ตามรอยพ่อ ณ แม่ฮ่องสอน

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์โพสต์ทูเดย์

24 ธันวาคม 2559 เวลา 10:22 น…. อ่านต่อได้ที่ : http://www.posttoday.com/travel/thailand/471987

ตามรอยพ่อ ณ แม่ฮ่องสอน

โดย…กาญจน์ อายุ

บอกลา “พ่อ” เป็นครั้งสุดท้าย ณ สถานที่ที่พ่อเคยไปใน “แม่ฮ่องสอน” จังหวัดที่โอบล้อมด้วยภูเขาที่พ่อปลูก บนพื้นที่เกษตรกรรมที่พ่อสร้าง และในชุมชนชาวเขาที่พ่อพัฒนา เพื่อให้เราได้ไปศึกษาในสิ่งที่พ่อทำ

บ้านห้วยห้อม โครงการหลวงแม่ลาน้อย

หมู่บ้านเลี้ยงแกะ ปลูกข้าว และไร่กาแฟ 3 อย่างในบ้านห้วยห้อมที่ล้วนมาจากการส่งเสริมของโครงการหลวงแม่ลาน้อย ซึ่งสิ่งที่น่าเซอร์ไพรส์ที่สุดต้องยกให้เจ้าแกะขนปุย สัตว์แปลกถิ่นที่ไม่คิดว่าจะเติบโตในไทยได้

แกะตัวแรกเดินทางมาพร้อมกลุ่มมิชชันนารี มันมาโดยไม่มีใครรู้จักและไม่มีใครคิดว่าจะรอด และเมื่อเวลาผ่านไป สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ในพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ทรงทราบข่าว จึงมีรับสั่งให้นำแกะจากต่างประเทศมาปรับปรุงสายพันธุ์ เพราะเห็นว่าบ้านห้วยห้อมสามารถเลี้ยงแกะได้ กระทั่งปัจจุบันมีแกะที่เหมาะสมกับสภาพภูมิประเทศและภูมิอากาศของไทย 3 สายพันธุ์ ซึ่งถูกแจกจ่ายให้ชาวบ้านในภาคเหนือนำไปเลี้ยงเป็นอาชีพเสริมควบคู่ไปกับการเกษตร

ยามเช้าที่โครงการพระราชดำริปางตอง 2

 

แม่มะลิวัลย์ นักรบไพร ประธานกลุ่มทอผ้าขนแกะและกาแฟ เจ้าของฝูงแกะ ไร่กาแฟ และทุ่งนา ให้ความรู้ว่า ชาวบ้านห้วยห้อมส่วนใหญ่เป็นเกษตรกรและเลี้ยงแกะเพื่อตัดขน โดยแต่ละปีจะตัดได้ 1 ครั้ง ครั้งละประมาณ 5 กก. จากนั้นจะนำขนแกะไปแปรรูปต่อเป็นผ้าพันคอ เสื้อผ้า และสิ่งทอต่างๆ ซึ่งขายได้ราคางามกว่าการทำเกษตร

นอกจากนี้ บ้านแม่มะลิวัลย์ยังเปิดบ้านเป็นโฮมสเตย์ มีร้านกาแฟ และเป็นจุดศูนย์กลางการท่องเที่ยวในหมู่บ้าน โดยมีโปรแกรมเที่ยวแบบวันเดียวเห็นทุกอย่าง เริ่มด้วยแม่จะพาเดินเท้าตัดผ่านหมู่บ้าน ทักทายบ้านหลังนู้นหลังนี้จนถึงปากทางเข้าป่า ลัดเลาะสันเขาไปเรื่อยๆ จนหยุดที่ไร่กาแฟ (ของใครก็ไม่รู้) จุดนี้แม่เล่าว่า กาแฟเป็นพืชเศรษฐกิจที่มีชื่อเสียงและสร้างรายได้ให้กับชาวบ้านห้วยห้อมปีละกว่า 1 ล้านบาท โดยได้รับการสนับสนุนเมล็ดพันธุ์อราบิก้าจากบริษัท สตาร์บัคส์คอฟฟี่ประเทศไทย โดยจะปลูกใต้ร่มไม้ใหญ่ซึ่งจะช่วยอนุรักษ์สภาพป่าไปด้วย จากนั้นแม่นำทางไปผ่านกอไผ่ปล้องใหญ่สองข้างทาง แม่เล่าต่อว่า แต่เดิมป่าแห่งนี้ไม่มีไผ่ แต่เพราะสมัยก่อนยังไม่มีระบบประปา ในหลวงรัชกาลที่ 9 จึงแนะนำให้ปลูกไผ่เพื่อใช้ปล้องลำเลียงน้ำจากภูเขาไปสู่หมู่บ้านแทน (คนกรุงถึงกับอึ้งกับภูมิปัญญา)

จากนั้นแม่พาเดินต่อไปดูอ่างเก็บน้ำที่พ่อของเธอเป็นคนขุดเอง แม่มะลิวัลย์ เล่าว่า ครั้งที่ในหลวงรัชกาลที่ 9 เสด็จฯ มา ทรงแนะนำให้สร้างบ่อน้ำบนภูเขาเพื่อเก็บกักน้ำฝนและน้ำซับไว้ใช้ยามหน้าแล้ง หลังจากนั้นพ่อของเธอก็เริ่มลงมือขุดด้วยแรงตัวเองจนได้บ่อขนาดใหญ่และยังเก็บกักน้ำไว้ใช้ถึงรุ่นปัจจุบัน

หมอกบนผิวน้ำที่ปางอุ๋ง

 

นอกจากนี้ ระหว่างทางเดินกลับบ้าน แม่ยังเล่าต่อว่า อาชีพแรกของครอบครัวคือ ชาวนา ปลูกไว้กินในครอบครัว จนกระทั่งโครงการหลวงแม่ลาน้อยสามารถวิจัยและพัฒนาการปลูกกาแฟ และเลี้ยงแกะได้สำเร็จ แล้วนำมาส่งเสริมให้ชาวบ้าน ทำให้เธอและชาวห้วยห้อมมีตัวเลือกมากกว่าเดิม พร้อมตลาดรองรับผลผลิตที่การันตีราคาว่าจะไม่ตกต่ำแน่นอน

ทั้งนี้ โครงการหลวงแม่ลาน้อยกำลังทดลองการเลี้ยงแกะที่แม่แจ่มและดอยอินทนนท์ เพื่อส่งเสริมให้ชาวบ้านในภาคเหนือมีอาชีพเสริมสร้างรายได้จากการเป็นเกษตรกร

ศูนย์บริการและพัฒนาที่สูงปางตอง ตามพระราชดำริ

เมื่อครั้งที่ในหลวงรัชกาลที่ 9 เสด็จฯ มาประทับแรมที่ปางตอง ทรงมีรับสั่งให้หาทางแก้ไขปัญหาเรื่องความมั่นคง และปัญหายาเสพติด ด้วยการสร้างศูนย์บริการและพัฒนาที่สูงปางตองตามพระราชดำริขึ้น โดยได้ร่วมมือกับกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และราบ 21 สร้างฐานเรียนรู้ให้คนเข้าไปเรียนและตักตวงนำไปใช้ประโยชน์

แกะขนปุยรอนักท่องเที่ยวป้อนอาหาร

 

ภายในศูนย์มีความรู้หลายแขนงให้ศึกษา ทั้งการสร้างฝายให้เป็นตัวอย่างเรื่องน้ำ โดยกรมชลประทาน การทดลองเลี้ยงปลากดหลวง และปลาสเตอร์เจียน (ทดลองมาแล้ว 10 ปี) โดยกรมประมง การสนับสนุนปลูกพืชนาขั้นบันได และการใช้หญ้าแฝก เพื่อป้องกันดินสไลด์ โดยกรมพัฒนาที่ดิน การเพาะเลี้ยงสัตว์ป่าเพื่อขยายคืนกลับธรรมชาติ โดยกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช การส่งเสริมและปรับปรุงการเลี้ยงแกะและการแปรรูปขนแกะ โดยกรมปศุสัตว์ การปลูกกาแฟสายพันธุ์อราบิก้าและการพัฒนาชุมชนให้อยู่กับป่า โดยกรมวิชาการเกษตร และการสนับสนุนพันธุ์ข้าวและจัดหาพันธุ์ข้าวโดยศูนย์ข้าว

นักท่องเที่ยวสามารถเข้าไปเที่ยวในศูนย์ได้ด้วยตนเอง อย่างโรงเรือนเฟิร์น โรงเรือนกล้วยไม้ บ่อเลี้ยงปลากดหลวงและปลาสเตอร์เจียน รวมถึงฟาร์มแกะที่ทางศูนย์จะปล่อยออกมากินหญ้าตามธรรมชาติในช่วงเช้าและเย็นที่มีอากาศไม่ร้อนจัด ซึ่งอาจต้องวัดดวงกันเล็กน้อยว่าจะเจอหรือไม่ แต่ที่เจอแน่ๆ คือ แกะประมาณ 5-6 ตัวในคอกที่รอให้นักท่องเที่ยวป้อนหญ้า

ในปีหน้าทางศูนย์จะเริ่มพัฒนาเพื่อการท่องเที่ยวมากขึ้น หลังเห็นว่านักท่องเที่ยวให้ความสนใจและเข้ามาชมฐานต่างๆ วันละหลายร้อยคน ซึ่งการพัฒนาให้มีร้านค้าและร้านอาหารจะช่วยดึงดูดนักท่องเที่ยวให้จับจ่าย และชาวบ้านที่เข้ามาเปิดร้านก็จะได้รายได้อีกทางหนึ่งด้วย แต่อย่างไรก็ตาม การพัฒนาเพื่อการท่องเที่ยวจะอยู่ภายในกรอบเดิมคือการเป็นแหล่งเรียนรู้ ซึ่งแน่นอนว่าจะไม่ทำให้รบกวนฝูงแกะและสิ่งแวดล้อมเด็ดขาด

รอยยิ้มของชาวลัวะที่บ้านป่าแป๋

 

โครงการพระราชดำริปางตอง 2 (ปางอุ๋ง)

วัยรุ่นไทยรู้จักปางอุ๋ง ในฐานะสถานที่ท่องเที่ยวหน้าหนาวที่มีบึงน้ำ มีป่าสน และมีความฮิปสเตอร์เหมาะสมแก่การท่องเที่ยว ซึ่งปางอุ๋งเป็นส่วนหนึ่งของโครงการพระราชดำริปางตอง 2 (ปางอุ๋ง) ซึ่งนอกจากอ่างเก็บน้ำแล้ว ภายในโครงการยังมีหมู่บ้านรวมไทยที่ตั้งขึ้นเพื่อเป็นหมู่บ้านตัวอย่างด้านเกษตรกรรม และขณะเดียวกันก็สามารถเป็นยามชายแดนระหว่างไทยกับเมียนมาด้วย

ก่อนที่จะมีโครงการพระราชดำริปางตอง 2 (ปางอุ๋ง) ที่นี่มีสภาพเป็นป่าหัวโล้นจากการทำไร่เลื่อนลอย กระทั่งกรมป่าไม้เข้ามาปลูกป่า สร้างฝาย และปล่อยน้ำให้ชุมชนทำการเกษตรแทนถางป่าทำไร่เลื่อนลอย ซึ่งกระบวนการทั้งหมดนำไปสู่การฟื้นฟูป่า สร้างอาชีพที่ยั่งยืนให้ชาวบ้าน รวมทั้งแก้ปัญหายาเสพติดให้หมดไปจากพื้นที่

นักท่องเที่ยวนิยมมานอนกางเต็นท์ริมปางอุ๋งในช่วงฤดูหนาว เพื่อรอชมไอหมอกยามเช้าและชมดวงดาวยามค่ำคืน ซึ่งการเดินทางมาที่นี่ช่างสะดวกสบาย และไม่ต้องลำบากมากมายก็สามารถสัมผัสธรรมชาติได้อย่างใกล้ชิด ไม่ว่าใครก็สามารถไป (ถึงขั้นแย่งกันไป) ปางอุ๋งช่วงต้นหนาวแบบนี้

ผลกาแฟสายพันธุ์อราบิก้า

 

ศูนย์พัฒนาโครงการหลวงแม่สะเรียง

น้อยคนนักที่จะรู้จักบ้านป่าแป๋ ในเขตพื้นที่ศูนย์พัฒนาโครงการหลวงแม่สะเรียง ซึ่งเป็นสถานที่กำเนิดธนาคารข้าวแห่งแรกในประเทศไทย

ในอดีตช่วงปี 2499-2508 ชาวบ้านป่าแป๋ประสบปัญหาขาคแคลนข้าวอย่างหนัก เพราะทุกคนต่างทำไร่เลื่อนลอย ทำให้ไม่มีต้นไม้และไม่มีน้ำเพียงพอแก่การปลูกข้าว เมื่อถึงฤดูแล้งชาวบ้านจึงจำเป็นต้องไปซื้อข้าวราคาแพงจากนายทุน หรือต้องติดหนี้ดอกเบี้ยสูงเพื่อมีข้าวพอประทังชีวิต ทว่า ในหลวงรัชกาลที่ 9 ทรงทอดพระเนตรเห็นความยากลำบาก จึงได้พระราชทานข้าว และมีพระราชดำริให้จัดตั้งธนาคารข้าวแห่งแรกในประเทศไทยขึ้น โดยมีหลักการว่าชาวบ้านต้องช่วยกันสร้างยุ้งข้าวและรวมกลุ่มกันดูแลการจ่ายออกและทวงคืน เมื่อไม่มีข้าวกินให้มายืมข้าวจากธนาคาร และเมื่อถึงฤดูเก็บเกี่ยวให้นำข้าวมาคืนแบบยืมสิบบวกสอง เช่น ถ้ายืมข้าวไป 10 ถัง ให้คืน 12 ถัง อันเป็นการแก้ปัญหาขาดแคลนข้าวได้อย่างถาวร

