มินิมอลกลางเขา เดอะ ปาซ เขาใหญ่

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์โพสต์ทูเดย์

21 พฤษภาคม 2559 เวลา 10:55 น…. อ่านต่อได้ที่ : http://www.posttoday.com/travel/thailand/433174

มินิมอลกลางเขา เดอะ ปาซ เขาใหญ่

โดย…นิทรา ราตรี

ความฮิปได้สถิตอยู่ที่ปากช่องตั้งแต่ เดอะ ปาซ เขาใหญ่ (The Paz Khao Yai) สำแดงตนในรูปแบบโมเดิร์นมินิมอลที่มองแล้วทันสมัย เรียบง่าย น่าอยู่ และดูช่างเหมาะกับสาวกฮิปสเตอร์

ความสำคัญของมินิมอลคือ ความน้อยเน้นความเรียบง่ายบริสุทธิ์ การอยู่อย่างสมถะ โชว์เนื้อแท้ของวัสดุเป็นสำคัญ ทำให้ภาพรวมของที่อยู่อาศัยดูเรียบและสบายตาที่สุด ทำให้รีสอร์ทเหมาะที่จะอยู่กับธรรมชาติอันเป็นความเรียบง่ายที่สุด

 

ตัวอาคารอยู่บนเนินเขาไล่ระดับลงมา มีหน้าต่างและช่องเปิดรับแสงมากมายเพื่อให้ผู้ที่มาพักได้ชื่นชมธรรมชาติ มีจำนวน 69 ห้องแบ่งเป็น 5 ประเภท ได้แก่ ซีนเนอรี่ วิลลา (Scenery Villa) ห้องพักเดี่ยวยกสูง มีหน้าต่างบานใหญ่ตั้งแต่เพดานจรดพื้นเผยให้เห็นวิวภายนอก สเปเชียส ดีลักซ์ (Spacious Deluxe)ห้องพักบนตึกขนาด 48 ตร.ม. ที่ยังคงรักษาความเป็นส่วนตัว ฮอไรซั่น วิลลา (Horizon Villa)  ห้องพักทรงสี่เหลี่ยมผืนผ้าที่ยื่นออกไปจากขอบพื้นดินทำให้รู้สึกเหมือนห้องพักลอยอยู่กลางอากาศ และมีความเป็นส่วนตัวเพราะตั้งอยู่ด้านหน้าสุดของรีสอร์ท จากุซซี่ วิลลา (Jacuzzi Villa) มีอ่างจากุซซี่อยู่เหนือเตียงนอน สามารถนอนแช่น้ำและชมวิวพาโนรามาได้จากทุกมุมของห้องพัก และพูลวิลลา (Pool Villa) ห้องขนาด 152 ตร.ม. มีสระว่ายน้ำส่วนตัว จากุซซี่ภายในห้องพัก ห้องนั่งเล่น และพื้นที่สำหรับเตรียมอาหารสำหรับมื้อพิเศษส่วนตัว

รีสอร์ทยังมีบริการ คลับ เฮาส์ ที่ประกอบด้วยสระว่ายน้ำ ฟิตเนส ออนเซน ซาวน่า และสตรีม รวมถึงวิว 360 องศา ให้ดื่มด่ำกับบรรยากาศของเขาใหญ่อย่างเต็มที่ ส่วนห้องอาหารมีให้บริการตลอดวันที่ แฟฟ ดิช (Fave’ Dish) เสิร์ฟอาหารไทยและนานาชาติ และห้ามพลาดกับช่วงเวลาดินเนอร์ชมพระอาทิตย์ตกบนจุดที่สวยที่สุดในรีสอร์ท ร้านกาแฟ แฟฟ คัพ (Fave’ Cup) จำหน่ายชา กาแฟ เค้ก และอาหารว่างระหว่างวัน และบาบีโด้ บาร์ (Babedo Bar) ที่ชูว่าเป็นบาร์บนดาดฟ้าแห่งแรกของเขาใหญ่บริการเครื่องดื่มหลากหลาย แถมทิวทัศน์ดาวพร่างพรายทั้งจากแสงไฟเมืองปากช่องและบนท้องฟ้าที่สามารถเห็นได้เต็มตาโดยไม่มีอะไรมากั้น

 

เดอะ ปาซ เขาใหญ่ อยู่กลางอ้อมกอดของขุนเขาที่ทั้งเงียบสงบและอบอุ่น “เข้ากันดี”กับความเรียบง่ายและความปลอดโปร่งของสถาปัตยกรรมที่เปิดโล่งให้ธรรมชาติช่วยขจัดความเหนื่อยล้าให้หมดไป

Price: ซีนเนอรี่ วิลลา และ สเปซเชียส ดีลักซ์ 8,500 บ.ฮอไรซั่น วิลลา 10,500 บ. จากุซซี่ วิลลา 20,000 บ. และ พูลวิลลา  28,000 บ.

Place: เลขที่ 455 ต. หนองสาหร่าย อ. ปากช่อง จ. นครราชสีมา โทร. 044-009-921-4, 062-595-3512 เว็บไซต์ www.thepazkhaoyai.com

Promotion: โปรฯ ช่วงเปิดตัว ทุกห้องพักลดราคา 50 เปอร์เซ็นต์ เริ่มต้นที่ 4,250 บ. ตั้งแต่วันนี้ – 30 ก.ย. 59

 

 

ชาวไต ที่คิดถึง ณ บ้านเมืองปอน

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์โพสต์ทูเดย์

21 พฤษภาคม 2559 เวลา 10:51 น…. อ่านต่อได้ที่ : http://www.posttoday.com/travel/thailand/433173

ชาวไต ที่คิดถึง ณ บ้านเมืองปอน

โดย…กาญจน์ อายุ

หากความคิดถึงทำให้บินได้ ตัวและหัวใจคงไปอยู่บ้านเมืองปอน อ.ขุนยวม จ.แม่ฮ่องสอน เสียตอนนี้ เพราะตั้งแต่บอกลาแม่คำหลู่ เจ้าของโฮมสเตย์ที่ได้ไปกางมุ้งนอนบนชานบ้าน ก็คิดถึงแต่กลิ่นถั่วเน่าและรสอาหารที่ติดเค็มหน่อยๆ ของรสมือแม่ คิดถึงใต้ถุนบ้านที่นอนดูละครกับแม่ และคิดถึงรอยยิ้มของแม่ที่ทำให้นึกถึงแม่ตัวเอง

บ้านเมืองปอนมีระบบจัดการด้านการท่องเที่ยวโดยชุมชนเมื่อปี 2555 ซึ่งเริ่มไปพร้อมๆ กับบ้านเมืองแพม อ.ปางมะผ้า (อ่านย้อนหลังได้ในฉบับเสาร์ที่ 14 พ.ค. 2559) แต่เพราะการเดินมายังขุนยวมง่ายๆ กว่า ทำให้บ้านเมืองปอนเป็นที่รู้จักของนักท่องเที่ยวที่มองหาโฮมสเตย์ สุวิทย์ วารินทร์ ประธานกลุ่มท่องเที่ยวโดยชุมชน เล่าถึงบ้านเกิดตนให้ฟังว่า เมืองปอนเป็นถิ่นอาศัยของชาวไทใหญ่หรือชาวไตจำนวนกว่า 1,500 คน เป็นชุมชนที่มีความสำคัญทางวัฒนธรรมอันดับหนึ่งของ จ.แม่ฮ่องสอน เพราะชาวบ้านยังมีประเพณีที่ยึดถือปฏิบัติครบ 12 เดือนอย่างปอยส่างลอง บุญบั้งไฟ จองพารา และเขาวงกตที่ยังจัดแบบดั้งเดิมและยิ่งใหญ่

ตักบาตรพระหน้าบ้านแม่คำหลู่

 

ทั้งยังมีความสำคัญทางประวัติศาสตร์ช่วงสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 ที่ครั้งหนึ่งทหารญี่ปุ่นเคยใช้ขุนยวมเป็นฐานทัพเพื่อต่อสู้กับฝ่ายสัมพันธมิตรในเมียนมา และใช้บ้านเมืองปอนเป็นที่พักอาศัยระหว่างทำเส้นทางเชื่อมไปยังเมียนมาและอินเดีย

ระหว่างบรรยายอยู่นั้น พี่กมล ฝ่ายประสานงานกลุ่ม ได้แสดงแผนที่เส้นทางอาหารการกินและศิลปหัตถกรรมให้เห็นภาพรวมและฐานกิจกรรมทั่วหมู่บ้าน ส่วนโฮมสเตย์มีจำนวน 20 หลัง โดยแต่ละครั้งจะรับนักท่องเที่ยวไม่เกิน 60 คน บ้านหลังสำคัญคือ บ้านแม่คำหลู่ เติ๊กอ่อง ลักษณะเป็นเรือนไตโบราณใต้ถุนสูง หลังคามุงใบตองตึง1,200 ตับ มากที่สุดใน จ.แม่ฮ่องสอน บริเวณบ้านประกอบด้วย ห้องน้ำแยกต่างหากเรือนตากกระเทียม ห้องครัวใต้ถุนบ้าน ส่วนบนเรือนหลักเป็นห้องนอนใหญ่และชานกว้างรับแขก

ตาแหลงคำฉลุกระดาษทำจองพารา

 

ชาวเมืองปอนมีอาชีพทำนา เกือบทุกหลังมีที่นาหลังหมู่บ้าน ปลูกกระเทียม กระเทียมที่นี่เก็บไว้ได้นาน กลีบเล็ก ไม่ลีบ กลิ่นฉุนอร่อย และปลูกถั่วเหลือง สำหรับทำเป็นถั่วเน่า ซึ่งเป็นวิธีการถนอมอาหารเพื่อนำมาใช้ในการปรุงรส “ถ้าไม่มีนักท่องเที่ยวก็ไม่ใช่ปัญหา เพราะเรามีอาชีพมีงานที่ต้องทำ”พี่สุวิทย์ กล่าว “และถ้าการท่องเที่ยวมันมาทำลายวิถีชีวิตของเราเมื่อไหร่ เราก็จะหยุดรับนักท่องเที่ยว”

กิจกรรมในหมู่บ้านเป็นไปอย่างเรียบง่ายนั่นคือ เดินไปตามบ้านต่างๆ ไปขอความรู้ในสิ่งที่บ้านนั้นถนัด ช่างน่ารักตรงที่ไม่มีการจัดตั้ง ไม่บังคับซื้อของ และแทบจะไม่มีคำว่านักท่องเที่ยวเลยด้วยซ้ำ เพราะทุกคนเป็นเหมือนญาติห่างไกลที่กลับมาเยี่ยมบ้านคุณตาคุณยายประมาณนั้น

