ทุ่งนากับเวลาที่ช้าลง ตูบนาโฮมสเตย์

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์โพสต์ทูเดย์

15 ตุลาคม 2559 เวลา 12:15 น….. อ่านต่อได้ที่ : http://www.posttoday.com/travel/thailand/460434

ทุ่งนากับเวลาที่ช้าลง ตูบนาโฮมสเตย์

โดย…นิทรา ราตรี

เชื่อมาตลอดว่าเมื่อมีความสุข เวลาจะเดินเร็วขึ้น จนกระทั่งได้ไปยืนอยู่กลางท้องนาจึงค้นพบว่าเวลาที่ ตูบนาโฮมสเตย์ กำลังเดินช้าลง ผกผันกับความสุขที่มีมากขึ้นทุกที

ตูบนาโฮมสเตย์ เป็นที่พักเล็กๆ ริมทุ่งนาใน อ.ปัว จ.น่าน ที่เวลานี้ข้าวกำลังแตกรวงสีเหลืองนวลตา ตัดกับสีเขียวเข็มของตีนตุ๊กแกที่เรื้อยคลุมบ้านหลังน้อยไว้ ตูบนามีที่พักเพียง 4 ห้อง ได้แก่ ชมวิว เป็นห้องพักที่ดีที่สุด ด้วยวิวภูเขาและทุ่งนาผ่านกระจกบานใหญ่ มีระเบียงหน้าบ้าน และดาดฟ้าให้ชมวิวเวลากลางวันและชมดาวเวลากลางคืน ชมหมอก มีขนาดเล็กกว่าห้องชมวิว แต่ยังมีดาดฟ้า และพิเศษด้วยระเบียงหน้าบ้านและพื้นที่รอบบ้านมากกว่าห้องอื่น รวมทั้งห้องชมนา 1 และชมนา 2 ที่แม้ว่าจะไม่มีดาดฟ้า แต่ยังมีระเบียงชมวิว และเป็นห้องที่มีขนาดใหญ่กว่าในบรรดาห้องทั้งหมด

นอกจากนี้ ในอาณาเขตทุ่งนาเดียวกัน ทางตูบนาได้เปิดที่พักอีกแห่งชื่อ ตูบน่าน มีทั้งหมด 4 ห้อง คือ ห้องชมทุ่ง เฮือนคา ปลายนา และชมดอย ทุกห้องเหมือนกันจึงให้อารมณ์เหมือนอยู่รีสอร์ท ต่างจากความรู้สึกเหมือนอยู่บ้านที่ฝั่งตูบนา แต่ไม่ว่าอย่างไรทุกคนจะได้รับการดูแลเหมือนกันหมด ทั้งความใจดีของคุณแม่ดวงเดือน จิตอารี และการดูแลอย่างดีจากสมาชิกในครอบครัว ซึ่งกลายเป็นสิ่งที่อยู่ในความทรงจำและเป็นเหตุผลที่อยากกลับไปปัว

 

สำหรับตูบนา ทุกห้องจะได้รับขันโตกชุดใหญ่เป็นอาหารเย็น และข้าวต้มรสเด็ดเป็นอาหารเช้าฟรี คอมพลีเมนทารีแบบอิ่มหมีพีมัน นอกจากนี้เหล่าแบ็กแพ็กเกอร์ที่ไม่ได้ขับรถจากตัวเมืองน่านมาปัว เมื่อเดินทางมาถึงปัว ทางตูบนาจะมีรถรับ-ส่งจากที่พัก แต่จะหารถสาธารณะไปเที่ยวในปัวยากเสียหน่อย อย่างดีก็ต้องเหมารถสองแถว ทั้งนี้ถ้าไม่อยากไปไหน ทุ่งนาที่ตูบนาก็เป็นตัวเลือกที่ดี่ที่จะหยิบหนังสือสักเล่มมานั่งอ่าน แล้วปล่อยเวลาให้เดินช้าๆ ไปตามธรรมชาติ

ถามว่าเมื่อกลับมาคิดถึงอะไรมากที่สุด ข้าวแลงฝีมือแม่ สายลมเหนือยอดข้าว กลิ่นดิน เสียงเขียด หรือความเชื่องช้าของเวลา ทั้งหมดล้วนคิดถึงและโหยหา เพราะทุกอย่างล้วนเป็นสิ่งที่กรุงเทพฯ ไม่มี

Price: ชมวิว 1,800 บ. ชมนา 1 ชมนา 2 และชมหมอก 1,600 บ. ช่วงเทศกาลปีใหม่ ตั้งแต่วันที่ 23 ธ.ค. 59 – 8 ม.ค. 60 ชมวิว 2,500 บ. และห้องอื่นๆ 2,000 บ. ไม่ฟรีขันโตก หากต้องการขันโตกเพิ่มอีกชุดละ 500 บ.

Place: อ. ปัว จ. น่าน โทร. 094-143-1969 เฟสบุ๊ก: ตูบนาโฮมสเตย์ อ.ปัว จ.น่าน

Promotion: –

 

เที่ยว ‘สวรรค์’ ณ สวรรคโลก

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์โพสต์ทูเดย์

15 ตุลาคม 2559 เวลา 12:09 น….. อ่านต่อได้ที่ : http://www.posttoday.com/travel/thailand/460433

เที่ยว ‘สวรรค์’ ณ สวรรคโลก

โดย…กาญจน์ อายุ

สวรรค์มีอยู่จริง เพราะเมืองสวรรคโลกยังมีอยู่จริง

สวรรคโลกเป็นอำเภอหนึ่งใน จ.สุโขทัย ในอดีตเคยเป็น จ.สวรรคโลก นาน 24 ปี ทำให้หลายอย่างในอำเภอนี้มีความพิเศษกว่าอำเภอใด โดยในปี 2458 สวรรคโลกเคยมีฐานะเป็นจังหวัดสมัยสุโขทัย หลังจากนั้นปี 2482 ได้ถูกยุบให้มีฐานะเป็นอำเภอ จึงไม่แปลที่อำเภอเล็กๆ จะมีทั้งสถานีรถไฟ  สถานที่ราชการ พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ ศาลหลักเมือง สิ่งบ่งชี้ความเป็นจังหวัดที่เคยเป็นผ่านมา

คู่รักจูงมือเที่ยวสถานีรถไฟสวรรคโลก

 

สวรรคโลก

ศาลาทำการรถไฟเป็นอาคารไม้โบราณ และยังเก็บข้าวของตกยุคไว้อย่างดีอย่างกับเป็นพิพิธภัณฑ์ ที่แห่งนี้เราได้พบกับ พี่นก-สัญญา พานิชยเวช ปราชญ์ชาวบ้าน ชายพลัดถิ่นจากบ้านเกิดมาเป็นลูกหลานเมืองสวรรคโลกเต็มตัว พี่นก เล่าว่า ช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 ทางรถไฟเป็นยานพาหนะสำคัญในการทำสงคราม โดยทางการได้ตัดทางรถไฟผ่านสวรรคโลกไปยังเมืองเมาะลำไยชายแดนเมียนมา นำพาการค้าขายผ่านมา ชาวสวรรคโลกเป็นชาวไร่ ปลูกฝ้าย ถั่วเหลือง ปลูกข้าว ก็นำไปค้าขายกับคนเมืองไกลผ่านรถไฟ

นอกจากนี้ เมืองสวรรคโลกยังติดแม่น้ำยม อีกหนึ่งเส้นทางค้าขายของชาวบ้าน ซึ่งรถไฟและเรือได้นำพาชาวต่างชาติเข้ามาจำนวนมาก ทั้งชาวจีน แขก มอญ สร้างความครึกครื้นถึงขั้นเป็นตลาดราคากลาง ที่สามารถกำหนดราคาพืชผลทางการเกษตรของทั้งประเทศ

บ้านเมืองแบบดั้งเดิมในสวรรคโลก

 

“คนสวรรคโลกแต่ก่อนชอบบ่นว่านอนไม่หลับ” พี่นกทิ้งช่วงให้คิด “เพราะปลาในแม่น้ำยมมีมาก เล่นน้ำกันทั้งคืนจนคนนอนไม่หลับเลย” นั่นแสดงถึงความอุดมสมบูรณ์ สมกับคำว่า ในน้ำมีปลา ในนามีข้าว และเมื่อพูดถึงข้าว นั่นเป็นอีกผลิตผลหนึ่งที่ชาวสวรรคโลกปลูกเลี้ยงชีพมาถึงปัจจุบัน

สถานีรถไฟตั้งอยู่กลางเมืองสวรรคโลก บ้านเมืองเก่าแก่ที่ยังคงรักษาความเก่าไว้ในสถาปัตยกรรม เรือนแถวไม้ และบ้านปูนที่มีหน้าบ้านแคบ ตัวบ้านยาว และเพดานลาดลงไปทางหลังบ้านซึ่งเป็นเอกลักษณ์เฉพาะ ที่สำคัญชาวบ้านได้รักษาวัฒนธรรมดั้งเดิมไว้ในอาหาร อย่าง “ร้านบะหมี่เม้ง 100 ปี” ที่เปิดกิจการมาเป็นร้อยปี โดยมีเถ้าแก่เนี้ยเป็นชาวจีนที่เข้ามาค้าขายและเผยแพร่วัฒนธรรมการกินก๋วยเตี๋ยวให้คนไทย

ห้องขังบนสถานีตำรวจภูธรสวรรคโลก

 

ก๋วยเตี๋ยวสวรรคโลกไม่เหมือนก๋วยเตี๋ยวสุโขทัย หนึ่ง สวรรคโลกไม่ใช้ถั่วฝักยาว ใช้เส้นบะหมี่ ใส่กะหล่ำปลี เกี๊ยว หมูแดง และราดน้ำหมูแดงชุ่มเส้น “จริงๆ แล้วคนเมืองสุโขทัยไม่ได้ชอบกินถั่วฝักยาวจนใส่ไว้ในก๋วยเตี๋ยว” พี่นกเริ่มเปิดประเด็น “แต่เพราะการค้าขายในสุโขทัยเริ่มซบเซาจากการตัดถนน สุโขทัยเมืองค้าขายจึงเปลี่ยนเป็นแค่ทางผ่านจากเหนือลงใต้และจากใต้ขึ้นเหนือ ถั่วฝักยาวที่ชาวบ้านปลูกล้นตลาด ครั้นจะปล่อยให้เน่าเสีย ชาวบ้านจึงนำมาใส่ก๋วยเตี๋ยวด้วยความเสียดายเท่านั้นเอง”

ข้อมูลและหลักฐานทางประวัติศาสตร์เมืองสวรรคโลกได้ถูกรักษาไว้ในพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ สวรรควรนายก จัดแสดงหลักฐานการอยู่อาศัยของมนุษย์บริเวณลุ่มแม่น้ำและดินแดนแถบนี้ตั้งแต่ก่อนประวัติศาสตร์ ทั้งหลักฐานโบราณวัตถุ โบราณสถาน ที่แสดงถึงพัฒนาการของบ้านเมือง มีโบราณวัตถุสำคัญ ได้แก่ รูปนางอัปสรและเทวดา ขวานหินขัด และกระเบื้องเชิงลาย

เครื่องปั้นดินเผาสมัยสุโขทัย

 

นอกจากนี้ เครื่องถ้วยสังคโลกเป็นอีกหลักฐานสำคัญที่บอกเล่าถึงประวัติศาสตร์และวัฒนธรรมสุโขทัย สังคโลกมีการผลิตมาตั้งแต่สมัยสุโขทัยเป็นราชธานี จากนั้นสังคโลกได้ถูกพัฒนารูปแบบและวิธีการผลิตเป็นสินค้าส่งออกที่สำคัญในสมัยกรุงศรีอยุธยาตอนต้น โดยมีแหล่งเตาอยู่ในเมืองสวรรคโลกเก่า หรือ อ.ศรีสัชนาลัย ในปัจจุบัน

