ปั่นอัมพวา

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์โพสต์ทูเดย์

09 มิถุนายน 2559 เวลา 10:53 น…. อ่านต่อได้ที่ : http://www.posttoday.com/travel/thailand/436438

ปั่นอัมพวา

โดย…วิทยา เคหสุขเจริญ

อัมพวา เดิมเป็นศูนย์กลางการค้าการคมนาคมที่สำคัญของ จ.สมุทรสงคราม มีตลาดน้ำและชุมชนขนาดใหญ่ แต่เมื่อการสัญจรทางบกมีการพัฒนามากขึ้นเรื่อยๆ การค้าการคมนาคมทางน้ำจึงค่อยๆ ลดความสำคัญลงแทบจะหมดไป จนเมื่อสิบกว่าปีมานี้เองที่ทางเทศบาลตำบลอัมพวาและชาวบ้านในชุมชนได้ร่วมกันฟื้นฟูตลาดน้ำอัมพวาขึ้นมาอีกครั้ง โดยเป็นตลาดน้ำอัมพวายามเย็น เปิดทุกวันศุกร์-เสาร์-อาทิตย์ ตั้งแต่เวลา 16.00 น. และก็ได้รับความนิยมกลับมาอย่างล้นหลามจนปัจจุบันกลายเป็นสถานที่ท่องเที่ยวยอดนิยมของคนกรุงเทพฯ รวมทั้งเป็นจุดตั้งต้น-จุดหมายปลายทางของเส้นทางปั่นจักรยานอัมพวา คือเริ่มปั่นออกจากที่นี่แต่เช้า จบทริปบ่ายๆ ก็เที่ยวตลาดน้ำต่อเลย …แต่เมื่อฮิตก็แห่… ทั้งนักท่องเที่ยว ทั้งพ่อค้าแม่ขาย แออัดยัดเยียดจนแทบจะหาเสน่ห์ดั้งเดิมของตลาดน้ำไม่เจอ การจราจรก็คับคั่งจนจักรยานแทบไม่มีที่จะแทรก…

แต่ห่างออกไปเพียง 5 กม. ใน อ.บางคนที ยังมีตลาดน้ำอีกแห่งที่ถือเป็นเงาสะท้อนอดีตของตลาดน้ำอัมพวาได้เป็นอย่างดี นั่นคือตลาดน้ำบางน้อย ที่จะเป็นไฮไลต์หนึ่งของทริปจักรยานของเราในครั้งนี้

ทริปนี้เราเลือกที่จะเริ่มต้นย่าน อ.วัดเพลง ซึ่งอยู่ใต้ลงมาเป็นขอบ จ.ราชบุรี แล้ว แล้วจึงปั่นวนขึ้นไปหาตัว อ.อัมพวา แทน เนื่องจากการจราจรแถบนี้จะเบาบางกว่ามากถึงมากที่สุดเรียกว่านานๆ จะมีรถผ่านสักคัน ถนนลาดยางอย่างดีบวกกับบรรยากาศที่ร่มรื่นของสวนมะพร้าวและสวนผลไม้นานาชนิดที่เรียงรายอยู่สองข้างทางทำให้การเดินทางเป็นไปด้วยความสนุก จนเมื่อแดดเริ่มตั้งตรงขึ้นเรื่อยๆ ก็ได้เวลาหาที่หลบร้อนกันแล้ว เราเลือกแวะพักที่ตลาดน้ำบางน้อย อ.บางคนที ที่ซึ่งพาเราย้อนอดีตกลับไปหลายสิบปี นับตั้งแต่ก้าวแรกที่เข้ามาเราจะพบแต่ของที่แทบจะเหลืออยู่แต่ในความทรงจำ เช่น ขนมสัมปันนี ขนมเทียนสลัดงา ที่หาทานได้ยากเต็มที บรรยากาศเรือนแถวริมน้ำที่เงียบสงบ บ้างเป็นร้านค้า บ้างขายอาหาร เป็นการค้าชุมชนแบบดั้งเดิมที่ทำให้ชีวิตเรารู้สึกช้าลง

เส้นทางจักรยานที่รวมเรียกว่า “อัมพวา” นั้นเป็นวงรอบที่มีระยะทางกว่า 50 กม. กินอาณาเขตกว้างขวางหลายอำเภอ และมีจุดแวะพัก สถานที่ท่องเที่ยวรายทางมากมาย เช่น ตลาดน้ำอัมพวา ตลาดน้ำบางน้อย ตลาดน้ำท่าคา ตลาดน้ำบางนกแขวก วัดบางกุ้ง วัดจุฬามณี โบสถ์คริสต์บางนกแขวก (อาสนวิหารพระแม่บังเกิด) และอื่นๆ อีกมากมายที่แล้วแต่เราจะเลือกแวะ แต่อันที่จริงแล้วเสน่ห์ของเส้นทางจักรยานกลับอยู่ที่เส้นทางที่เลาะเลียบเรียงไปตามเรือกสวนผลไม้นานาชนิด ถนนเหล่านี้เป็นทางรองที่แยกย่อยออกมาจากถนนหลัก มีโครงข่ายถนนที่เชื่อมต่อกันแบบไม่เป็นแบบแผนนัก ปัจจุบันเริ่มมีป้ายบอกทางมากขึ้น หากศึกษาเส้นทางล่วงหน้าสักนิด คิดว่าสามารถปั่นอยู่แต่ภายในถนนเส้นรองได้เกือบทั้งหมดแทบไม่ต้องออกถนนใหญ่เลย

ช่วงบ่าย หลังอาหารเที่ยงที่ร้านคุ้มแสงทอง เราเลือกปั่นไปแวะวัดบางกุ้ง หรือที่เรียกว่าค่ายบางกุ้ง เพราะเดิมเคยเป็นค่ายทหารมีบทบาทสำคัญในการกู้เอกราชสมัยพระเจ้าตากสิน และที่วัดบางกุ้งยังมีโบสถ์ปรกโพธิ์ โบสถ์เก่าแก่ที่มีตันโพธิ์ขึ้นปกคลุมโบสถ์ทั้งหลัง ถือเป็น Unseen Thailand แห่งหนึ่งที่ไม่ควรพลาด แต่ครั้งนี้เราโชคไม่ดีเจอพายุฤดูร้อนเข้าเต็มๆ เลยได้แต่หลบฝนอยู่ไม่ได้ไปเก็บภาพโบสถ์ปรกโพธิ์มาฝากกัน รออยู่นานกว่าฝนจะหยุดจึงปั่นกลับ

เส้นทางกึ่งธรรมชาติกึ่งท่องเที่ยว คือปั่นบนถนนดำแต่ได้วิวแบบปั่นในทางธรรมชาติแบบนี้ แม้จะหาได้ไม่ยากในต่างจังหวัด แต่จะหาที่ใกล้ๆ กทม. มีความปลอดภัย และมีสถานที่ท่องเที่ยวแวะได้รายทางครบเครื่องแบบนี้นับว่าหาไม่ได้ง่ายๆ

ที่สำคัญสามารถไปปั่นร่วมกันได้ทั้งขาอ่อน ขาแรง ทุกเพศทุกวัย เป็นกิจกรรมวัดหยุดร่วมกันของครอบครัว ที่ทำให้ชีวิตคนกรุงได้อยู่ห่างไกลห้างสรรพสินค้าบ้างนะครับ

 

ครั้งหนึ่ง…ที่เมืองน่านที่รัก

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์โพสต์ทูเดย์

05 มิถุนายน 2559 เวลา 10:57 น…. อ่านต่อได้ที่ : http://www.posttoday.com/travel/thailand/435747

ครั้งหนึ่ง...ที่เมืองน่านที่รัก

โดย…สืบสิน ภาพ : คลังภาพโพสต์ทูเดย์

น่าน ตำนานแห่งขุนเขา เมืองเก่าที่มีชีวิตและวัฒนธรรมที่โดดเด่นและนิสัยใจคอของคนท้องถิ่นนั้นแสนงดงาม เพียงเท่านี้ก็ทำให้เราอยากจะไปเยือนเมืองน่านกันสักครั้งแล้วล่ะครับ

หลายคนบอกว่าถ้าอยากใช้ชีวิตแบบสโลว์ไลฟ์ก็ให้แวะไปที่น่าน แม้ว่ารอบข้างจะเดินทางไปไกล แต่น่านยังคงเป็นจังหวัดที่สงบนิ่งตามวิถีดั้งเดิม มาถึงน่านทั้งทีขอแนะนำว่าให้เดินหรือไม่ก็ปั่นจักรยาน หรือไม่ก็โบกรถประจำทาง เท่านี้ก็สุขล้นกันแล้วล่ะครับ

คราวนั้นเราไปน่าน ด้วยความหวังว่าอยากจะเบรกชีวิตอันแสนวุ่นวาย บางคราหนักหน่วง บางครั้งไร้ทางออก ให้กลับมาอยู่กับตัวเอง และปล่อยชีวิตไปแบบไม่เร่งรีบและที่นี่ก็ทำให้เราสมปรารถนาครับ

 

เมื่อถึงน่านเราออกเดินเที่ยว เข้าเมืองกินอาหารเช้าแบบไม่เร่งรีบ แล้วเดินชมวัดภูมินทร์วัดเก่าแก่ที่ถือว่าเป็นวัดคู่ขวัญของเมืองน่านเรียกว่าใครมาน่านก็ต้องมาแวะที่วัดนี้

วัดภูมินทร์ ตั้งอยู่ที่บ้านภูมินทร์อ.เมืองน่าน จ.น่าน ใกล้กับพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติน่าน เดิมชื่อ “วัดพรหมมินทร์”เป็นวัดที่แปลกกว่าวัดอื่น ๆ คือ โบสถ์และวิหารสร้างเป็นอาคารหลังเดียวกัน ประตูไม้ทั้ง4 ทิศแกะสลักลวดลาย โดยช่างฝีมือล้านนาสวยงามมากทีเดียวครับ

นอกจากนี้ ฝาผนังยังแสดงให้เห็นถึงชีวิตและวัฒนธรรมของยุคสมัยที่ผ่านมาตามพงศาวดารของเมืองน่าน วัดภูมินทร์แห่งนี้สร้างขึ้นเมื่อประมาณ พ.ศ. 2139 โดยเจ้าเจตบุตรพรหมมินทร์ เจ้าผู้ครองเมืองน่านสร้างขึ้นหลังจากที่ครองนครน่านได้ 6 ปีมีปรากฏในคัมภีร์เมืองเหนือว่า เดิมชื่อ“วัดพรหมมินทร์” ซึ่งเป็นชื่อของเจ้าเจตบุตรพรหมมินทร์ ผู้สร้างวัด แต่ตอนหลังชื่อวัดได้เพี้ยนไปจากเดิมเป็นวัดภูมินทร์ ดังกล่าว

 

สิ่งที่น่าสนใจของวัดภูมินทร์ มีหลายอย่างอาทิ พระอุโบสถจตุรมุข ที่ไม่เหมือนใครและไม่มีใครเหมือน เป็นหนึ่งเดียวในประเทศไทยภายในมีพระประธานจตุรพักตร์นาคสะดุ้งขนาดใหญ่แห่แหนพระอุโบสถเทินไว้กลางลำตัวนาค พระอุโบสถจตุรมุขนี้กรมศิลปากรได้สันนิษฐานว่า เป็นพระอุโบสถจตุรมุขหลังแรกของประเทศไทย พระอุโบสถตรงใจกลางประดิษฐานพระพุทธรูปขนาดใหญ่ 4 องค์หันพระพักตร์ออกด้านประตูทั้ง 4 ทิศ หันเบื้องพระปฤษฏางค์ชนกันประทับนั่งบนฐานชุกชี เป็นพระพุทธรูปปางมารวิชัย ผู้ที่ไปชมความงามของพระอุโบสถนี้ไม่ว่าจะเดินขึ้นบันไดทิศไหนก็จะพบพระพักตร์ของพระพุทธรูปทุกด้าน งดงามมาก

