เที่ยวสนุกสุดคุ้ม! แพคเก็จห้องพักดี๊ดีที่ Santorini Park ‘Stay’

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์โพสต์ทูเดย์

30 มิถุนายน 2559 เวลา 17:40 น…. อ่านต่อได้ที่ : http://www.posttoday.com/travel/thailand/440566

เที่ยวสนุกสุดคุ้ม! แพคเก็จห้องพักดี๊ดีที่ Santorini Park 'Stay'

พบกับแพคเก็จห้องพักสุดชิค เข้าสวนน้ำ Santorini Park ได้ทุกวัน ที่งานไทยเที่ยวไทยวันนี้-3 ก.ค.นี้

วันนี้เงินเดือนออกแล้ว…. มีข่าวดีมาบอกคนชอบเที่ยวแบบสุดคุ้ม

“โปรโมชั่นแพคเก็จห้องพักดี๊..ดี ได้พักในห้องสุด Chic แล้วยังสามารถเข้าสวนน้ำสุดมันส์ สุดพีค แบบเล่นได้ทุกวัน..ให้คุณได้ Play ‘n Stay แบบไม่ซ้ำใคร!
พบกับ Santorini Park ‘Stay’ @ชะอำ แบบใกล้ชิดได้ในวันนี้ – 3 กรกฎาคม 2559 ที่งานไทยเที่ยวไทย ครั้งที่ 39 ณ ไบเทค บางนา #บูทหมายเลข I16-I17 นะคะ :)”

พัก เที่ยว เพลิน พีค ครบในที่เดียว – Play and Stay

จะดีแค่ไหนถ้ามีสักค่ำคืนที่คุณจะได้แหงนหน้านอนนับดาว ท่ามกลางสถาปัตยกรรมสีฟ้าขาวเจิดจ้า ของเกาะซานโตรินี ประเทศกรีซ โดยมีม้าหมุนที่งดงามราวกับหลุดมาจากเทพนิยายเป็นฉากหลัง ก่อนที่จะผลอยหลับไปบนเตียงสองชั้นนุ่มๆ ในห้องพักที่ตกแต่งในสไตล์เมดิเตอร์เรเนียนสุดเก๋ เพราะเหนื่อยอ่อนจากความสนุกสนานสุดมันส์ไปกับสวนน้ำขนาดยักษ์เมื่อช่วงเย็น ที่มอบประสบการณ์สุดแสนประทับใจจนคุณต้องเก็บไปนอนฝัน โดยหวังว่าจะตื่นมาพบกับความพิเศษสำหรับวันพักผ่อน ซึ่งทั้งหมดนี้ไม่ได้เป็นเพียงฝันกลางวันที่เกินเอื้อมถึง แต่คุณสามารถแวะมาสัมผัสด้วยตัวเองได้ที่ ซานโตรินี พาร์ค ‘สเตย์’

 

ล่าสุดซานโตรินี พาร์คยังจะมอบประสบการณ์การพักผ่อนแสนพิเศษให้กับสมาชิกทุกคนในครอบครัวด้วยซานโตรินี พาร์ค ‘สเตย์’ ที่พักบูทีค เบด แอนด์ เบรคฟาสต์ ในสไตล์เมดิเตอร์เรเนียน จำนวน 34 ห้อง ซึ่งแต่ละห้องจะรอต้อนรับผู้เข้าพักด้วยบรรยากาศแสนอบอุ่น และไม่เหมือนใคร อาทิเช่น หมอนลายขวางแสนน่ารัก เตียงสองชั้นที่ดูขี้เล่นแต่นอนสบาย บีนแบ็กที่สามารถทิ้งตัวลงไปได้อย่างเต็มที่ รวมไปถึงรายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ ในการตกแต่งที่สะท้อนให้เห็นถึงความใส่ใจอย่างแท้จริง

 

นอกเหนือไปจากบรรยากาศแสนอบอุ่นภายในห้องพักแล้ว ซานโตรินี พาร์ค ‘สเตย์’ ยังตระเตรียมเซอร์ไพรส์ไว้รอต้อนรับทุกคนในยามเช้าด้วยบริการอาหารเช้าที่ห้องอาหารหลายสไตล์ ‘The Breakfast Bar’ ซึ่งสามารถเลือกได้ตามใจชอบว่าอยากจะเติมพลังรับอรุณด้วยอาหารเช้าเมนูไหน

ที่สำคัญผู้เข้าพักยังสามารถใช้บริการสวนสนุก (Santorini Park) และสวนน้ำ (Santorini Park Waterventures) ที่เพิ่งเปิดตัวโซนใหม่ โดยได้เพิ่ม 3สุดยอดเครื่องเล่นสุดมันส์ สุดพีค ชนิด จัดหนัก จัดเต็ม พีคแล้วพีคขึ้นไปอีก คือTornado, Crazy River และ Stingray Curved Surf ได้อีกด้วย ทำให้ซานโตรินี พาร์ค ‘สเตย์’ เป็นโรงแรมที่จะมอบประสบการณ์ครบทุกความต้องการในที่เดียว ทั้งพักผ่อน ท่องเที่ยว และความสนุกสนานเต็มพิกัด เพื่อเติมเต็มความสุขในวันพักผ่อนของทุกคน

ดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ www.facebook.com/santoriniparkstay

 

หอมละมุน ที่พิพิธภัณฑ์วัฒนธรรมดอกไม้

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์โพสต์ทูเดย์

26 มิถุนายน 2559 เวลา 09:41 น…. อ่านต่อได้ที่ : http://www.posttoday.com/travel/thailand/439549

หอมละมุน ที่พิพิธภัณฑ์วัฒนธรรมดอกไม้

โดย…ลาริมาร์ ภาพ คลังภาพโพสต์ทูเดย์-สุนันท์ ล้อสมทรัพย์

เมื่อเอ่ยชื่อ พิพิธภัณฑ์วัฒนธรรมดอกไม้ (The Museum of Floral Culture) หลายคนอาจคิดว่าเป็นที่จัดแสดงดอกไม้นานาชนิด มาเพื่อเก็บภาพแชะสองแชะแล้วก็กลับบ้าน แต่แท้จริงแล้วสถานที่แห่งนี้ต้องการสร้างความตราตรึงและความละเอียดอ่อนมากกว่าการมาถ่ายรูปแล้วก็กลับบ้าน

พิพิธภัณฑ์วัฒนธรรมดอกไม้ก่อตั้งขึ้นจากความตั้งใจของสกุล อินทกุล เพื่อรวบรวมความรู้เกี่ยวกับวัฒนธรรมดอกไม้ และเป็นสถานที่จัดแสดงดอกไม้ในแง่มุมที่หลากหลายของไทยและต่างประเทศผ่านหลักฐานทางประวัติศาสตร์ที่เกี่ยวกับดอกไม้จากอดีตจนถึงปัจจุบัน โดยใช้บ้านไม้สักเก่าสไตล์โคโลเนียลอายุกว่าร้อยปี สร้างในสมัยรัชกาลที่ 6 ในซอยองครักษ์ 13 ถนนสามเสน ซอย 28 เป็นแหล่งรวบรวม เปิดให้เข้าชมอย่างเป็นทางการเมื่อ 12 ส.ค. 2555 นับเป็นพิพิธภัณฑ์ที่คนรักดอกไม้ควรหาเวลาไปแวะชม

พื้นที่ทั้งหมดของพิพิธภัณฑ์ดอกไม้ แบ่งออกเป็น 3 พื้นที่หลัก เริ่มจากความร่มรื่นจากต้นไม้ใหญ่น้อยใหญ่นอกบ้านที่ได้รับกาดูแลรักษา และจัดแต่งอย่างดี มีทางเดินด้านข้างนำไปสู่หลังบ้าน ซึ่งพื้นที่แห่งนี้ในบางโอกาสใช้สำหรับจัดนิทรรศการกลางแจ้ง ด้านหลังมีศาลาไทยสำหรับจัดกิจกรรมต่างๆ รวมถึงการสอนจัดดอกไม้ซึ่งจัดเป็นประจำทุกเดือน

ด้านหน้าบ้านจัดไว้อย่างเป็นระเบียบตกแต่งด้วยดอกไม้สีสดสวยไว้สำหรับต้อนรับผู้มาเยือน ระเบียงของบ้านจัดให้เป็นที่นั่งจิบชาในบรรยากาศสบายๆ ซึ่งชาที่เตรียมไว้เป็นชาดอกไม้ เช่น ชากุหลาบ ชาหอมหมื่นลี้ ชาเขียวมะลิ เป็นต้น เมื่อเข้าสู่ส่วนของการนำชมภายในพิพิธภัณฑ์ โดยมีการจัดให้เข้าชมเป็นรอบ แต่ละรอบใช้เวลา 45 นาที โดยมีผู้บรรยายนำชมภายในอาคารและบริเวณสวน ซึ่งขณะที่เจ้าหน้าที่นำชมในห้องต่างๆ ทางพิพิธภัณฑ์ขอความร่วมมือห้ามถ่ายภาพ

 

การจัดแสดงแบ่งออกเป็น 7 ห้อง ห้องที่หนึ่งคือ หอภาพดุสิต จัดแสดงภาพถ่ายที่สืบค้นมาจากหอสมุดแห่งชาติ เป็นภาพงานดอกไม้ไทยโบราณ อาทิ เครื่องแขวน พานพุ่ม พวงระย้า ตาข่ายดอกไม้ มาลัยเถา กรวยอุปัชฌาย์ ห้องที่สองชื่อ โลกแห่งวัฒนธรรมดอกไม้ มีแผนที่โลกแสดงให้เห็นว่าวัฒนธรรมดอกไม้ปรากฏอยู่ที่ใดบ้าง มีตำราการจัดดอกไม้เก่าแก่ของญี่ปุ่น ตำราลับแห่งการจัดดอกไม้แบบโชกะของอิเคโนโบะ หนังสือม้วนโบราณอายุราวปี ค.ศ. 1756 ซึ่งเทียบความเก่าแก่เท่ากับในรัชสมัยของพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศ นอกจากนี้ ห้องนี้ยังรวมภาพถ่ายเกี่ยวกับวัฒนธรรมดอกไม้ประเทศต่างๆ เช่น อินเดีย บาหลี เมียนมา ลาว เนปาล ทิเบต ฮาวาย อียิปต์ กรีซ อังกฤษ และฝรั่งเศส เป็นต้น

 

ถัดมาเป็นห้องที่สามในชื่ออุโบสถดอกไม้ จัดแสดงเกี่ยวกับประเพณีการแห่ต้นดอกไม้ของ ต.แสงภา อ.นาแห้ว จ.เลย ซึ่งเป็นประเพณีเก่าแก่ยาวนานกว่า 400 ปี ห้องที่สี่ และห้องที่ห้า เรียกว่าหอมรดกวัฒนธรรมดอกไม้ จัดแสดงการจัดดอกไม้แบบไทยๆ เช่น งานใบตอง มาลัย บายศรี การตกแต่งขันหมากในงานแต่งงาน ตลอดจนพานพุ่มดอกไม้

