เพลินนารี มอลล์ เดินเพลินๆ ในแดนหมี

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์โพสต์ทูเดย์

17 เมษายน 2559 เวลา 09:39 น…. อ่านต่อได้ที่ : http://www.posttoday.com/travel/thailand/426999

เพลินนารี มอลล์ เดินเพลินๆ ในแดนหมี

โดย…โยโมทาโร่

เห็นช่วงนี้ใครๆ ก็ฮิตถ่ายรูปกับหมี แพนด้า คุมะมง และอีกสารพัดหมีเซเลบที่เปิดตัวในเมืองไทย แต่จะให้เดินทางมาถ่ายรูปกับหมีใจกลางกรุงก็เห็นจะเหนื่อย เลยตัดสินใจไปเดินเที่ยวที่เพลินนารี มอลล์ วัชรพล ศูนย์การค้าซึ่งมีแต่รูปปั้นหมีน่ารักๆ กระจายอยู่ทั่ว จึงเป็นสถานที่ที่เหมาะกับการมาเดินเที่ยวดูหมี (อย่าเรียกเห็นหมีเป็นอันขาด) และพาเด็กๆ มาเดินเล่นพักผ่อนในวันหยุดสุดสัปดาห์

เพลินนารี มอลล์ เป็นช็อปปิ้งมอลล์ที่ได้รับอิทธิพลแนวคิดมาจากสวนสนุก เมื่อครั้งแรกที่ได้เห็นเราจึงคิดว่าเป็นสวนสนุกมากกว่าศูนย์การค้า เพราะมีทั้งชิงช้าสวรรค์และตุ๊กตาหมี เพลินนารี แบร์ (Plearnary Bear) ตั้งตระหง่านอยู่ข้างหน้าศูนย์การค้า อย่าว่าแต่ขาจรเลยครับ คนที่ขับรถผ่านไปมาเป็นประจำตอนก่อสร้างก็ยังคิดว่าเป็นสวนสนุกเลย

 

การเดินทางก็ไม่ได้ยากครับ แค่ขับรถมาทางถนนรามอินทรา เข้าซอยวัชรพลประมาณ 500 เมตร ก็จะเห็นเพลินนารี มอลล์ อยู่ทางขวามือ หรือขับรถมาจากถนนเลียบทางด่วนรามอินทรา ขึ้นสะพานข้ามแยกเข้าซอยวัชรพลก็ได้เช่นกัน ส่วนรถประจำทางนั้นจะค่อนข้างเข้ามาลำบากกว่าครับ แนะนำให้ลงป้ายรถเมล์ก่อนถึงซอยวัชรพลแล้วต่อแท็กซี่จะสะดวกกว่า ส่วนเวลาทำการก็เหมือนศูนย์การค้าทั่วไป เปิดตั้งแต่เวลา 10.30-22.00 น. ไม่มีวันหยุด

สถานที่แห่งนี้เป็นอาคาร 2 ชั้น ซึ่งเต็มไปด้วยเพลินนารี แบร์ มองไปทางไหนก็มีแต่หมีอยู่ทั่วพื้นที่กว่า 3,000 ตารางเมตร ซึ่งทางศูนย์การค้าแห่งนี้ตั้งใจจะใช้สัญลักษณ์หมีเป็นตัวแทนความรัก ความอบอุ่น ของทุกคนในครอบครัว ซึ่งคิดว่าประสบความสำเร็จพอสมควร เพราะทุกครั้งที่มาไม่มีครั้งไหนเลยที่จะไม่เห็นเด็กๆ และรอยยิ้มของทุกคนที่ได้ถ่ายรูปกับหมี

 

โดยเฉพาะเด็กๆ จะสนุกกับโซนสวนสนุกในร่มที่มีพี่หมียักษ์สูงประมาณ 7 เมตร เด่นเป็นตระหง่านอยู่กลางลาน ซึ่งมีทั้งรูปปั้นหมี 12 ราศี และหมีในอิริยาบถน่ารักๆ ให้เด็กๆ ได้วิ่งเล่น โซนนี้จะกินพื้นที่ประมาณ 1,000 ตารางเมตร ใช้เป็นลานกิจกรรมสำหรับจัดงาน เป็นพื้นที่ในร่มให้ทุกคนได้เข้ามาเดินเล่น และเด็กๆ ก็จะได้เล่นเครื่องเล่นที่มีอยู่ในพื้นที่ฟรี หากมาวันเสาร์-อาทิตย์จะมีกิจกรรมพาเหรดหมีเดินขบวนสร้างสีสันและความสนุกสนานให้กับเด็กๆ เป็นรอบๆ และทุกเย็นของวันอังคาร-พฤหัสฯ จะมีนำเต้นแอโรบิกออกกำลังกายเพื่อสุขภาพอีกด้วย

แต่จุดเด่นที่น่าสนใจสำหรับที่เพลินนารี มอลล์ อีกจุดหนึ่งก็คือโซนเอดดูเคชั่น เพลินนารีที่รวบรวมนำเอาสถาบันการสอนวิชาและพัฒนาทักษะมารวมกันที่นี่ ซึ่งมีในส่วนของโซนเด็กเล่นที่ต้องสมัครสมาชิกรายปีต่างหาก ถ้าอาศัยอยู่ในย่านนี้ก็น่าสนใจครับ เพราะของเล่นเสริมทักษะและเครื่องเล่นภายในโซนนี้ค่อนข้างใหม่ และช่วยพัฒนาทักษะให้กับเด็กๆ ได้ดีเลยทีเดียว

 

ส่วนโซนอื่นๆ นั้นก็มีในโซนร้านอาหาร ซึ่งเป็นจุดเด่นอีกจุดหนึ่งของเพลินนารี มอลล์ ที่มีร้านอาหารที่มีชื่อเสียงและน่าเข้าไปใช้บริการอยู่หลายร้าน

สันติ พิริยาชัย คุณพ่อลูก 2 ที่เดินทางมาเที่ยวที่นี่เป็นประจำ เล่าว่า สำหรับครอบครัวคนเมืองอย่างเขาแล้ว ศูนย์การค้าคือหนึ่งในสถานที่ที่สามารถเดินเที่ยวเล่นพักผ่อนหย่อนใจได้ไม่ต่างกับการเดินเล่นสวนสาธารณะ ที่เพลินนารี มอลล์ เองเขามองว่าก็เป็นหนึ่งในตัวเลือกที่จะพาครอบครัวมาเดินเล่นในช่วงวันหยุด เพราะไม่ไกลจากบ้านมากนัก และอย่างน้อยๆ เด็กๆ ก็ดูสนุกสนานกับเครื่องเล่น วิ่งเล่นในพื้นที่กว้างๆ จนกว่าเขาจะรู้สึกเบื่อและอยากไปเดินเล่นที่อื่นบ้าง

 

จุดที่เขาชอบที่สุดก็คือส่วนที่เป็นโซนสวนสนุกในร่มที่มีหมีให้เข้าไปถ่ายรูปอยู่หลายมุม เด็กๆ พอได้ดูหมีน่ารักพวกเขาก็มีความสุข ก็เท่ากับว่าสิ่งที่เขาต้องการได้บรรลุแล้ว เดี๋ยวนี้มีศูนย์การค้าแนวนี้ค่อนข้างเยอะ แต่ที่นี่มีเอกลักษณ์ที่ชัดเจนว่าเหมาะกับเราพ่อแม่ลูก เด็กๆ มีที่เล่นและมีระบบรักษาความปลอดภัยที่ดี ส่วนผมกับภรรยาก็อาจจะใช้เวลาระหว่างเด็กๆ เข้าไปเล่นในสวนสนุก เลือกซื้อของใช้ที่จำเป็นก่อนกลับบ้านด้วยกัน “การเดินทางอาจจะไม่สะดวกนักเมื่อเทียบกับศูนย์การค้าอื่น แต่เมื่อมาถึงแล้วส่วนมากทุกคนจะติดใจความน่ารักของที่แห่งนี้เหมือนกันหมด”

เอาเป็นว่าถ้าคุณชอบหมี ต้องไม่พลาดที่จะมาที่เพลินนารี มอลล์ เพราะที่นี่มีหมีเยอะแยะไปหมด อย่าว่าแต่เด็กๆ ชอบเลยครับ ผู้ใหญ่บางคนมาครั้งแรกก็เป็นต้องวิ่งไปถ่ายรูปกับหมีด้วยกันทั้งนั้น

 

 

 

 

พักปีกก่อนบิน บ็อกซ์เทล สุวรรณภูมิ

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์โพสต์ทูเดย์

16 เมษายน 2559 เวลา 09:32 น…. อ่านต่อได้ที่ : http://www.posttoday.com/travel/thailand/426877

พักปีกก่อนบิน บ็อกซ์เทล สุวรรณภูมิ

โดย…นิทรา ราตรี

หากมีเวลาว่าง 4 ชั่วโมง ระหว่างต่อเครื่องบินคงไม่ทำอะไรนอกจากหา “ที่นอน” ถ้าไม่ใช่เก้าอี้เบาะนุ่มสัก 3 ตัว ก็คงเป็นบนพื้นใกล้ปลั๊กไฟ แต่ดีที่ตอนนี้สนามบินสุวรรณภูมิมี บ็อกซ์เทล (Boxtel) โรงแรมสำหรับการรอต่อเครื่องรายแรกที่เพิ่งเปิดให้บริการเมื่อต้นเดือน เม.ย.ที่ผ่านมา

โรงแรมตอบโจทย์นักเดินทางด้วยที่ตั้งอยู่ภายในสนามบิน จึงไม่ต้องต่อรถให้เสียเวลา อัตราค่าบริการคิดเป็นรายชั่วโมง จึงไม่จำเป็นต้องจ่ายมากแม้นอนน้อย และเตียงนอนใช้เกรดเดียวกับโรงแรม 5 ดาว เพื่อตอบสนองความต้องการหลักของการเข้าพัก

 

บ็อกซ์เทล เกิดขึ้นเพื่อตอบสนองความต้องการของนักเดินทางที่รอต่อเครื่องบินเป็นเวลานาน คนเหล่านั้นต้องการเพียงเตียงนอนดีๆ ห้องนอนเงียบๆ มีปลั๊กไฟให้ชาร์จ และมีสัญญาณ Wi-Fi ให้ใช้ฟรี บ็อกซ์เทลมีห้องพัก 12 ห้อง แต่ละห้องกว้าง 4 ตร.ม. ใช้เตียงนอนขนาดกว้าง 3.5 ฟุต ยาว 198 ซม. ภายในห้องมีโต๊ะเก้าอี้พร้อมอุปกรณ์สำหรับเชื่อมต่อคอมพิวเตอร์ และมีช่องหน้าต่างให้พักสายตา ส่วนพื้นที่ส่วนกลางทำเป็นล็อบบี้เปิดโล่งให้พบปะเพื่อนใหม่เพื่อเพิ่มประสบการณ์ดีๆ ก่อนเดินทาง

นอกจากนี้ บ็อกซ์เทลยังช่วยในการบริหารเวลาและวางแผนการเดินทางให้ง่ายขึ้น โดยที่ไม่ต้องกังวลกับปัญหาจราจรในเมืองหรือไม่ต้องหงุดหงิดกับค่าแท็กซี่ ทั้งยังมีคนช่วยเตือนเวลา จึงมั่นใจได้ว่าจะไม่ตกเครื่องบิน

 

บ็อกซ์เทลเป็น Alternative Travel Lifestyle เข้าใจนักเดินทางรุ่นใหม่ และเข้าใจว่าการรอคอยในสนามบินนั้นน่าเบื่อแค่ไหน ต่อจากนี้ไปเวลาเหล่านั้นจะถูกแทนที่ด้วยการนอนเต็มอิ่ม ให้นักเดินทางได้ชาร์จพลังเต็มที่ก่อนขึ้นเครื่องบิน

Price: ราคาเริ่มต้น 2 ชม. แรก 600 บ.