จุดเด่นอีกประการของวัดแห่งนี้ที่สร้างชื่อเสียงไปทั่วโลกก็คือ ภาพจิตรกรรมฝาผนังเมื่อคราวที่วัดภูมินทร์ได้รับการบูรณะครั้งใหญ่สมัยเจ้าอนันตวรฤทธิเดช เมื่อ พ.ศ. 2410(ปลายสมัยรัชกาลที่ 4) ใช้เวลาซ่อมนานถึง 7 ปีซ่งึ จิตรกรรมฝาผนังในวิหารหลวงก็เขียนข้นึ ในช่วงนั้น

ภาพจิตรกรรมฝาผนังจะปรากฏอยู่บนผนังด้านในอุโบสถจตุรมุขทั้ง 4 ด้าน โดยภาพจิตรกรรมฝาผนังนี้จะแบ่งออกเป็น 3 ส่วนคือ ส่วนที่แสดงถึงเรื่องราวและวิถีชีวิตตำนานพื้นบ้าน ส่วนที่เกี่ยวข้องกับเรื่องพระเตมีราชชาดก และส่วนที่แสดงถึงความเป็นอยู่ของชาวน่านในอดีต เช่น การแต่งกายด้วยผ้าซิ่นลายน้ำไหล การทอผ้าด้วยกี่ทอมือและการทำการค้ากับชาวต่างชาติ เป็นต้น ซึ่งภาพจิตรกรรมฝาผนังที่โดดเด่นเป็นพิเศษในวัดภูมินทร์แห่งนี้ก็คือ ภาพ “เสียงกระซิบบันลือโลก” หรือภาพ “ปู่ม่าน ย่าม่าน” ซึ่งเป็นคำเรียกผู้ชายผู้หญิงชาวไทลื้อสมัยโบราณในลักษณะกระซิบสนทนากัน น่ารักน่าชังทีเดียวครับ

 

จากวัดภูมินทร์เราเดินข้ามฝั่งแม่น้ำน่านเพื่อมาสักการะพระธาตุแช่แห้ง พระธาตุประจำคนเกิดปีเถาะ ซึ่งเชื่อกันว่าอย่างน้อยครั้งหนึ่งในชีวิตควรหาโอกาสไปกราบนมัสการพระธาตุแช่แห้งสักครั้ง เพื่อเป็นการเสริมบุญบารมีให้เกิดความเป็นสิริมงคลในชีวิต

ตามพงศาวดารเมืองน่าน เล่าว่าพระมหาธาตุเจ้าแห่งนี้สร้างขึ้นเมื่อปี พ.ศ. 1896ในสมัยพญาการเมืองเจ้าผู้ครองเมืองวรนคาร(อ.ปัว ในปัจจุบัน) ได้เสด็จไปร่วมพระราชกุศลกับพระมหาธรรมราชาลิไท ในการสร้างวัดหลวงอภัยขึ้นที่เมืองสุโขทัย เมื่อทรงสร้างเสร็จ พระเจ้ากรุงสุโขทัยได้ถวายพระมหาชินธาตุเจ้า 7 พระองค์ลักษณะเท่าเมล็ดพันธุ์ผักกาด มีวรรณสุกใสดั่งแก้ว 2 พระองค์ มีวรรณดั่งมุก 3 พระองค์และมีลักษณะเท่าเมล็ดงาวรรณดั่งทองคำ2 พระองค์ พระพิมพ์เงิน พิมพ์คำ (ทองคำ)อีกอย่างละ 20 องค์ ให้แก่พญาการเมืองพญาท้าวมีความปีติเป็นอย่างมาก จึงได้อัญเชิญพระมหาชินธาตุเจ้า พระพิมพ์เงิน พิมพ์คำมายังดอยภูเพียงแช่แห้งประจุลงในเต้าปูนทองสำริด แล้วพอกด้วยสะตาย (ปูนขาวผสมยางไม้)กลเหมือนก้อนศิลา ขุดหลุมลึก 1 วาแล้วอาราธนาพระมหาชินธาตุเจ้าประดิษฐานในหลุมนั้น ก่อเจดีย์สูง 1 วา ทับไว้อีกชั้นหนึ่ง

ต่อมาหลังจากพญาการเมืองเสวยราชสมบัติที่เมืองวรนครได้อีก 6 ปี จึงได้ย้ายเมืองจากวรนครมาสร้างเมืองใหม่ขึ้นที่ดอยภูเพียงแช่แห้ง และได้ปกครองอยู่ตราบสิ้นรัชสมัยของพระองค์ พญาผากองโอรสของพญาการเมืองทรงขึ้นครองราชย์แทนและได้ย้ายเมืองจากดอยภูเพียงแช่แห้ง ข้ามฝั่งแม่น้ำมาตั้งเมืองใหม่ขึ้นจวบจนถึงปัจจุบันนี้

 

อีกตำนานหนึ่งกล่าวว่า เมื่อครั้งสมัยพุทธกาล สมเด็จพระพุทธเจ้าเสด็จดับขันธปรินิพพาน พระอรหันต์เจ้าทั้งหลายได้อัญเชิญพระบรมสารีริกธาตุข้อพระหัตถ์ซ้ายและเศษสรีรังคารธาตุมาประดิษฐานไว้บนดอยภูเพียงเพื่อให้มนุษย์และเทวดาได้สักการบูชาตราบเท่า5,000 พระวัสสา

สิ่งที่น่าสนใจเป็นพิเศษของที่นี่ก็คือพระธาตุแช่แห้ง องค์พระธาตุส่องประกายสีทองสุกปลั่ง สามารถมองเห็นได้แต่ไกล เนื่องจากสูงถึง 2 เส้น ทรงระฆัง สันนิษฐานว่าได้รับอิทธิพลมาจากเจดีย์พระธาตุหริภุญชัย ส่วนตรงหน้าบันวิหารช่างปั้นปูนเป็นหางของพญานาคเกี่ยวกระหวัดกันขึ้นไป 3 ชั้น อย่างงดงามลงตัวเป็นสัญลักษณ์แทนองค์ 3 ในพระพุทธศาสนาเช่น กฎไตรลักษณ์ คือ เกิด ตั้งอยู่และดับไปหรือศีล สมาธิ ปัญญา หรือพระพุทธ พระธรรมพระสงฆ์ ที่สุดขององค์ 3 ก็คือคำสอนที่ว่าละเว้นความชั่ว ทำความดีทุกเมื่อ ทำจิตใจให้ผ่องแผ้ว ซึ่งเป็นรูปแบบศิลปกรรมที่หาได้ยากในปัจจุบัน

ในวัดพระธาตุแช่แห้งนอกจากจะมีพระธาตุแช่แห้งที่มีสถาปัตยกรรมที่งดงามให้สักการะแล้วภายในวัดยังมีสิ่งที่น่าสนใจอื่นๆอีกหลายอย่าง ไม่ว่าจะเป็น บันไดนาค ปั้นเป็นพญานาค 2 ตัวคู่กัน ทอดตัวยาวขนาบข้างไปตามทางขึ้นสู่องค์พระธาตุ เหตุที่เป็นนาคก็เพราะว่าตามคติความเชื่อของคนล้านนา พญานาคจะปกปักรักษาพระพุทธศาสนาถึง 5,000พระวสั สา และเปน็ เสมอื นสะพานเชอื่ มโยงให้เวไนยสัตว์ทั้งหลายสามารถข้ามทะเลแห่งสังสารวัฏไปยังฟากฝั่งมหาเนรพานได้

พระวิหารหลวง ตั้งอยู่ทางด้านทิศใต้ขององค์พระธาตุ เป็นวิหารขนาดใหญ่ 6 ห้อง ภายในพระวหิ ารหลวงยงั มพี ระพทุ ธรปู ประดษิ ฐานอยู่หลายองค์ มีพระอุ่นเมืองปางสมาธิเป็นศิลปะสกุลช่างน่านที่งดงาม มีพระเจ้าล้านทอง ปางมารศรีวิชัยศิลปะล้านนา ประทับนั่งบนฐานชุกชีสร้างด้วยอิฐถือปูนลงรักปิดทอง สร้างเมื่อ พ.ศ. 2065 เป็นพระพุทธรูปคู่บ้านคู่เมืองมาช้านานที่สวยงามอีกองค์หนึ่งของ จ.น่าน และยังมีพระพุทธรูปประทับยืนประดิษฐานในวิหารหลวงจำนวน 2 องค์ ปัจจุบันองค์จริงมอบให้พิพิธภัณฑ์ จ.น่าน อีกองค์ถูกโจรกรรมและยังไม่ได้กลับคืน องค์ปัจจุบันจำลองจากองค์จริงทำพิธีหล่อเททองเมื่อปี พ.ศ. 2550

ส่วนด้านนอกกำแพงแก้วขององค์พระธาตุมีวิหารพระพุทธไสยาสน์ ด้านในมีพระพุทธไสยาสน์ (พระนอน) องค์ใหญ่เป็นพระประธานประดิษฐานบนฐานชุกชี สร้างด้วยอิฐถือปูนลงรักปิดทอง และยังมีพระพุทธรูปปางมารวิชัยประดิษฐานบนฐานชุกชี สร้างด้วยอิฐถือปูนสร้างในสมัยพระยาหน่อคำเสถียรไชยสงคราม (พ.ศ. 2129) ให้ได้กราบไหว้บูชาอีกด้วย

อิ่มอกอิ่มใจกันแล้ว เราเดินทางขึ้นเขาไปยังอุทยานแห่งชาติดอยภูคา เพื่อพักผ่อนและรับไอหมอกในยามเช้า ภูแห่งนี้อยู่ห่างจากจ.น่าน ประมาณ 85 กม. อุทยานแห่งชาติดอยภคู า เปน็ แหลง่ กำเนดิ ของหว้ ยน้ำลำธารอนั หลากหลายที่นำไปสู่ต้นกำเนิดแม่น้ำน่านที่มีความสำคัญทั้งทางธรรมชาตินิเวศวิทยา และประวัติศาสตร์โบราณที่เล่าถึงตำนานของคนเมืองน่านที่อาศัยอยู่นับแต่บรรพกาล

อุทยานแห่งชาติดอยภูคาแห่งนี้อยู่สูงจากระดบั น้ำทะเล 1,980 เมตร หรอื ประมาณ 5,300ฟุต มีพื้นที่ประมาณ 1,680 ตร.กม. หรือ1,050,000 ไร่ ครอบคลุมท้องที่ อ.ปัว เชียงกลางทุ่งช้าง แม่จริม ท่าวังผา สันติสุข และบ่อเกลือด้วยลักษณะพื้นที่เป็นภูเขาสูงชัน สลับซับซ้อนสวยงามมาก มีสภาพป่าดิบเขา ป่าดิบชื้นป่าดิบแล้ง ป่าสน ป่าเต็งรัง ป่าเบญจพรรณป่าปาล์มดงดิบ อันอุดมสมบูรณ์ แถมยังมีถ้ำน้ำตก และทิวทัศน์อันงดงาม จึงเป็นอีกหนึ่งจุดหมายที่นักท่องเที่ยวต่างมาเที่ยวยามเมื่อลมหนาวมาเยือน