จากนั้นเมื่อมีการก่อตั้งศูนย์พัฒนาโครงการหลวงแม่สะเรียง ทำให้ชาวบ้านหันมาปลูกพืชเศรษฐกิจ เช่น ข้าว เสาวรส อโวคาโด พลับ เคฟกูสเบอร์รี่ กาแฟอราบิก้า และเลี้ยงสุกร รวมทั้งได้ส่งเสริมให้เป็นหมู่บ้านท่องเที่ยวโดยชุมชน โดยมีคณะกรรมการหมู่บ้านเป็นผู้ดูแลเรื่องโปรแกรมการท่องเที่ยว โฮมสเตย์ และการบริหารจัดการการท่องเที่ยว

กระบวนการตีขนแกะให้ฟูก่อนนำไปทอเป็นผ้าทอขนแกะ

 

ในวันนั้น ไกด์ท้องถิ่นได้นำทางไปยังธนาคารข้าวและเริ่มอธิบายว่า เมื่อวันที่ 1 มี.ค. 2513 ในหลวงรัชกาลที่ 9 พร้อมด้วยสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ในรัชกาลที่ 9 ได้พระราชทานทุนทรัพย์ส่วนพระองค์ให้แก่ราษฎรบ้านป่าแป๋ จำนวน 2 หมื่นบาท เพื่อจัดตั้งธนาคารข้าว และทรงรับสั่งว่าเป็น “ธนาคารข้าวแห่งแรกของโลก”

นอกจากนี้ สมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี (สมเด็จย่า) ก็เคยเสด็จมา และทรงปลูกต้นลิ้นจี่ไว้ในโรงเรียนเจ้าพ่ออุปถัมภ์ เมื่อวันที่ 20 พ.ค. 2518 ซึ่งปัจจุบันต้นลิ้นจี่ยังเติบโตสมบูรณ์และออกผลให้ชาวบ้านเก็บมารับประทานทุกปี

นับตั้งแต่ปี 2489 ในหลวงรัชกาลที่ 9 ทรงริเริ่มโครงการหลวงส่วนพระองค์และโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริมากกว่า 4,000 โครงการทั่วประเทศ เพื่อให้ราษฎรในพื้นที่ห่างไกลมีความเป็นอยู่ที่ดี และสามารถประกอบอาชีพเลี้ยงครอบครัวได้ตามหลักเศรษฐกิจพอเพียง อย่างที่พระองค์ได้พระราชทานพระราชดำรัสเนื่องในโอกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษา วันที่ 4 ธ.ค. 2540 ไว้ว่า

ต้นลิ้นจี่ของสมเด็จย่า

 

“…การจะเป็นเสือนั้นไม่สำคัญ สำคัญอยู่ที่เรามีเศรษฐกิจแบบพอมีพอกินแบบพอมีพอกินนั้น หมายความว่าอุ้มชูตัวเองได้ ให้มีพอเพียงกับตัวเอง…

…ความพอเพียงนี้ ไม่ได้หมายความว่าทุกครอบครัวจะต้องผลิตอาหารของตัว จะต้องทอผ้าใส่เอง อย่างนั้นมันเกินไป แต่ว่าในหมู่บ้านหรือในอำเภอจะต้องมีความพอเพียงพอสมควร บางสิ่งบางอย่างที่ผลิตได้มากกว่าความต้องการก็ขายได้ แต่ขายในที่ไม่ห่างไกลเท่าไหร่ ไม่ต้องเสียค่าขนส่งมากนัก อย่างนี้ท่านนักเศรษฐกิจต่างๆ ก็มาบอกว่าล้าสมัยจริง อาจจะล้าสมัย คนอื่นเขาต้องมีการเศรษฐกิจที่ต้องมีการแลกเปลี่ยน เรียกว่าเป็นเศรษฐกิจการค้าไม่ใช่เศรษฐกิจความพอเพียง เลยรู้สึกว่าไม่หรูหรา แต่เมืองไทยเป็นประเทศที่มีบุญอยู่ว่าผลิตให้พอเพียงได้…

…ถ้าสามารถที่จะเปลี่ยนไป ทำให้กลับเป็นเศรษฐกิจแบบพอเพียงไม่ต้องทั้งหมดแม้แต่ครึ่งก็ไม่ต้อง อาจจะสักเศษหนึ่งส่วนสี่ ก็จะสามารถอยู่ได้ การแก้ไขอาจจะต้องใช้เวลา ไม่ใช่ง่ายๆ โดยมากคนก็ใจร้อนเพราะเดือดร้อน แต่ถ้าทำตั้งแต่เดี๋ยวนี้ก็สามารถที่จะแก้ไขได้…”

ชาวบ้านป่าแป๋กำลังโกยข้าวลงถังเพื่อนำไปเก็บไว้ในยุ้ง

 

อาหารกลางวันแบบชาวลัวะ

 

ลานกางเต็นท์ริมปางอุ๋ง

 

โรงเรือนเฟิร์นในศูนย์บริการและพัฒนาที่สูงปางตอง ตามพระราชดำริ

 

ธนาคารแห่งแรกในประเทศไทย

 

อ่างเก็บน้ำช่วงใกล้รุ่ง

 

อ่างเก็บน้ำปางตอง

 

ทุ่งดอกคอสมอส

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์โพสต์ทูเดย์

20 ธันวาคม 2559 เวลา 10:06 น…. อ่านต่อได้ที่ : http://www.posttoday.com/travel/thailand/471109

ทุ่งดอกคอสมอส

นักท่องเที่ยวแห่เข้าชมทุ่งดอกคอสมอส รับลมหนาว บริเวณก่อนทางขึ้นอุทยานแห่งชาติภูหินร่องกล้า อ.นครไทย จ.พิษณุโลก สวยงาม

 วันที่ 19 ธันวาคม ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ช่วงวันหยุดได้มีประชาชนเดินทางมาไปเที่ยวสัมผัสรับลมหนาวอุทยานแห่งชาติภูหินร่องกล้า เลี้ยวเข้าทางแยกบ้านหนองกระท้าว ก่อนถึงทางขึ้นภู ประมาณ 10 กิโลเมตร จะมีร้านกาแฟ ได้ปลูกดอกคอสมอส ดอกเสี้ยนฝรั่ง และดอกแวววิชียร ในแปลงขนาดใหญ่ ที่กำลังออกดอกบานสะพรั่งหลากหลายสีสันสวยงามรับลมหนาว ทุ่งดอกคอสมอส” หรือ “ดอกดาวกระจาย” หรือที่ภาษาเหนือจะเรียกว่า ทุ่งดอกคำแผ้แหล้ มีต้นดอกคอสมอสสีชมพูมากมาย ถูกปลูกอย่างงดงามเป็นทุ่งขนาดใหญ่ พร้อมจัดทางเดินเล็ก ๆ เชื่อมถึงกัน และให้นักท่องเที่ยวได้ถ่ายรูปคู่กับดอกไม้หลากสีสันเหล่านี้ได้อย่างใกล้ชิด

นอกจากทุ่งดอกคอสมอสแล้ว เจ้าของยังได้ปลูก ดอกเสี้ยนฝรั่งหลายสี คือ สีขาว สีชมพู และสีม่วง และ ดอกแวววิเชียรหรือบางทีเรียกว่าเทียนญี่ปุ่น เดิมเคยเรียกว่าฟอร์เกตมีนอท ที่กำลังออกดอกสีม่วงอย่างงดงาม ทั้งนี้นักท่องเที่ยวสามารถเข้าเที่ยวชมทุ่งดอกคอสมอสได้ฟรี โดยดอกคอสมอสจะบานไปจนถึงปลายเดือนมกราคม 2560 และที่นี่มีลานจอดรถกว้างขวางให้บริการ รวมทั้งยังอยู่ใกล้แหล่งท่องเที่ยวที่สำคัญอื่น ๆ ของจังหวัดพิษณุโลก อาทิ อุทยานแห่งชาติภูหินร่องกล้า ภูแผงม้า ภูลมโล อีกด้วย

 

ยุคทองแห่งความศิวิไลซ์ เมืองมัลลิกา ร.ศ. 124

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์โพสต์ทูเดย์

18 ธันวาคม 2559 เวลา 10:34 น…. อ่านต่อได้ที่ : http://www.posttoday.com/travel/thailand/470795

ยุคทองแห่งความศิวิไลซ์ เมืองมัลลิกา ร.ศ. 124

โดย…รอนแรม

อดีตอันรุ่งโรจน์ยุคสมัยรัชกาลที่ 9 กลับมามีชีวิตอีกครั้งที่ เมืองมัลลิกา ร.ศ. 124 จ.กาญจนบุรี สถานที่ที่จะให้คนไทยได้ไปสัมผัสรากเหง้าความเป็นไทย ผ่านสถาปัตยกรรมและวิถีชีวิตของชาวสยามในอดีตช่วงปลายรัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว โดยได้ถ่ายทอดวิถีชีวิตและภูมิปัญญาของชาวไทยสมัยโบราณ เหมาะกับนักท่องเที่ยวที่อยากสัมผัสถึงแก่นประวัติศาสตร์มากกว่าการชื่นชมเศษซากหรือร่องรอยทางวัฒนธรรมที่หลงเหลือจากอดีตถึงปัจจุบัน

พื้นที่กว่า 60 ไร่ด้วยงบลงทุนกว่า 200 ล้านบาท เป็นแนวคิดของ พลศักดิ์ ประกอบผู้ก่อตั้งที่สนใจประวัติศาสตร์ยุค ร.ศ. 124 ซึ่งเป็นยุคที่เกิดการเปลี่ยนแปลงบนแผ่นดินสยามที่ส่งผลต่อรูปแบบการดำรงชีวิตของคนในยุคต่อไป ทั้งการประกาศเลิกทาส การแผ่ขยายอิทธิพลจากโลกตะวันตกเข้ามาในแผ่นดินสยาม และนำไปสู่การผสมผสานทางวัฒนธรรมระหว่างวิถีชีวิตคนไทยดั้งเดิมกับวัฒนธรรมตะวันตก จนได้รับการนิยามว่าเป็นยุคทองแห่งความศิวิไลซ์ โดยชื่อ มัลลิกา เป็นชื่อแม่น้ำที่เป็นต้นน้ำของแม่น้ำอิรวดีในเมียนมาที่ได้ชื่อว่าเป็นแหล่งรวมอารยธรรมโบราณในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ไว้ด้วยกัน

 

ภายในเมืองประกอบด้วยเรือนไทย 4 ประเภท ซึ่งสะท้อนภาพสถานะของผู้อยู่อย่างชัดเจน เริ่มจาก เรือนเดี่ยว เป็นเรือนชาวบ้านชนชั้นกรรมาชีพ ชาวนา มีหน้าที่ผลิตปัจจัยพื้นฐานในการยังชีพ เรือนนี้นักท่องเที่ยวจะได้สัมผัสกับภูมิปัญญาชาวบ้าน ตั้งแต่การเก็บเกี่ยวผลผลิตเพื่อส่งต่อไปใช้ในเรือนครัว กระบวนการสี และตำข้าวแบบโบราณ

เรือนคหบดี มีความพิเศษอยู่ที่ เรือนครัว สะท้อนวิถีชีวิตการทำอาหารอย่างวิจิตรของคนสมัยก่อน โดยกิจกรรมของนักท่องเที่ยวจะเน้นไปที่งานฝีมือ อย่างงานใบตอง งานดอกไม้ งานเครื่องแขวน งานแกะสลักผลไม้ ซึ่งเป็นผลงานศิลปะที่หาชมได้ยาก

 

เรือนหมู่ เป็นเรือนรับแขกบ้านแขกเมืองของคหบดี โดยปกติเรือนเหล่านี้มักมีคณะนาฏศิลป์ของตัวเองสำหรับรับแขก รวมทั้งความวิจิตรบรรจงของสำรับกับข้าวไทยที่ขึ้นชื่อทั้งรสชาติและหน้าตาอาหาร ที่นี่จึงถือเป็นอีกหนึ่งไฮไลต์ เพราะเป็นเรือนหมู่ที่ถือว่าใหญ่ที่สุดในประเทศไทย

ปิดท้ายด้วย เรือนแพ ที่ตั้งของร้านค้า จำลองบรรยากาศย่านการค้าในอดีตบริเวณริมน้ำ รายล้อมไปด้วยร้านค้า เช่น ร้านกาแฟตงฮู ซึ่งได้ชื่อว่าเป็นร้านกาแฟที่ทันสมัยที่สุดในยุคนั้น เพราะมีการนำเข้าเมล็ดกาแฟสดจากต่างประเทศเข้ามาใช้ ร้านข้าวแกง ที่สร้างจุดขายได้อย่างน่าสนใจด้วยการนำเมนูข้าวแกงที่รัชกาลที่ 5 ทรงโปรด มานำเสนอเพื่อให้นักท่องเที่ยวได้สัมผัสกับรสชาติของอาหารแบบไทยแท้แบบดั้งเดิม รวมถึงร้านจำหน่ายของชำร่วย เพื่อเป็นตัวแทนความทรงจำให้นักท่องเที่ยวได้เลือกซื้อ

 

นอกจากนี้ เมืองมัลลิกายังมีการแสดงโชว์เพื่อให้เห็นวิถีแบบไทยแท้ โดยได้จำลองให้เมืองนี้มีประชากรราว 400 คน ประกอบด้วยกลุ่มคนใน 3 ช่วงวัย ได้แก่ ผู้สูงอายุ ผู้ใหญ่ และวัยรุ่น แต่งกายโบราณ และดำรงชีวิตในแต่ละวันเสมือนจริงในยุคสมัยนั้นให้เห็นภาพวัฒนธรรมผ่านการแสดงเสมือนจริง

สำหรับอาหารไทยโบราณ นักท่องเที่ยวจะได้ชิมอาหารไทยหายาก เช่น ขนมเสน่ห์จันทน์ ขนมจ่ามงกุฎ ขนมทองเอก ขนมหยกมณี ขนมบุหลันดั้นเมฆ ขนมน้ำดอกไม้ ขนมไข่ปลา เป็นต้น นักท่องเที่ยวจะได้ชมขั้นตอนการผลิตอย่างละเอียด ผ่านการใช้เตาถ่านแบบดั้งเดิม นอกจากนี้ ระหว่างการเดินชม นักท่องเที่ยวสามารถเปลี่ยนเครื่องแต่งกายให้เป็นคนไทยโบราณสมัย ร.5 ให้เข้ากับบรรยากาศและอรรถรสในการรับชม สถานที่แห่งนี้จึงสร้างขึ้นเพื่อถ่ายทอดวิถีชีวิตของผู้คนในยุคหลังเลิกทาสไว้ในรูปแบบ Living Heritage หรือมรดกทางวัฒนธรรมที่ยังมีลมหายใจ รวมถึงส่งต่อความทรงจำในอดีตที่เกือบเลือนหายสู่คนรุ่นหลัง

