ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์โพสต์ทูเดย์
09 พฤษภาคม 2559 เวลา 11:32 น…. อ่านต่อได้ที่ : http://www.posttoday.com/travel/thailand/430793

โดย…โยธิน อยู่จงดี ภาพ อพท.
การท่องเที่ยวคือธุรกิจที่สามารถสร้างรายได้เข้าประเทศได้อย่างมากมาย แต่ธุรกิจการท่องเที่ยวมีส่วนในการทำลายทรัพยากรธรรมชาติ สังคม และวัฒนธรรมของท้องถิ่นอย่างประเมินค่าไม่ได้เช่นกัน สังเกตได้จากแหล่งท่องเที่ยวต่างๆ นั้นผู้ที่ได้รับประโยชน์มากที่สุดไม่ใช่คนในท้องถิ่น แต่เป็นเหล่านายทุนที่เข้าไปแสวงหาประโยชน์จากความนิยมในสถานที่ท่องเที่ยวนั้น จึงเกิดเกณฑ์การพัฒนาการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืนโลก หนึ่งในความท้าทายในการพัฒนาขององค์การสหประชาชาติ (United Nations’ Millennium Development Goals) เพื่อแก้ไขปัญหาความยากจน ความเท่าเทียมทางเพศสภาพ และความยั่งยืนทางสิ่งแวดล้อม ด้วยการใช้การท่องเที่ยวเข้ามาช่วยแก้ไขปัญหาเหล่านี้
การท่องเที่ยวอย่างยั่งยืนโลกคืออะไร
พ.อ.ดร.นาฬิกอติภัค แสงสนิท ผู้อำนวยการองค์การบริหารการพัฒนาพื้นที่พิเศษ เพื่อการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน (อพท.) อธิบายเรื่องการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืนโลกอย่างอารมณ์ดี ว่า เกณฑ์นี้เริ่มต้นมาจากองค์การสหประชาชาติมีองค์กรหนึ่งที่ชื่อว่า องค์กรการท่องเที่ยวโลก (GSTC – Global Sustainable Tourism Council) อยู่ภายใต้การดูแลของสหประชาชาติ ได้กำหนดข้อกฎเกณฑ์เรื่องการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืนโลกขึ้นมาเพื่อแก้ไขปัญหาด้านการท่องเที่ยวที่เกิดขึ้นทั่วโลก ทั้งหมด 41 ข้อ แบ่งเป็น 4 เสาหลัก ก็คือ 1.เน้นเรื่องการบริหารจัดการที่มีประสิทธิภาพ พัฒนากลไกในการบริหารจัดการให้แหล่ง
ท่องเที่ยวทุกแหล่งมีแผนการพัฒนาบริหารการจัดการในระยะยาว
2.เพิ่มผลประโยชน์ให้ชุมชนท้องถิ่น ข้อนี้สำคัญมากเพราะเราจะต้องทำให้ปากท้องชุมชนได้รับผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจสังคม ต้องมีรายได้การจ้างงานจากการท่องเที่ยวเพราะพวกเขาเป็นเจ้าของแหล่งท่องเที่ยวอย่างแท้จริง แต่ต้องอยู่ภายใต้การค้าอย่างเป็นธรรม 3.ทางวัฒนธรรมจัดการแหล่งท่องเที่ยวแบบวัฒนธรรมต่างๆ อย่างชัดเจน เช่น ที่ จ.น่าน เป็นแหล่งท่องเที่ยวทางวัฒนธรรม หากนักท่องเที่ยวต้องการความบันเทิงแสงสีก็ต้องไปเที่ยวที่อื่น เราไม่สามารถเปลี่ยนแปลงวัฒนธรรมท้องถิ่นได้ และ 4.การจัดการด้านสิ่งแวดล้อม แหล่งท่องเที่ยวทุกแหล่งต้องมีระบบการจัดการพลังงานในการรีไซเคิลขยะ การจัดการน้ำให้สะอาดก่อนปล่อยลงสู่แหล่งน้ำธรรมชาติ และการจัดการพลังงานเพื่อสิ่งแวดล้อมในแต่ละท้องถิ่นไปตามจริตของแหล่งท่องเที่ยว