Place: ชั้น B ใกล้สถานีแอร์พอร์ตเรลลิงค์ภายในสนามบินสุวรรณภูมิ โทร. 02-134-9626 เว็บไซต์ www.boxtelthailand.com

Promotion: –

 

 

เกาะพยาม โปรดสัญญาว่า จะไม่บอกใคร

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์โพสต์ทูเดย์

16 เมษายน 2559 เวลา 09:27 น…. อ่านต่อได้ที่ : http://www.posttoday.com/travel/thailand/426876

เกาะพยาม โปรดสัญญาว่า จะไม่บอกใคร

โดย…กาญจน์ อายุ

หลายคนบอก (ออกแนวบ่น) ว่า กว่าจะถึง “เกาะพยาม” ต้องใช้ความพยายาม ข้อนี้ไม่เถียงเพราะไม่ว่าจุดหมายใดก็ต้องใช้ความพยายาม แต่ผลลัพธ์หลังจากนั้นต่างหากที่น่าสนใจ

มีหลายเหตุผลที่ทำให้เกาะชายขอบเปลี่ยนสถานะเป็นเกาะในฝัน อาจเป็นเพราะความดิบแบบเกาะห่างไกลหรือความน่ารักของคนท้องถิ่นที่ทำให้เกาะท่องเที่ยว “ไม่ใช่” เกาะของนักท่องเที่ยว เกาะพยามเริ่มเป็นที่รู้จักตั้งแต่มีรีสอร์ทแห่งหนึ่งใช้สโลแกน มัลดีฟส์เมืองไทย เป็นจุดขาย เผยแพร่ภาพท้องทะเลสีฟ้าใส หาดทรายขาว ตัดกับโกงกางเขียวชอุ่มที่แสดงให้เห็นความสมบูรณ์ทั้งป่าและทะเล หลังจากนั้นชื่อเกาะพยามก็กลายเป็นเรื่องใหม่ของประเทศไทย

เดินชมตะวันตกดินที่อ่าวใหญ่

 

สมมติฐาน

ฉายา เกาะพยายาม น่าจะเป็นเรื่องระยะทาง ถ้าวัดจากกรุงเทพฯ ถึงระนองไกลกันกว่า 500 กม. ทว่าก็มีเครื่องบินให้บริการทุกวัน จากนั้นต่อเรือสปีดโบ๊ทที่ท่าเรือระนองใช้เวลาเดินทางไปเกาะพยามประมาณ 45 นาที หรือหากนั่งเรือเมล์จะแล่นช้ากว่าใช้เวลาราว 2 ชม. เมื่อถึงเกาะก็เป็นเรื่องความใกล้ไกลของที่พัก มีตั้งแต่เกสต์เฮาส์แบบโลคอลไปจนถึงรีสอร์ทห้าดาว

การเดินทางมีสองวิธีคือ ขี่มอเตอร์ไซค์และปั่นจักรยาน ส่วนรถยนต์ไม่มีสิทธิเพราะถนนแคบเกิดกว่าจะรับได้ มอเตอร์ไซค์มีให้เช่าคันละ 250 บาท เติมน้ำมันอีก 50 บาท เป็น 300 บาท สามารถใช้ได้ 24 ชม. ถ้วน ไม่เช่นนั้นต้องใช้บริการมอเตอร์ไซค์วิน (ที่นี่เรียกว่า แท็กซี่) ราคา 80-150 บาท ต่อเที่ยวแล้วแต่ระยะทาง นี่เป็นความเสมอภาคที่เกาะพยามบังคับทุกคน เพราะไม่ว่าจะไฮโซแค่ไหนก็ต้องซ้อนมอเตอร์ไซค์

เส้นทางบนเกาะพยามปั่นจักรยานได้

 

สุดท้ายกลับมาคำถามตั้งต้นว่า กว่าจะถึงเกาะพยามต้องใช้ความพยายามหรือไม่ คงต้องตอบเป็นคำคมบาดใจ “ไม่มีอะไรที่ได้มาโดยไม่ต้องพยายาม”

ผลลัพธ์

แพตเทิร์นการท่องเที่ยวบนเกาะพยามมีหลายเส้นทางหลายหาด แต่ธีมเดียวกันคือ พระอาทิตย์

ฝั่งตะวันออก มีจุดชมพระอาทิต์ขึ้นที่อ่าวไผ่ อ่าวหินขาว อ่าวแม่หม้าย อ่าวมุก เรียงรายกันจากเหนือจรดใต้ ที่มีชื่อเสียงสุดต้องยกให้อ่าวแม่หม้ายเพราะนอกจากจะเห็นดวงอาทิตย์แบบเปิดกว้าง ยังมีหาดทรายขาวที่สุดบนเกาะ

พายเรือชมโกงกาง

 

 

ด้านฝั่งตะวันตก ต้องไปชมพระอาทิตย์ตกที่อ่าวใหญ่ จุดนี้เป็นไฮไลต์ด้วยชายหาดยาวหลายกิโลฯ ทำให้เห็นเวิ้งทะเลแบบพาโนรามา ช่วงเย็นจะมีนักท่องเที่ยวมาจับจองที่นั่งดูหนังกลางแปลงเต็มชายหาด เพื่อรับชมฉากดราม่าของพระอาทิตย์ ตั้งแต่คล้อยต่ำ สาดแสง ลับเข้าเมฆสีแสด และฉายรัศมีเป็นแสงสุดท้าย

“ผู้ชมต่างรอจนเครดิตคนสุดท้ายเลื่อนหาย และลุกขึ้นปรบมือพร้อมกันเพื่อให้เกียรติแก่นักแสดงทุกคน”

นอกจากนี้อ่าวใหญ่ยังมีเอกลักษณ์ที่หาดทรายสีดำ โดยจะเห็นชัดเมื่อน้ำทะเลลดระดับแล้วระบายหาดเป็นริ้วทรายสีดำตามรอยคลื่นที่หายไป

คายัคอาบแสงเย็น

 

อีกจุดอยู่ที่อ่าวเขาควาย เป็นอ่าวที่มีกองหินรูปร่างประหลาด บางคนเรียกว่า กองหินทะลุ เพราะมีช่องโหว่ตรงกลางมองลอดออกไปเห็นทะเล ชายหาดยาวประมาณ 4 กม. ลักษณะโค้งเหมือนเสี้ยวพระจันทร์แถมมีทรายสีเหลืองเหมือนแสงจันทร์

ถ้าจะถ่ายภาพพระอาทิตย์ตกแบบฮิปเตอร์ต้องรอให้ตกผ่านช่องหิน ถ้ามีนางแบบต้องถ่ายย้อนแสงให้เห็นแค่เงาดำจะจัดว่าฮิปเตอร์เต็มตัว และหาดสุดท้ายฝั่งตะวันตกอยู่ทางตอนเหนือสุดชื่อ หาดกวางปีป มีความสงบเงียบที่สุดเพราะไกลจากเมืองที่สุด ทั้งยังเป็นแหล่งดูนกแก๊กตามธรรมชาติซึ่งเป็นตัวชี้วัดความอุดมสมบูรณ์

ในแง่วิถีชีวิตมีให้เห็นอยู่เป็นปกติตามสองข้างทาง ทั้งสวนมะม่วงหิมพานต์ที่ชาวบ้านทำเป็นอาชีพควบคู่ไปกับสวนยางพารา และชุมชนชาวมอแกนหรือเหล่าลูกทะเลที่แยกอาศัยค่อนข้างสันโดษ ผู้ไปเยือนต้องขี่มอเตอร์ไซค์ผ่านสวนยางพารา ผ่านป่ามะม่วงหิมพานต์ บนถนนที่เป็นเพียงพื้นทราย (ที่เจ้าของร้านเช่ามอเตอร์ไซค์ย้ำนักหนาว่าห้ามลุย)

ชิลเอาต์ริมหาด

 

ความเป็นอยู่ของชาวมอแกนบนเกาะพยามค่อนข้างต่างจากที่เกาะสุรินทร์ พวกเขาไม่ได้อาศัยบนบ้านไม้ไผ่มุงจากเหมือนดั้งเดิม แต่อยู่ในตึกสี่เหลี่ยมชั้นเดียวที่ทางรัฐสร้างให้ ที่นี่ยังไม่มีไฟฟ้าทำให้ในช่วงกลางวันจะเห็นผู้หญิงและเด็กออกมานั่งรวมกันหน้าบ้าน ส่วนผู้ชายจะไปออกเรือหาปลาตามวิถี

นอกจากนี้ รอบเกาะพยามมีจุดดำน้ำที่แหลมทับอวนและแหลมหรัง ซึ่งฤดูกาลหาดสวยน้ำใสอยู่ระหว่างเดือน ต.ค.-เม.ย. หลังจากนั้นจะเข้าสู่ช่วงมรสุมตั้งแต่เดือน พ.ค.-ก.ย. “ยังเที่ยวได้” คนบนเกาะกล่าว เพราะนิสัยของฝนระนองจะตกหนักสลับแดดแต่ไม่การันตีความยาวนาน กิจกรรมจึงเน้นไปที่การอ่านหนังสือในรีสอร์ท เขียนหนังสือสักเรื่อง หรือนอนตีพุงทั้งวัน (ทั้งคืน)

ริ้วทรายหลังน้ำลด

 

ระนองอื่นๆ

จากฝั่งระนองสามารถไปเที่ยวเกาะชายแดนของเมียนมาได้ไม่ยาก โปรแกรมยอดนิยมคือ วันเดย์ทริปไปเกาะหัวใจมรกตหรือเกาะค๊อกคอมฝั่งเมียนมา ที่ก่อนหน้านี้เคยปิดชั่วคราว เพราะความกังวลเรื่องสิ่งแวดล้อม แต่ตอนนี้มีผู้ประกอบการไทยได้รับสัมปทานพาคนไทยไปเที่ยวทุกวัน ขายเป็นโปรแกรมทัวร์รวมพาไปดำน้ำที่เกาะแหวนนอก เกาะดันกิ้น และเกาะสน มากไปกว่านั้นในเขตน่านน้ำระนองยังมีเกาะกำ เกาะค้างคาว และเกาะญี่ปุ่น ที่เป็นเส้นทางตามหาฝูงปลาการ์ตูนแบบวันเดย์ทริปเช่นกัน

โดยรวมแล้วระนองรายล้อมไปด้วยเกาะเล็กเกาะน้อยไม่ต่ำกว่า 50 เกาะ เกาะที่เปิดเป็นแหล่งท่องเที่ยวแล้วก็ยังไม่วุ่นวาย ธรรมชาติยังไม่เสียหาย และนักท่องเที่ยวยังไม่มากมายเท่าไรนัก เอาเป็นว่าเรื่องที่บอกไปทั้งหมดนี้ขอเก็บไว้เป็นความลับระหว่างเรา อย่าไปบอกใครว่าระนองสวยและน่าไปขนาดไหนเพื่อรักษาความสงบของระนองไว้…สัญญา

ผู้หญิงมอแกนทำงานที่บ้าน ขณะที่ผู้ชายออกเรือ

 

กาหยูหรือมะม่วงหิมพานต์ 11 พระอาทิตย์ตกที่อ่าวเขาควาย

 

ชาวมอแกนนั่งรับลมนอกบ้าน เพราะยังไม่มีไฟฟ้า

 

หมู่บ้านชาวมอแกน

 

ซากุระหลบไป ดอกไม้ไทยกำลังมา บุปผาหน้าร้อนทั่วไทย

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์โพสต์ทูเดย์

12 เมษายน 2559 เวลา 11:23 น…. อ่านต่อได้ที่ : http://www.posttoday.com/travel/thailand/426264

ซากุระหลบไป ดอกไม้ไทยกำลังมา บุปผาหน้าร้อนทั่วไทย

โดย … กาญจนา อายุวัฒน์ธนชัย ภาพ… กาญจนา,ททท.,สวนนงนุช

ไม่ต้องไปชมเทศกาลดอกไม้ที่ไหนไกล เพราะดอกไม้ไทยกำลังสวยแจ่ม ทั้งคูน ขอนแก่น เหลืองปรีดียาธร สุพรรณฯ บัวแดง พัทลุง กุหลาบแดง ภูหลวง ปอเทืองเหลืองสด สงขลา หรือชวนชมสีชมพู เมืองพัทยา ที่กำลังเบิกบานรอให้ไปประชันความ “สวยแรง” รับซัมเมอร์

คูนคนสวย ขอนแก่น

ดอกไม้ประจำชาติไทย ดอกคูน หรือดอกราชพฤกษ์ กำลังย้อยพวงระย้าริมถนนกัลปพฤกษ์ จ.ขอนแก่น เป็นนัดหมายประจำปีให้ชาวอีสานมารวมตัวกันในเดือน เม.ย.

