น้ำตาหลั่งริน แผ่นดินช้าง

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์โพสต์ทูเดย์

26 พฤศจิกายน 2559 เวลา 10:27 น…. อ่านต่อได้ที่ : http://www.posttoday.com/travel/thailand/467396

น้ำตาหลั่งริน แผ่นดินช้าง

โดย…ประกฤษณ์ จันทะวงษ์

ช่วงเดือน พ.ย.ของทุกปี จ.สุรินทร์ จะจัดเทศกาลประจำปี งานช้างจังหวัดสุรินทร์ ซึ่งมีนักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและชาวต่างประเทศจำนวนมากสนใจเดินทางมาชม สร้างความคึกคักให้ดินแดนถิ่นเลี้ยงช้างที่มีชื่อเสียงที่สุดของประเทศแห่งนี้

แต่ปีนี้พิเศษกว่าทุกครั้ง และคงจะหาชมไม่ได้อีกแล้ว เมื่อทางจังหวัดได้เปลี่ยนรูปแบบงานเป็น การแสดงความอาลัยแด่พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ซึ่งจริงๆ แล้วงานนี้เกือบจะไม่ได้จัดขึ้น เนื่องจากหลังพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชเสด็จสวรรคต ยังความเศร้าโศกแก่คนไทยทั้งประเทศ รวมถึงชาว จ.สุรินทร์ ด้วย ข้าราชการและพสกนิกรล้วนอยู่ในอารมณ์แห่งความเศร้า จนแทบไม่มีจิตใจจะคิดถึงการจัดงานดังกล่าว อนึ่ง การจัดงานดังกล่าวอาจกลายเป็นงานรื่นเริงซึ่งไม่เหมาะในช่วงนี้

ผวจ.สุรินทร์ พร้อมข้าราชการระดับสูงในจังหวัดประชุมร่วมกันคิด และเห็นพ้องกันว่าควรจะต้องจัด และต้องจัดอย่างยิ่งใหญ่เพื่อถวายแด่พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช เริ่มจากกิจกรรม “ชาวสุรินทร์ ร้อยดวงใจ ไว้อาลัยพ่อหลวง” วันที่ 18 พ.ย. 2559 ข้าราชการ พสกนิกร และนักเรียน นักศึกษาจากหลายสถาบันใน จ.สุรินทร์ ร่วมกันแปรอักษรเป็นรูปหัวใจ และเลข ๙ ขบวนช้าง 189 เชือก เดินตามถนนเข้าสู่งาน ณ อนุสาวรีย์พระยาสุรินทร์ภักดีศรีณรงค์จางวาง พร้อมหมอบลงหน้าพระบรมฉายาลักษณ์พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ทุกคนร่วมกันร้องเพลงสรรเสริญพระบารมี บรรยากาศเต็มไปด้วยความโศกเศร้าที่แสนประทับใจและน่าจดจำ

 

ส่วนอีกกิจกรรมคือ “งานช้างจังหวัดสุรินทร์” ก็ได้จัดในรูปแบบการแสดงความอาลัยเช่นกัน ในชื่อ “รวมช้าง รวมใจ ไว้อาลัยพ่อหลวง” วันที่ 19-20 พ.ย. 2559 ณ ลานแสดงช้าง อัฒจันทร์ แน่นขนัดไปด้วยผู้ชม ซึ่งการแสดงในปีนี้พิเศษกว่าทุกปีและคงหาชมไม่ได้อีกแล้ว เพราะนอกจากการแสดงตามเนื้อเรื่องตามปกติของทุกปีแล้ว ปีนี้ยังมีการเพิ่มสาระสำคัญของการทำฝนหลวงซึ่งเป็นโครงการตามพระราชดำริของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช การเสด็จพระราชดำเนินเยือน จ.สุรินทร์ เมื่อปี 2498 นอกนั้นก็เป็นการแสดงตามปกติเหมือนทุกปี คือเกี่ยวกับประวัติพระยาสุรินทร์ภักดีศรีณรงค์จางวาง (เจ้าเมืองในอดีต) ที่มีส่วนในการติดตามหาช้างเผือกที่หลุดหนีจากกรุงศรีอยุธยามาที่ จ.สุรินทร์ แล้วนำส่งคืนในสมัยสมเด็จพระเจ้าเอกทัศน์ และการทำยุทธหัตถีของสมเด็จพระนเรศวรมหาราช ซึ่งเป็นช่วงไฮไลต์ของทุกปี

แต่ตอนท้ายสุดของการแสดงปีนี้ ยิ่งใหญ่และอลังการกว่าทุกปี เมื่อควาญช้างนำช้างที่ร่วมแสดง 160 เชือก ออกมาแปรอักษรเป็นเลข ๙ ล้อมรอบด้วยรูปหัวใจ นักแสดงทุกคนออกมาแปรอักษรเป็นคำว่า “Surin” พร้อมชูพระบรมฉายาลักษณ์ไว้เหนือหัว

เพลงสรรเสริญพระบารมีเริ่มบรรเลง ผู้ชมทั้งสนามลุกขึ้นยืนตรงและร้องตาม ข้าพเจ้าร้องตามไปได้ 2 วรรค และไม่อาจจะร้องต่อไปได้ เพราะยิ่งร้องน้ำตายิ่งไหล พสกนิกรทั้งสนามต่างร้องเพลงไปร้องไห้ไป บรรยากาศเต็มไปด้วยความเศร้าโศก แต่น่าประทับใจยิ่งนัก

 

สุวิกรม อัมระนันทน์ ขอเดินทางตามรอยพ่อ

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์โพสต์ทูเดย์

26 พฤศจิกายน 2559 เวลา 10:21 น…. อ่านต่อได้ที่ : http://www.posttoday.com/travel/thailand/467395

สุวิกรม อัมระนันทน์ ขอเดินทางตามรอยพ่อ

โดย…รอนแรม

การเดินทางในโครงการ “เดินทางพ่อ” เส้นทางอินทนนท์ ไม่เพียงคัดเลือกคนรุ่นใหม่จำนวน 20 คน มาร่วมทริป แต่ยังเลือก เปอร์-สุวิกรม อัมระนันทน์ มาเป็นหนึ่งในสมาชิกด้วย เขาร่วมกิจกรรมทุกอย่าง ล้อมวงสนทนาแลกเปลี่ยนทัศนคติกับทุกคน ซึ่งสิ่งที่เขาถ่ายทอดออกจากความคิดนั้น ช่างไม่ธรรมดา

เปอร์เป็นผู้ชายวัย 28 ปี ที่เหมือนกับว่าผ่านเรื่องราวมามาก เพราะเขาเข้าใจชีวิต และพยายามเดินบนทางที่เลือกอย่างไม่ยอมแพ้ โดยมีพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช เป็นแบบอย่าง ทั้งด้านการใช้ชีวิต การทำงาน และการเป็นแบบอย่างที่ดีแก่ผู้อื่นต่อไป

ทำเพื่อพ่อ

เปอร์เล่าว่า เขากำลังมีโปรเจกต์ทำรายการพิเศษเกี่ยวกับพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ตั้งแต่เดือน มิ.ย.ที่ผ่านมา ชื่อโครงการว่า กาลครั้งนั้นของฉันกับในหลวง โดยจะทำภาพยนตร์สั้น 70 เรื่อง จากผู้กำกับ 70 คน เป็นตัวแทนของพสกนิกรทั้งหมด 70 ล้านคน เพื่อฉลองสิริราชสมบัติครบ 70 ปี

 

“เราอยากให้พระองค์ท่านเห็นว่าพสกนิกรมีความรู้สึกอย่างไร” เขากล่าว

และระหว่างการทำงานนั้น ทางโครงการเดินทางพ่อได้ติดต่อให้มาร่วมทริป ซึ่งเขาตอบรับคำทันทีด้วยความรู้สึกยินดี ทว่าความรู้สึกนั้นกลับเปลี่ยนไป เมื่อเกิดเหตุการณ์วันที่ 13 ต.ค. 2559 วันเสด็จสวรรคตของในหลวง รัชกาลที่ 9 จากที่คิดว่าจะมาเพียงศึกษาพระราชกรณียกิจ ความรู้สึกข้างในกลับกลายมี “ปม” นั่นคือ ปมของความโศกเศร้าเสียใจที่ติดตัวมา ซึ่งทำให้เขาตั้งใจมาศึกษาสิ่งที่พระองค์ท่านทรงทำไว้อย่างลึกซึ้ง

“ผมตั้งใจเรียนรู้เพื่อจะนำไปใช้ให้เป็นประโยชน์ได้จริง ทริปเดินทางพ่อที่ได้ศึกษาโครงการหลวงอินทนนท์ เราพยายามค้นหาคำตอบว่าพระองค์ทรงทำอะไร เกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างไร ชีวิตความเป็นอยู่ของคนที่นี่เป็นอย่างไร (ดอยอินทนนท์) พวกเขารู้สึกรักและศรัทธาพระองค์ท่านแบบไหน รักด้วยเหตุผลอะไร เราอยากได้ยินจากปากของเขาเอง แน่นอนว่าคนไทยทุกคนบอกว่ารักในหลวง แต่ความรักของแต่ละคนไม่เหมือนกัน จึงอยากรู้ว่าความรักของชาวอินทนนท์นั้นมีความหมายว่าอะไร”

 

คำตอบที่เขาได้จากการไปคลุกคลีกับชาวบ้านมาตลอด 3 วัน ชาวบ้านบนดอยอินทนน์มีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น พวกเขาไม่เดือดร้อนกับการที่ในหลวง รัชกาลที่ 9 ได้เสด็จฯ มา แต่ทุกอย่างที่พระองค์ทรงแนะนำและพวกเขาได้ทำตามมีแต่เรื่องดีๆ ทั้งสิ้น ทำให้พวกเขาเข้าใจคำว่า เศรษฐกิจพอเพียง จากวันนั้นที่ชาวบ้านปลูกข้าวไม่พอกิน วันนี้ผืนป่าอุดมและผืนนาสมบูรณ์ มีรายได้เลี้ยงดูครอบครัว พวกเขายังคงใช้ชีวิตอย่างพอเพียง ไม่ฟุ้งเฟ้อ และยังยึดหลักความพอเพียงที่พระองค์ทรงสอนไว้มาปรับใช้ ซึ่งสิ่งที่เกิดขึ้นเขานิยามมันว่า “มหัศจรรย์”

ทำตามพ่อ

ตลอด 70 ปีที่ในหลวง รัชกาลที่ 9 ทรงงานหนัก เปอร์ได้ตั้งคำถามกับตัวเองมาตลอดว่า อะไรคือสาเหตุที่พระองค์ทรงทำ ซึ่งเขาได้อุปโลกน์คิดคำตอบเองว่า พระองค์เป็นกษัตริย์ที่ทรงตั้งคำถามกับตัวเองเสมอ ในขณะที่พระองค์อยู่ในวัง มีข้าราชบริพารมากมาย และมีชีวิตที่สุขสบาย มีพร้อมทุกอย่าง แต่สำหรับคนอื่นๆ ในฐานะที่เป็นมนุษย์ด้วยกัน เขารู้สึกอย่างไร

“พระองค์ทรงเล็งเห็นว่า ชีวิตของคนอื่นนั้นสำคัญไม่แพ้ไปกว่าชีวิตของตัวเอง พระองค์จึงอุทิศสิ่งที่ตัวเองมีทั้งหมดให้กับคนอื่น ให้กับการทำเพื่อคนอื่น ผมรู้สึกว่านี่คือแรงบันดาลใจอย่างหนึ่งที่ทำให้เรามองเห็นว่าพระองค์ท่านเห็นคุณค่าของชีวิตทุกคน นอกจากนี้ ตลอด 70 ปีที่พระองค์ทรงครองราชย์ เราได้สังเกตและคิดตามเอาเองด้วยเหตุและผลแล้วพบว่า พระองค์ท่านเป็นคนที่เวลาคิดแล้วจะลงมือทำจริงๆ ผมเชื่อว่า ต่อให้ไม่มีคนมาช่วยท่านทำ ท่านก็จะทำอยู่ดี และเมื่อท่านทำจริงจึงส่งผลให้มีคนทำตาม ส่งผลให้เกิดความศรัทธา ไม่มีข้อกังขาว่าจะทำตามไปเพื่ออะไร พระองค์ท่านทรงเป็นแบบอย่างที่ดีจริงๆ และเมื่อพระองค์ท่านทำได้ คนอื่นก็ต้องทำได้”