ชีวิตเบิกบานสดใสขึ้นอีกเป็นกอง ตั้งใจกันไว้ว่าถ้าเมื่อใดที่ชีวิตอิดโรย ไร้เรี่ยวแรงเราจะมาชาร์จพลังที่นี่กันอีกครั้ง ลาก่อนน่านที่รัก

 

บ้านใน Based On True Story

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์โพสต์ทูเดย์

04 มิถุนายน 2559 เวลา 09:25 น…. อ่านต่อได้ที่ : http://www.posttoday.com/travel/thailand/435623

บ้านใน Based On True Story

โดย…นิทรา ราตรี ภาพ… เสกสรร โรจนเมธากุล

เรื่องจริงของบ้านหลังใหญ่ริมสถานีรถไฟสามเสนถูกนำมาบอกกล่าวอีกครั้งผ่าน บ้านใน บูติกโฮเทลแห่งใหม่ที่ยึดโครงสร้างและโครงเรื่องเดิมไว้ เพื่อสืบสานคุณค่าทางสถาปัตยกรรมและถ่ายทอดเรื่องราวของสตรี 3 พี่น้อง โดยฝีมือการออกแบบของ เต๋า-ดวงสวาท สุนทรศารทูล หลานสาวผู้สืบทอดมรดกชิ้นสำคัญประจำตระกูล เธอลงมือสร้างใหม่ทั้งหมดตามฉบับดั้งเดิม ทั้งสถาปัตยกรรมแบบโคโรเนียลสมัยรัชกาลที่ 6 ตำแหน่งห้องต่างๆ ในบ้าน ประตูหน้าต่าง รวมถึงเฟอร์นิเจอร์ที่สั่งทำพิเศษทุกชิ้นเพื่อเป็นตัวแทนของอดีตในปัจจุบัน

บ้านในมี 4 ห้องนอน แบ่งเป็นห้องของสามพี่น้อง ได้แก่ ห้องเบญจมาส ดอกไม้แทนบุคลิกพี่สาวคนโตที่สง่างามทว่าเข้มแข็ง ห้องนอนจึงดูเรียบง่ายและขรึมที่สุด ห้องมะลิซ้อนดอกไม้อันแสนอ่อนโยนเหมือนความประณีตของพี่คนกลาง ชอบเย็บปักถักร้อยและปลูกดอกไม้รอบบ้าน ภายในห้องจะเต็มไปด้วยมวลบุปผาและความอ่อนหวานของผู้หญิง และห้องกุหลาบขาว ห้องขนาดใหญ่ที่สุด 52 ตร.ม. สำหรับน้องคนสุดท้องที่น่าทะนุถนอม และงดงามที่สุดในบรรดาพี่น้องอีกสองคน

 

นอกจากนี้ ชั้นล่างยังมีอีกห้องสำหรับแขกคนสำคัญชื่อ ห้องโบตั๋น ตกแต่งสไตล์จีน พร้อมอ่างจากุชชี่กลางแจ้งอันเป็นการต้อนรับแขกอย่างดีที่สุด แต่ละห้องตกแต่งด้วยเฟอร์นิเจอร์แนววินเทจไม่ซ้ำกันเพื่อล้อไปกับเรื่องราวนั้นๆ รวมถึงของเก่าเก็บบางอย่างที่นำมาประดับเพื่อเป็นความทรงจำถึงเจ้าของบ้าน

ชั้นล่างทำเป็นร้านอาหารไทยโบราณที่หารับประทานได้ยากอย่าง ยำดอกไม้ ที่ใช้ดอกไม้ริมรั้วมาทอดกรอบ แตงโมปลาแห้งของว่างหน้าร้อนของคนไทย และข้าวมันส้มตำเสิร์ฟคู่แกงเขียวหวาน เมนูพิเศษที่มีเฉพาะบางวันเพราะต้องพิถีพิถันในการหุงข้าวมันด้วยเตาถ่านแบบโบราณ

 

การเดินทางมายังบ้านในอย่างเก๋ไก๋สามารถจับรถไฟจากหัวลำโพงมาได้ บอกนายสถานีว่าลงปลายทางสามเสน แล้วรถไฟจะค่อยๆ ฉึกฉักมาจอดหน้าบ้านใน เสน่ห์อีกอย่างที่ยิ่งทำให้นึกถึงกรุงเทพฯ ในวันวาน

Price: เบญจมาส 8,500 บ. มะลิซ้อน 7,500 บ. กุหลาบขาว 10,900 บ. โบตั๋น 9,900 บ.

Place: ตรงข้ามสถานีรถไฟสามเสน ซ. กำแพงเพชร 5 ถ. เศรษฐศิริ กรุงเทพฯ โทร. 02-619-7430

Promotion: ห้องพักราคาพิเศษ เบญจมาส 5,950 บ. มะลิซ้อน 5,250 บ. กุหลาบขาว 7,630 บ. โบตั๋น 6,390 บ. ตั้งแต่วันนี้ – 30 มิ.ย. 59

 

 

เที่ยวป่าหน้าฝน ตะลุยทุ่ง ‘หม้อข้าวฯ’ นับแสนบนยอดเขานอจู้จี้

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์โพสต์ทูเดย์

04 มิถุนายน 2559 เวลา 09:21 น…. อ่านต่อได้ที่ : http://www.posttoday.com/travel/thailand/435622

เที่ยวป่าหน้าฝน ตะลุยทุ่ง ‘หม้อข้าวฯ’ นับแสนบนยอดเขานอจู้จี้

โดย…กิตติกร กิตติวงศ์พาณิช  ภาพ… สุธิพัฒน์ ประภากรสกุล

เมื่อลำแสงยามอรุณรุ่ง สาดแสงแรกลงสู่ผืนป่าเขาประ-บางคราม ไม่ช้าละอองหมอกบนยอดเขาก็เริ่มจับตัวเป็นกลุ่มก้อน มวลความเย็นของทะเลหมอกก็เคลื่อนปกคลุม “ยอดเขานอจู้จี้” อย่างช้าๆ ทำให้เราสัมผัสและเข้าถึงบรรยากาศยามเช้าเคียงคู่ความงามของ “ทุ่งหม้อข้าวหม้อแกงลิง” นับแสนต้นที่ยึดอาศัยพื้นโล่งบนยอดเขาของที่นี่ คล้ายดั่งธรรมชาติบรรจงออกแบบทิ้งไว้ ได้อย่างลงตัว

“ยอดเขานอจู้จี้” เป็นยอดเขาสูงประมาณ 600 เมตร จากระดับน้ำทะเลปานกลาง มีพื้นที่ราบบนยอดไม่ถึงครึ่งไร่ เกือบรอบด้านของยอดเขาเป็นหน้าผาสูงชัน ที่นี่เป็นส่วนหนึ่งของผืนป่าเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าเขาประ-บางคราม มีพื้นที่ 97,700 ไร่ ครอบคลุม 2 จังหวัด คือ อ.คลองท่อม อ.บางขัน จ.กระบี่ และ อ.วังวิเศษ จ.ตรัง เนื่องด้วยสภาพภูมิประเทศที่ความชุ่มชื้นในดินค่อนข้างสูง เพราะผืนป่าทางภาคใต้ส่วนใหญ่มีฝนสม่ำเสมอตลอดทั้งปี ทำให้ผืนป่าที่นี่มีลักษณะเป็นป่าดิบชื้นที่เต็มไปด้วยไม้นานาพรรณ ขณะที่บนยอดเขานอจู้จี้เป็นป่าดิบเขา

 

การเดินป่าขึ้นยังยอดเขานอจู้จี้ ไม่ลำบากมากนัก ต้องเดินเท้าขึ้นไปร่วม 5 ชั่วโมง ระยะทางประมาณ 4 กิโลเมตร จากหน่วยพิทักษ์ป่าน้ำตกร้อยชั้นพันวัง ต.อ่าวตง อ.วังวิเศษ จ.ตรัง ถือเป็นจุดเริ่มของการเดินป่ารอบนี้ ข้อดีของการเดินป่าที่นี่ค่อนข้างแตกต่างจากที่อื่น เพราะแม้ช่วงจะเข้าสู่ฤดูฝนแต่ป่าเขานอจู้จี้กลับไร้เงาของทากดูดเลือด มากวนแข้งขาของนักเดินป่าแม้แต่น้อย ครั้นพอตัดปัญหากวนใจเหล่านี้ได้ ที่เหลือคือการเตรียมฟิตร่างกายและจิตใจให้พร้อมกับการตะลุยป่าหน้าฝนที่มีปลายทางคือ ทุ่งหม้อข้าวหม้อแกงลิง บนยอดเขานอจู้จี้ ร่วมกัน

แม้จุดหมายจะอยู่ไกลถึง “ยอดเขานอจู้จี้” แต่ธรรมชาติตลอดสองฝั่งของการเดินเท้ากลับแลดูเพลิดเพลินไม่ยิ่งหย่อนไปกว่าเป้าหมายแม้แต่น้อย เริ่มจากธารน้ำตกร้อยชั้นพันวังซึ่งเป็นน้ำตกหินปูน มีแอ่งเล็กแอ่งน้อยสายธารใสเป็นสีมรกต แตกแขนงเป็นชั้นเล็กๆ แทรกตัวอยู่ท่ามกลางป่าเขา ความสวยงามตามธรรมชาติที่ตาเห็นนี้กลายเป็นมนต์เสน่ห์ชวนให้เหล่านักเดินป่าหลงใหลในสิ่งรอบตัว จนบางช่วงอาจเผลอหลงลืมความเหนื่อยล้าของการเดินเท้าติดต่อกันหลายชั่วโมงโดยสิ้น อีกทั้งพืชพรรณซึ่งส่วนใหญ่เป็นไม้ในวงศ์ยาง-ตะเคียน ทำให้เราได้เรียนรู้วงจรของการพึ่งพาอาศัยเพื่อความอยู่รอดของเหล่าพืชตามธรรมชาติ ที่มักแซมด้วยไม้ขนาดกลาง และเล็กที่อยู่รอดได้แม้จะอาศัยร่มเงาของต้นไม้ใหญ่ อย่างพืชตระกูลปาล์ม หวาย ไผ่ หรือเถาวัลย์หลากชนิด รวมถึงวงจรของพืชอิงอาศัยที่เกาะเกี่ยวตามลำต้น และกิ่งไม้อย่างเฟิร์น และมอสด้วย ไม่เพียงเฉพาะพันธุ์ไม้ของภูมิประเทศป่าดิบชื้นที่ชวนให้เราได้ค้นคว้าศึกษาเท่านั้น เรายังเห็นร่องรอยของสัตว์ป่าต่างๆ ทั้งหมูป่า เห่าช้าง (สัตว์เลื้อยคลานในวงศ์เหี้ย) กระรอก และนกนานาชนิด ซึ่งเป็นตัวบ่งชี้ถึงความอุดมสมบูรณ์ของผืนป่าแห่งนี้ได้เป็นอย่างดี

 