นวดจับเส้นแผนไต

 

อู๊ด ไกด์ท้องถิ่น นัดเจอกันที่บ้านแม่คำหลู่เป็นจุดสตาร์ทเพื่อนำเดินไปยังจุดต่างๆ เริ่มที่ บ้านแหลงคำ คงมณี คุณตาแหลงคำเป็นสล่าทำจองพารามานาน 60 ปี ลักษณะคล้ายปราสาท โครงทำจากไม้ไผ่ ตกแต่งด้วยกระดาษสีสดใส และทำลวดลายด้วยการฉลุกระดาษ จองพาราเป็นองค์ประกอบหลักในประเพณีแห่จองพาราที่จัดขึ้นทุกปีช่วงวันออกพรรษา ซึ่งถือเป็นงานศิลปะที่วิจิตรเพราะต้องประณีตในการฉลุลาย

จากนั้นข้ามถนนไปฝั่งตรงข้ามจะเป็นบ้าน กลุ่มแปรรูปผลิตภัณฑ์อาหารดอกเอื้องงาม เหล่าแม่บ้านกำลังง่วนกับการทำขนมข้าวปองต่อ ฝั่งคนชมก็ดูไปชิมไปและซื้อติดมือกลับไปกินแกล้มกับกาแฟพรุ่งนี้เช้าระหว่างเดินจากบ้านนั้นไปบ้านนี้ พี่อู๊ดบรรยายสองข้างทางให้ฟังว่า บ้านชาวไตมีเอกลักษณ์ตรงที่มีหลังคาสองจั่ว รอบบ้านมีระเบียงเชื่อมถึงกัน มีอาณาเขตรอบตัวบ้านปลูกพืชผักสวนครัว ส่วนใหญ่มีโรงเก็บกระเทียมและโรงเก็บข้าวไว้สำหรับใช้บริโภคในครอบครัว

บ้านป้าอู๊ดขายเสื้อไต

 

ฟังเสียงไกด์เจื้อยแจ้วไปตลอดทางจนถึง บ้านตัดเย็บผ้าไต ป้าอู๊ดเป็นช่างตัดเย็บประจำหมู่บ้าน ผลิตเครื่องแต่งกายของชาวไตที่แม้ว่าจะไม่ใช้การทอแบบดั้งเดิมแต่ก็รักษาดีไซน์ไว้ เป็นเสื้อผ้าฝ้ายแขนยาว ติดกระดุมหน้า และมีกระเป๋าอกเฉียงเพิ่มความโก้ ยกเว้นส่วนกระดุมที่ยังเย็บมือเม็ดต่อเม็ดเป็นรูปใบโพธิ์บ้าง ดอกพิกุลบ้าง ดอกหูกระต่ายบ้าง ซึ่งต้องใช้เวลาเย็บเม็ดละเกือบชั่วโมง

เมื่อมาได้ครึ่งทางไกด์อู๊ดได้พาไปกราบพระที่วัดบ้านเมืองปอน วัดที่ได้อิทธิพลจากเมียนมาทั้งลักษณะพระพุทธรูปสถาปัตยกรรม จิตรกรรมฝาผนัง และศิลปกรรมภายในวัดและพาไปไหว้ศาลสิ่งศักดิ์สิทธิ์ประจำหมู่บ้าน ที่ต้องบอกกล่างเวลามีแขกไปใครมาตามความเชื่อชุมชน เสร็จจากนั้นก็ล่วงเข้าสู่ยามเย็น เป็นช่วงเวลาที่บ้านเมืองปอนกลายเป็นสีซีเปียจากแสงสีเหลืองอุ่นของพระอาทิตย์ใกล้อัสดง แต่การเดินทางของนักท่องเที่ยวยังไม่จบแค่นั้น ไกด์อู๊ดยังพาไปชมอีกสองบ้านสุดท้ายคือบ้าน กลุ่มจักสานกุ๊บไต หรือหมวกไต เป็นภูมิปัญญาของนายองปุ้นไชยวิฑูรย์ จากไม้ไผ่หรือไม้ข้าวหลามสานลายละเอียดลักษณะคล้ายงอบของภาคกลางแต่รูปร่างเหมือนดอกเห็ดที่ยังบานไม่เต็มที่ ใช้งานได้ดีทั้งกลางแดดและกลางฝน

คัดเกรดหอมแดง

 

จากนั้นไกด์อู๊ดพาไปปิดฉากอย่างฟินาเลที่ บ้านทำข้าวปุ๊ก ขนมพื้นถิ่นที่ทำแสนง่ายและแสนอร่อยแป้งทำจากข้าวนำมานวดให้เหนียวเหมือนโมจิ โรยงาดำแล้วนวดต่อให้เป็นเนื้อเดียวกัน เคล็ดลับอยู่ที่ครกไม้สากไม้และกำลังการนวดที่สม่ำเสมอ พ่อสอนว่าต้องนวดอย่างต่อเนื่องและไปในทิศทางเดียวกันตลอดเมื่อกลมเกลียวก็ตักขึ้นจิ้มน้ำตาลอ้อยเล็กน้อยช่วยตัดรสจากเนื้อแป้งได้ลงตัว

บ้านสุดท้ายเสร็จสิ้นไปพร้อมแสงสุดท้ายและเสียงท้องร้องหาข้าวเย็นพอดี ถึงเวลาต้องแยกย้ายบ้านใครบ้านมัน กลับไปกินข้าวเย็นฝีมือแม่ที่ป่านนี้คงเตรียมกับข้าวกับปลาไว้เรียบร้อย การอยู่โฮมสเตย์มีเสน่ห์แบบนี้ ตรงที่มีคนรอกลับไปกินข้าว มีคนบอกให้ไปอาบน้ำเพราะกลัวตกดึกอากาศจะหนาว มีคนให้นอนหนุนตัก และมีคนบอกให้ห่มผ้าก่อนนอน นั่นจึงเป็นเหตุผลว่าทำไมต้องคิดถึงบ้านเมืองปอน เพราะนั่นคือความรู้สึกเดียวกับความคิดถึงครอบครัวที่รู้ว่าเราจะมีความสุขมากเมื่อกลับไป

ก่อนจาก พี่สุวิทย์ ฝากบอกว่า บ้านเมืองปอนน่าฝนจะสวยเป็นพิเศษ และมีเมนูเห็ดเผาะอร่อยเด็ดที่ไม่อยากให้พลาด ดังนั้นหากใครพร้อมมาชิมความสุขบ้านเมืองปอนก็พร้อมให้ความสุขทุกฤดูกาล

บ้านมุงหลังคาตองตึง

 

วัดบ้านเมืองปอน

 

จักสานพัดแบบโมเดิร์น

 

ยอดมะขาม เมนูฮิตฤดูร้อน

 

หอมกลิ่นถั่วเน่าในสำรับอาหารกลางวัน

 

ข้าวปุ๊กหอมงา

 

ตายายทำข้าวปุ๊ก

 

ชิมข้าวพองต่อถึงครัว

 

โรงเก็บกระเทียม

 

ปิดเกาะตาชัย จุดเปลี่ยนท่องเที่ยวไทย

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์โพสต์ทูเดย์

19 พฤษภาคม 2559 เวลา 11:04 น…. อ่านต่อได้ที่ : http://www.posttoday.com/travel/thailand/432766

ปิดเกาะตาชัย จุดเปลี่ยนท่องเที่ยวไทย

โดย…ผศ.ดร.ธรณ์ ธำรงนาวาสวัสดิ์

เมื่อก่อนการท่องเที่ยวถือเป็นกระแสหลักของบ้านเรา เพราะการท่องเที่ยวนำรายได้มหาศาลเข้าประเทศชาติ จนอะไรต่อมิอะไรก็ต้องเปิดทางให้การท่องเที่ยว

แต่ในช่วง 1 ปีที่ผ่านมา กระแสสังคมเริ่มพลิกกลับ แม้การท่องเที่ยวจะยิ่งทวีความสำคัญจนเป็นรายได้เกือบ 20% ของจีดีพี แต่คนไทยเริ่มรู้สึกว่าเราเสียอะไรไปหรือเปล่า? จนมาถึงเดือน มี.ค. 2558 เมื่อเกิดกรณี “เกาะตาชัย” ที่ควรจะเป็นเขตสงวนตามแผนแม่บทของอุทยานแห่งชาติหมู่เกาะสิมิลัน กลับมีนักท่องเที่ยวแห่กันไปเที่ยวกันจนทำให้ปะการังเสียหาย

หลังจากนั้นเป็นต้นมา กรณีต่างๆ ที่เกิดในอุทยานและการท่องเที่ยว กลายเป็นจุดสนใจตลอดแบบไม่มีตกกระแส ไม่ว่าจะเป็นเรื่องรายได้อุทยานที่พอเริ่มเก็บจริงจัง ได้เพิ่มมาหลายร้อยล้านบาท (เฉพาะพีพี อ่าวพังงา และสิมิลัน ได้เพิ่ม 700 ล้านบาทใน 7 เดือนเศษ) กรณีที่นักท่องเที่ยวทั้งต่างชาติทั้งไทยทำเรื่องไม่สมควรทำ จนถึงการเรียกร้องให้เกิดการอนุรักษ์ที่ยั่งยืน มิใช่ยินยอมให้การท่องเที่ยว “แตะต้องไม่ได้” เหมือนเช่นอดีต

กระแสดังกล่าวสร้างความเปลี่ยนแปลงอย่างเป็นรูปธรรม เริ่มจาก “พีพีโมเดล” ที่สร้างความหวังให้ทั้งคนรักธรรมชาติ นักท่องเที่ยว ผู้ประกอบการ และผู้เกี่ยวข้อง จนกลายเป็นผลงานสำคัญที่รัฐบาลกล่าวถึง ตามด้วยกรณีปะการังฟอกขาวที่อาจนำมาซึ่งการปิด “จุดดำน้ำ” 40 แห่ง ตามเกาะต่างๆ ทั่วประเทศไทย

กรณีเกาะตาชัยกลับมาสู่ความสนใจอีกครั้ง เมื่อกรมอุทยานฯ ประกาศ “ปิดเกาะตาชัยแบบไม่มีกำหนด” แม้ทุกคนทราบดีว่าเกาะตาชัยเป็นแหล่งท่องเที่ยวสำคัญ คนไทยแทบทุกคนรู้จักเกาะกลางทะเลแห่งนี้ อีกทั้งยังมีนักท่องเที่ยวต่างชาติไปมากมาย การปิดย่อมส่งผลกระทบต่อการท่องเที่ยวอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ แต่กรมอุทยานฯ เลือกที่จะ “รักษา” ทรัพยากรไว้ให้เป็นไปตามหลักการทางวิชาการ