เมืองมัลลิกา ร.ศ. 214 การันตีว่าเป็นหนึ่งเดียวในไทยและแห่งเดียวในโลก เปิดให้บริการทั้งนักท่องเที่ยวชาวไทยและต่างประเทศ โดยจำหน่ายบัตรสำหรับผู้ใหญ่ 150 บาท และเด็ก 75 บาท หากนักท่องเที่ยวจะเข้าชมพร้อมรับประทานอาหารโบราณและชมการแสดง มีบัตรจำหน่ายเหมารวม ผู้ใหญ่ 550 บาท และเด็ก 350 บาท (เด็กมีความสูงต่ำกว่า 80 ซม. เข้าฟรี) สอบถามรายละเอียดโทร. 034-540-884

 

 

 

 

 

ฤดูล่า ทะเลหมอก

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์โพสต์ทูเดย์

17 ธันวาคม 2559 เวลา 09:45 น…. อ่านต่อได้ที่ : http://www.posttoday.com/travel/thailand/470689

ฤดูล่า ทะเลหมอก

โดย…กาญจน์ อายุ

เสมือนเป็นธรรมเนียมของคนไทยไปแล้ว ที่เมื่อเข้าฤดูหนาวเมื่อไร คนจะเดินทางไปแอ่วเหนือเมื่อนั้น โดยเฉพาะแถวๆ ยอดดอยที่กำลังแผ่ไอหมอก กระจายสายลมหนาว และมีอุณหภูมิลดฮวบฮาบสวนทางกับจำนวนนักท่องเที่ยวที่มากขึ้นทุกที

ภาคเหนือน่ารัก คนก็คึกคักไปด้วย

1 ใน 9 จังหวัดทางภาคเหนือที่ไม่ค่อยมีใครคิดถึงนักอย่าง “แม่ฮ่องสอน” กลับเป็นไฮไลต์หนึ่งของฤดูกาลนี้ ด้วยความที่เป็นเมืองสามหมอก (ถูกปกคลุมด้วยหมอกทั้งสามฤดู) ขนาดเมืองเล็ก และอยู่ท่ามกลางป่าเขา ทำให้แม่ฮ่องสอนเป็นเมืองนอกสายตาแต่จะหลงรักโดยไม่รู้ตัว

ดอกบัวตองบานรับแดดแรกของวันใหม่

 

ล่าทะเลหมอกหยุนไหล

เมื่อพูดถึงปายจะนึกถึงอะไร แบ็กแพ็กเกอร์ ฝรั่ง ความหนาว ตัวเลข 1,864 โค้ง หรือวลีนิยามที่ว่า ปายช้ำแล้ว แต่ถ้ามองให้ดี มองให้ลึก ปายยังมีอีกมุมที่คนไม่ใคร่สังเกต นั่นคือ ธรรมชาติ อันเป็นตัวตนของเมืองปายที่กำลังจะหายลับไปกับนักท่องเที่ยว อย่างทะเลหมอกหยุนไหล ในชุมชนชาวจีนยูนนาน บ้านสันติชล

หยุนไหลคือสิ่งมหัศจรรย์ทางธรรมชาติที่งดงามอลังการ หยุน แปลว่า เมฆ และ ไหล แปลว่า มา รวมกันได้ความหมายตรงตัวว่า เมฆมา ที่อธิบายถึงกลุ่มหมอกขนาดมหึมาที่ลอยสูงคลอยอดเขาที่สร้างเป็นจุดชมวิว ซึ่งในช่วงฤดูหนาวจะมีหมอกมากและหนาเป็นพิเศษ โดยทุกวันการันตีว่าเห็น

การขึ้นไปบนจุดชมวิวที่อยู่ห่างจากหมู่บ้านไปประมาณกิโลเมตรครึ่งต้องใช้บริการรถกระบะของชาวบ้าน (ยกเว้นผู้ที่ค้างแรมในหมู่บ้านจะสามารถนำรถส่วนตัวขึ้นไปเองได้) ลักษณะเป็นถนนผ่ากลางชุมชน ลดเลี้ยวไปตลอดจนถึงลาดจอดรถ จากนั้นเดินขึ้นบันไดไปอีกหน่อยจะเจอร้านขายชาแบบจีนและด่านเก็บเงิน นอกจากค่ารถกระบะคนละ 30 บาท ยังมีค่าเข้าชมอีกคนละ 20 บาท เป็นค่าธรรมเนียมก่อนออกล่าทะเลหมอก

แสงแรก ณ ปางอุ๋ง

 

จุดชมวิวหยุนไหลเป็นลานกว้าง มองเห็นทิวทัศน์ได้ 360 องศา ซึ่งแต่ละด้านจะสวยต่างกัน ด้านทิศตะวันออกทิศที่พระอาทิตย์ขึ้นจะงดงามมากที่สุด โดยในช่วงเช้ามืดก่อนมีแสงจากขอบฟ้าจะเห็นดาวบนดินจากบ้านสันติชลส่องแสงระยิบแต่ไม่ระยับ จากนั้นแสงที่เห็นชัดจะเริ่มเบลอด้วยม่านหมอกเบาบางลอยปกคลุม หมอกเหล่านั้นเหมือนเป็นตัวเบิกทางให้กองทัพใหญ่ เพราะไม่นานที่เห็นสายหมอก ทะเลหมอกก็ซัดเข้าโถมพื้นดินจนเกือบมองไม่เห็นสิ่งใด มันเคลื่อนตัวแบบไร้ทิศทางจนไม่สามารถคะเนได้ว่า ตรงไหนจะบางตรงไหนจะบัง ตรงไหนจะต่ำตรงไหนจะสูง บางขณะมันก็ลอยปะทะหน้าเหมือนท้าทายให้ยิงเสียงชัตเตอร์ต่อสู้ แต่บางช่วงมันก็หลบหายแล้วเปลี่ยนไปสนทนากับดอกบัวตองเหมือนเพื่อนสนิทที่ห่างหน้าไปนาน

“หยุนไหลสมชื่อ” ฉันคิด

แต่หมอกไม่มีลักษณะนามจึงกล่าวไม่ได้ว่ามันมากมายขนาดไหน มันมากมายจนกลายเป็นทะเล และอยู่หนาแน่นจนไม่หวั่นพระอาทิตย์ วันนั้นกรมอุตุนิยมวิทยาคาดการณ์ไม่ผิดเพี้ยน แสงแรกสาดอาบโลกตามเวลา เปลี่ยนทะเลสีขาวให้กลายเป็นทะเลสีทองตัดกับทิวเขาสีฟ้า เป็นภาพที่วัดไม่ได้ว่างดงามอย่างไรเหมือนกับความรู้สึก อาจจะใช้คำว่า สวย งาม อลังการ มหัศจรรย์ หรือเหนือความคาดหมายก็คงใช้ได้ทั้งนั้น ภาพลักษณ์ของปายในห้วง 5 ปีที่ผ่านมาทำให้หมดความตื่นเต้นแบบไม่เหลือ แต่ทะเลหมอกตรงหน้าทำให้คิดถึงปายที่เป็นปาย จนต้องกลับไปทบทวนใหม่อีกทีว่า ตัวตนของปายคือสิ่งที่อยู่ตรงหน้าหรือร้านเหล้าที่เปิดอยู่ในเมือง เราเลือกมองและเลือกดื่มด่ำได้โดยไม่คิดถึงข้อครหาในใจ

นักท่องเที่ยวแห่นอนเต็นท์ริมอ่างเก็บน้ำปางตอง

 

“ปายก็จะยังคงเป็นปายในความทรงจำ” ฉันรู้สึก

ไอหมอกเหนือปางอุ๋ง

ปางอุ๋งคือชื่อในวงเล็บของโครงการพระราชดำริปางตอง 2 (ปางอุ๋ง) เกิดขึ้นจาก ในหลวง รัชกาลที่ 9 ทรงเห็นว่า บริเวณอ่างเก็บน้ำปางตองใหม่และฝายปางอุ๋ง เป็นพื้นที่ที่มีการบุกรุกพื้นที่ตัดไม้ทำลายป่ามาเป็นเวลาหลายปีแล้ว สภาพป่าไม้ไม่สามารถที่จะฟื้นตัวขึ้นเองตามธรรมชาติได้ทันกับความต้องการในด้านอุปโภคบริโภค การอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม และขาดสมดุลทางระบบนิเวศ ถ้าปล่อยให้สภาพการณ์เป็นไปเช่นนี้ก็จะมีผลเสียหาย และกระทบกระเทือนสู่บริเวณลุ่มน้ำแม่สะงา ทั้งในด้านเศรษฐกิจ สังคม และนิเวศวิทยา พระองค์จึงทรงมีพระราชกระแสรับสั่งกับ พล.อ.ปิ่น ธรรมศรี หัวหน้าคณะทำงานส่วนพระองค์ในขณะนั้น เมื่อวันที่ 7 ก.พ. 2527 ว่า

“…ให้มีการปรับปรุงสภาพป่าบริเวณอ่างเก็บน้ำปางตองใหม่และฝายปางอุ๋ง ตำบลหมอกจำแป่ อำเภอเมือง จังหวัดแม่ฮ่องสอน ให้กลับคืนสู่สภาพเดิม…”

ถ่ายภาพแสงสุดท้ายบนยอดภูชี้เพ้อ

 

โครงการพระราชดำริปางตอง 2 (ปางอุ๋ง) ได้เข้าดำเนินการกิจกรรมเกี่ยวกับการฟื้นฟูสภาพป่าและปรับปรุงระบบนิเวศ มาตั้งแต่ปี 2528 จนถึงปัจจุบัน ได้แก่ การปลูกป่าในรูปแบบต่างๆ ทั้งการปลูกป่าทั่วไป ปลูกไม้ใช้สอย ปลูกป่า 3 อย่าง ประโยชน์ 4 อย่าง ปลูกหวายตามแนวพระราชดำริ ปลูกป่าปรับปรุงระบบนิเวศ การปลูกป่าเปียก รวมเนื้อที่ 20,710 ไร่ การจัดทำแนวกันไฟ การจัดทำฝายต้นน้ำชะลอความชุ่มชื้น รวมถึงการส่งเสริมการจัดทำโครงการธนาคารอาหารชุมชนเพื่อเป็นการพัฒนาคุณภาพชีวิตของราษฎร ซึ่งส่งผลทำให้ป่ามีความสมบูรณ์ ระบบนิเวศกลับมาสมบูรณ์อีกครั้ง นอกจากนี้โครงการยังได้พัฒนาพื้นที่ให้เป็นแหล่งท่องเที่ยว เนื่องจากสภาพภูมิประเทศของโครงการอยู่บนพื้นที่สูงมีทัศนียภาพป่าสนสามใบ มีอ่างเก็บน้ำขนาดใหญ่ และสภาพอากาศหนาวเย็นตลอดทั้งปี

ในช่วงเช้ามืดของฤดูหนาว อ่างเก็บน้ำจะเต็มไปด้วยหมอกลอยต่ำอยู่บนผิวน้ำ ซึ่งเป็นอีกมุมมองของการชมหมอก ที่โดยทั่วไปตัวคนจะอยู่บนยอดเขาแล้วมองลงมา แต่คราวนี้คนกับหมอกอยู่ในระนาบเดียวกัน หากเช่าเรือไม้ไผ่ที่ไม่มีหลังคาและกราบเรือให้นายท้ายเรือล่องไปกลางอ่างเก็บน้ำ จะเป็นวิธีที่จะได้สัมผัสหมอกแบบนำตัวเข้าไปอยู่ในม่านหมอกได้อย่างน่าทึ่ง

“เหมือนในนิทาน” ฉันจินตนาการ

นอกจากหมอกที่ทำให้ตื่นใจ แนวต้นสนริมอ่างเก็บน้ำยังน่าตื่นตา มันอยู่ฝั่งตรงข้ามของทิศตะวันออกทำให้ลำแสงเล็ดลอดจากต้นและกิ่งใบเปล่งประกายแตกแฉกเหมือนในภาพวาด โดยใต้ป่าสนนั้นเป็นลานกางเต็นท์ที่ยากแก่การจับจอง เพราะในแต่ละปีมีนักท่องเที่ยวเข้ามาเยี่ยมชมมากกว่า 1 แสนคน โดยเฉพาะในหน้าหนาว

จุดชมวิวทะเลหมอกบนความสูง 1,818 ม.