 

เปอร์ยังกล่าวด้วยว่า ในหลวง รัชกาลที่ 9 ไม่ได้ทำเพื่อให้คนรัก ไม่ได้ทำให้คนมาเคารพ เชิดชู สรรเสริญ แต่พระองค์ทำเพื่อเป็นตัวอย่าง ทำเพื่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในทางที่ดีขึ้น ซึ่งโครงการต่างๆ ที่พระองค์ทรงริเริ่มนั้นต่างประสบความสำเร็จประจักษ์แล้วว่า พระองค์ทรงทำเพื่อประชาชนชาวไทยอย่างแท้จริง

“ผมไม่รู้ว่าผมเป็นคนพอเพียงหรือเปล่า” เขากล่าวถึงชีวิตพอเพียง “ชีวิตของผมไม่ได้ให้ความสำคัญกับความพอเพียงเป็นหลัก แต่ผมให้ความสำคัญกับเรื่องของความรู้ ความรู้สำหรับผมมันไม่เคยพอเพียงเลย ถ้าเรื่องของการใช้ชีวิตประจำวัน แก้วแหวนเงินทอง ชื่อเสียง เกียรติยศ หรืออะไรก็ตาม ไม่ใช่สิ่งมีค่าสำหรับผมอยู่แล้ว เพราะฉะนั้นผมจึงไม่รู้สึกว่าเราต้องพอเพียงหรือไม่พอเพียง เพราะมันไม่เคยมีค่า เงินทองไม่สามารถนำพาไปสู่สิ่งที่ต้องการ สิ่งที่มีค่าสำหรับผมคือ ความรู้ ถามว่าผมใช้ชีวิตแบบไหน ผมอยู่เพื่อเรียนรู้ ทำให้ชีวิตของผมแปรเปลี่ยนตลอดเวลาเพื่อที่จะได้ทำการศึกษามนุษย์ในวิธีที่แตกต่างกันออกไป การที่เรามีความรู้จะทำให้เรามีคุณค่า และเมื่อเรามีคุณค่าเงินก็จะมาเอง”

อาชีพพิธีกรจึงเป็นอาชีพที่เขาค้นหามาเนิ่นนาน ด้วยเป็นอาชีพที่ได้ศึกษาชีวิตคนอื่น ศึกษาความรู้ใหม่ๆ และสามารถบอกต่อแก่คนหมู่มาก

 

เดินทางพ่อ

เส้นทางเดินทางพ่อในเขตอุทยานแห่งชาติดอยอินทนนท์มีเส้นทางที่ต้องขึ้นเขา ลงเขา เผชิญกับอากาศร้อนสลับอากาศหนาว ซึ่งล้วนแล้วแต่เป็นเส้นทางที่ในหลวง รัชกาลที่ 9 เคยเสด็จฯ มาเมื่อครั้งที่ถนนหนทางยังไม่เจริญ เส้นทางเดินป่ายังไม่มี ดังนั้นการเดินตามรอยเท้าพ่อจึงไม่ใช่เรื่องง่ายนักแม้จะในห้วงเวลาปัจจุบันก็ตาม

“หลายคนคิดว่าพระองค์ท่านลำบาก แต่โดยส่วนตัวของผม ผมคิดว่า พระองค์ทรงชอบป่า ชอบเขา ชอบธรรมชาติ เพราะถ้าพระองค์ท่านไม่ชอบจะเป็นเรื่องที่ยากมากที่ท่านจะอยู่กับมันได้มากขนาดนี้ คนเรามีความชอบไม่เหมือนกัน เราไม่จำเป็นต้องเดินป่า ขึ้นเขา แต่จงทำในสิ่งที่ตัวเองถนัด เรื่องที่ทำอาจจะแตกต่าง แต่วิธีการในการปฏิบัติสามารถศึกษาจากพระองค์ท่านได้ ผมรู้สึกแบบนั้น พระองค์ท่านรักแม่ขนาดไหน พระองค์ท่านรักประชาชนขนาดไหน พระองค์รักหน้าที่และความรับผิดชอบขนาดไหน เราคนไทยสามารถนำวิธีการใช้ชีวิตเหล่านี้มาเป็นเชื้อเพลิงให้ตัวเองได้”

 

เขายังกล่าวด้วยว่า การเดินทางพ่อครั้งนี้ตรงกับสุภาษิตไทย สิบปากว่า ไม่เท่าตาเห็น กล่าวคือ คนไทยได้ยินเรื่องของในหลวง รัชกาลที่ 9 มาตั้งแต่เด็ก แต่เราไม่เคยเห็นด้วยตัวเอง และสิบตาเห็น ไม่เท่าลงมือทำ เมื่อเห็นแล้วก็ต้องลงมือทำ เพราะการลงมือทำจะทำให้รู้ถึงปัญหา รู้จักวิธีการแก้ไข เฉกเช่นพระองค์ท่านที่นำสันติวิธีมาแก้ไขปัญหา และถ้าตั้งใจทำแล้ว สุดท้ายก็จะทำได้

“พระองค์ท่านเป็นแบบอย่างให้กับผม ผมจึงต้องทำ ทำ ทำ ทำให้เต็มที่ ถ้าเจออุปสรรคก็ต้องทำ ทำ ทำ ทำไปเรื่อยๆ เวลาจะพิสูจน์เอง อย่างน้อยคนรอบข้างที่เห็นจะเกิดการทำตาม เราสามารถเป็นเชื้อเพลิงให้คนอื่นต่อไป ซึ่งสิ่งนี้แหละเป็นสิ่งที่ดีที่สุด เพราะทุกอย่างต้องเริ่มจากตัวเองก่อน จากนั้นมันจะขยายไปเรื่อยๆ อย่างไม่มีที่สิ้นสุด” เขากล่าวทิ้งท้าย

 

อัล มีรอซ โรงแรมฮาลาลแห่งแรกของไทย

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์โพสต์ทูเดย์

26 พฤศจิกายน 2559 เวลา 10:17 น…. อ่านต่อได้ที่ : http://www.posttoday.com/travel/thailand/467394

อัล มีรอซ โรงแรมฮาลาลแห่งแรกของไทย

โดย…นิทรา ราตรี

โรงแรมฮาลาลแห่งแรกของไทย อัล มีรอซ (Al Meroz) มีจุดเด่นชัดเจนกับการเป็นโรงแรมฮาลาล 100% ใจกลางกรุงเทพฯ ทั้งห้องพัก อาหาร และสิ่งอำนวยความสะดวกทุกอย่าง ได้ถูกจัดสรรให้เป็นไปตามหลักของศาสนาอิสลาม

สถาปัตยกรรมของโรงแรม อัล มีรอซ ถูกดีไซน์แบบอิสลามิกทันสมัย และเน้นโทนสีทองและสีน้ำตาล โดยมีห้องพักจำนวน 242 ห้อง แบ่งเป็นห้องสุพีเรียร์ ขนาด 30 ตร.ม. ห้องเดอลักซ์ ขนาด 30 ตร.ม. และห้องสวีทขนาด 60 ตร.ม. พร้อมสิ่งอำนวยความสะดวกภายในห้องพัก ทั้งชุดชงชา ชุดชงกาแฟ คัมภีร์อัลกุรอาน สัญลักษณ์บอกทิศตะวันตกหรือกิบลัต พรมปูละหมาด และเครื่องใช้ไฟฟ้าครบครัน

 

ห้องอาหารมี 2 ห้อง ห้องอาหารดีวาน บริการอาหารนานาชาติแบบฮาลาลทั้งหมด ทั้งไทย จีน ยุโรป ญี่ปุ่น และได้เพิ่มความแปลกใหม่ของอาหารตะวันออกกลาง อาทิ แก้มวัวตุ๋น อกเป็ดราดซอสส้ม ซี่โครงแกะย่างกับเครื่องเทศ โซปราโน่สุพรีมพิซซ่า รวมถึง นาซิ เลอมัก ข้าวบรียานี โดยได้นำเข้าข้าวบัสมาตีหรือราชินีแห่งความหอมจากอินเดียมาใช้ในการปรุงอาหาร และห้องอาหารบารากัต บริการอาหารสไตล์เมดิเตอร์เรเนียน ในครัวแบบโอเพ่นที่จะได้สัมผัสกลิ่นหอมของอาหาร สร้างอรรถรสในการรับประทานอาหาร

นอกจากนี้ ยังมีสิ่งอำนวยความสะดวกอื่นๆ ไม่ว่าจะเป็นสระว่ายน้ำ ห้องฟิตเนสเซ็นเตอร์ ที่ได้จัดสรรเวลาการให้บริการสำหรับสุภาพบุรุษและสุภาพสตรีในช่วงเวลาที่ต่างกัน ห้องละหมาด ห้องจัดเลี้ยงขนาดใหญ่รองรับได้ 1,200 คน ห้องประชุมบนดาดฟ้าชั้น 16 จุได้ 200 คน และห้องประชุมขนาดต่างๆ ตั้งแต่ 30-150 คน

 

ทั้งนี้ คอนเซ็ปต์โรงแรมฮาลาลไม่ได้มีความหมายเพียงเรื่องอาหารและเครื่องดื่ม แต่รวมถึงการบริการ ความปลอดภัย ความสะอาดที่ต้องได้คุณภาพตรงตามมาตรฐานที่กำหนดไว้ตามหลักการอิสลาม นอกจากนี้สิ่งที่ทำให้เกิดการมึนเมา และทำให้ขาดสติทุกประเภท ทางโรงแรมจะไม่นำมาเป็นส่วนผสมในอาหาร และไม่มีให้บริการในโรงแรมโดยเด็ดขาด อัล มีรอซ จึงเป็นโรงแรมที่ชาวมุสลิมสามารถไว้วางใจว่าทุกอย่างจะถูกต้องตามกฎเกณฑ์

Price : สุพีเรียร์ราคาเริ่มต้น 4,000 บาท เดอลักซ์ 5,000 บาท. สวีท 5 หมื่นบาท

Place : ถนนรามคำแหงซอย 5 สวนหลวง กรุงเทพฯ โทร. 02-136-8700 เว็บไซต์ www.almerozhotel.com

Promotion : โปรโมชั่นซูเปอร์เซฟ ส่วนลด ห้องพัก 35% ตั้งแต่ วันนี้ – 31 ธ.ค. 2559

 

 

 

 

‘พะเยา’ อย่ารีบมา

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์โพสต์ทูเดย์

26 พฤศจิกายน 2559 เวลา 10:11 น…. อ่านต่อได้ที่ : http://www.posttoday.com/travel/thailand/467393

‘พะเยา’ อย่ารีบมา

โดย…กาญจน์ อายุ

เกิดขึ้นแล้ว กับการเดินทางมาราธอนตลอด 4 วัน ในเขตพัฒนาการท่องเที่ยวอารยธรรมล้านนา 5 จังหวัด ได้แก่ เชียงใหม่ เชียงราย ลำพูน ลำปาง และพะเยา พื้นที่ 5 จังหวัดทางภาคเหนือที่มีนักท่องเที่ยวเดินทางไปมากที่สุด โดยนักท่องเที่ยวต่างชาติครองแชมป์ที่เชียงใหม่ รองลงมาคือ เชียงราย ลำพูน ลำปาง และพะเยา ส่วนนักท่องเที่ยวไทยนิยมไปที่ เชียงใหม่ มากที่สุดเช่นกัน รองลงมาคือ เชียงราย ลำปาง ลำพูน และพะเยา