การเดินเท้าเราต้องลัดเลาะไปตามริมลำธาร และตัดขึ้นไหล่เขา ค่อยๆ ไต่ระดับให้สูงเพื่อขึ้นไปสู่ยอดเขานอ แม้จะใช้เวลาเดินเท้าราว 5 ชั่วโมง แต่ถือเป็นการเดินป่าที่ครบเครื่องทั้งการเดินเท้าบนที่ราบ เดินไต่เขาตลอดจนการปีนป่ายตามหน้าผาก่อนขึ้นสู่ยอดสูงสุดของเขานอจู้จี้ งานนี้เล่นเอาแรงย่างก้าวของเท้า และสองมือที่ต้องช่วยเกาะเกี่ยวกิ่งไม้เพื่อพยุงร่างขณะไต่ขึ้นเขาชัน ค่อยๆ แผ่วไปตามระยะทางที่เพิ่มมากขึ้น แต่พอยิ่งใกล้ถึงจุดหมายมากเท่าไรร่างกายยิ่งสัมผัสได้ถึงลมเย็นลอยเข้ามาปะทะผิวกาย ความเหนื่อยล้าก็ค่อยๆ เริ่มจางหาย ยิ่งได้แลเห็นภาพเบื้องหน้าปรากฏดั่งสรวงสวรรค์ที่ธรรมชาติบรรจงรังสรรค์ขึ้น ความเหน็ดเหนื่อยจากการเดินทางตั้งแต่เช้าก็พลันหายเป็นปลิดทิ้ง เพราะภาพที่เห็น คือ ทุ่งหม้อข้าวหม้อแกงลิงนับแสนแทรกตัวอวดโฉมชูช่อถุงน้ำทุกอณูของผืนป่าเสม็ดแดงซึ่งเป็นพันธุ์ไม้อยู่ในสังคมป่าดิบเขา หม้อข้าวหม้อแกงลิงแต่ละต้นแข่งขันออกใบหม้อข้าวเปิดรับแมลงตัวน้อยที่พลัดหลง ก่อนกลายสภาพเป็นมื้ออาหารตามวัฏจักรห่วงโซ่เพื่อความอยู่รอด โดยมีหมู่มวลเมฆ และทิวเขาและเกาะแก่งหลายสิบลูกทั้งฝั่ง จ.กระบี่ และ จ.ตรัง ทอดยาวโอบล้อมเพื่อเป็นภาพพื้นหลังอันสวยงามและกว้างใหญ่ไกลสุดลูกหูลูกตาแก่ยอดเขานอจู้จี้

“หม้อข้าวหม้อแกงลิง” เป็นไม้เลื้อยเกือบทุกชนิดเป็นพืชอนุรักษ์ในอนุสัญญาไซเตส (CITES ย่อมาจาก Convention on International Trade in Endangered Species of Wild Fauna and Flora) หมายถึงอนุสัญญาว่าด้วยการค้าระหว่างประเทศ ปัจจุบันพืชชนิดนี้มีแนวโน้มอยู่ในภาวะเสี่ยงต่อการสูญพันธุ์ เพราะถูกรุกรานจากมนุษย์ เนื่องจากได้รับความสนใจในตลาดไม้ประดับทำให้มีการลักลอบเก็บไปจากธรรมชาติ แต่ปัจจุบันด้วยศักยภาพความเป็นพืชเศรษฐกิจ มีการเพาะปลูกคัดเลือกสายพันธุ์เพื่อการจำหน่ายให้เป็นพืชเศรษฐกิจ โดยไม่จำเป็นต้องรบกวนจากธรรมชาติอีกต่อไป ดังนั้นสิ่งที่พวกเราทำได้ คือ การชื่นชมความงามในทุกห้วงเวลา โดยเฉพาะยามเช้าที่แสงพระอาทิตย์ลอดผ่านกำแพงทะเลหมอกปลุกผืนป่าจากการหลับใหล เฉกเช่นทุ่งหม้อข้าวเตรียมชูใบล่อเหยื่อในยามรุ่งอรุณ พร้อมเสิร์ฟแมลงเป็นอาหารมื้อเช้า พวกเราไม่รอช้ารีบเร่งบันทึกเป็นภาพเก็บไว้เป็นเรื่องราวบอกเล่า จากนั้นก็ปล่อยให้ธรรมชาติเป็นไปตามสมดุล ให้พวกมันชูช่ออวดโฉมหม้อข้าวรอคอยนักเดินทางคนต่อๆ ไป

 

ไม่เพียงทุ่งหม้อข้าวหม้อแกงลิง จะเป็นไฮไลต์ของยอดเขานอจู้จี้แล้ว ทะเลหมอกยามเช้าของที่นี่ สวยงามไม่แพ้ที่ไหนๆ สามารถมองเห็นเกาะแก่งต่างๆ ของ จ.กระบี่และ จ.ตรัง เช่น เกาะกระดาน เกาะแหวน เกาะเชือก เกาะม้า เกาะรอก เกาะไห หมู่เกาะลันตา เกาะพีพี เกาะปอดะ และเกาะห้อง

ที่สำคัญป่าเขานอจู้จี้ ยังเป็นแหล่งดูนกที่มีชื่อเสียงติดอันดับของโลก มีนกหลากชนิดไม่ต่ำกว่า 307 ชนิด ไม่ว่านักดูนกคนไทยหรือชาวต่างประเทศ ต่างเป็นต้องหาโอกาสเดินทางมาดูนกที่นี่ให้ได้สักครั้งในชีวิต เพื่อหวังยลโฉม นกแซงแซวสวรรค์ นกพญาปากกว้างท้องแดง นกจับแมลงจุกดำ ที่สำคัญ “นกแต้วแล้วท้องดำ” นกเฉพาะถิ่นที่พบที่นี่ที่เดียวในโลก ถือเป็นนกสงวนใกล้สูญพันธุ์ในพื้นที่ราบต่ำเขานอจู้จี้ เหลืออยู่ในป่าธรรมชาติเพียงไม่กี่คู่ ทำให้มีความเสี่ยงสูงอย่างยิ่งที่นกชนิดนี้จะสูญพันธุ์ไปจากโลก จึงถูกจัดเป็นนกชนิดที่หายากชนิดหนึ่งใน 12 ชนิด หายากของโลก และนกชนิดนี้ยังเป็นสัตว์ป่าสงวนของไทย 1 ใน 15 ชนิด ตามพระราชบัญญัติสงวนและคุ้มครองสัตว์ป่าพ.ศ. 2535 อีกด้วย

 

ปิดท้ายด้วยเคล็ดลับสำหรับเดินป่าที่เขานอจู้จี้ อ.วังวิเศษ จ.ตรัง ต้องขอขอบคุณข้อมูลดีๆ จากพวกพี่ๆ เจ้าหน้าที่หน่วยพิทักษ์ป่าน้ำตกร้อยชั้นพันวัง และพี่สุนันท์ คิดรอบ นักถ่ายภาพนกตัวยงของ จ.ตรัง ทำให้เรารู้ว่านอกจากจะต้องศึกษาพื้นฐานของความเป็นป่าดิบชื้น ผสมป่าดิบเขาของที่นี่ไว้เป็นข้อมูลเบื้องต้นไม่ต่างกับการเดินป่าในทุกๆ ที่แล้ว ป่าแห่งนี้ต้องทำความเข้าใจอีกสักนิดด้วยว่าแม้พื้นที่จะติดกับน้ำตกร้อยชั้นพันวัง แต่ระหว่างทางเดินป่ากลับไม่มีธารน้ำสายแม้แต่สายเดียว ดังนั้นนักเดินป่าจำต้องเตรียมอุปกรณ์แคมปิ้ง และปริมาณน้ำให้เพียงพอต่อนักเดินทางทั้งหมด

แม้จะเป็นความยากลำบากเพิ่มขึ้นอีกเล็กน้อย แต่มั่นใจเกินร้อยเลยว่า ทริปนี้จะเป็นทริปเดินป่าระยะสั้นที่ถูกใจ และถูกขานักเดินป่าป้ายแดง หรือแม้แต่มือฉมังมิใช่น้อย ด้วยความหลากหลายของผืนป่าทั้งพืชนานาพรรณ สัตว์เล็กน้อยใหญ่นานาชนิด ประกอบกับความงามของทิวทัศน์รอบตัวแบบ 360 องศา บนยอดเขา เพียงเท่านี้ก็ถือเป็นความสุขล้นแสนจะเพลิดเพลินเกินคำบรรยายแก่เหล่านักเดินป่า และนักดูนกเป็นแน่แท้ แถมสิ่งที่ได้ติดไม้ติดมือมาด้วย คือ ความสุขที่ถูกเติมเต็มด้วยธรรมชาติ และอากาศบริสุทธิ์ซึ่งถูกถ่ายทอดออกมากเป็นภาพสวยๆ ให้เราได้เห็น โดยไม่มีคำพูด หรือความจำเป็นต้องหยิบฉวยสิ่งใดออกจากธรรมชาติและผืนป่าแห่งนี้

หมายเหตุ : สอบถามรายละเอียดการเที่ยวชมน้ำตกร้อยชั้นพันวัง และการเดินป่ายอดเขานอจู้จี้ได้ที่ หน่วยพิทักษ์ป่าน้ำตกร้อยชั้นพันวัง ต.อ่าวตง อ.วังวิเศษ จ.ตรัง

 

 

 

 

ชมวิถีสุดคลาสสิก @ชุมชนคลองบางหลวง

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์โพสต์ทูเดย์

29 พฤษภาคม 2559 เวลา 15:58 น…. อ่านต่อได้ที่ : http://www.posttoday.com/travel/thailand/434536

ชมวิถีสุดคลาสสิก @ชุมชนคลองบางหลวง

โดย…สมแขก ภาพ คลังภาพโพสต์ทูเดย์

หากคุณหลงใหลมนตร์เสน่ห์ของเรื่องราวเก่าๆ และความเรียบง่ายแต่แฝงคลาสสิกในกรุงเทพฯ ชุมชนเก่าแก่ย่านฝั่งธนบุรีกำลังรอให้คุณไปเยือน “ชุมชนริมคลองบางหลวง” ที่ยังเต็มไปด้วยกลิ่นอายในอดีต เราสามารถสัมผัสวิถีชีวิตแบบดั้งเดิมของชาวบ้านแถบนี้ ทั้งบ้านไม้ทรงเก่าแก่ วัดที่แสนสงบร่มเย็น ลำคลองมีปลาสวายตัวโตดำผุดดำว่ายอยู่ เด็กวิ่งเล่นสนุกสนานโดยมีผู้เฒ่าคอยมองตามและยิ้มอย่างเอ็นดู ในขณะที่เรือหางยาวสีสวยแล่นผ่านไปมาเกือบตลอดทั้งวัน และมีบ้างที่ขบวนจักรยานจะผ่านมา เพราะการเดินทางแสนสบายเข้าง่ายทั้งรถยนต์ เรือหางยาว หรือปั่นจักรยาน นี่คือเสน่ห์และความน่าสนใจของที่นี่

ชุมชนคลองบางหลวง เป็นชุมชนเก่าแก่ริมน้ำที่มีมาตั้งแต่สมัยกรุงศรีอยุธยา ปัจจุบันชุมชนแห่งนี้เปิดเป็นสถานที่ท่องเที่ยวในชื่อตลาดน้ำคลองบางหลวง บ้านเรือนสองฟากฝั่งคลองยังเรียงรายคงเสน่ห์และสิ่งที่น่าค้นหาไว้ไม่ขาดเกิน เมื่อที่นี่กลายสภาพเป็นตลาด สีสันและชีวิตชีวาในชุมชนแห่งนี้ก็ยังคงอยู่ เห็นจากมีร้านอาหาร ร้านหนังสือ ร้านขายของที่ระลึก และบ้านเก่าที่เปิดให้เป็นที่สำหรับจัดแสดงงานศิลปะในหลากหลายรูปแบบ เราจะเห็นทั้งงานเพนต์ งานปั้น ทั้งยังมีบ้านที่เป็นโฮมสเตย์สำหรับนักท่องเที่ยวที่สนใจอยากสัมผัสบรรยากาศริมคลองตั้งแต่ลืมตากระทั่งเข้านอน