คำว่า สังคโลก สันนิษฐานว่ามาจากชื่อเมืองสวรรคโลก ซึ่งเป็นแหล่งผลิตสังคโลกที่ใหญ่ที่สุดในสมัยนั้น เครื่องสังคโลกมี 6 ประเภท ได้แก่ เครื่องเคลือบสีเขียวไข่กา หรือเซลาดอน เครื่องเคลือบเขียนลายสีดำหรือสีน้ำตาลใต้เคลือบ เครื่องเคลือบสองสี เครื่องเคลือบสีน้ำตาลถึงดำ เครื่องเคลือบสีขาวขุ่น และภาชนะไม่เคลือบ

วัดกลางดง อ.ทุ่งเสลี่ยม

 

นอกจากนี้ ในพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติยังมีห้องจัดแสดงพระพุทธรูปที่แบ่งกลุ่มตามการกำหนดอายุสมัยและรูปแบบศิลปะ ได้แก่ ศิลปะลพบุรี ศิลปะเชียงแสนหรือล้านนา ศิลปะสุโขทัย ศิลปะอู่ทอง ศิลปะอยุธยา และศิลปะรัตนโกสินทร์ องค์สำคัญคือ พระพุทธรูปศิลปะอู่ทองที่มีจารึกอักษรไทยสุโขทัย แปลได้ว่า ตนนี้ก่อพระเจ้าแม่เอินไว้ในบุรพารามนี้ อันเป็นหลักฐานที่แสดงถึงความสัมพันธ์ระหว่างสุโขทัยกับสุพรรณภูมิ

ยังไม่หมดเพียงเท่านั้น ร่องรอยแห่งอดีตยังหลงเหลืออยู่อย่างสมบูรณ์ที่ โรงพักเรือนทรงแบบปั้นหยา สร้างเมื่อปี 2482 ทำจากไม้สักและไม้ตะแบกจำนวน 400 ยก รูปแบบยุโรปผสมไทย มีหลังคาทรงปั้นหยาและจั่วทรงมะนิลาผสมกัน สิ่งที่น่าสนใจคือ บนโรงพักยังคงส่วนประกอบทุกอย่างไว้ทั้งห้องขังนักโทษ โต๊ะสิบเวร โต๊ะจดบันทึกประจำวัน แท่นเก็บปืน และตู้เซฟเก็บเงินเดือนข้าราชการซึ่งเสมือนธนาคารในปัจจุบัน

สถาปัตยกรรมแบบกอธิกภายในวัดสวรรคาราม

 

อาจกล่าวได้ว่าสวรรคโลกเป็นอุทยานประวัติศาสตร์ที่ยังมีชีวิต เพราะผู้คนยังอาศัยอยู่ในบ้านเรือนเก่า ยังประกอบอาชีพเป็นชาวนาชาวไร่ และชาวบ้านเป็นลูกหลานสวรรคโลกที่แท้จริง

ทุ่งเสลี่ยม

ห่างจาก อ.สวรรคโลก ไป 35 กม. ขับผ่านทุ่งนาและภูเขาหินปูนตั้งตระหง่านไปยัง อ.ทุ่งเสลี่ยม อำเภอเล็กๆ แต่มีเงินสะพัดไม่น้อย ทุ่งเสลี่ยมเป็นทางผ่านจากจังหวัดในภาคเหนือตอนล่างไปยังตอนบน ซึ่งอำเภอนี้ไม่มีอะไรจะดึงดูดใจมากไปกว่าทุ่งนา

ก๋วยเตี๋ยวสวรรคโลก

 

นาทุ่งเสลี่ยมคือนาของชาวบ้าน เห็นได้สองข้างทางถนน และไม่มีการกำหนดจุดถ่ายภาพชัดเจน แต่ทุ่งนามีลายเซ็นเป็นฉากภูเขาหินปูนด้านหลัง อันเป็นภูมิประเทศเฉพาะตัวของอำเภอนี้

“ทุ่งเสลี่ยมเคยเป็นอำเภอหนึ่งของ จ.สวรรคโลก โดยในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 ที่นี่เป็นหน้าด่าน มีร่องรอยสงครามอยู่ที่บ้านไทยชนะศึก”

ชื่อทุ่งเสลี่ยมสันนิษฐานได้ 2 ความหมาย คือ ทุ่งสะเรียม หรือทุ่งสะเดา เพราะในปัจจุบันยังพบต้นสะเดาตามธรรมชาติจำนวนมาก และทุ่งสระเหลี่ยม เพราะในอำเภอมีบ่อน้ำสี่เหลี่ยมเก่าแก่ตั้งอยู่กลางชุมชน

โรตีหลากหน้า ร้านโรตีริซึ่ม

 

“คนทุ่งเสลี่ยมกินข้าวเหนียวแบบล้านนา อู้คำเมืองแบบล้านนา เพราะคนท้องถิ่นเป็นคนล้านนาที่อพยพมาจากเมืองเถิน” พี่นกเล่าต่อ

ถ้าจะหาแหล่งท่องเที่ยวในทุ่งเสลี่ยม คงต้องแนะนำให้ไปไหว้พระที่วัดทุ่งเสลี่ยม ที่ประดิษฐานหลวงพ่อศิลาศักดิ์สิทธิ์ของชาวบ้าน จากนั้นแวะกินข้าวกลางวันที่ร้านตำยกครก ต่อด้วยของหวานร้านโรตีริซึ่ม และปิดท้ายด้วยกาแฟที่บ้านหอมกลิ่นดิน ตอบโจทย์นักท่องเที่ยวแบบมาเช้าเย็นกลับ ให้กลับไปนอนที่สวรรคโลก หรือจะบินกลับที่สนามบินสุโขทัยในสวรรคโลกก็ง่ายต่อการเดินทาง

สวรรคโลก–ทุ่งเสลี่ยม เส้นทางท่องเที่ยวเชื่อมโยง 2 อำเภอที่เหมาะอย่างยิ่งกับสายชิล เพราะทั้งสองอำเภอไม่มีความเร่งรีบ มีเพียงความเชื่องช้าของสายลม ทั้งสองอำเภอไม่มีแลนด์มาร์คให้เช็กอิน มีเพียงทุ่งนาสีเขียวแซมเหลืองให้ทอดสายตา และทั้งสองอำเภอไม่มีชื่อเสียงฉายา มีเพียงความสงบ เรียบง่าย และรอยยิ้มของคุณลุงป้าน้าอาที่แจกจ่ายเป็นของฟรี ท้ายที่สุดแล้ว ไม่สามารถตอบแทนได้ว่าสวรรค์มีอยู่จริงหรือไม่ แต่ที่ตอบได้คือ รอยยิ้ม ทุ่งนา และสายลมนั้นเป็นของจริง ซึ่งงดงามไม่แพ้สวรรค์แน่นอน

เด็กชายปั่นจักรยานผ่านทุ่งนา

 

เจ็ดคด-โป่งก้อนเส้า เรารักษ์ธรรมชาติ

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์โพสต์ทูเดย์

09 ตุลาคม 2559 เวลา 11:01 น…. อ่านต่อได้ที่ : http://www.posttoday.com/travel/thailand/459275

เจ็ดคด-โป่งก้อนเส้า เรารักษ์ธรรมชาติ

โดย…โยธิน อยู่จงดี

คุณกำลังมองหาสถานที่ท่องเที่ยวทางธรรมชาติแนวป่าเขาลำเนาไพร ใกล้กรุงแห่งใหม่อยู่ใช่ไหม ถ้าใช่ เราแนะนำให้คุณไปที่ศูนย์ศึกษาธรรมชาติและท่องเที่ยวเชิงนิเวศ เจ็ดคด-โป่งก้อนเส้า จ.สระบุรี สถานที่ท่องเที่ยวเล็กๆ ที่ซ่อนเร้นกลางหุบเขาที่อยู่ห่างจากกรุงเทพฯ เพียง 150 กม.เท่านั้น จุดเด่นของเจ็ดคดคือ อ่างเก็บน้ำที่มีทิวเขาใหญ่ทอดยาวอยู่เบื้องหน้า ลานกางเต็นท์และสถานที่ประกอบกิจกรรมกลางแจ้งหลายอย่าง และเส้นทางศึกษาธรรมชาติที่เหมาะสำหรับมือใหม่ที่เพิ่งเริ่มต้นเรียนรู้เกี่ยวกับการอนุรักษ์ธรรมชาติ

ครั้งแรกที่เราได้เดินทางมาที่เจ็ดคด ก็ด้วยเหตุผลอยากหาสถานที่กางเต็นท์กลางป่าใกล้กรุงเทพฯ นอกเหนือจากอุทยานแห่งชาติเขาใหญ่ที่เดินทางไปบ่อยครั้งจนรู้สึกชินชา แต่พอได้มาเยือนที่เจ็ดคดนั้น เราบอกได้เลยว่าแม้คนที่ไม่ชอบนอนกางเต็นท์ก็ยังติดใจอยากจะนอนค้างอีกหลายๆ คืน

 

เจ็ดคด-โป่งก้อนเส้า มีเนื้อที่ 13,750 ไร่ มีความอุดมสมบูรณ์ไปด้วยความหลากหลายทางชีวภาพ ทั้งพืชพรรณ สมุนไพร และสัตว์ป่านานาชนิด เป็นพื้นที่เล็กๆ ที่มีความหลากหลายทางธรรมชาติรวมกันอยู่ที่นี่ เพราะมีทั้งป่าดิบแล้ง ป่าดิบชื้น ป่าเบญจพรรณ และทุ่งหญ้า เป็นต้น กำเนิดของน้ำตกต่างๆ มีพื้นที่ติดกับด้านตะวันตกของอุทยานแห่งชาติเขาใหญ่ ดังนั้นบรรยากาศก็จะคล้ายๆ กับเขาใหญ่ และมีความอุดมสมบูรณ์อยู่มาก

มีเส้นทางศึกษาธรรมชาติ 3 เส้นทาง แบ่งเป็นรอบเล็ก กลาง และใหญ่ ซึ่งทั้ง 3 ระยะนั้นจำเป็นต้องใช้เจ้าหน้าที่ในการนำทาง ซึ่งเราจะได้เห็นพรรณไม้พื้นถิ่นอย่าง พญามีฤทธิ์ ม้ากระทืบโรง กวาวเครือ ว่าน เห็ดแชมเปญ รวมทั้งสัตว์ป่าที่อาศัยอยู่ในบริเวณเดียวกับเขาใหญ่ไปมาระหว่าง 2 เขต ซึ่งอาณาเขตของสัตว์นั้นคือป่าทั้งผืน ไม่ใช่แบ่งพื้นที่ปกครองของมนุษย์

 

โดยรอบเล็กเราจะได้เดินไปเที่ยวชมน้ำตกเจ็ดคดเหนือ ระยะทาง 1.2 กม.ใช้เวลาเดินประมาณ 1 ชั่วโมง มีค่าบริการ 150 บาท มีเจ้าหน้าที่นำทาง 1 คนต่อจำนวนนักท่องเที่ยว 10 คน ซึ่งที่จริงแล้วเส้นทางนี้เป็นเส้นทางระยะสั้นที่เราสามารถเดินไปเที่ยวชมเองได้โดยไม่ต้องใช้เจ้าหน้าที่นำทาง เป็นเส้นทางใหญ่ที่มีนักท่องเที่ยวเดินเป็นประจำไม่ค่อยมีปัญหาเรื่องหลงทาง