ดังนั้น จะขอเรียงไล่ไปตามความนิยมจากน้อยไปหามาก ทว่ามีเสน่ห์จากมากไปหาน้อย

เจดีย์วัดติโลกอาราม (วัดกลางน้ำกว๊านพะเยา)

 

พะเยา

น่าสงสาร “พะเยา” ที่มีคนสนใจน้อยที่สุด ทั้งที่เป็นจังหวัดเจ้าเสน่ห์ที่สุด เรื่องนี้ วีระวุฒิ ต๊ะปินตา ผู้อำนวยการสำนักงานการท่องเที่ยวและกีฬาจังหวัดพะเยา รับทราบและเข้าใจดี เพราะตัวเลขแต่ละปีชี้ชัด อาจมีสาเหตุมาจาก หนึ่ง พะเยาไม่มีสนามบิน ทำให้ต้องพ่วงผลพวงจากจังหวัดอื่น เช่น ลำปางหรือเชียงรายที่มีสนามบิน แล้วลุ้นให้นักท่องเที่ยวขับรถมาทางพะเยาซึ่งอยู่ตรงกลางของ 2 จังหวัด ใช้เวลาเดินทางประมาณ 2 ชม. กล่าวคือ ต้องตั้งใจมา เพราะต่อให้ขับรถมาจากกรุงเทพฯ ผ่านลำปาง พะเยาจะเป็นได้แค่จุดแวะเข้าห้องน้ำ แล้วต่อไปเชียงรายในที่สุด

สองเด้งมาเจอกันทั้งไม่มีสนามบินและเป็นทางผ่าน ทำให้พะเยากลายเป็นจังหวัดที่ไม่มีอะไรในสายตาของนักท่องเที่ยว แต่จริงๆ แล้ว พะเยามี “กว๊านพะเยา” ไฮไลต์เด่นที่หลายคนอาจคิดว่ามีแค่นี้ แต่เพียงแค่นี้ก็คุ้มค่าการมา

วิถีเรือพายของชาวบ้านรอบกว๊านพะเยา

 

กว๊าน หมายถึง หนองน้ำหรือบึงน้ำขนาดใหญ่ เป็นภาษาล้านนาที่ใช้เฉพาะที่พะเยาแห่งเดียวเท่านั้น ตัวกว๊านพะเยาตั้งอยู่ในเขตตัวเมือง เป็นบึงน้ำรูปพระจันทร์เสี้ยวเกือบครึ่งวงกลม เกิดจากการยุบตัวของเปลือกโลกเมื่อประมาณ 70 ล้านปีมาแล้ว มีความลึกเฉลี่ย 1.5 เมตร ซึ่งกว๊านพะเยานี้เป็นแหล่งน้ำที่สำคัญที่สุดของพะเยา รวมทั้งเป็นแหล่งประมงน้ำจืดและแหล่งเพาะพันธุ์ปลาชนิดต่างๆ อย่างปลาบึกและปลาเทพา ที่สำคัญที่สุดของภาคเหนือตอนบน

ใจกลางกว๊านพะเยา เป็นที่ตั้งของ วัดติโลกอาราม เป็นโบราณสถานที่จมอยู่ในกว๊านพะเยามาเนิ่นนาน พระเจ้าติโลกราชแห่งราชอาณาจักรล้านนาโปรดให้พระยายุทธิษฐิระ เจ้าเมืองพะเยา สร้างขึ้นราวปี 2019-2029 ในบริเวณที่เรียกว่า บวกสี่แจ่ง โดยวัดแห่งนี้ปรากฏชื่ออยู่ในศิลาจารึกที่ถูกค้นพบในวัดร้างกว๊านพะเยาอายุมากกว่า 500 ปี วัดถูกจมอยู่ในกว๊านเนื่องจากในปี 2482 กรมประมงสร้างประตูกั้นน้ำในกว๊านเพื่อกักเก็บน้ำ ทำให้บริเวณกว๊านที่แต่เดิมเป็นชุมชนโบราณและมีวัดจำนวนมากต้องจมน้ำไป จนกระทั่งปริมาณน้ำค่อยๆ ลดลงจนเห็นเจดีย์วัดติโลกอารามที่อยู่บนเนินคล้ายเกาะกลางน้ำโผล่ขึ้นมา เปลี่ยนสภาพจากโบราณสถานกลับมาเป็นวัดติโลกอารามและหลวงพ่อศิลาพระพุทธรูปเก่าแก่กว่า 500 ปีภายในวัด ได้กลับมาเป็นที่เคารพบูชาของชาวพะเยาอีกครั้ง โดยแต่ละปีจะมีการเวียนเทียนทางน้ำรอบวัดติโลกอาราม 3 ครั้งในวันมาฆบูชา วิสาขบูชา และอาสาฬหบูชา ซึ่งเป็นการเวียนเทียนบูชาองค์พระปฏิมากลางน้ำแห่งเดียวในโลก

ประติมากรรมนูนต่ำบนหน้าผาหินทราย วัดห้วยผาเกี๋ยง

 

นักท่องเที่ยวสามารถใช้บริการเรือพายของชาวบ้านที่จุดให้บริการเพื่อไปยังวัดติโลกอาราม ไป-กลับ ราคาคนละ 20 บาท นั่งได้ลำละ 20 คน ซึ่งช่วงเวลาที่ดีที่สุดคือ ยามเย็น ต้องกะเวลาให้พอดีกับช่วงพระอาทิตย์อัสดง เพราะการล่องเรืออยู่กลางกว๊านพะเยายามที่แสงสุดท้ายอาบท้องน้ำนั้น ช่างวิจิตรประหนึ่งจิตรกรรมสีน้ำที่ธรรมชาติละเลงอย่างไม่ตั้งใจ โดยเฉพาะยามเย็นในฤดูหนาว พระอาทิตย์จะแดงกลมใหญ่และจะทิ้งแสงสุดท้ายไว้ให้ตะลึงไม่เว้นวัน

ขณะนั้นเองมีบทเพลงดังก้องอยู่ในหัว “แดดรอนรอน เมื่อทินกรจะลับเหลี่ยมเมฆา ทอแสงเรืองอร่ามช่างงามตา ในนภาสลับจับอัมพร… ต้องอยู่เดียวเปลี่ยววิญญาณ์ เหมือนดังนภาไร้ทินกร โอ้ยามเย็น จวบยามนี้เป็นเวลาสุดอาวรณ์ ยามไร้ความสว่างห่างทินกร ยามรักจำจะจรจากกันไป”

ประติมากรรมพระพุทธรูปบนหน้าผา

 

บทเพลงพระราชนิพนธ์ ลำดับที่ 2 ของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช แว่วเข้ามาเหมือนมีใครเปิดทรานซิสเตอร์กลางกว๊านพะเยา ทำให้พลันคิดถึงพระบรมฉายาลักษณ์ของพระองค์ที่ติดไว้ริมผนังวิหารครูบาศรีวิชัย ครั้งนั้นในปี 2501 ในหลวง รัชกาลที่ 9 และสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ เสด็จประพาสพะเยาครั้งแรก เพื่อเยี่ยมสถานีประมงกว๊านพะเยา และทรงปล่อยพันธุ์ปลาริมแม่น้ำอิงในบริเวณสถานีประมงกว๊านพะเยา จากนั้นเสด็จฯ ไปยังวัดศรีโคมคำเพื่อทรงนมัสการพระเจ้าตนหลวง

วัดศรีโคมคำ (วัดพระเจ้าตนหลวง) ถูกสร้างมานานกว่า 525 ปี พร้อมกับการสร้างพระเจ้าตนหลวง โดยความร่วมมือระหว่างเจ้าผู้ครองเมืองเชียงใหม่กับพระยาเมืองตู้ เจ้าผู้ครองเมืองพะเยา พระเจ้าตนหลวงเป็นพระพุทธรูปศิลปะเชียงแสนที่ใหญ่ที่สุดในล้านนา ชาวพะเยาถือเป็นพระพุทธรูปคู่บ้านคู่เมือง ซึ่งหากไม่ได้ไปนมัสการพระเจ้าตนหลวงแล้ว จะถือว่ามาไม่ถึงพะเยา โดยทุกเดือน พ.ค.จะมีงานประเพณีไหว้สาปู๋จา พระเจ้าตนหลวง-แปดเป็ง หรืองานนมัสการพระเจ้าตนหลวง เดือนแปดเป็ง เป็นงานบุญใหญ่ประจำ จ.พะเยา ที่ชาวบ้านต่างเฝ้ารอ

วิหารครูบาศรีวิชัย วัดศรีโคมคำ จ.พะเยา

 

นอกจากนี้ ท่านผู้อำนวยการสำนักงานการท่องเที่ยวและกีฬาจังหวัดพะเยา ยังโปรโมท วัดห้วยผาเกี๋ยง ตั้งอยู่บนเขาที่เต็มไปด้วยหินและผาหิน ซึ่งเป็นแนวเขตเดียวกันกับเมืองโบราณ เมืองผายาว หรือพะเยาในปัจจุบัน ภายในวัดมีอุทยานพุทธศิลป์ที่เกิดขึ้นจากการแกะสลักผาหินทรายเป็นรูปพระพุทธรูปโดยฝีมือของพระสงฆ์รูปหนึ่ง ตอนนี้มีงบประมาณราว “204” ล้านบาท ในการแกะสลักหน้าผาหินความยาวหลายกิโลเมตร สร้างลานพระเจ้าห้าตน เจดีย์ และลานประทักษิณ เพื่อเป็นแหล่งท่องเที่ยวเชิงศาสนา (ที่ใหญ่โตมโหฬาร) ของ จ.พะเยา

นอกจากวัดที่ถูกจัดให้เป็นแหล่งท่องเที่ยวในเขตพัฒนาการท่องเที่ยวอารยธรรมล้านนาแล้ว คำว่าอารยธรรมล้านนาน่าจะตีความหมายไปถึงชุมชนประวัติศาสตร์ แหล่งโบราณคดี และธรรมชาติ เข้าไปในเขตที่ว่าด้วย เช่น แหล่งเตาเวียงบัวที่บ้านเวียงบัว จุดพบเตาเผาและเครื่องถ้วยชามในพื้นที่เมืองโบราณเวียงบัวตามริมห้วยแม่ต๋ำ สันนิษฐานว่าเตาเผาจะมีอายุอยู่ในช่วงพุทธศตวรรษที่ 17-18 โบราณสถานเวียงลอ ปรากฏซากกำแพงเมืองเก่าและวัดร้างมากมาย สันนิษฐานว่าสร้างขึ้นเมื่อพุทธศตวรรษที่ 21 หรือประมาณ 900 กว่าปี บ้านร่องไฮและบ้านแม่นาเรือ สองหมู่บ้านที่ยังคงวิถีชีวิตดั้งเดิม ที่บ้านร่องไฮยังคงเป็นแหล่งตีมีดและเครื่องมือทางการเกษตร ส่วนบ้านแม่นาเรือ ชาวบ้านยังสร้างแบบบ้านเฮือนวาน หรือบ้านที่ชาวบ้านร่วมแรงหรือเอามือร่วมสร้างให้กัน และหมู่บ้านเศรษฐกิจพอเพียง บ้านบัว หมู่บ้านที่พึ่งพาตนเองตามปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงของในหลวง รัชกาลที่ 9

รอยเท้าและฝ่ามือครูบาศรีวิชัยจากเมืองลำพูน

 