 

ปางอุ๋ง ตั้งอยู่ที่บ้านรวมไทย ห่างจากตัวเมืองแม่ฮ่องสอนประมาณ 44 กม. ได้รับสมญานานว่าเป็นสวิตเซอร์แลนด์เมืองไทย แต่ส่วนตัวคิดว่าไม่เหมือนนัก เพราะที่นี่เป็นโครงการพระราชดำริที่ได้เปลี่ยนไร่ฝิ่นให้เป็นสวนดอกไม้ เปลี่ยนจากเขาหัวโล้นให้เป็นป่า และเปลี่ยนความหิวโหยให้ชาวเขามีชีวิตที่ยั่งยืนคู่กับธรรมชาติ ปางอุ๋งจึงไม่ใช่แค่สถานที่ท่องเที่ยวป๊อปปูลาร์ แต่ยังเป็นพื้นที่ศึกษาการพัฒนาตามหลักความยั่งยืน

ภูชี้เพ้อ ถึงขั้นเพ้อถึงเธอ

ไม่อาจเรียกว่าแหล่งท่องเที่ยวได้เต็มปาก เพราะเขตของหน่วยจัดการต้นน้ำแม่หยอด สำนักบริหารพื้นที่อนุรักษ์ที่ 16 กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช ใน อ.ขุนยวม ที่ตั้งของภูชี้เพ้อ ไม่สามารถเปิดเป็นสถานที่ท่องเที่ยวได้เต็มรูปแบบ แต่สามารถเปิดเป็นแหล่งเรียนรู้ได้แบบไม่ผิดกฎเกณฑ์

ภูชี้เพ้ออยู่บริเวณเดียวกับทุ่งดอกบัวตอง ดอยแม่อูคอ ซึ่งหมดช่วงเบ่งบานแล้ว เข็มทิศจึงเบนไปที่ภูชี้เพ้อที่อยู่ก่อนถึงทุ่งดอกบัวตอง 5 กม. ข้อมูลระบุว่า ยอดภูมีระดับความสูง 1,818 ม. จากระดับน้ำทะเล เป็นจุดวิวแห่งใหม่ของขุนยวม ต้องใช้รถขับเคลื่อน 4 ล้อ ในการเดินทางหรือเหมาของคนในพื้นที่ขึ้นไป (โทร. 06-1529-2278) เส้นทางลัดเลาะไปตามไหล่เขาประมาณ 7 กม. และเมื่อไปจนสุดทางแล้วต้องขึ้นบันไดเดินต่อไปอีกจนถึงยอดภู จากนั้นเมื่อก้าวไปถึงจุดที่สูงที่สุด วินาทีนั้นจะเข้าใจความหมายของชื่อภูอย่างลึกซึ้งว่า ภูชี้เพ้อ หมายถึง สวยจนเพ้อ หรือเหนื่อยจนเพ้อ กันแน่

นักท่องเที่ยวจำ นวนมากแห่ไปสัมผัสอากาศหนาวบนยอดดอย

 

 

“เหนื่อยนั่นแหละถูกแล้ว” ฉันตอบ

ทิวทัศน์จากด้านบนจะมองเห็นแนวเขาสลับซับซ้อน เช่น ดอยอินทนนท์อยู่ลิบๆ ทางซ้าย และดอยแม่อูคอเหลืองอร่ามอยู่ทางขวา โดยในช่วงเช้ามืดจะมีทะเลหมอกหนาจัดอวดโฉมตระการตา มีพระอาทิตย์กลมโตเป็นไข่แดง และมีลมหนาวปะทะร่างให้สะใจตลอดเวลาที่อยู่บนนั้น

ภูชี้เพ้อจึงเป็นอันซีนเฉพาะผู้ที่ไปไม่ถึงเท่านั้น เพราะตอนนี้การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย สำนักงานแม่ฮ่องสอน กำลังโปรโมทให้เป็นเส้นทางท่องเที่ยวเชื่อมโยงระหว่างดอยแม่อูคอและจากขุนยวมขึ้นมา ให้เป็นแหล่งท่องเที่ยวเชิงธรรมชาติแห่งใหม่ที่ธรรมชาติได้คัดเฉพาะคนรักษ์ธรรมชาติตัวจริงด้วยตัวมันเองอยู่แล้ว

ทะเลหมอกน่ารัก คนก็คึกคักไปด้วย

กลายเป็นเทรนด์ของวัยรุ่นยุคนี้ที่หันมาเที่ยวธรรมชาติมากขึ้น โดยเฉพาะสถานที่ที่ถ่ายรูปสวยเหมาะแก่การโพสต์ลงโซเชียลมีเดีย (ทั้งสามแห่งมีสัญญาณมือถือชัดแจ๋ว) และเป็นสถานที่ใหม่ที่ทำให้เป็นคนแรกที่รีวิว ซึ่งเทรนด์เหล่านี้ดีต่อการท่องเที่ยว และเชื่อว่าวัยรุ่นจะตระหนักรู้พอที่จะไม่ทำลายสถานที่ท่องเที่ยวให้เป็นประเด็นดราม่า ทว่าจะเป็นพลังชักชวนพวกพ้องให้ออกไปสัมผัสธรรมชาติกันมากขึ้น

ทะเลหมอกบนภูชี้เพ้อ

 

นักท่องเที่ยวต่างเฝ้ารอพระอาทิตย์ขึ้นบนจุดชมวิวหยุนไหล

 

ความสวยงามที่เห็นแล้วต้องเพ้อ

 

นอนชิล อิงลมหนาว ชมดอกไม้ ฟลอร่า ครีค เชียงใหม่

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์โพสต์ทูเดย์

10 ธันวาคม 2559 เวลา 10:30 น…. อ่านต่อได้ที่ : http://www.posttoday.com/travel/thailand/469616

นอนชิล อิงลมหนาว ชมดอกไม้ ฟลอร่า ครีค เชียงใหม่

โดย…พุสดี

ร้อยทั้งร้อยของนักท่องเที่ยวที่เลือกเดินทางมาปักหมุดที่เชียงใหม่ในช่วงปลายปีแบบนี้ คงหนีไม่พ้นความหวังที่จะได้สัมผัสลมหนาว สูดอากาศบริสุทธิ์ให้เต็มปอด พร้อมชมความงามของดอกไม้เมืองหนาวที่พร้อมผลิดอกสวยๆ ให้เชยชม สำหรับขาลุย ชอบผจญภัยขึ้นดอยปีนเขา ความหวังนี้คงไม่ไกลเกินเอื้อม แต่สำหรับขาเที่ยวที่รักความสบาย ไม่โลดโผน แต่อยากสัมผัสประสบการณ์ฟินครบรสของการมาเที่ยวเชียงใหม่ที่ไม่ใช่แค่ซิตี้ทัวร์ ลองแวะมาฟลอร่า ครีค เชียงใหม่ รีสอร์ทสุดหรูแห่งใหม่ที่พร้อมมอบประสบการณ์สุดเอ็กซ์คลูซีฟด้วยทัศนียภาพที่สวยงามของวิวทิวทัศน์ และสวนดอกไม้กฤษดาดอยที่แวดล้อมด้วยบรรยากาศของดอกไม้และสายน้ำที่ยังคงความเป็นธรรมชาติสูง ภายใต้บริการระดับ 5 ดาว

บนพื้นที่กว่า 21 ไร่ของถนนสายหางดง-สะเมิง เป็นที่ตั้งของฟลอร่า ครีค รีสอร์ทสุดหรูท่ามกลางธรรมชาติอันงดงาม ประกอบด้วยห้องพักทั้งหมด 70 ห้อง แบ่งออกเป็น 4 แบบ ได้แก่ ดีลักซ์ แพลนเทชั่น ดีลักซ์ ฮอร์ริซอน สุพีเรียร์ การ์เดน วิว ทั้งสามแบบมีขนาดตั้งแต่ 33-63 ตารางเมตร แต่หากชื่นชอบความสะดวกสบาย ต้องการพื้นที่ใช้สอยที่กว้างขึ้น แนะนำห้องพักแบบพูล วิลล่า ขนาด 140 ตารางเมตร

ภายในห้องพักทั้งหมดได้รับการตกแต่งภายใต้คอนเซ็ปต์เดียวกันคือ การผสมผสานระหว่างความอ่อนหวานของดอกไม้และโทนสีเบจเข้าไว้ด้วยกันอย่างลงตัว ให้ความรู้สึกอบอุ่นราวกับอยู่บ้านของตัวเอง มีกลิ่นอายความเป็นตะวันตกผสมกับเสน่ห์ของล้านนา ด้วยการเลือกใช้โครงสร้างและวัสดุตกแต่งที่ทำมาจากไม้และอิฐ ผสานกับการนำกลิ่นอายล้านนาและศิลปะร่วมสมัยมาไว้ด้วยกัน

นอกเหนือจากความสวยงามและความสะดวกสบายที่สามารถสัมผัสได้จากทุกตารางนิ้วภายในห้องพักแล้ว ทางโรงแรมยังมีสิ่งอำนวยความสะดวกสำหรับคนรักสุขภาพ ทั้งสระว่ายน้ำและห้องออกกำลังกาย และสปา ซึ่งนอกจากจะช่วยผ่อนคลายความเหนื่อยล้าแล้ว ยังมอบความสดชื่นกลับคืนสู่ร่างกายและจิตใจได้ด้วยทรีตเมนต์ที่คัดสรรมาอย่างดี

บำบัดร่างกายและจิตใจจนสดใสสดชื่นแล้ว อย่าพลาดแวะมาเดินเล่นชมสวนดอกไม้เพลินๆ พร้อมเก็บภาพสวยๆ ณ สวนกฤษดาดอย สวนดอกไม้ขนาด 15 ไร่ ที่ได้ สกุล อินทกุล นักจัดดอกไม้มือหนึ่งของเมืองไทยร่วมจัดสวนดอกไม้ เพื่อให้ผู้มาเยือนได้อิ่มเอมกับความสดชื่นและความงดงามของดอกไม้ได้ในทุกฤดูกาล อีกหนึ่งไฮไลต์ที่พลาดไม่ได้คือ ห้องอาหารครีค คาเฟ่ ที่สามารถดึงดูดความสนใจได้ตั้งแต่แรกเห็นด้วยสไตล์ตกแต่งที่เป็นเอกลักษณ์ในสไตล์ทรอปิคอลล้านนา ซึ่งได้รับแรงบันดาลใจจากวิถีชีวิตชาวเขาเผ่าอาข่า ผสมผสานกับความอบอุ่นจากไม้ เสริมความแข็งแรงจากเหล็ก สามารถรองรับได้กว่า 150 ที่นั่ง บริการอาหารรสชาติไทยแท้ๆ และเมนูอาหารนานาชาติตลอดทั้งวัน

 

อย่างไรก็ตาม แม้จุดเด่นของโรงแรมจะมีความงดงามของธรรมชาติเป็นไฮไลต์ แต่อย่าเพิ่งมโนไปไกลว่าที่ตั้งของโรงแรมจะต้องซ่อนตัวอยู่ในหุบเขา เดินทางเข้าไปแล้วแทบไม่อยากกลับออกมา เพราะการเดินทางยังสะดวกสบาย ด้วยโลเกชั่นที่ห่างจากสนามบินนานาชาติเชียงใหม่เพียง 21 กิโลเมตร และห่างจากตัวเมืองไม่มาก ใช้เวลาเพียง 30 นาที ก็สามารถไปเดินเล่น หาของอร่อยกินในตัวเมืองได้แล้ว นอกจากนี้ยังใกล้แหล่งท่องเที่ยวมากมาย อาทิ ไร่สตรอเบอร์รี่ ปางช้าง สวนงู และไนท์ซาฟารี

เรียกได้ว่าเป็นอีกหนึ่งรีสอร์ทที่ควรค่าแก่การมาปักหมุดสำหรับนักเดินทางที่อยากรู้จักเชียงใหม่ในอีกมุมอย่างแท้จริง

Price : สุพีเรียร์ การ์เดน วิว ราคา4,500-7,000 บาท/คืนดีลักซ์ แพลนเทชั่น ราคา 6,000-1 หมื่นบาท/คืนดีลักซ์ ฮอร์ริซอน ราคา 7,000-1.1 หมื่นบาท/คืน พูล วิลล่า ราคา 1.8-3 หมื่นบาท/คืน

Place : 90 หมู่ 4 ต.บ้านปง อ.หางดงจ.เชียงใหม่ 50230 โทร. +66(0)52-001-400 www.floracreekchiangmai.com

Promotion : สำหรับสมาชิกบัตรเครดิตเคทีซี เมื่อสำรองห้องพักประเภทดีลักซ์ แพลนเทชั่น พร้อมอาหารเช้าในราคา 6,500บาท (จากราคาปกติ 29,675 บาท) นอกจากนี้ เมื่อสมาชิกสำรองห้องพัก 2 คืน หรือ 1คืน 2 ห้องขึ้นไป สามารถอัพเกรดเป็นห้องพักประเภทดีลักซ์ ฮอร์ริซอน พร้อมรับชุดอาฟเตอร์นูนที 1 มื้อ สำหรับ 2 ท่าน มูลค่า2,000 บาท ตั้งแต่วันนี้-31 มี.ค. 2560

 

เดินทางพ่อ เรื่องเล่าจากดอยอินทนนท์

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์โพสต์ทูเดย์

10 ธันวาคม 2559 เวลา 10:23 น…. อ่านต่อได้ที่ : http://www.posttoday.com/travel/thailand/469614

เดินทางพ่อ เรื่องเล่าจากดอยอินทนนท์

โดย…กาญจน์ อายุ

หลายคนเคยไปพิชิตดอยอินทนนท์ แต่จะมีสักกี่คนที่เคยไป “สถานีเกษตรหลวงอินทนนท์” จำได้ว่าคำตอบที่เขียนในใบสมัครทริปเดินทางพ่อเป็นประมาณนี้

เดินทางพ่อ Walk Of The King เป็นโครงการที่ได้คัดเลือกคนรุ่นใหม่จำนวน 100 คน เดินทางไปตามรอยพ่อใน 5 สถานที่ (20 คน/ทริป) ได้แก่ สถานีเกษตรหลวงอ่างขาง โครงการหลวงแม่ลาน้อย สถานีเกษตรหลวงอินทนนท์ อุทยานแห่งชาติกุยบุรี และศูนย์ศึกษาการพัฒนาอ่าวคุ้งกระเบน เพื่อสานต่อสิ่งที่ในหลวง รัชกาลที่ 9 ทรงทำด้วยการส่งต่อมุมมองใหม่จาก 5 สถานที่ ซึ่งการเดินทางพ่อนี้เป็นหนึ่งในโครงการสานต่อที่พ่อทำ

น้ำตกในเส้นทางศึกษาธรรมชาติกิ่วแม่ปาน

 

โชคดีที่ได้เป็น 1 ใน 5,000 คน

สมุดจดมุงหลังคาจำนวน 20 แผ่น ถูกแจกพร้อมปากกาสีดำให้แก่ผู้ร่วมทริปทั้ง 20 คน มันเป็นกระดาษถนอมสายตาไร้เส้น ซึ่งได้เขียนประเดิมกระดาษหน้าสุดท้ายไว้ว่า

“11 พ.ย. 59 หมอก เย็น อาหารอร่อย ดอกไม้สวย แปลงปลูกดอกไม้ การพัฒนา การแก้ไขปัญหา ฝิ่น ต้นไม้ ในหลวงคือต้นไม้ ความรู้สึกแรกคือ ความร่มเย็น”