 

 

ถนนกัลปพฤกษ์เต็มไปด้วยดอกราชพฤกษ์ คนส่วนใหญ่จะจอดรถชิดฟุตปาทแล้วลงมาเซลฟี่บนเกาะกลางถนน แต่ก็มีบ้างที่ปั่นจักรยานละเลียดธรรมชาติเพื่อสัมผัสถึงคำว่า ดอกไม้หน้าร้อน เต็มตัว นอกจากนี้เมื่อปลายเดือน มี.ค.ที่ผ่านมา ได้มีการติดตั้งไฟส่องสว่างต้นคูน จำนวน 100 ต้น ตั้งแต่ประตูทางออกศูนย์ประชุมอเนกประสงค์กาญจนาภิเษกถึงแยกวัดป่าอดุลยาราม เพื่อให้นักท่องเที่ยวชมความสวยงามได้ทั้งกลางวันและกลางคืน

ต้นคูนเป็นพืชทนแล้งได้ดี โดยทั่วไปดอกจะบานช่วงเดือน มี.ค.-พ.ค. และเชื่อกันว่าถ้าปลูกไว้ในบ้านต้องปลูกทางฝั่งตะวันตกเฉียงใต้เพื่อความรุ่งเรืองทวีคูณ

 

กุหลาบพันปี นางพญาแห่งภูหลวง

ธรรมชาติสรรค์สร้างเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าภูหลวง จ.เลย ให้เต็มไปด้วยต้นกุหลาบพันปีสีแดงและขาว โดยได้เปิดเป็นเส้นทางศึกษาธรรมชาติลานสุริยันระยะทางประมาณ 1.8 กม. ลักษณะเป็นพื้นราบ เดินสะดวก และมีจุดชมวิวให้ชมดอกไม้มุมสูง

ช่วงหน้าร้อนระหว่างเดือน มี.ค.-เม.ย.ของทุกปี ต้นกุหลาบพันปีในลานสุริยันจะออกดอกสะพรั่งสลับกันทั้งขาวและแดง รวมถึงเอื้องชนิดต่างๆ เช่น เอื้องตาเหิน เอื้องสำเภางาม ที่อวดโฉมไปพร้อมกัน ฤดูร้อนถือว่าเป็นไฮไลต์ประจำปี หากใครเป็นสายอึดอยากเดินป่าทางไกล เจ้าหน้าที่ก็ยินดีพาไปศึกษาธรรมชาติซึ่งไม่แน่อาจเจอช้างพี่ใหญ่แห่งภูหลวง

 

เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าภูหลวงกินพื้นที่ 3 อำเภอ ได้แก่ อ.ด่านซ้าย วังสะพุง และภูหลวง เปิดเป็นแหล่งเรียนรู้ทางธรรมชาติและแหล่งท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์ โดยต้นกุหลาบพันปีจะบานเพียงไม่นานจนกว่าฝนจะมาเยือน

อรุณสวัสดิ์ บึงล้านบัว

แม้ชื่อจะเรียกว่า ทะเลน้อย แต่อุทยานนกน้ำทะเลน้อย จ.พัทลุง กินพื้นที่กว้างใหญ่จนได้รับยกย่องว่าเป็นพื้นที่ชุ่มน้ำที่มีความสำคัญแห่งหนึ่งในประเทศไทย ในช่วงเดือน มี.ค.-พ.ค.ของทุกปี บัวแดงหรือบัวสายจะแข่งกันบานจนกลายเป็นทะเลบัว นอกจากจะดึงดูดนักท่องเที่ยวให้มาเชยชม ยังเป็นประโยชน์ต่อชาวบ้านได้เก็บสายบัวและดอกบัวไปขาย รวมถึงเป็นสถานที่ตากอากาศของนกอพยพ เช่น นกอีโก้ง นกกาบบัว นกกุลา รวมถึงฝูงควายที่ลงไปกินพืชน้ำจนถูกเปลี่ยนชื่อเป็น ควายน้ำ เอกลักษณ์ของทะเลน้อย

 

บัวแดงจะเริ่มบานช่วงเช้าตรู่ตั้งแต่ 8 โมงเช้าจนกระทั่งแดดร้อนจัดราว 11 โมงจะเริ่มหุบหนี ทุกปีระหว่างเดือน มี.ค.-เม.ย. จะมีเทศกาลล่องเรือแลนกทะเลน้อย ไม่เช่นนั้นสามารถเดินชมธรรมชาติได้บนสะพานไม้รอบที่ทำการเขตห้ามล่าสัตว์ป่าทะเลน้อยท่องไปในโลกสีบานเย็น

ปอเทืองเรืองรอง สงขลา

บอกกล่าวกันแต่เนิ่นๆ สำหรับทุ่งปอเทือง จ.สงขลา จากวิถีชีวิตของชาวไร่ที่ปลูกปอเทืองเพื่อบำรุงดิน แต่ในยุคที่กระแสโซเชียลมีเดียมีอิทธิพลทุ่งปอเทืองธรรมดาจึงกลายเป็นทุ่งดอกไม้พิเศษ หนึ่งในพื้นที่ที่ปลูกมากคือ ต.รำแดง อ.สิงหนคร จ.สงขลา ชาวบ้านพร้อมใจปลูกมากกว่า 300 ไร่ ช่วงเดือน ก.ค.-ส.ค. ทำให้ทั้งตำบลกลายเป็นทุ่งสีเหลืองทอง

 

นอกจากนี้ ในอำเภอเดียวกันยังมีสถานที่ที่น่าสนใจ เช่น เจดีย์องค์ดำ เจดีย์องค์ขาว ป้อมเมืองเก่าบนยอดเขาแดง และบ้านสทิงหม้อทำเครื่องปั้นดินเผาแบบโบราณ ให้ไปเยี่ยมชมต่อเนื่องจากการชมดอกไม้ได้ในคราวเดียว

ชวนชม นางเอกแดนตะวันออก

ชวนชมนับพันต้นในสวนนงนุช พัทยา เป็นสีสันแห่งตะวันออกที่หนึ่งปีจะออกดอก 2 ครั้ง ได้แก่ ปลายเดือน พ.ย.-ปลายเดือน ม.ค.และเดือน เม.ย.-พ.ค. สวนนงนุชได้รวบรวมต้นชวนชมไว้หลายสายพันธุ์ทั้งชวนชมไทยไซโค ชวนชมยักษ์ญี่ปุ่น และชวนชมกลุ่มอาราบีคัมที่มีจำนวนมากที่สุด นอกจากจะน่าชมเพราะสีชมพูหลายเฉด ชวนชมยังมีกิ่งก้านที่เปรียบเป็นประติมากรรมชิ้นเอกจากธรรมชาติ

 

ชวนชมเป็นไม้ดอกที่ทนต่อความร้อนและความแห้งแล้งได้ดีจนได้รับสมญานามว่าเป็น กุหลาบทะเลทราย ช่างเป็นความงามที่เหมาะกับสภาพอากาศในเมืองไทยที่ร้อนได้ใจอย่างในขณะนี้

อำลาเหลืองปรีดียาธร สุพรรณบุรี

ขอสารภาพว่าเวลานี้เหลืองปรีดียาธร จ.สุพรรณบุรี คงเหลืออยู่ไม่มาก เพราะได้ผ่านช่วงสวยสุดเมื่อต้นเดือน เม.ย.มาแล้ว แต่ถ้าใครขับรถผ่านทางหลวงหมายเลข 3502 (สามชุก-ด่านช้าง) ก็น่าจะได้ชมเป็นรางวัลระหว่างทาง

 

เหลืองปรีดียาธรหรือตาเบบูยาสีเหลือง เป็นสายพันธุ์เดียวกับชมพูพันธ์ุทิพย์ สีชมพูที่ชิงสะพรั่งช่วงวาเลนไทน์ของทุกปี มันจะออกดอกพึ่บพั่บไม่ต่างจากดอกคูน แต่จะอยู่ไม่ทนทานเท่า ถนนสายดังกล่าวจึงสวยงามเพียงไม่กี่วัน ทว่าก็สวยพอให้เป็นหนึ่งในถนนที่สวยที่สุดในประเทศ นอกจากนี้เมื่อมาถึงสามชุกต้องไม่พลาดไปเดินตลาดร้อยปีสามชุก และหมู่บ้านอนุรักษ์แย้ บ้านสุวรรณตะไล ต.หนองสะเดา ที่ถือเป็นหมู่บ้านอันซีนบนเส้นทางเหลืองปรีดียาธร

 

ทำบุญวันสงกรานต์

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์โพสต์ทูเดย์

11 เมษายน 2559 เวลา 15:44 น…. อ่านต่อได้ที่ : http://www.posttoday.com/travel/thailand/425809

ทำบุญวันสงกรานต์

โดย…สุธน สุขพิศิษฐ์

ใกล้ถึงวันสงกรานต์แล้ว ถ้าใครไม่มีแผนไปเที่ยวไกลๆ อยากทำบุญ สวดมนต์ สรงน้ำพระ ในวันสงกรานต์ แต่ไม่รู้จะไปวัดไหนดี ผมชวนให้ไปที่วัดศาลาแดงเหนือครับ อยู่ริมแม่น้ำเจ้าพระยา ในเขตปทุมธานี ที่นั่นทั้งวัดและหมู่บ้านเป็นมอญ

เหตุผลที่ชวนไปที่นั่นเพราะ จะได้ดูหมู่บ้านชาวมอญ ได้ร่วมทำบุญกุศลที่วัด และได้กินข้าวแช่ เอาเรื่องแรกก่อนครับ เป็นการเที่ยวดูหมู่บ้านศาลาแดงเหนือ ซึ่งอยู่ติดกับวัดนั่นเอง เป็นหมู่บ้านเล็กๆ ที่สงบมาก หมู่บ้านนี้เคยได้รางวัลแผ่นดินธรรม แผ่นดินทองมามากกว่า 20 ปีแล้ว ชื่อของแผ่นดินธรรม แผ่นดินทองนั้นหายสาบสูญไปนานแล้ว แต่หมู่บ้านนี้ยังรักษาคุณภาพมาตรฐานของรางวัลนั้นอยู่ เงียบไม่จุ้นจ้าน หน้าบ้านน่ามอง ผมเคยมองเข้าไปในบ้านทุกหลังไม่รก รุงรัง สะอาด เป็นระเบียบ ทางเดินเลียบริมแม่น้ำตลอดทั้งเส้นนั้นหาขยะสักชิ้นก็ไม่มี ศาลาริมน้ำถึงจะเป็นหน้าบ้านบางบ้าน แต่นั่งเล่นได้ จะเย็นจากลมแม่น้ำ สบายตาจากวิวกว้างๆ ไกลๆ อาจจะได้เห็นปลาตะเพียนหางแดง ปลาเสือเป็นฝูงๆ ของจริงไม่ต้องไปดูตามตู้ปลาบ้านไหน

ดั้งเดิมชาวมอญที่นี่ไม่ทำเกษตรกรรม ไม่ทำนา ทำไร่ แต่ค้าขายทางเรือแบบไปซื้อมาแล้วเอาไปขายไปเรื่อยๆ ทุกที่ เป็นเรือเอี้ยมจุ๊นขนาดกลางๆ สมัยก่อนมักจะเรียกกันว่าเรือมอญ ความน่ารักของหมู่บ้านนี้อีกอย่างคือ ยังพูดภาษามอญกันอยู่ เสียงนิ่มนวล ฟังแล้วระรื่นหู

จากหมู่บ้านมาที่วัดบ้าง ศาลาการเปรียญสูงโถงมีพระไม่กี่รูป ในอดีตพระมอญเป็นพระที่เคร่งพระวินัยเจริญศีลภาวนาอย่างเดียว กิจการกิจกรรมของวัดเป็นหน้าที่ของชาวบ้าน สมัยก่อนที่วัดแห่งนี้จะมีผู้สูงอายุชายผลัดกันมาดูแลพระทั้งวันทั้งคืน ชื่อเสียงของพระหลวงพ่อในอดีตขึ้นชื่อว่าศักดิ์สิทธิ์ แต่ไม่ใช่อภินิหารเสกเป่าใบ้หวย แต่มาจากความสะอาดหมดจดของท่าน ชาวบ้านจึงเชื่อฟังท่าน ตั้งแต่โบราณตอนบ่ายๆ ชาวบ้านคนไหนว่างจะมาสวดมนต์กันทุกวัน เดี๋ยวนี้ก็ยังเป็นอยู่ ลองหมู่บ้านไหนยึดมั่นในศาสนาหมู่บ้านนั้นก็สงบเรียบร้อยครับ

