่า ปฏิบัติการเพิ่มมูลค่า ยกระดับท่องเที่ยวชุมชน โดยมีเป้าหมายเพื่อสร้างนวัตกรรมทางการท่องเที่ยวรูปแบบใหม่ๆ ให้กับชุมชน เปลี่ยนมุมการนำเสนอจาก Attraction based เป็น Activity based กล่าวคือ ไม่ผูกติดกับแหล่งท่องเที่ยวธรรมชาติ แต่นำเสนอเรื่องราวของกิจกรรมการเรียนรู้ และแลกเปลี่ยนประสบการณ์ในชุมชน ซึ่งเป็นการสร้างมูลค่าเพิ่มด้านการท่องเที่ยว ขยายตลาดนักท่องเที่ยวกลุ่มใหม่ๆ สร้างโอกาสให้ชุมชนมีช่องทางตลาดที่จะหารายได้เพิ่มจากการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน

การทำงานในเรื่องของการท่องเที่ยวชุมชนมานาน ททท.พบว่า ชุมชนส่วนใหญ่ไม่เหมาะกับนักท่องเที่ยวอิสระ หรือ FIT ที่จะเดินเข้าไปเที่ยวเมื่อไหร่ เวลาไหนก็ได้ เพราะชุมชนไม่ได้มีแหล่งท่องเที่ยวไว้พร้อมขาย แต่ชุมชนจะขายกิจกรรมต่างๆ ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของวิถีชีวิต ดังนั้นการจะสร้างสินค้าท่องเที่ยวชุมชนจึงต้องดูบริบทในชุมชนว่ามีศักยภาพที่จะขายในมิติไหน ขายให้กับใคร กลุ่มเป้าหมายคนที่ชอบท่องเที่ยวชุมชนไม่ใช่กลุ่มแมส (Mass) แต่เป็นนิชมาร์เก็ต (Niche market) ที่ถึงแม้ว่าจะหายาก แต่ถ้าหาเจอกลุ่มคนที่ใช่ ก็จะเป็นตลาดที่ยั่งยืนของชุมชน

 

กลุ่มเป้าหมายที่ “ใช่” สำหรับการท่องเที่ยวชุมชน คือ กลุ่มองค์กร (Corporate) เพราะจากการที่กลุ่มองค์กรและบริษัทต่างๆ มีการจัดกิจกรรมพาพนักงานไปเที่ยวประจำปี (Outing) และเทรนด์ที่องค์กรต่างๆ ต้องการผนวกกิจกรรมเพื่อสังคม (CSR) จิตอาสาให้พนักงานได้บำเพ็ญประโยชน์ จากโจทย์นี้ ททท.จึงได้วางกรอบแนวทางในการทำงานพร้อมทั้งทำการสำรวจความต้องการของกลุ่มองค์กร เพื่อค้นหาข้อมูลเชิงลึกเพื่อนำไปพัฒนาสร้างนวัตกรรมท่องเที่ยวชุมชนที่ตอบโจทย์กลุ่มองค์กร

ยุทธศักดิ์ สุภสร ผู้ว่าการ ททท. กล่าวว่า โครงการวิลเลจ ทู เดอะ เวิลด์ เป็นโครงการที่จัดขึ้นตามยุทธศาสตร์สานพลังประชารัฐเพื่อสร้างความเข้มแข็งให้กับชุมชน โดยมีเป้าหมายเพื่อสร้างนวัตกรรมทางการท่องเที่ยวใหม่ให้เหมาะสมกับศักยภาพและอัตลักษณ์ของแต่ละชุมชน ช่วยเพิ่มโอกาสทางการตลาดให้ชุมชนสามารถสร้างรายได้จากการท่องเที่ยวชุมชนได้อย่างยั่งยืน โดยในปีนี้ทางโครงการเปิดตัวโปรแกรมแรกภายใต้ชื่อ MEET IN THE VILLAGE #Best CSR Outing Ever เป็นโปรแกรมท่องเที่ยวรูปแบบ CSR Outing สำหรับตลาดกลุ่มองค์กร (Corporate) โดยนำอัตลักษณ์ เอกลักษณ์ ที่มีอยู่เดิมของชุมชนนำมาสร้างสรรค์ต่อยอดพัฒนาใหม่ให้เป็นโปรแกรมท่องเที่ยวใหม่สำหรับลูกค้าองค์กรในรูปแบบ CSR Outing ที่รับรองได้ว่าจะเป็นประสบการณ์สุดพิเศษที่จะทำให้ทุกองค์กรสนุกสนานกับอัตลักษณ์และเสน่ห์ของวิถีชุมชนที่หลากหลาย และที่สำคัญทุกคนในองค์กรจะมีความสุขที่ได้แบ่งปัน และทำกิจกรรมอาสา CSR ที่เป็นประโยชน์กับชุมชน

