ค้นหาความสุขที่เรียบง่ายที่สุด เดอะสลิล สุขุมวิท 57

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์โพสต์ทูเดย์

01 กรกฎาคม 2560 เวลา 09:53 น…. อ่านต่อได้ที่ : http://www.posttoday.com/travel/thailand/500825

ค้นหาความสุขที่เรียบง่ายที่สุด เดอะสลิล สุขุมวิท 57

โดย…นิทรา ราตรี

 อบอวลไปด้วยแรงบันดาลใจจากดีไซน์แบบจาโปเนสเซอรี่ ณ โรงแรมเดอะสลิล สุขุมวิท 57 ทองหล่อ ที่ไม่ได้เป็นเพียงที่พักอาศัย แต่เป็นแหล่งสร้างสรรค์แนวคิด “พื้นที่การอยู่อาศัยแนวใหม่” (Concept Living Space) เปลี่ยนห้องพักให้เป็นบ้านส่วนตัวที่หัวมุมถนนในยุโรป

โดยผู้เข้าพักจะได้รับ 6 สัมผัส คือ พัก รับประทาน ทำงาน ช็อป เล่น และผ่อนคลาย ที่จะเปลี่ยนวันธรรมดาในโรงแรมให้เป็นเวลาที่น่าจดจำ

“พัก” โรงแรมประกอบด้วยห้องพัก 130 ห้อง แบ่งเป็นห้องพรีเมียร์ ห้องดีลักซ์ และห้องสวีทหนึ่งห้องนอน บนอาคารสูง 8 ชั้น โดยแต่ละชั้นจะมีภาพวาดนกและต้นไม้อันเป็นเอกลักษณ์ที่แตกต่างไป ห้องพักออกแบบสไตล์โมเดิร์นคลาสสิก มีลูกเล่นของกระจกเงาแบบโต๊ะเครื่องแป้งตะวันตก ภาพจิตรกรรมบนหัวเตียง โซฟาเบดนุ่มสบาย เตียงนอนอุ่น และอ่างอาบน้ำที่มองลอดผ่านกระจกใส

“รับประทาน” เดอะสลิลได้คัดสรรความสุขในการรับประทานอาหารและเครื่องดื่มที่ห้องอาหาร บาร์ สตอเรีย เดล คัฟเฟ่ (Bar Storia del Caffè) แนวคิดคลาสสิก-ยุโรป เสิร์ฟอาหารไทยและตะวันตก และร้านชา มาคิยาจ แฟรส์ ที รูม (Mariage Frères Tea Room) ชาอันดับ 1 ของโลกที่ถูกนำมาให้บริการบริเวณล็อบบี้ของโรงแรม

 “ทำงาน” โรงแรมมีทุกอย่างที่จำเป็นกับการทำงาน ทั้งดิจิตอลเทคโนโลยี ชา กาแฟ ของว่าง และห้องประชุมขนาดย่อมในบรรยากาศสบายและมีสไตล์

“ช็อป” บริเวณล็อบบี้มีมุมจำหน่ายสินค้าที่ระลึก อย่างชาชั้นดีของมาคิยาจ แฟรส์ ชุดของที่ระลึกของโรงแรม และดอกไม้แห้งหอมของ เอเวอรี่เดย์ คาร์มาคาเมท

“เล่น” โรงแรมมีสถานที่ที่ออกแบบให้เป็น เดอะ เพลย์รูม ทั้งห้องปิงปอง แกลเลอรี่งานศิลปะที่เล่นแสงและเงาในห้องเธียเตอร์ และเพนต์บาร์ที่จะสนุกไปกับงานศิลปะได้อย่างเต็มที่

“ผ่อนคลาย” ทำตัวเหมือนอยู่บ้านบริเวณริมสระว่ายน้ำกลางแจ้งที่เห็นวิวเมืองหลวงแบบไม่จอแจ ออกกำลังกายที่ฟิตเนสเซ็นเตอร์ หรือผ่อนคลายยามค่ำคืนที่บาร์ลอยฟ้าสุดฮิป ให้สัมผัสประสบการณ์เหมือนอยู่ในห้องนั่งเล่นตลอดวัน