บทสรุปหลังจากอยู่ที่สถานีเกษตรหลวงอินทนนท์ได้เพียงไม่กี่ชั่วโมง ซึ่งเป็นข้อความที่เขียนขึ้นหลังได้คุยกับ พี่ แดงศรี จุลศิริ นักปรับปรุงพันธุ์ไม้ดอก ของสถานีเกษตรหลวงอินทนนท์ เธอได้ปวารณาตนเป็น เกษตรกรของแผ่นดิน

ช่องทางลมของป่าสังเกตได้จากกิ่งก้านของต้นไม้

 

เธอเล่าว่า พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชเสด็จฯ มายังโครการหลวงอินทนนท์เมื่อปี 2512 ซึ่งในขณะนั้นอินทนนท์มีสภาพเป็นเขาหัวโล้น ชาวบ้านชาวปกาเกอะญอและชาวม้งทำไร่ฝิ่นและไร่เลื่อนลอยเพื่อยังชีพ พระองค์จึงมีพระราชประสงค์ที่จะช่วยเหลือชาวเขาเหล่านั้นให้มีพื้นที่ทำกินเป็นหลักแหล่ง จึงได้ถ่ายทอดวิชาความรู้ทางด้านการเกษตรแผนใหม่ ด้วยการหันมาทำการเกษตรแบบถาวรเพื่อปรับปรุงฐานะความเป็นอยู่ให้ดีขึ้น ต่อมาพระองค์มีพระราชดำริให้จัดตั้ง “สถานีวิจัยโครงการหลวงอินทนนท์” ขึ้นในปี 2522 บริเวณบ้านขุนกลาง เพื่อเป็นสถานีวิจัยของมูลนิธิโครงการหลวง ดำเนินงานวิจัยด้านไม้ดอก ไม้ประดับ พืชผัก และไม้ผล รวมทั้งถ่ายทอดผลงานวิจัยไปสู่การส่งเสริมให้เป็นรายได้ของครอบครัวเกษตรกร พร้อมกับการพัฒนาปัจจัยพื้นฐานด้านสังคมและการอนุรักษ์ป่าต้นน้ำลำธารควบคู่กันไป และโปรดให้เป็น “สถานีเกษตรหลวงอินทนนท์” ในปี 2550

ต้นทางของดอกไม้

ปัจจุบันสถานีเกษตรหลวงอินทนนท์ แบ่งการทำงานออกเป็น 3 ด้าน ได้แก่ ด้านงานวิจัยเพื่อเพิ่มผลผลิตให้มีคุณภาพได้มาตรฐาน แยกย่อยเป็น งานวิจัยจำพวกไม้ดอกและไม้ประดับที่ได้พัฒนาและรวบรวมสายพันธุ์ไม้ดอกไม้ประดับ เพื่อจำหน่ายเป็นไม้ตัดดอกและไม้ตัดใบ ประเภทผักที่มีการคัดเลือกและปรับปรุงพันธุ์เพื่อให้ต้านทานโรค ประเภทพืชไร่ที่มีการส่งเสริมให้เกษตรกรขยายพันธุ์ข้าว ประเภทไม้ผลที่ได้ปรับปรุงเพื่อทดสอบสายพันธุ์ใหม่ให้ทนต่อการปลูกบนที่สูงของประเทศไทย เช่น เซเลอรี่ เฟนเนล มะเขือเทศโครงการหลวง ซุกินี เคพกูสเบอรี่ เสาวรส และประเภทส่งเสริมงานประมงบนพื้นที่สูงอย่าง ปลาเทราต์สายรุ้ง และปลาสเตอร์เจียน

พวงมะเขือเทศลูกโตส่งโครงการหลวงในบ้านผาหมอน

 

ด้านที่สองคือ การเป็นศูนย์การเรียนรู้การเกษตรบนพื้นที่สูง เพื่อส่งเสริมให้ผลงานวิจัยของสถานีเผยแพร่ไปยังชุมชนและผู้สนใจ ทั้งการจัดแสดงรวบรวมพันธุ์ไม้บนที่สูง งานผลิตพืชและไม้กระถาง และงานวิจัยประมงบนพื้นที่สูง

และสุดท้ายในด้านการดำเนินการพัฒนาและส่งเสริมอาชีพให้กับเกษตรกรชาวไทยภูเขาไปพร้อมกับการฟื้นฟูอนุรักษ์ธรรมชาติ โดยมีการส่งเสริมปลูกพืชไร่ งานหัตถกรรม งานท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์ งานเสริมสร้างความเข้มแข็งแก่ชุมชน งานฟื้นฟู และอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติ

กลุ่มเมฆลอยเหนือโรงเรือนดอกไม้บนดอยอินทนนท์

 

โดยสรุปคือ ต้นทางของดอกไม้ เกิดขึ้นจากการวิจัยปลูกพืชต่างถิ่นที่เป็นที่ต้องการของตลาดทั้งไม้ดอกและไม้ผล ซึ่งต้องวิจัยให้ได้พันธุ์ที่เหมาะสมกับพื้นที่ก่อนจึงนำไปสู่ขั้นตอน การขยายพันธุ์ เมื่อวิจัยจนได้พันธุ์ที่แข็งแรง สถานีฯ จะขยายพันธุ์เพื่อแจกจ่ายให้ชาวบ้าน พร้อมๆ กับขั้นตอนสุดท้าย การส่งเสริมชาวบ้านให้ปลูก และเมื่อพืชผลงอกงามพร้อมขาย ทางโครงการหลวงจะรับซื้อไว้ทั้งหมดเพื่อนำไปขายทั่วประเทศ

ต้นทางของกาแฟ

เมล็ดพันธุ์ที่ในหลวง รัชกาลที่ 9 ทรงหว่านไว้เมื่อ 37 ปีก่อน วันนี้ได้เติบโตสูงใหญ่เป็นต้นไม้ที่แข็งแรงและแผ่ขยายรากออกไปไกลทั่วทุกหมู่บ้านอย่างที่ บ้านหนองหล่ม

โรงเรียนจัดแสดงพันธุ์ เช่น ฟิวเซีย บีโกเนีย เป็นต้น

 

หมู่บ้านเล็กๆ กลางป่าใหญ่ที่ยากแก่การสัญจรและติดต่อสื่อสาร ในหลวง รัชกาลที่ 9 ทรงเสด็จฯ มาถึง 3 ครั้ง และผู้ที่คอยรับเสด็จทุกครั้งคือ คุณตา พะโย่ ตาโร อดีตผู้ใหญ่บ้านหนองหล่ม ตาพะโย่ กล่าวว่า เมื่อมีรับสั่งถามถึงต้นกาแฟ จึงได้นำทางไปทอดพระเนตรต้นกาแฟ 2-3 ต้นหลังบ้าน ทรงมีรับสั่งสอนให้มีการใส่ปุ๋ย และนำหญ้ามาใส่โคนต้น จากนั้นตาพะโย่ได้นำเมล็ดกาแฟทูลเกล้าถวายพระองค์ 2-3 กก. และทรงทอดพระเนตรเห็นว่าเมล็ดกาแฟมีความสมบูรณ์ดี ปลูกในพื้นที่ภาคเหนือได้ จึงมีรับสั่งให้ส่งเสริมการปลูกกาแฟโดยใช้เมล็ดที่ตาพะโย่นำมาทูลเกล้าถวาย ไปวิจัย และนำกลับคืนให้ชาวบ้านนำไปปลูกต่อ ต่อมาในปี 2525 ในหลวง รัชกาลที่ 9 เสด็จทอดพระเนตรแปลงกาแฟที่ขุนวาง (ศูนย์วิจัยเกษตรหลวงเชียงใหม่ในปัจจุบัน) และทรงมีพระราชดำริให้กรมวิชาการเกษตรพัฒนาสายพันธุ์กาแฟที่เหมาะสมกับสภาพที่สูงของประเทศไทยเพื่อปลูกทดแทนฝิ่นบนพื้นที่สูง จึงกล่าวได้ว่า เมล็ดกาแฟของตาพะโย่ คือ ต้นทางของการปลูกก้าแฟอราบิกาในศูนย์พัฒนาโครงการหลวง 24 ศูนย์

“ฝิ่นไม่มีแล้ว ป่าอยู่ได้ ในหลวงบอกว่าให้ปลูกกาแฟไป อีกปีสองปีจะเห็นว่าพัฒนา” ตาพะโย่ กล่าวและเล่าต่อว่า พระองค์ตรัสให้สานต่อการปลูกกาแฟเพื่อเป็นตัวอย่างแก่คนอื่น เพราะกาแฟมีราคาดี สภาพพื้นที่เหมาะสม ปลูกแล้วป่าอยู่ได้ และน้ำก็ยังอยู่คง

โรงเรือนปลูกกุหลาบที่บ้านผาหมอน

 

เช่นเดียวกันกับหมู่บ้านผาหมอน ที่ได้รับการส่งเสริมให้ปลูกกุหลาบ กาแฟ และมะเขือเทศ จนกลายเป็นอาชีพหลักของคนในหมู่บ้าน และหมู่บ้านแม่กลางหลวงที่ ในหลวง รัชกาลที่ 9 ทรงเปลี่ยนไร่ฝิ่นให้เป็นนาข้าวกว่า 10 สายพันธุ์ ทำให้ชาวบ้านมีข้าวกินและมีรายได้จากการขายเมล็ดกาแฟ

ต้นทางของสายธาร

ผลลัพธ์ของการรักษาป่าคือ น้ำ ป่าต้นน้ำจึงสำคัญต่อทุกชีวิตตั้งแต่คนต้นน้ำ กลางน้ำ และคนปลายน้ำอย่างคนกรุงเทพฯ ตัวอย่างเส้นทางศึกษาธรรมชาติอันเป็นผลของการรักษาป่าและต้นน้ำอยู่ที่ เส้นทางกิ่วแม่ปาน ภายในเขตอุทยานแห่งชาติอินทนนท์

คุณตาพะโย่ ตาโร เจ้าของกาแฟต้นแรก

 

 

พี่ เมย์-ภาวิณี เกียรตากุล ผู้นำเที่ยวเฉพาะถิ่น เป็นคนนำทาง และอธิบายจุดต่างๆ ทั้ง 21 จุดระหว่างทางเดินกิ่วแม่ปาน เริ่มที่จุดที่ 1 ป่าเฟิร์นยุคโบราณอายุประมาณ 230 ล้านปีซึ่งเป็นเฟิร์นใบบางที่สุดในโลก ต่อด้วยป่าเมฆ ป่าที่ถูกปกคลุมด้วยเมฆหมอกหลายเดือนจนทำให้การย่อยสลายใบไม้ยาก ไม้ที่พบมาก เช่น ก่อ หว้า กุหลาบพันปี และป่าต้นน้ำ สถานที่กำเนิดสายธารบริสุทธิ์สะอาด มีออกซิเจน ซึ่งลำห้วยทุกสายในลุ่มน้ำนี้จะไหลลงสู่แม่น้ำปิง ก่อนเป็นแม่น้ำเจ้าพระยาที่หล่อเลี้ยงคนภาคกลางอย่างในปัจจุบัน พี่เมย์พาเดินไปเรื่อยๆ ผ่านจุดต่างๆ ทั้งป่าเมืองหนาว เฟิร์นทนไฟ จนกระทั่งถึงจุดไฮไลต์ที่ กิ่วแม่ปาน

กิ่วแม่ปาน หรือป่าสองมุมบนสันเขา ลักษณะเป็นสันบนเขา ป่าด้านนอกจะถูกแดดส่องและถูกลมปะทะแรงจนตัดยอดไม้ให้เตี้ยลง ผิดกับป่าด้านในที่ชุ่มชื้นด้วยพันธุ์ไม้ดั้งเดิม และบนนั้นยังเป็นแหล่งกำเนิดของกุหลาบพันปี พืชที่ปรับตัวเองให้เข้ากับอากาศหนาวเย็น มีดอกสีแดงสดเพื่อให้แมลงเข้ามากินน้ำหวานและผสมเกสรได้สะดวก รวมถึงเรื่องราวของสายน้ำ ยอดของสูงสุดของไทย อธิบายใจความว่า ห้วยน้ำเล็กๆ ปกคลุมด้วยป่าดิบเขา มีฝนชุก หมอกหนาตลอดปี ทำให้อากาศชื้นมาก ต้นไม้คายน้ำได้น้อย ทำให้ใบไม้ย่อยสลายช้า เกิดเป็นผ้าห่มที่ซับน้ำฝนแล้วส่งไปเก็บใต้ดินร่วนพรุน และกลายมาเป็นป่าต้นน้ำชั้นเยี่ยมที่เก็บกักน้ำไว้และปล่อยน้ำได้ทั้งปี

ภาวิณี เกียรติยากุล ไกด์ท้องถิ่นคอยอธิบายเรื่องราวของป่ากิ่วแม่ปาน

 

เส้นทางศึกษาธรรมชาติกิ่วแม่ปาน มีระยะทาง 3.2 กม. ซึ่งสามารถแสดงให้ประจักษ์ถึงความเป็นมาของสายน้ำที่มีความสัมพันธ์กับป่าโดยตรง ไม่ใช่เพียงการเปิดก๊อกแล้วน้ำไหลออกมาอย่างที่เคยทำ

ทั้งสามต้นทางที่กล่าวมา ต้นทางของดอกไม้ ต้นทางของกาแฟ และต้นทางของสายธาร ล้วนเป็นจุดเริ่มต้นของหลายชีวิตไม่ว่าจะเป็นธรรมชาติ ชาวบ้าน และชาวเมือง อย่างคนรุ่นใหม่ทั้ง 20 ชีวิตในทริปเดินทางพ่อที่จะกลายเป็นต้นทางของอะไรบางอย่างในการเปลี่ยนแปลงบางสิ่งให้ดีขึ้น เพราะเมล็ดพันธุ์ที่ถูกบ่มเพาะมาตลอด 2 วัน 3 คืน จะเติบโตมาเป็นต้นไม้ใหญ่พร้อมออกผลแพร่พันธุ์ และไม่ว่าใครก็สามารถมีเมล็ดพันธุ์นั้นได้ หากมองเห็น ศึกษา และเข้าใจ ก็จะพัฒนาและแก้ไขปัญหาต่างๆ ได้ตามทางของพ่อ