ส่วนรอบกลางนั้น เราจะได้เที่ยวชมน้ำตกเจ็ดคดเหนือ กลาง ใต้ เป็นเส้นทางท่องเที่ยวน้ำตกที่มีความสวยงามมาก แนะนำให้ท่องเที่ยวในช่วงเดือน พ.ย.ที่เพิ่งจะหมดฤดูฝนจะได้บรรยากาศความชุ่มชื้นเย็นสบาย และมีปริมาณน้ำพอดี เส้นทางนี้มีระยะทางประมาณ 3 กม.ใช้เวลาเดินประมาณ 2 ชั่วโมง 30 นาที ซึ่งอาจจะต้องใช้เจ้าหน้าที่ช่วยนำทางหากไม่มั่นใจ

 

สุดท้ายเส้นทางศึกษาธรรมชาติรอบใหญ่ เป็นเส้นทางที่สวยที่สุด น้ำตกเจ็ดคดใหญ่จะมีน้ำตลอดทั้งปี ซึ่งน้ำตกอื่นๆ จะมีน้ำเฉพาะในช่วงฤดูฝน เส้นทางนี้มีระยะทางเดิน 6 กม.และมีเส้นทางไปยังน้ำตกอื่นๆ อย่างน้ำตกเขาแรด เป็นเส้นทางที่จำเป็นต้องใช้เจ้าหน้าที่นำทางเท่านั้น แนะนำสำหรับคนที่อยากจะเดินป่าระยะไกลควรติดต่อเจ้าหน้าที่ก่อนเดินทาง 1 วัน และควรออกเดินทางในช่วงเช้าอากาศจะเย็นสบายน่าเดินเที่ยวอย่างมาก

ส่วนคนที่ไม่อยากจะเดินเที่ยวป่าอย่างจริงจัง ก็ยังมีเส้นทางศึกษาธรรมชาติแบบเด็กๆ ก็คือเส้นทางรอบอ่างเก็บน้ำ ไว้เดินเล่นยามเย็นผ่อนคลายสบายอารมณ์

 

แต่โดยมากแล้วคนที่มาเที่ยวที่เจ็ดคด-โป่งก้อนเส้า มักจะมานอนกางเต็นท์เสียมากกว่า เพราะที่นี่เสียค่าบำรุงรักษาสถานที่ไม่สูงมาก ไม่จำกัดว่าจะต้องนอนได้ไม่เกินกี่คืน เราจึงเห็นคนวัยเกษียณจำนวนมากเลือกมากางเต็นท์นอนค้างกันหลายๆ คืน รวมทั้งคนหนุ่มสาววัยทำงานหลายคนก็เลือกมากางเต็นท์นอนพักที่นี่ ใช้ชีวิตอย่างช้าๆ กับหนังสือเล่มโปรด ชาร์จแบตให้ตัวเองก่อนเดินทางกลับกรุงเทพฯ

หลายคนคิดว่าแค่นอนกางเต็นท์ในป่าคืนเดียวก็แย่แล้ว มานอนค้าง 3-4 คืนจะใช้ชีวิตกันอย่างไร ส่วนมากคนที่มากางเต็นท์ก็จะเตรียมเสื้อผ้า เต็นท์ ถุงนอน เตาแก๊สกระป๋อง และเครื่องครัวอีกเล็กน้อย แค่นี้ก็สามารถใช้ชีวิตอยู่ที่เจ็ดคด-โป่งก้อนเส้า ได้สบายๆ เพราะทางศูนย์เขามีห้องน้ำ ศาลาทำครัว ศูนย์บริการที่จำหน่ายขนม เครื่องดื่ม น้ำแข็ง และอาหารสำเร็จรูป เตรียมไว้รองรับนักท่องเที่ยวอยู่แล้ว ราคาก็ไม่ได้สูงไปกว่าข้างนอกมากนัก หรือใครจะมาตัวเปล่าก็ได้ เพราะมีบ้านพักให้บริการ และมีเต็นท์ถุงนอนให้เช่าอีกด้วย

 

ตกเย็นเราแนะนำให้ขับรถขึ้นไปบนยอดเขา เพื่อชมพระอาทิตย์ตกดินและความสวยงามของอ่างเก็บน้ำซับป่าว่านจากมุมสูงอย่างเต็มตา เพียงแต่สิ่งหนึ่งที่เราต้องเรียนรู้ในการกางเต็นท์ท่องเที่ยวก็คือ เรื่องของมารยาทการใช้พื้นที่สาธารณะร่วมกัน โดยงดเล่นดนตรีหรือส่งเสียงดังหลัง 2 ทุ่ม ห้ามก่อไฟบนพื้นหญ้าโดยไม่มีเตาหรือหินรองรับ ไม่ส่องไฟฉายใส่หน้าผู้อื่น ล้างจานทิ้งขยะในจุดที่กำหนดเท่านั้น ไม่ตัดต้นไม้ เด็ดดอกไม้ และไม่แกล้งรังแกสัตว์เล็กในพื้นที่ เพราะเราเป็นเพียงแขกในบ้านของเขา ยิ่งควรรักษามารยาทการใช้ชีวิตในป่าอย่างเข้มงวด ควรลงชื่อเข้าเยี่ยมชมเป็นรายบุคคล ไม่ใช่คนเดียวลงแทนทั้งคณะ เพราะรายชื่อของเราทุกคนมีผลต่องบประมาณในการดูแลรักษา

ที่สำคัญที่สุดเวลาที่เราเที่ยวป่าคือเวลาที่เราจะได้ใช้ชีวิตอยู่กับธรรมชาติ อยู่กับโลกทั้งใบ ไม่ใช่โลกโซเชียลมีเดีย ข่าวสารรับรู้ได้แต่ไม่ใช่ตลอดเวลาในสมาร์ทโฟน ลองคิดดูสิว่าเราอยู่กับแฟน อยู่กับลูก อยู่กับครอบครัว แต่ทุกคนก้มหน้าเล่นมือถือ ถ่ายรูปลงเฟซบุ๊กคุยกับคนที่อยู่กรุงเทพฯ ห่างไปเป็นร้อยกิโลเมตร แต่กับคนที่อยู่ใกล้เพียงแค่เอื้อมมือถึงเรากลับไม่ใช้เวลากับเขามากเท่ากับเวลาที่ให้กับสมาร์ทโฟน เราไม่จำเป็นต้องทันโลกตลอดเวลาเสมอไป ขอแค่เรารู้ว่าเวลาไหนที่ควรให้กับธรรมชาติให้กับคนที่เรารักเหมือนที่ผมเรียนรู้จากการเที่ยวเจ็ดคด-โป่งก้อนเส้าแห่งนี้ก็พอ

 

วันจันท์สีเขียว วันระยองสีเหลือง

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์โพสต์ทูเดย์

08 ตุลาคม 2559 เวลา 15:34 น…. อ่านต่อได้ที่ : http://www.posttoday.com/travel/thailand/459170

วันจันท์สีเขียว วันระยองสีเหลือง

โดย…กาญจน์ อายุ

หนึ่งอาทิตย์มี 7 วัน อยากจะขอสัก 2 วันไป ระยอง กับ จันทบุรี 2 จังหวัดที่เชื่อมกันด้วยถนนที่โรแมนติกที่สุดในภาคตะวันออก รอให้คู่รักไปเที่ยวแบบ 2 ต่อ 2 ในจังหวะที่ธรรมชาติกำลังเป็นใจ

ถนนบูรพาชลทิศเป็นถนนเลียบทะเล เชื่อมระหว่างระยอง-จันทบุรี ความยาวกว่า 80 กม. ถูกเรียกว่าเป็น Scenic Route เพราะระหว่างทางจะมีจุดชมวิวให้จอดรถถ่ายภาพ มีไฮไลต์อยู่ที่จุดชมวิวนางพญา มุมสูงเห็นโค้งถนน และเป็นจุดชมพระอาทิตย์ขึ้นสวยสมกับเป็นทะเลตะวันออก

2 วันที่ขอจะเน้นเที่ยวสบาย เรียบง่าย เข้าถึงธรรมชาติ โดยเริ่มต้นที่จันทบุรี “สีเขียว” ในบรรยากาศป่าโกงกางเขียวครึ้ม และสิ้นสุดที่ระยอง “สีเหลือง” ท่ามกลางทุ่งโปรงทองสีเหลืองอร่าม

 

วันจันท์สีเขียว

เสียงปูก้ามดาบดีดดัง ต๊อก ต๊อก ก้องไปทั่วป่าโกงกาง ณ ศูนย์ศึกษาธรรมชาติป่าชายเลนอ่าวคุ้งกระเบน แหล่งท่องเที่ยวเชิงธรรมชาติที่เปิดให้นักท่องเที่ยวเข้ามาใกล้ชิดป่าและเรียนรู้ระบบนิเวศป่าชายเลน

ป่าชายเลนอ่าวคุ้งกระเบน อยู่ในพื้นที่โครงการศูนย์ศึกษาการพัฒนาอ่าวคุ้งกระเบน อันเนื่องมาจากพระราชดำริ มีพื้นที่ประมาณ 1,100 ไร่ จัดว่าเป็นป่าชายเลนที่อุดมสมบูรณ์และสวยงามแห่งหนึ่งของ
จันทบุรี มีพันธุ์ไม้ป่าชายเลนประมาณ 30 ชนิด ขึ้นกระจายอยู่รอบอ่าวเป็นแนวกว้าง 30-200 ม. และโค้งยาวไปตามขอบอ่าว 5 กม. เป็นที่ศึกษาหาความรู้เกี่ยวกับธรรมชาติในรูปของพิพิธภัณฑ์ธรรมชาติที่มีชีวิต (Living Museum) รวมทั้งเป็นแหล่งท่องเที่ยวพักผ่อนหย่อนใจในรูปแบบของนิเวศทัศนา (Eco-tiurism)

 

 

สะพานเดินศึกษาธรรมชาติป่าชายเลนอ่าวคุ้งกระเบน สร้างด้วยไม้ตะเคียนทองมีความยาว 1,433 ม. และมีส่วนที่เป็นทางเดินปูด้วยแผ่นหินทราย 363 ม. รวมเป็นระยะทาง 1,793 ม. ผ่านบริเวณสังคมพืชไม้เบิกนำจำพวกไม้แสม ไม้ลำพู แปลงเพาะชำกล้าไม้ แปลงปลูกป่าไม้โกงกาง แปลงศึกษาวิจัย ข้ามสะพานแขวนไปสู่ป่าธรรมชาติ ที่มีไม้โกงกางขนาดใหญ่ขึ้นอยู่อย่างหนาแน่นสมบูรณ์ ไปบรรจบที่หอดูเรือนยอดไม้ จากนั้นสะพานจะวกกลับผ่านแปลงทดลองการปลูกป่าชายเลนผสมผสานกับการเลี้ยงปลา ผ่านบ่อทดลองการเลี้ยงกุ้งทะเลที่มีการรักษาสภาพแวดล้อมโดยระบบชลประทานน้ำเค็ม และไปสิ้นสุดที่ศาลาเชิงทรงซึ่งอธิบายลักษณะของพื้นที่และพันธุ์ไม้ที่ขึ้นอยู่ระหว่างรอยต่อป่าชายเลนและป่าบก

ระหว่างทางในป่าโกงกางระงมไปด้วยเสียงปูก้ามดาบ เสียงลื่นไถลของปลาตีน และเสียงลมหายใจของรากโกงกางที่ระโยงระยางรับอากาศก่อนน้ำขึ้น เป็นบรรยากาศอันเงียบสงบสร้างโลกส่วนตัวให้แต่ละคู่แต่ละคน ให้ปักจมไปกับเสียงธรรมชาติเข้าจังหวะกับเสียงลมหายใจของคนที่ต่างต้องการอากาศเช่นโกงกาง

 

ใกล้กับศูนย์ศึกษาธรรมชาติป่าชายเลนอ่าวคุ้งกระเบน เป็นที่ตั้งของ หน่วยสาธิตการเลี้ยงสัตว์น้ำ สถานที่เลี้ยงพ่อแม่พันธุ์สัตว์น้ำและให้ความรู้แก่ชาวบ้านเรื่องการเลี้ยงหอยนางรมแบบแขวน การทำธนาคารปูม้า และยังเป็นที่เลี้ยงฉลามเสือดาว ฉลามหัวบาตร ปลาหมอทะเล ปลาเก๋า เต่าตนุ และเต่ากระ