มาถึงงานประเพณีสงกรานต์บ้าง ชาวบ้านนั้นเตรียมทำข้าวสงกรานต์หรือข้าวแช่ก่อนหน้าหลายวัน แต่ละบ้านทำเยอะ ส่วนหนึ่งเพื่อไหว้บูชานางสงกรานต์ อีกส่วนถวายพระ อีกส่วนให้ญาติผู้ใหญ่ อีกส่วนสำหรับลูกหลานที่ไปทำงานที่อื่นเมื่อกลับมาเยี่ยมบ้านก็จะได้กินข้าวแช่กัน

เช้ามืดไหว้บูชานางสงกรานต์ก่อน พอสางๆ นำไปให้ญาติผู้ใหญ่ พอ 7 โมงเช้านำไปถวายพระ กับข้าวแต่ละอย่างเช่น หัวไช้โป๊ผัดเค็มหวาน ไข่เค็ม ปลาช่อนแห้งผัดโรยน้ำตาล กระเทียมดองผัดไข่ จะเทใส่กะละมัง ที่แยกกับข้าวแต่ละอย่างแต่ละกะละมัง พอถึงเวลาก็เอากับข้าวจากกะละมังนั้นถวายพระ เป็นวิธีคิดที่ดีที่ชาวบ้านและพระก็ไม่ต้องยึดติดว่าอะไรเป็นของใคร รสชาติแบบรวมๆ ก็ฉันอิ่มได้งดงามครับ

เมื่อพระฉันแล้วก็ถึงเวลาชาวบ้านที่จะกินข้าวแช่หรือกับข้าวอื่นๆ ที่มีคนเอาไปทำบุญกัน จากนั้นก็แยกย้ายกันไป พอบ่ายประมาณ 3 โมงก็กลับมากันใหม่ ขึ้นไปสวดมนต์รวมกันบนศาลาการเปรียญ สวดมนต์เสร็จ ก็ถึงเวลาสรงน้ำพระพุทธรูป แล้วก็สรงน้ำพระสงฆ์ เขาจะทำฉากสี่เหลี่ยมสูงใหญ่ และจะมีรางน้ำจากภายนอก ปลายรางเข้าไปในฉาก ถึงเวลาพระสงฆ์จะนั่งในฉาก ชาวบ้านก็เอาน้ำผสมน้ำอบไทยเทตามรางให้น้ำไปรดพระสงฆ์ ที่ต้องทำฉากเพราะไม่อยากให้ใครเห็นพระเปียกน้ำมะลอกมะแลก แต่ข้างในมีผู้ชายคอยช่วยเหลือพระครับ จากการสรงน้ำพระเสร็จสิ้นแล้ว ก็มาถึงการรดน้ำผู้ใหญ่ในหมู่บ้าน วัดศาลาแดงเหนือไม่มีกิจกรรมความบันเทิงใดๆ ทั้งสิ้น เพราะเป็นช่วงเวลาที่ชาวบ้านถือศีล 8

มาถึงเรื่องสำคัญอันเป็นเรื่องข้าวสงกรานต์หรือข้าวแช่ สำหรับคนภายนอกที่อยากไปดูหมู่บ้าน ดูพิธีถวายข้าวแช่ให้พระ ฟังพระสวดเจริญพรแล้ว ชาวบ้านก็จะกินข้าวแช่กัน แต่ถ้าไม่มีใครรู้จักเชื้อเชิญ ก็อาจจะตะขิดตะขวงใจที่จะไปร่วมวง ก็มีบางบ้านที่ยินดีที่จะทำเผื่อให้ แต่ต้องโทรศัพท์ไปก่อนที่ คุณอัมพร 09-1216-1110, 09-6468-8719 ควรโทรล่วงหน้าสัก 4-5 วัน จะขอนั่งกินที่บ้านนั้นก็ได้ หรืออยากจะซื้อกลับมาฝากเพื่อน ญาติมิตร ก็ต้องบอกด้วยเขาจะได้เตรียมกล่องไว้ ราคาชุดละ 80 บาท แต่ผมต้องบอกก่อนว่า อย่าได้ตั้งเกณฑ์สูงว่าต้องอร่อยเหมือนข้าวแช่ชาววังที่นั่นที่นี่ ที่นั่นเป็นอาหารตามประเพณีนิยมครับ

ทางไปวัดศาลาแดงเหนือ ต้องเอาเส้นที่จะข้ามสะพานปทุมธานีเป็นหลัก พอผ่านโรงพยาบาลกรุงสยามเซนต์คาร์ลอสแล้ว จะมีทางแยกไปอยุธยา-บางปะอิน หรือถนนสาย 347 ต้องวิ่งคู่ขนานเส้นใน วิ่งไปไม่ไกลจะมีทางแยกไปวัดไผ่ล้อมหรือสาย 3309 วิ่งไปร่วม 10 กิโลเมตร วัดศาลาแดงเหนืออยู่ทางซ้ายมือ บางทีเห็นทางเข้าวัดก็เลยแล้ว ไปอีกนิดจะมีอีกทางเข้าหมู่บ้านศาลาแดงเหนือ สงกรานต์นี้ไม่รู้ไปที่ไหน ลองไปวัดศาลาแดงเหนือครับ

 

มองอนาคตพิพิธภัณฑ์ไทย ในศตวรรษที่ 21

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์โพสต์ทูเดย์

11 เมษายน 2559 เวลา 11:51 น…. อ่านต่อได้ที่ : http://www.posttoday.com/travel/thailand/426094

มองอนาคตพิพิธภัณฑ์ไทย ในศตวรรษที่ 21

โดย…กองทรัพย์ ภาพ… คลังภาพโพสต์ทูเดย์

เมื่อเข้าสู่ศตวรรษที่ 21 ซึ่งเป็นยุคที่สังคมเปลี่ยนแปลงทั้งยังมีความซับซ้อนสูง แน่นอนว่าบทบาทของพิพิธภัณฑ์ที่มิใช่เป็นแหล่งเรียนรู้เพียงอย่างเดียว พิพิธภัณฑ์ยุคใหม่ควรมีการออกแบบพิพิธภัณฑ์เพื่อการเรียนรู้อย่างไรให้ตอบโจทย์ต่อการเรียนรู้ของเด็กและเยาวชน ควรสร้างจินตนาการ ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งที่สนับสนุนให้เกิดการเรียนรู้ที่ขยายวงกว้างมากขึ้น เพื่อให้พิพิธภัณฑ์เป็นหนึ่งในกลไกที่จะกล่อมเกลาเด็กและเยาวชนให้เติบโตขึ้นอย่างมีศักยภาพ พร้อมเป็นผู้ใหญ่ในสังคมแห่งการทำงานเพื่อร่วมพัฒนาประเทศอย่างเป็นระบบ

เพื่อตอบโจทย์ประกอบกับการเปลี่ยนแปลง เมื่อเร็วๆ นี้ พิพิธภัณฑ์ผ้า ในสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ จัดเสวนาวิชาการในหัวข้อ พิพิธภัณฑ์ไทยในศตวรรษที่ 21 เรื่อง “ทิศทางพิพิธภัณฑ์ยุคใหม่ควรเป็นอย่างไร?” โดยมีผู้ร่วมเสวนา ประภัสสร โพธิ์ศรีทอง นักวิชาการอิสระ ดร.พธู คูศรีพิทักษ์ อาจารย์ประจำหลักสูตรศิลปศาสตรมหาบัณฑิต สาขาวัฒนธรรมศึกษา กลุ่มวิชาพิพิธภัณฑ์ศึกษา สถาบันวิจัยภาษาและวัฒนธรรมเอเชีย มหาวิทยาลัยมหิดล และ จุลลดา มีจุล ผู้อำนวยการสถาบันคุณวุฒิวิชาชีพ (องค์การมหาชน) เพื่อหาแนวทางการพัฒนารูปแบบการนำเสนอของพิพิธภัณฑ์ให้มีความทันสมัยและทันเหตุการณ์โลกปัจจุบัน

แหล่งให้ความรู้ทุกผู้ทุกวัย

เปิดประเด็นด้วย ประภัสสร ที่คร่ำหวอดในงานด้านพิพิธภัณฑ์มาเป็นเวลานาน ทั้งในบทบาทของนักวิชาการ และภัณฑารักษ์ ตำแหน่งสุดท้ายของงานด้านพิพิธภัณฑ์คือ ผู้จัดการพิพิธภัณฑ์สิรินธร หรือพิพิธภัณฑ์ไดโนเสาร์ภูกุ้มข้าว จ.กาฬสินธุ์ กล่าวว่า ในฐานะที่ตนเคยทำงานทั้งภัณฑารักษ์ และผู้บริหารพิพิธภัณฑ์ จึงขอกล่าวในฐานะตัวแทนของผู้ทำงานด้านพิพิธภัณฑ์ว่า “คนทำงานพิพิธภัณฑ์จะให้ความสำคัญทั้งงานวิชาการ จากประสบการณ์ที่ผ่านมา มีความเห็นว่าพิพิธภัณฑ์ที่ดี ไม่ควรเต็มไปด้วยเนื้อหาที่แน่นไปด้วยตัวหนังสือเพียงอย่างเดียว ซึ่งหลายคนมองว่าเป็นสิ่งที่น่าเบื่อ แต่ต้องยอมรับว่ากลุ่มผู้ชมที่ชื่นชอบข้อมูลก็มีจำนวนไม่น้อยโดยเฉพาะวัยผู้ใหญ่ อีกเหตุผลหนึ่งคือเมื่อก่อนพิพิธภัณฑ์ห้ามถ่ายรูป ห้ามสัมผัส คนก็มองว่าเป็นสถานที่ที่ต้องไปอ่านเนื้อหาอย่างเดียว แต่ปัจจุบันแค่คนเข้าไปชม จะไปถ่ายรูปหรือเดินดูเฉยๆ คนทำพิพิธภัณฑ์ก็ดีใจแล้ว ไม่ต้องเข้าไปศึกษาอย่างจริงจังกันทุกคน

อย่างไรก็ตาม พิพิธภัณฑ์ในปัจจุบันมีการนำสื่อผสม และเทคโนโลยีเข้ามาช่วยในรูป Visual Presentation มีรูปแบบของป้ายคำบรรยายที่พอเหมาะพอควร รูปถ่ายประกอบที่เหมาะสม การใช้วิดีโอ การใช้แผนผังที่ดูง่าย ซึ่งสามารถตอบโจทย์กลุ่มคนรุ่นใหม่ได้มากขึ้น เป็นการคุ้มค่าที่จะลงทุน บางครั้งการชมสวยๆ ก็กลายเป็นแรงบันดาลใจ เช่น ไปชมพิพิธภัณฑ์ประวัติศาสตร์ ก็ไม่หวังให้ทุกคนหลงใหลในประวัติศาสตร์ อาจจะมีบางคนเห็นลวดลายโบราณ แล้วได้แรงบันดาลใจในการออกแบบหรือใช้ในงาน นี่คือสัญญาณที่ดี ส่วนงานบริหารซึ่งจะหล่อหลอมให้พิพิธภัณฑ์แห่งหนึ่งประสบความสำเร็จ รวมทั้งต้องมีความชัดเจนในเรื่องราวที่ต้องการนำแสดงผ่านนิทรรศการ และคำนึงถึงกลุ่มเป้าหมายเป็นสำคัญด้วย”

 

ประภัสสร มองว่าในอดีตนิทรรศการภายในไม่สอดคล้องกับกลุ่มผู้ชม ซึ่งอาจเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้เด็กที่เข้าไปชมไม่สนุกและหันหลังให้พิพิธภัณฑ์ “พิพิธภัณฑ์ไม่ได้สร้างมาเพื่อผู้ใหญ่เท่านั้น ดังนั้นจึงควรมีพื้นที่ของพิพิธภัณฑ์สำหรับผู้ใช้ที่วัยต่างกันด้วย อย่างพิพิธภัณฑ์ที่ประเทศออสเตรเลียจะมีพื้นที่สำหรับเด็กเรียกว่า Mini museum for under five เป็นพิพิธภัณฑ์ก่อนวัยเรียน ซึ่งในต่างประเทศให้ความสำคัญกับเด็กก่อนวัยเรียนด้วย โดยจะแบ่งห้องต่างๆ ให้เด็กเรียนรู้ เช่น การใช้เทคโนโลยีในการถ่ายภาพ หรือระบายสี เน้นการเรียนรู้ผ่านการปฏิบัติ ซึ่งเป็นเรื่องที่สำคัญมาก เพราะเขาต้องการให้เด็กได้เรียนรู้จากประสบการณ์จริงให้มากที่สุด รวมทั้งสร้างจินตนาการให้เด็กด้วย”