 ดูเหมือนว่าความสุขที่เรียบง่ายที่สุดจะเกิดขึ้น ณ ที่แห่งนี้ ไม่ว่าจะเป็นการดื่มเอสเพรสโซ่หอมกรุ่น เฝ้ามองผู้คนอาบแดดบนระเบียง อ่านนิยายเล่มโปรด ชมงานศิลป์ในแกลเลอรี่ หรือไม่ว่าจะเป็นความสุขแบบใด ทุกอย่างได้ถูกจัดสรรไว้แล้ว ณ เดอะสลิล

Price: ห้องพรีเมียร์ 11,500 บ. ดีลักซ์ 14,500 บ. ห้องสวีท 17,500 บ.

Place: ซ. สุขุมวิท 57 ใกล้บีทีเอสทองหล่อ โทร. 02-072-2882-4 เว็บไซต์ www.thesalilhotel.com

Promotion: จองห้องพักผ่านเว็บไซต์ www.thesalilhotel.com ใส่รหัสโปรโมชั่น SALIL รับส่วนลด 10% พร้อมสิทธิเช็คอินเวลา 10.00 น. เช็คเอาท์ 16.00 น. ฟรีเครื่องดื่มต้อนรับ และอาหารเช้า

 

ไป ระยอง เดินชมทุ่งโปรงทอง

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์โพสต์ทูเดย์

25 มิถุนายน 2560 เวลา 08:19 น…. อ่านต่อได้ที่ : http://www.posttoday.com/travel/thailand/499813

ไป ระยอง เดินชมทุ่งโปรงทอง

โดย…พาแลง

เป็นแหล่งท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์และศึกษาเรียนรู้ควบคู่กันไป

สาเหตุที่เรียกทุ่งแห่งนี้ว่าโปรงทองด้วยจุดเด่นของต้นโปรงที่ขึ้นหนาแน่นอยู่เต็มพื้นที่ หากคุณไปเยือนยามเช้าตรู่ หรือไปสัมผัสแสงยามเย็น ใบของต้นโปรงจะสะท้อนแสงอาทิตย์อ่อนๆ ที่ฉาบทาลงบนทุ่งสีเขียวอ่อนแห่งนี้ ทำให้คุณเห็นภาพทุ่งสุดลูกหูลูกตากลายเป็นสีเหลืองทอง ที่นี่จึงเป็นที่รู้จักในชื่อทุ่งโปรงทองนั่นเอง ถือเป็นแหล่งท่องเที่ยวที่ให้ความรู้ สร้างความเข้าใจในเรื่องระบบนิเวศของป่าชายเลน ได้เห็นความสวยงามตามธรรมชาติของป่าโกงกาง ไม้โปรง และไม้ริมชายฝั่ง

สิ่งที่น่าสนใจในทุ่งโปรงทอง นอกจากทางเดินที่ทำด้วยไม้ระยะทาง 2.6 กม. ให้นักท่องเที่ยวเดินศึกษาธรรมชาติ ระหว่างทางจะพบกับความอุดมสมบูรณ์ของป่าชายเลน ป่าโกงกาง จะเป็นพื้นที่ที่เชื่อมต่อมาจากป่าชายเลน ช่วงนี้ต้นโกงกางซึ่งมีความสูงพอสมควรจะปกคลุมทางเดินให้ร่มรื่น คล้ายกับเป็นอุโมงค์ต้นโกงกาง ก็จะร่มรื่น ไม่ร้อน หากคุณไม่เดินในเส้นทางนี้ก็มีเรือของชาวบ้านล่องไปตามเส้นทางไว้บริการ โดยเส้นทางจะไปสิ้นสุดบริเวณอนุสรณ์เรือรบหลวงประแส