โดยในปี 2559 ทางโครงการได้คัดเลือก 10 ชุมชน ที่มีรายได้ต่อปีต่ำกว่า 1 ล้านบาท เป็นชุมชนท่องเที่ยวขนาดเล็กที่ยังไม่เป็นที่รู้จักมาก และไม่มีจุดขายด้านแหล่งท่องเที่ยว (Attraction) แต่มีศักยภาพด้านกิจกรรมทางศิลปวัฒนธรรม และวิถีชีวิตในชุมชนที่สามารถต่อยอดได้ (Activity based) ได้แก่ ภาคเหนือ 3 ชุมชน ภาคอีสาน 2 ชุมชน ภาคกลาง 3 ชุมชน ภาคใต้ 2 ชุมชน ดังนี้ ชุมชนบ้านไร่กองขิง จ.เชียงใหม่ ชุมชนเมืองเก่า จ.สุโขทัย ชุมชนพระบาทห้วยต้ม จ.ลำพูน ชุมชนกู่กาสิงห์ จ.ร้อยเอ็ด ชุมชนบ้านโคกโก่ง จ.กาฬสินธุ์ ชุมชนบ้านดงเย็น จ.สุพรรณบุรี ชุมชนบ้านถ้ำเสือโฮมสเตย์ จ.เพชรบุรี ชุมชนบ้านริมคลองโฮมสเตย์ จ.สมุทรสงคราม ชุมชนลีเล็ด จ.สุราษฎร์ธานี และชุมชนวิสาหกิจราไวย์ จ.ภูเก็ต

นพดล ภาคพรต รองผู้ว่าการด้านสินค้าและธุรกิจท่องเที่ยว ททท. กล่าวว่า ทางโครงการได้ร่วมกับสำนักงานส่งเสริมการจัดประชุมและนิทรรศการ (องค์การมหาชน) และสมาคมผู้ประกอบการนำเที่ยวไทย หรือ สนท. เชิญบริษัทจัดทัวร์ บริษัทจัดสัมมนาสำหรับองค์กรชั้นนำของไทย เพื่อมาร่วมขยายผลช่วยทำตลาดขายโปรแกรมท่องเที่ยว CSR Outing ให้กับลูกค้าองค์กรทั้งในและต่างประเทศ โดยทางโครงการตั้งเป้าว่าโมเดลท่องเที่ยว CSR Outing นี้จะสามารถสร้างรายได้ 1 ล้านบาท/ชุมชน ภายในปี 2560 และเป้าหมายสูงสุดของโครงการวิลเลจ ทู เดอะ เวิลด์ คือ การสร้างคุณค่าและมูลค่าเพิ่มทางการท่องเที่ยวรูปแบบใหม่ๆ ให้ชุมชน สร้างโอกาสให้ชุมชนมีช่องทางที่จะหารายได้เพิ่ม เพราะการท่องเที่ยวเป็นเครื่องมือที่จะช่วยให้ชุมชนเข้มแข็งและสามารถพึ่งพาตัวเองได้ยั่งยืนต่อไป