แกะขนปุยในสถานีวิจัยโครงการหลวงอินทนนท์

 

ชาวบ้านแกะต้นขึ้นฉ่ายจากกระถางเพื่อนำ ไปขาย

 

ผักปลอดสารพิษในแปลงปลูกผักโครงการหลวง

 

ความสวยงามย้อนเวลา พระราชวังบางปะอิน

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์โพสต์ทูเดย์

04 ธันวาคม 2559 เวลา 07:50 น…. อ่านต่อได้ที่ : http://www.posttoday.com/travel/thailand/468542

ความสวยงามย้อนเวลา พระราชวังบางปะอิน

โดย…สืบสิน ภาพ คลังภาพโพสต์ทูเดย์

ยังจำได้เมื่อคราวยังเด็ก คุณครูจะพามาทัศนศึกษาเป็นครั้งแรกที่พระราชวังบางปะอิน ตอนนั้นทั้งรู้สึกตื่นเต้นระคนความประทับใจเพราะเป็นพระราชวังสมัยโบราณที่ยังไม่ได้ถูกทำลาย

ตามประวัติแล้ว พระราชวังแห่งนี้เป็นพระราชวังบนเกาะกลางน้ำอันงดงามและกว้างขวาง ซึ่งมีประวัติความเป็นมายาวนาน ย้อนไปถึงสมัยอยุธยาตอนกลาง และยังเป็นต้นแบบการปรับตัวให้เข้ากับยุคตะวันตกในรัชกาลที่ 5 ทั้งยังกลายเป็นแหล่งรวมปูชนียสถานสำคัญหลายแห่งตกทอดมาถึงปัจจุบันอีกด้วยนะครับ

 

ตามพงศาวดารยังเล่าว่า “พระเจ้าปราสาททองหรือพระศรีสรรเพ็ชญ์ที่ 5” (พ.ศ. 2172-2199) ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้สร้างพระราชวังแห่งนี้ขึ้นบนเกาะบ้านเลนในลำแม่น้ำเจ้าพระยา อันเนื่องมาจากเรือพระที่นั่งของสมเด็จพระเอกาทศรถ พระราชบิดาของพระเจ้าปราสาททองล่มลงแถวเกาะบางปะอิน ครั้งนั้นจึงทรงได้พบหญิงชาวบ้านซึ่งต่อมาทรงเป็นพระราชมารดาของสมเด็จพระเจ้าปราสาททอง

ครั้นใน พ.ศ. 2175 เมื่อเสด็จขึ้นครองราชย์ได้ 2 ปี จึงโปรดเกล้าฯ ให้สร้างวัดที่เกาะบางปะอิน บริเวณบ้านเดิมของพระราชมารดา แล้วพระราชทานนามว่า วัดชุมพลนิกายาราม รวมทั้งขุดสระน้ำสร้างพระราชนิเวศขึ้นกลางเกาะ และสร้างพระที่นั่งองค์หนึ่งริมสระ พระราชทานนามว่า พระที่นั่งไอศวรรย์ทิพยอาสน์ ซึ่งพระราชวังแห่งนี้เป็นที่ประทับเมื่อยามเสด็จประพาสของพระมหากษัตริย์สมัยกรุงศรีอยุธยาเสมอมา กระทั่งเสียกรุงครั้งที่ 2 ใน พ.ศ. 2310 บริเวณนี้จึงรกร้างไป

 

กาลต่อมาในรัชกาลที่ 4 และรัชกาลที่ 5 แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ทรงทำนุบำรุงและ โปรดเกล้าฯ ให้สร้างพระที่นั่งและสิ่งก่อสร้างอีกหลายแห่งขึ้นภายในบริเวณพระราชวังบางปะอิน โดยเฉพาะรัชกาลที่ 5 โปรดประทับที่นี่มาก ด้วยเป็นพระราชวังบนเกาะกลางน้ำอันสงบร่มเย็น และเคยเป็นที่ประทับเมื่อสมเด็จพระบรมราชชนกเสด็จประพาสบางปะอินมาก่อน ยังทรงใช้ที่นี่เป็นที่รับรองพระราชอาคันตุกะและพระราชทานเลี้ยงรับรองอยู่เนืองๆ อีกด้วย

เนื่องจากบริเวณพระราชวังกว้างขวางมาก และแบ่งเป็น 2 เขตใหญ่ๆ คือ เขตพระราชฐานชั้นนอก ซึ่งใช้เป็นที่สำหรับออกมหาสมาคมและพระราชพิธีต่างๆ และยังมีเขตพระราชฐานชั้นในอันเป็นที่ประทับส่วนพระองค์ สำหรับส่วนที่เปิดให้ประชาชนทั่วไปเข้าเยี่ยมชมได้ คือ เขตพระราชฐานชั้นนอกเท่านั้น

 

สิ่งที่ยังยืนยัดท้ากาลเวลามาจนถึงทุกวันนี้ ก็คือ หอเหมมณเฑียรเทวราช ปรางค์ศิลาจำลองแบบจากปรางค์ขอม พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงโปรดเกล้าฯ ให้สร้างเมื่อ พ.ศ. 2423 เพื่อทรงอุทิศถวายแด่พระเจ้าปราสาททอง

นอกจากนี้ ยังมีพระที่นั่งไอศวรรย์ทิพยอาสน์ รัชกาลที่ 5 โปรดเกล้าฯ ให้สร้างมหาปราสาทโถงทรงจตุรมุขกลางน้ำในสถาปัตยกรรมแบบไทยสร้างด้วยไม้ทั้งองค์ ถอดแบบมาจาก พระที่นั่งอาภรณ์ภิโมกข์ปราสาท ในพระบรมมหาราชวัง กรุงเทพฯ และพระราชทานนามตามพระที่นั่งองค์แรกที่สร้างขึ้นในสมัยพระเจ้าปราสาททอง ภายในประดิษฐานพระบรมรูปหล่อสัมฤทธิ์ของรัชกาลที่ 5 ขนาดเท่าพระองค์จริง ทรงเครื่องยศจอมพลทหารบก ซึ่งรัชกาลที่ 6 สร้างถวายและมีรับสั่งให้เปลี่ยนเป็นเสากับพื้นเป็นคอนกรีตเสริมเหล็กทั้งหมด

 

สิ่งที่งดงามไม่แพ้กัน พระที่นั่งวโรภาษพิมาน พระที่นั่งทรงวิหารกรีกแบบคอรินเธียรออร์เดอร์ ใช้เป็นท้องพระโรงสำหรับเสด็จออกขุนนางในงานพระราชพิธี เคยเป็นที่รับรองแขกเมืองหลายครั้ง เช่น พ.ศ. 2436 รับรองพระเจ้าซาร์นิโคลัสแห่งรัสเซีย พ.ศ. 2436 รับรองเมอร์ซิเออร์ปาวีร์ ทูตฝรั่งเศส และ พ.ศ. 2452 รับรองดยุกและดัชเชสโยฮันเบรตแห่งเมืองบรันทวีทแห่งเยอรมนี ภายในตกแต่งภาพเขียนสีน้ำมันชุดพระราชพงศาวดารอิเหนา พระอภัยมณี สังข์ทอง จันทโครพ และรามเกียรติ์ ตลอดจนเก็บอาวุธโบราณ ตุ๊กตาหินสลัก และเครื่องราชบรรณการต่างๆ

ที่ผมชอบใจและรู้สึกตื่นเต้นเมื่อได้เห็นอีกอย่าง ก็คือ สภาคารราชประยูร อาคาร 2 ชั้น ริมน้ำตรงข้ามพระที่นั่งวโรภาษพิมาน สร้างในสมัยรัชกาลที่ 5 เพื่อเป็นที่ประทับของเจ้านายฝ่ายหน้าและข้าราชบริพาร นอกจากนี้ยังมีพื้นที่เชื่อมต่อระหว่างเขตพระราชฐานชั้นนอกและชั้นใน คือ สะพานจากพระที่นั่งวโรภาษพิมานและประตูทางเข้าพระราชฐาน นามว่า ประตูเทวราชครรไล โดยออกแบบให้มีฉากคล้ายบานเกล็ดกั้นกลาง เพื่อแยกทางเดินของฝ่ายหน้าและฝ่ายใน สำหรับบริเวณเขตพระราชฐานชั้นใน มีอาคารที่น่าดูชมหลายแห่ง ได้แก่

 

พระที่นั่งอุทยานภูมิเสถียร พระที่นั่งเรือนไม้สไตล์ชาเลต์สวิส ซึ่งมีเฉลียงทั้งสองชั้น ทาสีธรรมชาติงดงาม ด้านนอกเป็นสีเขียวอ่อนแก่สลับกัน ตัดกับเครื่องเรือนไม้มะฮอกกานีจัดสลับลายทองทับจากยุโรป รอบด้านตกแต่งเครื่องราชบรรณาการจากหัวเมืองต่างๆ ล้วนแล้วแต่เป็นของหายากประจำเมืองทั้งสิ้น แต่ใน พ.ศ. 2481 เกิดอัคคีภัยขึ้นระหว่างการซ่อมแซม เป็นเหตุให้พระที่นั่งทั้งองค์สูญสิ้นไปกับเปลวเพลิง เหลือเพียงหอน้ำ ที่สร้างตามแบบหอรบของยุโรป ทว่าพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 9 พระราชทานพระบรมราชานุญาตตามคำกราบบังคมทูลของสำนักพระราชวัง ให้สร้างพระที่นั่งคอนกรีตขึ้นแทนองค์เก่า

พระที่นั่งเวหาศน์จำรูญ สถานที่ประทับฤดูหนาวสร้างตามสถาปัตยกรรมจีน จึงมีชื่อเรียกง่ายๆ ว่าเก๋งจีน และมีชื่อเป็นภาษาจีนด้วยว่า เทียน (เวหา) เม่ง (จำรูญ) เต้ย (พระที่นั่ง) โดยพระยาโชฎึกราชเศรษฐี (ฟัก) สร้างถวายพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 มีงานสถาปัตย์และงานประณีตศิลป์งดงามยิ่ง อาทิ ลายแกะสลักโถงหน้าปูพื้นกระเบื้องกังไส ซึ่งทุกแผ่นประดับภาพเขียนงานฝีมือ พร้อมเครื่องตกแต่งจากจีน เปิดให้เข้าชั้นล่างได้บางห้อง

 

นอกจากนี้ ยังมี เก๋งบุปผาประพาส ตำหนักเก๋งเล็กกลางสวนริมสระอันงดงาม สร้างในสมัยรัชกาลที่ 5 เมื่อ พ.ศ. 2424 และยังมีหอวิฑูรทัศนา ถ้าจะชมทิวทัศน์กว้างรอบด้าน ต้องขึ้นบันไดมาที่พระที่นั่ง 3 ชั้น มีลักษณะเป็นหอสูงยอดมนที่ตั้งอยู่บนเกาะน้อย ระหว่างพระที่นั่งอุทยานภูมิเสถียรและพระที่นั่งเวหาศน์จำรูญ สร้างขึ้นในสมัยรัชกาลที่ 5 เพื่อเป็นหอส่องกล้องชมทิวทัศน์

และยังมีอนุสาวรีย์สมเด็จพระนางเจ้าสุนันทากุมารีรัตน์ หรืออนุสาวรีย์พระนางเรือล่ม รัชกาลที่ 5 โปรดเกล้าฯ ให้สร้างขึ้นเพื่อเป็นอนุสาวรีย์แห่งความรักและบรรจุพระสรีรังคารของพระมเหสีผู้เป็นที่รักยิ่งของพระองค์ ซึ่งเสด็จทิวงคตขณะทรงพระครรภ์ 5 เดือน พร้อมกับสมเด็จฯเจ้าฟ้ากรรณาภรณ์เพชรรัตน์ พระราชธิดาเมื่อ พ.ศ. 2423 จากเหตุเรือพระที่นั่งล่มในแม่น้ำเจ้าพระยา บริเวณ ต.บางพูด อ.ปากเกร็ด จ.นนทบุรี โดยไม่มีผู้ใดกล้าเข้าไปช่วยเหลือตามกฎมณเฑียรบาลที่ว่า ห้ามผู้ใดแตะต้องพระวรกายพระมเหสี มิฉะนั้นจะถูกประหารทั้งโคตร เป็นเหตุให้ทรงเสียพระราชหฤทัยอย่างยิ่ง

อนุสาวรีย์แห่งนี้มีฐานรูปทรงสี่เหลี่ยมและยอดหกเหลี่ยมทรงสูง สร้างด้วยหินอ่อนจากประเทศอิตาลี ตอนกลางเป็นรูปสี่เหลี่ยม ด้านตะวันตกมีจารึกเป็นภาษาไทย ทางด้านใต้ของอนุสาวรีย์ทำเป็นรูปช่อดอกไม้ และใบไม้ล้อมพระนามย่อ “สกร” อยู่ภายใต้มงกุฎ ทางด้านเหนือทำเป็นรูปช่อดอกไม้ หรือพวงหรีดล้อมเครื่องราชอิสริยาภรณ์ อันเป็นโบราณมงคลนพรัตนราชวราภรณ์ คำจารึกทั้งภาษาไทยและภาษาอังกฤษ ที่รัชกาลที่ 5 พระราชนิพนธ์เองต่อปิยมหาราชินีผู้เป็นที่รักยิ่ง โดยรัชกาลที่ 5 เสด็จพระราชดำเนินเปิดอนุสาวรีย์เมื่อวันที่ 31 พ.ค. 2426 ซึ่งตรงกับวันที่สมเด็จพระนางเจ้าสุนันทากุมารีรัตน์เสด็จทิวงคตครบรอบ 3 ปี

 