 

สิ่งที่ไม่ควรพลาดเมื่อมาเยือนชุมชนคลองบางหลวงที่ขึ้นชื่อด้านศิลปะ ก็คือ “บ้านศิลปิน” บ้านของตระกูลช่างทองเก่าแก่ของย่านนี้ ซึ่งทายาทรุ่นสุดท้ายได้ขายบ้านให้กับ ชุมพล อักพันธานนท์ เพื่อปรับปรุงให้เป็นสถานที่แสดงงานของศิลปิน และเป็นจุดรวมตัวกันของกลุ่มคนที่รักศิลปะทุกประเภท

ด้านสถาปัตยกรรมบ้านศิลปินเป็นอาคารไม้ทรงมะนิลารูปตัวแอล (L) สร้างล้อมเจดีย์ย่อมุมไม้สิบสอง ซึ่งสันนิษฐานว่าเป็นหนึ่งในสี่ของเจดีย์กำหนดทิศพื้นที่เก่าของวัด บ้านศิลปินแบ่งพื้นที่ด้านบนเป็นแกลเลอรี่แสดงงานศิลปะมีทั้งภาพถ่ายและภาพวาด ส่วนพื้นที่ด้านล่างเป็นพื้นที่ทำงานศิลปะ และขายของที่ระลึก ซึ่งมีทั้งภาพถ่าย โปสต์การ์ด สมุดทำมือ โดยไม่ไกลกันนักเป็นมุมกาแฟให้นั่งจิบริมน้ำชมวิวริมคลอง และดื่มด่ำกับวิถีริมคลองที่ยังเรียบง่าย

 

บ้านศิลปินมีหุ่นละครเล็กซึ่งถือว่าเป็นมหรสพดั้งเดิมของไทยโดยที่การแสดงเปี่ยมด้วยจินตนาการของผู้ถ่ายทอด มีความงดงามทั้งท่วงท่าการรำ เครื่องแต่งกายของหุ่น การเคลื่อนไหวของผู้เชิดหุ่นเป็นหนึ่งเดียวกัน สอดแทรกอารมณ์ขันและความสนุกสนาน เมื่อชมแล้วจึงไม่แปลกที่จะรู้สึกว่าหุ่นละครเล็กมีชีวิตจริงๆ และไม่น่าเบื่อ หุ่นละครเล็ก คลองบางหลวง จัดแสดงโดยคณะคำนาย ซึ่งเป็นกลุ่มนักแสดงที่มีประสบการณ์ทำการเชิดหุ่นละครเล็กมาร่วม 10 ปี ด้วยแนวคิดที่อยากเผยแพร่ศิลปะการแสดงหุ่นละครเล็กที่ให้ทั้งสาระและความบันเทิง เมื่อพวกเขาได้รับโอกาสให้ทำการแสดงที่คลองบางหลวง จึงพยายามสร้างสรรค์งานแสดงที่แปลกใหม่แต่ยังคงเอกลักษณ์ดั้งเดิมของหุ่นละครเล็กฉบับคณะคำนายไว้ โดยมีฉากหลังเป็นเจดีย์เก่า หนึ่งในสัญลักษณ์ของบ้านศิลปิน การแสดงหุ่นละครเล็กของคณะคำนายเปิดให้ชมฟรีทุกวัน (ยกเว้นวันจันทร์) จัดแสดงวันละ 1 รอบ คือเวลา 14.00 น.

 

หากใครยังมองหาจุดหมายปลายทางหรือสถานที่หย่อนใจในวันร้อนกาย การนั่งเล่นริมคลอง ให้อาหารปลา หรือจิบชากาแฟ นั่งชมวิถีที่สงบเรียบง่ายของชุมชนคลองบางหลวง เชื่อเป็นแน่ว่าการได้ละเลียดงานศิลปะจากศิลปินที่ถ่ายทอดผลงานด้วยหัวใจและความรักจะทำให้วันพักของเรามีคุณค่าและน่าจดจำ มิหนำซ้ำอาจจะมีงานศิลปะฝีมือของตัวเองชิ้นเล็กๆ กลับบ้านไปด้วยก็ได้ ชุมชนคลองบางหลวงไปเยือนได้ทุกวันตั้งแต่ 9 โมงเช้าถึง 6 โมงเย็น ในวันธรรมดาบางร้านค้าอาจจะปิด การเดินทางโดยรถยนต์ส่วนตัวเข้าได้สองทางคือวัดคูหาสวรรค์ ซอยเพชรเกษม 28 หรือวัดกำแพง (บางจาก) ซอยเพชรเกษม 20 จากวัดเดินเลียบคลองมาเรื่อยๆ จะพบกับบ้านเรือนและร้านค้าต่างๆ ถ้าใช้บริการขนส่งมวลชน แนะนำให้เข้าทางซอยจรัญสนิทวงศ์ 3 จากนั้นนั่งรถสองแถวหรือนั่งมอเตอร์ไซค์เข้ามาจนสุดซอย ส่วนใครที่อยากสัมผัสการเดินทางแบบย้อนยุคโดยทางเรือก็สามารถเหมาเรือจากท่าช้างมาได้อีกหนึ่งทาง

 

ป่าสวรรค์ร้อนนรก

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์โพสต์ทูเดย์

29 พฤษภาคม 2559 เวลา 15:04 …. อ่านต่อได้ที่ : http://www.posttoday.com/travel/thailand/434524

ป่าสวรรค์ร้อนนรก

โดย…ปริญญา ผดุงถิ่น

พอบอกว่าผมถ่ายรูปนกแต้วแล้วท้องดำ (Gurney’s Pitta) แห่งป่าพม่าได้ ผู้คนก็ต้องมีคำถามตามมา แล้วมันมีตัวเยอะ หรือหาง่ายมากน้อยแค่ไหน?

ตอบ ผมใช้เทปเสียงเช็กหาตัวนกจนเจอในเวลาแค่ 10 นาที หลังจากนั้นการบังไพรเพื่อถ่ายรูป ก็ใช้เวลาไม่เกิน 20 นาที ก็ได้ตัวแล้ว

โดยสรุป ผมเจอนกแต้วแล้วท้องดำ รวมหมดทั้งเห็นตัวและได้ยินเสียง ก็ 5 ตัวด้วยกัน เป็นตัวผู้ 3 ตัวเมีย 2 ทั้งนี้ทั้งนั้น ต้องบอกว่านี่แทบไม่ได้ออกเดินสำรวจให้กว้างขวาง หรือเอาการเอางานเลย เพราะมุดอยู่ในบังไพรเป็นส่วนใหญ่

สิ่งที่ทำเอาผมน้ำตาจะไหล เป็นสภาพป่า มันมีหน้าตาเหมือน “ป่าต่ำปักษ์ใต้” สไตล์เขานอจู้จี้ จ.กระบี่ ซึ่งเป็นบ้านหลังสุดท้ายของนกแต้วแล้วท้องดำเมืองไทย เรียกว่า “เหมือนกันอย่างกะแกะ” มีพวกต้นพ้อต้นชิง ซึ่งเป็นไม้สัญลักษณ์ของเขานอจู้จี้อยู่ทั่วไป สลับกับไม้ใหญ่สูงทะยาน ขับกล่อมด้วยเสียงนกปักษ์ใต้บ้านเราอยู่ทั่วไป

และที่เหมือนยิ่งกว่า เหมือนก็คือ อากาศที่ร้อนอบอ้าวราวกับอยู่ในเตาอบตลอดเวลา ทั้งกลางวันกลางคืน แม้แต่น้ำในลำธาร ก็ไม่มีความเย็นชื่นใจแบบลำธารในป่าทั่วไป เป็นเอกลักษณ์แบบเขานอจู้จี้ทุกประการ สำหรับผมแล้ว ยามกลางคืนเป็นความทุกข์ทรมานสาหัส กว่าจะหลับลงก็ใกล้เช้ามืดแล้ว (แค่นึกยังสยอง)

วัดด้วยนาฬิกา Casio Pro Trek พบความสูงของพื้นที่แค่ 20 เมตรจากระดับน้ำทะเล เป็นคำตอบที่ว่าทำไมถึงร้อนเหลือเหงื่อไหลขนาดนั้น

นก “ป่าต่ำปักษ์ใต้” ที่ทำเอาผมตะลึงซะยิ่งกว่าการได้เจอนกแต้วแล้วท้องดำ คือ นกเปล้าใหญ่ (Large Green Pigeon) ตัวนี้บ้านเราแทบไม่มีเหลือแล้ว ในป่าพม่ากลับพบนกชนิดนี้บินว่อนทั่วไป

ผมยังถ่ายรูป “นกเงือกเทพ” แห่งปักษ์ใต้มาได้ด้วย คือ นกเงือกหัวหงอก (White-crowned Hornbill) แต่ที่เจอแต่ถ่ายไม่ทัน เป็นถึง “นกเงือกมหาเทพ” นั่นคือ นกเงือกปากย่น (Wrinkled Hornbill)

คนนำทางบอกผมก่อนไปว่า ป่าพม่าแห่งนี้มีอาถรรพ์ ใครมาแล้วก็มักต้องกลับมาใหม่ ผมฟังแล้วเฉยๆ

แต่ตอนนี้บอกเลย เชื่ออย่างไม่มีข้อโต้แย้ง และเฝ้ารอหน้าแล้งปีหน้าอย่างใจจดใจจ่อ!

 

แดเนียล เฟรเซอร์ ฝรั่งหลงไทย

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์โพสต์ทูเดย์

28 พฤษภาคม 2559 เวลา 09:03 น…. อ่านต่อได้ที่ : http://www.posttoday.com/travel/thailand/434404

แดเนียล เฟรเซอร์ ฝรั่งหลงไทย

โดย…รอนแรม ภาพ… หลงรักยิ้ม

รั่งยิ้มง่าย แดเนียล เฟรเซอร์ (Daniel Fraser) ติดอกติดใจเมืองไทยจนไม่ยอมกลับแคนาดาด้วยเหตุผลต่างๆ นานา ทั้งอากาศ อาหาร ความเจริญ และความโบราณ ที่อยู่ร่วมกันได้ในประเทศ
เล็กๆ เขาบอกตัวเองว่าจะเป็นนักเดินทางตั้งแต่เด็ก ฝันอยากเดินทางรอบโลกเหมือนพ่อ ฝันอยากทำงานที่ต้องท่องเที่ยว และฝันว่าจะได้เดินทางเรื่อยไปตลอดชีวิต

โตมาอยากเป็นนักเดินทาง

แดเนียลรู้ตัวเองว่าอยากเป็น “นักเดินทาง” ไม่ใช่นักท่องเที่ยว ตั้งแต่อายุ 5 ขวบ ซึ่งอาจจะได้รับแรงบันดาลใจมาจากพ่อ ผู้ซึ่งเป็นนักเดินทางตัวจริง “ยุค 60 พ่อเดินทางไปทั่วแอฟริกา อเมริกาใต้ ยุโรป ที่กำลังเกิดสงครามเย็น” เขาเล่าถึงอดีต “พ่อขับรถมอเตอร์ไซค์ไปทั่วรัสเซีย เป็นชาวต่างชาติคนเดียวที่กล้าทำแบบนั้น พ่อชอบเล่าให้ผมฟังจนอยากออกไปสำรวจโลกเหมือนเขา โดยเฉพาะในเอเชีย ผมคิดว่าเอเชียเป็นทวีปที่เอ็กโซติก ร้อน มีวัฒนธรรม อาหารหลากหลาย และน่าค้นหามาก”