นอกจากนี้ ทางโครงการยังได้เชิญซีอีโอชื่อดังให้ร่วมเชิญชวนไป Outing ในชุมชนด้วย เช่น ดร.วีรพงศ์ ไชยเพิ่ม ผู้ว่าการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย กล่าวว่า “ลำพูน แม้จะเป็นจังหวัดเล็กๆ แต่ก็เป็นแผ่นดินประวัติศาสตร์ล้านนามาอย่างยาวนาน ในฐานะดินแดนแห่งพระพุทธศาสนาที่มีความเจริญรุ่งเรืองมากว่า 600 ปี ทำให้ลำพูนมีความหลากหลายทางวัฒนธรรม และวิถีชีวิตความเป็นอยู่ของผู้คนที่น่าสนใจ โดยเฉพาะที่ชุมชนพระบาทห้วยต้ม เป็นชุมชนชาวปะเกอกะเญอที่ศรัทธาในพุทธศาสนาอย่างมาก ผู้คนในชุมชนถือศีลห้า และกินมังสวิรัติ ผมคิดว่าบริษัทที่มีผู้บริหารและพนักงานชอบเข้าวัด ทำบุญ เสริมมงคลชีวิต เรียกได้ว่าเป็นแนวสายบุญจะต้องชอบที่นี่แน่นอน”

ด้าน พุฒิพงศ์ ปราสาททองโอสถ กรรมการผู้อำนวยการใหญ่ บริษัท การบินกรุงเทพ กล่าวว่า “ตอนนี้สิ้นปีแล้ว ถ้า Corporate ไหนกำลังวางแผนพาพนักงานไป Outing ผมขอนำเสนอชุมชนเมืองเก่าสุโขทัย จ.สุโขทัย มีประวัติศาสตร์ อารยธรรมยาวนาน มีเรื่องเล่าสถานที่ อาหารท้องถิ่นสุโขทัยก็อร่อยมากๆ กรุงเทพฯ-สุโขทัย ชั่วโมงเดียวถึงนะครับ นั่งรถเมื่อย ไปทางเครื่องบินครับ เราทำสิ่งที่ทำให้ชุมชนยืนอยู่ได้อย่างยั่งยืน สิ่งดีๆ ของสุโขทัยมีมากมาย นอกจากสถานที่ซึ่งอยู่ในบริเวณประวัติศาสตร์ สุโขทัยชนะเลิศทั้งโบราณสถาน ชาวบ้านมีกิจกรรมวัฒนธรรมที่เป็น Signature ของสุโขทัยให้แข่งประลองฝีมือ มี Photo scenery สวยมากๆ ให้ถ่ายรูป และก็อย่าลืมพาพนักงานไปนั่งรถคอกหมูสุโขทัยกันนะครับ”

 

ยุทธศักดิ์ กล่าวสรุปว่า ขอเรียนเชิญทุกองค์กรร่วมเป็นส่วนหนึ่งในการสานพลังประชารัฐเพื่อสร้างความเข้มแข็งให้กับชุมชน ด้วยการไปจัดกิจกรรมซีเอสอาร์ เอาต์ติ้ง (CSR Outing) เพราะการที่แต่ละองค์กรเข้าไปเที่ยวทำกิจกรรมในชุมชน เท่ากับเป็นการทำ CSR ช่วยเหลือชุมชน เพราะชุมชนนำรายได้ไปพัฒนาในด้านต่างๆ สร้างความเข้มแข็งและยั่งยืน

ทั้งนี้ ชุมชนจะได้รับประโยชน์จากโครงการ Village to the World โดยจะได้สินค้าท่องเที่ยวรูปแบบใหม่แบบ CSR Outing ไว้เสนอขายสำหรับกลุ่มเป้าหมายใหม่คือกลุ่มนักท่องเที่ยวองค์กร ซึ่งเป็นสินค้าที่ขายได้ตลอดไม่มีข้อจำกัดเรื่องฤดูกาล โปรแกรมท่องเที่ยวรูปแบบ CSR Outing จะทำให้ชุมชนมีรายได้เพิ่มขึ้นประมาณ 5 เท่า จากการท่องเที่ยวรูปแบบเดิมๆ ที่ชุมชนเคยได้รับ และชุมชนจะได้รับโอกาสที่ดีมาก ที่จะได้พบกับกลุ่มผู้บริหารองค์กรบริษัทต่างๆ ที่มาเที่ยวและทำกิจกรรมในชุมชน ซึ่งถ้าหากชุมชนได้แสดงให้เห็นถึงความตั้งใจดี ความมุ่งมั่นที่จะพัฒนาชุมชนอย่างเข้มแข็ง เชื่อได้ว่ากลุ่มองค์กรเหล่านั้นก็ยินดีที่จะมาช่วยชุมชนพัฒนาต่อยอดในด้านต่างๆ ต่อไป