 

ครบถ้วนห้องด้านล่างของบ้านแล้ว ก็ขึ้นบันไดไปยังชั้นสองซึ่งเป็นห้องจัดแสดงลำดับที่หก ชื่อว่า ปากกา ดินสอ ความเป็นไปได้ เป็นห้องที่รวบรวมภาพร่างผลงานการจัดดอกไม้ของผู้ก่อตั้งพิพิธภัณฑ์ ในหลากหลายรูปแบบ ทั้งแบบประยุกต์ ร่วมสมัย และแบบไทยแท้ แต่ที่โดดเด่นเป็นไฮไลต์ก็เห็นจะเป็นตัวอย่างการจัดดอกไม้ในงานพระราชทานเลี้ยงในพระบรมมหาราชวัง ในงานเฉลิมฉลองครองสิริราชสมบัติครบ 60 ปี ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เมื่อปี พ.ศ. 2549 ซึ่งมีตัวแทนจากราชวงศ์ทั่วโลกเข้าร่วมด้วย

 

ปิดท้ายการเข้าชมนิทรรศการที่ ห้องที่เจ็ด เป็นห้องนิทรรศการหมุนเวียน ซึ่งพิพิธภัณฑ์จะจัดแสดงเรื่องราวที่น่าสนใจตามความเหมาะสมและตามวาระโอกาส ใครอยากลองไปแลกเปลี่ยนเรียนรู้เกี่ยวกับวัฒนธรรมดอกไม้ หรืออยากเข้าร่วมเวิร์กช็อปสอนจัดดอกไม้ที่พิพิธภัณฑ์วัฒนธรรมดอกไม้ (The Museum of Floral Culture) ก็ติดต่อไปที่ 315 ซอยองครักษ์ 13 ถนนสามเสน เขตดุสิต กรุงเทพฯ เปิดให้ชมทุกวัน (ยกเว้นวันจันทร์) เวลา 10.00-18.00 น. บัตรเข้าชมราคา 150 บาท ข้อมูลเพิ่มเติมโทร.02-669-3633 หรือเฟซบุ๊ก : facebook.com/TheMuseumofFloralCulture

 

มานะไทย สุรินทร์ ภูเก็ต เสน่ห์ไทยสมัยนิยม

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์โพสต์ทูเดย์

25 มิถุนายน 2559 เวลา 09:41 น…. อ่านต่อได้ที่ : http://www.posttoday.com/travel/thailand/439486

มานะไทย สุรินทร์ ภูเก็ต เสน่ห์ไทยสมัยนิยม

โดย…นิทรา ราตรี

ความเป็นไทยถูกดีไซน์ใหม่ที่ มานะไทยสุรินทร์ ภูเก็ต บูติกโฮเต็ลขนาดกลางบนหาดสุรินทร์ เกาะภูเก็ต โดดเด่นเรื่องการประยุกต์ความเป็นไทยให้ดูทันสมัยสมดั่งชื่อ มานะไทย ที่พยายามสอดแทรกความเป็นท้องถิ่นเข้าไปในทุกองค์ประกอบ

เริ่มที่ล็อบบี้แบบไทยร่วมสมัย หลังคาสูงโปร่ง ผนังทำด้วยไม้ฝาบ้านแบบเรือนไทย โซฟาถูกดีไซน์ขึ้นมาใหม่โดยได้รับแรงบันดาลใจจากกรงนกกีฬาพื้นบ้าน และองค์ประกอบสำคัญที่สะท้อนความเป็นท้องถิ่นได้ดีที่สุดคือ พนักงาน ภาษาไทยสำเนียงใต้และรอยยิ้มละไมเป็นสิ่งที่ทำให้เข้าถึงเนื้อแท้ของคนไทยปักต์ใต้ได้ดีที่สุด

 

โรงแรมมี 66 ห้อง 6 ประเภท ได้แก่ ดีลักซ์ ห้องเริ่มต้นที่ขนาด 25 ตร.ม. ดีลักซ์ริมสระน้ำ สามารถลงเล่นน้ำได้เพียงไม่กี่ก้าวจากห้องพัก ห้องสุรินทร์ มีสระว่ายน้ำส่วนตัวห้องครอบครัว ภายในได้แบ่งพื้นที่ของเด็กๆ และพ่อแม่เป็นสัดส่วน และห้องแบบสองชั้น (Duplex Suite) ขนาดใหญ่ที่สุด 70 ตร.ม. แบ่งห้องนั่งเล่นและห้องนอนแยกจากกัน รวมถึงมีพื้นที่ใช้สอยกว้างขวางประหนึ่งบ้านตากอากาศส่วนตัว โดยทุกห้องเป็นโทนสีขาวตกแต่งด้วยเฟอร์นิเจอร์สไตล์ไทยประยุกต์ ใช้เทคโนโลยีทันสมัย และมีกระจกบานใหญ่เปิดเข้าหาท้องทะเล

นอกจากนี้ ห้องอาหารยังคงคอนเซ็ปต์ด้วยเมนูอาหารไทยภายในห้องอาหาร ผัดไทย ซึ่งเป็นห้องอาหารซิกเนเจอร์ของมานะไทยกรุ๊ป เสิร์ฟผัดไทยนานาชนิด และอาหารไทยรสชาติดั้งเดิม ซึ่งทุกเช้าจะเสิร์ฟขนมจีนน้ำยาบ๊ะกุ๊ดเต๋ และไข่เจียวผักบุ้ง สมกับเป็นมื้อเช้าของคนไทย

 

องค์ประกอบอื่นๆ ได้แก่ สระว่ายน้ำ2 สระ พูลบาร์ ฟิตเนส สปา คิดส์คลับ ห้องสมุด กิจกรรมชายหาด และห้องประชุมขนาด 12 คน รวมถึงบริการจัดงานแต่งงานแบบเทรเลอร์เมด

หาดสุรินทร์ขึ้นชื่อว่าอยู่ใจกลางเมือง ใกล้แหล่งช็อปปิ้ง ทว่ายังมีชายหาดที่สวยงามแอบซ่อนอยู่ เช่นเดียวกับลักษณะของโรงแรมที่แม้ว่าจะรายล้อมด้วยสถานบันเทิงและแสงสีของเมืองท่องเที่ยว แต่ภายในโรงแรมยังคงเงียบสงบเสมือนเป็นอีกโลกส่วนตัว

 

Price : ดีลักซ์ 1,830 บาท ห้องสุรินทร์ 2,884 บาท ห้องครอบครัว 3,390 บาท ห้องพักสองชั้น 4,255 บาท

Place : ตั้งอยู่บนหาดสุรินทร์ เกาะภูเก็ต ห่างจากสนามบินภูเก็ต 30 นาที โทร. 02-658-5865 เว็บไซต์www.manathai.com/ phuket

Promotion : แพ็กเกจไทยเรสสิเด้นท์ เฉพาะคนไทยและชาวต่างชาติ ที่มีถิ่นพำนักในไทย ราคาเริ่มต้น 4,300 บาท สำหรับการเข้าพัก 3 วัน 2 คืน พร้อมอาหารเช้า รถรับส่งสนามบิน ส่วนลดอาหารและเครื่องดื่ม 20% และเด็กอายุต่ำกว่า 16 ปีพัก กับครอบครัวฟรี ตั้งแต่วันนี้ – 31 ต.ค. 2559

 

 

ไปดูลิงที่เกาะเกล็ดแก้ว

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์โพสต์ทูเดย์

25 มิถุนายน 2559 เวลา 09:36 น…. อ่านต่อได้ที่ : http://www.posttoday.com/travel/thailand/439484

ไปดูลิงที่เกาะเกล็ดแก้ว

โดย…เสกสรร โรจนเมธากุล

กลายเป็นอีกหนึ่งจุดหมายปลายทางของนักเที่ยว เมื่อบนเกาะเป็ด หรือเกาะเกล็ดแก้ว เกาะเล็กๆ ในอ่าวพื้นที่โรงเรียนชุมพลทหารเรือ ต.บางเสร่ อ.สัตหีบ จ.ชลบุรี มีลิงแสมนับพันตัวอาศัยอยู่ ที่ผ่านมานักท่องเที่ยวต่างชาติได้เหมาเรือเร็วจากเมืองพัทยา รวมถึงนักท่องเที่ยวทั่วไปมาให้อาหารลิงแสมกันเป็นจำนวนมาก ทั้งผลไม้ รวมถึงน้ำอัดลมและชา จนทำให้ลิงส่วนหนึ่งสามารถเปิดขวดน้ำได้เอง และเกิดการจดจำเมื่อเห็นเรือมายังเกาะ ลิงจะกรูกันมายืนออที่ริมหาดหรือว่ายน้ำเข้าหาเรือ แถมยังปีนป่ายไปบนตัวนักท่องเที่ยวเพื่อขออาหาร ทำให้เป็นที่สนุกสนานในการถ่ายภาพ

เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา ผมและเพื่อนอีกสองคนได้ไปเที่ยวที่เกาะแห่งนี้ โดยที่เราไม่ได้นำอาหารใดๆ ไปเลย ลิงจำนวนหนึ่งได้กระโดดขึ้นมาเกาะบนตัวของเรา พยายามเปิดกระเป๋าสัมภาระ ซึ่งทำให้เราเข้าใจว่า มันคงเคยชินที่มีคนนำอาหารมาให้ ตลอดเวลากว่าครึ่งชั่วโมงที่เราอยู่บนเกาะ ลิงแทบจะไม่ผละจากเราเลย จนเจ้าหน้าที่ทหารเรือนำขวดน้ำไปป้อนให้ ลิงบางส่วนจึงเบนความสนใจไปจากเราได้บ้าง โดยทางทหารเรือนั้นยังมีภารกิจช่วยดูแลอนุรักษ์ลิงแสม ดูแลความปลอดภัยของนักท่องเที่ยว และจัดให้เกาะนี้เป็นแหล่งท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์ แต่อยากจะฝากไว้สักหน่อยว่า ถ้าจะไปดูลิงที่เกาะนี้ อย่าไปมือเปล่าก็แล้วกันนะครับ

 

 

แหล่งรวม ‘เทพ’ ราชประสงค์

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์โพสต์ทูเดย์

19 มิถุนายน 2559 เวลา 11:50 น…. อ่านต่อได้ที่ : http://www.posttoday.com/travel/thailand/438304