บริเวณเส้นทางศึกษาธรรมชาติเป็นทางเดินไม้ระแนงทอดยาวผ่านป่าชายเลน ริมสองข้างทางเต็มไปด้วยพืชพันธุ์หลากหลายชนิด ทั้งต้นแสม ตะบูนดำ ลำพูน โกงกาง โปรงแดง โปรงทอง เป็นที่อยู่อาศัยแหล่งหลบภัย และเป็นแหล่งอนุบาลของสัตว์น้ำทั้งกุ้ง หอย ปูแสม ปูก้ามดาบ ปลาตีน สะพานไม้ได้ลัดเลาะไปตามป่าโกงกางประมาณ 200 เมตร ก็จะทะลุออกมาจนเจอทุ่งโปรงทองที่เต็มไปด้วยต้นโปรงขึ้นเบียดกันแน่น ใบโปรงสีเขียวเหลืองอ่อนที่แทรกออกเป็นพุ่มแน่นจนแทบไม่เห็นพื้นด้านล่าง จุดชมวิวกลางทุ่งต้นโปรงนี้สามารถเห็นวิวได้รอบทิศ เสมือนถูกโอบด้วยทุ่งสีเหลืองทอง ตัดด้วยขอบสีเขียวเข้มของใบโกงกางที่เป็นพุ่มล้อมอยู่โดยรอบ ถือเป็นจุดชมวิวที่สร้างความตื่นตา เป็นไฮไลต์สำคัญจุดชมวิวให้นักท่องเที่ยวได้ถ่ายรูปในมุมกว้าง

เมื่อเดินต่อไประหว่างทางพบพันธุ์ไม้นานาชนิด เช่น ต้นลำพู ต้นแสม โกงกาง ตะบูนดำ โปรงแดง โปรงทอง ฯลฯ จากนั้นจะถึงยังศาลเจ้าแสม สิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่ชาวบ้านนับถือมาแต่โบราณ นักท่องเที่ยวเข้ามากราบสักการะได้ เมื่อเดินไปยังสุดทางที่ศาลาพักชมวิว มองออกไปเห็นท้องทะเลว่างเปล่ายาวไกลสุดลูกหูลูกตา ถือว่าธรรมชาติช่วยผ่อนคลายได้ดี

เวลาที่เหมาะสำหรับไปชมความงามของทุ่งโปรงทอง คือ ช่วงเช้าและบ่ายแก่ๆ เพราะอากาศไม่ร้อนเกินไป และเป็นช่วงเวลาที่แสงแดดมาส่องกระทบใบโปรงทองเป็นสีเหลืองอร่าม ซึ่งเปิดให้เข้าชมตั้งแต่เวลา 06.00 -18.00 น. โดยไม่เสียค่าเข้าชม หากเดินด้วยเท้าใช้เวลาประมาณ 1 ชั่วโมงกว่า แต่ถ้าอยากชมธรรมชาติให้ครบทั้งสองฝั่งอาจจะเดินมาจากทางเข้าเรือรบหลวงประแสไปครึ่งทาง จากนั้นก็นั่งรถต่อไปยังวัดตะเคียนงามได้ และหากนักท่องเที่ยวต้องการนั่งเรือชมริมแม่น้ำประแสป่าชายเลนยามค่ำคืน ก็มีเรือให้บริการเป็นหมู่คณะด้วย เพื่อชมความงามของหิ่งห้อยที่ต้นลำพู

สิ่งควรรู้คือทุ่งโปรงทองเป็นแหล่งท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์ บริเวณเส้นทางศึกษาธรรมชาติทุ่งโปรงทองไม่อนุญาตให้นำอาหารและเครื่องดื่มเข้าไป เพราะฉะนั้นควรรับประทานให้เรียบร้อยก่อนที่จะเดินเข้าไปเที่ยวชม ส่วนการเดินทางไปทุ่งโปรงทอง สอบถาม ททท. สำนักงานระยอง โทรศัพท์ 038-655-420-1, 038-664-585 หรือ สำนักงานเทศบาลตำบลปากน้ำประแส โทรศัพท์ 038-661-720-1

 

 

ใช้ชีวิตให้มีสีสัน ลีฟอิทอัพ โฮสเทล ชิดลม

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์โพสต์ทูเดย์

24 มิถุนายน 2560 เวลา 07:54 น…. อ่านต่อได้ที่ : http://www.posttoday.com/travel/thailand/499646