รวมไปถึงอนุสาวรีย์พระอัครชายาเธอ พระองค์เจ้าเสาวภาคย์นารีรัตน์ และเจ้าฟ้า 3 พระองค์ ปีเดียวกับที่พระอัครชายาเธอ พระองค์เจ้าเสาวภาคนารีรัตน์ พระอัครชายาองค์ที่ 1 ในรัชกาลที่ 5 สิ้นพระชนม์ใน พ.ศ. 2430 ขณะพระชันษา 33 พรรษา พระราชโอรสและพระราชธิดาที่ประสูติแต่สมเด็จพระศรีพัชรินทราบรมราชินีนาถ สิ้นพระชนม์ลงอีก 3 พระองค์ คือ สมเด็จเจ้าฟ้า (หญิง) พาหุรัดมณีมัยกรมพระเทพนารีรัตน์ พระชันษา 9 ปี, สมเด็จเจ้าฟ้า (ชาย) ตรีเพชรรุตม์ธำรง พระชันษา6 ปี และสมเด็จเจ้าฟ้า (ชาย) ศิริราชกกุธภัณฑ์ พระชันษา 2 ปี พระศพของเจ้านายทั้ง 4 พระองค์นี้ ได้พระราชทานเพลิงใน พ.ศ. 2430 ณ พระเมรุท้องสนามหลวง และใน พ.ศ. 2431 ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้สร้างอนุสาวรีย์ที่ระลึกทำด้วยหินอ่อนแกะสลักพระรูปเหมือนไว้ใกล้กับอนุสาวรีย์สมเด็จพระนางเจ้าสุนันทากุมารีรัตน์ พระบรมราชเทวี

นอกเหนือจากพลับพลาที่ประทับและสิ่งก่อสร้างสถาปัตยกรรมหลากหลายชาติแล้ว รอบๆ ยังเป็นสวนร่มรื่นที่มีดอกไม้นานาพรรณบานสะพรั่งให้ได้ถ่ายรูปกันด้วย

นอกจากจะยังมีสิ่งสวยงามสะท้อนวันและเวลาแล้ว ถ้าไม่ต้องการจะเดินชม ก็ยังมีบริการรถกอล์ฟให้เช่าอีกด้วยนะครับ

เปิดให้เข้าชมทุกวัน เวลา 08.00-17.00 น. อัตราค่าเข้าชม ผู้ใหญ่ 50 บาท เด็กนักเรียน นิสิตนักศึกษา (ในเครื่องแบบต้องมีบัตรประจำตัวนักศึกษา) 20 บาทสอบถามรายละเอียดได้ที่ สำนักพระราชวังบางปะอิน โทร.035-261-044, 035-261-549, 035-261-673

 

เป็กกี้ โคฟ รีสอร์ท หมู่บ้านชาวประมงริมหาดคุ้งวิมาน

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์โพสต์ทูเดย์

03 ธันวาคม 2559 เวลา 09:43 น…. อ่านต่อได้ที่ : http://www.posttoday.com/travel/thailand/468488

เป็กกี้ โคฟ รีสอร์ท หมู่บ้านชาวประมงริมหาดคุ้งวิมาน

โดย…นิทรา ราตรี

หมู่บ้านริมทะเลในแคนาดาถูกสร้างขึ้นริมหาดคุ้งวิมาน เป็กกี้ โคฟ รีสอร์ท (Peggy’s Cove Resort) จันทบุรี ถูกสร้างขึ้นโดยมีแรงบันดาลใจมาจากหมู่บ้านชาวประมงตะวันตกที่ชื่อว่า เป็กกี้ โคฟ วิลเลจ (Peggy’s Cove Village) หมู่บ้านขนาดเล็กบนชายฝั่งมหาสมุทรแอตแลนติกแห่งโนวาสโกเชีย โดดเด่นด้วยบ้านหลากสีที่ถูกจำลองมาใช้เป็นห้องพัก รวมถึงบรรยากาศริมทะเลที่ถูกแทนที่ด้วยสระว่ายน้ำ และสะพานไม้ที่ใช้เป็นทางเดินล้วนให้บรรยากาศเสมือนหมู่บ้านชาวประมง

รีสอร์ทมีห้องพัก 38 ห้อง เริ่มต้นที่ห้องดีลักซ์ ขนาด 45 ตร.ม. ภายในตกแต่งเรียบง่าย เน้นสีขาว ใช้เฟอร์นิเจอร์สีขาว มีระเบียงกว้าง และอ่างอาบน้ำ ดีลักซ์ พูล แอ็กเซส ขนาด 45.6 ตร.ม. ห้องสีฟ้าอ่อน มีระเบียงติดสระว่ายน้ำ และอ่างอาบน้ำ ดีลักซ์ จากุซซี่ วิลล่า ขนาด 50 ตร.ม. ห้องเดี่ยวริมน้ำพิเศษตรงที่มีอ่างจากุซซี่ในห้องกระจก และแกรนด์ ดีลักซ์ พูล วิลล่า ขนาด 60 ตร.ม. มีสระว่ายน้ำส่วนตัวขนาด 14 ตร.ม. มีระเบียง สวนส่วนตัว และอ่างอาบน้ำ โดยทุกห้องใช้ที่นอนแบบหนาพิเศษ 12 นิ้ว หมอนขนเป็ด ฟรีมินิบาร์ ฟรีอินเทอร์เน็ต ลำโพงเซรามิก และฟรีชากาแฟ

 

สระว่ายน้ำมี 2 แห่ง ด้านหน้ารีสอร์ทมีสระว่ายน้ำแบบอินฟรีนิตี้พูลและสระจากุซซี่ ส่วนตรงกลางโซนห้องพักมีสระว่ายน้ำแบบทะเลสาบที่อนุญาตให้ใส่เสื้อยืดกางเกงขาสั้นลงไปเล่นน้ำได้ นอกจากนี้รีสอร์ทยังมีร้านกาแฟและร้านอาหารที่ได้รับความนิยม ห้องอาหารไลท์เฮาส์ บาร์ แอนด์ กริลล์ ให้บริการอาหารจันท์ฟิวชั่น ซีฟู้ด พิซซ่า และอาหารฝรั่ง ส่วนร้านกาแฟคอฟฟี่ โคฟ มีทั้งเครื่องดื่ม ของหวาน และในร้านยังมีประภาคารให้ขึ้นไปชมวิวหาดคุ้งวิมานมุมสูงด้วย

สำหรับกลุ่มประชุมขนาดเล็กสามารถใช้บริการที่ห้องประชุม เซ็นต์ มาร์กาเร็ต เบย์ รับได้สูงสุด 80 คน พร้อมโปรเจกเตอร์และระบบเสียงทันสมัย และสำหรับใครที่ยังไม่มีแพลนเที่ยว ทางรีสอร์ทมี 2 กิจกรรมให้เลือกระหว่างกิจกรรมทำผ้ามัดย้อมที่รีสอร์ท กับล่องเรือชมโขดหินสีชมพู และให้อาหารปลาฉลามที่ศูนย์ศึกษาการพัฒนาอ่าวคุ้งกระเบน เป็นกิจกรรมเสริมให้ผู้เข้าพักได้สัมผัสความเรียบง่ายและวิถีชีวิตติดน้ำของชาวประมง

 

หมู่บ้านชาวประมง เป็กกี้ โคฟ วิลเลจ เป็นต้นแบบด้านสถาปัตยกรรม แต่บรรยากาศ การตกแต่ง และมู้ดแอนด์โทนของ เป็กกี้ โคฟ รีสอร์ท ช่างตอบโจทย์คนไทย เพราะไม่ว่ามุมไหนก็สบาย (และถ่ายรูปสวย)

Price : ดีลักซ์ 9,100 บาท ดีลักซ์ พูล แอ็กเซส 10,600 บาท ดีลักซ์ จากุซซี่ วิลล่า 10,600 บาท แกรนด์ ดีลักซ์ พูล วิลล่า 16,600 บาท

Place : ริมหาดคุ้งวิมาน ถนนเฉลิมบูรพาชลทิต จ.จันทบุรี โทร. 039-460-345, 06-1405-4499 เว็บไซต์ peggyscoveresort.com

Promotion : แพ็กเกจออลอินวัน รวมห้องพัก อาหารเช้า อาหารเย็น และกิจกรรม เริ่มที่แพ็กเกจห้องดีลักซ์ 4,499 บาท เฉพาะการเข้าพักคืนวันอาทิตย์-วันศุกร์ ตั้งแต่วันนี้-29 ธ.ค. 2559

 

 

 

 

ความยิ่งใหญ่ของดอกไม้กระจิริด

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์โพสต์ทูเดย์

03 ธันวาคม 2559 เวลา 09:39 น…. อ่านต่อได้ที่ : http://www.posttoday.com/travel/thailand/468487

ความยิ่งใหญ่ของดอกไม้กระจิริด

โดย…จำลอง บุญสอง

ความสูงของป่าเต็งรังในภูมิภาคอีสานใต้อยู่ที่ 150-700 เมตรจากระดับน้ำทะเล เป็นป่าที่มีลักษณะจำเพาะแบบหนึ่งที่แตกต่างจากป่าเต็งรังในภาคกลางและภาคใต้ ด้วยเป็นผืนป่าที่ตั้งอยู่บนพื้นที่ที่เป็นหินทราย หรือ Sand Stone ซึ่งประกอบไปด้วยทรายขนาด 1/16-2 มม. หรือแร่ควอตซ์ หินทรายจึงถูกน้ำฝนกัดกร่อนประมาณ 800-1,500 มม./ปี ผสมกับใบไม้ใบหญ้าที่ร่วงหล่นทำให้กลายเป็นดินตะกอนที่มีแร่ธาตุไม่มากนักส่งผลให้ต้นไม้ขึ้นเป็นหย่อมๆ ไม่หนาแน่น

แต่ด้วยลักษณะเฉพาะนี้เองทำให้ภูเขาหินทรายและป่าอีสานใต้มีเสน่ห์ในตัวมันเอง เช่น มีน้ำตกหินทรายที่ผู้คนสามารถเข้าไปเล่นน้ำตกที่มีหลุมหรือโบกได้ มีดอกหญ้าที่ขึ้นบนพลาญหินทรายที่สวยงามในช่วงปลายฝนต้นหนาว อดีตที่ผ่านมาดอกไม้สีสันสวยงาม ทั้งเหลือง ส้ม แดง ภายใต้อัตลักษณ์จำเพาะของพืชพันธุ์เหล่านั้น สร้างความตื่นตาตื่นใจกับช่างภาพจำนวนมาก ซึ่งภาพที่ถูกเผยแพร่ออกไปได้เชิญชวนคนทั่วไปให้เข้ามาเห็นความงามของดอกไม้เหล่านั้นด้วย

ดอกดุสิตา

 

ดอกเล็กจำนวนนับไม่ถ้วนเติบโตขึ้นอยู่บน “พลาญหินทราย” พลาญหินในส่วนที่น้ำในฤดูฝนพัดพาเอาตะกอนดินทรายบางๆ มาบวกกับซากต้นหญ้าเล็กๆ กองรวมกันเป็นหย่อมๆ ซึ่งพลาญหินที่เกิดของดอกไม้เล็กๆ เหล่านี้ไม่สามารถให้กำเนิดต้นไม้ใหญ่อย่างเหียง พลวง รัง และเต็ง อันเป็นไม้หลักของป่าเต็งรังได้ เพราะเนื้อดินมีน้อย ธาตุอาหารมีน้อยเกินไป ที่พอจะขึ้นได้ก็มักเป็นในช่องแยกของหินทรายที่มีตะกอนดินสะสมไว้มากพอ รากของต้นไม้จะเกาะยึดหินทรายเอาไว้อย่างแน่นเหมือนหนวดปลาหมึกสายที่เกี่ยวมือคน เพื่อให้มันไม่ล้มไปกับลมและฝนที่จะรุนแรงในบริเวณลานหินทราย

ปีนี้ทุกภาคมีฝนนานเป็นพิเศษ ทว่าก็ไม่ได้พิเศษสำหรับดอกไม้บนพลาญหินมากมายนัก เพราะหลังจากฝนหยุด ลมหนาวโชยมาแม้เพียงเล็กน้อย นั่นก็เพียงพอต่อการส่งสัญญาณให้ต้นไม้ต้นเล็กๆ ผลิดอกออกมาให้นักท่องเที่ยวได้ชื่นชมแล้ว อีสานมีแหล่งชมทุ่งดอกไม้ป่าหลายแห่ง ทั้งในอุบลราชธานี ได้แก่ บนเนินผาแต้ม แถวน้ำตกสร้อยสวรรค์ ภูจองนายอย ภูฆ้องคำ ภูแอ่วขัน น้ำตกผาหลวง ภูอานม้าของ อ.ศรีเมืองใหม่ หนองหญ้าม้า และภูสมุยตระการพืชผล

กล้วยไม้ป่าสีม่วงสด

 

สถานที่ยอดนิยมต้องขยายความถึงทุ่งดอกไม้ป่า อุทยานแห่งชาติผาแต้ม อ.โขงเจียม จ.อุบลราชธานี ลักษณะเป็นลานหินทรายโล่งแล้งอยู่เหนือน้ำตกสร้อยสวรรค์ ซึ่งจะเปลี่ยนเป็นทุ่งดอกไม้ป่านับล้านดอกเมื่อสายลมแห่งฤดูหนาวมาเยือน ทั้งดอกสร้อยสุวรรณา ดุสิตา มณีเทวา ทิพเกสร อันเป็นชื่อพระราชทานจากสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ โดยดอกไม้มักออกดอกในช่วงเดือน ต.ค.-ก.พ. และช่วงเวลาที่ดอกไม้ป่าเบ่งบานเต็มที่ คือ ในช่วงเช้าก่อนแดดแรง

ภายในอุทยานแห่งชาติผาแต้มยังมีสถานที่ท่องเที่ยวอื่นให้ชม เช่น น้ำตกสร้อยสวรรค์ เสาเฉลียง และลานหินแตก

ในมุมของขอนไม้

 

แหล่งชมทุ่งดอกไม้ป่าวนอุทยานน้ำตกผาหลวง ทุกๆ ปีหลังสายน้ำจากน้ำตกผาหลวงค่อยๆ แห้งไป มวลหมู่ดอกไม้ป่าบนพลาญยอดภูหลวงจะค่อยๆ ผลิดอกเบ่งบานรับลมหนาว ปรากฏเป็นทุ่งดอกไม้ป่ากว้างใหญ่ ซึ่งทางการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทยร่วมมือกับชุมชนและทางป่าไม้ส่งเสริมให้ลานดอกไม้ป่าน้ำตกผาหลวงเป็นแหล่งท่องเที่ยวแห่งใหม่ในอุบลราชธานี