แหล่งรวม 'เทพ' ราชประสงค์

โดย…กาญจนา อายุ วัฒน์ธนชัย ภาพ : คลังภาพโพสต์ทูเดย์, สุนันทา หามนตรี

หลายครั้งที่คุณเดินผ่านย่านราชประสงค์โดยที่ไม่รู้ตัวว่ากำลังผ่าน 7 เทพ ทั้งเซ็นทรัลเวิลด์ บิ๊กซี เกษร พลาซ่า อัมรินทร์ พลาซ่า ซึ่งสามารถวาดเป็นเส้นทางศักดิ์สิทธิ์สถิต 7 เทพ จำนวน 7 จุด อย่างที่การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) ได้จัดโครงการ Walking Bangkok โดยเริ่มเดินจากเซ็นทรัลเวิลด์ไปจบที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ตามรอยแหล่งรวมเทพราชประสงค์

ธานัท ภุมรัช นักประชาสัมพันธ์ กองการท่องเที่ยว กรุงเทพมหานคร ได้ให้ข้อมูลทั้ง 7 จุด ปักหมุดแรกที่ห้างเซ็นทรัลเวิลด์ (จุดที่ 1) ด้านหน้าห้างเป็นที่ประดิษฐานเทพ 2 องค์ คือ พระตรีมูรติและพระพิฆเนศ เขาเล่าว่า บริเวณนั้นเคยเป็นวังเพชรบูรณ์เก่าตั้งแต่สมัยปี 2500 ซึ่งพระตรีมูรติประดิษฐานอยู่แล้วตั้งแต่ตอนนั้น ผ่านสงครามมหาเอเชียบูรพาและเหตุการณ์ต่างๆ มาเกือบ 60 ปี มีความเชื่อว่า พระตรีมูรติจะป้องกันไม่ให้โลกเกิดไปบรรลัยกัลป์ และเป็นเทพแห่งความรักที่คนมักไปขอพรด้วยดอกกุหลาบสีแดง องค์ที่อยู่เคียงกันคือ พระพิฆเนศ เทพแห่งความสำเร็จ เทพแห่งปัญญา คนมักไปขอพรให้ประสบความสำเร็จในหน้าที่การงานและการเรียน

จุดที่ 2 พระแม่อุมาเทวีหน้าห้างบิ๊กซี

 

จากนั้นเดินข้ามสะพานไปฝั่งบิ๊กซี (จุดที่ 2) ที่ด้านหน้าห้างเป็นที่ประดิษฐานพระแม่อุมาเทวี พระชายาของพระศิวะ ทางฮินดูเชื่อว่า เป็นเทพที่ให้กำลังสนับสนุนเพศชายดังที่สนับสนุนพระศิวะมาตลอด และเป็นปางประทานพรเพื่อให้พรแก่ผู้มาขอดังที่เคยให้แก่เทวดา มนุษย์ และพญามาร เดินตรงไปทางเกษร พลาซ่า (จุดที่ 3) บนชั้น 3 เป็นที่ประดิษฐานพระแม่รัศมี เทพธิดาแห่งน้ำและชายาของพระนารายณ์ มีบทบาทสำคัญในการดูแลปรนนิบัติพระนารายณ์เป็นอย่างดี อย่างบนทับหลังนารายณ์บรรทมสินธุ์ ผู้หญิงที่บีบนวดพระนารายณ์อยู่นั้นก็คือพระรัศมีนั่นเอง เชื่อว่าจะให้ความอุดมสมบูรณ์ ทำการค้าราบรื่น ไหว้ด้วยดอกบัวหรือดอกดาวเรืองก็ได้

จุดที่ 3 พระแม่รัศมีบนเกษร พลาซ่า

 

เดินเรื่อยไปตามถนนสุขุมวิทไปหยุดที่โรงแรมอินเตอร์คอนติเนนตัล กรุงเทพฯ (จุดที่ 4) ด้านหน้ามีรูปปั้นนารายณ์ทรงครุฑ พิเศษตรงที่เป็นศิลปะแบบขอม มีเทริดมงกุฎแบบกษัตริย์ขอม คนส่วนใหญ่ไปขอพรให้มีสุขภาพแข็งแรง ไม่มีโรคภัย เพราะพระนารายณ์เป็นผู้ดูแลทุกข์สุขของราษฎรเป็นอย่างดี หลังจากนั้นเดินข้ามสะพายลอยไปฝั่งอัมรินทร์ พลาซ่า (จุดที่ 5) เป็นที่ประดิษฐานของท้าวสักกเทวราช หรือพระอินทร์ ผู้มีอำนาจดูแลหมู่มวลมนุษย์ มีฤทธิ์มาก มีตรีศูลเป็นอาวุธ และมีดวงตาทั่วร่างกว่าพันดวง คนส่วนใหญ่จะไปขอพรด้านการเลื่อนตำแหน่งและการทำงานราชการ

จุดที่ 4 พระนารายณ์ทรงครุฑหน้าโรงแรมอินเตอร์คอนฯ

 

ห่างออกไปไม่กี่ก้าวหน้าโรงแรมแกรนด์ ไฮแอท เอราวัณ (จุดที่ 6) เป็นที่ตั้งศาลพระพรหมเอราวัณ สร้างโดยช่างกรมศิลป์ เก่าแก่เป็นอันดับสองรองจากพระตรีมูรติ พระพรหมมี 4 พักตร์ แต่ละพักตร์ให้พรต่างกัน เช่น ด้านที่ถือลูกประคำให้พรเกี่ยวกับการมีสมาธิ และด้านที่ถือพระคัมภีร์ให้พรเกี่ยวกับการศึกษา ทั้งนี้ภาพรวมของพระพรหมจะเป็นผู้สร้าง ดังนั้นผู้ที่เพิ่งเปิดกิจการมักจะมาขอพรให้ค้าขายรุ่งเรือง

จุดที่ 5 พระสักกเทวราชหน้าอัมรินทร์ พลาซ่า

 

จุดสุดท้ายให้ข้ามถนนไปยังฝั่งโรงพยาบาลตำรวจ แล้วเดินตรงไปเข้าประตูสำนักงานตำรวจแห่งชาติ (จุดที่ 7) เป็นที่ประดิษฐานพระนารายณ์ทรงประทับอยู่บนเกษียรสมุทร (อยู่ถัดจากอนุสาวรีย์รัชกาลที่ 4 เข้าไป) เชื่อว่าจะรักษาดูแลและให้ความสงบร่มเย็น ดังที่เป็นเทพแห่งการดูแลรักษามวลมนุษย์ นอกจากนี้การจุดธูปไหว้เทพฮินดูจะจุดธูปกี่ดอกก็ได้แต่ขอเป็นเลขคี่ เช่น สาม ห้า เจ็ด หรือเก้า แต่ด้วยคนไทยมองว่าเลขเก้าเป็นเลขมงคลจึงมักไหว้ด้วยธูปเก้าดอก

จุดที่ 6 ศาลพระพรหมหน้าโรงแรมแกรนด์ ไฮแอท เอราวัณ

 

ธานัท ยังกล่าวด้วยว่า เทพแต่ละองค์ในแต่ละแห่งจะไม่หันหน้าประชันกัน เพื่อไม่ให้เทพสู้กัน แต่จะเกื้อกูลส่งเสริมให้ย่านการค้าย่านราชประสงค์รุ่งเรือง ส่วนคนทั่วไปสามารถเดินทางไปไหว้ตามจุดต่างๆ และไปขอพรตามความเชื่อของเทพแต่ละองค์ ซึ่งเชื่อว่าน่าจะครอบคลุมทุกความปรารถนา

จุดที่ 7 พระนารายณ์ประทับบนเกษียรสมุทรในสำนักงานตำรวจแห่งชาติ

 

ที่พักที่รัก ซัมแวร์ เกาะสีชัง

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์โพสต์ทูเดย์

18 มิถุนายน 2559 เวลา 10:33 น…. อ่านต่อได้ที่ : http://www.posttoday.com/travel/thailand/438183

ที่พักที่รัก ซัมแวร์ เกาะสีชัง

โดย…นิทรา ราตรี

สถานที่บางแห่งอาจธรรมดา แต่ทว่าเป็นซัมแวร์ของบางคน อย่างเกาะสีชัง จ.ชลบุรี ที่ถูกขนานนามว่า เกาะแห่งรัก ได้กลายเป็นสถานที่พิเศษของ คุณเล็ก-ธีระพงศ์ ปังศรีวงศ์ กรรมการบริหารในเครือเคป แอนด์ แคนทารี โฮเทลส์ และเป็นแรงบันดาลใจให้สร้าง ซัมแวร์ เกาะสีชัง (Somewhere Koh Sichang By Cape & kantary Hotels) ที่พักสำหรับใครก็ตามที่รักและอยากพักใจ

ซัมแวร์ เป็นรีสอร์ทขนาดเล็กจำนวน 20 ห้อง มี 2 รูปแบบ ห้องสแตนดาร์ด กว้าง 28 ตร.ม. มีทั้งชั้นล่างใกล้สระว่ายน้ำและชั้นบนเห็นวิวทะเล ส่วนห้องสตูดิโอ สวีท กว้าง 33 ตร.ม. พิเศษที่มีระเบียงกว้างสามารถทำอาหารบนเตาบาร์บีคิวและจัดปาร์ตี้เล็กๆ ได้เป็นส่วนตัว โดยทุกห้องจะมีชุดโซฟาให้เอกเขนก มีโต๊ะทำงาน มินิบาร์ และสิ่งอำนวยความสะดวกครบ

 

พื้นที่รีสอร์ทมีเพียง 1.2 ไร่ แต่สามารถจัดองค์ประกอบได้ลงตัว ทั้งอาคารที่พัก สระว่ายน้ำขนาด 10 เมตร สระเด็ก 4 เมตร ห้องอาหาร และเดอะ เวอแรนดาห์ ที่สามารถปรับใช้เป็นห้องประชุมขนาด 40 คนได้พอดี ทั้งหมดดีไซน์คุมโทนฟ้า-ขาว ใช้เฟอร์นิเจอร์สีเอิร์ทโทน และตกแต่งสไตล์แคริบเบียน

นอกจากนี้ แผนในอนาคตจะมีจักรยานให้ใช้บริการ เพิ่มโปรแกรมเที่ยวเกาะไผ่โดยเรือพันวาปริ๊นเซส 2 และบริการเรือสปีดโบ๊ตจากศรีราชามายังเกาะสีชัง ซึ่งใช้เวลาน้อยกว่าเรือธรรมดาครึ่งหนึ่ง สำหรับเกาะสีชังมีสถานที่ที่น่าสนใจหลายแห่ง ทั้งพิพิธภัณฑ์พระจุฑาธุชราชฐาน ศาลเจ้าพ่อเขาใหญ่ รอยพระพุทธบาท และจุดชมพระอาทิตย์ตกช่องอิศริยาภรณ์

 

สถานที่บางแห่งดูธรรมดาแต่ย่อมมีความพิเศษ เพียงได้หยุด ได้เห็น และสัมผัสสิ่งที่เป็นก็จะได้ดื่มด่ำกับความพิเศษในความธรรมดา

Price: ห้องพักราคา 2,500 บ. พร้อมอาหารเช้า

Place: เกาะสีชัง อยู่ห่างจากฝั่งศรีราชาประมาณ 12 กม. จ. ชลบุรี โทร. 0-2253-3791-7 ต่อ 123

Promotion: แพ็กเกจประชุมราคาเริ่มต้นคืนละ 1,530 บ. ในวันธรรมดา) และ 1,880 บ. ในวันหยุดสุดสัปดาห์ ตั้งแต่วันนี้ – 31 ธ.ค. 59 เยี่ยมชมเว็บไซต์ capekantaryhotels.com/meetingpackage

 

มหา’ลัยเที่ยวได้ บางเขน – กำแพงแสน

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์โพสต์ทูเดย์

18 มิถุนายน 2559 เวลา 10:29 น…. อ่านต่อได้ที่ : http://www.posttoday.com/travel/thailand/438182

มหา’ลัยเที่ยวได้ บางเขน - กำแพงแสน

โดย…กาญจน์ อายุ ภาพ… กาญจน์ อายุ, มก.