นับเป็นครั้งแรกในรอบหลายปีที่กรมอุทยานฯ เลือกที่จะ “รักษา” นำหน้า “ท่องเที่ยว” และการก้าวไปข้างหน้าครั้งนี้ อาจจะหมายถึงย่างก้าวต่อไป เมื่อกรมอุทยานฯ กำลังพิจารณาการปิดแหล่งท่องเที่ยวทางทะเลอีกหลายแห่งที่กำลังเสี่ยงต่อภาวะปะการังฟอกขาว

กระแสยังดำเนินต่อเนื่องไปถึงแหล่งท่องเที่ยวที่อยู่นอกเขตอุทยาน เช่น เกาะไข่ จ.พังงา ที่มีปัญหาด้านการท่องเที่ยว จนล่าสุดเมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมา กรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง ส่งทีมงานลงไปสำรวจและพบการทิ้งสมอตลอดจนการจับสัตว์น้ำจากนักท่องเที่ยวต่างชาติ (อ้างอิง เดลินิวส์ 15 พ.ค. 2559) กรมทรัพยากรทางทะเลฯ จึงเรียกประชุมเร่งด่วนเพื่อแก้ปัญหาเรื่องนี้

ยังหมายถึงปัญหาของเกาะอื่นๆ เช่น เกาะแสมสาร ที่มีนักดำน้ำกล่าวถึงความเสียหายในแนวปะการัง ทำให้หน่วยงานรับผิดชอบต้องเริ่มมีการขยับตัวในการจัดการให้ถูกต้องตามหลักวิชาการ และสอดคล้องกับการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน

ปัญหาสำคัญคือทรัพยากรในแหล่งท่องเที่ยวของเราทรุดโทรมอย่างมาก การแก้จึงต้องใช้ยาแรง เช่น การปิดเกาะเพื่อล้างไพ่เริ่มต้นกันใหม่ แน่นอนว่านอกจากส่งผลต่อการท่องเที่ยว ยังส่งผลต่อแหล่งท่องเที่ยวทางทะเลแห่งอื่นที่อาจต้องรับนักท่องเที่ยวมากขึ้น เพราะจำนวนนักท่องเที่ยวของเราไม่ได้ลดลง มีแต่มากขึ้น การจัดการในพื้นที่เหล่านั้นจึงจำเป็นอย่างยิ่ง มิฉะนั้นเราจะเกิดการปิดเกาะเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ จนแทบหมด

สุดท้ายคือหน่วยงานที่เกี่ยวข้องการท่องเที่ยวโดยตรง ที่มีเสียงเรียกร้องให้เดินหน้าในเรื่องการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืนแบบเห็นผลเป็นรูปธรรมบ้าง ซึ่งผมก็หวังว่าจะเกิดความชัดเจนในเร็ววัน เพราะกระแสทั้งในโลกและในประเทศเปลี่ยนไป แนวทางเดิมอาจเริ่มใช้ไม่ได้ผล

จุดเปลี่ยนสำคัญกำลังเกิด การอนุรักษ์กำลังเริ่ม “แข็งขืน” ต่อการท่องเที่ยว แต่สุดท้ายเราต้องหาจุดสมดุลที่จะอยู่ร่วมกันได้ เราลองมาติดตามประเด็นนี้กันต่อว่าจะสร้างความเปลี่ยนแปลงอย่างไรให้ประเทศไทยของเราครับ

 

มองค่าเงิน ผ่านพิพิธภัณฑ์ ธนาคารไทย

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์โพสต์ทูเดย์

15 พฤษภาคม 2559 เวลา 08:58 น…. อ่านต่อได้ที่ : http://www.posttoday.com/travel/thailand/432030

มองค่าเงิน ผ่านพิพิธภัณฑ์ ธนาคารไทย

โดย…โยโมทาโร่

ผ่านไปแยกรัชโยธินเห็นตึกธนาคารไทยพาณิชย์สำนักงานใหญ่ก็หลายปี แต่เพิ่งจะมีโอกาสได้เข้าไปเยี่ยมชมพิพิธภัณฑ์ธนาคารไทย ที่ได้รับเสียงชื่นชมจากหลายคนว่าเป็นพิพิธภัณฑ์จัดแสดงเรื่องการเงินได้ดีที่สุดแห่งหนึ่งของประเทศไทย นั่นเพราะด้วยความทันสมัยในการทำเทคโนโลยีเข้ามาช่วยในการนำเสนอเรื่องราวในแต่ละส่วนของพิพิธภัณฑ์ ประกอบกับขั้นตอนการเล่าเรื่องราวของพิพิธภัณฑ์แห่งนี้ก็จัดว่าเยี่ยมยอด และเต็มไปด้วยสิ่งที่ไม่เคยอยู่ในตำราเรียนประวัติศาสตร์เล่มใดๆ ที่เราเคยเรียนมา

ความรู้สึกทั้งหมดเหล่านี้เริ่มต้นเมื่อเวลาราวบ่ายโมง เมื่อเราก้าวเข้าสู่ตัวพิพิธภัณฑ์นั้นดูดีกว่าที่เราคิดไว้มากนัก เพราะตัวพิพิธภัณฑ์นี้เปิดให้ใช้บริการมาตั้งแต่ปี พ.ศ. 2539 และเนื่องในโอกาสครบรอบ 100 ปี ของธนาคารไทยพาณิชย์ จึงได้ดำเนินการปรับปรุงครั้งล่าสุดไปเมื่อปี พ.ศ. 2550 จนเวลาผ่านมา 9 ปี สภาพก็ยังดูใหม่ทันสมัยสมกับเป็นพิพิธภัณฑ์ ภายใต้การดูแลของธนาคารแห่งแรกของประเทศไทยแห่งนี้

 

พิพิธภัณฑ์แห่งนี้มีแบ่งออกเป็น 2 ชั้น ชั้นแรกเป็นส่วนของการจัดแสดงนิทรรศการหมุนเวียน ซึ่งวันที่เราได้เข้าไปเยี่ยมชมนั้นเป็นส่วนการจัดแสดงนิทรรศการ “อย่าให้ใครว่าไทยไม่ออม” ซึ่งยังคงจัดแสดงถึงวันที่ 27 พ.ค. 2559 ในนิทรรศการนี้ก็จัดได้อย่างน่ารักน่าดู สามารถสื่อสารเรื่องการเงินที่ดูเป็นเรื่องยากและน่าเบื่อออกมาเข้าใจง่ายทั้งเด็กและผู้ใหญ่ จนเราเชื่อว่าเราก็สามารถเก็บเงินบริหารเงินให้กลายเป็นคนรวยกับเขาได้เหมือนกัน แถมยังมีเกมร่วมสนุกแลกกระปุกออมสิน หนังสือคู่มือการเก็บเงิน และของขวัญอื่นอีกเล็กๆ น้อยๆ ให้กับผู้เข้าชมอีกด้วย

ชั้นที่ 2 จะเป็นส่วนการจัดแสดงหลัก ซึ่งเราแนะนำว่าให้ลืมภาพพิพิธภัณฑ์ประวัติศาสตร์เดิมที่เคยชม เพื่อเปิดหูเปิดตารับรู้สิ่งที่พิพิธภัณฑ์แห่งนี้พยายามเล่าเรื่องราวประวัติศาสตร์การเงินโลก ตั้งแต่ยุคสมัยที่ยังมีการแลกเปลี่ยนข้าวของเครื่องใช้เครื่องประดับ เพื่อแทนค่าของเงินก่อนที่จะมีรูปของเงินในแบบต่างๆ เพื่อแทนค่าของสิ่งของนั้นๆ อย่างเช่น เงินที่ใหญ่และหนักที่สุดอย่างเงินเฟ ของชาวแย็ป ของหมู่เกาะทะเลใต้ ที่ทำจากหินขนาดเท่าวงล้อรถบรรทุก การใช้ค่าเงินนี้จะใช้ในกรณีหากคนของ 2 หมู่บ้านวิวาทกันแล้วถูกตัดสินว่าหมู่บ้านใดผิด คนในหมู่บ้านนั้นจะต้องกลิ้งเงินนี้ไปให้อีกหมู่บ้านหนึ่งเพื่อชดใช้ค่าเสียหาย หรือเงินเข็มขัดของชาวอินเดียนแดงในทวีปอเมริกาเหนือ ทำจากเปลือกหอยสีม่วงและขาวและกำกับสัญลักษณ์ของแต่ละหมู่บ้านเอาไว้

 

หรือเหรียญกรีกที่มีการใช้เหรียญแทนค่าเงินมาตั้งแต่ 300 ปีก่อนคริสตกาล ก็เป็นสิ่งที่ทำให้เราเข้าใจประวัติศาสตร์มนุษยชาติผ่านรูปแบบเงินตราได้อย่างน่าสนใจ เราเดินกดฟังคำบรรยายไปทีละส่วนของตู้จัดแสดง จนกระทั่งเรื่องราวของเงินเดินทางมาถึงดินแดนสุวรรณภูมิ ให้เราได้รู้จักเงินโบราณตั้งแต่ยุคแห่งการไหลบ่าของวัฒนธรรมอินเดีย ที่เข้ามาผ่านเส้นทางการเดินเรือจากอินเดียและอาหรับผ่านมหาสมุทรอินเดีย มาถึงบริเวณอ่าวเมืองตะโกลา หรือตะกั่วป่า

จากนั้นขนสินค้า เดินข้ามมาจนถึงต้นแม่น้ำและล่องเรือมาออกที่ปากอ่าวบ้านดอน อ.ไชยา จ.สุราษฎร์ธานี ปัจจุบัน จากนั้นจึงแล่นเรือต่อไปยังอาณาจักรโบราณต่างๆ เช่น ฟูนัน หรือ พนม เจนละ ทวารวดี ขอม จาม และจีน ทำให้วัฒนธรรมอินเดีย ทั้งภาษา ศาสนา กฎหมาย การปกครอง ดนตรี และเรื่องของค่าเงินเข้ามามีอิทธิพลในแถบสุวรรณภูมิแห่งนี้

 