เกณฑ์เหล่านี้ประกาศมาตั้งแต่ปี 2556 ให้ประเทศสมาชิกได้นำข้อปฏิบัติเหล่านี้มาใช้ในประเทศของตัวเอง สำหรับประเทศไทยองค์กรที่ทำหน้าที่นี้โดยตรง ก็คือ องค์การบริหารการพัฒนาพื้นที่พิเศษ เพื่อการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน (อพท.) สามารถกำหนดกฎเกณฑ์นี้มาใช้ได้ถึง 29 ข้อ เพราะมีบางข้อที่อยู่นอกเหนือความสามารถของหน่วยงานใดหน่วยงานหนึ่งที่จะทำได้หมด
อย่างในเรื่องการบริหารจัดการฤดูกาลท่องเที่ยว จะเป็นหน้าที่ของการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย หรือในเรื่องความปลอดภัยอาจจะเป็นหน้าที่ของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ หรือในเรื่องการบริหารจัดการสิ่งแวดล้อมในเขตป่าไม้ก็จะเป็นหน้าที่ของกรมอุทยานฯ ที่ต้องเข้ามาดูแล ดังนั้นหากไทยจะทำให้ครบทั้ง 41 ข้อ ก็จำเป็นที่ต้องอาศัยความร่วมมือของทุกฝ่ายเพื่อให้ได้ครบทั้ง 41 ข้อ
อย่างไรก็ตาม สหประชาชาติไม่ได้กำหนดว่าจะต้องทำให้ครบทั้ง 41 ข้อ ถึงจะผ่านเกณฑ์ เป็นเพียงแค่แนวทางในการพัฒนาการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืนโลก ถ้าทำได้ครบจะถือว่าดีเยี่ยม (ดูเกณฑ์การท่องเที่ยวอย่างยั่งยืนโลกทั้งหมดได้ที่เว็บไซต์ www.gstcouncil.org)
ใจความสำคัญการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืนโลก
พ.อ.ดร.นาฬิกอติภัค ย้ำถึงสิ่งสำคัญในการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืนโลก ว่า ตอนนี้ประเทศไทยเป็นประเทศแรกในโลกที่เข้าเกณฑ์การท่องเที่ยวอย่างยั่งยืนโลกมากที่สุด “แต่ต้องทำความเข้าใจก่อน ว่า การที่ต่างประเทศไม่มีการนำไปใช้อย่างจริงจัง อาจจะมองได้ 2 มุม ก็คือ มุมแรกเขาเป็นประเทศที่พัฒนาแล้ว อย่างประเทศเยอรมนี พวกเขามีความรู้ในการบริหารจัดการแหล่งท่องเที่ยว ด้วยความรู้ในสำนึกของคุณภาพประชากรของเขาเอง เพราะพวกเขามีความรู้มีรายได้ดี เขาจึงสามารถบริหารจัดการการท่องเที่ยวแบบยั่งยืนโลกได้อยู่แล้ว โดยไม่ต้องเอาเกณฑ์อะไรเข้ามาใช้
เมื่อเทียบกับประเทศโลกที่สาม หรือประเทศที่กำลังพัฒนา รายได้ของประชากรต่ำ ปากกัดตีนถีบ ต้องดำน้ำลงไปหักปะการังมาขาย ต้องไปตัดไม้ทำลายป่าหาเลี้ยงชีพ ถ้าเป็นอย่างนี้ก็จำเป็นต้องเอาข้อระเบียบการบริหารการจัดการแหล่งท่องเที่ยวยั่งยืนโลกมาช่วยพัฒนา เพราะหัวใจหลักสำคัญของการบริหารการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืนโลก คือ การให้คนท้องถิ่นมีรายได้จากการท่องเที่ยว และอนุรักษ์วัฒนธรรมสิ่งแวดล้อมของโลกไปในตัว”