เรื่องของเรื่องมันเกิดขึ้นหลังจากทราบว่า มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ (มก.) ผลิตงานวิจัยมากกว่า 100 ชิ้น/ปี มีสถานีวิจัย 20 แห่งทั่วไทย ซึ่งน่าสนใจมากในแง่วิชาการ แต่ดูไกลตัวเหลือเกินสำหรับคนทั่วไป มก. จึงพยายามวางโพสิชั่นนิ่งใหม่โดยการเปลี่ยนแหล่งเรียนรู้ให้เป็น “แหล่งท่องเที่ยว” อย่างต้นปีที่ผ่านมา คนแห่ไปถ่ายรูปดอกชมพูพันธุ์ทิพย์ที่วิทยาเขตกำแพงแสน ซึ่งเบื้องหลังของดอกไม้เหล่านั้นก็คือส่วนหนึ่งของงานวิจัย หรือของฝากจากปากช่องอย่างข้าวโพดหวานไร่สุวรรณ ก็เป็นผลิตผลจากศูนย์วิจัยข้าวโพดฯ ทั้งยังช่างเหมาะกับช่วงนี้ที่ว่าที่เฟรชชี่กำลังรอลุ้นผลสอบแอดมิชชั่น จึงอยากเปลี่ยนโหมดชวนไปเข้ามหาวิทยาลัยในฐานะนักท่องเที่ยว

สวนเกษตรกลางกรุง

มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ บางเขน มีแหล่งเรียนรู้ 12 แห่ง จาก 9 คณะวิชา เป็นที่รู้จักในฐานะแหล่งเรียนรู้ตามชื่อทำให้คนเข้าใจว่าเป็นสถานที่ราชการที่ต้องทำหนังสืออนุญาต ยุ่งยากหลายขั้นตอน และต้อนรับเพียงกลุ่มนักเรียนนักศึกษาเข้ามาดูงานเท่านั้น ซึ่งแท้จริงเปิดให้คนทั่วไปและไม่ต้องทำจดหมายใดๆ เลย

ใต้ต้นชมพูพันธุ์ทิพย์

 

รศ.ดร.สิรี ชัยเสรี รักษาการแทนรองอธิการบดีฝ่ายวิจัย แนะนำ 4 แหล่งเรียนรู้ที่เป็นจุดเน้น ได้แก่ พิพิธภัณฑ์มด คณะวนศาสตร์ แห่งแรกและแห่งเดียวในโลกที่ได้รวบรวมงานวิจัยเกี่ยวกับมดในทุกๆ ด้าน นับเป็นพิพิธภัณฑ์ที่น่าทึ่ง เพราะทั่วโลกมีมดมากกว่า 2 หมื่นชนิด เฉพาะในประเทศเทศมีกว่า 1,000 ชนิด แต่ทางพิพิธภัณฑ์นำโดย รศ.ดร.เดชา วิวัฒนวิทยา ผู้เชี่ยวชาญด้านมด สามารถรวบรวม แยกประเภท และอธิบายโลกของมดได้อย่างเป็นระบบ เป็นข้อมูลที่ได้มาจากความอดทนของนักวิจัยอย่างแท้จริง

พิพิธภัณฑ์ธรรมชาติวิทยาประมง คณะประมง เกี่ยวกับวิถีชีวิตไทยกับสายน้ำ และสายพันธุ์ปลาหาปลาในประเทศไทย พิพิธภัณฑ์ธรรมชาติวิทยา กรุงรัตนโกสินทร์ มีเป้าหมายให้คนทั่วไปเข้าใจศาสตร์ป่าไม้ตั้งแต่ยอดเขาสู่เมืองใหญ่ เรื่องราวของพืชและสัตว์ที่มีเคยพบในกรุงเทพมหานคร พืชหายาก และตู้จำลองสภาพธรรมชาติตั้งแต่ป่าในพื้นที่ลุ่มต่ำไปจนถึงที่ราบสูงโดยได้ร้อยเรื่องราวจากชั้นล่างขึ้นชั้นบนตามลักษณะป่าที่จัดแสดง

นักเรียนทัศนศึกษาโลกแมลง

 

แห่งสุดท้ายคือ พิพิธภัณฑ์เพื่อการเรียนรู้แบบมีปฏิสัมพันธ์ทางสัตวแพทย์ (Nature of Parasite) ชื่อพิพิธภัณฑ์ประหนึ่งชื่อวิทยาศาสตร์ อธิบายง่ายๆ คือ การจัดแสดงด้านสัตวแพทย์ในรูปแบบของเกมส์ โดยให้เด็กๆ สวมบทเป็นคนดูแลสัตว์เลี้ยงเพื่อเรียนรู้เรื่องราวของสัตว์อย่างสมจริง

นอกจากนี้ ยังมีพิพิธภัณฑ์และอุทยานแมลง 60 ปี สถาปัตย์เกษตรรักษ์โลก ศูนย์ความหลากหลายทางชีวภาพพันธุ์ไก่และอุทยานไก่ มีเล้าไก่และร้านขายไข่ไก่ในมหาวิทยาลัย พิพิธภัณฑ์องค์ความรู้ทางพฤกษศาสตร์ พิพิธภัณฑ์สัตววิทยา ศูนย์การศึกษาเชิงหรรษา ศูนย์พัฒนาภาษาด้วยตนเองเพื่อสนับสนุนการเรียนรู้เพื่อการศึกษาภาษาต่างประเทศ และแหล่งเรียนรู้ความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีวิศวกรรม

โครงกระดูกสัตว์น้ำ

 

ฟาร์มริมเมือง

มก.วิทยาเขตกำแพงแสน จัดโครงการเที่ยวไม่ไกล ไปกำแพงแสน ชูจุดเด่นดอกชมพูพันธุ์ทิพย์ คาวบอยแลนด์ อุทยานแมลง มหาวิทยาลัยชาวนา สวนไม้ผลเขตร้อน และร้านสเต๊กเนื้อชื่อดัง ซึ่งค่อนข้างประสบความสำเร็จเพราะนอกจากจะมีคณะศึกษาดูงานมาหาความรู้แล้ว ยังมีนักท่องเที่ยวประเภทครอบครัวเดินทางไปเที่ยว ไปกิน โดยมหาวิทยาลัยมีรถรางพร้อมผู้บรรยายให้บริการเต็มรูปแบบ

สิ่งที่พลาดไม่ได้คือ อุทยานแมลงเฉลิมพระเกียรติฯ เป็นโดมขนาดใหญ่ปลูกต้นไม้และเลี้ยงแมลงตามระบบนิเวศ เต็มไปด้วยผีเสื้อหลายสายพันธุ์ที่บินว่อนเป็นอิสระ ผู้ชมสามารถเดินชมได้ตามอัธยาศัยซึ่งน่าจะถูกใจเด็กเมืองที่อาจจะไม่เคยเห็นไม่รู้จักแมลงปีกสวยเหล่านี้แล้ว จากนั้นไปหาข้อมูลในอาคารนิทรรศการที่ได้เก็บรวบรวมแมลงสตัฟฟ์จำนวนนับไม่ถ้วน และคาวบอยแลนด์ หรือฟาร์มโคเนื้อแบบครบวงจร ซึ่งกระบวนการเลี้ยงมีความพิถีพิถันไม่ต่างจากเนื้อวากิวของญี่ปุ่น พร้อมทั้งร้านสเต๊ก Texas Steak KU.Beef Restuarant ที่ขึ้นชื่อเรื่องความนุ่มอร่อยไม่แพ้สเต๊กทางอีสาน

ผีเสื้อภายในอุทยานแมลงฯ

 

ศูนย์การเรียนรู้ทั้งหมดในกำแพงแสนมีถึง 20 แห่ง ทั้งด้านชลประทาน ปศุสัตว์ ไม้ผล ข้าว สมุนไพร รวมถึงโรงเรียนสอนเป็นเกษตรกรและชาวนาโดยเน้นการปฏิบัติจริงในพื้นที่เพาะปลูกจริง นอกจากนี้ในพื้นที่สถานีวิจัยประมงกำแพงแสนยังเป็นแหล่งดูนกน้ำ เช่น นกเป็ดน้ำ นกกระยาง และนกอพยพต่างๆ ที่ผลัดเปลี่ยนมาสร้างสีสันให้แหล่งน้ำทุกฤดู

มก.มีในกรุงเทพฯ และ 3 วิทยาเขต โดยแต่ละพื้นที่มีจุดเด่นต่างกัน บางเขน เน้นพิพิธภัณฑ์และศูนย์การเรียนรู้ กำแพงแสน เน้นฟาร์มปศุสัตว์และแหล่งท่องเที่ยวเชิงเกษตรแบบครบวงจร สกลนคร เน้นเรื่องอุทยานบัวที่ใหญ่ที่สุดในโลกและป่าเต็งรังพื้นที่กว่าพันไร่กลางมหาวิทยาลัย และศรีราชา เน้นด้านทรัพยากรทางทะเล ทั้งหมดนี้ยังไม่รวมสถานีวิจัยอีก 20 แห่งทั่วประเทศไทย ซึ่งจะนำเสนอความน่าสนใจของศูนย์วิจัยอีกครั้งในหนต่อไป

เข้าใจว่าแค่ได้ยินคำว่าศูนย์การเรียนรู้ศูนย์วิจัย หรือพิพิธภัณฑ์อะไรก็แล้วแต่ คงรู้สึกน่าเบื่อและไม่มีแรงบันดาลใจ แต่อยากให้เปิดใจมองข้ามชื่อทางการเหล่านี้ไป เพราะไม่อยากให้เสียโอกาสได้รับความรู้ดีๆที่ซ่อนอยู่ในรั้วมหาวิทยาลัย อย่างใครจะไปเชื่อว่าบางเขนมีฟาร์มไก่ มีร้านสเต๊กคุณภาพดีราคาประหยัด และมีพิพิธภัณฑ์มดแห่งเดียวในโลก หรือที่กำแพงแสน มีฟาร์มโคเนื้อ มีแปลงข้าว มีประมง และความรู้ด้านเกษตรกรรมทุกด้านแจกฟรี