ใครเล่าจะรู้ว่าเงินในสมัยอาณาจักรโบราณเหล่านี้ ล้วนใช้สัญลักษณ์ทางศาสนาและความเชื่อในแต่ละดินแดนเป็นตราประทับบนเหรียญนั้นๆ จากที่เรารู้จักแต่เงินพดด้วง ซึ่งเป็นค่าเงินโบราณของไทยเราก็เริ่มรู้จักเงินตราพนม (อาณาจักรฟูนัน) เงินตราทวารวดี เงินตราล้านนาและล้านช้าง ที่หาดูได้ยาก รวมทั้งประวัติการแลกเปลี่ยนเงินตราที่ใช้เหรียญเงินและเหรียญทองเป็นสื่อกลางการแลกเปลี่ยนอันเป็นที่ยอมรับในระดับสากลแห่งยุคสมัย

จากส่วนการจัดแสดงวิวัฒนาการเงินตราก็เข้ามาอยู่ในส่วนของวิวัฒนาการธนาคาร แสดงการกำเนิดและวิวัฒนาการของระบบธนาคาร ซึ่งในส่วนนี้จะนำเสนอผ่านรูปแบบสื่อวีดิทัศน์ที่มีลูกเล่นน่าสนใจและชวนติดตาม ตั้งแต่การเดินเรือไปตามเส้นทางค้าขายทั่วโลกจนเกิดความสำคัญในการมีธนาคาร จนมาถึงส่วนการเล่าถึงพระประวัติกรมหมื่นมหิศรราชหฤทัย พระบิดาแห่งการธนาคารไทย พระองค์ทรงเป็นพระราชโอรสพระองค์ที่ 77 ในพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ 4) ทรงรับราชการในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ดำรงตำแหน่งเสนาบดีกระทรวงวัง และกระทรวงพระคลังมหาสมบัติ จนกระทั่งปี พ.ศ. 2449 ทรงก่อตั้งธนาคารแห่งแรกที่ดำเนินการโดยคนไทย ใช้ชื่อว่า บุคคลัภย์ (Book Club) ต่อมาได้รับพระบรมราชานุญาตให้จดทะเบียนตั้งเป็นธนาคารได้ถูกต้องตามกฎหมาย ใช้ชื่อว่า บริษัทแบงก์สยามกัมมาจล ทุนจำกัด ซึ่งปัจจุบันคือ ธนาคารไทยพาณิชย์ พระองค์จึงทรงได้รับการยกย่องเป็นพระบิดาแห่งวงการธนาคารไทย

 

ซึ่งส่วนที่จัดแสดง เรื่องราวของบุคคลัภย์เป็นส่วนที่เราชอบที่สุดในพิพิธภัณฑ์แห่งนี้ เพราะมีการนำการแสดงภาพแบบ 3 มิติ เหมือนมีคนเล่าเรื่องราวอยู่ในฉากจำลองห้องโบราณในสมัยรัชกาลที่ 5 เชื่อว่าทุกคนที่เข้ามาที่ส่วนนี้จะต้องไม่พลาดชมอย่างแน่นอน

เดินข้ามมายังส่วนที่ 3 ต้นแบบธนาคารไทย ในส่วนนี้เป็นการจัดแสดงวิวัฒนาการของธนาคารไทย ด้วยการใช้เอกสารสำคัญที่มีอยู่จริงในยุคสมัยนั้น ให้เราได้เห็นการดำเนินงานของธนาคารไทยในยุคแรกๆ ที่ต้องจดทุกอย่างลงบนสมุดขนาดใหญ่ มีเครื่องไม้เครื่องมือ และเครื่องใช้ของแบงก์สยามกัมมาจล แสดงถึงวิวัฒนาการของระบบการเงินและการธนาคารของไทย

 

เรากล้าบอกได้เลยว่าทรงคุณค่าทางประวัติศาสตร์อย่างมาก เพราะมีทั้งเครื่องพิมพ์ดีดไทยรุ่นแรกของประเทศ เครื่องจักรลงบัญชีเดินสะพัด เครื่องตรวจลายนิ้วมือ และสมุดจดบัญชีธนาคารโบราณ หลายชิ้นที่เห็นแล้วคนที่ชอบศึกษาด้านประวัติศาสตร์จะต้องชอบอย่างแน่นอน เพราะไม่เพียงแต่การตั้งแสดงชิ้นงาน การจัดฉากแสงสีภายในห้องก็ทำให้เรารู้สึกเหมือนได้ย้อนเวลากลับไปอยู่ในธนาคารยุคสมัยนั้นด้วย

มาถึงส่วนสุดท้ายก็คือ ส่วนจัดแสดง ธนาคารไทยพาณิชย์กับการก้าวสู่ยุคปัจจุบัน โดยเราจะต้องเดินผ่านอุโมงค์กระจก เข้าสู่ส่วนจัดแสดงที่เต็มไปด้วยหน้าจอแสดงวีดิทัศน์ ฉากจำลองที่แสดงถึงความทันสมัยแห่งโลกปัจจุบัน

พิพิธภัณฑ์แห่งนี้อยู่ภายใต้การดูแลของธนาคารไทยพาณิชย์ ซึ่งถือว่าทำออกมาได้ดีและมีผู้เข้าเยี่ยมชมเป็นจำนวนมากพอสมควร เดินชมสนุกได้ความรู้ไม่น่าเบื่อ ซึ่งการจะมาชมพิพิธภัณฑ์แห่งนี้อาจจะต้องใช้เวลาอย่างน้อยๆ 3 ชั่วโมง เพื่อเก็บรายละเอียดให้ครบ และไม่เพียงแค่การจัดแสดงความรู้เท่านั้น ภายในยังมีห้องสมุดขนาดเล็กที่มีหนังสือให้ความรู้ด้านการเงิน ประวัติศาสตร์ และการบริหาร ให้ผู้ที่สนใจเข้ามานั่งอ่านหนังสือหาความรู้กันอย่างเต็มที่ ซึ่งตัวผมเองนั้นคงจะต้องหาโอกาสพาครอบครัวมาเที่ยวชมสถานที่แห่งนี้อีกครั้งอย่างแน่นอน

 

เหลืองอร่ามราชพฤกษ์

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์โพสต์ทูเดย์

14 พฤษภาคม 2559 เวลา 11:02 น…. อ่านต่อได้ที่ : http://www.posttoday.com/travel/thailand/431920

เหลืองอร่ามราชพฤกษ์

โดย…ประกฤษณ์ จันทะวงษ์

ดอกไม้หน้าร้อนแสนจะเยอะแยะมากมาย ออกดอกเบ่งบานให้สวยงามชื่นใจในยามที่อากาศร้อนจัด อย่างเช่นดอกราชพฤกษ์ ริมถนนในตัว อ.เมือง จ.เชียงใหม่

ไม่เพียงที่เชียงใหม่เท่านั้น หลายที่ทั่วประเทศดอกราชพฤกษ์ออกดอกเหลืองอร่าม สร้างความสวยงามตามท้องถนน นักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติต่างชื่นชมถ่ายรูปเก็บเป็นที่ระลึก

แต่การส่งเสริมการปลูกในบ้านเรายังน้อย หากมีการส่งเสริมกันปลูกเป็นสวนขนาดใหญ่ หรือปลูกกันเยอะๆ ตามริมถนน โดยมีเป้าหมายเพื่อการท่องเที่ยวเมื่อถึงฤดูกาล ดอกราชพฤกษ์ ดอกไม้ประจำชาติเราก็จะเหลืองอร่ามสวยงาม ดึงดูดนักท่องเที่ยวได้ ไม่แพ้ดอกซากุระของประเทศญี่ปุ่นทีเดียว

 

บันทึกดอกไม้ เพ ลา เพลิน บูติกรีสอร์ท

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์โพสต์ทูเดย์

14 พฤษภาคม 2559 เวลา 10:54 น…. อ่านต่อได้ที่ : http://www.posttoday.com/travel/thailand/431918

บันทึกดอกไม้ เพ ลา เพลิน บูติกรีสอร์ท

โดย…นิทรา ราตรี

อาณาจักร เพ ลา เพลิน สถานที่ท่องเที่ยวสำคัญในบุรีรัมย์ครองอาณาบริเวณกว่า 380 ไร่ ล่าสุดเพิ่งเปิดห้องพักโซนใหม่ชื่อ เดอะ เนเชอรัลลิสต์ (The Naturalist) ได้แรงบันดาลใจมาจากการเดินทางผ่านแต่ละทวีป โดยได้หยิบเรื่องราวของดอกไม้มาตกแต่งห้องพักท่ามกลางอุทยานไม้ดอกสีสดแห่งฤดูร้อน

เดอะ เนเชอร์รัลลิสต์ เป็นส่วนขยายจากเพ ลา เพลิน บูติกรีสอร์ท แอนด์ แอดเวนเจอร์แคมป์ ที่แต่เดิมมีห้องพัก 20 ห้อง ในธีมเดอะ เจอร์นีย์ สำหรับโซนใหม่เพิ่มห้องพักอีก 50 ห้อง แบ่งเป็นประเภทดีลักซ์ แกรนด์ดีลักซ์ และสวีท แต่ละห้องตกแต่งด้วยกราฟฟิกลายดอกไม้ไม่ซ้ำกัน ตัวอาคารสร้างเลียนแบบกลาสเฮาส์ที่ทำให้รู้สึกโปร่งสบายและให้บรรยากาศเหมือนอยู่ในโรงปลูกดอกไม้จริง ส่วนแอดเวนเจอร์ แคมป์ เป็นฐานกิจกรรมที่ได้จำลองสิ่งก่อสร้างชื่อดังของโลกให้เยาวชน นักเรียน และบุคคลทั่วไป ได้ศึกษาประวัติความเป็นมาและเป็นฐานผจญภัยที่เน้นการทำงานเป็นทีมและความสนุกสนาน

 

ผู้เข้าพักในรีสอร์ทจะได้รับบัตรฟลอร่า พาร์คฟรี โดยในช่วงเดือนนี้กำลังมีเทศกาลองุ่นและไอศกรีมเจลลาโต้ นักท่องเที่ยวสามารถเรียนรู้วิธีการเก็บผลผลิตองุ่นสดๆ จากต้นองุ่นหวานไร้เมล็ดสายพันธุ์บิวตี้ ซีสเลส ที่เพาะเลี้ยงในโรงเรือนแบบเกษตรอินทรีย์ และเข้าร่วมกิจกรรมเวิร์กช็อปทำไอศกรีมเจลลาโต้แบบอิตาเลียนแท้ ส่วนดอกไม้ในฟลอร่า พาร์ค ขณะนี้กำลังสะพรั่งไปด้วยไม้ดอกสีสันจัดจ้าน เช่น บีโกเนีย เดซี่บลูซัสเวีย เจเลเนียม และไฮเดรนเยีย ก่อนที่ในเดือนถัดไปทั้งหมดจะเปลี่ยนเป็นดอกกระเจียวอีสานกว่า 40 สายพันธุ์ในเทศกาลมนต์เสน่ห์ดอกไม้งามสยามทิวลิป