 

แดเนียลเดินทางแทบตลอดเวลาเพราะหน้าที่การงาน ทั้งบทบาทพิธีกรรายการหลงรักยิ้มที่พาเขาไปเที่ยวทั่วไทย และบทบาทเจ้าของบริษัททัวร์ที่ต้องเดินทางไปยังเมียนมา ลาว เวียดนาม กัมพูชา อังกฤษ แคนาดา และอเมริกา เขาก่อตั้งบริษัท สมายลิง อัลไบโน (Smiling Albino) มานาน 12 ปี โดยเจาะกลุ่มลูกค้าระดับอัพเพอร์มิดเดิ้ล เน้นคุณภาพ เที่ยวแบบอนุรักษ์ และช่วยเหลือชาวบ้านให้มากที่สุด

“ผมไม่อยากได้ลูกค้าหนึ่งล้านคน แต่อยากได้คนหนึ่งร้อยคนที่ดีที่สุด มาแล้วรักษาวัฒนธรรมไทย เรียนรู้ประเพณีของไทย ดูแลสิ่งแวดล้อม ผมขอคุณภาพมากกว่าปริมาณ” เขากล่าว

ประสบการณ์

แต่ไม่ว่าจะเดินทางมากแค่ไหนก็ยังมีที่ใหม่ๆ ให้ไปตามหาตลอด บ่อยครั้งที่เขาจะเดินทางไปกับมอเตอร์ไซค์คู่ใจ แดเนียลให้ข้อมูลว่า ประเทศไทยเป็นประเทศอันดับ 5 ในโลกที่เหมาะแก่การขี่มอเตอร์ไซค์เที่ยว โดยเฉพาะเส้นทางจากบ่อเกลือ จ.น่าน เข้าพะเยา ผ่านบ่อสร้าง และขึ้นสู่ภูชี้ฟ้า จ.เชียงราย ระยะทาง 275 กม. ตลอดทางมีไฟแดง 2 จุด คุณภาพถนนดี วิวสองข้างทางสวย เห็นน้ำตก แม่น้ำ ภูเขา และหมู่บ้านเล็กๆ หรือเส้นทางวังสะพุง-หล่มสัก ระยะทาง 250 กม. ที่มีวิวธรรมชาติและถนนมีคุณภาพดีไม่แพ้กัน โดยทุกปีเขาจะขี่มอเตอร์ไซค์พาลูกทัวร์ไปเปิดเส้นทางใหม่ 2 ครั้งซึ่งนั่นพิสูจน์ว่าประเทศไทยมีสิ่งใหม่ให้ค้นหาตลอดเวลา

 

ประสบการณ์แรกที่ผุดขึ้นมาเมื่อถามถึงทริปที่โหดที่สุดคือ การไปใช้ชีวิตกับชาวประมงที่ จ.เพชรบุรี “คลื่นใหญ่ ฝนตก แดดร้อน” เขาลากเสียงยาว “เราออกเรือไปกลางทะเลที่ไกลมากจากฝั่ง ทีมงานทุกคนเมาเรือ อาเจียน ปวดหัว แต่ชาวบ้านไม่เป็นอะไรเลย เพราะนั่นเป็นวิถีชีวิตที่เขาต้องออกเรือทุกวัน อยู่กับคลื่นใหญ่แบบนั้น เห็นธรรมชาติที่ไม่สามารถควบคุมได้”

เขายังกล่าวด้วยว่า การใช้ชีวิตอยู่กับชาวบ้าน อยู่แบบห่างไกลไร้นักท่องเที่ยว จะทำให้คนมาเยือนอย่างเขาได้เห็นตัวตนของประเทศไทยจริงๆ

 

สารภาพรัก

“ผมชอบเวียดนามแต่ผมรักเมืองไทย ผมรักเขมรแต่ผมรักเมืองไทยมากกว่า” เขาอธิบายว่าทำไมรักเมืองไทย “ไทยเป็นประเทศที่มีความสมดุลระหว่างโลกเก่ามาพบกับโลกใหม่ทั้งธรรมเนียม วิถีชีวิตแบบโบราณ แต่ในขณะเดียวกันก็มีกรุงเทพฯ ที่ทันสมัย คนไทยเป็นคนตลก สนุก ใจดี ยิ้มแย้ม ถ้าเดินทางออกจากกรุงเทพฯ จะเห็นคนไทยตัวจริงที่มีความสุขกับชีวิต ซึ่งเป็นสิ่งที่ฝรั่งตั้งคำถามว่าเขามีความสุขได้อย่างไรในบ้านหลังเล็ก ตกปลา ปลูกข้าว แต่นั่นเพราะเขาพอเพียง พอใจกับสิ่งที่ตัวเองมีและมีความสุขที่จิตใจ” จาก 77 จังหวัด ตอนนี้แดเนียลขาดแค่ จ.ปัตตานี ยะลา ระนอง ยโสธร ที่คิดว่าจะไปให้ครบทั้งประเทศภายในปีนี้

แดเนียลมาประเทศไทยครั้งแรกเมื่อ 19 ปีที่แล้วเพื่อเป็นครูอาสา ซึ่งในตอนนั้นเขาคิดว่าไทยมีแค่ช้างกับอาหารเผ็ด หลังจากนั้นเมื่อเรียนจบปริญญาตรีที่อเมริกา ได้กลับบ้านไปทำงานที่แคนาดาสักพัก จากนั้นเขาก็มีความคิดอยากเปิดบริษัทของตัวเอง บริษัทท่องเที่ยวที่มอบความสนุกและประสบการณ์ผจญภัย ซึ่งประเทศเดียวที่คิดถึงคือ ไทยแลนด์

“กรุงเทพฯ เป็นบ้านหลังที่สอง” เขาใช้ชีวิตอยู่เมืองไทยต่อเนื่องมาแล้ว 15 ปี “ผมมีเพื่อนที่เมืองไทย กะเพราไก่อาหารโปรดของผมอยู่ที่นี่ออฟฟิศอยู่ที่นี่ หากมีเพื่อนมาเที่ยวไทย ผมก็จะให้เขาอยู่กรุงเทพฯ ก่อน แนะนำให้ไปเที่ยวตามย่านเก่า ให้เขาพาตัวเองไปหลงตามสถานที่ต่างๆ ก่อนไปเที่ยวเชียงราย แม่ฮ่องสอน หรือถ้ามีเวลามากหน่อยก็จะแนะนำให้ไปปั่นจักรยานที่เลย หนองคาย ผมคิดว่าถ้ามาเมืองไทยแล้วไม่ได้เที่ยวกรุงเทพฯ จะถือว่ามาไม่ถึง”

 

โลกของแดเนียล

ถ้ามีโลกของตัวเองหนึ่งใบ แดเนียลจะบังคับให้ทุกคนให้ความสำคัญกับคุณภาพมากกว่าปริมาณ ทั้งกฎหมาย และการดูแลธรรมชาติที่ต้องคิดถึงต้นไม้ใบหญ้ามากกว่าปริมาณนักท่องเที่ยว

“โลกของแดเนียลจะต้อนรับแต่คนที่มีคุณภาพเข้ามาเพื่อช่วยกันสร้างโลกที่ดีและมีคุณภาพ” ทั้งยังอยากให้มีการอนุรักษ์คุณค่าของวัฒนธรรมต่างๆ ทั้งประเพณี สถาปัตยกรรม วิถีชีวิต “เพราะก่อนที่จะคิดสร้างสิ่งใหม่ต้องรักษารากเหง้าของตัวเองไว้ให้ได้ก่อน” เขาทิ้งท้าย

ติดตามความน่ารักของแดเนียลได้ในรายการหลงรักยิ้ม ทุกวันอาทิตย์ เวลา 21.20 น. ทางช่อง 5 (HD1) หรือทางเฟซบุ๊ก www.facebook.com/danielbfraser

 

ซันเซ็ท พาร์ค รีสอร์ท แอนด์ สปา ดินแดนลับนาจอมเทียน

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์โพสต์ทูเดย์

28 พฤษภาคม 2559 เวลา 08:59 น…. อ่านต่อได้ที่ : http://www.posttoday.com/travel/thailand/434403

ซันเซ็ท พาร์ค รีสอร์ท แอนด์ สปา ดินแดนลับนาจอมเทียน

โดย…นิทรา ราตรี

ใครจะไปเชื่อว่าถัดออกมาจากพัทยาเพียง 15 นาที จะมีชายหาดทอดยาวสุดสายตา และสวนป่าครึ้มเขียวริมชายฝั่งที่ปกคลุมให้ “นาจอมเทียน” ชอุ่มชุ่มไปด้วยกลิ่นดินและทะเลอันปนเปเป็นความรู้สึกสุขสบายภายใน ซันเซ็ท พาร์ค รีสอร์ท แอนด์ สปาหนึ่งในสมาชิกโรงแรมและรีสอร์ทกลุ่มนาจอมเทียน พัทยา ที่มีเอกลักษณ์ไม่เหมือนใคร

นาจอมเทียนอยู่ตรงกลางระหว่างพัทยาและสัตหีบ เป็นเมืองทางผ่านที่ยังไม่พลุกพล่าน ไม่วุ่นวาย และความสงบยังไม่ถูกทำลายด้วยนักท่องเที่ยว ที่น่าสนใจคือที่พักย่านนาจอมเทียนจะอยู่ริมหาดและมักเป็นบ้านแยกหลัง ต่างจากฝั่งพัทยาที่มีถนนเลียบชายหาดกั้นกลางและที่พักจะเป็นตึกสูง

 

ซันเซ็ท พาร์ค ก็มีลักษณะเช่นนั้น ตัวรีสอร์ทอยู่ริมหาดตะวันรอนที่ขึ้นชื่อว่าสวยที่สุดในนาจอมเทียน บ้านพักทั้ง 53 หลัง อยู่ท่ามกลางป่าธรรมชาติและมีลำธารไหลผ่านจนเกือบลืมไปว่าอยู่ชายทะเล ประกอบด้วย บ้านสองชั้นริมชายหาด โดยชั้นล่างเป็นพื้นที่เอกเขนก มีห้องครัว ชุดโซฟา โต๊ะรับประทานอาหาร และระเบียงใหญ่หันออกทะเล บ้านไม้ริมลำธาร ให้ความรู้สึกเหมือนอยู่กลางป่า พิเศษตรงมีระเบียงท่าพร้อมเรือพายให้ใช้ตามอัธยาศัย และบ้านพักในสวนป่า จุดที่จะได้ปลีกวิเวกและเย็นใจไปกับแมกไม้ใหญ่รอบตัว

รีสอร์ทมีสระว่ายน้ำ 2 สระ พร้อมสระจากุซซี่และสระเด็กแยกต่างหาก ห้องเซาน่าห้องสมุด ห้องดนตรี ห้องอาหารซันเซ็ทเบย์ ให้บริการอาหารนานาชาติโดยมีอาหารไทยและซีฟู้ดเป็นตัวเด่น บีชบาร์ บาร์ริมสระว่ายน้ำที่เหมาะอย่างยิ่งแก่การชมพระอาทิตย์ลับขอบฟ้า และวนธารา สปา สถานที่ที่จะทำให้ผ่อนคลายทั้งตัวและหัวใจด้วยการนวดไทย ทำสปา และวารีบำบัดโดยใช้น้ำตกจำลอง

 

ใครที่เลือกไม่ได้ว่าจะเข้าป่า นอนริมน้ำหรือจะไปลั้นลาริมทะเล ก็ไม่จำเป็นต้องเลือกอีกต่อไป เพราะทุกอย่างมีอยู่แล้วใน ซันเซ็ท พาร์ค รีสอร์ท แอนด์ สปา สถานที่ใจกลางสวนป่าและแอบอิงทะเลกว้างบนอาณาจักรที่ยังเป็นความลับอย่างนาจอมเทียน

Price: ซิรีน การ์เดน วิลลา 15,418 บ. บีช สปา วิลลา 20,126 บ.