เด็กๆ สำรวจธรรมชาติ

 

ชั้นเก็บรวบรวมแมลงสตัฟฟ์หลายชนิด

 

พิพิธภัณฑ์ธรรมชาติวิทยาประมง

 

อมตลันตา รีสอร์ท งามไม่เป็นสองรองใคร

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์โพสต์ทูเดย์

11 มิถุนายน 2559 เวลา 10:47 น…. อ่านต่อได้ที่ : http://www.posttoday.com/travel/thailand/436888

อมตลันตา รีสอร์ท งามไม่เป็นสองรองใคร

โดย…ดาราพรรณราย

นอกจากงบประมาณกว่า 300 ล้านบาท ที่เนรมิตพื้นที่ว่างเปล่าติดกับสนามบินสุวรรณภูมิให้กลายเป็นดั่งพิมาน รีสอร์ทแห่งนี้ยังใช้ความคิดสร้างสรรค์ที่เพาะบ่มมาตั้งแต่สมัยเป็นนักศึกษาจนเติบโตเป็นนักธุรกิจของ สุขุม มีพันแสน ประดิษฐ์ออกแบบประดับประดาข้าวของเครื่องใช้สิ่งละอันพันละน้อยจากต่างที่มารังสรรค์กลายเป็นรีสอร์ทระดับ 5 ดาว ใกล้กรุง และเป็นแลนด์มาร์คแห่งใหม่ของ จ.สมุทรปราการ

“อมตลันตา รีสอร์ท” เป็นมากกว่าที่พักผ่อนหลับนอน ทว่าสถานที่แห่งนี้เป็นดังพื้นที่แสดงงานศิลปะขนาดใหญ่ ด้วยข้าวของเครื่องใช้หลายชิ้นเป็นของโบราณล้ำค่า เป็นผลงานศิลปะของศิลปินชั้นครู รวมถึงสถาปัตยกรรมที่สร้างขึ้นมาใหม่ แต่ให้ความรู้สึกหลุดไปอีกกาลเวลาหนึ่ง

 

รีสอร์ทมี 27 ห้องพัก แบ่งเป็น 2 ฝั่ง คือ แลนด์มาร์ควิวสนามบิน มีห้องแบบ Superior Villa กับ Deluxe Jacuzzi Villa ขนาดพื้นที่การตกแต่งเหมือนกัน ต่างกันตรงที่มีอ่างจากุซซี่ และฝั่งเลควิว มีห้องแบบ Grand Pool Villa กับ Family Suite Pool Villa (2 ห้องนอน) มีสระน้ำขนาดเล็กให้นอนแช่ตัวนอกห้องพัก รับลมชมวิวทะเลสาบมีหงส์ลอยเล่นน้ำ ภายในห้องพักแบ่งเป็นโซนห้องนอน ห้องทำงาน ห้องนั่งเล่น ห้องน้ำแยกส่วนเรนชาวเวอร์และอ่างแช่ตัว เครื่องอำนวยความสะดวกต่างๆ ครบครันมาตรฐานโรงแรมระดับ 5 ดาว ภายในที่พัก 1 หลังจัดสรรความเป็นส่วนตัวเหมาะแก่การพักผ่อนจริงๆ

ความแตกต่างที่ทำให้อมตลันตา รีสอร์ท โดดเด่นคือ เฟอร์นิเจอร์ของตกแต่งทั้งหลายในที่พักล้วนเป็นของรียูสจากโรงแรมระดับห้าดาวในกรุงเทพฯ กว่า 10 แห่ง ที่ทางเจ้าของได้ไปประมูลสะสมไว้ ของทุกชิ้นยังอยู่ในสภาพดี และบางอย่างมีเพียงชิ้นเดียวในโลก ภายในห้องพักที่ดูโอ่อ่าหรูหรานั้น เมื่อถูกตกแต่งด้วยของรียูสก็สร้างบรรยากาศความคลาสสิกให้ห้องสีอิฐแดงนั้นดูอบอุ่นขึ้น

 

อีกความพิเศษแม้จะอยู่ติดกับสนามบินที่มีเครื่องบินขึ้นลงทุก 5 นาที ทว่าภายในห้องนอนแทบจะไม่ได้ยินเสียงรบกวนนั้นเลย เพราะห้องถูกออกแบบโดยการเลียนแบบสถาปัตยกรรมเตาเผาถ่านของเวียดนาม ใช้อิฐอย่างดีก่อสร้างไล่ระดับไปเป็นโดมสูง นอกจากทำให้ห้องปราศจากต้นเสาแล้ว ยังช่วยกำจัดเสียงรบกวนเครื่องบิน ดูหนังฟังเพลงหรือเพลินเพลิดอยู่ก็แทบไม่ได้ยินเสียง หากแต่เสียงฝนตกที่เป็นแนวดิ่งนั้นกลับได้ยินชัดกว่า คืนไหนเข้าพักแล้วฝนตกจะได้ความรู้สึกนอนอยู่ใต้สายฝนเลยทีเดียว

ส่วนการบริการมีรถรับส่งสนามบินฟรีทั้งไปและกลับ มีอินเทอร์เน็ตไร้สายบริการทุกส่วนของรีสอร์ท มีบริการอาหารเช้าที่ห้องอาหารสุพรรณหงส์ และมีพูลบาร์ให้นั่งชิลและว่ายน้ำชมเรือบิน แทบจะทุกส่วนของรีสอร์ทที่มุมถ่ายรูปสวยๆ ที่ผู้เข้าพักจะสัมผัสความรู้สึกประหนึ่งหลุดไปอยู่อีกเมืองหนึ่งเลยเทียว

 

มนตราบางปะอิน

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์โพสต์ทูเดย์

11 มิถุนายน 2559 เวลา 10:38 น…. อ่านต่อได้ที่ : http://www.posttoday.com/travel/thailand/436887

มนตราบางปะอิน

โดย…กาญจน์ อายุ

บางปะอินมีมนตร์ขลัง… แต่ไม่ยักจะเชื่อ

จนไม่กี่วันที่ผ่านมาได้ตกปากรับคำไปบางปะอินกับมิตรสหายตามโครงการวันธรรมดา Super น่าเที่ยว Only@ภาคกลาง ตั้งใจว่าจะทิ้งกรุงเทพฯ ทิ้งงาน แล้วไปใช้ชีวิตแบบสโลว์ไลฟ์สักสองวัน ซึ่งค้นพบว่าการเที่ยววันธรรมดานี่ดีงามนัก ทั้งเรื่องการเดินทางจากกรุงเทพฯ-บางปะอินเพียงชั่วโมงกว่าซึ่งพอๆ กับอโศกไปเอกมัยในเช้าวันจันทร์ หรือเรื่องนโยบายโรงแรมที่มักจะลดราคาและให้สิทธิอัพเกรดห้องพักในวันธรรมดาโดยไม่ต้องอ้อนวอน และเรื่องสำคัญคือ บรรยากาศปลอดผู้คน ไม่ต้องต่อคิว ไม่แย่งกันเซลฟี่ ซึ่งถือเป็นอภิสิทธิ์ของคนเที่ยววันธรรมดา

บางปะอินมีหลายเส้นทางทั้งพระราชวัง วัดไทยดีไซน์โกธิก และโฮมสเตย์เกาะเกิด หลากรสทั้งประวัติศาสตร์ สถาปัตยกรรม ศาสนา และวิถีชีวิต บนพื้นที่ 229.1 ตร.กม. แผ่นดินของสมเด็จพระเจ้าปราสาททองแห่งกรุงศรีอยุธยา และยังมีความสำคัญเรื่อยมาจนถึงรัตนโกสินทร์

แม่ลำพูน พรรณไวย ผู้นำชุมชนเกาะเกิด

 

ชมวัง ยลวัด

อย่างแรกที่รู้สึกคือ โชคดีเหลือเกินที่เกิดยุคนี้ ยุคที่พระราชวังเปิดให้คนทั่วไปชมความงามและศึกษาสถาปัตยกรรมเคียงคู่ประวัติศาสตร์อย่างใกล้ชิด

พระราชวังบางปะอินสร้างโดยพระเจ้าปราสาททองสมัยกรุงศรีอยุธยา ผ่านยุคที่ทรุดโทรมหลังเสียกรุงปี 2310 จนเข้าสู่ยุคฟื้นฟูต้นรัตนโกสินทร์ รัชกาลที่ 4 โปรดเกล้าฯ ให้สร้างพระที่นั่ง เรือนแถวฝ่ายใน และพลับพลาริมน้ำขึ้นใหม่ จากนั้นสมัยรัชกาลที่ 5 พระองค์โปรดเกล้าฯ ให้สร้างพระที่นั่งและสิ่งก่อสร้างมากมาย กระทั่งปัจจุบันก็ยังคงใช้เป็นที่ประทับและที่ต้อนรับพระราชอาคันตุกะเป็นครั้งคราว

ประตูเทวราชครรไลก่อนเข้าเขตพระราชฐานชั้นใน

 

พระราชวังเปิดให้ประชาชนเข้าชมได้ทุกวัน (ยกเว้นวันจันทร์) โดยเลือกได้ว่าจะเดินชมหรือเช่ารถกอล์ฟ แผนที่ระบุไว้ทั้งหมด 39 จุด ถ้าตัดอาคารบริการนักท่องเที่ยวออกไปจะเหลือ 32 จุดในเขตพระราชฐานชั้นนอกและชั้นใน

จุดแรกควรไปสักการะพระเจ้าปราสาททองตามธรรมเนียมไปลามาไหว้ที่หอเหมมณเฑียรเทวราช เป็นปรางค์ศิลาแบบขอมสมัยรัชกาลที่ 5 เพื่ออุทิศถวายแด่พระเจ้าปราสาททอง ถัดออกไปคือ พระที่นั่งไอศวรรย์ทิพยอาสน์ ตั้งอยู่กลางสระน้ำ สร้างแบบปราสาทจตุรมุขโดยได้จำลองมาจากพระที่นั่งอาภรณ์ภิโมกข์ปราสาทในพระบรมมหาราชวังสมัยรัชกาลที่ 5 ปัจจุบันเป็นที่ประดิษฐานพระบรมรูปหล่อสัมฤทธิ์ของล้นเกล้ารัชกาลที่ 5 และเป็นแลนด์มาร์คของพระราชวังบางปะอิน

พิพิธภัณฑ์รถม้าพระที่นั่ง

 