พะเยายังมีอุทยานแห่งชาติหลายแห่งที่เป็นตัวชี้วัดความอุดมสมบูรณ์ของธรรมชาติในพื้นที่ เช่น อุทยานแห่งชาติดอยหลวง ประกอบด้วย น้ำตกผาเกล็ดนาค น้ำตกแม่เหยี่ยน น้ำตกจำปาทอง และดอยหนอกหรือภูเขาหินทรงพีระมิด แห่งขุนเขาผีปันน้ำ ซึ่งบนยอดดอยจะเห็นทิวทัศน์ได้ 360 องศา ชมพระอาทิตย์ขึ้นจากฝั่งพะเยาและชมพระอาทิตย์ตกจากฝั่งลำปาง ถ้ำปางงุ้นใน เขตอุทยานแห่งชาติดอยภูนองวนอุทยานแห่งชาติภูลังกา มีดอยภูลังกาเป็นไฮไลต์ด้วยลักษณะเป็นสันเขาแคบ ฝั่งตะวันตกเป็นป่าดงดิบเขา และฝั่งตะวันออกเป็นหน้าผาสูงชัน มีหญ้าปกคลุม ลมพัดแรง นักท่องเที่ยวนิยมขึ้นไปนอนเต็นท์ชมพระอาทิตย์ขึ้น ชมทะเลหมอก และภูมิประเทศฝั่ง สปป.ลาว วนอุทยานไดโนเสาร์แก่งหลวง จากการค้นพบซากดึกดำบรรพ์ไดโนเสาร์พันธุ์ซอโรพอดที่สันนิษฐานว่าได้พลัดหลงมาจากทางอีสาน อุทยานแห่งชาติดอยภูนาง เป็นต้นกำเนิดแม่น้ำยม และน้ำตกธารสวรรค์ และ อุทยานแห่งชาติภูซาง มีน้ำตกภูซางซึ่งมีน้ำอุณหภูมิสูงถึง 35-36 องศาเซลเซียส เป็นน้ำตกอุ่นเพียงแห่งเดียวที่พบในไทย

นอกจากนี้ ช่วงปลายปีถึงต้นปีหน้าพะเยาจะงดงามไปด้วยทุ่งดอกไม้ ทั้งแหล่งท่องเที่ยวของ อ.ดอกคำใต้ ม่อนทานตะวัน แหล่งปลูกต้นทานตะวันกว่า 1,000 ไร่ ใหญ่ที่สุดในภาคเหนือ และถนนสายดอกไม้ ทองกวาว เมื่อถึงเดือน ก.พ. ถนนจาก อ.ดอกคำใต้ไปทาง อ.จุน จะกลายเป็นเส้นทางที่สวยที่สุดเพราะเป็นช่วงเวลาที่ดอกทองกวาวสีส้มแสดจะบานสะพรั่งเป็นระยะทางกว่า 20 กม. โดยเส้นทางนี้สามารถเดินทางต่อไปที่ภูลังกาและภูชี้ฟ้าได้

พระอารามหลวงวัดศรีโคมคำ (วัดพระเจ้าตนหลวง)

 

ตามเส้นทางของเขตอารยธรรมล้านนา ต้องเริ่มเดินทางจาก จ.เชียงใหม่ ลำพูน ลำปาง พะเยา และไปจบที่เชียงราย นักท่องเที่ยวจะได้นั่งเครื่องบินมาลงเชียงใหม่และกลับจากเชียงรายอย่างสะดวกรวดเร็ว แต่หากมีเวลาจำกัดเหมือนหน้ากระดาษนี้ ถ้าให้เลือกหนึ่งจังหวัด คงเลือก “พะเยา” จังหวัดที่คนมาเที่ยวน้อยที่สุด แต่มีเสน่ห์ที่สุด ซึ่งเสน่ห์ที่แท้จริงอาจเป็นเพราะมีนักท่องเที่ยวน้อย (ที่กำลังแนะนำอยู่นี้ก็กลัวว่าคนจะแห่กันไป) แต่ดูจากระยะทางพิสูจน์ใจ ใครไปถึงพะเยาได้ก็สมควรได้เชยชมอย่างเต็มที่ จาก 4 วัน เที่ยวมาราธอนล้านนา 5 จังหวัด เปลี่ยนมาอยู่พะเยา 4 วันติดก็คิดว่าไม่ผิดอะไร ดีเสียกว่ารีบเที่ยวจนลืมหยุดมองความงามที่แท้ของสถานที่ที่ไป มิฉะนั้นจะเรียกว่า เสียเที่ยว

เจดีย์สีทองอร่ามในวัดปงสนุกจ.ลำปาง

 

ชามลายรถม้าสัญลักษณ์เมืองลำปาง

 

เซรามิกลวดลายของธนบดีเซรามิคจ.ลำปาง

 

เด็กอนุบาลมาทัศนศึกษาที่วัดร่องเสือเต้น จ.เชียงราย

 

เชียงรายมีหอพระหยกที่ประดิษฐานพระหยกองค์แทนพระแก้วมรกตองค์จริง

 

เจ้าแม่กวนอิม ณ วัดห้วยปลากั้งจ.เชียงราย

 

เดินจับหมอก หยอกลมหนาว ดอยตุง ทรี ท็อป วอล์ก

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์โพสต์ทูเดย์

20 พฤศจิกายน 2559 เวลา 07:39 น….. อ่านต่อได้ที่ : http://www.posttoday.com/travel/thailand/466232

เดินจับหมอก หยอกลมหนาว ดอยตุง ทรี ท็อป วอล์ก

โดย…กาญจนา อายุวัฒน์ธนชัย

ลมหนาวเคลื่อนตัวปกคลุมภาคเหนือเต็มกำลัง คนก็พลันหยิบเสื้อกันหนาวออกมาทำหน้าที่อีกครั้ง พร้อมเดินทางมุ่งหน้าสู่ภาคเหนือโดยพร้อมเพรียง หนึ่งในสถานที่รับลมหนาวยอดนิยมคงหนีไม่พ้น “ดอยตุง” หรือโครงการพัฒนาดอยตุง (พื้นที่ทรงงาน) อันเนื่องมาจากพระราชดำริ จ.เชียงราย ดอยที่มักมีหมอกปกคลุมตลอดปี และในช่วงส่งท้ายปีอุณหภูมิจะลดลงแตะเลขตัวเดียว นอกจากพระตำหนักดอยตุงและสวนแม่ฟ้าหลวงที่คนรู้จักกันดีแล้ว เมื่อกลางปีที่ผ่านมาดอยตุงได้เปิดทางเดินบนยอดไม้ หรือ ดอยตุง ทรี ท็อป วอล์ก (Tree Top Walk) ให้นักท่องเที่ยวสัมผัสธรรมชาติในมุมใหม่ที่สวยและเสียวกว่าเดิม

ดอยตุง ทรี ท็อป วอล์ก ตั้งอยู่ก่อนถึงทางเข้าสวนแม่ฟ้าหลวง โดยผู้ซื้อบัตรดอยตุง ทรี ท็อป วอล์ก สามารถเดินทะลุเข้าไปในสวนแม่ฟ้าหลวงได้เลย ไม่ต้องวกกลับเพื่อเข้าใหม่ให้เสียเวลา ทุกครั้งที่เดินทางจะมีเจ้าหน้าที่จัดแจงสวมชุด อธิบายการใช้อุปกรณ์ และให้คำแนะนำตลอดการเดินทาง โดยแต่ละกลุ่มที่เข้าไปจะแบ่งเป็นรอบ รอบแรกเริ่มเวลา 08.30 น. กลุ่มต่อไปทุก 30 นาที กลุ่มละไม่เกิน 13 คน และใช้เวลาเดินประมาณ 1 ชั่วโมง

 

ทางเดินบนยอดไม้ทำด้วยตาข่ายบ้าง แผ่นไม้บ้าง สูงจากพื้นดินราว 10-40 เมตร รวมระยะทาง 300 เมตร ทางเดินจะระโยงระยางจากต้นไม้ต้นหนึ่งไปอีกต้นหนึ่ง ซึ่งเป็นกิจกรรมที่ไม่ต้องตัดต้นไม้ ทว่าเส้นทางจะลดเลี้ยวไปตามธรรมชาติ ผ่ากลางดงไม้ใหญ่บ้าง เรี่ยยอดไม้สูงบ้าง ระหว่างทางจะได้ศึกษาพรรณไม้เมืองหนาวได้จากป้ายสื่อความหมายและคำบอกเล่าจากผู้นำทาง นอกจากจะได้สัมผัสความหนาว สัมผัสธรรมชาติ ยังจะได้จับหมอกตลอดทาง ทำให้ทางเดินบนยอดไม้เป็นสะพานจับหมอกที่อยู่สูงพ้นยอดไม้เสมือนว่ากำลังเดินอยู่บนก้อนเมฆ

ทั้งนี้ อุปกรณ์ที่สวมใส่จะช่วยรักษาความปลอดภัยบนที่สูง ไม่ว่าจะเป็นหมวกกันน็อก สายรัดตัว (Harness) และตัวฮุกที่จะคล้องไปกับสายลวดสลิงตลอดทาง ทว่าอุปกรณ์ที่ใช้ทั้งหมดได้รับการตรวจสอบอย่างเข้มงวดแล้ว จึงมั่นใจได้ว่าจะสนุกแบบไม่อันตรายแน่นอน

 

ปลายทางของเส้นทางเดินบนยอดไม้จะไปสิ้นสุดที่สวนแม่ฟ้าหลวง ข้อมูลในเว็บไซต์ดอยตุง ระบุไว้ว่า สวนแม่ฟ้าหลวงตั้งอยู่บนพื้นที่เดิมของหมู่บ้านอาข่าป่ากล้วย มีคนอาศัยอยู่ 62 ครอบครัว ในอดีตหมู่บ้านนี้เป็นเส้นทางลำเลียงสำคัญและเป็นที่พักของกองคาราวานฝิ่น น้ำยาทำเฮโรอีน และอาวุธสงคราม ประกอบกับที่ตั้งมีลักษณะเป็นหุบลึกลงไป บ้านเรือนอยู่อย่างแออัด ขยายไม่ได้ จึงมีปัญหาเรื่องการดูแลความสะอาด ขยะ และน้ำเสีย

ทางโครงการพัฒนาดอยตุงฯ จึงขอให้หมู่บ้านย้ายไปอยู่ที่ใหม่ห่างจากที่เดิมราว 500 เมตร แต่ตั้งอยู่บนเนินเขา กว้างขวาง และสวยงาม มีระบบประปาและไฟฟ้าเข้าถึง มีถนนลาดยางตัดผ่าน จึงเป็นที่พอใจของชาวบ้าน และในบริเวณหมู่บ้านเดิมก็สร้างสวนไม้ดอกไม้ประดับเมืองหนาว บนเนื้อที่ราว 30 ไร่ ตามพระราชดำริของสมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี ที่ต้องการให้คนไทยที่ไม่มีโอกาสไปต่างประเทศได้เห็นไม้ดอกเมืองหนาวที่สวนแห่งนี้ กลางสวนมีงานประติมากรรมของ มิเซียม ยิบอินซอย โดยสมเด็จพระบรมราชชนนีทรงพระราชทานชื่อว่า ความต่อเนื่อง (Continuity) สื่อความหมายว่า การทำงานใดๆ จะสำเร็จได้ ต้องทำอย่างต่อเนื่อง

 

โดยไม้ดอกไม้ประดับที่นำมาตกแต่ง อาทิ ดอกซัลเวีย พิทูเนีย บีโกเนีย กุหลาบ ดอกลำโพง ไม้มงคล ไม้ยืนต้น และซุ้มไม้เลี้อยมากกว่า 70 ชนิด ได้ปลูกและเลี้ยงดูโดยชาวบ้านในโครงการ เป็นการพัฒนาทักษะฝีมือทางการเกษตร และสร้างงานให้ชาวบ้านมีรายได้ที่ดีสามารถเลี้ยงตัวเองและครอบครัว ทั้งยังเกิดเป็นแหล่งท่องเที่ยวที่นำรายได้ทั้งทางตรงและทางอ้อมมาสู่พื้นที่ปีละหลายล้านบาท ทำให้ในปี 2536 สวนแม่ฟ้าหลวง ได้รับรางวัล พาตา โกลด์ อวอร์ด (PATA Gold Award) ประเภทรางวัลการพัฒนาแหล่งท่องเที่ยว จากสมาคมส่งเสริมการท่องเที่ยวเอเชียแปซิฟิก