Place: ริมหาดตะวันลอน ซ. นาจอมเทียน 48 จ. ชลบุรี โทร. 038-235-565-7 เว็บไซต์ www. sunsetpark.co.th

Promotion: ห้องพักราคาพิเศษเฉพาะสมาชิกบัตรเครดิตเคทีซี ประเภทซิรีน การ์เดน วิลลา 5,300 บ. และบีช สปา วิลลา 6,500 บ. ส่วนลดค่าอาหาร 10 % และส่วนลดสปา 40 % ตั้งแต่วันนี้ – 30 พ.ย. 59

 

ความหวังที่น่าน คนยืนได้ ไม้ยืนต้น

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์โพสต์ทูเดย์

28 พฤษภาคม 2559 เวลา 08:56 น…. อ่านต่อได้ที่ : http://www.posttoday.com/travel/thailand/434402

ความหวังที่น่าน คนยืนได้ ไม้ยืนต้น

โดย…กาญจน์ อายุ

ฝนเทลงมาตลอด 2 อาทิตย์ ปลุกหญ้าระบัดขึ้นปกคลุมเขาหัวโล้น เปลี่ยนผืนดินสีแดงและดำร่องรอยของการเผาไร่ข้าวโพดให้เป็นสีเขียวน่าชื่นใจ ทั้งพลอยทำให้ปัญหาเขาหัวโล้นที่ “ดราม่า” กันในสังคมไทยหายวับไปกับตา ทว่าสายฝนไม่ได้ชะล้างรากแก้วของปัญหา เพราะต่อให้ “ปลูกป่า” มากเท่าไรถ้าไม่ได้แก้ไขด้วยการ “ปลูกคน” ก็คงได้ดราม่ากันไปทุกปี

เมื่ออาทิตย์ก่อนได้ขึ้นไปยืนมองภูเขาหัวโล้นที่ จ.น่าน เคียงข้าง ผู้ใหญ่ฤทธิ์ ใจปิงผู้ใหญ่บ้านบวกหญ้า ต.ขุนน่าน อ.เฉลิมพระเกียรติ มีลูกบ้าน 75 หลังคาเรือน มีพื้นที่ทำกินตามเชิงเขาทั้งหมดประมาณ 5,900 ไร่ ทุกไร่ปลูกข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ และทุกเดือน เม.ย. หลังจากเก็บผลผลิตจะจุดไฟเผาเพื่อเตรียมปลูกใหม่

“ผมไม่โทษข้าวโพด เพราะพวกเราไม่รู้จะทำอะไร” ผู้ใหญ่ฤทธิ์ กล่าว นั่นเป็นความจำเป็นของปากท้อง เพราะเมื่อไม่รู้ว่าจะปลูกอะไร ไม่รู้ว่าจะหาเงินจากไหน พอมีคนยื่นพันธุ์ข้าวโพดให้จะมีใครบ้างที่จะปฏิเสธ

เขาหัวโล้นเริ่มมีสีเขียวหลังฝนตกติดต่อกัน

 

“เคยมีหน่วยงานมาส่งเสริมให้ปลูกกาแฟ แต่พอปลูกแล้วก็ไม่รู้จะไปขายที่ไหน” เมื่อเป็นเช่นนั้นการปลูกข้าวโพดจึงทำให้ท้องอิ่ม เพราะปลูกแล้วมีคนมาซื้อถึงที่ แม้ว่าจะมีรายได้ต่อปีเพียงไม่กี่พันก็ตาม

“มองดูเผินๆ ข้าวโพดทำให้ความเป็นอยู่ดีขึ้น เราได้เงินก้อนทุกปีโดยที่ไม่ได้คิดว่าเขาหักค่าพันธุ์ ค่าปุ๋ย ค่านู่นนี่ไปหมดแล้ว” นั่นเป็นเพราะชาวบ้านไม่เคยทำบัญชีครัวเรือนเงินก้อนเดียวจากการขายข้าวโพดจึงน่าพอใจโดยดุษณี ชาวบ้านบวกหญ้าปลูกข้าวโพดเลี้ยงชีพมากว่า 10 ปี ซึ่งก่อนหน้านั้นผืนดินก็บอบช้ำมาแล้วจากการทำไร่เลื่อนลอย

อีกวันได้ไปยืนกลางดงกล้วยบนภูเขาบ้านน้ำช้างเชื่อมต่อบ้านน้ำรี ต.ขุนน่าน อ.เฉลิมพระเกียรติ เคียงข้าง หมอน้อม พงษ์ประเสริฐ ปราชญ์ชาวบ้าน ผู้ซึ่งเป็นสักขีพยานในเหตุการณ์ภูเขาหัวโล้นเมื่อ 7 ปีที่แล้ว “เมื่อก่อนชีวิตเลื่อนลอยไปตามป่าฟันป่าทิ้งอย่างเดียว” หมอน้อม กล่าว “พอมีคนเอาพันธุ์ข้าวโพดมา เอาปุ๋ยมาให้ เขาบอกว่าตังค์อย่าเพิ่งจ่าย ให้ไปปลูกก่อน พอทั้งปีมารับซื้อเขาก็หักเงินจนเหลือแค่ 300 บาท นายทุนเขาอยากมีอยากได้ ไม่คิดถึงชาวบ้านพวกเราก็หลาบก็กลัว”

ภูเขาหัวโล้น

 

ทั้งสองหมู่บ้านต้องทำการเกษตรบนภูเขาเพราะไม่มีที่ราบให้เพาะปลูก แต่นั่นก็ไม่ใช่เหตุผลที่ทำให้ภูเขาราบเป็นหน้ากลองเพราะเหตุที่แท้จริงคือชาวบ้านไม่รู้ว่าต้องปลูกอะไร ทำให้เขาต้องปลูกข้าวโพด เพราะมีคนมายื่นพันธุ์ให้แถมยังกลับมารับซื้อถึงที่ เป็นแบบนี้หลายชั่วอายุคน

จนกระทั่งปี 2552 ชาวบ้านได้เมล็ดพันธุ์ใหม่ที่ไม่ต้องใช้ดิน แต่ต้องปลูกในความคิดและจิตใจ โดยมูลนิธิแม่ฟ้าหลวงได้เข้าไป “ปลูกคน” ก่อนปลูกต้นไม้ ไปให้ความรู้แก่ชาวบ้านว่าควรปลูกอะไรเพื่อให้มีกินมีใช้และอยู่ร่วมกับป่าไม้ได้ ก่อนอื่นต้องแบ่งพื้นที่ป่าทั้งหมดของหมู่บ้านออกเป็น 3 เขต ได้แก่ หนึ่งป่าอนุรักษ์ เป็นเขตห้ามตัด ห้ามเผา ห้ามเข้าไปทำกิน สอง ป่าใช้สอย ที่ชาวบ้านสามารถเข้าไปใช้ประโยชน์ได้ และสาม ป่าเศรษฐกิจ พื้นที่เพาะปลูกของชาวบ้าน ทั้งสามเขตมีการแบ่งอาณาเขตอย่างชัดเจน และมีบทลงโทษในหมู่บ้านหากมีการรุกล้ำ

คำถามชาวบ้านต้องปลูกอะไร มีคำตอบอยู่ในผืนป่าเศรษฐกิจ พื้นที่เชิงดอยของบ้านบวกหญ้าและบ้านน้ำช้าง สามารถปลูกต้นมะม่วงหิมพานต์ได้ดี ปลูกกาแฟได้งาม และปลูกกล้วยได้ตลอดปี “ปลูกมะม่วงหิมพานต์ ปลูกกาแฟ ปลูกครั้งเดียวใช้ได้อีก 20 ปี” ผู้ใหญ่ฤทธิ์ กล่าว

ชาวบ้านน้ำรีหันมาปลูกมะม่วงหิมพานต์และทำบ่อพวงเก็บน้ำ

 

มูลนิธิแม่ฟ้าหลวงได้นำต้นกล้ามาให้ สอนวิธีปลูก สอนวิธีดูแล และเมื่อมันงอกงามได้ผลแล้วก็จะกลับมารับซื้อ ฟังแล้วคุ้นๆ เหมือนเรื่องนายทุนข้าวโพด แต่แตกต่างกันโดยสิ้นเชิงทั้งมาตรการและกระบวนการ

อาหารสัตว์ของทั้งไก่ หมู วัว มีส่วนประกอบของข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ร้อยละ 35 ในเมื่อคนยังกินเนื้อสัตว์จากโรงงาน ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ก็ยังเป็นที่ต้องการจำนวนมหาศาล นายทุนจึงต้องทำทุกวิถีทางเพื่อให้ได้ผลผลิตป้อนโรงงาน และเผอิญว่านายทุนเหล่านั้นมีความพยายาม เข้าไปหาถึงหน้าบ้าน ยื่นข้าวโพดให้ และกลับมาหาทุกปี โดยไม่สนใจว่าแต่ละปีๆ ชาวบ้านจะยากจนลงและป่าถูกบุกรุกมากขึ้นแค่ไหน

ณรงค์ อภิชัย ผู้อำนวยการฝ่ายปฏิบัติการภาคสนาม มูลนิธิแม่ฟ้าหลวง กล่าวถึงมาตรการของมูลนิธิว่า ทำอย่างไรให้คนอยู่กับป่าได้ โดยใช้กระบวนการระเบิดจากภายใน คือ ให้ความรู้แก่ชาวบ้าน สร้างความเข้าใจและสร้างความเชื่อมั่นศรัทธา เพราะการปลูกคนปลูกป่าต้องใช้เวลา ชาวบ้านจึงต้องเข้มแข็งและสู้ไปด้วยกัน

ศึกษาเรื่องป่าน่านกับมูลนิธิแม่ฟ้าหลวง

 

“ทุกโครงการมีประโยชน์ ถ้าตอบคำถามสองข้อว่าชาวบ้านมีส่วนร่วมอย่างไร และชาวบ้านได้ประโยชน์อะไร” พี่ณรงค์ กล่าว

มูลนิธิแม่ฟ้าหลวงจัดการพื้นที่เป็นลุ่มน้ำ อย่างบ้านบวกหญ้าและบ้านน้ำช้างอยู่บริเวณป่าต้นน้ำน่าน ซึ่งร้อยละ 45 ของแม่น้ำเจ้าพระยามาจากแม่น้ำสายนี้ การรักษาป่าต้นน้ำน่านจึงเป็นเรื่องสำคัญ เพราะมันส่งผลต่อคนทั้งประเทศโดยเฉพาะคนกรุงเทพฯ ที่เปิดใช้แม่น้ำเจ้าพระยาจากก๊อกซึ่งจะยังไม่เดือดร้อนถ้ามีเงินจ่ายค่าน้ำประปาทุกเดือน หรือเมื่อปี 2559 เมืองหลวงกลายเป็นเมืองบาดาล ต้นตอของปัญหาคือ ภูเขาไม่มีต้นไม้ไว้คอยซับน้ำ แต่มีใครบ้างคิดจะอนุรักษ์ป่าในตอนนั้น เพราะทุกคนมัวแต่ตื่นตูมกับปัญหาและกำลังแก้ไขปัญหาตรงหน้า จากนั้นก็ลืมมันไป