หากนักท่องเที่ยวไม่ติดต่อล่วงหน้า กระชังปลาจะเป็นสถานที่ถ่ายภาพฮิปๆ แห่งหนึ่ง แต่หากติดต่อมาทำกิจกรรม ที่นี่จะกลายเป็นแหล่งเรียนรู้ที่สนุก (มาก) เช่น ให้อาหารฉลาม โดยหัวหน้าหน่วยฯ ได้สาธิตการให้อาหารฉลามอย่างใกล้ชิด ใช้ปลาเป็นเหยื่อ ล่อให้มันขึ้นมา แต่ภาพในใจที่คิดว่าจะดุร้าย กลายเป็น “น่ารัก” เพราะฉลามเชื่องชินจนสามารถลูบหัวและป้อนปลาถึงปาก หมดคราบนักล่าแห่งผืนทราย

อ่าวคุ้งกระเบนให้สองบรรยากาศ หนึ่งป่าชายเลน หนึ่งชายทะเล สองธรรมชาติที่บ่งบอกระบบนิเวศของเมืองจันท์ไว้อย่างครบถ้วน ทั้งยังให้หลายบรรยากาศทั้ง ชิล เดิน ป่า ปลา และได้เรียนรู้ธรรมชาติในแบบฉบับของการท่องเที่ยว

 

วันระยองสีเหลือง

อีกหนึ่งวันตื่นขึ้นมาที่ระยอง จังหวัดที่ใครๆ ก็นึกถึงเกาะเสม็ด ทว่าธรรมชาติบนแผ่นดินก็งามไม่แพ้กัน ถ้าจะให้ชัดเจนต้องไปที่ สวนพฤกษศาสตร์ระยอง จุดรวมศาสตร์ของพรรณไม้ ประกอบด้วย หนอง
จำรุง บึงน้ำขนาดใหญ่ เนื้อที่ 3,871 ไร่ และพื้นที่สวน 1,193 ไร่

ทางสวนฯ ได้อนุรักษ์พรรณไม้บกและไม้น้ำท้องถิ่นไว้ เช่น ชะมวงกวาง พรวด ทิ้งทวน หัวร้อยรู และหม้อข้าวหม้อแกงลิงวงศ์น้ำเต้าลม แต่ถ้าจะเห็นถ้วนทั่วต้องใช้วิธีนั่งเรือล่องหนองจำรุง โดยในฤดูหนาว หนองจำรุงจะเป็นบึงบัวสาย ละลานตาไปด้วยบัวแดงบัวขาวขึ้นปกคลุมแทบไม่เห็นผิวน้ำ แต่บางฤดูเช่นในตอนนี้ บัวจะถูกแมลงกินแห้งตาย และถูกทดแทนด้วยดอกหญ้าสีขาวฟูฟ่องบนทุ่งหนังหมาหรือสันดอนกลางน้ำที่ถูกหญ้าปกคลุมมากในหน้าฝน

 

อย่างไรก็ตาม จุดไคลแมกซ์ที่แท้จริงไม่ใช่บัวหรือความมุ้งมิ้งของดอกหญ้า แต่เป็น ป่าเสม็ดขาว เมื่อเรือล่องใกล้ถึงทางออก สองข้างทางจะเต็มไปด้วยป่าเสม็ดขาว ไม้ยืนต้นขนาดใหญ่ ลำต้นบิดเบี้ยว และกิ่งก้านเลี้ยวลดหาแสงแดด เปลือกสีขาวหลุดลอกปกป้องลำต้นให้อยู่ในน้ำอย่างสันติ ซึ่งความแปลกประหลาดเล่นเอาสติคนในเรือแตกกระเจิง สั่งให้นิ้วกดชัตเตอร์ไม่ยั้งอย่างกับว่ามันจะบินหนีไปเหมือนนกกระยางที่เพิ่งกระพือปีกหนีเสียงเครื่องยนต์

สวนพฤกษศาสตร์ระยองเกือบทำให้เปลี่ยนวันระยองให้เป็นสีขาว แต่ไม่สามารถสู้สีเหลือง ของป่าโปรงทองได้ ต้นเรื่องอยู่ที่สะพานศึกษาธรรมชาติป่าชายเลนบ้านแสมผู้ ต.ปากน้ำกระแส อ.แกลง จ.ระยอง ที่ประกอบด้วย ลานทุ่งโปรงทอง คลองแสมผู้ และศาลเจ้าพ่อแสมผู้

 

ฉายาทุ่งโปรงทอง มาจากลักษณะใบของต้นโปรงสีเขียวอมเหลือง หากถูกแสงแดดส่องจะกลายเป็นสีทอง ดังนั้นช่วงเวลาที่ดีที่สุดจึงเป็นช่วงเย็นก่อนพระอาทิตย์ตก ทุ่งโปรงทองทุกต้นทุกใบจะถูกฉาบให้เป็นสีทองอร่ามสมฉายานาม

เดิมทีสะพานที่ตัดผ่านป่าชายเลนเป็นทางเดินของชาวบ้านเพื่อเข้าไปสักการะศาลเจ้าพ่อแสมผู้ แต่เมื่อสะพานชำรุด ทางเทศบาลตำบลปากน้ำกระแสจึงเข้ามาซ่อมแซมและสร้างลานทุ่งโปรงทองเพิ่มเติม จากนั้นได้เปิดเป็นแหล่งท่องเที่ยวใหม่ของจังหวัด โดยปัจจุบันชาวบ้านมีรายได้เสริมจากการขี่รถพ่วงพานักเที่ยวรับส่งนักท่องเที่ยว

 

ทางเดินศึกษาธรรมชาติมีความยาว 2.3 กม. เชื่อมจากลานทุ่งโปรงทองไปยังอนุสรณ์เรือหลวงประแส เป็นเรือหลวงประแสลำที่ 2 นำเข้ามาแทนเรือหลวงประแสลำที่ 1 ซึ่งเกยตื้นไปในสงครามเกาหลี เรือรบลำที่ 2 นี้ได้ทำหน้าที่ลาดตระเวนปิดอ่าวคุ้มกันเรือลำเลียงในพื้นที่ยุทธ์บริเวณตั้งแต่ท่าเรือปูซานฝั่งตะวันออกถึงวอนซานในเกาหลี รวมภารกิจนับตั้งแต่วันที่ 11 ม.ค. 2495 เรือหลวงประแสได้ปฏิบัติภารกิจรวม 32 ครั้ง ก่อนเดินทางกลับสู่ไทย และเป็นกำลังหลักในการต่อต้านภัยคุกคามทางทะเลในช่วงการรุกคืบของลัทธิคอมมิวนิสต์ในคาบสมุทรอินโดจีน กระทั่งปลดระวางในวันที่ 22 มิ.ย. 2543 ปัจจุบันเป็นอนุสรณ์เรือหลวงประแสให้คนรุ่นหลังได้ศึกษาประวัติศาสตร์สืบไป

พูดมาเสียยืดยาว พลันจะหาข้อสรุุปว่า บรรยากาศของธรรมชาติที่เมืองจันท์กับระยองโรแมนติกหรือไม่ คงต้องพิจารณาจากทุ่งโปรงทอง ป่าเสม็ดขาว ป่าโกงกาง หรือสักขีพยานอย่างปลาตีน ปูก้ามดาบ ที่ไม่ว่าจะดูท่าไหนก็หาความสวีทไม่ได้

ทว่าการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย สำนักงานระยอง (ดูแลพื้นที่ระยองและจันทบุรี) ชูแคมเปญดึงคู่รักมาสวีทกลางธรรมชาติ และยังเห็นตัวแทนคู่รักอย่าง เห็นน้องแพนเค้กกับพี่สารวัตรหมี สวีทใส่กันเสียจนน้ำกร่อยกลายเป็นน้ำตาล คงต้องสรุปอย่างนี้ว่า ความโรแมนติกคงไม่สำคัญว่าไปที่ไหน แต่ไปกับใครมากกว่า… นี่แหละประเด็น

 

โนโวเทล ภูเก็ต โภคีธรา เวลามีเสน่ห์

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์โพสต์ทูเดย์

01 ตุลาคม 2559 เวลา 11:40 น…. อ่านต่อได้ที่ : http://www.posttoday.com/travel/thailand/457819

โนโวเทล ภูเก็ต โภคีธรา เวลามีเสน่ห์

โดย…นิทรา ราตรี

เมืองเก่าภูเก็ตคือเสน่ห์แห่งประวัติศาสตร์ที่หลงเหลืออยู่ในบ้านเมืองเจริญทันสมัย ทว่าก็เป็นยุคที่ผู้คนถามหาประวัติความเป็นมาและพยายามตามหาความโบราณในเมืองใหญ่ ไม่ต่างจากโรงแรมโนโวเทล ภูเก็ต โภคีธรา ที่ยกย่องความสำคัญทางประวัติศาสตร์ และนำเสนอประสบการณ์ความเป็นอยู่อย่างเรียบง่ายของชาวภูเก็ตดั้งเดิม

โนโวเทล ภูเก็ต โภคีธรา เป็นโรงแรมแบรนด์นานาชาติแห่งแรกในย่านเมืองเก่าภูเก็ตที่เพิ่งเปิดให้บริการในวันนี้ (1 ต.ค. 2559) ประกอบด้วยห้องพักและห้องสวีท 180 ห้อง เริ่มต้นที่ห้องสุพีเรียร์ ห้องสวีท
ไปจนถึงเพรสซิเดนต์เชียลสวีท โดยแต่ละห้องจะเห็นวิวต่างกันทั้งวิวเมือง วิวภูเขา และวิวทะเล สร้างขึ้นภายใต้คอนเซ็ปต์ eNergize ซึ่งเป็นอัตลักษณ์ใหม่ของแบรนด์โนโวเทลนั่นคือ การกำหนดมาตรฐานบริการใหม่ให้ตอบโจทย์กับความต้องการของผู้เข้าพัก และเพิ่มพลังแห่งความสดใสและลูกเล่นให้แก่สิ่งอำนวยความสะดวกในบริเวณต่างๆ ของโรงแรม

นอกจากห้องพักยังมีสปา ห้องยิม สระว่ายน้ำในร่ม ห้องอาหาร อะมอร์ (AMOR) ที่ให้บริการทั้งเมนูท้องถิ่น นานาชาติ และเมนูที่ได้รับแรงบันดาลใจจากสไตล์ชิโน-โปรตุกีส อีกแห่งคือ เอสเตรลา สกาย เลานจ์ (Estrela Sky Lounge) เลานจ์ที่เผยให้เห็นทิวทัศน์ของเมืองภูเก็ต ภูเขา และท้องทะเล ในขณะที่ลัว (LUA) เป็นล็อบบี้เลานจ์ชิกๆ เหมาะสำหรับการพบปะสังสรรค์ ด้านการจัดเลี้ยงและการประชุมสัมมนา ทางโรงแรมมีห้องบอลรูมเพดานสูงรอบรับคนได้สูงสุด 700 คน และมีห้องประชุมย่อยให้บริการอีก 4 ห้อง

 