ใช้ชีวิตให้มีสีสัน ลีฟอิทอัพ โฮสเทล ชิดลม

โดย…นิทรา ราตรี

 ความสดใสของ ลีฟอิทอัพ โฮสเทล ชิดลม (Liveitup) คือสีสันของกรุงเทพมหานคร ตามคอนเซ็ปต์การใช้ชีวิตอย่างสนุกสนานและมีพลัง ซึ่งเคยส่งต่อพลังไปแล้วผ่านสาขาแรกที่อโศก

ลีฟอิทอัพ โฮสเทล ชิดลม ยังคงเลือกใช้สีสันสดใส ผสมผสานการวาดภาพศิลปะและดีเทลที่เกี่ยวกับความเป็นไทย เพื่อให้ผู้มาเยือนรู้สึกสนุก อบอุ่น และได้เรียนรู้วิถีชีวิตของคนไทยสมัยใหม่ได้ดียิ่งขึ้น

จุดเด่นของการออกแบบอยู่ที่การใช้ตัวแมสคอตอย่าง นายจัน ที่วาดเป็นตัวการ์ตูนเข้ามาแต่งแต้มและสร้างสีสันให้กับการดีไซน์ โดยนายจันจะรอต้อนรับนักท่องเที่ยวอยู่ที่บริเวณประตูทางเข้า และแอบอยู่ตามภาพวาดต่างๆ ไว้เป็นลูกเล่นสร้างรอยยิ้ม

 โฮสเทลประกอบด้วยห้องพักหลายรูปแบบเพื่อตอบสนองความต้องการที่หลากหลาย ไม่ว่าจะเป็นห้องแบบเตียงรวมหรือหอพัก (Dorm) ขนาดตั้งแต่ 10 เตียง 7 เตียง 6 เตียง 4 เตียง 3 เตียง และ 2 เตียง โดยแต่ละเตียงมีม่านกั้นและไฟอ่านหนังสือ

รวมถึงห้องพักส่วนตัวที่ใช้ห้องน้ำรวม และห้องพักส่วนตัวที่มีห้องน้ำในตัว พร้อมสิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆ ที่จำเป็นแก่นักเดินทาง ไม่ว่าจะเป็นตู้เก็บของ ลิฟต์ ห้องอาบน้ำ ห้องน้ำ ตู้เย็น ไมโครเวฟ ชา กาแฟ ของว่าง คอมพิวเตอร์ อินเทอร์เน็ตไร้สายความเร็วสูง พื้นที่พักผ่อนส่วนกลาง ระเบียงสำหรับสูบบุหรี่ ตู้ซักอบผ้าแบบหยอดเหรียญ และร้านขายเครื่องดื่ม

นอกจากนี้ ลีฟอิทอัพยังตอบโจทย์การท่องเที่ยวแบบใหม่ที่โดนใจวัยรุ่น และนักเดินทางกลุ่มบัดเจ็ตที่ต้องการที่พักที่สะอาด ใหม่ สะดวกสบาย ราคาเอื้อมถึง รวมทั้งเป็นพื้นที่ให้นักท่องเที่ยวมีโอกาสได้สร้างมิตรภาพใหม่ๆ และแบ่งปันประสบการณ์อันน่าตื่นเต้นระหว่างเดินทาง เหมือนกับชื่อ Live it up! ที่แปลว่า การมีชีวิตอยู่อย่างมีความสุข

Price: ห้องพักเริ่มต้นที่ 300 – 1,600 บ.

Place: ตั้งอยู่ในซอยหลังสวนถัดจากโครงการปอร์ติโก้ ห่างจากบีทีเอสชิดลม 5 นาที โทร. 063-905-8415 เว็บไซต์ www.liveituphostel.com

Promotion: –

 

 

ปักหมุด ‘ตลาดเก่านาเกลือ’

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์โพสต์ทูเดย์

24 มิถุนายน 2560 เวลา 07:44 น…. อ่านต่อได้ที่ : http://www.posttoday.com/travel/thailand/499641

ปักหมุด ‘ตลาดเก่านาเกลือ’