เพ ลา เพลิน ประกอบด้วย 4 ส่วน ได้แก่รีสอร์ท ฟลอร่า พาร์ค หรืออุทยานไม้ดอกสวนน้ำ และศูนย์การเรียนรู้ด้านการเกษตรและปศุสัตว์ฟาร์ม ซึ่งส่วนสุดท้ายเป็นไปตามอุดมการณ์ที่ต้องการให้ เพ ลา เพลิน เป็นศูนย์การเรียนรู้และปฏิบัติจริงในการเพาะเลี้ยงพันธุ์พืชและพันธุ์สัตว์ เพื่อเป็นเกษตรทางเลือกและอาชีพเสริมให้แก่เยาวชนและคนทั่วไป

 

Price: ดีลักซ์ 2,500 บาท แกรนด์ดีลักซ์ 3,500 บาท และสวีท 6,500 บาท

Place: เลขที่ 252 อ.คูเมือง จ.บุรีรัมย์ ห่างจากตัวเมือง 32 กม. โทร. 044-634-736–8 เว็บไซต์ www.playlaploen.com/resort-restaurant

Promotion:

 

ปกาเกอะญอ ที่รัก ณ บ้านเมืองแพม

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์โพสต์ทูเดย์

14 พฤษภาคม 2559 เวลา 10:49 น…. อ่านต่อได้ที่ : http://www.posttoday.com/travel/thailand/431916

ปกาเกอะญอ ที่รัก ณ บ้านเมืองแพม

โดย…กาญจน์ อายุ

หลายปีก่อนใครไป “แม่ฮ่องสอน” ถือว่าเป็นผู้พิชิต อันเป็นกุศโลบายพลิกความหมายของความยากลำบากจาก 1,864 โค้ง ให้เป็นความท้าทายสำหรับนักเดินทาง “ตัวจริง” ที่ไม่ใช่แค่แวะชมแล้วกลับ แต่ไปเพื่อเรียนรู้และเข้าถึงอะไรบางอย่างที่แม่ฮ่องสอนปกป้องไว้

หนึ่งในนั้นคือ บ้านเมืองแพม หมู่บ้านชาติพันธุ์กะเหรี่ยง หรือปกาเกอะญอกลางหุบเขาใน อ.ปางมะผ้า ใช้เวลาเดินทางผ่านเส้นทางภูเขาประมาณ 5 ชม. แต่นั่นไม่ใช่เหตุผลที่จะไม่ไป เพราะค่าที่อยู่ห่างไกลทำให้บ้านเมืองแพมยังดิบ เกือบจะไม่ถูกปรุงแต่งตามยุคสมัย และอบอวลไปด้วยจิตวิญญาณที่มนุษย์เมืองขาดหายไปจนเกือบลืมว่าเคยมี

ทอผ้าแบบไม่ใช้กี่

 

บ้านเมืองแพมอยู่สันโดษกลางธรรมชาติ แต่ไม่ตัดขาดจากโลกภายนอกเสียทีเดียว เพราะมีถนนอย่างดีตัดผ่านและมีสัญญาณโทรศัพท์บ้างตามกระแสลม พาตี่ (ลุง) รังสี คีรีประสบทอง ประธานกลุ่มท่องเที่ยวโดยชุมชน ให้ข้อมูลว่าปัจจุบันบ้านเมืองแพมมี 123 หลัง ประชากรจำนวน 618 คน นับถือศาสนาพุทธ บูชาผี และคริสต์ ชาวบ้านอพยพมาจากบ้านแม่ยาน อ.ปาย และห้วยปูลิง อ.เมือง เมื่อปี 2500 จากนั้นได้รับรองเป็นหมู่บ้านเมื่อปี 2504 และตั้งกลุ่มท่องเที่ยวโดยชุมชนในปี 2555 ปัจจุบันมีโฮมสเตย์ที่พร้อมรับนักท่องเที่ยว 17 หลัง สลับเปิดบ้านไปตามคิวและความพร้อม ซึ่งนักท่องเที่ยวไม่สามารถเลือกบ้านได้

โฮมสเตย์ คือ การนอนบ้านหลังเดียวกับชาวบ้าน กินกับข้าวสำรับเดียวกัน และใช้ชีวิตเยี่ยงคนท้องถิ่น อย่างบ้านพาตี่สง่า เป็นบ้านไม้สองชั้น เจ้าของบ้านนอนชั้นล่าง ส่วนแขกของบ้านนอนชั้นบน แต่ละมื้อพาตี่สง่ากับลูกเขยจะเป็นคนทำอาหาร เย็นวันนั้นมียอดมะขามคลุกปลากระป๋อง แกงฟักทอง ผัดผักกูด และมิซาโตะ (น้ำพริก) กินแกล้มมะละกอต้ม ซึ่งวัตถุดิบเกือบทุกอย่างเก็บมาจากรั้วบ้าน หรือขอจากแปลงผักข้างบ้านมาทำ

บ้านหมอยาสมุนไพรเส่วา

 

การทำเกษตรกรรมของชาวเมืองแพมยังผลิตแบบยังชีพเพื่อกินในครอบครัว ทุกบ้านจะมีผืนนา เมื่อถึงปลายเดือน มิ.ย. ทุกบ้านจะมาลงแขก ซึ่งเป็นการทำนาครั้งเดียวเพื่อเลี้ยงครอบครัวทั้งปี ดังนั้นจึงไม่แปลกว่าทำไมพาตี่รังสีถึงไม่กล่าวถึงอาชีพเลยสักนิด เพราะทุกคนเป็นเกษตรกรที่ทำเพื่อเลี้ยงครอบครัว จะมีขายเพื่อหารายได้บ้างก็เมื่อต้องการซื้อเครื่องใช้ไฟฟ้าหรือของใช้ภายในบ้าน ไม่เช่นนั้นแล้วเงินแทบไม่มีความหมาย เพราะของกินมีอยู่รอบตัว แค่เข้าครัวจุดไฟก็ท้องอิ่มมีแรง ทำให้วิถีชีวิตของบ้านเมืองแพมช่างเรียบง่ายไปเสียทุกอย่าง ตั้งแต่อาหารที่กินเท่าที่มี เสื้อผ้าที่ใส่เท่าที่ทำ โทรศัพท์มือถือก็ใช้เท่าที่มีสัญญาณ ซึ่งการท่องเที่ยวโดยชุมชนได้จัดเป็นเส้นทางอาหารการกินและศิลปวัฒนธรรมสำหรับนักท่องเที่ยว แต่ละฐานเป็นบ้านจริง ทำจริง วิถีจริง และให้สัมผัสชีวิตจริง

ผ้าทอกะเหรี่ยง

ผ้าทอกะเหรี่ยงเป็นผ้าที่มีคุณค่ามาก เพราะทุกกระบวนการทำจากสองมือ ตั้งแต่ปั่นฝ้าย ย้อมสี ทอ ปัก เย็บ จนกลายเป็นเสื้อผ้าหนึ่งชุด ผู้หญิงทุกคนในหมู่บ้านจะทอผ้าเป็นตั้งแต่เด็กสืบทอดวิชามาจากแม่ของตน ซึ่งวิธีการทอจะไม่ใช้กี่ แต่จะยึดผ้าไว้กับเสาแล้วใช้ตัวดึงผ้าให้ตึง เวลาเดินผ่านแต่ละบ้านช่วงกลางวันจะได้ยินเสียงไม้กระทบกันป๊อกแป๊ก อันเป็นกิจวัตรประจำวันของแม่บ้านที่มานั่งทอผ้าอยู่ใต้ถุน นอกจากนี้เสื้อผ้ายังบอกสถานะคนใส่ ถ้าหญิงคนนั้นใส่ชุดสีขาวนั่นคือสาวพรหมจรรย์ แต่หากใส่ดำหมายถึงแต่งงานแล้ว

ก่อเตาย้อมผ้าสีธรรมชาติ

 

หมอยาสมุนไพร

บ้านเมืองแพมไม่มีโรงพยาบาลดังนั้นชาวบ้านจึงต้องพึ่งหมอยาสมุนไพรที่มีความรู้เรื่องยาธรรมชาติอย่างถ่องแท้ ทั้งแก้ปวด แก้เมื่อย แก้ไข้ และอีกสารพัดโรคภัยก็สามารถหายเป็นปลิดทิ้งด้วยสมุนไพรไทยจากป่าลึก

จักสานและช่างไม้

พาตี่บ้านจักสานบอกเล่าเรื่องราวตั้งแต่เข้าป่าไปตัดไม้ไผ่ ลากออกมา เหลาไม้ให้เป็นเส้นสาย แล้วพันร้อยสานกันเป็นตะกร้า กระด้ง กระจาด เช่นเดียวกับบ้านช่างไม้ที่นำไม้ไผ่ทั้งปล้องมาตัดและฉลุลายกลายเป็นแก้วน้ำ รวมถึงถ้วยกาแฟ ช้อน ส้อม ทัพพี สาก ครก ที่ทำจากไม้ทั้งท่อนนำมาตัดทีละน้อย คว้านเนื้อด้านในออก และขัดผิวให้เรียบสวยที่ล้วนแล้วแต่แฮนด์เมดทั้งสิ้น

บ้านแกะสลัก ทำแก้วน้ำไม้ไผ่และเครื่องใช้จากไม้

 

เดินป่า

กิจกรรมวันเดย์ทริปที่ทำให้เห็นบ้านเมืองแพมโดยรวมในเวลาจำกัด บนเส้นทางเดินป่าศึกษาธรรมชาติระยะทางประมาณ 4 กม. โดยเริ่มต้นเดินตั้งแต่โรงเรียนบ้านเมืองแพม ตัดผ่านหมู่บ้าน ผ่านวัด และทะลุออกไปยังทุ่งนา จากนั้นเข้าสู่เขตป่าที่เต็มไปด้วยต้นไม้ขนาดใหญ่ ผ่านโป่งตามธรรมชาติ ผ่านต้นมะไฟป่า เพื่อจุดหมายปลายทางที่ถ้ำยาว เป็นถ้ำขนาดยาว 500 เมตร ภายในไม่มีแสงสว่าง มีหินงอกหินย้อยเกิดใหม่จำนวนมาก โอ่โถงเดินสบาย และน่าตื่นใจว่าจะค้นพบอะไรในความมืด จากนั้นไปสิ้นสุดการเดินที่วังปลา แวะพักรับประทานอาหารกลางวันฝีมือพาตี่สง่าที่การันตีได้ว่าอร่อยจนไม่อยากอิ่ม