ริมสระน้ำจะมีอาคารแบบตะวันตกสองแห่ง ฟากหนึ่งคือพระที่นั่งวโรภาษพิมาน เป็นพระที่นั่งชั้นเดียวสร้างในสมัยรัชกาลที่ 5 ใช้เป็นที่ประทับและเสด็จออกว่าราชการภายในห้องโถง ภายในไม่อนุญาตให้ถ่ายรูปและผู้หญิงทุกคนต้องใส่กระโปรงสุภาพหรือนุ่งผ้าถุงที่เตรียมไว้ให้ก่อนเข้าชม ส่วนอีกฟากเรียกว่า ประตูเทวราชครรไล เป็นประตูทางเข้าสู่พระราชฐานชั้นใน ปัจจุบันทำเป็นพิพิธภัณฑ์รถม้าพระที่นั่ง

จากนั้นเดินทอดน่องเข้าสู่เขตพระราชฐานชั้นในจะพบกับพระที่นั่งอุทยานภูมิเสถียร เรือนไม้สองชั้นแบบชาเลต์สวิตเซอร์แลนด์ที่รัชกาลที่ 5 โปรดปรานมากที่สุด ภายในตกแต่งแบบยุโรปด้วยเครื่องเรือนแบบฝรั่งเศสสมัยพระเจ้านโปเลียนที่ 3 แต่น่าเสียดายเคยเกิดอุบัติเหตุไฟไหม้จนหมดสิ้น กระทั่งปี 2537 สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถทรงโปรดเกล้าฯ ให้สร้างขึ้นใหม่ตามแบบฉบับเดิม นอกจากนี้ยังมีหอวิฑูรทัศนาและพระที่นั่งเวหาศจำรูญในรูปแบบของศิลปะจีนอยู่ล้อมสระน้ำ และหมู่พระตำหนักฝ่ายในสไตล์แบบตะวันตกตั้งเรียงรายอยู่ในสวน

พระที่นั่งเวหาศจำรูญ

 

นอกจากส่วนต่างๆ ในพระราชวัง แผนที่นับเบอร์ 29 ยังระบุ กระเช้าข้ามวัดนิเวศธรรมประวัติ อำนวยความสะดวกให้ประชาชนได้นั่งกระเช้าไปไหว้พระฝั่งตรงข้ามซึ่งขนานไปกับพระราชวังบางปะอินพอดิบพอดี

วัดนิเวศธรรมประวัติถูกกล่าวถึงด้านสถาปัตยกรรมแบบโกธิกเลียบแบบโบสถ์คริสต์ โดยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวโปรดเกล้าฯ ให้สร้างขึ้นเพื่อใช้เป็นสถานที่บำเพ็ญพระราชกุศล เมื่อเสด็จฯ แปรพระราชฐานมาประทับที่พระราชวังบางปะอิน

นั่งเรือไปไหว้พระที่วัดเชิงท่า

 

พระอุโบสถมีโดมหอคอยปลายแหลมคล้ายวิหารในสถาปัตยกรรมตะวันตก ภายในโดมบรรจุพระบรมสารีริกธาตุ ด้านหน้าประดับปูนปั้นตราแผ่นดิน และประดับกระจกสีสเตนกลาสเป็นพระบรมสาทิสลักษณ์ของรัชกาลที่ 5 ส่วนด้านในประดิษฐานพระพุทธนฤมลธรรโมภาสเป็นพระประธาน เมื่อดูจากภายนอกจะไม่ทราบเลยว่าเป็นวัดซึ่งมีที่เดียวในประเทศไทยมาตั้งแต่ยุคกลางรัตนโกสินทร์

นอนโฮมสเตย์

ชุมชน ต.เกาะเกิด อ.บางปะอิน กลายเป็นหมู่บ้านท่องเที่ยวโอท็อปวิลเลจเมื่อ 11 ปีที่แล้ว โดยการผลักดันของอดีตผู้ใหญ่บ้าน แม่ลำพูน พรรณไวย ที่ดำรงตำแหน่งผู้ใหญ่บ้านมานาน 20 ปีจนเกษียณอายุ วันนี้แม่ลำพูนยังเป็นตัวตั้งตัวตีเรื่องโฮมสเตย์ในชุมชนอยู่ มีจำนวน 10 หลัง พร้อมกิจกรรมแน่นเอี๊ยด “เข้าบ้านไหนก็มีเรื่องให้ทำ” แม่ลำพูนกล่าว “แต่ละบ้านจะมีอาชีพ ทำนา ทำเกษตร ประมงจับปลา ตกกุ้ง เลี้ยงกบ เป็ด ห่าน ทำขนมไทยทุกชนิด ขนมกง หม้อแกงปิ้งโบราณ สามเกลอ ข้าวเม่าทอด และขนมต้มนี่ของเด็ดประจำตำบลเลย”

กุ้งแม่น้ำเผา เมนูยอดฮิตของอยุธยา

 

ส่วนบ้านแม่ลำพูนทำยาเม็ดลูกกลอนสมุนไพร พูดโฆษณาใหญ่ว่าทำจากสมุนไพรแท้ร้อยเปอร์เซ็นต์ แถมยังให้ดูแม่เป็นตัวอย่าง แกว่า “แม่อายุ 66 แล้วยังแข็งแรงเหมือนสาว 26” เล่นทำคนฟังหัวเราะร่วนแต่ก็ต้องยอมเห็นด้วยทุกประการเพราะดูมุมไหนก็ไม่เหมือนยายแก่เลยจริงๆ

แม่ลำพูนอธิบายต่อว่า นักท่องเที่ยวมี 2 ประเภท หนึ่ง เป็นพวกมาบ่ายเย็นกลับ คือมาดูวิถีชีวิตชาวเกาะเกิดตามบ้านต่างๆ โดยมีรถรางให้บริการ อุดหนุนสินค้าโอท็อป อาจแวะกินข้าวบ้านแม่ลำพูน จากนั้นก็เดินทางกลับ และอีกกลุ่ม เป็นพวกมาเที่ยงเย็นหลับ คือตั้งใจมานอนโฮมสเตย์ กินที่บ้าน เที่ยวที่บ้าน หรือจะให้เจ้าของบ้านเป็นไกด์พาเที่ยวก็ได้

อุโบสถวัดแบบสถาปัตยกรรมตะวันตก

 

“บนเกาะเกิดมีสวนเกษตรสองพันกว่าไร่” แม่ลำพูนเล่า “ถ้าอยากไปเที่ยวพระราชวังบางปะอินก็นั่งเรือไปได้เลย ไม่ต้องไปต่อรถ แล้วเที่ยวเสร็จก็กลับมาไหว้พระที่วัดเชิงท่ากับวัดพยาญาติได้วันเดียว” ชาวเกาะเกิดมักไปสักการะพระพุทธรูปศักดิ์สิทธิ์สมัยอยุธยาที่วัดเชิงท่า และชมต้นตะเคียนรัดต้นโพธิ์ขนาดใหญ่เกือบ 7 คนโอบ จากนั้นเหมือนเป็นธรรมเนียมว่าต้องไปสักการะ
หลวงพ่อดำศักดิ์สิทธิ์อายุมากกว่า 300 ปีที่วัดพยาญาติ ที่อยู่ใกล้กัน

2 วัน 1 คืนริมแม่น้ำเจ้าพระยาไม่ได้ทำอะไรมาก ไม่มีโน้ตบุ๊ก ไม่เช็กอีเมล ได้แต่อัพรูปขึ้นเฟซบุ๊กถี่ๆ ให้คนที่ออฟฟิศอิจฉา และ 2 วัน 1 คืนยังทำให้เข้าใจว่า “บางปะอินมีมนตร์ขลัง” ได้อย่างไร มันน่าจะเกิดขึ้นตอนที่สายลมพัดเข้าหน้าผ่านพวงผมแล้ววนอยู่ข้างหู ตอนนั้นรู้สึกได้ว่าบางปะอินกำลังร่ายมนตร์อย่างมีศิลปะแบบไม่ยัดเยียด ไม่บังคับขืนใจ แต่ค่อยๆ ให้เข้าใจและดื่มด่ำด้วยตัวเอง และเหมือนกับว่ามนตร์กำลังออกฤทธิ์ เพราะใจมันอยากไปใช้ชีวิตที่บางปะอิน…ตอนนี้เลย!

อุโบสถวัดนิเวศธรรมประวัติแบบโกธิก

 

ระเบียงหน้าโฮมสเตย์ติดแม่น้ำเจ้าพระยา

 

เที่ยววิถีใหม่ ชุมชนยั่งยืน

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์โพสต์ทูเดย์

11 มิถุนายน 2559 เวลา 10:14 น…. อ่านต่อได้ที่ : http://www.posttoday.com/travel/thailand/436881

เที่ยววิถีใหม่ ชุมชนยั่งยืน

โดย…ปิยนุช ผิวเหลือง

รัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ได้เห็นชอบตามแผนยุทธศาสตร์ท่องเที่ยวชุมชน ปี 2559-2563 โดยมีเป้าหมายผลักดันการท่องเที่ยวเป็นเครื่องมือสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจในชุมชนให้เพิ่มขึ้น 4-8% เกิดการกระจายรายได้ในท้องถิ่นมากขึ้น สร้างสมดุลการพัฒนาทั้งภาคเศรษฐกิจ สังคม วัฒนธรรม และสิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืน

องค์การบริหารการพัฒนาพื้นที่พิเศษเพื่อการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน (องค์การมหาชน) หรือ อพท. ซึ่งมีส่วนในการพัฒนาในแนวทางการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน ได้จัดแบ่งแหล่งท่องเที่ยวชุมชนออกเป็นคลัสเตอร์ อาทิ คลัสเตอร์มรดกโลกทางวัฒนธรรม (สุโขทัย พิษณุโลก ตาก กำแพงเพชร) เขตพัฒนาการท่องเที่ยววิถีชีวิตลุ่มน้ำโขง (หนองคาย เลย บึงกาฬ มุกดาหาร นครพนม) เขตพัฒนาการท่องเที่ยววิถีชีวิตลุ่มแม่น้ำเจ้าพระยาตอนกลาง (พระนครศรีอยุธยา นนทบุรี ปทุมธานี อ่างทอง สิงห์บุรี) ในระยะ 3-5 ปี จะมุ่งขยายผลสร้างเครือข่ายความเข้มแข็งให้ชุมชนผ่านเครือข่ายท่องเที่ยวโดยชุมชนในพื้นที่พิเศษ โดยวางเป้าหมายร่วมกับภาคีทั้ง 30 องค์กร มุ่งลดรายจ่ายเพิ่มรายได้ให้กับ 1,500 ตำบล ในปี 2559 และเพิ่มเป็น 2,500 ตำบล ในปี 2560

 