มีชีวิตชีวา-ให้ความรู้สึก

ขณะที่ ดร.พธู ได้ร่วมถ่ายทอดประสบการณ์ในงานด้านพิพิธภัณฑ์ว่า เมื่อหลายปีก่อนมีโอกาสได้ไปฟังปาฐกถาที่สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ทรงบรรยายว่า พิพิธภัณฑ์จะต้องเป็นที่สนุกสนาน และมีชีวิตชีวา เหมือนกับเป็น Living Museum และจะต้องเป็นพิพิธภัณฑ์สำหรับทุกคน ซึ่งเป็นแบบอย่างในการทำพิพิธภัณฑ์ ที่ไม่ว่าจะศตวรรษไหนๆ ก็ยังคงใช้ได้อยู่

ประสบการณ์ที่ได้ทำงานด้านพิพิธภัณฑ์ที่มิวเซียมสยาม รวมถึงประสบการณ์ที่ได้สัมผัสพิพิธภัณฑ์ทั้งในประเทศและต่างประเทศ ทำให้ ดร.พธู บอกเล่าเรื่องราวของพิพิธภัณฑ์ที่ประทับใจ ซึ่งในเมืองไทยเธอแนะนำว่าต้องได้ไปลองเรียนรู้นิทรรศการบทเรียนในความมืด Dialogue in the Dark ที่จามจุรีสแควร์

 

“ความน่าสนใจของพิพิธภัณฑ์นี้คือการได้เรียนรู้จากความมืด ทำให้ได้เรียนรู้ผ่านสัมผัสต่างๆ โดยมีผู้ที่นำชมเป็นผู้พิการทางสายตา หลังจากเข้าชมนิทรรศการนี้แล้วหลายคนเกิดการเรียนรู้และเปลี่ยนแปลงทัศนคติกับผู้พิการทางสายตา ซึ่งตรงกับวัตถุประสงค์ที่จัดนิทรรศการนี้ขึ้นมาที่ต้องการให้คนทั่วไปได้เรียนรู้ การอยู่ร่วมกันในสังคมได้เข้าใจคนอื่นมากขึ้น

อีกแห่งหนึ่ง เดิมเป็นเหมืองเกลือ อยู่ที่ประเทศออสเตรีย ซึ่งเปิดให้คนทั่วไปเข้าเยี่ยมชม เป็นสถานที่ที่ทำให้ได้เรียนรู้ประวัติศาสตร์ความเป็นมาของพื้นที่เหมือง มีวิธีการเล่าเรื่องที่น่าสนใจ มีการจัดแสดงที่กลมกลืนกับธรรมชาติ ทั้งเด็กและผู้ใหญ่ได้รับความสนุกสนาน เป็นแหล่งเรียนรู้ที่ให้ทั้งความรู้จากประสบการณ์จริง กระตุ้นให้คิด และสร้างความหมายใหม่ที่เกิดขึ้นเพื่อให้ไปเรียนรู้ต่อ สิ่งสำคัญที่ได้จากพิพิธภัณฑ์ทั้งสองแห่ง คือ ความมีชีวิตชีวา การได้เรียนรู้ประสบการณ์ที่เชื่อมโยงระหว่างภายในและภายนอก รวมทั้งการสื่อสารแบบพหุมิติ ผ่านรูป รส กลิ่น เสียง และการเกิดความเปลี่ยนแปลงทัศนคติบางอย่างไปสู่สิ่งที่ดีขึ้น”

จากผู้รักษาสู่ผู้สร้างวัฒนธรรม

“คนทั่วไปมักจะคิดว่าคนทำพิพิธภัณฑ์ เป็นผู้รักษาไว้ซึ่งวัฒนธรรม จึงอยากจะให้ตั้งคำถามกับคนทำงานพิพิธภัณฑ์ว่า เราจะสามารถเปลี่ยนจากผู้คงไว้เป็นผู้สร้างวัฒนธรรมได้ไหม โดยยังทำให้แก่นและปรัชญาของความเป็นพิพิธภัณฑ์ก็จะยังคงอยู่ แต่อาจจะมีการนำทฤษฎีมาผสมผสานกัน ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของ Meaning (การสื่อความหมาย) หรือ Message (ข่าวสาร) หากเรามี Content (เนื้อหา) จะสื่อออกมาอย่างไร จากสิ่งที่เราจะต้องคิดค้นคว้า หรือเก็บสะสมตลอดเวลา เราจะสามารถสร้างสรรค์สิ่งใหม่ออกมาสู่สังคมได้บ้างไหม รวมทั้งเรื่องของเจเนอเรชั่นต่างๆ ซึ่งในอนาคตกำลังจะก้าวสู่สังคมผู้สูงวัย ซึ่งพิพิธภัณฑ์ก็ต้องปรับแนวความคิดในการนำประโยชน์ขององค์ความรู้ ความเชี่ยวชาญ การถ่ายทอดมาใช้ในพิพิธภัณฑ์ให้มากขึ้น”

 

จุลลดา เผยมุมมองของเธอที่มีต่ออนาคตพิพิธภัณฑ์ไทยในศตวรรษที่ 21 อีกว่า ทุกวันนี้วิวัฒนาการของพิพิธภัณฑ์พยายามให้เข้าสู่โลกของการเรียนรู้มากยิ่งขึ้น ทำให้บางพิพิธภัณฑ์ใช้เทคโนโลยีมากเกินไป จนบดบังความสำคัญของเนื้อหาสาระที่เป็นแก่นของพิพิธภัณฑ์ “พิพิธภัณฑ์ที่ดิฉันชื่นชอบ ต้องเน้นนวัตกรรมทางความคิด รวมทั้งสามารถผสมผสานระหว่างการความเก่าและใหม่อย่างลงตัว เช่น โบสถ์โบราณในยุคกลางแห่งหนึ่งของต่างประเทศ ที่นำงานศิลปะเข้าไปจัดแสดง ทำให้กลายเป็นศูนย์กลางการเรียนรู้ที่น่าจดจำ รวมทั้งเป็นจุดเปลี่ยนความรู้สึกที่ผู้คนมีต่อพิพิธภัณฑ์ด้วย”

แม้ว่าโลกเปลี่ยนไป และมีการนำเทคโนโลยีเข้ามาเกี่ยวข้อง ทำให้เกิดการเรียนรู้ สร้างความน่าสนใจให้กับพิพิธภัณฑ์มากขึ้นเท่าไร สิ่งที่จำเป็นสำหรับพิพิธภัณฑ์ในไทย คือการสร้างความผูกพัน ความใกล้ชิดกับชุมชน และการมีส่วนร่วมของผู้ชมซึ่งเป็นสิ่งที่สำคัญ ในอนาคตเทคโนโลยีจะไปไกลเพียงใด แต่หากไม่ได้สื่อสารแบบเห็นหน้าค่าตา หรือไม่ได้เรียนรู้ผ่านรูป รส กลิ่น เสียง ก็ไม่ทำให้เกิดประสบการณ์ร่วมที่แท้จริง

ดังนั้น พิพิธภัณฑ์ในอนาคตน่าจะเป็นพิพิธภัณฑ์ที่ไม่มีพรมแดน และสลายกำแพงในเรื่องของการเรียนรู้ที่ทั้งในระบบหรือนอกระบบที่จะหลอมรวมเป็นหนึ่งเดียวกัน

 

ยังคงคิดถึง เมืองเขลางค์นคร

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์โพสต์ทูเดย์

10 เมษายน 2559 เวลา 11:19 น…. อ่านต่อได้ที่ : http://www.posttoday.com/travel/thailand/426002

ยังคงคิดถึง เมืองเขลางค์นคร

โดย…สืบสิน ภาพ คลังภาพโพสต์ทูเดย์

แต่ก่อนแต่ไร เมื่อพูดถึงภาคเหนือ ผมมีความรู้สึกว่า จ.ลำพูน และ จ.ลำปาง เป็นเสมือนเมืองผ่าน ที่แทบจะทุกคนมักข้ามไปเที่ยวกันที่ จ.เชียงใหม่ หรือไม่ก็ จ.เชียงราย กันเสียมากกว่า แต่เอาเข้าจริงๆ แล้วทั้งลำพูนและลำปางนั้นมีสถานที่ท่องเที่ยวและวัฒนธรรมมีความเป็นมาที่น่าสนใจไม่น้อยเลยทีเดียว

แม้ไม่ได้มาเยือนเป็นเวลานาน แต่ จ.ลำปาง หรือเมืองเขลางค์นคร ก็ยังคงตรึงอยู่ในความทรงจำของผมอยู่เสมอ ครั้งหนึ่งผมเคยเดินทางไปท่องเที่ยวแบบไม่มีจุดหมาย แล้วปลายทางของผมก็มาลงเอยที่ลำปาง คราวนั้นผมไปสัมผัสกับลำปางราวเดือน พ.ย. ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่อากาศเริ่มหนาวพอดี ผมมีโอกาสไปสัมผัสกับน้ำพุร้อนแจ้ซ้อน ก่อนเข้าไปเยือนพระธาตุลำปางหลวงในตัวเมือง พร้อมทั้งเดินทางไปหลายสถานที่ ถึงวันนี้ผมยังคงหลงรักลำปางครับ

 

ลำปาง เดิมชื่อ เขลางค์นคร เป็นเมืองหลวงคู่แฝดกับอาณาจักรหริภุญไชย ซึ่งเจ้าเมืองทั้งสองเป็นโอรสแฝดของพระนางจามเทวี นับเป็นอีกจังหวัดในภาคเหนือที่เป็นแหล่งอารยธรรมล้านนาไทยที่น่าสนใจ ทั้งขนบธรรมเนียมประเพณีที่สืบทอดกันมาแต่โบราณ มีวัดวาอารามและสถาปัตยกรรมท้องถิ่น มีรถม้าที่ไม่เหมือนใคร มีอาหารการกินแสนอร่อย มีวิถีชีวิตที่เรียบง่าย ทำให้ลำปางกลายเป็นเมืองที่มีเอกลักษณ์โดดเด่นเป็นของตัวเอง

ส่วนแหล่งท่องเที่ยวทางธรรมชาติ ยังคงความอุดมสมบูรณ์และสวยงาม มีอุทยานแห่งชาติหลายแห่งที่มีเสน่ห์น่าดึงดูดมากมาย สิ่งเหล่านี้ทำให้ จ.ลำปาง กลายเป็นจุดหมายที่นักเดินทางทั้งหลายต้องแวะ เที่ยวชม และวันนี้ผมขอแนะนำสถานที่เที่ยวลำปาง ที่คุณจะรู้สึกเห็นพ้องกับผมว่าเขลางค์นครแห่งนี้ไม่ใช่เป็นเพียงแค่เมืองผ่านอีกต่อไป

 

วัดพระธาตุลำปางหลวง ตั้งอยู่ที่ ต.ลำปางหลวง อ.เกาะคา เป็นวัดคู่บ้านคู่เมืองลำปางมาแต่โบราณ ตามตำนานกล่าวว่า มีมาตั้งแต่สมัยพระนางจามเทวี ราวปลายพุทธศตวรรษที่ 20 เป็นวัดไม้ที่สมบูรณ์ที่สุดแห่งหนึ่งของไทย งดงามด้วยสถาปัตยกรรมเก่าแก่มากมาย

พระธาตุลำปางหลวง เป็นพระธาตุประจำปีเกิดของคนปีฉลู ด้วยเริ่มสร้างในปีฉลูและเสร็จในปีฉลูเช่นกัน ฐานเป็นบัวลูกแก้ว ส่วนองค์เป็นทรงกลมแบบล้านนาภายนอกบุด้วยทองจังโก ยอดฉัตรทำด้วยทองคำ มีลายสลักดุนเป็นลวดลายประจำยามแบบต่างๆ ลักษณะเจดีย์แบบนี้ได้ส่งอิทธิพลต่อพระธาตุหริภุญไชย และพระบรมธาตุจอมทอง

 