โรงแรมตั้งอยู่ในย่านเมืองเก่าที่รายล้อมด้วยสถาปัตยกรรมแบบชิโนโปรตุกีส ย่านที่แสดงให้เห็นวัฒนธรรมอันหลากหลายจากการค้าขายจากชาวต่างชาติไม่ว่าจะเป็นชาวจีน อาหรับ อินเดีย และชาวโปรตุเกส ซึ่งต่างก็ทิ้งวัฒนธรรมของตนไว้ผ่านสถาปัตยกรรม อาหาร และประเพณีวัฒนธรรม ย่านเมืองเก่า จึงเป็นอีกมุมที่น่าสนใจของเกาะภูเก็ตนอกเหนือจากการเป็นเมืองชายหาดที่ทุกคนทราบดี โนโวเทล ภูเก็ต โภคีธรา จึงน่าจะเป็นอีกตัวเลือกของคนที่กำลังมองหาความทันสมัยท่ามกลางความเก่า ซึ่งเป็นความต่างที่สามารถอยู่ร่วมกันได้ในภูเก็ต

Price : สุพีเรียร์ 3,450 บาท เอ็กเซ็กคิวทีฟ 4,650 บาท จูเนียร์สวีท 5,650 เอ็กเซ็กคิวทีฟสวีท 7,450 บาท และเพรสซิเดนต์เชียลสวีท 23,450 บาท

Place : ย่านเมืองเก่าภูเก็ต เลขที่ 40 ถนนชนะเจริญ ต.ตลาดใหญ่ อ.เมือง จ.ภูเก็ต โทร. 076-397-777 เว็บไซต์ www.novotel.com/9932

Promotion : ฉลองการเปิดตัวด้วยข้อเสนอพิเศษ เข้าพัก 2 คืน ระหว่างวันที่ 1 ต.ค.-20 ธ.ค. 2559 ราคา 3,450 บาท+++ ต่อคืน จะได้รับเครดิตพิเศษ 1,000 บาท สำหรับรับประทานอาหาร หรือใช้บริการทรีตเมนต์สปา

 

เปลี่ยนเรื่อง ‘เครียด’ ให้เป็นเรื่อง ‘เที่ยว’

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์โพสต์ทูเดย์

01 ตุลาคม 2559 เวลา 11:32 น…. อ่านต่อได้ที่ : http://www.posttoday.com/travel/thailand/457818

เปลี่ยนเรื่อง ‘เครียด’ ให้เป็นเรื่อง ‘เที่ยว’

โดย…กาญจน์ อายุ

เรื่องของเรื่อง คือ บังเอิญได้รับหนังสือ งามทั่วแคว้น แดนนนทรี จากมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ (มก.) ที่แจกให้นิสิตในงานพิธีพระราชทานปริญญาบัตรเมื่อปี 2556 เพื่อให้นิสิตที่จบไปได้กลับไปเที่ยวตามวิทยาเขตและสถานีวิจัยของมหาวิทยาลัยที่มีอยู่ทั่วประเทศ

คำถามผุดขึ้นคามือว่า 4 วิทยาเขต 18 สถานีวิจัย และ 4 สถานีฝึกนิสิต เที่ยวได้จริงหรือ?

สถานีวิจัยประมงศรีราชา จ.ชลบุรี

 

เรื่องนี้ลอยไปไกลถึงหู ดร.ณรงค์ชัย พิพัฒน์ธนวงศ์ รักษาการแทนรองอธิการบดี ฝ่ายกิจการพิเศษ ผู้ดูแลสถานีวิจัยทั้งหมด ท่านจึงต้องมาแถลงไข และตอบคำถามคาใจว่า “ข้าวโพดไร่สุวรรณเป็นหนึ่งในผลงานวิจัยของศูนย์วิจัยข้าวโพดและข้าวฟ่างแห่งชาติ”ท่านรองฯ กล่าวเปิดเรื่องได้อย่างน่าประหลาดใจเพราะใครๆ ก็รู้จักไร่สุวรรณ แต่ไม่รู้ว่าเป็นของ มก.

ไร่สุวรรณ

ไร่สุวรรณมีชื่อเต็มว่า ศูนย์วิจัยข้าวโพดและข้าวฟ่างแห่งชาติ และสถานีวิจัยพืชไร่สุวรรณวาจกกสิกิจ ใครที่ขับรถไปเที่ยวปากช่องจ.นครราชสีมา คงคุ้นเคยดี ไร่สุวรรณเป็นทั้งแหล่งท่องเที่ยวและแหล่งเรียนรู้ให้เกษตรกรและผู้ที่สนใจเข้ามาศึกษา ตามหลักของสถานีวิจัยที่ว่า “ขึ้นชื่อว่าเป็นความรู้ เราไม่เคยปกปิด”

สถานีฝึกนิสิตวนศาสตร์หาดวนกร จ.ประจวบคีรีขันธ์

 

ศูนย์วิจัยแห่งนี้ได้พัฒนาข้าวโพดพันธุ์สุวรรณ 1 ที่ให้ผลผลิตสูง ต้านทานต่อโรคราน้ำค้าง และได้ขยายพันธุ์ไปสู่เกษตรกร ซึ่งใช้เวลาวิจัยถึง 45 ปี จนกระทั่งได้รับการขนานนามว่าเป็นพันธุ์ข้าวโพดเขตร้อนที่ดีที่สุดในโลก และยังต่อยอดไปสู่ข้าวโพดพันธุ์สุวรรณ 2 สุวรรณ 3 และสุวรรณ 5ส่งเสริมให้เกษตรกร

นักท่องเที่ยวสามารถมาเที่ยวได้ทั้งปี เช่น ชมแปลงปลูกข้าวโพด ถ่ายรูปแปลงดอกไม้ สูดอากาศบริสุทธิ์ และชิมน้ำนมข้าวโพด ซึ่งน้ำนมข้าวโพดเป็นอีกหนึ่งงานวิจัยของข้าวโพดหวานพันธุ์อินทรีย์ 2 ที่มีความหอมกว่าพันธุ์อื่นร้อยละ 45 จึงกลายมาเป็นเครื่องดื่มซิกเนเจอร์ของไร่สุวรรณ

สถานีวิจัยประมงคลองวาฬ จ.ประจวบคีรีขันธ์

 

ดอยปุย

วางแผนไว้สำหรับหนาวนี้ สถานีวิจัยดอยปุยยินดีต้อนรับนักท่องเที่ยวเหมือนเช่นเคยตั้งแต่ปี 2551 ซึ่งในอดีตดอยปุยเคยเกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ เมื่อในหลวงทรงเสด็จเยี่ยมหมู่บ้านชาวเขาและมีพระราชดำริว่า การทำสวนผลไม้เมืองหนาว เช่น ท้อ พลับ สาลี่ แอปเปิ้ลเป็นเรื่องสำคัญในการพัฒนาชีวิต พระองค์จึงได้พระราชทานพระราชทรัพย์ส่วนพระองค์ 2 แสนบาท ชดเชยค่าต้นไม้ที่เจ้าของเดิมปลูกไว้เพื่อใช้ที่ดินเป็นพื้นที่ทดลองวิจัย สวนนี้จึงถูกเรียกว่า สวนสองแสน ตั้งแต่นั้นมา

สถานีวิจัยดอยปุยเป็นส่วนหนึ่งใน 119 ไร่ของสวนสองแสน สถานีวิจัยได้กลายเป็นโรงเรียนขนาดใหญ่ที่รวบรวมสายพันธุ์สตรอเบอร์รี่ไว้มากที่สุดในประเทศไทย สายพันธุ์ที่พัฒนาสำเร็จเป็นครั้งแรกคือ สายพันธุ์พระราชทาน 60 และ 80 แล้วได้เพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อเพื่อผลิตเป็นต้นกล้าให้เกษตรกร ทำให้รสชาติความอร่อยถูกเผยแพร่ไปไกลสู่เกษตรบนที่สูงหลายแห่ง

สถานีวิจัยดอยปุย จ.เชียงใหม่

 

สำหรับนักท่องเที่ยวมีกิจกรรมการท่องเที่ยวเชิงเกษตรที่สวนบวกห้า ชมแปลงสาธิตการปลูกดอกไม้และไม้เมืองหนาว เช่น แปลงสตรอเบอร์รี่ ดอกคาลล่าลิลลี่ เจียวกู้หลานต้นลูกปัดออสเตรเลีย และในบริเวณสวนสองแสนชมแปลงไม้ผลเมืองหนาว เช่น พลับ องุ่น ท้อ กาแฟ บ๊วย โดยในเดือน ต.ค. เป็นช่วงชมแปลงพลับหวานพันธุ์ฟูยู ไม้ผลรูปทรงแปลกตาที่เพิ่งตื่นจากช่วงพักตัว หลังจากนั้นช่วงเดือน พ.ย.-ก.พ. จะเป็นคราวของสตรอเบอร์รี่ และช่วงเดือน มี.ค.-มิ.ย. เป็นเวลาของรองเท้านารีและสมุนไพรเจียวกู้หลาน

หาดวนกร

อ.ทับสะแก จ.ประจวบคีรีขันธ์ เป็นสถานที่ตั้งของสถานีฝึกนิสิตวนศาสตร์หาดนวกร ขนาด 351 ไร่ โดยได้มีการปลูกต้นสนตลอดแนวชายหาดยาว 3 กม. และไม้ท้องถิ่นเช่น พะยอม มะค่าแต้ นนทรีป่า กันเกรา และสะแกนา พลอยให้นักท่องเที่ยวได้มีสถานที่ท่องเที่ยวใหม่ และสามารถพักแรมในบ้านพักของสถานีวิจัยได้ ส่วนนิสิตจะได้รับการฝึกและเรียนรู้ในภาคฤดูร้อน ศึกษาเกี่ยวกับระบบนิเวศชายฝั่ง ป่าชายหาด และพืชไม้ใหญ่ เช่นสนทะเล ไม้พุ่ม เถาวัลย์ เป็นต้น

สถานีวิจัยปากช่อง จ.นครราชสีมา

 

ฟาร์มบางเบิด

นอกจากการท่องเที่ยวเชิงเกษตร สถานีวิจัยยังสามารถให้ความรู้ทางวัฒนธรรม ณ สถานีวิจัยสิทธิพรกฤดากร อ.บางสะพานน้อยจ.ประจวบคีรีขันธ์ มีพื้นที่รวม 452 ไร่ แบ่งเป็น 2 ส่วนคือ พื้นที่ในแขตบางสะพานน้อย ประกอบด้วย อนุสรณ์สถาน อาคารพิพิธภัณฑ์ และแปลงวิจัยการเกษตร อีกส่วนหนึ่งอยู่ในเขตปะทิว จ.ชุมพร เป็นแปลงเกษตร 7 ไร่ ที่คาบเกี่ยวสองจังหวัด อันเป็นที่มาของฉายา “กินชุมพร นอนประจวบฯ”

สถานีวิจัยแห่งนี้เปรียบเหมือนบ้านของนักปราชญ์แห่งการเกษตร หม่อมเจ้าสิทธิพร กฤดากร เจ้าของวลีอมตะ “เงินทองเป็นของมายา ข้าวปลาเป็นของจริง” พระองค์ทรงบุกเบิกการเกษตรแผนใหม่ที่ใช้วิทยาการทันสมัยคู่กับภูมิปัญญาท้องถิ่น เช่น ทรงเลี้ยงไก่พันธุ์เล็กฮอร์น ปลูกแตงโมบางเบิด และทรงนำปาล์มน้ำมันเข้ามาปลูกในไทย ซึ่งต่อมาได้ถูกพัฒนาสายพันธุ์ให้ปรับตัวและเติบโตในไทยได้ ให้ผลผลิตระยะยาว และกลายเป็นพืชเศรษฐกิจของชาวบางสะพานน้อย

ศูนย์วิจัยข้าวโพดและข้าวฟ่างแห่งชาติ จ.นครราชสีมา

 

สำหรับนักท่องเที่ยวสามารถไปเที่ยวชมแปลงปาล์มน้ำมันลูกผสมเทเนอรา แปลงยางพารา แปลงพืชสมุนไพร และพืชพลังงาน เช่น มะขามป้อม มะรุม โกโก้ ถั่วกัวร์ หยีทะเลส่วนการท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรม ให้เข้าไปศึกษาในพิพิธภัณฑ์หม่อมเจ้าสิทธิพร กฤดากรและไปชมปาล์มน้ำมันต้นแรกที่พระองค์ทรงปลูกเมื่อปี 2460 ซึ่งนับเป็นต้นปาล์มที่อายุมากที่สุดในประเทศไทย