พ.อ.ดร.นาฬิกอติภัค ยกตัวอย่างแหล่งท่องเที่ยวที่เข้าเกณฑ์การท่องเที่ยวอย่างยั่งยืนโลกในประเทศไทยที่แรก คือ เมืองเก่าน่าน “เราประกาศพื้นที่เขตเฉพาะกำแพงเมืองเก่าเท่านั้น ตอนเริ่มต้นชุมชนก็คือรู้สึกกังวลเรื่องการจัดการแหล่งท่องเที่ยว ว่า เดี๋ยวจะเปิดเออีซีแล้วเราจะบริหารจัดการการท่องเที่ยวอย่างไรไม่ให้เสียอัตลักษณ์ของชุมชนเหมือนอย่างที่เคยเกิดขึ้นกับแหล่งท่องเที่ยวชุมชนอื่นที่เคยเสียมาแล้ว พวกเขาก็เริ่มมาคุยกันว่าเราจะจัดการอย่างไร ก็มาดูในรายละเอียดว่าพวกเขามีแหล่งท่องเที่ยวอะไรบ้าง
เมื่อให้ความรู้และข้อมูลกับพวกเขาเพียงพอ ก็ทำให้คนท้องถิ่นรู้ว่า นักท่องเที่ยวต้องการมาดูวีถีชีวิต ต้องมาดูวัฒนธรรม ต้องการมาดูการทอผ้า ก็ทำให้คนท้องถิ่นรู้ว่าวิถีชีวิตเดิมๆ ของพวกเขานั่นล่ะ คือจุดขายที่สามารถสร้างรายได้ให้กับพวกเขาได้ ทำให้พวกเขารู้สึกรักและหวงแหนวัฒนธรรม และอยากจะเป็นเจ้าของพื้นที่บ้านเกิดของเขาตลอดไป เพราะปัญหาหนึ่งที่เรารู้กันดี ก็คือเรื่องของนายทุนที่พยายามเข้าไปใช้แหล่งท่องเที่ยวเหล่านี้หารายได้ เข้าไปเปลี่ยนแปลงสภาพท้องถิ่น สร้างโรงแรมขนาดใหญ่ เข้าไปทำให้แหล่งท่องเที่ยวทางวัฒนธรรมกลายเป็นสถานที่ท่องเที่ยวบันเทิง เอาแหล่งท่องเที่ยวทางธรรมชาติให้เป็นของเขาแต่ผู้เดียว สิ่งเหล่านี้จึงไม่เกิดขึ้นที่เมืองเก่าน่าน เพราะคนในชุมชนเข้มแข็งและตระหนักดีว่า หากพวกเขาพัฒนาแหล่งท่องเที่ยวบ้านเกิด พวกเขาก็จะมีรายได้ มีชีวิตความเป็นอยู่ที่ไม่ต้องเปลี่ยนแปลงไปจากเดิม เมื่อตกลงเป็นที่เรียบร้อยคณะกรรมการเมืองเก่าน่าน จึงออกเทศบัญญัติ ห้ามสร้างอาคารที่มีความสูงเกิน 12 เมตร
จนถึงวันนี้เที่ยวบินที่เคยเดินทางไป จ.น่าน จาก 1-2 ไฟลต์ ก็กลายเป็น 7-9 ไฟลต์/วัน นั่นแสดงว่าวิถีชีวิตวัฒนธรรมสามารถขายได้ ทำให้พวกเขากลับมาพัฒนาชุมชนให้กลายเป็นแหล่งท่องเที่ยวอย่างยั่งยืนโลกต่อไป”
ยั่งยืนได้ด้วยชุมชนไม่ใช่นายทุน
เมื่อถามถึงสถานที่ท่องเที่ยวที่เข้าเกณฑ์ของสหประชาชาติมากที่สุด กับทางอพท. ก็ระบุมาทันทีคือ ชุมชนบ้านน้ำเชี่ยว อ.แหลมงอบ จ.ตราด ที่เข้าเกณฑ์การท่องเที่ยวอย่างยั่งยืนโลก ถึง 29 ข้อ มากที่สุดในโลก เท่าที่มีหน่วยงานเข้าไปประเมินรับรองในเวลานี้

สุรัตนา ภูมิมาโนช ประธานชมรมส่งเสริมการท่องเที่ยวบ้านน้ำเชี่ยว เล่าว่า เริ่มต้นมาจากชุมชนมีความต้องการพัฒนาพื้นที่ให้กลายเป็นแหล่งท่องเที่ยว สร้างรายได้ให้กับชุมชนโดยที่นักท่องเที่ยวไม่จำเป็นต้องเดินทางข้ามไปเที่ยวที่เกาะช้าง จึงตั้งชมรมส่งเสริมการท่องเที่ยวบ้านน้ำเชี่ยวมีสมาชิกเข้าร่วมอยู่ประมาณ 30 คนเพื่อช่วยกันพัฒนาให้กลายเป็นแหล่งท่องเที่ยว