ในพื้นที่เดียวกันยังมีสถาปัตยกรรมอันทรงคุณค่าที่ พระตำหนักดอยตุง เกิดขึ้นโดยพระราชดำริของสมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี ที่ได้พระราชทานพระราชทรัพย์ส่วนพระองค์สร้างบ้านหลังแรกของพระองค์หลังนี้ขึ้นมาในปี 2530 พระตำหนักเป็นสถาปัตยกรรมแบบล้านนาเรียบง่าย เป็นบ้านปีกไม้ มีกาแล ผสมกับลักษณะบ้านพื้นเมืองของชาวสวิตเซอร์แลนด์ ที่เรียกว่า ชาเลต์ โดยมีศิลปะไม้แกะสลักเป็นเชิงชายลายเมฆไหลอ่อนช้อย เน้นความเรียบง่ายแต่ใช้สอยได้อย่างครบครัน พระตำหนักถูกรายล้อมไปด้วยดอกไม้นานาพันธุ์ ก่อนเข้าไปภายในเจ้าหน้าที่จะให้ถอดรองเท้าและแจกเครื่องอธิบายความหมายและหูฟังให้ผู้เข้าชมได้กดฟังคำบรรยายตามหมายเลขที่ตั้งไว้ตามจุดต่างๆ เช่น ห้องบรรทม ห้องทรงงาน และเพดานดาวที่มีตำแหน่งดาวเรียงกัน เช่น ในวันพระราชสมภพ โดยจะมีเจ้าหน้าที่นำชมเป็นรอบ รอบละ 20 นาที

 

นอกจากนี้ ยังมีอาคารนิทรรศการควรค่าแก่การศึกษาที่ หอแห่งแรงบันดาลใจ อาคารนิทรรศการที่บอกเล่าเรื่องราวของราชสกุลมหิดลที่ทรงเป็นแรงบันดาลใจให้กันและกัน โดยเรื่องราวได้สะท้อนถึงปรัชญาการทรงงานและผลงานอันเกิดจากพระวิสัยทัศน์อันยาวไกล ที่ทำให้ประชาชนชาวไทยได้มีโอกาสในชีวิตที่ดีขึ้น มีห้องจัดแสดงนิทรรศการ 7 ห้อง ให้ผู้เข้าชมได้ศึกษาลึกซึ้งและน้อมนำปรัญชาการดำเนินชีวิตไปปฏิบัติเพื่อประโยชน์ของส่วนรวมต่อไป

สถานที่ทั้งหมดที่กล่าวมา ดอยตุง ทรี ท็อป วอล์ก สวนแม่ฟ้าหลวง พระตำหนักดอยตุง และหอแห่งแรงบันดาลใจ สามารถอธิบายความเป็นดอยตุงได้ทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นความอุดมสมบูรณ์ของธรรมชาติ ความหนาวเหน็บของสภาพอากาศ พระราชประวัติของราชสกุลมหิดล ทำให้เป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่ให้ความรู้ควบคู่ไปกับความสนุก แถมยังได้สัมผัสอากาศหนาวอย่างลึกซึ้งให้สมกับเป็นฤดูกาลที่รอคอย

 

 

มุมพักใจ พูลแมน เขาหลัก คาทิลิยา

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์โพสต์ทูเดย์

19 พฤศจิกายน 2559 เวลา 16:23 น…. อ่านต่อได้ที่ : http://www.posttoday.com/travel/thailand/466201

มุมพักใจ พูลแมน เขาหลัก คาทิลิยา

โดย…คีตะ

ชีวิตในเลนวิ่งเร็วทำให้เราโหยหาวันพักร้อน รวมทั้งการพักกายผ่อนใจในสถานที่อันสวยงาม สงบ เพื่อเพิ่มพลังชีวิตด้วยการออกไปพบเจอ และทำเรื่องสนุกๆ ซึ่ง พูลแมน เขาหลัก คาทิลิยา รีสอร์ท แอนด์ สปา ก็ตอบโจทย์นั้นได้ชัดเจน

จากท่าอากาศยานนานาชาติภูเก็ตใช้เวลาเพียงหนึ่งชั่วโมงด้วยรถยนต์ก็มาถึงเขาหลัก และโรงแรมหรูสไตล์รีสอร์ท บนชายฝั่งทะเลอันดามัน อันทันสมัย งดงาม แนบชิดธรรมชาติ

 

ด้วยที่ตั้งทำให้การเดินทางจากโรงแรมไปยังสถานที่ท่องเที่ยวอื่นๆ ในพังงานั้นสะดวกสบาย แต่ถึงจะไม่ออกไปไหน โรงแรมแห่งนี้ก็ยังสร้างความพึงพอใจ และทำให้วันหยุดของคุณสมบูรณ์แบบ

โรงแรมตั้งอยู่ริมหาดกว้างและยาวเกือบ 1 กม. ทำให้คุณทำกิจกรรมริมหาดหรือในน้ำได้ตามใจชอบ ทั่วบริเวณรื่นรมย์เขียวชอุ่มด้วยต้นไม้ แซมด้วยสีสันจากดอกไม้นานาพรรณ การตกแต่งทันสมัยผสมผสานวัฒนธรรมไทยท้องถิ่น

 

การบริการและสิ่งอำนวยความสะดวกภายในห้องพักจะทำให้คุณใช้เวลาสบายๆ โดยเฉพาะในห้องพักวิลล่าแบบที่มีสระว่ายน้ำส่วนตัว แต่ถ้าอยากออกไปพบปะผู้คนหรือทำกิจกรรมอื่นๆ โรงแรมก็ยังมีริมสระน้ำขนาดใหญ่จำนวน 5 สระ รวมทั้งมุมผ่อนคลายในสปา หรือไปออกกำลังให้ได้เหงื่อที่ยิม เล่นกอล์ฟ ยิงธนู ต่อยมวยไทย ขี่จักรยานเสือภูเขา เตะฟุตบอล เล่นโยคะ หรือเล่นเทนนิส ก็ย่อมได้ สำหรับเจ้าตัวเล็กก็มีมุมเด็กให้ได้เล่นสนุกสนาน พร้อมการดูแลอย่างใกล้ชิดจากพนักงาน

อีกหนึ่งไฮไลต์คือ สวนสัตว์เล็กๆ ซึ่งมีกวาง ไก่ป่า กระรอก ฯลฯ ให้ได้ไปชมแบบตัวเป็นๆ พื้นที่ตรงนี้ยังเป็นเส้นทางเดินป่า และจุดตั้งแคมป์ ซึ่งจะมอบประสบการณ์การผจญภัยที่น่าจดจำ

 

อาหารและเครื่องดื่มซึ่งให้บริการภายในโรงแรมก็มีตัวเลือกที่หลากหลาย เพราะมีห้องอาหารถึง 6 แห่ง และบาร์อีก 2 โดยเฉพาะ ดิ เทอเรส โอเชียนฟรอนท์ ซึ่งบริการตลอดทั้งวันด้วยอาหารทะเลและอาหารนานาชาติ เสิร์ฟพร้อมวิวอันดามันตระการตา ชั้นบนเป็น เดอะ รูฟท็อป บาร์ แอนด์ เลานจ์ ให้ได้นั่งรับลมและชมทะเล

สถานที่แห่งนี้เหมาะมากสำหรับคู่ฮันนีมูน รวมทั้งครอบครัว หรือแม้แต่ผู้ที่ต้องการพักผ่อนแบบส่วนตัวลำพัง โรงแรมยังมีพื้นที่จัดประชุมสัมมนาและงานต่างๆ โดยเฉพาะงานที่เป็น “ครั้งหนึ่งในชีวิต” อย่างพิธีวิวาห์

 

ที่นี่ทำให้ผู้มาเยือนได้ใกล้ชิดกับธรรมชาติ มีความเป็นส่วนตัว ทั้งยังเต็มอิ่มด้วยกิจกรรมสนุกๆ จนอยากจะยืดเวลาพักร้อนออกไปอีก

แล้วคืนวัน ณ พูลแมน เขาหลัก คาทิลิยา รีสอร์ท แอนด์ สปา ก็จะกลายเป็นความทรงจำดีๆ ที่เมื่อนึกถึงทีไรหัวใจก็สดชื่น และอยากกลับไปอีกสักครั้ง

Place : พูลแมน เขาหลัก คาทิลิยา รีสอร์ท แอนด์ สปา ตั้งอยู่ ณ เลขที่ 9/9 หมู่ 1 ต.คึกคัก อ.ตะกั่วป่า จ.พังงา โทร.: +66 (0) 76 427 500 แฟกซ์: +66 (0) 76 427 501 อีเมลm reservations@pull mankhaolak.com

 

ตามรอยผู้พิทักษ์ ‘ผืนป่าตะวันตก’

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์โพสต์ทูเดย์

9 พฤศจิกายน 2559 เวลา 16:17 น…. อ่านต่อได้ที่ : http://www.posttoday.com/travel/thailand/466199

ตามรอยผู้พิทักษ์ ‘ผืนป่าตะวันตก’

โดย…กาญจน์ อายุ

กาญจนบุรีเคยอุดมสมบูรณ์ไปด้วย สัตว์ป่า ป่าไม้ และทรัพยากรธรรมชาติ จนกระทั่งหลังเหตุการณ์สงครามมหาเอเชียบูรพาระหว่างปี 2484-2488 สัตว์ป่าได้ถูกล่าจนเกือบหมดสิ้น ซึ่งการล่าสัตว์ในครานั้นไม่ได้ล่าเพื่อกีฬา แต่เป็นการล่าแบบล้างผลาญ อย่างนั่งรถจี๊ปส่องไฟสปอตไลต์ฉายกราดแล้วยิงไม่เลือกว่าเป็นสัตว์ชนิดใด แม้แต่ ลิง ค่าง บ่าง ชะนี ซึ่งเป็นสัตว์สวยงามประดับป่าก็ถูกยิงจนแทบไม่เหลือ กระต่ายป่า ที่เคยมีตามท้องทุ่งก็ถูกยิงจนแทบสูญสิ้น และนกยูงอันเป็นต้นเสียงของเพลงเขมรไทรโยคก็ถูกยิงจนแทบไม่มีเหลือ

หนึ่งในความอุดมสมบูรณ์ของเมืองกาญจน์ คือ ผืนป่าสลักพระ อุดมไปด้วยโขลงช้างป่า เสือ วัวแดง กระทิง และพืชหลากหลายพันธุ์ ซึ่งหลังจากเกิดเหตุการณ์ดังกล่าว ทำให้มีคนออกมาปกป้อง จนกระทั่งกรมป่าไม้ได้ประกาศให้ผืนป่าสลักพระ เป็นเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าแห่งแรกของประเทศไทย ในปี 2508 โดยมีเหตุผลท้ายพระราชกฤษฎีกาว่า

“ป่าสลักพระมีสภาพภูมิประเทศเหมาะสมที่จะกำหนดเป็นเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่า เพื่อให้เป็นที่อยู่อาศัยของสัตว์ป่าโดยปลอดภัย เพื่อรักษาไว้ซึ่งพันธุ์สัตว์ป่า ซึ่งเป็นทรัพยากรธรรมชาติอันมีค่ายิ่งของประเทศชนิดหนึ่ง ที่อำนวยประโยชน์ในการเศรษฐกิจ วิทยาการ และรักษาความงามตลอดจนคุณค่าตามธรรมชาติไว้ ซึ่งเป็นประโยชน์ทั้งทางตรงและทางอ้อมแก่รัฐและประชาชน”

เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าสลักพระ มีเนื้อที่ประมาณ 860 ตร.ม.หรือประมาณ 5.3 แสนไร่ ครอบคลุม 4 อำเภอใน จ.กาญจนบุรี โดยพื้นที่ส่วนใหญ่เป็นภูเขาสลับซับซ้อนยากแก่การลาดตระเวน ลักษณะเป็นป่าเบญจพรรณที่อยู่อาศัยของสัตว์ป่าจำนวนมาก โดยเฉพาะบริเวณทุ่งสลักพระและทุ่งนามอญที่เป็นแหล่งอาหารชั้นดีของสัตว์ป่า

 

ทุ่งสลักพระเป็นทุ่งหญ้ากว้างใหญ่ในเชิงเขาล้อมรอบ อุดมสมบูรณ์ไปด้วยหญ้าและต้นไม้ที่ออกผล เป็นอาหารของสัตว์ป่าอยู่มากมาย เช่น มะขามป้อมไทย มะกอก สมอ และยังมีโป่งดินเค็มจำนวนมากกว่า 100 แห่ง  ซึ่งเป็นแหล่งแร่ธาตุของสัตว์ป่า มีพื้นที่ประมาณ 2-2.3 หมื่นไร่ และยังมีทางติดต่อกับทุ่งหญ้ากว้างอีกแห่งหนึ่งซึ่งมีพื้นที่ประมาณ 1 หมื่นไร่ เรียกว่า ทุ่งนามอญ ซึ่งสัตว์ป่าสามารถหนีภัยข้ามไปมาได้ระหว่างสองทุ่ง นอกจากนี้ยังมีลำห้วยสำคัญไหลผ่านและมีน้ำตลอดปี คือ ห้วยสะด่อง หรือห้วยสลักพระ ซึ่งสัตว์ป่าได้อาศัยกิน รวมถึงเจ้าหน้าที่พิทักษ์ป่าที่เข้าไปลาดตระเวนต้องอาศัยแหล่งน้ำในการดำรงชีวิต

 

อรัญ สงพรมทิพย์ หัวหน้าหน่วยพิทักษ์ป่าห้วยสะด่อง เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าสลักพระ กล่าวว่า ปัจจุบันได้แบ่งเขตพื้นที่ดูแลผืนป่าเป็น 12 หน่วย โดยหน่วยพิทักษ์ป่าห้วยสะด่องเป็นหน่วยแรกที่ติดกับชุมชนและถนนใหญ่ก่อนที่จะเข้าไปในพื้นที่ป่า ภายในป่าสลักพระมียอดเขาที่สูงที่สุด ชื่อ เขาหัวโลน สูงประมาณ 1,100 ม. จากระดับน้ำทะเลปานกลางอยู่ในตอนกลางของเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าสลักพระ ซึ่งเป็นแหล่งต้นน้ำลำธารหลายสาย ทั้งห้วยสะด่องห้วยแม่ละมุ่น ห้วยแม่ปลาสร้อย และห้วยยากากี่ ยอดเขาที่สูงรองลงมา ชื่อ เขาสูง ในพื้นที่ตอนเหนือของเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าสลักพระเป็นแหล่งต้นน้ำของห้วยอีซู ห้วยน้ำขาว ห้วยกระพร้อย และห้วยแม่ละมุ่น ห้วยและลำธารหลายสายเหล่านี้จะไหลรวมลงสู่แม่น้ำแควใหญ่ สาขาแม่น้ำแม่กลอง เขื่อนศรีนครินทร์ และเขื่อนท่าทุ่งนา

เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าสลักพระมีการบริหารจัดการแบ่งเขตการจัดการพื้นที่เป็น 4 ส่วน ได้แก่ เขตหวงห้าม เป็นบริเวณที่มีสังคมพืชและป่าไม้สมบูรณ์ควรค่าแก่การรักษาไว้เพื่อเป็นที่อยู่ของสัตว์ป่าและแหล่งต้นน้ำลำธาร โดยพื้นที่ส่วนใหญ่อยู่ในพื้นที่ภูเขาทุ่งนามอญและทุ่งสลักพระ สอง เขตสงวนสภาพธรรมชาติ เป็นบริเวณที่จะต้องคุ้มครองรักษาสภาพสังคมพืชและสัตว์ป่าให้มีสภาพดั้งเดิม สาม พื้นที่ฟื้นฟูธรรมชาติ เป็นบริเวณที่มีสภาพธรรมชาติถูกทำลายจนเสื่อมโทรมจำเป็นต้องฟื้นฟูให้กลับสภาพเดิม ด้วยการปลูกป่าทดแทนและปล่อยให้ฟื้นตัวคืนสู่สภาพธรรมชาติ และ สี่ เขตบริการศึกษาธรรมชาติและการสื่อสารธรรมชาติ เป็นเขตที่กำหนดขึ้นจากบริเวณพื้นที่สภาพธรรมชาติที่มีจุดเด่นสวยงามและคุณค่าในการศึกษาเรียนรู้ของประชาชน

แต่แม้ว่าจะเปิดให้ประชาชนเข้าไปศึกษาธรรมชาติ ที่นี่ก็ยังไม่ใช่แหล่งท่องเที่ยว ทำให้ต้องทำจดหมายขออนุญาตถึง ไพฑูรย์ อินทรบุตร หัวหน้าเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าสลักพระ จึงจะเข้าไปศึกษาธรรมชาติได้ หัวหน้าฯ ยังเผยด้วยว่า ในปีหน้า (2560) จะมีการจัดสรรพื้นที่เพื่อการท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์อย่างเป็นจริงเป็นจัง เพื่อที่จะเผยแพร่ความรู้สู่คนไทยอย่างรวดเร็วและตรงประเด็น ทำให้ผู้ที่สนใจได้สัมผัสผืนป่าแห่งนี้ง่ายขึ้น

ส่วนของหน่วยพิทักษ์ป่าห้วยสะด่องที่พี่อรัญดูแลนั้น ตั้งอยู่บริเวณปากลำห้วยสะด่องก่อนจะไหลลงสู่เขื่อนท่าทุ่งนา มีเส้นทางศึกษาธรรมชาติ 1 ทาง เป็นเส้นทางเดินขึ้นเขาเพื่อสังเกตสภาพป่าที่เปลี่ยนไปตามความสูงของพื้นที่ จากป่าเต็งรังที่มีต้นไผ่ขึ้นหนาแน่นเป็นป่าเบญจพรรณที่มีต้นเต็งและต้นรังขึ้นปกคลุม รวมถึงฐานสังเกตธรรมชาติรอบตัวด้วยการให้ตามหาใบไม้ตามโจทย์ ฐานดูรอยตีนสัตว์ริมโป่งธรรมชาติ และกิจกรรมผูกเปลคอนโด กิจกรรมหุงข้าวในกระบอกไม้ไผ่ ทำอาหารโดยใช้อุปกรณ์เดินป่า ซึ่งเป็นทักษะจริงที่ผู้พิทักษ์ป่าต้องมี

นอกจากนี้ ยังมีเส้นทางศึกษาธรรมชาติอื่นที่หน่วยพิทักษ์ป่าแม่ละมุ่น เป็นหน่วยพิทักษ์ป่าทางด้านบนของพื้นที่ สามารถมองเห็นลำห้วยแม่ละมุ่นที่มาบรรจบกับห้วยแม่ปลาสร้อยก่อนไหลลงสู่เขื่อนศรีนครินทร์ โดยด้านหลังของสำนักงานมีเส้นทางศึกษาธรรมชาติ และหน่วยพิทักษ์ป่าหนองรี เป็นหน่วยพิทักษ์ป่าที่อยู่บนสุดทางทิศตะวันออกตั้งอยู่ริมห้วยอีซู มีสถานที่สวยงามเหมาะสำหรับกิจกรรมนันทนาการ และมีเส้นทางเดินศึกษาธรรมชาติลำอีซูตั้งอยู่ในพื้นที่ด้วย

พื้นที่ทั้ง 5 แสนไร่ ของเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าสลักพระ ผู้พิทักษ์ป่าได้ออกลาดตระเวนทั่วหมดทุกตารางนิ้ว เพื่อเฝ้าระวังปัญหาตัดไม้ หาของป่า ล่าสัตว์ และลักลอบเก็บหินแผ่น สำหรับคนทั่วไปจะได้เห็นสลักพระเพียงเศษเสี้ยวเดียว คือเฉพาะในเส้นทางศึกษาธรรมชาติเท่านั้น คนทั่วไปไม่สามารถเข้าไปยังทุ่งสลักพระ ทุ่งนามอญ หรือไปพิชิตยอดเขาหัวโลนได้ ทั้งนี้ก็เพื่อความปลอดภัยเพราะการเดินป่าสลักพระต้องใช้ความอดทนสูง อย่างในหน้าฝนอาจเกิดน้ำป่าไหลหลาก หรือในหน้าแล้งอาจไม่มีน้ำสำหรับดำรงชีวิต และสามารถเจออันตรายจากสัตว์ป่าได้ทุกเมื่อโดยเฉพาะช้างป่าที่มีมากจนเจ้าหน้าที่ยังขยาด

เวลานี้ ผืนป่าสลักพระกลับมาอุดมไปด้วยสัตว์ป่าและสมบูรณ์ไปด้วยป่าไม้ กลายเป็นผืนป่าตะวันตกที่มีความสำคัญต่อระบบนิเวศ และอย่างที่ท้ายพระราชกฤษฎีการะบุไว้ ทรัพยากรธรรมชาติมีคุณค่ายิ่งที่จะอำนวยประโยชน์ในการเศรษฐกิจ วิทยาการ และรักษาความงามตลอดจนคุณค่าตามธรรมชาติไว้ ซึ่งเป็นประโยชน์ทั้งทางตรงและทางอ้อมแก่รัฐและประชาชน

ผืนป่าตะวันตกทั้งหมดมีพื้นที่ประมาณ 11.7 ล้านไร่ ครอบคลุมอุทยานแห่งชาติและเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าทั้งหมด 17 แห่ง อยู่ในพื้นที่ 6 จังหวัด ได้แก่ กาญจนบุรี สุพรรณบุรี อุทัยธานี นครสวรรค์ กำแพงเพชร และตาก อุดมไปด้วยความหลากหลายทางชีวภาพ เป็นพื้นที่อยู่อาศัยของสัตว์ป่าหายากใกล้สูญพันธุ์ และครอบคลุมลุ่มน้ำสำคัญทั้งแม่น้ำเจ้าพระยาและแม่น้ำแควที่หล่อเลี้ยงสรรพชีวิต

 

เดินย้อนเวลา ณ ตลาดน้ำอโยธยา

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์โพสต์ทูเดย์

13 พฤศจิกายน 2559 เวลา 07:15 น…. อ่านต่อได้ที่ : http://www.posttoday.com/travel/thailand/464991

เดินย้อนเวลา ณ ตลาดน้ำอโยธยา

โดย…โยโมทาโร่

เสียงปืนดังสนั่นกลางตลาดจนทุกคนต้องหันมาเหลียวมอง ชาย 3 คน แต่งกายเป็นทหารเมียนมาพายเรือส่งเสียงข่มขู่ชาวสยามกลางตลาดน้ำอโยธยา แล้วทุกคนก็ทำท่าถอนหายใจพร้อมๆ กัน นั่นเป็นทหารปลอม เพราะดูแต่ละคนแล้วไม่น่าจะมีพิษสงอะไรมากนัก แล้วเราก็เดินเที่ยวชมกันต่อไปเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น