สถานีวิจัย 18 แห่ง มีอยู่ทั่วทุกภาคในประเทศไทย ที่ไม่ได้กล่าวถึงมีอยู่ใน จ.ลำปาง ลพบุรี สระบุรี กาญจนบุรี นครปฐม ฉะเชิงเทรา ชลบุรี ตราด สมุทรสงคราม ระนอง และพังงา ครั้นจะเล่าทั้งหมดคงต้องมีกระดาษร้อยหน้า ทว่าที่เลือกมาดังกล่าวก็ถือว่าเป็นไฮไลต์ที่นักท่องเที่ยวไปเที่ยวได้จริง

ไปเรียนรู้วิถีเกษตรและนิเวศธรรมชาติทั้งไปปิกนิกบนชายหาดได้เรียนรู้เรื่องสน ไปสัมผัสความหนาวบนดอยได้เรียนเรื่องพลับ หรือขับรถไปปากช่องได้ศึกษาเรื่องข้าวโพด ซึ่งเป็นเทรนด์เกษตรที่คนในเมืองกำลังสนใจและโหยหาอยากกลับไปใช้ชีวิตนอกเมือง

สถานีวิจัยทับกวาง จ.นครราชสีมา

 

สถานีวิจัยสิทธิพรกฤดากร จ.ประจวบคีรีขันธ์

 

สถานีวิจัยวนศาสตร์พังงา

 

วัดใหญ่ชัยมงคล ชัยชนะที่น่าจดจำ

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์โพสต์ทูเดย์

25 กันยายน 2559 เวลา 10:24 น…. อ่านต่อได้ที่ : http://www.posttoday.com/travel/thailand/456538

วัดใหญ่ชัยมงคล ชัยชนะที่น่าจดจำ

โดย…สืบสิน ภาพ : คลังภาพโพสต์ทูเดย์

เมื่อใดที่มีโอกาสกลับบ้านเกิด ผมมักหาเวลาไปท่องเที่ยวในวัด จะรู้สึกปลอดโปร่งทุกครั้ง โดยจะหาช่วงเวลาที่คนไม่พลุกพล่านไปนั่งชมในมุมที่สงบ สิ่งที่ได้รับคือความสุขสบายใจ ลืมความวุ่นวายไปได้ชั่วขณะ

ครั้งนี้ผมมาเยือนที่วัดใหญ่ชัยมงคลวัดที่ทุกคนที่ไปเที่ยว จ.พระนครศรีอยุธยา มักจะไม่พลาด เหตุเพราะวัดอยู่นอกตัวเมือง จึงเป็นจุดแวะก่อนที่จะเดินทางไปไหว้พระวัดอื่น

 

วัดใหญ่ชัยมงคล เดิมชื่อวัดป่าแก้วหรือวัดเจ้าพระยาไท ตั้งอยู่ทางฝั่งตะวันออกของแม่น้ำป่าสัก จากข้อมูลทางประวัติศาสตร์สันนิษฐานว่าสมเด็จพระรามาธิบดีที่ 1 หรือพระเจ้าอู่ทอง ปฐมกษัตริย์แห่งกรุงศรีอยุธยาโปรดให้สร้างขึ้นเพื่อเป็นสำนักของพระสงฆ์ซึ่งไปบวชเรียนมาแต่สำนักพระวันรัตน์มหาเถรในประเทศลังกาตั้งแต่ปี พ.ศ. 1900

คณะสงฆ์ที่ไปศึกษาพระธรรมวินัยเรียกนามนิกายในภาษาไทยว่า “คณะป่าแก้ว” วัดนี้จึงได้ชื่อว่า “วัดป่าแก้ว” ต่อมาคนเลื่อมใสบวชเรียนพระสงฆ์นิกายนี้ จึงมีการตั้งอธิบดีสงฆ์นิกายนี้เป็นสมเด็จพระวันรัตน์มีตำแหน่งเป็นสังฆราชฝ่ายขวาคู่กับพระพุทธโฆษาจารย์เป็นอธิบดีสงฆ์ฝ่ายคันถธุระมีตำแหน่งเป็นสังฆราชฝ่ายซ้าย

 

หลังจากนั้นได้เปลี่ยนชื่อเป็น “วัดเจ้าพระยาไท” สันนิษฐานว่ามาจากที่พระเจ้าอู่ทองทรงสร้างวัดป่าแก้วขึ้น ณ บริเวณที่ซึ่งได้ถวายพระเพลิงพระศพของเจ้าแก้วเจ้าไท หรืออาจมาจากการที่วัดนี้เป็นที่ประทับของพระสังฆราชฝ่ายขวา ซึ่งในสมัยโบราณเรียกพระสงฆ์ว่า “เจ้าไท” ฉะนั้นเจ้าพระยาไทจึงหมายถึงตำแหน่งพระสังฆราช

ส่วนชื่อวัดใหญ่ชัยมงคลมาเปลี่ยนชื่อภายหลัง ซึ่งในปี พ.ศ. 2135 เมื่อสมเด็จพระนเรศวรมหาราชทรงทำศึกยุทธหัตถีชนะพระมหาอุปราชแห่งพม่าที่ ต.หนองสาหร่าย เมืองสุพรรณบุรี ทรงสร้างพระเจดีย์ใหญ่ขึ้นที่วัดนี้เป็นอนุสรณ์แห่งชัยชนะ ขนานนามว่า “พระเจดีย์ชัยมงคล” แต่ราษฎรเรียกว่า “พระเจดีย์ใหญ่” ฉะนั้นนานวันเข้าวัดนี้จึงเรียกชื่อเป็น “วัดใหญ่ชัยมงคล” ทว่าเมื่อคราวเสียกรุงศรีอยุธยาครั้งที่ 2 บ้านเมืองถูกกองทัพพม่าเผาทำลาย วัดใหญ่ชัยมงคลจึงถูกทิ้งร้างเป็นเวลาถึง 400 กว่าปี จึงได้มีพระภิกษุ สามเณร รวมทั้งแม่ชีกลุ่มหนึ่ง โดยการนำของพระฉลวย สุธมฺโม ที่เข้ามาดูแลอารามอันเก่าแก่แห่งนี้เพื่อที่จะทำให้เป็นที่ปฏิบัติธรรมได้ แต่เมื่อท่านจำต้องออกจาริก ท่านจึงไปนิมนต์พระครูภาวนาพิริยคุณ เจ้าอาวาสวัดยมให้มาดูแลวัดใหญ่ฯ แห่งนี้ต่อจากท่าน และในปี พ.ศ. 2500 นี้เอง ที่วัดใหญ่ฯ ได้เปลี่ยนฐานะจากวัดร้างเป็นวัดราษฎร์ และต่อมาในสมัยรัตนโกสินทร์จึงมีการบูรณปฏิสังขรณ์และมีภิกษุสงฆ์จำพรรษาดังเช่นในปัจจุบัน

 

เมื่อไปเยือนที่วัดใหญ่ฯ จะพบกับสิ่งที่น่าสนใจภายในวัดหลายอย่าง ได้แก่ เจดีย์ชัยมงคล อนุสรณ์แห่งชัยชนะของสมเด็จพระนเรศวรมหาราชเหนือมังกะยอชวา พระมหาอุปราชของหงสาวดีที่ตั้งเด่นเป็นสง่า ซึ่งเจดีย์แห่งนี้เป็นเจดีย์ที่สูงที่สุดใน จ.พระนคร ศรีอยุธยา โดยมีความสูง 1 เส้น 1 วา

นอกจากนี้ รอบองค์พระเจดีย์ยังมีพระพุทธรูปปางสมาธิมาประดิษฐานรอบกำแพงแก้วด้านใน และอีกหนึ่งจุดเด่นของวัดแห่งนี้ยังมีวิหารพระพุทธไสยาสน์ สร้างในสมัยสมเด็จพระนเรศวรมหาราช เพื่อเป็นที่ถวายสักการะบูชาและปฏิบัติพระกรรมฐาน แม้ว่าในปัจจุบันตัววิหารจะเหลือเพียงผนังที่ทำจากการก่ออิฐถือปูน เนื่องจากในส่วนของหลังคานั้นก่อสร้างจากไม้จึงทำให้ผุพังไปตามกาลเวลา และในปัจจุบันมีการสร้างพระตำหนักสมเด็จพระนเรศวรมหาราช มีผู้นิยมไปนมัสการอย่างสม่ำเสมอเป็นจำนวนมาก

การเดินทางมายังวัดใหญ่ชัยมงคล จากกรุงเทพฯ เข้าตัวเมืองอยุธยาแล้วจะเห็นเจดีย์วัดสามปลื้ม (เจดีย์กลางถนน) ให้เลี้ยวซ้ายตรงไปประมาณ 1 กิโลเมตร จะเห็นวัดใหญ่ชัยมงคลอยู่ทางซ้ายมือแล้วล่ะครับ

 

 

 

 

 

 

 

 

 

ตำหนักพระแม่กวนอิม ด้วยรักและศรัทธา

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์โพสต์ทูเดย์

03 กรกฎาคม 2559 เวลา 12:30 น…. อ่านต่อได้ที่ : http://www.posttoday.com/travel/thailand/440944

ตำหนักพระแม่กวนอิม ด้วยรักและศรัทธา

โดย…สืบสิน ภาพ คลังภาพโพสต์ทูเดย์

ในวันที่ฝนไม่ตั้งเค้า การนอนจับเจ่าอยู่กับบ้านดูเหมือนจะไม่ใช่ทางออกที่ดีนัก สู้ออกไปหาสิ่งที่ทำให้ใจเบิกบานทำกันดีกว่าครับ

วันนี้ผมรู้สึกสงบและเป็นสุขยิ่ง เลยอยากหาสถานที่ที่เติมความอบอุ่นใจขึ้นมาเลยแวะมาที่ตำหนักพระแม่กวนอิม ตรงโชคชัย 4 สถานที่อันสงบที่นำพามาซึ่งความรักและศรัทธา

ตำหนักเจ้ามากวนอิมแห่งนี้ก่อสร้างเมื่อปี พ.ศ. 2526 โดยพระอาจารย์ใหญ่กวงเซง เป็นศาสนสถานฝ่ายมหายาน การปฏิบัติของผู้ถือศีลในวัด มีกฎระเบียบเคร่งครัดมาก ผู้ที่มาบวชต้องฉันอาหารเจตลอดชีวิตและสึกไม่ได้ ต้องตั้งใจแน่วแน่ที่จะสละชีวิตทางโลก เข้าหาทางธรรมเพื่อศึกษาและมุ่งในการปฏิบัติธรรม

 

สถาปัตยกรรมของตำหนักพระแม่กวนอิม สร้างเป็นแบบจีน บริเวณลานด้านหน้าตำหนัก มีอาคารสุขาวดี เก๋งเทพเจ้าฟ้าดิน และเสามังกร ที่เก๋งใหญ่ประดิษฐานพระแม่กวนอิมมหาโพธิสัตว์ ทรงประทับบนเสี่ยมชู้ (คางคก) และเจ้าชายอั้งไฮ้ยี้โพธิสัตว์ ภายในตำหนักประดิษฐานเทวรูปตามคติจีนและพระพุทธรูปจำนวนมาก นอกจากนี้ยังมีโรงเจและตึกวิปัสสนาสำหรับประกอบพิธีของผู้ที่มาปฏิบัติธรรม