โดย…พัชรศรี ปิ่นแก้ว

 อพท. 3 ร่วมกับชมรมส่งเสริมการท่องเที่ยวโดยชุมชนนาเกลือ และกลุ่มประมงต้นแบบบ้านนาเกลือ เปิด “ตลาดเก่านาเกลือ” อ.บางละมุง อายุเก่าแก่กว่า 100 ปี เป็นแหล่งช็อป ชิม ชิล เชิงอนุรักษ์ และทำกิจกรรมนั่งเรือตกหมึก ชมพระอาทิตย์ตก ซึ่งเป็นแหล่งท่องเที่ยวเชื่อมโยงแห่งใหม่ใกล้พัทยา

เปิดตัวแล้วอย่างเป็นทางการเมื่อเดือน มี.ค.ที่ผ่านมา กลายเป็นความคลาสสิกให้เมืองที่ไม่เคยหลับแห่งนี้

ธิติ จันทร์แต่งผล รักษาการผู้จัดการพื้นที่พิเศษเมืองพัทยาและพื้นที่เชื่อมโยง (อพท.3) กล่าวว่า สำหรับการเปิดพื้นที่ท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์ธรรมชาติบนพื้นที่ ต.นาเกลือ อ.บางละมุง จ.ชลบุรี ซึ่งร่วมงานกับชมรมส่งเสริมการท่องเที่ยวโดยชุมชนนาเกลือ และกลุ่มประมงเรือเล็กพื้นบ้านนาเกลือ ได้จัดให้พื้นที่ “ตลาดเก่านาเกลือ” เป็นพื้นที่เชื่อมโยงการท่องเที่ยวแห่งใหม่ที่ได้รับการพัฒนาและฟื้นฟูวิถีชีวิตดั้งเดิมของชุมชนตลาดเก่าให้กลับมาเป็นแหล่งท่องเที่ยวและเชื่อมโยงกับเมืองพัทยาภายใต้การดูแลของ อพท.3 ซึ่งได้วางแผนงานการพัฒนาต่อยอดให้เกิดการเชื่อมโยงทางภายในพื้นที่บางละมุงและพื้นที่ท่องเที่ยวแหล่งอนุรักษ์ใน จ.ชลบุรี

อาคารเก่าผสมกับร้านสะดวกซื้อสมัยใหม่

 

เขายังเผยด้วยว่า พื้นที่ตลาดเก่านาเกลือ ทาง อพท.3 ได้เข้าไปร่วมกับชุมชนและสนับสนุนการพัฒนาเป็นแหล่งท่องเที่ยวแห่งใหม่ เนื่องจากเล็งเห็นศักยภาพทางด้านการเป็นแหล่งอาหารทะเลสด รวมถึงจุดเด่นของการเป็นชุมชนการค้าที่เก่าแก่มากกว่า 100 ปี และยังคงเป็นแหล่งรวมอาหารพื้นบ้านตามสูตรที่มีการถ่ายทอดรุ่นสู่รุ่น

“ขณะเดียวกันเป็นพื้นที่แหล่งจับปลาทะเลชายฝั่งที่ยังเหลืออยู่และติดกับพื้นที่เมืองพัทยาด้วย ทำให้ อพท.3 ต้องเข้าประสานร่วมมือกับกลุ่มชุมชนชาวตลาดนาเกลือ ตลาดอาหารสด และกลุ่มประมงเรือเล็กพื้นบ้านนาเกลือที่มีความพร้อมในการดำเนินกิจกรรมร่วมกันฟื้นฟูพื้นที่ดังกล่าวให้เป็นแหล่งท่องเที่ยวที่สำคัญอีกแห่งหนึ่งในเมืองพัทยา”

ขณะที่ รัตนา อ่องสมบัติ กรรมการฝ่ายประชาสัมพันธ์และประสานงานชมรมส่งเสริมการท่องเที่ยวโดยชุมชนนาเกลือ กล่าวว่า หลังจากเปิดตลาดนาเกลือได้ 2-3 เดือนที่ผ่านมา ก็ได้รับเสียงตอบรับอย่างดีทั้งนักท่องเที่ยวไทยและต่างประเทศ แต่กว่าจะเป็นแบบนี้เมื่อสมัยก่อนตลาดนาเกลือจะคล้ายกับตลาดโต้รุ่ง แต่ 20 กว่าปีที่ผ่านมากลายเป็นตลาดร้าง เพราะทางหน่วยงานราชการได้สร้างตลาดใหม่ตรงตลาดอมร ทำให้คนในชุมชนที่มีอาชีพค้าขายส่วนใหญ่ย้ายตามไป