นอกจากนี้ ยังมีวิหารหลวง วิหารขนาดใหญ่ที่สร้างเมื่อ พ.ศ. 2019 โดยเจ้าหมื่นคำเป๊ก ภายในมีซุ้มปราสาททองเป็นที่ประดิษฐานพระเจ้าล้านทอง ด้านหลังเป็นที่ประดิษฐานพระเจ้าทันใจ บนแผงไม้คอสองมีภาพจิตรกรรมเก่าแก่งดงามเรื่องทศชาติและพรหมจักร

วัดพระธาตุลำปางหลวงยังเป็นที่ประดิษฐานพระแก้วดอนเต้า (พระแก้วมรกต) พระพุทธรูปคู่บ้านคู่เมืองของ จ.ลำปาง เป็นพระพุทธรูปปางสมาธิ ศิลปะล้านนาสลักด้วยหยกสีเขียว มีงานนมัสการพระแก้วดอนเต้าในวันเพ็ญเดือน 12 ของทุกปี

 

สะพานรัษฎาภิเศก หรือสะพานขาว ตั้งอยู่ที่ถนนรัษฎา อ.เมือง เจ้าผู้ครองนครเป็นผู้ที่ตั้งชื่อจากพิธีเฉลิมฉลองรัชดาภิเษก สมัยรัชกาลที่ 5 สะพานรัษฎาเป็นสะพานร่วมสมัยกับยุคอารยธรรมรถไฟมีอายุผ่านสงครามโลกครั้งที่ 1 และ 2 มาแล้ว และรอดพ้นจากการโจมตีทิ้งระเบิดของฝ่ายสัมพันธมิตรมาได้ด้วยการทาสีพรางตา และด้วยการอ้างว่าสะพานแห่งนี้ไม่มีประโยชน์ทางยุทธศาสตร์ของนางลูซี สคาร์ลิง อดีตผู้อำนวยการโรงเรียนวิชานารี ซึ่งเป็นที่ปรึกษาของกองทัพสัมพันธมิตรในขณะนั้น

อุทยานแห่งชาติแจ้ซ้อน อยู่ใน อ.เมืองปาน มีเนื้อที่ทั้งหมดประมาณ 592 ตารางกิโลเมตร เป็นแหล่งท่องเที่ยวเพื่อสุขภาพ มีสภาพป่าอันอุดมสมบูรณ์และเป็นแหล่งต้นน้ำลำธาร โดยเฉพาะอย่างยิ่งมีน้ำตกและบ่อน้ำร้อนอยู่ในบริเวณเดียวกัน ซึ่งถือเป็นความมหัศจรรย์อย่างหนึ่ง ฤดูที่เหมาะสำหรับการท่องเที่ยวและมีอากาศเย็นสบาย คือ เดือน พ.ย.-ก.พ. ซึ่งจะมีห้องอาบน้ำแร่ไว้บริการอย่างสะดวกสบาย

 

วัดพระแก้วดอนเต้าสุชาดาราม ตั้งอยู่บนถนนสุชาดา ต.เวียงเหนือ อ.เมือง เป็นวัดเก่าแก่ มีอายุนับพันปี เคยเป็นที่ประดิษฐานพระพุทธมหามณีรัตนปฏิมากร (พระแก้วมรกต) ตั้งแต่ พ.ศ. 1979 เป็นเวลานานถึง 32 ปี เหตุที่วัดนี้ได้ชื่อว่า วัดพระแก้วดอนเต้า มีตำนานกล่าวว่า พระมหาเถระแห่งวัดนี้ได้พบแก้วมรกตในแตงโม (ภาษาเหนือเรียกว่า หมากเต้า) และนำมาแกะสลักเป็นพระพุทธรูป ต่อมาจึงได้อัญเชิญไปประดิษฐานที่วัดพระธาตุลำปางหลวงจนถึงปัจจุบัน

กาดกองต้า ถนนคนเดินกาดกองต้า ตั้งอยู่ที่ถนนตลาดเก่า ริมแม่น้ำวัง อ.เมืองลำปาง เดิมเป็นย่านชุมชนทางเศรษฐกิจที่มีอายุกว่า 100 ปี เริ่มจากชัยภูมิที่เป็นที่ริมแม่น้ำวัง และต่อมาได้พัฒนาไปเป็นศูนย์กลางการค้าขายและส่งผ่านสินค้าสำคัญของเมืองลำปาง รูปแบบของสถาปัตยกรรมมีความหลากหลายทั้งศิลปะตะวันตก พม่า-ไทใหญ่ และจีน กาดกองต้าจำหน่ายสินค้าพื้นเมือง สินค้าทำมือ อาหารพื้นบ้าน สินค้าที่ระลึกที่ควรซื้อหามาฝากกัน

วัดศรีชุม ตั้งอยู่ที่ถนนศรีชุม-แม่วะ ต.ศรีชุม อ.เมือง เป็นวัดเมียนมาที่ใหญ่ที่สุดในบรรดาวัดของเมียนมาที่มีอยู่ในประเทศไทยทั้งหมด สร้างใน พ.ศ. 2433 โดยคหบดีเมียนมาชื่อ อูโย ซึ่งติดตามชาวอังกฤษเข้ามาทำงานป่าไม้ในประเทศไทย เมื่อตัวเองมีฐานะดีขึ้นจึงต้องการทำบุญโดยสร้างวัดศรีชุมขึ้นมา จุดเด่นของวัดนี้เดิมอยู่ที่พระวิหาร ซึ่งเป็นอาคารครึ่งตึกครึ่งไม้มีศิลปะการตกแต่งแบบล้านนาและของเมียนมา หลังคาเครื่องไม้ยอดแหลมแกะสลักเป็นลวดลายสวยงามมาก แต่เป็นที่น่าเสียดายว่าเกิดเหตุเพลิงไหม้พระวิหารทั้งหลัง วัดศรีชุมได้รับการจดทะเบียนเป็นโบราณสถานเมื่อ พ.ศ. 2524

 

ศูนย์อนุรักษ์ช้างไทย และสวนป่าทุ่งเกวียน ตั้งอยู่ที่บ้านทุ่งเกวียน ต.เวียงตาล อยู่ในความดูแลของอุตสาหกรรมป่าไม้ภาคเหนือ องค์การอุตสาหกรรมป่าไม้ (อ.อ.ป.) แต่เดิม อ.อ.ป.เป็นศูนย์ฝึกลูกช้างซึ่งเป็นแห่งแรกและแห่งเดียวในโลก โดยเริ่มดำเนินการมาตั้งแต่ พ.ศ. 2512 เป็นสถานที่เลี้ยงและฝึกลูกช้างเพื่อให้เชื่อฟังคำสั่งและมีความชำนาญในการทำไม้ ขณะที่แม่ช้างไปทำงานในป่า และเนื่องจากมีนโยบายปิดป่าซึ่งทำให้ช้างต้องว่างงาน ศูนย์ฝึกลูกช้างจึงถูกปรับมาเป็นสถานที่ดูแลช้างแก่และเจ็บป่วย และที่นี่ยังเป็นสถานที่ตั้งของโรงพยาบาลช้างด้วย ต่อมาในเดือน ม.ค. 2535  อ.อ.ป.ได้ก่อตั้งศูนย์อนุรักษ์ช้างไทยขึ้น และจัดกิจกรรมท่องเที่ยวเชิงนิเวศ

รถม้าของดีเมืองลำปาง นับย้อนหลังไปช่วง 80 ปีที่แล้ว สมัยของเจ้าบุญวาทย์วงษ์มานิต ซึ่งตรงกับสมัยรัชกาลที่ 5 การคมนาคมขนส่งทางรถยนต์ยังพัฒนาไม่ถึงนครลำปาง รถม้าเป็นพาหนะชนิดเดียวที่ได้รับความนิยมในการเดินทางสูงสุดและสามารถใช้บรรทุกของหรือสินค้า รถม้าคันแรกได้ถูกซื้อมาจากกรุงเทพฯ ขณะนั้นทางกรุงเทพฯ มีรถยนต์ใช้มากขึ้น บทบาทของรถม้าลากในกรุงเทพฯ จึงลดลงรถม้าจึงได้ถูกนำมาใช้ที่นครลำปาง และยังได้กระจายไปสู่เมืองหลักของภาคต่างๆ แต่ด้วยเหตุใดไม่ปรากฏผู้ประกอบการรถม้าในเมืองดังกล่าวจึงเลิกกิจการไป คงเหลือแต่เฉพาะ จ.ลำปาง แห่งเดียว

สงกรานต์นี้หากยังไม่มีโปรแกรมเดินทางไปเล่นสาดน้ำที่ไหน ผมว่าลำปางนี่ล่ะน่าจะเป็นชอยส์ที่คุณไม่ควรมองข้าม เพราะช่วงเวลานี้ทาง จ.ลำปาง จะจัดงานสลุงหลวง กลองใหญ่ ซึ่งนับเป็นขบวนแห่สลุงหลวงที่ยิ่งใหญ่ที่สุดที่เดียวในโลกเลยทีเดียว

 

ไฮแอท เพลส ภูเก็ต ป่าตอง ไลฟ์สไตล์ 24/7

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์โพสต์ทูเดย์

09 เมษายน 2559 เวลา 09:05 น…. อ่านต่อได้ที่ : http://www.posttoday.com/travel/thailand/425883

ไฮแอท เพลส ภูเก็ต ป่าตอง ไลฟ์สไตล์ 24/7

โดย…นิทรา ราตรี

หลายคนคุ้นชื่อแบรนด์ไฮแอท แต่ไม่รู้จัก ไฮแอท เพลส นั่นเพราะ ไฮแอท เพลส ภูเก็ต ป่าตอง (Hyatt Place Phuket Patong) เพิ่งเปิดตัวเป็นแห่งแรกในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ได้รับแรงบันดาลใจมาจากไลฟ์สไตล์การท่องเที่ยวแบบ 24/7 โรงแรมจึงเน้นความสะดวกสบาย ใกล้แหล่งท่องเที่ยว มีพื้นที่ส่วนกลางให้พบปะเพื่อนใหม่และให้บริการตลอด 24 ชั่วโมง

บริการที่เป็นเอกลักษณ์ของโรงแรม คือ ไฮแอท แกลเลอรี่ โฮสท์ หรือพนักงานต้อนรับที่ไม่ได้เป็นแค่ผู้ช่วยในการเช็กอิน-เช็กเอาต์ แต่ยังเป็นบาริสตา บาร์เทนเดอร์และผู้แนะนำการเดินทาง ที่นี่เรียกบริเวณล็อบบี้ว่าแกลเลอรี่ ประกอบด้วย ส่วนต้อนรับ ร้านค้า ร้านกาแฟ บาร์ ซึ่งล้วนเปิดให้บริการตลอด 24 ชั่วโมง รวมถึงพื้นที่อเนกประสงค์ให้ผู้เข้าพักได้พบปะสังสรรค์และสร้างมิตรภาพใหม่ ตามแนวคิดของโรงแรมที่ต้องการสร้างประสบการณ์โซเชียลไลซ์ (Socialize) ให้ทุกคน

ห้องพักมีจำนวน 161 ห้อง แบ่งเป็นห้องมาตรฐานและห้องสวีท โดยห้องมาตรฐานมีลักษณะเหมือนกันทุกประการทั้งขนาด ระเบียง ฟังก์ชั่นในห้อง จะแตกต่างเพียงทิวทัศน์ที่แยกเป็นวิวภูเขา วิวสระว่ายน้ำ และวิวทะเลป่าตอง ส่วนรายละเอียด เช่น เตียงนอน มีความพิเศษตรงที่เป็น ไฮแอท แกรนด์ เบด ผลิตขึ้นเพื่อแบรนด์ไฮแอทโดยเฉพาะ มีคุณสมบัติช่วยทำให้หลับลึกขึ้นโทรทัศน์เป็นเอชดีทีวีที่สามารถเชื่อมต่อกับสมาร์ทโฟนและคอมพิวเตอร์ มีห้องพักที่รองรับผู้พิการ ด้วยสิ่งอำนวยความสะดวกเฉพาะที่เอื้อต่อการใช้ชีวิตและความปลอดภัย ส่วนห้องสวีทมีขนาดใหญ่กว่าห้องปกติหนึ่งเท่าตัวจำนวน 10 ห้อง

 