หน่วยงานใดที่สนใจ CSR Outing สามารถสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ ธันยพร ศิรประภาเดโช โทร. 09-4842-4545 นันท์ดาภัทร ธนสุคนธสิทธิ์ โทร. 06-4242-3555 อิชย์ชญา ธีราทรง โทร. 08-1354-5827

 

ท่องโลกทั้งใบในวันเดียว @สแตนลีย์ มินิเวนเจอร์

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์โพสต์ทูเดย์

25 ธันวาคม 2559 เวลา 09:49 น…. อ่านต่อได้ที่ : http://www.posttoday.com/travel/thailand/472101

ท่องโลกทั้งใบในวันเดียว @สแตนลีย์ มินิเวนเจอร์

โดย…สมแขก

เพิ่งเปิดตัวไปสดๆ ร้อนๆ สำหรับเมืองจำลองฝีมือคนไทยที่ใหญ่ที่สุดในเอเชีย และใหญ่เป็นอันดับ 3 ของโลก บนพื้นที่กว่า 1,500 ตารางเมตร เมืองจำลอง “สแตนลีย์ มินิเวนเจอร์” ย่อโลกทั้งใบในสัดส่วน 1:87 เกิดจากความมุ่งมั่นและตั้งใจและงบประมาณกว่า 100 ล้านบาท เพื่อสร้างให้สถานที่แห่งนี้เป็นสถานที่ท่องเที่ยวใจกลางกรุงที่จะเปิดมุมมองความคิดสร้างสรรค์ จินตนาการให้คนทุกเพศทุกวัย ก่อตั้งโดยคนไทยและใช้ช่างฝีมือชาวไทยในการสร้างสรรค์งานทุกขั้นตอน ภายใต้คอนเซ็ปต์ “Perspective of Happiness and TO be Little Again” เหมือนเราได้กลับไปเป็นเด็กอีกครั้ง

จุดเด่นของสแตนลีย์ มินิเวนเจอร์ คือขั้นตอนการคิดและการสร้างชิ้นงานจริงเกิดจากทีมงานชาวไทยกว่า 20  ชีวิต ที่ใช้เวลาศึกษาดูงาน และทำงานต่อเนื่องมากว่า 3 ปี จนออกมาเป็นเมืองจำลองที่มีชีวิตทั้ง 11 โซน โดยรวบรวมพัฒนาการของมนุษย์ในแต่ละห้วงเวลา สะท้อนผ่านภาพหลากหลายมุมมอง เช่น วิวัฒนาการของโลก สิ่งแวดล้อมในโลกของเรา ตลอดจนการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นจนถึงปัจจุบัน สำหรับ 11 โซนแห่งความสุขและความมหัศจรรย์ ประกอบด้วย

โซน11 Very Thai เมืองไท๊ยไทย

 

โซนที่ 1 เมืองแห่งทรัพยากร ต้นกำเนิดชีวิต (Resource Town) เมืองนี้รวบรวมทรัพยากรต่างๆ ที่จำเป็นต่อโลกมาไว้ในเมืองนี้ ไฮไลต์เด็ดของโซนนี้คือเขื่อน Hoover Dam จำลองที่ได้รับการรับรองว่าเป็นที่สุดของวิศวกรรมโลก นอกจากนี้ยังมีเหมืองแร่ดีบุกที่นำมาแปรรูปเป็นของใช้ ทั้งพลาสติก จาน ชาม และอีกมากมาย รวมทั้งโซนก่อสร้างที่จำลองให้เห็นถึงขั้นตอนการทำงานของช่างก่อสร้าง และเหมืองแร่ทองคำ โซนที่ 2 เมืองแห่งเกษตรกรรมและปศุสัตว์ (Organic Farm) เมื่อค้นพบทรัพยากรธรรมชาติแล้ว เราก็ต้องนำมาใช้ประโยชน์ สแตนลีย์ มินิเวนเจอร์ จะพาคุณก้าวเข้าสู่ความอบอุ่นและเป็นธรรมชาติ ด้วยการเติมพื้นที่ด้วยสีเขียว อุดมไปด้วยต้นไม้และทุ่งหญ้า ไลฟ์สไตล์ของคนในเมืองนี้แสนจะเรียบง่ายและพึ่งพาธรรมชาติ ไม่ว่าจะเป็นการปลูกสวนผัก-ผลไม้ ฟาร์มสัตว์ และไฟฟ้าที่ได้จากแรงลม