ตลาดน้ำอโยธยา เป็นสถานที่ท่องเที่ยวอีกแห่งใน จ.พระนครศรีอยุธยา เปิดให้บริการทุกวัน ตั้งแต่เวลา 08.00-17.00 น. เป็นตลาดน้ำที่สร้างขึ้นมาเพื่อเป็นแหล่งท่องเที่ยวเชิงให้ความรู้ทางประวัติศาสตร์ชาติไทยสมัยอยุธยา ให้นักท่องเที่ยวได้ชมบรรยากาศบ้านเมืองสยามสมัยก่อน มีการแสดงการละเล่น การแสดงพื้นบ้าน และการแสดงอิงประวัติศาสตร์เมื่อครั้งเสียกรุงครั้งที่ 2

 

การเดินทางมาที่ตลาดน้ำแห่งนี้โดยการขับรถให้ใช้เส้นทางมาตามเส้นทางถนนสายเอเชีย เลี้ยวซ้ายเข้าพระนครศรีอยุธยาแล้วมุ่งหน้าไปตามถนนโรจนะ ขับตรงไปถึงเจดีย์วัดสามปลื้ม ก่อนขึ้นสะพานข้ามแม่น้ำเจ้าพระยา จากนั้นวนรอบวงเวียนเจดีย์ และเลี้ยวขวาไปทางวัดมเหยงคณ์ ก็จะเห็นทางเข้าตลาดน้ำอโยธยา ข้างในมีที่จอดรถฟรีประมาณ 500 คันเห็นจะได้ แต่ถ้าไปแล้วเต็มก็ยังมีที่จอดรถเอกชนเสียค่าจอดไม่สูงมากนักรองรับนักท่องเที่ยวอยู่

สิ่งที่เราแนะนำให้เตรียมไป ก็คือ กระเป๋าสะพายหลังและน้ำเปล่าสักขวด เพราะคุณอาจจะได้เสียเงินไปกับสินค้าสวยงาม หาซื้อได้ยากจากตลาดน้ำแห่งนี้ โดยเฉพาะของเล่นและขนมในวัยเด็กที่เราคิดว่าไม่น่าจะมีขายแล้ว ก็สามารถหาซื้อได้จากที่ตลาดแห่งนี้ครับ และเนื่องจากสภาพอากาศที่ค่อนข้างร้อนอบอ้าวเกือบตลอดทั้งปี เราจึงแนะนำให้คุณเดินทางมาเที่ยวช่วงเช้า อากาศกำลังดี แสงกำลังสวย เหมาะแก่การถ่ายภาพอย่างยิ่ง

 

ทำให้ตลาดน้ำแห่งนี้มีนักท่องเที่ยวจำนวนมากหลั่งไหลเข้าเยี่ยมชมทั้งไทยและต่างชาติ โดยมากจะมาเพื่อถ่ายรูป และรับประทานอาหาร โดยเฉพาะชาวต่างชาติจะนิยมบริการนั่งเกวียนเทียมวัว และขี่หลังช้าง แต่นั่นก็ขึ้นอยู่กับว่าในวันที่เราไปนั้นในส่วนกิจกรรมต่างๆ มีการจัดแสดงและให้บริการหรือไม่ หากมีความตั้งใจจะไปร่วมกิจกรรมพิเศษของทางตลาดน้ำอย่างใดอย่างหนึ่ง แนะนำว่าควรโทรสอบถามก่อนที่เบอร์ 035-881-733

เมื่อเดินเข้ามาภายในตัวตลาด จะพบว่า ทั้งหมดสร้างด้วยไม้เป็นลักษณะเรือนไทยเรียงต่อกันเป็นวงกลม 2 ชั้น ล้อมรอบคลองจำลองขนาดใหญ่ แสดงถึงวิถีชีวิตของคนไทยที่มีความผูกพันอาศัยอยู่ริมแม่น้ำเป็นหลัก เพราะเดินทางไปไหนมาไหนได้สะดวกกว่า มีตลาดริมน้ำเล็กๆ พอเป็นสีสัน มีร้านค้าอยู่ประมาณ 150 กว่าร้านค้า ซึ่งเราไปล่าสุดก็พบว่ามีพื้นที่ว่างให้เช่าเหลืออยู่อีกมาก ก็น่าจะเป็นผลจากสภาวะเศรษฐกิจเป็นตัวสำคัญ แต่ร้านค้าหลักๆ ที่เป็นสีสัน เช่น ร้านขายเสื้อผ้าไทย ขนมไทยโบราณ ของเล่นโบราณยุค พ.ศ 2510-2530 ศ.เครื่องดื่มกาแฟโบราณใส่ในภาชนะแปลกๆ ยังคงมีอยู่ และเพิ่มเติมก็เห็นจะเป็นพวกของเล่นไฮเทคที่เริ่มเข้ามาวางจำหน่ายเอาใจคนรุ่นใหม่มากขึ้น

 

เราแนะนำว่า เมื่อมาถึงที่นี่แล้วควรดูตารางกิจกรรมก่อนว่าจะเริ่มการแสดงเมื่อไหร่ ซึ่งจะเป็นกิจกรรมที่เข้าชมฟรี เว้นแต่การขี่หลังช้างและล่องเรือ หรือนั่งเกวียนที่สามารถใช้บริการได้ตลอดทั้งวัน ถ้าเวลาค่อนข้างกระชั้นมากควรให้เวลาชมการแสดงสักหน่อย โดยเฉพาะการแสดงแอ็กชั่น สงครามเสียกรุง แม้จะเป็นการแสดงจากทีมนักแสดงเล็กๆ แต่ก็ปลุกเลือดรักชาติให้เดือดพล่านได้ไม่น้อย

จากนั้นค่อยเดินเวียนขวาชมร้านค้าร้านรวงต่างๆ ประมาณ 2 รอบ แบ่งเป็นรอบในกับรอบนอกตัวตลาดก็จะเดินครบพอดี หยุดร้านนั้นนิดร้านนี้หน่อยแวะชิมขนม ชมของเล่น ซึ่งเกือบจะร้อยทั้งร้อยต้องแวะร้านของเล่นโบราณกันทุกคน ส่วนฉากถ่ายภาพที่นิยมมากที่สุดก็เห็นจะเป็นประตูหน้าร้านที่ยังไม่ได้เปิดให้บริการเป็นฉากหลังที่เหมาะแก่การถ่ายภาพเป็นอย่างมาก รองลงมาก็จะเป็นด้านหน้ากับป้ายชื่อ “ตลาดน้ำอโยธยา” รูปปั้นเด็กไทย รถสามล้อถีบ รถโบราณที่จอดจนยางแบนก็เก็บมุมสูงหน่อยเป็นอันใช้ได้มีรูปประทับใจไปโพสต์อวดเพื่อนๆ ในเฟซบุ๊ก

 

เดินนานๆ ชักจะเมื่อย เราแนะนำให้ใช้บริการล่องเรือ เป็นเรือเล็กๆ แต่ปลอดภัย วิ่งรอบตลาดน้ำได้บรรยากาศคล้ายตลาดน้ำ ก็เป็นประสบการณ์ที่ดีโดยเฉพาะเด็กๆ ที่อยากจะลองนั่งเรือดูสักครั้ง ค่าบริการก็ไม่ได้แพงมาก ยิ่งถ้าเป็นช่วงเที่ยงก่อนการแสดงโชว์เราอาจจะได้เห็นนักแสดงแต่งชุดทหารเมียนมาพายเรือยิงปืนอยู่ใกล้ๆ เรือเราอีกด้วย

ปิดท้ายด้วยการรอชมการแสดงวัฒนธรรมประเพณีต่างๆ บริเวณเรือนไทยกลางน้ำ ซึ่งผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนกันไป ซึ่งเราอาจจะได้ชมระบำนาฏนารีศรีอโยธยา ระบำบันเทิงเภรี และการแสดงชุด วสันตนฤมิตร ทั้งหมดเป็นการแสดงที่ให้เราได้เข้าชมฟรี แต่จะมีทีมนักแสดงถือกล่องบริจาคเงินตามจิตศรัทธา ก็ควรให้ตามอัตภาพของแต่ละท่านเป็นขวัญกำลังใจให้พวกเขาได้สืบสานการแสดงของไทยให้คงอยู่สืบไป ถ้าหากแวะมา จ.พระนครศรีอยุธยา ตลาดน้ำอโยธยาเป็นอีกหนึ่งสถานที่ที่อยากให้คุณได้มาเยี่ยมเยือนกันสักครั้ง

 

 

 

 

 

จันจิรา จันทร์พิทักษ์ชัย เดินทางเพื่อพัฒนา

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์โพสต์ทูเดย์

12 พฤศจิกายน 2559 เวลา 09:37 น…. อ่านต่อได้ที่ : http://www.posttoday.com/travel/thailand/464942

จันจิรา จันทร์พิทักษ์ชัย เดินทางเพื่อพัฒนา

โดย…รอนแรม

สาวขาแดนซ์แห่งค่ายเวิร์คพอยท์ มิวสิค จันจิ-จันจิรา จันทร์พิทักษ์ชัย เธอเดินตามรอยพ่อหลวงรัชกาลที่ 9 บนเส้นทางแห่งความพอเพียงและการแบ่งปัน โดยจันจิและจันทรา (พี่สาว) ได้นำริบบิ้นเหลือใช้มาประดิษฐ์เป็นริบบิ้นดำแจกให้ผู้ที่จะเดินทางไปถวายสักการะพระบรมศพที่พระที่นั่งดุสิตมหาปราสาท  ในพระบรมมหาราชวัง นอกจากนั้น จันจิยังมีความเพียรในการทำงานแต่เด็กจนถึงวันนี้ในวัย 25 ปี เธอสามารถดูแลครอบครัว

วงไกอาฟอร์มทีมขึ้นมาเมื่อ 3 ปีก่อน โดย จิก-ประภาส ชลศรานนท์ เป็นคนตั้งชื่อวงที่แปลว่า พระแม่ธรณี เธอมีคาแรกเตอร์เป็นสาวลุคสปอร์ตและเปรี้ยว รับหน้าที่เป็นนักร้องสายเต้น เพราะตัวเธอได้โตขึ้นมาจากการเป็นแดนเซอร์ให้ศิลปินดังหลายคน

 

“จันจิเป็นเบื้องหลังมาก่อน เคนเป็นแดนเซอร์ให้ศิลปินแกรมมี่มา 5 ปี ให้เอเอฟบ้าง และระหว่างที่เป็นแดนเซอร์ก็เคยเป็นดีเจมาก่อนด้วย จากนั้นมีพี่ที่เคยเต้นด้วยกันอยู่ที่เวิร์คพอยท์ได้เรียกจันจิมาออดิชั่น ไม่คิดเหมือนกันว่าจะได้ เพราะตัวเองร้องเพลงไม่เก่ง จะหนักเต้นมากกว่า เลยต้องฝึกต้องพัฒนาการร้องให้ดีด้วย” จันจิเริ่มทำงานเป็นแดนเซอร์ตั้งแต่ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 เป็นต้นมา

ความดี

เนื่องในการเสด็จสวรรคตของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช เธอและพี่สาวได้ทำริบบิ้นดำแจกฟรีแก่ผู้ที่จะไปถวายสักการะพระบรมศพ เบื้องหน้าพระบรมโกศ โดยมีจันทราเป็นโต้โผ ส่วนจันจิเป็นแรงงานและฝ่ายประชาสัมพันธ์ ตอนแรกเป็นการนำริบบิ้นเหลือใช้จากการทำเครื่องประดับมาทำเป็นริบบิ้นดำให้คนในครอบครัว ซึ่งในขณะนั้นมีกระแสเรื่องการใช้เสื้อสีดำมาก ทั้งคู่จึงมีความคิดอยากทำไปแจกคนที่สนามหลวง

 

จันทราจึงโพสต์ประกาศแจกริบบิ้นดำลงอินสตาแกรมให้คนที่จำเป็นจริงๆ แอดไลน์ส่วนตัวเพื่อติดต่อรับริบบิ้นทางไปรษณีย์ ซึ่งมีคนติดต่อเข้ามากว่า 3,000 คน จันจิจึงลงมาช่วยทำริบบิ้นเพื่อแจกจ่ายให้ผู้ที่ต้องการ