ความพยายามเปลี่ยนเขาหัวโล้นให้เขียวชอุ่มไปพร้อมกับการพัฒนาคุณภาพชีวิตมีตัวอย่างให้เห็นประจักษ์บน “ดอยตุง” จากเมื่อ30 ปีก่อน ดอยตุงเป็นแหล่งผลิตยาเสพติดที่ใหญ่ที่สุดและมีกองกำลังชนกลุ่มน้อยลำเลียงฝิ่น ทำให้หน่วยงานรัฐยากที่จะเข้ามาในพื้นที่ ชาวบ้านจึงต้องเลี้ยงปากท้องด้วยการปลูกฝิ่น ค้ายาเสพติดทำไร่หมุนเวียน และขายลูกสาวเป็นโสเภณี สมเด็จย่าจึงมีพระราชดำริที่จะนำผืนป่ากลับมา พร้อมกับการยกระดับคุณภาพชีวิตชนกลุ่มน้อย

การเผาป่าแบบมีวัฒนธรรมคือ ทำแนวกันไฟจำกัดพื้นที่เผา

 

วันนี้ดอยตุงมีป่าอนุรักษ์ร้อยละ 69 ชาวบ้านปลูกต้นกาแฟ 4 ล้านต้น ต้นแมกคาเดเมีย 2.6 หมื่นต้น สร้างรายได้ปีละ 7 หมื่นบาท/ครอบครัว โดยส่งขายให้โครงการพัฒนาดอยตุงฯ ทำให้
โครงการสร้างธุรกิจ 4 ประเภทภายใต้แบรนด์ดอยตุง ได้แก่ สินค้าจากผ้าทอมือ ผลิตภัณฑ์จากกาแฟและแมกคาเดเมีย การจำหน่ายดอกไม้และพืชประดับ และการท่องเที่ยว

ดอยตุงไม่เหลือเค้าภูเขาหัวโล้น ไม่เหลือฝิ่น ไม่มีการค้ามนุษย์ กลายเป็น “ดอยตุงโมเดล” ที่สามารถนำไปปรับใช้ได้ทุกพื้นที่ ทั้งยังเป็นความหวังและเป็นกำลังใจให้พื้นที่บอบช้ำอื่นๆ อย่างน่าน เพื่อหวังว่าสักวันน่านจะไม่มีภูเขาหัวโล้นให้ดราม่าอีก

กลับมาที่คนปลายน้ำอย่างคนเมืองว่า พวกเราสามารถทำอะไรได้บ้าง? การใช้น้ำอย่างประหยัด ตั้งคำถามก่อนซื้ออาหาร อนุรักษ์ต้นไม้หน้าบ้าน ออกเดินทางไปยืนคุยกับชาวบ้านบนเขาหัวโล้น หรือทำอะไรก็ได้ที่แสดงความรักแก่ธรรมชาติ และสำคัญคือ อย่ารอให้ถึงพรุ่งนี้ ในเมื่อปัญหาเกิดขึ้นแล้ววันนี้ ณ ตอนนี้

แบ่งพื้นที่ปลูกพืชเศรษฐกิจ เช่น กล้วย กาแฟ มะม่วงหิมพานต์

 

กลุ่มคนยืนได้ไม้ยืนได้ เดินเท้าศึกษาปัญหาเขาหัวโล้น

 

เดินลงเขาหัวโล้นตามหาต้นน้ำ

 

ถนนคนเดินวินยานุโยค เมืองเก่าอู่ทอง

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์โพสต์ทูเดย์

22 พฤษภาคม 2559 เวลา 10:18 …. อ่านต่อได้ที่ : http://www.posttoday.com/travel/thailand/433277

ถนนคนเดินวินยานุโยค เมืองเก่าอู่ทอง

โดย…กาญจนา อายุวัฒน์ธนชัย ภาพ อพท.7

เมื่อความโบราณกลับมามีชีวิตชีวา ถนนวินยานุโยค จึงกลับมาคึกคักท่ามกลางเรือนแถวไม้แห่งสุดท้ายแห่งเมืองโบราณอู่ทอง จ.สุพรรณบุรี

เมืองโบราณอู่ทอง 1 ใน 6 พื้นที่ที่ได้รับการผลักดันและส่งเสริมจากองค์การบริหารการพัฒนาพื้นที่พิเศษเพื่อการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน (อพท.) ให้เกิดการท่องเที่ยวโดยมีชุมชนเป็นเจ้าของร่วมกัน ด้วยความสำคัญทางโบราณคดีที่สันนิษฐานว่า เมืองอู่ทองเคยเป็นเมืองหลวงของอาณาจักรทวารวดีและเป็นศูนย์กลางของดินแดนสุวรรณภูมิ ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นของประวัติศาสตร์ ศิลปวัฒนธรรม และประเพณี ก่อนจะกลายเป็นชาติไทยในปัจจุบัน โดย อพท.จะพัฒนาเมืองโบราณอู่ทองเป็นแหล่งประวัติศาสตร์ที่สามารถสืบค้นเรื่องราวเกี่ยวกับการก่อกำเนิดชนชาติไทยและศิลปวัฒนธรรมของชนชาติพันธุ์ต่างๆ ในพื้นที่ดินแดนสุวรรณภูมิให้มีความชัดเจนยิ่งขึ้น

 

ด้วยคุณค่าทางประวัติศาสตร์ทำให้สำนักงานพื้นที่พิเศษเมืองโบราณอู่ทอง (อพท.7) ร่วมมือกับสถาบันอาศรมศิลป์ จัดโครงการอนุรักษ์ ฟื้นฟู และพัฒนาโบราณสถานโบราณวัตถุเมืองโบราณอู่ทอง เพื่ออนุรักษ์อาคารแถวไม้วินยานุโยค สถาปัตยกรรมพื้นถิ่นประเภทเรือนแถวไม้โบราณที่เหลืออยู่เพียงย่านเดียวในเขตเมืองโบราณอู่ทอง และต่อยอดให้เกิด “ถนนคนเดินวินยานุโยค” ให้ชาวบ้านเปิดร้านจำหน่ายอาหารและสินค้าซึ่งจะเปิดขายอย่างเป็นทางการวันที่ 3 มิ.ย.นี้

ถนนคนเดินเคยจัดมาแล้ว 2 ครั้ง ครั้งแรกจัดขึ้นเมื่อเดือนมีนาคมในงานวันวานนี้…ที่วินยานุโยค ครั้งถัดมาชาวบ้านในชุมชนศรีสรรเพชญ์พัฒนาและชุมชนต้นแจงพัฒนาร่วมมือกันจัดขึ้นเอง ซึ่งได้รับการตอบรับอย่างดีจากชาวอู่ทอง ชาวบ้านริมสองฝั่งจึงอยากจัดถนนคนเดินอย่างต่อเนื่องเพื่อให้คนต่างถิ่นเข้ามาสัมผัสบรรยากาศความงดงามของอดีตที่รุ่งเรือง โดยหลังจากวันศุกร์ที่ 3 มิ.ย.เป็นต้นไป ถนนคนเดินจะเปิดทุกวันศุกร์และวันเสาร์แรกของทุกเดือน วันศุกร์เริ่มเวลา 15.00-22.00 น. และวันเสาร์เวลา 10.00-22.00 น.

 

บรรยากาศริมสองฝั่งถนนวินยานุโยคประหนึ่งฉากในละครย้อนยุค ด้วยเรือนแถวไม้โบราณเรียงรายไปตามถนน ประกอบด้วย ชุมชนศรีสรรเพชญ์พัฒนา ชุมชนต้นแจงพัฒนา และชุมชนสมถวิลพัฒนา ที่ยังใช้วิถีชีวิตเรียบง่าย คุณยายออกมานั่งคุยกันหน้าบ้าน ประตูบ้านเปิดไว้อย่างเป็นกันเอง แต่ละบ้านคุยกันครื้นเครงเหมือนครอบครัวเดียวกัน บรรยากาศของถนนคนเดินก็เป็นเช่นนั้น แต่ที่เพิ่มเติมคืออัธยาศัยของแม่ค้าพ่อขายที่ยิ้มแย้มแจ่มใส และต่างปราศรัยสำเนียงสุพรรณฯ น่าสนุกสนาน ที่สำคัญที่สุดถนนสายนี้รณรงค์ให้ผู้มาเยือนสวมใส่ผ้าไทยเพื่อร่วมอนุรักษ์วัฒนธรรมไทยและเป็นส่วนหนึ่งของชุมชน

บริเวณด้านหลังชุมชนยังเป็นที่ตั้งของเจดีย์หมายเลข 2 โบราณสถานสำคัญของชุมชนศรีสรรเพชญ์พัฒนา ทุกปีชาวบ้านจะทำบุญเจดีย์ทวารวดีอันเป็นประเพณีที่สืบทอดมายาวนาน ทั้งยังเปิดเป็นแหล่งเรียนรู้และแหล่งท่องเที่ยวทางประวัติศาสตร์เชื่อมโยงกับถนนคนเดิน เมืองโบราณอู่ทองค้นพบโบราณสถาน 13 แห่ง โดยเรียกชื่อเป็นหมายเลขตั้งแต่โบราณสถานหมายเลข 1 ถึง 13 จากการศึกษาทางโบราณคดีทราบว่า เมืองโบราณอู่ทองมีอายุตั้งแต่สมัยก่อนประวัติศาสตร์หรือประมาณ 2,500 ปีที่แล้ว ด้วยลักษณะเป็นที่ราบลุ่มแม่น้ำทำให้เพาะปลูกได้ดีและสะดวกในการติดต่อกับชายฝั่งทะเล ทำให้ชุมชนมีความรุ่งเรืองทางด้านเศรษฐกิจสูงสุด จวบจนทุกวันนี้ร่องรอยความเจริญยังหลงเหลืออยู่ให้คนรุ่นหลังได้ศึกษาและรักษาไว้สืบไป

 

การเดินทางมายังเมืองโบราณอู่ทองมาได้ 2 เส้นทาง ได้แก่ ทางหลวงหมายเลข 4 (ถนนเพชรเกษม) แยกเข้าทางหลวงหมายเลข 321 (ถนนมาลัยแมน) ที่นครปฐม ผ่านนครปฐม-กำแพงแสน-บ้านทุ่งคอก-บ้านสระยายโสม-อู่ทอง ระยะทางประมาณ 128 กม. และทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 340 (ตลิ่งชัน-สุพรรณบุรี) แยกเข้าทางหลวงหมายเลข 357 (ทางเลี่ยงเมืองสุพรรณบุรี) แยกเข้าทางหลวงหมายเลข 321 (ถนนมาลัยแมน) ผ่าน บางบัวทอง-ลาดบัวหลวง-บางปลาม้า-สุพรรณบุรี-บ้านสวนแตง-อู่ทอง ระยะทางประมาณ 122 กม.

พื้นที่พิเศษเพื่อการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืนเมืองโบราณอู่ทองครอบคลุมพื้นที่ ต.อู่ทองทั้งหมด สอบถามสำนักงานพื้นที่พิเศษเมืองโบราณอู่ทอง โทร.035-565-512 หรือทางเว็บไซต์ www.dasta.or.th/dastaarea7