มีคนไทยจำนวนไม่น้อยที่นับถือบูชาเจ้าแม่กวนอิม ซึ่งนอกจากเรื่องอิทธิฤทธิ์ปาฏิหาริย์อันเป็นความเชื่อเฉพาะบุคคลแล้ว องค์เจ้าแม่กวนอิมยังมีแง่งามทางศิลปะที่ชื่นชมเป็นอย่างยิ่ง นั่นจึงเป็นที่มาของการเดินทางไปสักการะชื่นชมองค์เจ้าแม่กวนอิมที่ “ตำหนักพระแม่กวนอิม” กันเป็นประจำ

มาถึงตำหนักแห่งนี้เราจะได้เห็นเจดีย์งดงามและสุดอลังการตั้งเด่นเป็นสง่า มีชื่อว่า “พระมหาเจดีย์พระพุทธเจ้าหมื่นพระองค์” เป็นพระมหาเจดีย์ที่สูงที่สุดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ มีความสูงถึง 21 ชั้น ตามประวัติเล่าว่า เมื่อหลายพันปีก่อนองค์พระแม่กวนอิมมหาโพธิสัตว์ (อวโลกิเตศวร) ได้เคยเสด็จมาตั้งโพธิจิตที่จะสร้างพระมหาเจดีย์พระพุทธเจ้าหมื่นพระองค์ เพื่อถวายเป็นพุทธบูชาแด่องค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้า

 

ส่วนสาเหตุที่พระองค์ทรงเลือกสถานที่แห่งนี้ เนื่องจากเป็น เล่งเถ๊า แปลว่า หัวมังกร ที่มีมังกรเฝ้าอารักขาอยู่ และตรงจุดที่สร้างพระมหาเจดีย์เป็นส่วนหัวของพญามังกร ดังนั้นเมื่อปี 2531 จึงได้เริ่มก่อสร้างพระมหาเจดีย์แห่งนี้ด้วยแรงแห่งศรัทธาของพุทธศาสนิกชน จนในที่สุดก็แล้วเสร็จในปี พ.ศ. 2543

สำหรับพระมหาเจดีย์ฯ แต่ละชั้นจะมีรูปวาดจิตรกรรมฝาผนังเรื่องราวต่างๆ ทางพุทธศาสนา เช่น ที่ชั้นบนสุดเป็นประวัติของพระพุทธเจ้า ประวัติเจ้าแม่กวนอิม ชั้นถัดๆ ลงมาเป็นประวัติเกี่ยวกับพระพุทธเจ้าหลายๆ เรื่องหลายรูปแบบ ประวัติพระพิฆเนศ และรูปปั้นเคารพต่างๆ เป็นต้น

 

นอกจากนี้ ภายในตำหนักแห่งนี้ยังเป็นที่ประดิษฐานเจ้าแม่กวนอิมพันเนตรพันกรพันองค์ ซึ่งมีความสูงถึง 8.30 เมตร แกะสลักด้วยไม้จันทน์หอมจากประเทศจีน ปิดด้วยทองคำแท้ มีพระพักตร์ 20 หน้า ประดิษฐานรายรอบ 4 ทิศ ของพระมหาเจดีย์

ส่วนด้านบนสุดของพระมหาเจดีย์หากมองจากด้านนอกจะเห็น “ลูกแก้วสารพัดนึก” ติดกระจกรอบด้านสีทองอร่าม นอกจากนี้ทั้งพระมหาเจดีย์ยังมีพระพุทธรูปพระพุทธเจ้ารวมหนึ่งหมื่นพระองค์ ซึ่งก็เป็นที่มาของชื่อ “พระมหาเจดีย์พระพุทธเจ้าหมื่นพระองค์” โดยรูปปั้นรูปสลักทั้งหมดนั้นเป็นสีขาวดูสวยงามเป็นสง่าและสะอาดตาเป็นอย่างยิ่ง รูปปั้นรูปสลักต่างๆ นี้บ้างสลักจากหินอ่อนบ้างสลักจากหินแกรนิต อาทิ รูปปั้นพระแม่กวนอิม 108 ปาง ทำจากหินอ่อน รูปปั้น 18 อรหันต์ รูปปั้น 8 เซียน รูปปั้นเทพเจ้า 4 ทิศ รูปปั้นเง็กเซียนฮ่องเต้ รูปปั้นเทพเจ้า 9 พระองค์ และรูปปั้นพระแม่กวนอิม เทพและเซียนต่างๆ อีกมากมายจนนับไม่ถ้วน

 

ในส่วนของชั้นใต้ดินยังเป็นสถานที่ไหว้พระประจำปีเกิด 12 ราศี เพื่อเสริมดวงในปีเกิดของตนเอง นอกจากนี้ชั้นใต้ดินยังเป็นที่เก็บรวบรวมสิ่งของอีกมากมายที่มีผู้มาบริจาคและทิ้งเอาไว้ เช่น จานชาม รูปปั้น รูปสลักต่างๆ เป็นต้น ซึ่งหากใครมาในช่วงนี้ ทางตำหนักพระแม่กวนอิมจะเปิดให้เข้าได้ในชั้นที่ 2 และชั้นใต้ดินเท่านั้น และจะเปิดให้เข้าได้ทุกชั้นในงานเปิดป้ายอย่างเป็นทางการเท่านั้น

ส่วนใครที่อยากสวดมนต์ ปฏิบัติธรรม ที่บริเวณชั้น 3 ของตำหนักพระแม่กวนอิมแห่งนี้ มีห้องสวดมนต์ที่จุผู้คนที่มักจะมาหาความสุขสงบใจได้เกือบ 200 คน และยังมีรูปปั้นพระแม่กวนอิมทั้งเล็กใหญ่นับพันองค์ด้วย

 

ถัดมาเป็น “วิหารแปดเซียน” หรือ “วิหารมังกร” สูง 5 ชั้น เหตุที่เรียกว่าวิหารมังกรนั้นเพราะด้านบนสุดในชั้นที่ 5 บนหลังคาที่ปกคลุมสถานที่ประดิษฐานรูปเคารพ 8เซียน ซึ่งหล่อด้วยเรซิ่นทาสีทอง มีมังกรอันประณีตสวยงามถึง 108 ตัว ฝาผนังภายในมีรูปวาดพระพุทธเจ้า 3 พระองค์ ได้แก่ พระพุทธเจ้าองค์ปัจจุบัน และพระพุทธเจ้าในอดีต 2 พระองค์ และยังมีพระแม่กวนอิมประทับสิงห์และเจ้าแม่กวนอิมประทับช้างด้วย

สถานที่แห่งนี้จึงเต็มเปี่ยมไปด้วยความรักและศรัทธาของผู้คนที่นับถือเจ้าแม่กวนอิมได้อย่างชัดเจนตำหนักพระแม่กวนอิม ถนนโชคชัย 4 ซอย 39 เปิดทุกวันตั้งแต่เวลา 07.00-21.00 น. สอบถามเพิ่มเติมได้ที่ 02-539-6228

 

 

 

 

นันทา จักรยาน ภาพถ่าย การเดินทาง

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์โพสต์ทูเดย์

02 กรกฎาคม 2559 เวลา 10:48 น…. อ่านต่อได้ที่ : http://www.posttoday.com/travel/thailand/440821

นันทา จักรยาน ภาพถ่าย การเดินทาง

โดย…นิทรา ราตรี ภาพ… วีรวงศ์ วงศ์ปรีดี

บรรยากาศที่อบอวลไปด้วยความหลังและความรักปรุงแต่งให้โรงแรม นันทา (Nandha : Sleep Eat Ride) มีคาแรกเตอร์เฉพาะ ทั้งจักรยานวินเทจ กล้องถ่ายรูปโบราณ และรูปถ่ายนานา ที่บ่งบอกได้ว่านี่เป็นโรงแรมของนักปั่น นักถ่ายรูป นักเดินทาง และนักสะสมประสบการณ์ตัวยง

อนุตร โชติกะพุกกณะ ลูกชายของคุณแม่นันทาเล่าให้ฟังว่า ตนชอบปั่นจักรยาน ส่วนพี่ชายเป็นช่างภาพ จึงได้นำความหลงใหลและของสะสมมารวมกัน จากนั้นดีไซน์ให้พวกมันเป็นส่วนหนึ่งของโรงแรม นันทาจึงไม่เป็นเพียงที่พักแต่ยังเป็นจุดนัดพบของผู้รักในสิ่งเดียวกันในบรรยากาศที่ใช่

 

โรงแรมมี 27 ห้อง 3 แบบ ได้แก่ ห้องคลาสสิก ออกแบบสไตล์ชิโนโปรตุกีส ห้องวินเทจ มีกลิ่นอายจากผนังไม้เลียนแบบบ้านโบราณ และจักรยานไปรษณีย์เก่าทำเป็นโต๊ะมินิบาร์ แบบสุดท้ายเป็นห้องสวีท 2 ชั้น 2 ห้องนอน 2 ห้องน้ำ พร้อมครัวขนาดเล็ก โต๊ะรับประทานอาหาร และห้องนั่งเล่นส่วนกลาง นอกจากนี้ทุกห้องยังมีการนำจักรยานเข้ามาใช้อย่างแนบเนียน ไม่ว่าจะเป็นกระดิ่งจักรยานแทนกริ่งหน้าประตูห้อง แพดเดิ้ลจักรยานนำมาใช้เป็นที่แขวนเสื้อ และแฮนด์จักรยานใช้เป็นที่วางผ้าเช็ดตัวในห้องน้ำ นักปั่นสามารถนำจักรยานขึ้นมาไว้ในห้องพักหรือฝากไว้ในที่จอดได้อย่างสบายใจ

สำหรับอาหารและเครื่องดื่มมีให้บริการที่ร้านพาสชั่น คาเฟ่ โดดเด่นด้วยเครื่องทำกาแฟแบบเอสเพรสโซ่ รุ่น มิราจ และเมนู ไนโตร โคลด์ บลูด์ คอฟฟี่ (Nitro Cold Brewed Coffee) ที่ใช้เครื่องอัดไนโตรผสมคาร์บอนไดออกไซด์ทำให้กาแฟเกิดฟองและความซ่าซึ่งเป็นเทรนด์ใหม่ของวัฒนธรรมกาแฟ ส่วนอาหารมาในคอนเซ็ปต์ ออล เดย์ เบรกฟาสต์ ให้อร่อยกับอาหารเช้าได้ตั้งแต่เวลา 08.30-15.30 น.