ห้องอาหารมีให้บริการที่แกลเลอรี่ คิทเช่น โดยช่วงเช้าตรู่เวลา 06.00-10.30 น. บริการเป็นบุฟเฟ่ต์อาหารเช้า จากนั้นไม่ว่าช่วงเวลาใด ผู้เข้าพักสามารถสั่งอาหารในแกลเลอรี่ เมนู ได้ตลอด 24 ชั่วโมง องค์ประกอบอื่นๆ ในโรงแรม ได้แก่ สระว่ายน้ำฟิตเนส จุดบริการคอมพิวเตอร์ Wi-Fi ฟรีทั่วโรงแรม และบริการ Odds & Ends สำหรับคนขี้ลืม โดยผู้เข้าพักสามารถยืมสายชาร์จโทรศัพท์ หรือถ้าต้องการหาซื้อของใช้อย่างอื่นก็สามารถขอความช่วยเหลือได้ที่ไฮแอท แกลเลอรี่ โฮสท์ และสำคัญที่สุดคือเรื่องเที่ยวโรงแรมมีบริการรถเข้าเมืองฟรีไปยังแหล่งช็อปปิ้งย่านป่าตอง และเหล่าโฮสท์ทั้งหลายยินดีช่วยวางแผนการเดินทางโดยใช้ประสบการณ์แบบคนท้องถิ่นแนะนำ

ไฮแอท เพลส ภูเก็ต จึงเป็นทางเลือกให้นักท่องเที่ยวที่ชอบแบรนด์ไฮแอท ต้องการความมั่นใจในมาตรฐานทั้งงานบริการและคุณภาพโรงแรม แต่ในขณะเดียวกันก็ยังต้องการสัมผัสความสนุกสนาน ความคล่องตัวและความเป็นกันเอง ซึ่ง ไฮแอท เพลส ก็ตอบสนองผ่านบรรยากาศที่สดใส เรียบง่ายและอัธยาศัยที่สร้างความสบายใจขณะเข้าพัก

Price : ราคา 2,500-3,500 บ.

Place : ริมหาดป่าตอง ซ. พระบารมี 4 จ.ภูเก็ต โทร. 076-626-777 เว็บไซต์ phuketpatong. place.hyatt.com

Promotion : –

 

พักร้อนฉบับชาววัง

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์โพสต์ทูเดย์

09 เมษายน 2559 เวลา 09:02 น…. อ่านต่อได้ที่ : http://www.posttoday.com/travel/thailand/425882

พักร้อนฉบับชาววัง

โดย…กาญจน์ อายุ

ฤดูร้อนปีนี้เปลี่ยนไปเมื่อได้ไปเยือนพระราชวังฤดูร้อน หนึ่งคือ พระราชนิเวศน์มฤคทายวัน ริมชายหาดชะอำ จ.เพชรบุรี และสอง พระจุฑาธุชราชฐาน บนเกาะสีชัง จ.ชลบุรี สถานที่อันทรงคุณค่าด้านสถาปัตยกรรมและประวัติศาสตร์ที่เปิดโอกาสให้คนทั่วไปชื่นชม

ความเรียบง่าย : พระราชนิเวศน์มฤคทายวัน

ไปหัวหินไม่รู้กี่ร้อนแต่ไม่เคยไปพระราชนิเวศน์มฤคทายวัน จนกระทั่งร้อนนี้บนเส้นทางหัวหิน-กรุงเทพฯ ป้ายบอกทางเลี้ยวขวาพระราชนิเวศน์มฤคทายวันชัดเจนกว่าทุกที จึงไม่ขัดสัญชาตญาณเลี้ยวเข้าไปในค่ายพระราม 6 แล้วจอดรถหน้าทางเข้าพระราชวัง

ทุ่งหญ้าสีเหลืองบนเกาะสีชัง

 

เริ่มน่าสนใจตั้งแต่ทางเข้าที่แบ่งเป็น 2 เลน ซ้ายสำหรับจักรยาน ส่วนขวาสำหรับคนเดิน แน่นอนว่าช่องซ้ายน่าสนใจกว่า (ไม่ไกลนักมีร้านจักรยานให้บริการ) แต่อีกใจก็อยากค่อยๆ ก้าวย่างชื่นชมพระราชวังให้สมกับเป็นครั้งแรก จึงได้ชิดขวาต่อแถวกรุ๊ปทัวร์ที่กำลังรอจ่ายค่าธรรมเนียม ผู้ใหญ่คนละ 30 บาท เด็กคนละ 15 บาท ในตั๋วเขียนว่าบริจาคให้มูลนิธิพระราชนิเวศน์มฤคทายวัน นั่นจึงไม่ใช่ค่าเข้าชมเสียทีเดียว

จากนั้นจะเจอทางเข้าอีกชั้นเพื่อคัดกรองนักท่องเที่ยว หญิงนุ่งสั้นต้องไปรับผ้าถุง ถ้าเป็นชายต้องไปรับโจงกระเบน สำหรับคนที่มีกล้องใหญ่ต้องไปเซ็นชื่อยินยอมข้อตกลงเรื่องการถ่ายภาพ และทุกคนต้องเข้าใจกฎระเบียบที่เคร่งครัด 4 ข้อ ห้ามเข้าสนามหญ้า ห้ามลงชายหาด แต่งกายสุภาพ และสำรวมกิริยา (ถ่ายภาพด้วยท่าทีสุภาพ ห้ามกระโดด)

มองผ่านหน้าต่างชมซุ้มลีลาวดี

 

ผู้บรรยายกล่าวว่า พระราชนิเวศน์มฤคทายวันเป็นพระราชวังในพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 6 โปรดให้มีลักษณะเรียบง่าย เน้นความโปร่งโล่งให้เข้ากับธรรมชาติและชายทะเล ซึ่งในอดีตป่าใน ต.ห้วยทรายเหนือ มีเนื้อทรายและกวางอาศัยอยู่มาก (คำว่า มฤค เป็นภาษามคธ แปลว่า เนื้อทราย) กล่าวกันว่า พระองค์ทรงร่างแบบพระราชนิเวศน์ด้วยฝีพระหัตถ์ และให้สถาปนิกชาวอิตาเลียนออกแบบ ลักษณะเรือนไทยผสมยุโรป สร้างด้วยไม้สักทองทั้งหลัง แบ่งเป็นหมู่พระที่นั่ง 3 องค์ มีความยาว 399 เมตร แบ่งเป็น 3 ส่วน ได้แก่ หมู่พระที่นั่งสโมสรเสวกามาตย์ (ท้องพระโรง) หมู่พระที่นั่งสมุทรพิมาน  (เขตที่ประทับฝ่ายหน้า) และหมู่พระที่นั่งพิศาลสาคร (เขตที่ประทับฝ่ายใน) รวมทั้งหมด 16 อาคาร เชื่อมต่อกันด้วยระเบียงทางเดินมุงหลังคาตามแนวทิศเหนือจรดใต้ และมีบันไดรวมกัน 23 แห่ง

อาคารหันหน้าสู่ชายทะเลเป็นแนวขนานเพื่อรับลมทะเลในเวลากลางวันและลมจากภูเขาในเวลากลางคืน ลักษณะเป็นเรือนสองชั้น หลังคาเป็นทรงปั้นหยา มุงด้วยกระเบื้องว่าว เพดานสูง มีเกล็ดระบายความร้อนจากช่องระหว่างฝ้าเพดานกับหลังคา บานกระทุ้งตีเกล็ดให้รับลม และใต้ถุนสูงช่วยให้อากาศถ่ายเท ระบายความชื้นจากทะเล ป้องกันสัตว์ป่า และทำให้เวรยามมองเห็นพระที่นั่งได้ชัดเจน

เกาะสีชัง พระจุฑาธุชราชฐาน ชลบุรี

 

บทหนึ่งใน “นิราศตามเสด็จ เสด็จพระราชดำเนินประพาสพระราชนิเวศน์มฤคทายวัน พระพุทธศักราช 2467” โดยพระยาอนุศาสน์จิตรกร เมื่อครั้งตามเสด็จล้นเกล้ารัชกาลที่ 6 ในการแปรพระราชฐานไปประทับที่พระราชนิเวศน์ระหว่างเดือน เม.ย.-ก.ค. ประพันธ์ว่า

พระที่นั่งดั่งพิมาน มโหฬารดูสดใส พร้อมพรั่งทั้งน่าใน งามเงื่อนล้ำในอัมพร

นามสมุทพิมาน งามตระการประภัศร อีกพิศาลสาคร ได้ลมดีมิได้ขาด

อีกองค์งามบวร สโมสรเสวกามาตย์ ตั้งอยู่หัวแหลมหาด เฉลียงโปร่งโล่งสบาย

อันเป็นการบรรยายถึงหมู่พระที่นั่งและบรรยากาศริมชายหาดชะอำเมื่อครั้งได้มาถึงพระราชนิเวศน์เป็นครั้งแรก

พระราชวังริมทะเล

 

ความน่าสนใจทางสถาปัตยกรรมยังอยู่ที่เสาทั้ง 1,080 ต้น ทั้งหมดห่างเท่ากันเรียกว่า ระบบพิกัด (Modular System) โดยเสาชั้นล่างทำจากคอนกรีตส่วนชั้นบนทำจากไม้ ทุกต้นมีการหล่อขอบฐานและยกขอบขึ้นเป็นรางหรือที่เรียกว่าบัวขอบ เพื่อใส่น้ำกันมดและแมลงขึ้นอาคาร นอกจากนี้นักท่องเที่ยวสามารถขึ้นชมหมู่พระที่นั่งตามรอบเวลา รอบละ 20 คน จำกัดไม่เกิน 960 คน/วัน

ปัจจุบันพระราชนิเวศน์ อายุ 93 ปี ทว่ายังคงความสวยงามทางสถาปัตยกรรมไว้อย่างสมบูรณ์ รวมถึงสวนทั้ง 3 แห่ง ได้แก่ สวนเวนิสวานิช สวนศกุนตลา และสวนมัทนะพาธา ที่ยังคงความชอุ่มเขียวตั้งแต่อดีตถึงวันนี้

พระราชนิเวศน์มฤคทายวันทำให้หัวหินพิเศษขึ้น แต่ครั้งหน้าจะพิเศษกว่าเพราะคิดไว้แล้วว่าจะกลับไปเข้าช่องซ้าย ปั่นจักรยานกินลมชมวังและละเลียดสถาปัตยกรรมในมุมห่างบ้างคงจะดี

พระเจดีย์อุโบสถ วัดอัษฎางคนิมิตร

 

ความรัก : พระจุฑาธุชราชฐาน

เกาะสีชังกลายเป็นเกาะแห่งรักตั้งแต่มี “เขาเล่าว่า…” กับตำนาน ที่ใดมีรักของบุรุษผู้ยิ่งใหญ่ ที่นั่นย่อมอบอวลไปด้วยพลังแห่งรัก ใครที่อยากเติมพลังต้องไปรับแสงแรก ณ ปลายสะพานอัษฎางค์ และอธิษฐานกับแสงสุดท้าย ณ ช่องอิศริยาภรณ์

นั่งเรือเมล์จากเกาะลอย (ศรีราชา) จ.ชลบุรี ผ่านเรือคอนเทนเนอร์ยักษ์ที่เป็นสัญลักษณ์ของเมืองท่าอุตสาหกรรม นั่งดื่มลมไปราว 45 นาที ก็เทียบท่าที่เกาะสีชัง สีชังเป็นอีกเกาะที่บอกผ่านเสมอด้วยข้ออ้างว่า “มาตอนไหนก็ได้” ทั้งที่อยู่ไกลจากกรุงเทพฯ แค่ 2 ชม. จนกระทั่งวันที่บอกตัวเองให้โยนข้ออ้างทิ้งแล้วหิ้วเสื้อผ้าข้ามทะเล เพื่อรู้ว่า “ทำไมไม่มาเสียตั้งนาน”

ระเบียงทางเดินสู่ทะเล

 