ชาวบ้านออกมาจับจ่ายอาหารในตลาดเก่า

 

“ทางชุมชนจึงปรึกษาหารือกันว่าควรลองเปิดตลาดแห่งนี้อีกครั้ง ประกอบกับได้ทาง อพท.3 เข้ามาช่วยให้แนวคิดและมองว่าพื้นที่แห่งนี้เป็นแหล่งที่สามารถพัฒนาได้ ทางชุมชมก็มีช่วยกันคิดว่านอกจากมีโซนอาหารสดที่เป็นจุดเด่นแล้ว น่าจะลองทำโซนอาหารปรุงสุกสำเร็จรูปด้วยภายใต้แนวคิด ‘อาหารถิ่น กินอร่อย’ โดยเป็นอาหารพื้นบ้านที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัวจากฝีมือคนในชุมชน”

ผู้ประสานงานชมรมส่งเสริมการท่องเที่ยวโดยชุมชนนาเกลือ กล่าวต่อว่า ตลาดแห่งนี้เปิดมาได้เพียงไม่นาน จึงต้องมีข้อผิดพลาดอยู่บ้าง แต่ทุกคนในชุมชนพร้อมจะเรียนรู้ นำคำติชม ข้อเสนอแนะมาแก้ปัญหา เพื่อพัฒนาตลาดให้ดีขึ้น

“นอกจากเรื่องอาหารทางตลาดยังมีการนำเสนอการเรียนรู้วิถีชีวิตและความเป็นมาของตลาดที่มีอายุกว่า 100 ปี ผ่านศิลปะบนกำแพงและบ้านเรือนไม้สมัยก่อน พร้อมส่งเสริมเด็กในพื้นที่ช่วยอนุรักษ์วัฒนธรรมเดิมผ่านการเรียนรู้จากกิจกรรมต่างๆ ในพื้นที่ โดยนัดมารวมตัวกันช่วงเสาร์-อาทิตย์ เพื่อพัฒนาให้เป็นเด็กมีความรู้เกี่ยวกับพื้นที่ของตนเองอย่างดี สู่การมีทักษะการสื่อสารที่ดีหากมีนักท่องเที่ยวสอบถาม และอีกหนึ่งจุดเด่นของตลาดแห่งนี้คือ ภาชนะที่ใช้จะปลอดการใช้โฟม เป็นการสนองตอบนโยบายของรัฐบาลและ จ.ชลบุรี ที่ต้องการให้เป็นประเทศและจังหวัดไร้ขยะ”

วิถีชาวนาเกลือ

 

นอกจากนี้ ดร บุญมา รองประธานกลุ่มประมงต้นแบบบ้านนาเกลือ ได้กล่าวถึงความเป็นมาของตลาดเก่านาเกลือว่า พื้นฐานเดิมของคนในชุมชนแห่งนี้ส่วนใหญ่เป็นชาวประมง จึงสร้างพื้นที่ให้เป็นที่แลกของกันจนเป็นแหล่งสำคัญทางประมงสมัยก่อน

“ทำให้เกิดความคิดตอนหารือจะเปิดตลาดเก่านาเกลืออีกครั้งว่าน่าจะมีการเชื่อมโยงสำหรับการแนะนำความเป็นมาที่เกี่ยวข้องกับวิถีชีวิตการประมงพื้นบ้านกับตลาดโดยผ่านการนั่งเรือประมงพื้นบ้าน เช่น การนั่งเรือชมวิวพระอาทิตย์ตก ชมความงามของปราสาทสัจธรรม รวมถึงท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์เพาะพันธุ์ปลา โดยใช้ซั้งเชือกเพื่อการอนุบาลและการอนุรักษ์สัตว์ทะเล และการนั่งเรือตกหมึกตามวิถีชีวิตชาวประมงเป็นจุดสนใจอีกทางเลือกหนึ่งด้วย”