เมืองแห่งเรื่องราวและประวัติศาสตร์ (Residential and Historical Town) อยู่ในโซนที่ 3 เข้าถึงตัวเมืองมากขึ้น แบ่งได้เป็นสองรูปแบบ คือเมืองอเมริกาและยุโรป ฝั่งแรกที่เป็นอเมริกาเป็นภาพของเมืองที่แข็งแรง สะท้อนออกมาจากดีไซน์ที่เรียบง่ายไม่หวือหวา ซึ่งจากโซนยุโรปที่เน้นความวิจิตร มีจุดเด่นที่รูปแบบสถาปัตยกรรม หน้าต่าง ประตู และการจัดผังเมืองที่เน้นความโรแมนติก และไม่หยุดนิ่งในโซนที่ 4 เมืองแห่งความหรรษาและบันเทิง (Transportation and Entertainment) เมืองนี้ต้องยกให้รถไฟเป็นพระเอก ไฮไลต์ที่จะได้เห็นคือ Round House ซึ่งเป็นโกดังเก็บรถไฟที่หาชมยาก จากนั้นก็มาถึงฝั่งของความบันเทิงที่จะได้เห็นสวนสนุก คอนเสิร์ต และไฮไลต์อีกอย่างหนึ่งคือสนามฟุตบอลขนาดใหญ่ที่เราย่อส่วนมาให้ได้ชม

โซน7 Cave ถ้ำกาลเวลา

 

สำหรับโซนที่ 5 ที่เรียกว่าเมืองแห่งทะเลทราย (Desert) เราจะเห็นการเดินทางของคาราวานพ่อค้ากลางทะเลทราย ไฮไลต์คือโอเอซิสจำลอง นอกจากนั้นยังตื่นตาตื่นใจไปกับสวนสัตว์ ไม่ว่าจะเป็น ม้าลาย ฮิปโปโปเตมัส ยีราฟ หมีโคอาลา ฯลฯ และสุดท้ายกับมิวเซียมไดโนเสาร์หลากหลายสายพันธุ์ มาถึงโซนที่ 6 เมืองแห่งท้องทะเล (Beach) หาดทรายและทะเลสีมรกตที่เรียกร้องให้เราอยากไป และภาพเรือเก่าแก่ที่จมอยู่ใต้ทะเลลึกร้องเรียกให้คุณส่องดูด้านในเพื่อหาสมบัติที่ซ่อนอยู่คือไฮไลต์ของจุดนี้ ขยับมาที่ถ้ำแห่งกาลเวลา (Cave) ในโซนที่ 7 เราจะได้เห็นสิ่งที่ไม่คาดว่าจะได้เห็นแต่เจอได้ที่ถ้ำแห่งนี้  หรือว่าจะเป็นต้นถั่วและต้นไม้ยักษ์ที่ประหนึ่งว่าหลุดมาจากเทพนิยาย ไดโนเสาร์สัตว์ยุคกำเนิดโลก ค้างคาวที่นอนห้อยหัว มังกรพ่นไฟ การทำรังของนกนางแอ่น

ต่อเนื่องมาที่ โซนที่ 8 เมืองท่าสีขาว (Port) เมืองท่าที่มีหิมะปกคลุมทั่ว คุณจะได้เห็นความน่ารักของสัตว์ขั้วโลก เช่น เพนกวิน หมีโพลาร์ นอกจากนั้นยังมีกระเช้าลอยฟ้าขยับได้จริง และเครนยกคอนเทนเนอร์ที่ทำงานเสมือนจริงร่วมกับเรือขนสินค้าขนาดใหญ่ โซนที่ 9 เป็นสนามบินไร้ขอบฟ้า (Airport) แสดงถึงการเดินทาง คุณจะได้เห็นถึงฉากโรแมนติก ภาพการจากไปของคู่รัก หรือจะเป็นการจากลาของพ่อแม่ลูกที่ลูกไปเรียนต่อยังต่างประเทศ ความซาบซึ้งทั้งหมดถูกรวบรวมไว้ และยังได้เห็นความอลังการของการ Take Off และ Landing ของเครื่องบินมากกว่า 30 ลำ รวมไปถึงเครื่องบินเจ็ตของทหาร สมจริงและตระการตา