ขณะที่สำนักงานพื้นที่พิเศษเมืองพัทยาและพื้นที่เชื่อมโยง หรือ อพท.3 ซึ่งมีพื้นที่เป้าหมายหลักในการดูแลจำนวน 9 แห่ง ประกอบด้วย เมืองพัทยา (ครอบคลุมพื้นที่เกาะล้าน และเกาะไผ่) เทศบาลหนองปรือ เทศบาลตำบลบางละมุง  เทศบาลตำบลตะเคียนเตี้ย เทศบาลตำบลโป่ง เทศบาลตำบลห้วยใหญ่ เทศบาลตำบลนาจอมเทียน อบต.หนองปลาไหล และ อบต.เขาไม้แก้ว ได้จัดกิจกรรมสื่อมวลชนสัญจร ในวันที่ 27-28 พ.ค.ที่ผ่านมา ณ กลุ่มประมงเทศบาลตำบลบางละมุง และบ้านร้อยเสา ลานวัฒนธรรมบ้านตะเคียนเตี้ย อ.บางละมุง จ.ชลบุรี ที่จัดรูปแบบการท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์ควบคู่กับการพัฒนาชุมชนอย่างยั่งยืน เริ่มจากการเยี่ยมชมหมู่บ้านชาวประมง ต.บางละมุง ที่จัดตั้งขึ้นในปี 2550

ปลดแอกระบบนายทุน

จุดเริ่มต้นของการก่อตั้งกลุ่มประมงบ้านชายทะเลบางละมุงนั้น “ธวัชชัย ประคองขวัญ” ประธานกลุ่ม ได้เล่าถึงความเป็นมาว่า เนื่องจากพื้นเพเดิมของคนในหมู่บ้านชายทะเลบางละมุง ที่ตั้งอยู่ใน ต.บางละมุง อ.บางละมุง จ.ชลบุรี เป็นชุมชนขนาดเล็กริมชายฝั่งทะเลที่ทอดยาวจากโครงการเซาเทิร์นซีบอร์ด มีระยะทางการออกเรือทำประมงประมาณ 8 กิโลเมตร ในอดีตการทำประมงจะเป็นการทำประมงพื้นบ้านที่เป็นเรือขนาดเล็กเพื่อหาเลี้ยงชีพ โดยไม่ได้คำนึงว่าทรัพยากรธรรมชาติในท้องทะเลนั้นจะมีเหลือมากน้อยแค่ไหน กระทั่งชุมชนได้พบว่าทรัพยากรที่ทางชุมชนใช้ดำรงชีพมาเป็นระยะเวลานาน เริ่มมีปริมาณลดลงอย่างเห็นได้ชัด

 

ประกอบกับการถูกรุกรานจากเรือนายทุนที่เข้ามากอบโกยผลประโยชน์ ทำให้ชาวบ้านไม่สามารถทำประมงได้เพียงพอกับการดำรงชีพ ทำให้เกิดแนวคิดที่ว่า ทำอย่างไรที่จะให้ทรัพยากรเหล่านี้คงอยู่ เพื่อให้คนในชุมชนสามารถทำประมงเลี้ยงชีพต่อไปได้ อีกทั้งที่ผ่านมาชุมชนประสบกับปัญหาการขาดเงินทุนหมุนเวียน ต้องไปกู้เงินจากนายทุนเพื่อซื้ออวนสำหรับใช้ในการทำประมง แต่เมื่อได้เงินมา เงินเหล่านั้นก็ไม่ได้ถูกใช้เพื่อต่อยอดสำหรับการทำประมงของชุมชน แต่ต้องนำเงินไปใช้หนี้นายทุน ทำให้ชุมชนประสบปัญหากับสภาพคล่องทางด้านการเงินอย่างต่อเนื่อง เป็นหนี้สินวนเวียนในลักษณะนี้ตลอดมาหลายปี

ด้วยแนวคิดที่ต้องการปลดแอกตัวเองออกจากระบบนายทุน และต้องการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติให้คงอยู่ควบคู่กับชุมชนระยะยาว รวมถึงต้องการพัฒนาให้กลุ่มประมง เป็นชุมชนกลุ่มประมงพื้นบ้านที่เข้มแข็งและพึ่งพาตนเองได้ในระยะยาว ดังนั้นในปี 2543 ทางชุมชนจึงได้จัดตั้งสหกรณ์ขึ้น ด้วยการระดมทุนจากชาวบ้านที่มีเรือประมง เพื่อให้มีเงินทุนสำหรับการกู้หมุนเวียนลงทุนของชาวประมงพื้นบ้าน โดยจัดเก็บเงินเข้าสหกรณ์จำนวน 100 บาท/ลำ/เดือน และต่อมาได้เพิ่มเป็น 200 บาท/ลำ/เดือน ปัจจุบันมีเรือประมงพื้นที่เข้าร่วมสหกรณ์ดังกล่าวราว 30 ลำ ทำให้ทางชุมชนเริ่มมีสภาพคล่องมากขึ้น และในระยะหลังมานี้ ได้มีหน่วยงานของภาครัฐบาลให้ความช่วยเหลือมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นในเรื่องการดูแลเรือนายทุนไม่ให้เข้ามาหาผลประโยชน์ในพื้นที่ การให้เงินทุนสำหรับหมุนเวียนในการลงทุนทำประมง เป็นต้น

 

จากนั้นในปี 2552 ทางกลุ่มประมงได้ร่วมมือกับทาง อพท.3 เพื่อต่อยอดอาชีพการทำประมงพื้นบ้านเข้าสู่การท่องเที่ยวเชิงเรียนรู้และอนุรักษ์ธรรมชาติ ภายใต้แนวคิดที่ต้องการผลักดันให้บ้านชายทะเลบางละมุงเป็นต้นแบบที่มีศัยกภาพและการเติบโตอย่างมั่นคง และเพื่อส่งเสริมให้ชุมชนมีรายได้จากการท่องเที่ยว โดยเฉพาะในช่วงที่ทางชุมชนมีรายได้จากการทำประมงลดลงในช่วงฤดูหนาว ตั้งแต่เดือนพ.ย.-ม.ค.ของทุกปี ในส่วนของการอนุรักษ์ทรัพยากรนั้น ทางกลุ่มจึงได้มีการจัดตั้งธนาคารปูม้า เพื่ออนุบาลปูไข่นอกกระดอง เพื่อนำตัวอ่อนกลับปล่อยคืนสู่ธรรมชาติ รวมถึงการจัดตั้งธนาคารแม่พันธุ์ กุ้งแชบ๊วย การเลี้ยงหอยหวาน และการทำปะการังเทียม เพื่อรักษาสมดุลระบบนิเวศในท้องทะเล

ขณะที่การต่อยอดด้านการท่องเที่ยวเชิงการเรียนรู้นั้น จะจัดเป็นในรูปแบบการท่องเที่ยวแบบจองล่วงหน้า (Booking) ซึ่งนักท่องเที่ยวสามารถโทรศัพท์มาสอบถามข้อมูลกิจกรรมการท่องเที่ยวได้ที่กลุ่มประมง ซึ่งลักษณะการท่องเที่ยวมีแบบแพ็กเกจครึ่งวัน ท่องเที่ยวเรียนรู้สัมผัสวิถีชีวิตชาวประมงพื้นบ้าน ไปเที่ยวเกาะนก ดำน้ำดูปะการังน้ำตื้น หรือจะพายเรือคายัก แล้วกลับมากินอาหารทะเลสดๆ ส่วนแพ็กเกจกลางคืน มีกิจกรรมออกเรือไปตกหมึก ตกปลา นอกจากนี้ยังสามารถพักแรมแคมปิ้งบริเวณชายหาดหรือบนเกาะนก โดยราคาเริ่มต้นที่ 300 บาท/คน

 

“การจัดกิจกรรมต่างๆ โดยให้นักท่องเที่ยวจองล่วงหน้า เนื่องจากทางชุมชนต้องมีการเตรียมวางแผนรองรับล่วงหน้า เพราะไม่สามารถรับจำนวนนักท่องเที่ยวได้จำนวนมาก โดยหากเป็นการเยี่ยมชมในลักษณะของการเรียนรู้ อาทิ เยี่ยมชมธนาคารปูม้า ที่จัดมาเป็นคณะ อาจจะเป็นกลุ่มนักศึกษา ข้าราชการ ก็จะรองรับได้เพียง 30-50 คนเท่านั้น ส่วนนักท่องเที่ยวที่ต้องการเข้าร่วมกิจกรรมกับทางชุมชนจะมีให้เลือกหลากหลาย ตั้งแต่พานำเที่ยวเกาะนก การตกหมึก ซึ่งจะคิดค่าใช้จ่ายประมาณ 2,500 บาท/ลำ บรรจุคนได้ราว 7-8 คน และหมึกที่ตกได้นั้น หากนักท่องเที่ยวต้องการก็สามารถซื้อกลับไปได้  ส่วนบริการตกปลาจะคิดค่าบริการเรือ 6,500 บาท/ลำ ปลาที่ตกได้นักท่องเที่ยวสามารถนำกลับไปได้ หรือจะให้ทางกลุ่มทำอาหารให้ก็ได้ แล้วแต่ความต้องการ”

นอกจากนี้ ทางชุมชนยังเปิดให้บริการด้านอาหารทะเล ซึ่งต้องเป็นบริการจองล่วงหน้า เนื่องจากวัตถุดิบในแต่ละช่วงจะแตกต่างกันไปตามฤดูกาล โดยจุดเด่นของอาหารทะเลที่ชุมชนได้จำหน่ายนั้น จะเน้นอาหารทะเลที่อร่อย สด ใหม่ และปราศจากสารเคมี การันตีว่าไม่มีสารดองหรือใส่สารฟอร์มาลีนอย่างแน่นอน อีกทั้งราคาอาหารไม่แพง

 

ธวัชชัย เล่าต่อว่า หลังจากที่ทางชุมชนได้ร่วมมือกับ อพท.3 ทำให้ความเป็นอยู่ในปัจจุบันดีขึ้น มีสภาพเงินทุนหมุนเวียนมากขึ้น โดยรายได้หลักของชุมชนยังคงเป็นการทำประมงอยู่ 80% หรือมีรายได้ประมาณ 1,000-3,000 บาท/วัน ซึ่งรายได้ส่วนนี้ไม่แน่นอน ขึ้นอยู่กับว่าช่วงนั้นสามารถออกทำประมงได้หรือไม่ และอีก 20% เป็นรายได้ที่มาจากการท่องเที่ยว ซึ่งหากถามว่าจะให้เพิ่มสัดส่วนรายได้จากการท่องเที่ยวเพิ่มขึ้นหรือไม่นั้น ถ้าจะทำก็สามารถทำได้ แต่ทางชุมชนไม่ต้องการที่จะให้เป็นในลักษณะนั้น เพราะต้องการที่จะอนุรักษ์ประมงพื้นบ้านให้อยู่คู่กับชุมชน และต้องการให้เป็นการท่องเที่ยวเชิงเรียนรู้ที่รักษาวิถีชีวิตชุมชนให้อยู่ตลอดไป