“หลังจากพี่สาวโพสต์ไปก็มีออร์เดอร์เข้าเรื่อยๆ ทำเท่าไรก็ทำไม่พอ จึงต้องชี้แจงไปว่าจะให้คนละชิ้นสองชิ้นเท่านั้น เพื่อจะแบ่งสันปันส่วนให้ครบทุกคน” จันจิ กล่าวเพิ่มเติม “จนถึงตอนนี้ก็ยังทำอยู่เรื่อยๆ แต่เปลี่ยนจากที่แจกฟรีอย่างเดียว ก็ได้นำไปขายร้านค้าเพื่อที่จะได้นำเงินมาบริจาคให้โครงการที่เกี่ยวข้องกับในหลวง ซึ่งก็น่าจะทำแบบนี้ต่อไป ยังไม่มีกำหนดหยุด จนกว่าไม่มีใครต้องการเพิ่มแล้ว”

 

นอกจากนี้ เธอและพี่สาวยังนำริบบิ้นดำไปแจกที่สนามหลวง 2 ครั้ง รวมๆ กันนับกว่า 1,000 ชิ้น ซึ่งครั้งนี้ได้แรงจากเพื่อนพ้องน้องพี่ของทั้งสองคนมาช่วยทำ และความตั้งใจต่อไปทั้งคู่อยากนำริบบิ้นดำไปแจกให้คนต่างจังหวัด กำลังพยายามหาช่องทางที่จะส่งให้ถึงทั้ง 77 จังหวัด นับได้ประมาณ 3 หมื่นชิ้น ทุกชิ้นทำด้วยมือตั้งแต่ตัด ติดกาว ลนไฟปลายริบบิ้น ซึ่งทุกชิ้นทำด้วยความตั้งใจทั้งสิ้น

“ยังไม่มีโอกาสเข้าไปถวายบังคมพระบรมศพ ได้แต่แจกข้าว แจกน้ำ แจกริบบิ้นให้คนที่มาร่วมงานข้างนอก” เธอกล่าวด้วยว่า แม้จะเป็นคนรุ่นใหม่ที่เกิดมาในยุคที่ในหลวง รัชกาลที่ 9 มีพระชนมพรรษามากแล้ว แต่เธอก็ยังรักและผูกพันอย่างเหลือล้น

 

“ตอนเด็กๆ เราก็จะเรียนเกี่ยวกับพระราชกรณียกิจของในหลวงเยอะมาก ซึ่งทำให้เราทึ่งว่าท่านทำได้ยังไง เราเห็นท่านในทีวี เห็นในโรงหนังทุกครั้ง ก็รู้สึกว่าท่านเท่และเก่งมากๆ เล่นดนตรีก็ได้ เล่นกีฬาก็ได้ พูดได้หลายภาษา พอได้ยินข่าวการเสด็จสวรรคตของพระองค์ เรายังไม่ได้เตรียมใจ มันหนักอึ้งไปหมด ท่านจากเราไปแล้วจริงๆ หรอ ท่านจากเราไปแล้วจริงๆ มันเศร้า เศร้าอยู่ในใจ”

สิ่งที่คนไทยได้ยินกันมาตลอดคือ ในหลวง รัชกาลที่ 9 สอนให้อยู่อย่างพอเพียง ซึ่งเธอได้น้อมนำมาใช้ในการทำริบบิ้นจากของเหลือใช้มาทำให้เกิดประโยชน์แก่ผู้อื่น เธอกล่าวต่อว่า “ตามปกติจันจิก็ประหยัดของเราเอง ไม่ได้คิดว่าต้องพอเพียงขนาดไหน แต่พอท่านเสด็จสวรรคต ทำให้เราต้องยึดหลักพอเพียงอย่างจริงจัง เราต้องกลับมาดูที่ตัวเราแล้วละว่าจะใช้ชีวิตยังไงให้พอเพียง เพราะนี่เป็นการทำดีเพื่อพ่อที่ใครๆ ก็ทำได้ ในหลวงไม่ได้ไปไหน แต่ท่านยังอยู่ในชีวิตและจิตใจของทุกคน”

 

ความฝัน

จันจิจบการศึกษาจากคณะนิเทศศาสตร์ มหาวิทยาลัยกรุงเทพ สวนทางกับความฝันในวัยเด็กของเธอที่อยากเป็นสัตวแพทย์ แต่เมื่อได้เดินมาบนเส้นทางนี้แล้ว เธอก็ขอใช้ชื่อเสียงศิลปินเป็นเครื่องกระจายเสียงเพื่อช่วยเหลือสัตว์ และหากเป็นไปได้เธออยากตั้งมูลนิธิ

“ถ้าจันจิทำหน้าที่ในการดูแลที่บ้านได้แล้ว ก็อยากทำมูลนิธิเพื่อช่วยเหลือสัตว์ที่ถูกรังแกหรือถูกปล่อยให้จรจัด จะใช้เสียงของเราช่วยเหลือชีวิตอื่น ทำประโยชน์ให้แก่สังคมและสิ่งมีชีวิตร่วมโลกใบนี้”

 

ด้านการใช้ชีวิต ส่วนใหญ่เธอจะใช้เงินไปกับสิ่งที่สามารถพัฒนาตนเองได้ เช่น ออกกำลังกาย เรียนการแสดงเพื่อหาความรู้ใหม่ และเพื่อหาประสบการณ์ จันจิชอบไปทะเลอย่าง ภูเก็ต กระบี่ ซึ่งเธอใช้คำว่า เที่ยวบ้าง

“เมื่อก่อนจันจิเป็นแดนเซอร์จะไม่ค่อยมีเวลา ทำให้ไม่ได้ไปเที่ยวไหนเลย แต่พอมาเข้าวงการ พอมีเวลาว่างมากขึ้นก็จะหาเวลาไป เพื่อออกจากสภาพแวดล้อมเดิมๆ ชาร์จพลังและพักร่างกาย เพราะตอนเต้นหนักๆ จะใช้ร่างกายเต็มที่ ไม่ได้ดูแลตัวเองเลย”

เธอให้ความหมายของคำว่า การเดินทาง คือ การเปิดโลกใหม่ เพื่อเติมเต็มในสิ่งที่ตนเองไม่มี ซึ่งแม้ว่าเธอจะไม่ยกให้เรื่องเที่ยวเป็นอย่างแรก แต่ก็ไม่เคยลืมให้จิตใจได้พัก ให้ร่างกายได้ผ่อนคลาย เพื่อเริ่มต้นวันใหม่ได้อย่างแข็งแรง

 

โมเดน่า บาย เฟรเซอร์ โรงแรมของนักเดินทาง (เพื่อธุรกิจ)

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์โพสต์ทูเดย์

12 พฤศจิกายน 2559 เวลา 09:33 น…. อ่านต่อได้ที่ : http://www.posttoday.com/travel/thailand/464941

โมเดน่า บาย เฟรเซอร์ โรงแรมของนักเดินทาง (เพื่อธุรกิจ)

โดย…นิทรา ราตรี

อาคารเอฟ วาย ไอ เซ็นเตอร์ (FYI Center) สร้างภาพลักษณ์ใหม่ให้ย่านคลองเตย ด้วยสถาปัตยกรรมทันสมัยอันเป็นที่ตั้งของโรงแรม โมเดน่า บาย เฟรเซอร์ กรุงเทพฯ แบรนด์ที่พักอาศัยของเฟรเซอร์ฮอสปิธาลิตี้ (Frasers Hospitality) มีจุดเด่นในการมอบความสะดวกสบายเหมือนอยู่บ้าน รองรับนักท่องเที่ยว นักธุรกิจ และองค์กร ภายใต้การบริหารจัดการของเอฟ วาย ไอ เซ็นเตอร์

พรีม่า เอรันกานี ผู้จัดการทั่วไป กล่าวว่า ปัจจุบันนักเดินทางเพื่อธุรกิจต้องการสิ่งอำนวยความสะดวกที่มากกว่าทั่วไป พวกเขาต้องการที่จะรู้สึกเชื่อมต่อกับสภาพแวดล้อมและวัฒนธรรมของสถานที่ที่เดินทางไป และทำงานให้มากขึ้น โรงแรมจึงคัดสรรสิ่งอำนวยความสะดวกจากท้องถิ่น จัดแสดงงานศิลปะท้องถิ่น ใช้วัตถุดิบท้องถิ่นในห้องอาหาร รวมถึงให้เยี่ยมชมสถานที่ท่องเที่ยวประจำท้องถิ่นด้วย

 

ทางโรงแรมเข้าใจความรู้สึกและพฤติกรรมของนักเดินทางเพื่อธุรกิจ โดยได้จัดหาสิ่งที่ผู้เข้าพักต้องการตั้งแต่เดินทางมาถึงโรงแรมกระทั่งเดินทางกลับ ไม่ว่าจะเป็นอินเทอร์เน็ตความเร็วสูงแบบไม่เสียค่าใช้จ่ายฟิตเนส (บริการ 24 ชั่วโมง) ห้องสตีม ห้องเซาน่า เครื่องซักผ้าแบบบริการตัวเอง ห้องประชุม และสวน

ห้องพักเริ่มตั้งแต่ห้องสตูดิโอไปจนถึงอพาร์ตเมนต์ 3 ห้องนอนที่มีพื้นที่กว้างขวาง พร้อมห้องครัวและอุปกรณ์ พื้นที่ทำงาน และระบบความบันเทิงภายในห้อง โดยแต่ละห้องจะมีต้นไม้ปลูกไว้ให้ผู้เข้าพักได้รดน้ำต้นไม้เหมือนกิจกรรมยามเช้าที่บ้าน ส่วนกราฟฟิกบนหัวเตียงล้วนได้รับแรงบันดาลใจมาจากตลาดคลองเตย รวมถึงกราฟฟิกลายผ้าไทยท้องถิ่น และลายรถตุ๊กตุ๊กที่เป็นเอกลักษณ์ของไทย

 

สำหรับห้องอาหารเป็นแบบ grab-and-go ที่ง่ายต่อการรับประทาน โดยเลือกใช้วัตถุดิบจากตลาดที่สดใหม่ทุกวัน และล็อบบี้ได้ออกแบบให้สะท้อนถึงวิถีชีวิตในท้องถิ่น เช่น รูปทรงตู้คอนเทนเนอร์ที่ท่าเรือคลองเตย และผนังสีเหลืองสดที่ลอกแบบมาจากตู้คอนเทนเนอร์ที่ชั้นใต้ดินและชั้นที่สอง

โมเดน่า บาย เฟรเซอร์ กรุงเทพฯ ตั้งอยู่บริเวณมุมถนนพระราม 4 ตรงข้ามศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์และสวนเบญจกิติ ใกล้แหล่งธุรกิจย่านสุขุมวิท และสามารถเดินทางเชื่อมกับรถไฟฟ้าใต้ดินได้ ผสมผสานระหว่างการทำธุรกิจและไลฟ์สไตล์ของนักท่องเที่ยวสมกับเป็นโรงแรมที่เอาใจนักเดินทางเพื่อธุรกิจและนักธุรกิจเพื่อเดินทาง

 

Price : ห้องซูพีเรีย ราคาเริ่มต้น 1,900 บ. ห้องสตูดิโอ เอ็กเซ็กคิวทีฟ ราคาเริ่มต้น 2,900 บ. ห้องสตูดิโอ พรีเมียร์ ราคาเริ่มต้น 3,400 บ. ตั้งแต่วันนี้ – 31 ธ.ค. 59

Place : ภายในอาคารเอฟ วาย ไอ เซ็นเตอร์ ใกล้รถไฟฟ้าใต้ดินศูนย์การประชุม แห่งชาติสิริกิติ์ ย่านคลองเตย โทร. 02-033-0888 เว็บไซต์ bangkok.modenabyfraser.com

Promotion : –