โซน8 Port เมืองท่าสีขาว

 

ขยับเข้าใจกลางเมืองก้าวสู่ความเจริญรุ่งเรืองในโซนที่ 10 ย่านธุรกิจ (CBD) ในโซนนี้จะเต็มไปด้วยตึกระฟ้าที่มีชื่อเสียงในโลก ไม่ว่าจะเป็น Chrysler Building, Oakland Tower, Empire State, World Financial Center, Metlife Building ฯลฯ แต่ท่ามกลางความเจริญก็มีมุมที่สะท้อนภาพของชุมชนแออัดเป็นข้อเปรียบเทียบ เด็กๆ สามารถศึกษาความเป็นไปของผู้คนในแบบจำลองได้ และปิดท้ายที่โซน 11 เมืองไท๊ยไทย (Very Thai) ที่ยกแลนด์มาร์คสำคัญๆ ของไทย ไม่ว่าจะเป็นอนุสาวรีย์ประชาธิปไตย ตลาดนัดสวนจตุจักร ตลาดน้ำ และสารพัดกลิ่นอายความเป็นไทย และบ้านเมืองของไทยสมัยโบราณ และไฮไลต์ที่เด็ดที่สุดคือรถรางที่ได้กลิ่นอายแบบไทยจริงๆ

สแตนลีย์ มินิเวนเจอร์ ชั้น 2 ศูนย์การค้าเกตเวย์ เอกมัย เปิดอาณาจักรแห่งความสุขแล้วตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป ระหว่างเวลา 10.00-20.00 น. ค่าเข้าชมบัตรราคา 650 บาท (สำหรับผู้ใหญ่) และราคา 450 บาท (สำหรับเด็ก) สอบถามข้อมูลเพิ่มเติม โทร. 02-248-9924 เฟซบุ๊ก : StanleyMiniVenture หรือ www.stanleyminiventure.com

โซน4 Transportation and Entertainment เมืองที่ไม่หยุดนิ่งและความหรรษาบันเทิง

 

โซน3 Residential and Historical Town เมืองแห่งเรื่องราวและประวัติศาสตร์

 

โซน2 Organic Farm เมืองแห่งเกษตรกรรมและปศุสัตว์

 

โซน9 Airport สนามบินไร้ขอบฟ้า

 

โซน10 CBD-ย่านธุรกิจพันล้าน

 

โซน6 Beach เมืองแห่งท้องทะเล

 

โซน5 Desert เมืองแห่งทะเลทรายที่ร้อนระอุ

 

ศิลปะเพื่อพ่อหลวง

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์โพสต์ทูเดย์

24 ธันวาคม 2559 เวลา 10:42 น…. อ่านต่อได้ที่ : http://www.posttoday.com/travel/thailand/471992