ปัญหาเดิมของท้องถิ่นก็คือชุมชนมีสภาพคลองที่เต็มไปด้วยขยะและน้ำเสีย ป่าโกงกางถูกตัดทำลายไปขาย คนรุ่นใหม่ในชุมชนอยากจะไปทำงานในท้องถิ่นอื่น และที่สำคัญที่สุดก็คือปัญหายาเสพติดที่เข้ามาระบาดในชุมชน จึงเริ่มปรึกษากับหน่วยงานภาครัฐที่เกี่ยวข้องก็ได้ อพท.เข้ามาให้ความช่วยเหลือด้วยการให้ความรู้ มีจัดการอบรม มีวิทยากรมหาวิทยาลัยต่างๆเข้ามาให้ความรู้เรื่องการบริหารจัดการ แหล่งท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน ก็เอาความรู้ตรงนั้นเข้ามาช่วยในการบริหารจัดการ
เริ่มต้นด้วยแก้ปัญหานี้ด้วยความพยายามดึงเอาคนในชุมชนเข้ามา สร้างผลิตภัณฑ์ขายให้กับนักท่องเที่ยว เพื่อสร้างรายได้ให้กับพวกเขาเอง จัดการแหล่งท่องเที่ยวแบบโฮมสเตย์ให้ความรู้กับชาวบ้านว่าจะดูและปฏิบัติกับนักท่องเที่ยวอย่างไร จนพวกเขาเริ่มมีรายได้เสริมสามารถเลี้ยงชีพได้ไม่ต้องลำบาก ตรงจุดนี้เป็นสิ่งสำคัญอย่างมากหากต้องการให้คนในชุมชนเกิดความตระหนักและหวงแหนบ้านเกิด ให้กลายเป็นแหล่งท่องเที่ยวอย่างยั่งยืนนั้น สามารถสร้างรายได้ให้กับพวกเขาได้จริงโดยไม่ได้รู้สึกว่าวีถีชีวิตเปลี่ยนแปลงไปมากนัก
การท่องเที่ยวของชุมชนจะเป็นไปในรูปแบบให้ประสบการณ์กับนักท่องเที่ยวว่าวิถีชีวิตของชุมชนนี้เป็นอย่างไร ไม่ใช่แค่ขับรถลงมาดู รับฟังเรื่องราว ซื้อของแล้วก็จากไป แต่เป็นการดึงพวกเขาให้มาอยู่ในวิถีชีวิตของคนในชุมชน

สุรัตนา เล่าด้วยความภูมิใจต่อว่า แม้จะมีนักท่องเที่ยวจำนวนมากร้องขอให้รองรับนักท่องเที่ยวเพิ่ม แต่ชุมชนก็ขอจำกัดเท่าที่มีอยู่ เพราะอาชีพหลักคือการประมง “ธุรกิจท่องเที่ยวเป็นรายได้เสริม จะให้เพิ่มรอบเพิ่มห้องก็คงไม่ได้ เพราะเราไม่อยากเปลี่ยนจนสูญเสียวิถีชีวิตเดิมของเราที่เป็นจุดขายของชุมชนแห่งนี้ เหมือนกับแหล่งท่องเที่ยวเชิงวิถีชีวิตและวัฒนธรรมอื่นๆที่ผ่านมา
จากวันแรกที่มีสมาชิกร่วมกันพัฒนาชุมชนเพียง 30 คน ก็เพิ่มเป็น 90 คน รายได้ของคนในท้องถิ่นที่เข้ามาร่วมกันร่วมกันพัฒนาแหล่งท่องเที่ยวจากเดิมทีได้วันละไม่ถึงร้อย ก็เพิ่มมากเป็นวันละ 400 -1,000 บาท คลองที่เคยมีแต่ขยะก็กลับมาเป็นคลองที่ใส่สะอาดน่ามอง ป่าโกงกางก็ถูกตัดน้อยลง สัตว์น้ำเพิ่มขึ้นเราทำการประมงได้ดีขึ้นกว่าแต่ก่อน เด็กรุ่นใหม่ในท้องถิ่นก็เริ่มคิดที่จะอยู่ในชุมชนช่วยกันพัฒนาเรื่องการท่องเที่ยวเพราะอยู่ที่นี่พวกเขาก็มีรายได้ดีไม่แพ้เดินทางเข้าไปทำงานในตัวเมือง และเมื่อคนในชุมชนมีรายได้ที่ดี มีงานทำ เรื่องของยาเสพติดก็ลดลงไปเอง ถึงจุดนี้ก็เรียกได้ว่าประสบความสำเร็จแล้ว ต่อไปก็คือค่อยพัฒนาไปตามแผนงานระยะยาวโดยจำกัดจำนวนนักท่องเที่ยวให้เพียงพอ”
สุดท้าย พ.อ.ดร.นาฬิกอติภัค ย้ำว่า การพัฒนาแหล่งท่องเที่ยวอย่างยั่งยืนโลกที่แท้จริง คนในชุมชนต้องได้ประโยชน์มากที่สุด และเป็นสิ่งที่คนในชุมชนต้องการ และจะยั่งยืนได้ก็ด้วยคนในชุมชนมีความเข้มแข็งและร่วมมือกันสร้างชุมชนให้เป็นแหล่งท่องเที่ยวอย่างยั่งยืนโลกนั่นเอง