พระจุฑาธุชราชฐานเป็นพระราชวังฤดูร้อนในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงสร้างขึ้นเพื่อใช้เป็นที่พักฟื้นของพระนางเจ้าเสาวภาผ่องศรี พระวรราชเทวี และยังเป็นที่ประทับส่วนพระองค์ระหว่างที่พระนางเจ้าเสาวภาผ่องศรีตั้งครรภ์และใกล้มีพระประสูติกาล ต่อมาพระองค์ทรงสถาปนาพระนางเจ้าเสาวภาผ่องศรีให้เป็นสมเด็จพระนางเจ้าเสาวภาผ่องศรี พระบรมราชินีนาถ ถือเป็นสมเด็จพระบรมราชินีนาถพระองค์แรกของประเทศ แสดงถึงพระฐานะที่สูงสุดเหนือกว่าตำแหน่งสมเด็จพระอัครมเหสีทั้งปวง และทรงพระราชทานนามพระราชวังตามพระนามสมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ เจ้าฟ้าจุฑาธุชธราดิลก ผู้เป็นพระราชโอรส พระจุฑาธุชราชฐานจึงเปรียบเป็นตัวแทนความรักยิ่งใหญ่ของชายคนหนึ่งที่มีให้หญิงคนรัก

นอกจากนี้ พระองค์ยังได้สร้างอาไศรยสฐาน 3 หลัง ได้แก่ เรือนผ่องศรี เรือนวัฒนา และเรือนอภิรมย์ รวมถึงตำหนักอื่นๆ อีก 14 ตำหนัก และพระที่นั่ง 4 องค์ที่มีชื่อคล้องจ้องกัน คือ โกสีย์วสุภัณฑ์ มันธาตุรัตนโรจน์ โชติรสประภาต์ และเมขลามณี

ผู้บรรยายนุ่งโจงกระเบนและผ้าถุงแบบไทย

 

เวลานี้ต้นลีลาวดีกำลังชูดอกอยู่เรียงรายตามทางเดิน นักท่องเที่ยวสามารถเข้าไปชมในอาคารที่เปิดเป็นพิพิธภัณฑ์ เช่น เรือนผ่องศรีใช้จัดแสดงนิทรรศการพระราชประวัติและบุคคลสำคัญบนเกาะสีชัง เรือนวัฒนา จัดแสดงนิทรรศการเหตุการณ์สำคัญในเกาะสีชังสมัย ร.5 เรือนอภิรมย์ ใช้เป็นสถานที่จัดแสดงสิ่งปลูกสร้างในสมัย ร.5 นอกจากนี้พระองค์ทรงโปรดเกล้าฯ ให้สร้างสะพานลงไปในทะเลด้านหน้าวัง พระราชทานนามว่า สะพานอัษฎางค์ ซึ่งปัจจุบันยังคงมีอยู่แต่ถูกปรับปรุงไปหลายคราตามกาลเวลา ส่วนช่องอิศริยาภรณ์หรือช่องเขาขาด อยู่ทางทิศตะวันตกของเกาะ เป็นที่ตั้งของ ที่แลราชโกษา ร. 5 โปรดเกล้าฯ ให้สร้างขึ้นเพื่อเป็นที่ประทับทอดพระเนตรพระอาทิตย์ตก กระทั่งทุกวันนี้ช่องเขาขาดก็ยังเป็นจุดชมพระอาทิตย์ตกที่โรแมนติกที่สุดบนเกาะสีชัง

อย่างที่กล่าวไปในตอนต้นว่า ฤดูร้อนปีนี้เปลี่ยนไปเมื่อได้ไปเยือนพระราชวังฤดูร้อน นั่นเพราะปลายทางทั้งสองแห่งทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลง ทั้งทำให้ฤดูร้อนเป็นสีซีเปีย ทำให้เมืองชายทะเลเป็นหนังสือประวัติศาสตร์ ทำให้สิ่งที่ถูกมองข้ามเป็นสิ่งสำคัญ และที่สำคัญที่สุดคือทำให้วันพักร้อนมีความหมายมากกว่าเดิม

สวนเวนิสวานิช

 

มองลอดแนวต้นสน

 

นักท่องเที่ยวต้องแต่งกายสุภาพและถ่ายภาพด้วยความเคารพ

 

เมื่อเวลาหยุดเดินที่ พิพิธภัณฑ์สุขสะสม

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์โพสต์ทูเดย์

03 เมษายน 2559 เวลา 10:36 น…. อ่านต่อได้ที่ : http://www.posttoday.com/travel/thailand/424945

เมื่อเวลาหยุดเดินที่ พิพิธภัณฑ์สุขสะสม

โดย…สมแขก ภาพ เสกสรร โรจนเมธากุล

เมื่อเทคโนโลยีจู่โจมชีวิตของคนเราถึงขีดสุด ทุกอย่างรอบตัวดูวุ่นวายและรวดเร็วจนน่าใจหาย หลายคนจึงรู้สึกโหยหาเรื่องราวในอดีตที่ผ่านมา และอาจมองหาสถานที่ซึ่งจะทำให้ระลึกถึงความหลัง อาจจะย้อนไปยังครั้งวัยเยาว์หรือนานกว่านั้น ถ้าหากยังนึกไม่ออกว่าจะไปไหน ลองเตร็ดเตร่ไปแถวถนนพุทธมณฑลสาย 2 ระหว่างซอย 19 และ 21 มีพิพิธภัณฑ์น้องใหม่ชื่อ “พิพิธภัณฑ์สุขสะสม” จะพาเราย้อนและหยุดเวลาของเราไว้จนลืมความเป็นไปภายนอกเลย

พิพิธภัณฑ์สุขสะสม เป็นพิพิธภัณฑ์เอกชนที่เปิดในปี 2558 ก่อตั้งโดย ชัยโรจน์ เจริญทวีสิทธิ์ (เฮียเม้ง) และธีรวัฒน์ เจริญทวีสิทธิ์ บุตรชาย ข้าวของที่นำมาจัดแสดงล้วนเป็นของสะสมส่วนตัวที่สะสมนานกว่า 30 ปี ของผู้เป็นพ่อ ซึ่งทั้งสองมีความตั้งใจจะสร้างพิพิธภัณฑ์แห่งนี้ให้เป็นแหล่งเรียนรู้ของเยาวชนและผู้สนใจประวัติศาสตร์ ซึ่งจัดดิสเพลย์ไว้ได้น่าสนใจ ตั้งแต่ทางเข้าที่จำลองบรรยากาศภายในไว้อย่างน่ารัก มีทั้งของเล่น ของสะสม และของตกแต่งบ้าน ตลอดจนจำลองวิถีชีวิตของชาวไทยในสมัยโบราณในสภาพสมบูรณ์เกือบ 100% รวมแล้วกว่า 250 ประเภท เช่น ของเล่นสังกะสี เครื่องเสียงโบราณ โทรศัพท์โบราณ เงินพดด้วง แบบเรียน ชุดเครื่องเขียน เป็นต้น

 

ทันทีที่ได้รับบัตรผ่านและเดินตามลูกศรที่มีทั้งสีส้มและสีน้ำเงิน ก็เริ่มหยุดเวลาได้เท่าที่เราต้องการ ใช้เวลาซึมซับความรู้และความเพลิดเพลินในอดีตได้ภายในอาคาร 2 ชั้นแห่งนี้ สุขสะสมแบ่งส่วนจัดแสดงออกเป็น 5 โซน ที่จัดแสดงไว้อย่างเป็นหมวดหมู่เรียบร้อยดีทีเดียว

โซนแรก คือ วิวัฒนาการของเล่น จัดแสดงเรื่องราวความเป็นมาของของเล่นโบราณ วิวัฒนาการของของเล่นทั่วโลกตั้งแต่อดีตจนถึงยุคปัจจุบัน ได้เห็นหน้าตาของเล่นที่ทำจากเซลลูลอยด์จนกระทั่งเป็นพลาสติก โดยมีของเล่นรูปร่างและหน้าตาแปลกๆ จัดแสดงอยู่มากกว่า 3,000 ชิ้น พร้อมวิดีโอที่บอกเล่าเรื่องราวของเล่นตั้งแต่สมัยปฏิวัติอุตสาหกรรม ยังคงอยู่ที่ชั้น 1 แต่เดินเรื่อยมาโซนที่ 2 ซึ่งจัดแสดงข้าวของเครื่องใช้ในอดีต จัดแสดงของใช้ใกล้ตัวที่หายากมากกว่า 50 ประเภท ทั้งกระปุกออมสินสำหรับหยอดพดด้วง ตัวอย่างเงินพดด้วงที่ใช้ค้าขายตั้งแต่สมัยกรุงศรีอยุธยา เครื่องพิมพ์ดีดเครื่องแรกของไทย เตารีดโบราณสมัยรัชกาลที่ 2 โทรศัพท์แมกนีโตในสมัยรัชกาลที่ 5 และเครื่องเล่นกระบอกเสียงก่อนจะมาเป็นแผ่นเสียง

 

ขึ้นบันไดตามลูกศรมายังชั้นลอยจะพบโซนที่ 3 ซึ่งหนอนหนังสือจะต้องตื่นตากับบรรดาสิ่งพิมพ์โบราณที่จัดแสดงไว้อย่างดี แค่โซนนี้โซนเดียวก็ทำเอาเราเพลินจนลืมหิว สื่อสิ่งพิมพ์ที่ได้เห็นสะท้อนค่านิยม วัฒนธรรม และเหตุการณ์สำคัญที่เกิดขึ้นในแต่ละยุคสมัยผ่านภาพและตัวอักษร ไม่ว่าจะเป็นแบบเรียนสมัยต่างๆ ใบขออนุญาตมีภรรยา การออกลอตเตอรี่เสือป่าล้านบาท (ลอตเตอรี่ใบแรกของสยาม) ใบปิดโฆษณา หนังสือพิมพ์ และจดหมายราชการที่สะท้อนการใช้ภาษาไทยในสมัยจอมพล ป.พิบูลสงคราม และเรื่องราวการผลิตกล่องไม้ขีดไฟ

เมื่ออิ่มเอมกับอักขระอักษรในโซนที่ 3 แล้ว ก็ขึ้นบันไดต่ออีกเล็กน้อยไปที่ชั้น 2 ซึ่งเป็นส่วนที่จัดแสดงโซนที่ 4 ก็จะตระการตากับเหล่าของจิ๋วที่จำลองข้าวของเครื่องใช้ เป็นวิวัฒนาการของตลาดในเมืองไทยจากหาบเร่แผงลอย พัฒนาไปเป็นร้านรวงแบบต่างๆ รวมทั้งจำลองอาชีพโบราณที่บางส่วนไม่มีให้เห็นแล้วในปัจจุบัน เช่น หาบเร่ขายกระเพาะปลา การเขียนอักษรจีน รวมถึงการจำลองรถรางที่ครั้งหนึ่งเคยเป็นยานพาหนะหลักในพระนคร ขณะเดียวกันก็แทรกความรู้การสร้างรถรางสมัยรัชกาลที่ 5 ไว้ด้วย แม้ว่าเรากำลังดูของจิ๋วอยู่ แต่ก็ให้บรรยากาศประหนึ่งว่าอยู่ในตลาดที่รุ่งเรืองในอดีต เพียงแต่ย่อส่วนเอาไว้เท่านั้น

 

ส่วนสุดท้ายคือโซนที่ 5 เป็นบรรยากาศตลาดเก่าย้อนยุคเมื่อราว 50-70 ปีที่แล้ว มีทั้งร้านทองเก่าแก่ในเยาวราช ร้านจำหน่ายแผ่นเสียง จำลองห้องเรียน ร้านเครื่องเขียน และโรงภาพยนตร์ในอดีต ฯลฯ โซนนี้เหมาะกับคนที่ชอบถ่ายรูป เพราะคุณสามารถแต่งตัววินเทจมาถ่ายรูปกับบรรยากาศนี้ได้เลย นอกจากจะอิ่มเอมใจแล้วก็ได้ภาพสวยๆ กลับบ้านไปด้วย

พิพิธภัณฑ์สุขสะสมตั้งอยู่บนถนนพุทธมณฑลสาย 2 ระหว่างซอย 19 และ 21 เปิดให้เข้าชมทุกวัน (ปิดวันพุธ) เวลา 10.30-18.00 น. ซื้อบัตรเข้าชมสำหรับคนไทย 100 บาท เด็กที่อายุต่ำกว่า 15 ปี 50 บาท ชาวต่างชาติ 200 บาท ด้านหน้ามีร้านอาหารและเครื่องดื่มไว้สำหรับคนที่ละเลียดอดีตจนท้องหิว หรือเด็กๆ ที่อยากรู้จักของเล่นโบราณก็สามารถซื้อหาได้ สอบถามเส้นทาง โทร. 08-6899 -9208 เฟซบุ๊ก : Facebook.com/พิพิธภัณฑ์สุขสะสม Suksasom museum