อย่างไรก็ตาม สิ่งที่ประทับใจที่สุดไม่ใช่กิจกรรมที่ทำให้ตื่นเต้น แต่เป็น “ชาวบ้าน” ที่อยู่ด้วยแล้วมีความสุข แม้ว่าบางคนจะพูดภาษาไทยไม่ได้ แต่ภาษากะเหรี่ยงที่ได้ยินกลับชัดเจนไปด้วยความจริงใจ แม้ไม่เคยรู้จักกันมาก่อน แต่กลับต้อนรับด้วยอาหารสำรับใหญ่ และไม่ว่าจะเดินไปบ้านไหน ก็ได้รับน้ำใจและไมตรีเหลือเกิน

บ้านเมืองแพมคือสิ่งยืนยันว่าแม่ฮ่องสอนเป็นปลายทางของนักเดินทางตัวจริงที่ไม่ใช่แค่แวะชมแล้วกลับ แต่ไปเพื่อเรียนรู้และเข้าถึงอะไรบางอย่างที่แอบซ่อนไว้ และอีกหนึ่งในนั้นคือ บ้านเมืองปอน อ.ขุนยวม ที่เก็บไว้นำเสนอในวันเสาร์ถัดไป โปรดตามไปทำความรู้จักกับหมู่บ้านชาวไตที่น่ารักไม่แพ้กัน

เหลาไม้ไผ่สานตะกร้า

 

ทอผ้าใต้ถุน

 

เดินผ่านทุ่งนาไปเข้าป่า

 

คอกวัวท้ายหมู่บ้าน

 

บรรยากาศในบ้านเมืองแพม

 

เป่ายางต้นสบู่ดำ

 

อาหารเย็นฝีมือเจ้าของบ้านโฮมสเตย์

 

การท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน เทรนด์ใหม่พัฒนาการท่องเที่ยวไทย

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์โพสต์ทูเดย์

09 พฤษภาคม 2559 เวลา 11:32 น…. อ่านต่อได้ที่ : http://www.posttoday.com/travel/thailand/430793

การท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน เทรนด์ใหม่พัฒนาการท่องเที่ยวไทย

โดย…โยธิน อยู่จงดี ภาพ อพท.

การท่องเที่ยวคือธุรกิจที่สามารถสร้างรายได้เข้าประเทศได้อย่างมากมาย แต่ธุรกิจการท่องเที่ยวมีส่วนในการทำลายทรัพยากรธรรมชาติ สังคม และวัฒนธรรมของท้องถิ่นอย่างประเมินค่าไม่ได้เช่นกัน สังเกตได้จากแหล่งท่องเที่ยวต่างๆ นั้นผู้ที่ได้รับประโยชน์มากที่สุดไม่ใช่คนในท้องถิ่น แต่เป็นเหล่านายทุนที่เข้าไปแสวงหาประโยชน์จากความนิยมในสถานที่ท่องเที่ยวนั้น จึงเกิดเกณฑ์การพัฒนาการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืนโลก หนึ่งในความท้าทายในการพัฒนาขององค์การสหประชาชาติ (United Nations’ Millennium Development Goals) เพื่อแก้ไขปัญหาความยากจน ความเท่าเทียมทางเพศสภาพ และความยั่งยืนทางสิ่งแวดล้อม ด้วยการใช้การท่องเที่ยวเข้ามาช่วยแก้ไขปัญหาเหล่านี้

การท่องเที่ยวอย่างยั่งยืนโลกคืออะไร

พ.อ.ดร.นาฬิกอติภัค แสงสนิท ผู้อำนวยการองค์การบริหารการพัฒนาพื้นที่พิเศษ เพื่อการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน (อพท.) อธิบายเรื่องการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืนโลกอย่างอารมณ์ดี ว่า เกณฑ์นี้เริ่มต้นมาจากองค์การสหประชาชาติมีองค์กรหนึ่งที่ชื่อว่า องค์กรการท่องเที่ยวโลก (GSTC – Global Sustainable Tourism Council) อยู่ภายใต้การดูแลของสหประชาชาติ ได้กำหนดข้อกฎเกณฑ์เรื่องการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืนโลกขึ้นมาเพื่อแก้ไขปัญหาด้านการท่องเที่ยวที่เกิดขึ้นทั่วโลก ทั้งหมด 41 ข้อ แบ่งเป็น 4 เสาหลัก ก็คือ 1.เน้นเรื่องการบริหารจัดการที่มีประสิทธิภาพ พัฒนากลไกในการบริหารจัดการให้แหล่ง
ท่องเที่ยวทุกแหล่งมีแผนการพัฒนาบริหารการจัดการในระยะยาว

2.เพิ่มผลประโยชน์ให้ชุมชนท้องถิ่น ข้อนี้สำคัญมากเพราะเราจะต้องทำให้ปากท้องชุมชนได้รับผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจสังคม ต้องมีรายได้การจ้างงานจากการท่องเที่ยวเพราะพวกเขาเป็นเจ้าของแหล่งท่องเที่ยวอย่างแท้จริง แต่ต้องอยู่ภายใต้การค้าอย่างเป็นธรรม 3.ทางวัฒนธรรมจัดการแหล่งท่องเที่ยวแบบวัฒนธรรมต่างๆ อย่างชัดเจน เช่น ที่ จ.น่าน เป็นแหล่งท่องเที่ยวทางวัฒนธรรม หากนักท่องเที่ยวต้องการความบันเทิงแสงสีก็ต้องไปเที่ยวที่อื่น เราไม่สามารถเปลี่ยนแปลงวัฒนธรรมท้องถิ่นได้ และ 4.การจัดการด้านสิ่งแวดล้อม แหล่งท่องเที่ยวทุกแหล่งต้องมีระบบการจัดการพลังงานในการรีไซเคิลขยะ การจัดการน้ำให้สะอาดก่อนปล่อยลงสู่แหล่งน้ำธรรมชาติ และการจัดการพลังงานเพื่อสิ่งแวดล้อมในแต่ละท้องถิ่นไปตามจริตของแหล่งท่องเที่ยว

 

เกณฑ์เหล่านี้ประกาศมาตั้งแต่ปี 2556 ให้ประเทศสมาชิกได้นำข้อปฏิบัติเหล่านี้มาใช้ในประเทศของตัวเอง สำหรับประเทศไทยองค์กรที่ทำหน้าที่นี้โดยตรง ก็คือ องค์การบริหารการพัฒนาพื้นที่พิเศษ เพื่อการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน (อพท.) สามารถกำหนดกฎเกณฑ์นี้มาใช้ได้ถึง 29 ข้อ เพราะมีบางข้อที่อยู่นอกเหนือความสามารถของหน่วยงานใดหน่วยงานหนึ่งที่จะทำได้หมด

อย่างในเรื่องการบริหารจัดการฤดูกาลท่องเที่ยว จะเป็นหน้าที่ของการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย หรือในเรื่องความปลอดภัยอาจจะเป็นหน้าที่ของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ หรือในเรื่องการบริหารจัดการสิ่งแวดล้อมในเขตป่าไม้ก็จะเป็นหน้าที่ของกรมอุทยานฯ ที่ต้องเข้ามาดูแล ดังนั้นหากไทยจะทำให้ครบทั้ง 41 ข้อ ก็จำเป็นที่ต้องอาศัยความร่วมมือของทุกฝ่ายเพื่อให้ได้ครบทั้ง 41 ข้อ

อย่างไรก็ตาม สหประชาชาติไม่ได้กำหนดว่าจะต้องทำให้ครบทั้ง 41 ข้อ ถึงจะผ่านเกณฑ์ เป็นเพียงแค่แนวทางในการพัฒนาการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืนโลก ถ้าทำได้ครบจะถือว่าดีเยี่ยม (ดูเกณฑ์การท่องเที่ยวอย่างยั่งยืนโลกทั้งหมดได้ที่เว็บไซต์ www.gstcouncil.org)

ใจความสำคัญการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืนโลก

พ.อ.ดร.นาฬิกอติภัค ย้ำถึงสิ่งสำคัญในการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืนโลก ว่า ตอนนี้ประเทศไทยเป็นประเทศแรกในโลกที่เข้าเกณฑ์การท่องเที่ยวอย่างยั่งยืนโลกมากที่สุด “แต่ต้องทำความเข้าใจก่อน ว่า การที่ต่างประเทศไม่มีการนำไปใช้อย่างจริงจัง อาจจะมองได้ 2 มุม ก็คือ มุมแรกเขาเป็นประเทศที่พัฒนาแล้ว อย่างประเทศเยอรมนี พวกเขามีความรู้ในการบริหารจัดการแหล่งท่องเที่ยว ด้วยความรู้ในสำนึกของคุณภาพประชากรของเขาเอง เพราะพวกเขามีความรู้มีรายได้ดี เขาจึงสามารถบริหารจัดการการท่องเที่ยวแบบยั่งยืนโลกได้อยู่แล้ว โดยไม่ต้องเอาเกณฑ์อะไรเข้ามาใช้

เมื่อเทียบกับประเทศโลกที่สาม หรือประเทศที่กำลังพัฒนา รายได้ของประชากรต่ำ ปากกัดตีนถีบ ต้องดำน้ำลงไปหักปะการังมาขาย ต้องไปตัดไม้ทำลายป่าหาเลี้ยงชีพ ถ้าเป็นอย่างนี้ก็จำเป็นต้องเอาข้อระเบียบการบริหารการจัดการแหล่งท่องเที่ยวยั่งยืนโลกมาช่วยพัฒนา เพราะหัวใจหลักสำคัญของการบริหารการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืนโลก คือ การให้คนท้องถิ่นมีรายได้จากการท่องเที่ยว และอนุรักษ์วัฒนธรรมสิ่งแวดล้อมของโลกไปในตัว”

 

พ.อ.ดร.นาฬิกอติภัค ยกตัวอย่างแหล่งท่องเที่ยวที่เข้าเกณฑ์การท่องเที่ยวอย่างยั่งยืนโลกในประเทศไทยที่แรก คือ เมืองเก่าน่าน “เราประกาศพื้นที่เขตเฉพาะกำแพงเมืองเก่าเท่านั้น ตอนเริ่มต้นชุมชนก็คือรู้สึกกังวลเรื่องการจัดการแหล่งท่องเที่ยว ว่า เดี๋ยวจะเปิดเออีซีแล้วเราจะบริหารจัดการการท่องเที่ยวอย่างไรไม่ให้เสียอัตลักษณ์ของชุมชนเหมือนอย่างที่เคยเกิดขึ้นกับแหล่งท่องเที่ยวชุมชนอื่นที่เคยเสียมาแล้ว พวกเขาก็เริ่มมาคุยกันว่าเราจะจัดการอย่างไร ก็มาดูในรายละเอียดว่าพวกเขามีแหล่งท่องเที่ยวอะไรบ้าง