ชุมชนบ้านร้อยเสา

หลังจากเยี่ยมชมกลุ่มประมงบางละมุง จากนั้นได้ไปชมบ้านร้อยเสา และลานวัฒนธรรมบ้านตะเคียนเตี้ย ซึ่งบ้านร้อยเสาเป็นบ้านแฝดทรงไทยยกใต้ถุนสูง สร้างขึ้นกว่า 80 ปี ปัจจุบันเป็นพิพิธภัณฑ์ที่มีชีวิตของคุณยายทรัพย์ และคุณยายสิน ฝาแฝดสองพี่น้อง ซึ่งลูกหลานทั้งสองครอบครัวยังคงอาศัยอยู่ในบ้านหลังนี้ จุดเด่นคือเป็นบ้านทรงไทยที่หาชมได้ยากในพื้นที่ จ.ชลบุรี ซึ่งตัวบ้านมีเสายกใต้ถุนถึง 102 ต้น แสดงถึงความกว้างและใหญ่ของตัวบ้านที่อาศัยร่วมกันกว่า 20 ชีวิต โดยชั้นบนของตัวบ้านปรับปรุงและตกแต่งให้เป็นพื้นที่จัดแสดงข้าวของเครื่องใช้โบราณ

 

หนึ่งในนั้นมีสมุดข่อยที่บันทึกตำรายารักษาโรค ตำราโหราศาสตร์ไทย ตำราปีนักษัตรไทย และพื้นที่โดยรอบของตัวบ้าน ครอบคลุมพื้นที่ถึง 6 ไร่ ถูกใช้สอยอย่างเป็นระบบ แบ่งเป็นส่วนของที่อยู่อาศัย ส่วนของสวนปลูกพืชผัก สมุนไพร ที่ไว้ประกอบอาหารในครัวเรือน และแบ่งจำหน่ายบางส่วน อีกทั้งปุ๋ยที่ใช้เป็นปุ๋ยหมักประยุกต์ใช้สิ่งที่มีอยู่รอบตัวให้เกิดประโยชน์ จากการคัดแยกขยะอย่างเป็นระบบ เพื่อแยกเศษผัก ผลไม้ และใบไม้ในการทำน้ำหมักชีวภาพ กล่าวได้ว่าเป็นศูนย์การเรียนรู้เพื่อชีวิตพอเพียงอย่างแท้จริง

นอกจากชมบ้านทรงไทยโบราณ บ้านร้อยเสาแล้วนั้น ยังมีกิจกรรมอื่นให้กับนักท่องเที่ยวที่เดินทางมาเยี่ยมชมในพื้นที่ตะเคียนเตี้ย ได้แก่ การสอนทำอาหารและขนมพื้นบ้าน อีกทั้งจัดแสดงลำตัด การแสดงพื้นบ้านของคนในท้องถิ่น โดยได้จัดตารางสำหรับนักท่องเที่ยวที่สนใจ เป็นโปรแกรมภายใน 1 วัน กับ 6 กิจกรรม คือ ในช่วงเช้ามีกิจกรรมร่วมกันตักบาตรพระสงฆ์ ณ ลานวัฒนธรรมตะเคียนเตี้ย ในช่วงสายพาเยี่ยมชมตัวบ้านร้อยเสาและข้าวของเครื่องใช้ในอดีต หลังจากนั้นในช่วงเวลาเที่ยง ร่วมศึกษาเรียนรู้สวนสมุนไพร เก็บพืชผักสวนครัวประกอบอาหารท้องถิ่น อาทิ แกงไก่กะลา แกงหมูใบชะมวง และต้มระกำไก่ พร้อมรับประทานอาหารเที่ยง รับรองความอร่อยในทุกเมนู

 

เมื่อรับประทานของคาวแล้วนั้น ของหวานจะขาดได้อย่างไร กิจกรรมในช่วงบ่ายจึงเป็นการสอนทำวุ้นกะทิ และพับดอกไม้ใบเตย เรียกได้ว่าทั้งอิ่มอร่อย และมีสูตรขนมนำไปต่อยอดเป็นธุรกิจของตัวเองได้เช่นกัน และกิจกรรมในช่วงเย็น พบกับการเรียนรู้ “กัวซา” วิถีการรักษาโรคแบบชาวบ้าน ซึ่งเป็นหนึ่งในภูมิปัญญาแพทย์พื้นบ้านที่ตกทอดตั้งแต่สมัยจีนโบราณในลักษณะขูดผิวหนังเพื่อขับพิษ ที่ใช้บำบัดอาการปวดเมื่อยกล้ามเนื้อ และโรคจากความเครียดต่างๆ และกิจกรรมปิดท้ายด้วยการรับชมลำตัด การแสดงพื้นบ้านโดยคณะลำตัดแม่ละมุล  ที่มีจุดเด่นคือการนำเยาวชนในท้องถิ่นมาฝึกแสดงให้แก่นักท่องเที่ยว เพื่อสืบทอดการแสดงพื้นบ้านให้ยั่งยืน

เชื่อมโยงแหล่งท่องเที่ยวยั่งยืน

ธิติ จันทร์แต่งผล รักษาการผู้จัดการพื้นที่พิเศษเมืองพัทยาและพื้นที่เชื่อมโยง (อพท.3) กล่าวว่า วัตถุประสงค์ที่ทาง อพท.3 ได้เข้ามาส่งเสริมและสนับสนุนกลุ่มประมงเทศบาลตำบลบางละมุงนั้น เป็นส่วนหนึ่งของแผนในการยกระดับการบริหารจัดการและพัฒนาพื้นที่พิเศษเมืองพัทยาและพื้นที่เชื่อมโยง ส่งเสริมสนับสนุนให้เกิดการพัฒนาด้านการท่องเที่ยวแบบยั่งยืน เพื่อก่อให้เกิดรายได้กับชุมชน โดยไม่ทำลายวิถีชีวิตหรือวัฒนธรรมของชุมชนที่ดีงาม และเป็นแหล่งเรียนรู้เชิงวัฒนธรรมท้องถิ่นที่ควบคู่ไปกับการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมพร้อมๆ กัน และมีการเชื่อมโยงเครือข่ายในพื้นที่ชุมชนนั้นๆ เพื่อให้เป็นการท่องเที่ยวแบบครบวงจร

 

ที่ผ่านมา อพท.3 ได้รุกทำกิจกรรมลงพื้นที่อย่างต่อเนื่อง เพื่อให้เกิดผลในเชิงรูปธรรมสูงสุด ไม่ว่าจะเป็นการลงพื้นที่ อธิบายความเป็นมาของโครงการและเชิญชวนให้ชุมชนเทศบาลตำบลบางละมุงเข้าร่วมกิจกรรมที่ก่อให้เกิดรายได้ ในพื้นที่พิเศษเมืองพัทยาและพื้นที่เชื่อมโยง ซึ่งถือได้ว่าประสบความสำเร็จในระดับหนึ่ง ทุกวันนี้ชุมชนสามารถพึ่งตนเองได้ อีกทั้งมีกำลังรักษาทรัพยากรในท้องถิ่นไม่ให้หมดไป ที่เล็งเห็นถึงกิจกรรมที่ก่อให้เกิดรายได้ทั้ง 3 กลุ่ม ทั้งในกลุ่มประมงบางละมุง โดยกิจกรรมการเรียนรู้เลี้ยงหอยแมลงภู่ การวางอวนปู การถักจั่นดักปู และกิจกรรมตกหมึกในช่วงกลางคืน กลุ่มแม่บ้านเทศบาลตำบลบางละมุง ที่นอกเหนือจากการบริการด้านอาหารให้กับนักท่องเที่ยว ยังสามารถพัฒนาเป็นผลิตภัณฑ์อาหารแปรรูปเพื่อการจัดจำหน่ายให้กับนักท่องเที่ยว และการจำหน่ายอาหารแปรรูปของชุมชน รวมถึงกลุ่มอาชีพสตรี เทศบาลตำบลตะเคียนเตี้ย ที่นอกเหนือจากกิจกรรมการท่องเที่ยวเชิงวิถีชีวิตและวัฒนธรรมชุมชน ยังให้บริการที่พักแบบโฮมสเตย์แก่นักท่องเที่ยวที่ต้องการเปลี่ยนแนวและพักในราคาประหยัด

นอกจากนี้ กิจกรรมล่าสุดที่ อพท.ได้จัดทำขึ้น คือ แอพพลิเคชั่น SMART PATTAYA ที่สนับสนุนการท่องเที่ยวในพัทยาและพื้นที่ใกล้เคียง เพื่อให้นักท่องเที่ยวค้นหาแหล่งท่องเที่ยว ที่พัก ร้านอาหาร และบริการต่างๆ ในพื้นที่เป้าหมายทั้ง 9 แห่ง เพื่อรองรับการกระจายตัวของนักท่องเที่ยวที่เดินทางมาท่องเที่ยวในเมืองพัทยา ซึ่งในขณะนี้มีจำนวนประมาณ 9-10 ล้านคน/ปี ซึ่งแอพพลิเคชั่นดังกล่าวจะแสดงรายละเอียดของสถานที่ พร้อมเสียงบรรยาย ที่มีทั้งภาษาไทย อังกฤษ จีน และรัสเซีย ที่จะดังขึ้นอัตโนมัติเมื่อเข้าสู่พื้นที่ท่องเที่ยวนั้นๆ ช่วยแก้ปัญหาการหลงทางของกลุ่มนักท่องเที่ยวแบ็กแพ็กเกอร์ที่เดินทางด้วยตัวเองมากขึ้น

 

โดยสามารถเลือกเส้นทางแนะนำหรือเส้นทางท่องเที่ยวที่ผู้ใช้สามารถกำหนดได้เอง ซึ่งมีรายละเอียดแผนที่และรายละเอียดของแหล่งท่องเที่ยวกำกับไว้ และสิ่งสำคัญ สามารถใช้งานได้แม้ไม่มีอินเทอร์เน็ตโดยการดาวน์โหลดแผนที่และข้อมูลไว้บนเครื่อง กล่าวได้ว่าในพื้นที่ท่องเที่ยวพิเศษทั้ง 9 แห่งจะเชื่อมโยงกันทุกจุดในแอพพลิเคชั่นเดียว ครอบคลุมทั้งการท่องเที่ยวแบบมวลชนในพื้นที่เมืองพัทยา และการท่องเที่ยวแนวใหม่เชิงอนุรักษ์ เรียนรู้วิถีชีวิตชาวบ้าน เพื่อการพัฒนาการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน ที่ให้ประสบการณ์ด้านการท่องเที่ยวอย่างครบรส

ถือเป็นหนึ่งในตัวอย่างคลัสเตอร์ท่องเที่ยวชุมชนอย่างยั่งยืน ที่สามารถพลิกฟื้นจากปัญหาในอดีต สู่แนวทางสร้างรายได้อย่างยั่งยืน และเชื่อมโยงกับแหล่งท่องเที่ยวหลักเพื่อความยั่งยืนยิ่งขึ้นไป