นอกจากนี้ยังมีแหล่งชมดอกไม้ป่าใน จ.อำนาจเจริญ ได้แก่ ภูผาเทิบ อุทยานภูสิงห์ ภูผาผึ้ง และในมุกดาหารที่อุทยานแห่งชาติภูสระดอกบัว ซึ่งมีทุ่งดอกหญ้าบนยอดภูวัด เป็นภูเขาสูงประมาณ 367 เมตรจากระดับน้ำทะเลปานกลาง อยู่ต่อจากลานภูผาแต้มออกไปทางทิศเหนือ 500 เมตร เป็นบริเวณที่ร่มรื่นไปด้วยแมกไม้ และบนลานหินบนภูวัดมีดอกไม้ป่าหลายชนิด เช่น เอนอ้า กระดุมเงิน ดุสิตา สร้อยสุวรรณา และหยาดน้ำค้าง ทั้งนี้ทุกที่ล้วนมีดอกไม้บนพลาญหินให้ดูทุกปีซึ่งจะมีเวลาอวดความงามต่างกันแล้วแต่ช่วงเวลาของความชื้นและความแห้งของดิน

เหลืองเด่นบนลานหิน

 

ดอกไม้ต้นกระจิริดที่พบมากมีทั้ง ดุสิตาหรือหญ้าข้าวก่ำ ช่อสีม่วงเข้ม แทงขึ้นจากโคนกอ ช่อดอกตั้งสูงประมาณ 5-20 ซม. สรัสจันทรหรือดอกดิน มีกลีบดอกสีชมพูแกมม่วงและสีม่วงอ่อนเกือบขาวจนถึงสีม่วงเข้ม สร้อยสุวรรณาหรือหญ้าสีทอง พืชกินแมลงมีดอกสีเหลืองที่จะเปลี่ยนเป็นสีทองเมื่อต้องแดด มณีเทวาหรือกระดุมเงิน ดอกเล็กสีขาวทรงกลมคล้ายกระดุมเม็ดจ้อย ตามท้องนาก็จะเริ่มมีดอกกระดุมเงินแทรกขึ้นมาจากพื้นดิน โดยเฉพาะช่วงอากาศปลายฝนต้นหนาวจนถึงปลายเดือน ม.ค. เหลืองพิศมร กล้วยไม้ดิน ออกเป็นช่อโปร่ง 5-8 ดอก มีสีเหลือง และอาจมีขีดสีม่วงที่โคน รวมถึงดอกไม้หลากสี แดงอุบล เทียนน้อย เทียนดอย ฝ้ายป่า หญ้ารากหอม โคลงเคลง ส้มเช้า ทั้งนี้ดอกสวยๆ ส่วนใหญ่เป็นพืชกินแมลงแทบทั้งสิ้น เพราะผืนดินที่มีธาตุอาหารน้อย โดยเฉพาะอย่างยิ่งไนโตรเจน ดอกไม้จึงต้องหาหนทางอยู่รอดซึ่งก็คือการดักกินสัตว์โดยใช้ยางเหนียวๆ ที่ติดอยู่กับดอกหรือรากจับแมลงตัวเล็กๆ เป็นอาหาร

แผ่นดินอีสานใต้นั้นมีอัตลักษณ์ของผืนดินเฉพาะถิ่นที่แตกต่างไปจากภาคกลาง ภาคใต้ และภาคตะวันออก ก่อนไปดูถ้าได้ศึกษากายภาพของผืนดินและความหลากหลายพรรณไม้ไปก่อนจะได้รับความเพลิดเพลินและเที่ยวสนุก แนะนำให้รีบไปเที่ยวปลายฝนต้นหนาวหรือภายในเดือน ธ.ค.นี้ จะได้เห็นฟ้าใส แสงสวย และดอกไม้ป่าที่งามที่สุดในรอบปี

ดอกไม้สีผสม

 

น้ำตกผาหลวง

 

ทุ่งดอกหญ้า

 

ลานดอกไม้ป่าผาแต้ม

 

แมลงเต่าทองบนดอกกระดุมเงิน

 

พลังเลนส์มาโครทำให้ดอกไม้จิ๋วกลายเป็นใหญ่

 

หยดน้ำค้างบนกลีบดอกไม้

 

หินเทินแบบนี้จะเห็นได้บนเทือกเขาหินทราย

 

กระดุมเงิน

 

เพชฌฆาตสีสวย

 

ดอกไม้กินแมลง

 

เมือกเหนียวจากจอกบ่วายเป็นเครื่องมือในการจับแมลงเพื่อทดแทนสารอาหารประเภทไนโตรเจนที่มีน้อยของดิน

 

พาหัวใจ…ไปดอยเชียงดาว

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์โพสต์ทูเดย์

27 พฤศจิกายน 2559 เวลา 07:56 น…. อ่านต่อได้ที่ : http://www.posttoday.com/travel/thailand/467443

พาหัวใจ...ไปดอยเชียงดาว

โดย…สมแขก ภาพ : จิ ดาภา/สมแขก

หนาวแล้ว! ขึ้นเหนือไปเดินเล่นบนดอยกัน ชักชวนเพื่อนร่วมทางตั้งแต่ยังไม่พ้นร้อน จากนั้นก็รอวันที่ได้แบกเป้ตะลอนป่าที่ดอยหลวงเชียงดาว ภูเขาที่ร่ำลือกันว่าขึ้นยากไม่ใช่น้อย ด้วยระดับความสูงอันดับ 3 ของประเทศ สูงถึง 2,225 เมตรจากระดับน้ำทะเลยิ่งท้าทายหัวใจและร่างกายว่าเราจะพิชิตยอดดอยแห่งนี้ได้หรือไม่ คณะของเราเลือกไปเชียงใหม่ด้วยรถไฟไทยขบวนใหม่ กรุงเทพฯ-เชียงใหม่ แล้วต่อรถสู่ อ.เชียงดาว

ก่อนจะเดินขึ้นยอดดอย เราไม่พลาดเรื่องเล่าของดอยหลวง เรื่องเล่าจากโบราณของดอยหลวงเชียงดาวเดิมเรียกว่า “ดอยอ่างสลุง” ตามตำนานว่ากันว่าเป็นสถานที่ที่สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเสด็จมาพร้อมพระอรหันต์ 8 รูป ทรงลงสรงน้ำบริเวณอ่างสลุง บางคนเรียกดอยแห่งนี้ว่า “ดอยหลวง” ตามขนาดที่สูงใหญ่ (หลวง หมายถึง ใหญ่) และเพี้ยนมาเป็นดอยหลวงเพียงดาว จนกระทั่งกลายมาเป็นดอยหลวงเชียงดาว หรือดอยเชียงดาว นอกจากตำนานความเชื่อแล้ว ทางภูมิประเทศดอยหลวงเชียงดาวเป็นภูเขาหินปูนล้วน มีอายุระหว่าง 230-250 ล้านปี เกิดจากการทับถมของตะกอนทะเล และซากสัตว์ที่มีหินปูน สันนิษฐานว่าพื้นที่บริเวณนี้เคยเป็นทะเลมาก่อน

 

ที่นี่เป็นภูเขาที่ไม่มีน้ำตก หรืออ่างเก็บน้ำตามธรรมชาติ และอากาศเย็น เมื่อฝนตกลงมาจะไหลตามซอกหิน รวมกันเป็นธารน้ำเล็กๆ ไหลสู่เบื้องล่าง ความพิเศษของพืชพรรณที่นี่จึงเป็นกึ่งอัลไพน์ คือกลุ่มพุ่มไม้เตี้ยและไม้ล้มลุก เพราะหน้าดินมีน้อย พืชเฉพาะถิ่นจึงมีดอกไม้สวยๆ ที่เราพบได้เฉพาะที่นี่เท่านั้น เช่น เทียนนกแก้วที่รูปร่างเหมือนนกแก้ว ค้อเชียงดาวหรือปาล์มรักเมฆ ที่ท้าแรงลมอยู่ตามไหล่เขา เหยื่อจงหรือเทียนหมอคา ชมพูพิมพ์ใจ ฟองหินเหลือง หญ้าดอกลาย เลื้อยเชียงดาวหรือศรีจันทรา นอกจากนี้ดอยหลวงเชียงดาวยังเป็นที่อยู่อาศัยของสัตว์ป่าหายากและใกล้สูญพันธุ์ เช่น ผีเสื้อสมิงเชียงดาว ไก่ฟ้าหางลายขวาง กวางผาหรือที่ชาวบ้านเรียกกันว่าม้าเทวดาและเลียงผา เป็นต้น

ความยิ่งใหญ่ไม่ได้มีเฉพาะดอยหลวงเชียงดาว ความโดดเด่นของป่าผืนนี้ยังมีดอยกิ่วลม ดอยเหนือหรือดอยพีระมิด ดอยหนอก ดอยสามพี่น้อง ซึ่งเราได้รับอนุญาตให้ท่องเที่ยวเฉพาะยอดดอยกิ่วลมและยอดดอยหลวงเชียงดาว ยอดดอยกิ่วลมซึ่งเหมาะกับการไปชมพระอาทิตย์ขึ้นและทะเลหมอกหยอกเย้ากับดอกไม้ที่สวยสดรอรับแดดยามเช้า ส่วนยอดดอยสูงสุดของดอยหลวงเชียงดาว เหมาะสำหรับไปชมพระอาทิตย์ตกยามเย็น ซึ่งจะเห็นยอดดอยโดยรอบ

 

ช่วงเวลาที่เหมาะกับการไปเดินป่า เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าเชียงดาวเปิดให้ท่องเที่ยวได้เป็นเวลา 5 เดือน ตั้งแต่เดือน พ.ย.-สิ้นเดือน มี.ค.ของทุกปี เส้นทางขึ้นดอยหลวงเชียงดาวมี 2 เส้นทาง คือ เด่นหญ้าขัด-อ่างสลุง เดินสบายเป็นเส้นทางที่นิยมใช้มากที่สุด เพราะเส้นทางไม่ชันมาก แต่ระยะทางไกลกว่าอีกเส้นทางหนึ่ง ส่วนเส้นทางที่สอง คือ ปางวัว-อ่างสลุง เส้นทางค่อนข้างชันผ่านดงไผ่หก

โดยทั้งสองเส้นทางจะมาบรรจบกันที่สามแยก หลังจากนั้นเดินต่อไปยังเส้นทางเดียวกัน ผ่านดงกล้วยป่าแดง ซึ่งแต่ละต้นสูงใหญ่ สัมผัสที่เปลือกเย็นเยียบที่มือ ไม่แปลกใจที่เมื่อหนที่เจอไฟป่า เราจะใช้กล้วยช่วยระงับไฟก่อนจะลุกลามเข้าป่าได้ ผ่านดงกล้วยก็เข้าดงน้อย กิ่วป่าคา เส้นทางเล็กๆ ล้อมด้วยทุ่งหญ้าสูงเทียมหัว มีก้อนหินและภูเขาหินปูนล้อมรอบ แดดบ่ายจึงส่งมาถึงโดยไม่มีที่กำบัง ผ่านกิ่วป่าคาเข้าดงเย็น ทำเลที่ต้นไม้ดกรกชื้น ภาพมอส เถาวัลย์ โยงพันต้นไม้น้อยใหญ่ยังติดตา ป่านี้เป็นป่าดักเมฆดักฝน พื้นที่จึงชุ่มชื่นตลอดเวลา ต้นไม้จึงต้องแข่งกันแทงยอดให้สูงเพื่อใกล้แดด

 

เวลาใกล้ค่ำก็พ้นดงเย็นเข้าอ่างสลุงจุดกางเต็นท์ ฝ่าความเมื่อยต้องเดินเรื่อยหาจุดกางเต็นท์ ก่อนจะเตรียมตัวปีนยอดดอยหลวง เพื่อดูพระอาทิตย์ลับฟ้า ลงมาเมื่อแสงสุดท้ายหมดไป มาล้อมวงกินข้าวเย็น ก่อนจะมองดูดาวชัดๆ ในคืนที่แสนสงัดและหนาวเย็นให้เห็นดาวและทางช้างเผือก ก่อนจะสลัดความหนาวไปชมทะเลหมอกในตอนเช้า แน่นอนว่าจะต้องตื่นตั้งแต่ตีสี่ วอร์มร่างกายให้อบอุ่น พาไฟฉายฝ่าความมืดปีนให้ถึงยอดดอยกิ่วลม

ข้อควรรู้ถ้าอยากไปดอยหลวงเชียงดาว คือที่นี่จำกัดจำนวนคนเดินทางขึ้นสู่ยอด ไม่เกิน 150 คน/วัน และต้องติดต่อขออนุญาตล่วงหน้าอย่างน้อย 15 วัน เมื่ออยู่บนดอยเชียงดาว คุณจะไม่มีสิ่งอำนวยความสะดวกใดๆ ทั้งสิ้น ต้องเตรียมอาหารและน้ำดื่ม รวมไปถึงสัมภาระขึ้นไป เช่น เต็นท์ ถุงนอน เสื้อกันหนาว ผ้าห่ม ไฟฉาย ไฟแช็ก เทียนไข กระดาษทิชชู่ แปรงสีฟัน ยาสีฟัน ถุงมือ ถุงเท้า หมวก เสื้อกันฝน ไม่มีแหล่งน้ำธรรมชาติ น้ำดื่มและน้ำใช้ทั้งหมดจะต้องจ้างลูกหาบเพื่อแบกเข้าไป ฉะนั้นควรใช้น้ำอย่างประหยัด

ดอยหลวงเชียงดาวไม่ได้มีไว้เพื่อพิชิตความสูงอย่างเดียว ในความงดงามมีความหลากหลายของป่า เส้นทาง พืชและสัตว์น้อยใหญ่ถ้อยทีถ้อยอาศัย ทำให้ผืนป่าแห่งนี้ยังสมบูรณ์และน่าค้นหาเสมอ หนีร้อนจากตึกสูงมาพิจารณาและฟังเสียงหอบเหนื่อยของตัวเองพร้อมกับมองธรรมชาติสีเขียว เป็นเรื่องที่น่าทำไม่น้อย…แล้วคุณจะหลงรักดอยเชียงดาว