เมื่อให้ความรู้และข้อมูลกับพวกเขาเพียงพอ ก็ทำให้คนท้องถิ่นรู้ว่า นักท่องเที่ยวต้องการมาดูวีถีชีวิต ต้องมาดูวัฒนธรรม ต้องการมาดูการทอผ้า ก็ทำให้คนท้องถิ่นรู้ว่าวิถีชีวิตเดิมๆ ของพวกเขานั่นล่ะ คือจุดขายที่สามารถสร้างรายได้ให้กับพวกเขาได้ ทำให้พวกเขารู้สึกรักและหวงแหนวัฒนธรรม และอยากจะเป็นเจ้าของพื้นที่บ้านเกิดของเขาตลอดไป เพราะปัญหาหนึ่งที่เรารู้กันดี ก็คือเรื่องของนายทุนที่พยายามเข้าไปใช้แหล่งท่องเที่ยวเหล่านี้หารายได้ เข้าไปเปลี่ยนแปลงสภาพท้องถิ่น สร้างโรงแรมขนาดใหญ่ เข้าไปทำให้แหล่งท่องเที่ยวทางวัฒนธรรมกลายเป็นสถานที่ท่องเที่ยวบันเทิง เอาแหล่งท่องเที่ยวทางธรรมชาติให้เป็นของเขาแต่ผู้เดียว สิ่งเหล่านี้จึงไม่เกิดขึ้นที่เมืองเก่าน่าน เพราะคนในชุมชนเข้มแข็งและตระหนักดีว่า หากพวกเขาพัฒนาแหล่งท่องเที่ยวบ้านเกิด พวกเขาก็จะมีรายได้ มีชีวิตความเป็นอยู่ที่ไม่ต้องเปลี่ยนแปลงไปจากเดิม เมื่อตกลงเป็นที่เรียบร้อยคณะกรรมการเมืองเก่าน่าน จึงออกเทศบัญญัติ ห้ามสร้างอาคารที่มีความสูงเกิน 12 เมตร

จนถึงวันนี้เที่ยวบินที่เคยเดินทางไป จ.น่าน จาก 1-2 ไฟลต์ ก็กลายเป็น 7-9 ไฟลต์/วัน นั่นแสดงว่าวิถีชีวิตวัฒนธรรมสามารถขายได้ ทำให้พวกเขากลับมาพัฒนาชุมชนให้กลายเป็นแหล่งท่องเที่ยวอย่างยั่งยืนโลกต่อไป”

ยั่งยืนได้ด้วยชุมชนไม่ใช่นายทุน

เมื่อถามถึงสถานที่ท่องเที่ยวที่เข้าเกณฑ์ของสหประชาชาติมากที่สุด กับทางอพท. ก็ระบุมาทันทีคือ ชุมชนบ้านน้ำเชี่ยว อ.แหลมงอบ จ.ตราด ที่เข้าเกณฑ์การท่องเที่ยวอย่างยั่งยืนโลก ถึง 29 ข้อ มากที่สุดในโลก เท่าที่มีหน่วยงานเข้าไปประเมินรับรองในเวลานี้

สุรัตนา ภูมิมาโนช ประธานชมรมส่งเสริมการท่องเที่ยวบ้านน้ำเชี่ยว เล่าว่า เริ่มต้นมาจากชุมชนมีความต้องการพัฒนาพื้นที่ให้กลายเป็นแหล่งท่องเที่ยว สร้างรายได้ให้กับชุมชนโดยที่นักท่องเที่ยวไม่จำเป็นต้องเดินทางข้ามไปเที่ยวที่เกาะช้าง จึงตั้งชมรมส่งเสริมการท่องเที่ยวบ้านน้ำเชี่ยวมีสมาชิกเข้าร่วมอยู่ประมาณ 30 คนเพื่อช่วยกันพัฒนาให้กลายเป็นแหล่งท่องเที่ยว

ปัญหาเดิมของท้องถิ่นก็คือชุมชนมีสภาพคลองที่เต็มไปด้วยขยะและน้ำเสีย ป่าโกงกางถูกตัดทำลายไปขาย คนรุ่นใหม่ในชุมชนอยากจะไปทำงานในท้องถิ่นอื่น และที่สำคัญที่สุดก็คือปัญหายาเสพติดที่เข้ามาระบาดในชุมชน จึงเริ่มปรึกษากับหน่วยงานภาครัฐที่เกี่ยวข้องก็ได้ อพท.เข้ามาให้ความช่วยเหลือด้วยการให้ความรู้ มีจัดการอบรม มีวิทยากรมหาวิทยาลัยต่างๆเข้ามาให้ความรู้เรื่องการบริหารจัดการ แหล่งท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน ก็เอาความรู้ตรงนั้นเข้ามาช่วยในการบริหารจัดการ

เริ่มต้นด้วยแก้ปัญหานี้ด้วยความพยายามดึงเอาคนในชุมชนเข้ามา สร้างผลิตภัณฑ์ขายให้กับนักท่องเที่ยว เพื่อสร้างรายได้ให้กับพวกเขาเอง จัดการแหล่งท่องเที่ยวแบบโฮมสเตย์ให้ความรู้กับชาวบ้านว่าจะดูและปฏิบัติกับนักท่องเที่ยวอย่างไร จนพวกเขาเริ่มมีรายได้เสริมสามารถเลี้ยงชีพได้ไม่ต้องลำบาก ตรงจุดนี้เป็นสิ่งสำคัญอย่างมากหากต้องการให้คนในชุมชนเกิดความตระหนักและหวงแหนบ้านเกิด  ให้กลายเป็นแหล่งท่องเที่ยวอย่างยั่งยืนนั้น สามารถสร้างรายได้ให้กับพวกเขาได้จริงโดยไม่ได้รู้สึกว่าวีถีชีวิตเปลี่ยนแปลงไปมากนัก

การท่องเที่ยวของชุมชนจะเป็นไปในรูปแบบให้ประสบการณ์กับนักท่องเที่ยวว่าวิถีชีวิตของชุมชนนี้เป็นอย่างไร ไม่ใช่แค่ขับรถลงมาดู รับฟังเรื่องราว ซื้อของแล้วก็จากไป แต่เป็นการดึงพวกเขาให้มาอยู่ในวิถีชีวิตของคนในชุมชน

 

สุรัตนา เล่าด้วยความภูมิใจต่อว่า แม้จะมีนักท่องเที่ยวจำนวนมากร้องขอให้รองรับนักท่องเที่ยวเพิ่ม แต่ชุมชนก็ขอจำกัดเท่าที่มีอยู่ เพราะอาชีพหลักคือการประมง “ธุรกิจท่องเที่ยวเป็นรายได้เสริม จะให้เพิ่มรอบเพิ่มห้องก็คงไม่ได้ เพราะเราไม่อยากเปลี่ยนจนสูญเสียวิถีชีวิตเดิมของเราที่เป็นจุดขายของชุมชนแห่งนี้ เหมือนกับแหล่งท่องเที่ยวเชิงวิถีชีวิตและวัฒนธรรมอื่นๆที่ผ่านมา

จากวันแรกที่มีสมาชิกร่วมกันพัฒนาชุมชนเพียง 30 คน ก็เพิ่มเป็น 90 คน รายได้ของคนในท้องถิ่นที่เข้ามาร่วมกันร่วมกันพัฒนาแหล่งท่องเที่ยวจากเดิมทีได้วันละไม่ถึงร้อย ก็เพิ่มมากเป็นวันละ 400 -1,000 บาท คลองที่เคยมีแต่ขยะก็กลับมาเป็นคลองที่ใส่สะอาดน่ามอง ป่าโกงกางก็ถูกตัดน้อยลง สัตว์น้ำเพิ่มขึ้นเราทำการประมงได้ดีขึ้นกว่าแต่ก่อน เด็กรุ่นใหม่ในท้องถิ่นก็เริ่มคิดที่จะอยู่ในชุมชนช่วยกันพัฒนาเรื่องการท่องเที่ยวเพราะอยู่ที่นี่พวกเขาก็มีรายได้ดีไม่แพ้เดินทางเข้าไปทำงานในตัวเมือง และเมื่อคนในชุมชนมีรายได้ที่ดี มีงานทำ เรื่องของยาเสพติดก็ลดลงไปเอง ถึงจุดนี้ก็เรียกได้ว่าประสบความสำเร็จแล้ว ต่อไปก็คือค่อยพัฒนาไปตามแผนงานระยะยาวโดยจำกัดจำนวนนักท่องเที่ยวให้เพียงพอ”

สุดท้าย พ.อ.ดร.นาฬิกอติภัค ย้ำว่า การพัฒนาแหล่งท่องเที่ยวอย่างยั่งยืนโลกที่แท้จริง คนในชุมชนต้องได้ประโยชน์มากที่สุด และเป็นสิ่งที่คนในชุมชนต้องการ และจะยั่งยืนได้ก็ด้วยคนในชุมชนมีความเข้มแข็งและร่วมมือกันสร้างชุมชนให้เป็นแหล่งท่องเที่ยวอย่างยั่งยืนโลกนั่นเอง

 

วัดพุทไธศวรรย์ กับความทรงจำครั้งวัยเยาว์

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์โพสต์ทูเดย์

08 พฤษภาคม 2559 เวลา 10:24 น…. อ่านต่อได้ที่ : http://www.posttoday.com/travel/thailand/430710

วัดพุทไธศวรรย์ กับความทรงจำครั้งวัยเยาว์

โดย…สืบสิน ภาพ คลังภาพโพสต์ทูเดย์

ยังจำได้ว่าเมื่อครั้งวัยเยาว์ คุณแม่สุดที่รักเล่าให้ฟังว่า “วัดพุทไธศวรรย์” นั้นเป็นวัดสำคัญมาตั้งแต่สมัยกรุงศรีอยุธยาโน้น และเป็นอีกหนึ่งวัดที่ไม่โดนพม่าเผาทำลาย เนื่องจากเป็นวัดที่อยู่นอกเมือง ที่สำคัญแม่ยังบอกว่าที่นี่ยังเป็นสถานที่ฝึกมวยและดาบอันมีชื่อเสียงดังไปไกลเชียวล่ะครับ