 

ผู้สร้างนันทาหวังว่าสถานที่แห่งนี้จะกลายเป็นศูนย์กลางของจักรยาน การถ่ายภาพ ศิลปะ กาแฟ การเดินทาง หรืออะไรก็แล้วที่เป็นพาสชั่นขับเคลื่อนชีวิต ซึ่งอาจจะเป็นจุดเริ่มต้นของความคิดดีๆ ที่จะขับเคลื่อนคนในวงกว้างต่อไป

Price: ห้องคลาสสิกและวินเทจ 2,200 บ. ห้องสวีท 4,500 บ. (ไม่รวมอาหารเช้า)

Place: ซ. สุขุมวิท 33 แยก 5 เดินจากบีทีเอสพร้อมพงษ์ประมาณ 10 นาที โทร. 02-260-3517 เฟสบุ๊ก Nandha Hotel

Promotion: ราคาพิเศษช่วงเปิดตัว ห้องคลาสสิกและวินเทจ 1,800 บ. ห้องสวีท 4,050 บ. (ไม่รวมอาหารเช้า) ตั้งแต่วันนี้ – 31 ก.ค. 59

 

 

เช็กอิน ‘สามที่สุด’ นครพนม

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์โพสต์ทูเดย์

02 กรกฎาคม 2559 เวลา 10:36 น…. อ่านต่อได้ที่ : http://www.posttoday.com/travel/thailand/440819

เช็กอิน ‘สามที่สุด’ นครพนม

โดย…กาญจน์ อายุ

นครพนมออกสโลแกน “มานครพนม ชมสามที่สุด เพื่อสุขที่สุด” ตามแนวคิดการท่องเที่ยวด้วยตัวเลข อย่างปีนี้มาในธีมสามที่สุด ประกอบด้วย พระธาตุพนม ศักดิ์สิทธิ์ที่สุด สะพานมิตรภาพแห่งที่ 3 สวยที่สุด และทิวทัศน์ริมฝั่งโขงงามที่สุด ซึ่งว่ากันว่าถ้าเก็บครบ 3 จุด คุณจะกลายเป็นคนที่มีความ “สุขที่สุด” ในนครพนม

ศักดิ์สิทธิ์ที่สุด

วัดพระธาตุพนมวรมหาวิหาร เป็นพระธาตุประจำปีวอกและประจำวันอาทิตย์ ถือเป็นพระธาตุหลักของพระธาตุบริวารประจำวันเกิดต่างๆ ซึ่งปีที่ผ่านมาการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) ได้จัดโครงการสักการะพระธาตุประจำวันเกิด ประสบความสำเร็จด้านการท่องเที่ยวมาก

ชาวนครพนมตักบาตรหน้าวัดมหาธาตุ

 

เท้าความกลับไปเมื่อปี 2518 พระธาตุพนมถูกฟ้าผ่าพังทลาย จากนั้นได้บูรณะขึ้นใหม่ ภายในองค์พระธาตุพนมบรรจุพระอุรังคธาตุ (กระดูกส่วนหน้าอก) และส่วนยอดขององค์พระธาตุประดับฉัตรทองคำ เชื่อว่าผู้ที่สักการะจะได้รับอานิสงส์มีบุญบารมีและมีคนเคารพนับถือ

วัดพระธาตุเรณู อ.เรณูนคร ประจำวันจันทร์ เชื่อว่าผู้ที่สักการะจะมีรูปงามผ่องใส วัดพระธาตุศรีคูณ อ.นาแก ประจำวันอังคาร เชื่อกันว่าคนที่เกิดวันอังคารเป็นคนที่มีเสน่ห์ ผู้ที่ได้กราบไหว้จะประสบแต่ชัยชนะ เป็นนักประสานสิบทิศ โอภาปราศรัยดี ค้าขายคล่อง พูดจามีคนเชื่อถือ วัดพระธาตุมหาชัย อ.ปลาปาก ประจำวันพุธ เชื่อว่ามีอานิสงส์ให้ชีวิตประสบชัยชนะ วัดพระธาตุประสิทธิ์ อ.นาหว้า ประจำวันพฤหัสบดี บรรจุพระบรมสารีริกธาตุ และพระอรหันตสารีริกธาตุครบ 7 องค์ ผู้ที่ได้สักการะจะส่งผลให้การปฏิบัติงานสัมฤทธิผล วัดพระธาตุอุเทน อ.ท่าอุเทน ประจำวันศุกร์ เชื่อกันว่าผู้ที่เกิดวันนี้เป็นผู้มีความคิดสร้างสรรค์ รักอิสระ รักสวยรักงาม ผู้ที่สักการะจะได้รับอานิสงส์ให้ชีวิตมีความรุ่งโรจน์เสมือนพระอาทิตย์ยามรุ่งอรุณ (อุเทน แปลว่า พระอาทิตย์) และวัดมหาธาตุ ริมฝั่งโขง อ.เมือง ประจำวันเสาร์ ภายในบรรจุพระอรหันตธาตุ เชื่อว่าผู้สักการะจะได้รับอานิสงส์ให้มีบุญวาสนาเป็นเจ้าคนนายคน

เณรออกบิณฑบาตขณะพระอาทิตย์ขึ้นริมโขง

 

ปีนี้ทางจังหวัดได้กำหนดให้พระธาตุพนมเป็นไฮไลต์ด้วยความศักดิ์สิทธิ์ที่สุด และเพิ่มความพิเศษด้วยพิธีรำบูชาองค์พระธาตุทุกวันเสาร์ที่ 2 และ 4 ของเดือน โดยแต่ละ อบต. จะเป็นแม่งานหมุนเวียนกันไป จัดงานตามกำลังซึ่งแต่ละครั้งเหมือนกับว่ายกกันมาทั้งตำบล ไม่ว่าจะแสง สี เสียงชุดใหญ่ ขบวนนางรำกว่าร้อยชีวิตที่ต้องใช้คำว่าแย่งกันมารำบูชาองค์พระธาตุ

พิธีรำบูชาองค์พระธาตุจัดขึ้นหน้าประตูทางเข้าวัด เปิดให้ทุกคนชมได้โดยไม่เสียค่าใช้จ่าย นอกจากชาวนครพนมจะมีส่วนร่วมแล้ว นักท่องเที่ยวยังได้ร่วมชมวัฒนธรรมท้องถิ่น ได้สักการะพระธาตุพนมในเวลาองค์พระธาตุกำลังเปลี่ยนสีทองและเปล่งแสงเรืองรองท่ามกลางโลกสีครามยามโพล้เพล้

พุทธศาสนิกชนสวดมนต์พร้อมกันเนื่องในวันบูชาพระธาตุ

 

สวยที่สุด

ผู้ว่าฯ สมชาย วิทย์ดำรงค์ นิยามคำว่าสวยและงามต่างกัน ท่านกล่าวว่า ความสวยคือสิ่งที่ประดิษฐ์หรือสร้างขึ้น แต่ความงามคือสิ่งที่เป็นธรรมชาติของสิ่งนั้น จุดที่สวยที่สุดในจังหวัดจึงตกเป็นของสะพานมิตรภาพแห่งที่ 3 ที่เชื่อมระหว่างนครพนมกับแขวงคำม่วน (สปป.ลาว)

ถ้าเปรียบเป็นนางงามสะพานมิตรภาพแห่งที่ 3 ก็คงจะชนะช่วงตอบคำถาม ด้วยความหมายและความสำคัญของหนทางที่ไม่ได้เป็นแค่สะพาน แต่เป็นตัวกลางเชื่อมการค้าระหว่างประเทศ จากไทยสู่ลาว เวียดนาม และจีนตอนใต้ โดยทางหลวงหมายเลข 13 เชื่อมต่อกับแขวงบริคำไชย นครหลวงเวียงจันทน์ แขวงสะหวันนะเขต แขวงสาละวัน แขวงจำปาสัก ใน สปป. ลาว และทางหลวงหมายเลข 12 เชื่อมต่อจากคำม่วนไปยังจังหวัดห่าติ๋ญ ฮานอย และกว๋างบิ่ญ ในเวียดนาม

จุดธูปบูชาพระธาตุท่าอุเทน

 

สะพานมิตรภาพแห่งที่ 3 ทำให้แขวงคำม่วนกลายเป็นเส้นทางการค้าที่สำคัญ ขนาดที่รัฐบาลลาวได้ประกาศจัดตั้งเขตเศรษฐกิจจำเพาะท่าแขกและเขตศรษฐกิจจำเพาะภูเขียวเพื่อส่งเสริมการลงทุน ในด้านการท่องเที่ยว ไทยไม่ได้รับเพียงประเทศเพื่อนบ้านอย่างลาวและเวียดนามเท่านั้น แต่ยังหมายถึงชาวจีนที่สามารถโรดทริปข้ามประเทศมาได้สบายและกำลังบูมอยู่ในขณะนี้

สำหรับตำแหน่งสวยที่สุดที่ได้มานั้น ทำให้สะพานมิตรภาพแห่งที่ 3 กลายเป็นสถานที่ท่องเที่ยวอีกแห่งมีทั้งร้านอาหาร ร้านค้า จุดถ่ายภาพ แลนด์มาร์คคำว่า สุขที่สุด @ นครพนม และเป็นจุดชมแม่น้ำโขงที่สวยงามเพราะไม่มีชุมชน ไม่พลุกพล่าน ทำให้ดื่มด่ำกับบรรยากาศได้เต็มที่

พานดอกไม้ไหว้พระธาตุ

 

งามที่สุด

แม่น้ำโขงไม่ได้เป็นแค่เส้นเลือดใหญ่ แต่ยังเป็นสายใยเชื่อมความสัมพันธ์ไทย-ลาวฉันพี่น้อง ทำให้ชีวิตคนสองฝั่งผสมกลมกลืนจนแยกไม่ออกว่าคนไหนเขาคนไหนเรา

ทิวทัศน์ริมฝั่งโขงถูกกำหนดให้งามที่สุดในนครพนม ข้อนี้ไม่น่ามีใครครหาเพราะทิวทัศน์ของแม่น้ำและภูเขาฝั่ง สปป.ลาว เป็นภาพที่งามโดยไม่ต้องปรุงแต่งใดๆ จุดชมวิวมุมสูงมีให้บริการอยู่ที่แลนด์มาร์คพญานาค (กำลังก่อสร้าง) ด้านบนเป็นดาดฟ้าให้รับลมชมวิวแม่น้ำโขงได้เกือบ 360 องศา โดยฝั่งนครพนมจะเห็นเลนจักรยานสีเขียวเลียบแม่น้ำ วัดมหาธาตุ และชุมชน คนเก่าแก่ละแวกนั้นเล่าให้ฟัง แต่ก่อนบ้านเรือนริมน้ำจะเป็นเรือนแถวไม้เหมือนเชียงคาน แต่ตอนนี้กลายเป็นตึกแถวตึกปูนเกือบทั้งหมด ทว่าสิ่งที่ไม่เคยเปลี่ยนคือแม่น้ำโขงและทิวภูเขาฝั่งตรงข้ามที่อยู่เป็นเพื่อนกันมาตลอดชีวิต ส่วนอีกฝั่งเป็นธรรมชาติของฝั่งลาวที่ยังเห็นป่าครึ้มเกือบไม่มีที่ว่างให้ตึกรามบ้านช่องเหมือนฝั่งไทย

เด็กๆ ไหว้พระธาตุศรีคูณพระธาตุประจำวันอังคาร

 

อย่างไรก็ตาม คนนครพนมก็ยังคงรักษาวิถีชีวิตบางอย่างไว้ อย่างทุกเช้าชาวบ้านจะเตรียมข้าวเหนียวใส่กระติ๊บมารอตักบาตรที่เส้นริมโขง พอรุ่งสางพระสงฆ์กว่า 20 รูป จะเดินมารับบิณฑบาตเป็นแนวแถวยาว ซึ่งเป็นเวลาเดียวกับที่ดวงอาทิตย์จะไต่ระดับโผล่ขึ้นมาจากฝั่งลาว

ช่วงเวลานั้นอยากจะยกให้เป็นความสงบที่สุด เพราะแม้ทุกอย่างจะเคลื่อนไหวทั้งคน ฝูงนก สายลม หรือแม้แต่ดวงอาทิตย์ แต่กลับไม่มีสุรเสียงอื่นใดนอกจากเสียงธรรมชาติและบทให้พรจากพระสงฆ์ นั่นทำให้ตระหนักว่าสุดท้ายแล้วความเป็นที่สุดไม่หยุดแค่เลขสาม ศักดิ์สิทธิ์ที่สุด สวยที่สุด และงามที่สุด คงเป็นเพียงกุศโลบาย เพื่อให้เกิดความรู้สึกต่างๆ นานา ทั้งสุขที่สุด รักที่สุด ประทับใจที่สุด และความรู้สึกอะไรก็แล้วแต่ที่มันเอ่อท่วมท้นจนอยากยกให้เป็น “ที่สุด” แม้ในช่วงขณะหนึ่งก็ตาม

จุดชมวิวแม่น้ำโขงและฝั่ง สปป.ลาว

 

รำบูชาพระธาตุพนม

 

ยายโชว์การแสดงพื้นบ้านต้อนรับนักท่องเที่ยว

 

จุดถ่ายภาพในโครงการสุขที่สุด@นครพนม

 

สวยที่สุด สะพานมิตรไทย-ลาว แห่งที่ 3

 

พระธาตุเรณู