ศิลปะเพื่อพ่อหลวง

จ.สกลนคร ห่างจากกรุงเทพมหานคร647 กิโลเมตร แต่ความจงรักภักดีต่อพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ของคนที่นี่ ไม่ได้ลดลงตามระยะทางเลย ภายในงานนิทรรศการศิลปะกำพืด การแสดงผลงานทางศิลปะของกลุ่มศิลปินในนาม กลุ่มสกละ และกลุ่มสกลเฮ็ด ณ จังหวัดสกลนคร เมื่อกลางเดือน ธ.ค. 2559 มี 2 งานที่น่าสนใจงานชิ้นแรก คือ ปกสมุดรูปพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช จำนวน 89 เล่ม ผลงานของพระอาจารย์ฉัฐกรณ์ มหาปุญโญ แห่งวัดป่าภูมิธนารักษ์ธรรมาราม หรือสถานปฏิบัติธรรมชลประทานเดชมี บ้านหนองแคน ต.ไร่ อ.พังโคน จ.สกลนคร ปกของสมุดทั้ง 89 เล่ม อันเชิญพระบรมฉายาลักษณ์พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ใน 89 พระอิริยาบถที่ไม่ซ้ำกัน ผ่านงานศิลปะแบบเดโคพาจ โดยนำผ้าแคนวาสผสมทิชชู่ แล้วพิมพ์เป็นรูปพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ลงบนหน้าปกสมุด ภาพที่ได้คล้ายภาพวาดที่มีสีสันที่สดใสสวยงามยิ่งขึ้นถัดมาอีกมุมหนึ่งเด็กนักเรียนจาก โรงเรียนบ้านดงขวาง อ.เมือง จ.สกลนคร กำลังร่วมทำภาพพิมพ์ด้วยเทคนิคเจลาติน เพลส โดยมีศิลปินในงานเป็นผู้สอน ด้วยการทาสีลงบนเพลส แล้วนำวัสดุใบไม้ที่มีร่องลวดลายสวยงาม ประกอบกับพระบรมฉายาลักษณ์พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ที่ดัดแปลงทำเป็นเพียงโครงร่าง วางลง จากนั้นนำกระดาษขาววางทับลง ก็จะได้ภาพที่สวยงาม 1 รูป จากนั้นดึงใบไม้ออก แล้ววางกระดาษอันใหม่ลงอีกครั้ง ก็จะได้อีก 1 ภาพที่สวยงามเช่นกันในอดีตพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช เสด็จพระราชดำเนินทรงงานที่ จ.สกลนคร มากกว่า 100 ครั้ง ทรงติดตามความก้าวหน้าของโครงการต่างๆ และการเสด็จฯ ส่วนพระองค์ โดยไม่มีหมายกำหนดการ เพื่อรับทราบความต้องการของประชาชน ก่อเกิดเป็นโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริจำนวนมากจากพระมหากรุณาธิคุณของพระองค์ เป็นผลให้ชาวสกลนครรักพระองค์ท่านเหมือนกับคนไทยทั้งประเทศ งานศิลปะจากหัวใจของศิลปินเหล่านี้ก็เป็นอีกรูปแบบหนึ่ง ที่สื่อแทนหัวใจของชาวสกลนคร

การพิมพ์ภาพด้วยเทคนิคเจลาติน เพลส

 

นักเรียนจากโรงเรียนบ้านดงขวาง อ.เมือง จ.สกลนคร ทำภาพพิมพ์ด้วยเทคนิคเจลาตินเพลส

 

ยู อินจันทรี มุมใหม่ริมแม่น้ำแคว

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์โพสต์ทูเดย์

24 ธันวาคม 2559 เวลา 10:29 น….. อ่านต่อได้ที่ : http://www.posttoday.com/travel/thailand/471988

ยู อินจันทรี มุมใหม่ริมแม่น้ำแคว

โดย…นิทรา ราตรี

ระยะเวลากว่า 6 ปี ที่โรงแรม ยู อินจันทรี กาญจนบุรี อยู่คู่แม่น้ำแคว ด้วยเสน่ห์จากความเรียบง่าย เงียบสงบ และอยู่เย็นสบาย ทำให้โรงแรมกลายเป็นที่หนีความวุ่นวายจากเมืองหลวงมาเนิ่นนาน ทว่าเมื่อต้นเดือน ธ.ค.ที่ผ่านมา ยู อินจันทรี เพิ่งมีเซอร์ไพรส์เปิดโซนใหม่ เพื่อตอบรับไลฟ์สไตล์ของนักท่องเที่ยวที่ต้องการความเป็นส่วนตัวมากขึ้น

แต่เดิมโรงแรมให้บริการห้องพักประเภทสุพีเรียร์และสวีท จำนวน 24 ห้อง ห้องทั้งหมดอยู่บนตึก 2 ชั้น ตั้งอยู่ล้อมรอบสนามหญ้า และต้นอินจัน อันเป็นเอกลักษณ์และที่มาของชื่อโรงแรม โดยห้องสุพีเรียร์มีขนาด 18 ตร.ม. เป็นห้องขนาดกะทัดรัดแต่สามารถบรรจุสิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆ ได้ครบ ทั้งเตียงนอนใหญ่ เครื่องเล่นไอพอดและลำโพง ตู้เย็น ตู้เซฟ และเครื่องทำชา-กาแฟ พร้อมมุมนั่งเล่นริมหน้าต่าง โดยทุกอย่างจัดวางไว้ไม่อึดอัดและง่ายต่อการใช้งาน ส่วนห้องสวีทพิเศษตรงที่มีห้องรับแขก อ่างอาบน้ำแยกส่วนจากห้องอาบน้ำ และมีพื้นที่มากกว่าด้วยขนาด 36 ตร.ม.