วัดพุทไธศวรรย์ ตั้งอยู่ริมแม่น้ำเจ้าพระยาฝั่งตะวันตก ใน ต.สำเภาล่ม อ.พระนครศรีอยุธยา เป็นพระอารามหลวงที่ปรากฏตามตำนานว่า สมเด็จพระรามาธิบดีที่ 1 (พระเจ้าอู่ทอง) ทรงสร้างขึ้นในบริเวณที่ซึ่งเป็นที่ตั้งพลับพลาที่ประทับ เมื่อทรงอพยพมาตั้งอยู่ก่อนสถาปนากรุงศรีอยุธยาเป็นราชธานี ที่ตรงนี้มีชื่อปรากฏในพระราชพงศาวดารว่า “ตำบลเวียงเล็กหรือเวียงเหล็ก” ครั้นเมื่อสถาปนากรุงศรีอยุธยาแล้ว ถึง พ.ศ. 1896 จึงโปรดให้สร้างวัดนี้ขึ้นเป็นพระราชอนุสรณ์ ณ ตำบลซึ่งพระองค์เสด็จฯ มาตั้งมั่นอยู่แต่เดิม และพระมหากษัตริย์องค์ต่อๆ มาก็คงจะได้โปรดให้สร้างถาวรวัตถุเพิ่มเติมขึ้นอีกหลายอย่าง

 

อนึ่ง เมื่อเสียกรุงในปี พ.ศ. 2310 วัดพุทไธศวรรย์ก็เป็นอีกวัดหนึ่งที่มิได้ถูกพม่าทำลายเหมือนวัดอื่นๆ ทุกวันนี้จึงยังมีโบราณสถานไว้ชมอีกมากมายที่สร้างขึ้นในยุคสถาปนากรุงศรีอยุธยาเป็นราชธานี โดยสมเด็จพระรามาธิบดีที่ 1 หรือพระเจ้าอู่ทอง ปฐมบรมกษัตริย์แห่งกรุงศรีอยุธยา ได้โปรดให้สถาปนาพระวิหารและพระมหาธาตุในพระตำหนักเวียงเหล็ก ซึ่งเป็นที่ประทับเดิมขณะเสด็จฯ มาตั้งมั่นอยู่เดิมขึ้นเป็นอาราม และให้ชื่อว่า “วัดพุทไธศวรรย์” เพื่อเป็นพระราชอนุสรณ์ หลังจากขึ้นครองราชสมบัติแล้ว 3 ปี

สถานที่สำคัญภายในวัดที่น่าสนใจหลายอย่าง อาทิ พระอุโบสถ ซึ่งเดิมคือพระตำหนักเวียงเหล็ก พระธาตุ หรือพระปรางค์ใหญ่ ซึ่งเป็นศิลปะอยุธยาตอนต้น ผสมผสานศิลปะแบบขอม มีระเบียงล้อมรอบ ภายในประดิษฐานพระปูนปั้นนับร้อยองค์ ด้านข้างพระปรางค์ยังมีมณฑปข้าง เป็นที่ประดิษฐานพระประธานปูนปั้นปางมารวิชัย

 

นอกจากนี้ยังมีพระวิหารหลวง เป็นพระวิหารขนาดใหญ่ ตั้งอยู่ด้านหน้าปรางค์ประธาน ส่วนท้ายพระวิหารเชื่อมต่อเนื่องกับระเบียงคดที่ล้อมรอบปรางค์ประธาน ฐานพระวิหารหลวงประดับบัวลูกแก้วอกไก่ ส่วนบนที่เป็นหลังคาและผนังได้ชำรุดลงไป

ที่ผมรู้สึกปลื้มใจอย่างยิ่งอีกประการก็คือที่วัดนี้ยังเป็นที่ประทับของพระวิหารพระพุทธไสยาสน์ ซึ่งตั้งอยู่ด้านข้างปรางค์ประธาน ผนังบางส่วนและหลังคาได้ชำรุดลงไป ภายในประดิษฐานพระพุทธไสยาสน์ ศิลปะอยุธยาตอนต้น ซึ่งมีพุทธลักษณะที่งดงามมาก

 

จุดเด่นอีกประการที่วัดนี้ยังมีตำหนักสมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ เป็นตำหนักที่ประทับของพระเถระชั้นผู้ใหญ่ เป็นอาคารก่ออิฐถือปูน 2 ชั้น ฐานอาคารมีลักษณะโค้งแบบศิลปะอยุธยาตอนปลาย ช่องหน้าต่างชั้นล่างโค้งยอดแหลมแบบตะวันตก ชั้นบนมีภาพจิตรกรรมฝาผนังเรื่องทศชาติชาดก ไตรภูมิ และภาพตำนาน สมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ไปนมัสการพระพุทธบาทที่ลังกาทวีป โดยฝีมือช่างอยุธยาตอนปลายที่เหลือไม่ถึง 10 แห่งในประเทศไทย ปัจจุบันภาพจิตรกรรมมีสภาพเลือนรางไปมากแล้ว และด้านข้างยังมีหอระฆังเหลี่ยมทรงแปลกตา มีแผนผังคล้ายรูปดาว อันเป็นการประดิษฐ์คิดค้นรูปแบบใหม่ๆ ของช่างโบราณในสมัยนั้น

วัดแห่งนี้ยังมีชื่อเสียงในเรื่องของสำนักดาบ พุทไธศวรรย์ โรงเรียนที่สอนกระบี่ กระบอง และดาบโบราณ รวมไปถึงการชกมวยโบราณที่ผู้คนยุคนั้นรู้จักกันเป็นอย่างดี ซึ่งบางวันจะมีการฝึกซ้อมเพลงดาบของสำนักดาบวัดพุทไธศวรรย์อันลือชื่อให้ชมอีกด้วย

 

วัดพุทไธศวรรย์ยังได้ชื่อว่าเป็นเจ้าสำนักองค์จตุคามรามเทพ ดูจากมณฑปขนาดมหึมาที่ประดิษฐานองค์พ่อจตุคามให้ได้สักการะอีกด้วยนะครับ

ความทรงจำเมื่อครั้งยังเป็นเด็กน้อยก็เริ่มฉายชัดอีกครั้งเมื่อได้มาเยือนสถานที่ศักดิ์สิทธิ์แห่งนี้อีกครั้ง

 

 

 

จันทร์ดวงใหม่ แซนด์ดูนส์ เจ้าหลาว บีช รีสอร์ท

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์โพสต์ทูเดย์

07 พฤษภาคม 2559 เวลา 18:18 น…. อ่านต่อได้ที่ : http://www.posttoday.com/travel/thailand/430624

จันทร์ดวงใหม่ แซนด์ดูนส์ เจ้าหลาว บีช รีสอร์ท

โดย… นิทรา ราตรี

เมื่อไม่นานมานี้ จ.จันทบุรี เพิ่งค้นพบพระจันทร์ดวงใหม่ที่ แซนด์ดูนส์ เจ้าหลาว บีช รีสอร์ท ที่พักขนาดใหญ่ที่สุดบนหาดเจ้าหลาวที่กำลังพราวเสน่ห์ไม่ต่างจากคืนวันเพ็ญ ด้วยความใหม่ ความใหญ่ ความสะดวกสบาย และความทันสมัย ทำให้รีสอร์ทกลายเป็นที่สุดและขึ้นสู่ตัวเลือกอันดับแรกสุดได้ไม่ยาก

รีสอร์ทตั้งอยู่ริมหาดเจ้าหลาวที่ขึ้นชื่อว่าเป็นจุดชมพระอาทิตย์ตกที่สวยที่สุดแห่งหนึ่งใน จ.จันทบุรี ซึ่งสามารถชมวิวพระอาทิตย์ตกได้จากห้องพัก สระว่ายน้ำ ร้านอาหาร หรือบนชายหาดที่ทุกเย็นน้ำทะเลจะวาดหาดทรายให้เป็นริ้วสวยงาม ห้องพักมีทั้งหมด 185 ห้อง แบ่งเป็น 7 แบบ เริ่มจากสุพีเรียร์ ดีลักซ์ และพูลแอ็กเซส ซึ่งจะแยกย่อยไปตามวิวที่เห็น ขนาด และสิ่งอำนวยความสะดวกภายในห้องพัก โดยห้องพักส่วนใหญ่จะเห็นวิวทะเลจากระเบียง ห้องพูลแอ็กเซสมีระเบียงที่เชื่อมกับสระว่ายน้ำ และห้องพรีเมียร์พูลแอ็กเซสมีอ่างอาบน้ำและมีขนาดใหญ่ที่สุด

แต่ละห้องจะตกแต่งด้วยภาพวาดสีอะครีลิกบนผนังหัวเตียง เป็นฝีมือของจิตรกรชาว จ.จันทบุรี ที่สร้างสรรค์ผลงานที่แตกต่างกัน 185 ชิ้น ทำให้ทุกห้องมีเอกลักษณ์นอกจากนี้ตัวอาคารยังถูกออกแบบให้เอื้อต่อการใช้งานของคนชราและคนพิการทั้งทางลาดและห้องน้ำที่ใส่ใจเรื่องความปลอดภัย

รีสอร์ทยังรองรับกลุ่มสัมมนาขนาดใหญ่ด้วยห้องประชุมนิวพอร์ตที่รับได้ถึง1,000 คน และสามารถแบ่งเป็น 7 ห้องย่อยสำหรับกลุ่มเล็ก รวมถึงสนามหญ้าริมสระว่ายน้ำที่สามารถจัดเวทีพร้อมโต๊ะรับประทานอาหาร หรืองานเลี้ยงค็อกเทลสุดชิลให้เข้ากับบรรยากาศริมทะเล ส่วนห้องอาหารมี 2 แห่ง ทั้งบนตัวอาคารที่ไรซ์เบอร์รี่ เป็นห้องอาหารขนาดใหญ่รองรับได้ 200 คน และริมทะเลที่ เดอะ ชอร์ (TheShore) เหมาะแก่การนั่งจิบเครื่องดื่มเย็นๆ พร้อมชมวิวพระอาทิตย์ตกยามเย็นไปพร้อมกัน

แซนด์ดูนส์ เจ้าหลาว บีช รีสอร์ท เพิ่งเปิดให้บริการอย่างเป็นทางการเมื่อเดือน เม.ย.ที่ผ่านมา มีความเป็นที่สุดทั้งด้านขนาด 10.5 ไร่ ใหญ่ที่สุดบนหาดเจ้าหลาว ห้องสัมมนาใหญ่ที่สุดใน จ.จันทบุรี และใหม่ที่สุดในขณะนี้ ที่นี่จึงเสมือนเป็นพระจันทร์เกิดใหม่ในเมืองจันท์ที่ไม่ว่าใครก็ขวนขวายอยากไปให้เร็วที่สุด