 

ล่าสุด โรงแรมเพิ่งเปิดโซนใหม่ โซนห้องดีลักซ์จำนวน 26 ห้อง อยู่บนอาคารแบบโลว์ไรส์ 2 ชั้น เป็นรูปตัวยู โดยแต่ละห้องมีขนาดกว้าง 30 ตร.ม. ซึ่งยังคงมาตรฐานของสิ่งอำนวยความสะดวกไว้ แต่การดีไซน์นั้นต่างไป ด้วยสีน้ำตาลเทาทันสมัย เฟอร์นิเจอร์เรียบง่ายแต่มีสไตล์ และภาพบนหัวเตียงที่บ่งบอกความเป็นกาญจนบุรี นอกจากนี้โซนใหม่จะมีความเป็นส่วนตัวมากขึ้น เพราะเป็นโซนที่สร้างขึ้นสำหรับห้องดีลักซ์เท่านั้น

ห้องอาหารมีให้บริการที่เปปเปอร์ ห้องอาหารไทยพื้นเมืองและนานาชาติ เปิดให้บริการตลอดวัน ซึ่งช่วงเย็นบริเวณริมแม่น้ำแควจะงดงามเป็นพิเศษ โดยสามารถดื่มด่ำบรรยากาศพร้อมจิบเครื่องดื่มต่อได้ที่เทอเรส เลานจ์ ระเบียงชิลริมน้ำที่สามารถมองเห็นโค้งแม่น้ำแควได้สวยที่สุด

 

ทั้งนี้ โรงแรมแบรนด์ยูทุกแห่งจะมีบริการที่เป็นเอกลักษณ์ของยู ได้แก่ การให้บริการห้องพัก 24 ชั่วโมง เมื่อเช็กอินเวลาใดสามารถเช็กเอาต์ได้ในเวลาเดียวกันของวันถัดไป สามารถรับประทานอาหารเช้าได้ทุกที่ทุกเวลา ไม่จำเป็นต้องตื่นเช้ามากินข้าว แต่สามารถเลือกกินตอนไหนและที่ไหนก็ได้จนถึงเวลา 4 ทุ่ม ในห้องพักมีบริการไอพอดที่สามารถเลือกเพลงที่ชอบ บริการเลือกหมอน ชา และสบู่ที่ถูกใจตอนเช็กอิน รวมถึงฟิตเนส ห้องสมุด และที่ยู อินจันทรี ยังมีจักรยานฟรีให้ขี่ชมเมืองกาญจน์ด้วย

นอกจากนี้ เมื่อพักที่ยู ทางโรงแรมจะนำเงินทุก 30 บาทจากอัตราห้องพักทุกห้องต่อวันไปบริจาคให้มูลนิธิธรรมานุรักษ์ สถานสงเคราะห์เด็กกำพร้า จ.กาญจนบุรี ปีละ 2 ครั้ง ซึ่งนับเป็นกิจกรรมหนึ่งของแบรนด์ยู เพื่อช่วยเหลือหน่วยงานสังคมสงเคราะห์ที่ตั้งอยู่ใกล้โรงแรม

 

Price: ห้องดีลักซ์ราคาเริ่มต้นที่ 2,999 บ.

Place: ริมแม่น้ำแคว ห่างจากสะพานข้ามแม่น้ำแคว 500 ม. โทร. 034-521-584 เว็บไซต์ www.ukanchanaburi.com

Promotion: โปรโมชั่นเปิดตัวห้องดีลักซ์ ราคาคืนละ 2,999 บ. รวมอาหารเช้า และเมื่อพักต่อเนื่องตั้งแต่ 2 คืนขึ้นไป รับบัตรรับประทานทานอาหาร มูลค่า 500 บ. สำหรับใช้ในห้องอาหารภายในโรงแรม