ทาง อพท.3 ได้วางแผนการพัฒนาให้เกิดความต่อเนื่องและความยั่งยืนในทุกด้าน เพื่อให้พื้นที่ดังกล่าวเป็นแหล่งท่องเที่ยวที่มีการบริหารจัดการอย่างเข้มแข็ง โดยเกิดจากความร่วมมือของทุกฝ่าย ทั้งภาคชุมชน หน่วยราชการ และองค์การบริหารส่วนท้องถิ่น ได้จัดให้มีการอบรมและศึกษาดูงานในพื้นที่ต้นแบบเพื่อนำมาสู่การเชื่อมโยงแหล่งท่องเที่ยวในพื้นที่ อพท.3 พร้อมทั้งมีการต่อยอดความร่วมมือและพัฒนาแหล่งท่องเที่ยวให้มีจุดเด่นและสร้างอัตลักษณ์ให้ชัดเจนมากยิ่งขึ้น

ศิลปะสะท้อนวิถีชีวิตดั้งเดิม

 

อย่างไรก็ตาม การพัฒนาและส่งเสริมแหล่งท่องเที่ยวในพื้นที่เชื่อมโยง โดยการเข้าไปสนับสนุนของ อพท.3 เป็นการดำเนินงานตามนโยบายประชารัฐต่อการคำนึงถึงการมีส่วนร่วมของทุกฝ่าย เพื่อให้เกิดการยกระดับเศรษฐกิจท้องถิ่น การพัฒนาศักยภาพของพื้นที่ที่มีศักยภาพและมีความโดดเด่นนำมาเป็นจุดขาย เพื่อสร้างเป็นแหล่งท่องเที่ยวและแหล่งการเรียนรู้วิถีชีวิตให้กับนักท่องเที่ยวชาวไทยและต่างประเทศ

นักท่องเที่ยวจะได้สัมผัสวิถีชีวิตชาวนาเกลือ อาคารบ้านเรือนแบบดั้งเดิม และร้านอาหารมากกว่า 60 ร้านในราคาไม่แพง โดยตลาดเก่านาเกลือจะจัดขึ้นในช่วงเย็นของวันเสาร์-อาทิตย์ ตั้งแต่เวลา 15.00-21.00 น. ตลอดปี 2560

ศาลเจ้าจีนในย่านตลาดเก่า

ทะเลตากแห้ง ของขึ้นชื่อแห่งนาเกลือ

ขนมเปี๊ยะของแม่ค้าสาวสวย

ธิติ จันทร์แต่งผล

มะม่วงน้ำดอกไม้อวบอิ่ม ความชุ่มฉ่ำของฤดูกาลนี้

คุณติ๋ว ร้านข้าวเหนียวมะม่วงชื่อดัง

แจงลอนร้อนๆ อาหารพื้นบ้านที่หากินได้ยาก

ร้านขายอาหารทะเลอบแห้ง

 

 

 

โอเค! เบตง

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์โพสต์ทูเดย์

24 มิถุนายน 2560 เวลา 07:32 น…. อ่านต่อได้ที่ : http://www.posttoday.com/travel/thailand/499637

โอเค! เบตง

โดย…กันติพิชญ์ ใจบุญ / โสภิตา สว่างเลิศกุล

 “เบตง” เป็นอำเภอที่มีขนาดใหญ่ใน จ.ยะลา นับเป็นอำเภอที่ตั้งอยู่ใต้สุดของประเทศไทย โดยมีลักษณะเป็นหัวหอกยื่นเข้าไปในประเทศมาเลเซีย ตั้งอยู่ในแนวเทือกเขาสันกาลาคีรี มีเนื้อที่ประมาณ 1,328 ตารางกิโลเมตร ห่างจากตัวเมืองยะลาประมาณ 140 กิโลเมตร และห่างจากกรุงเทพมหานครประมาณ 1,220 กิโลเมตร

ด้วยภูมิประเทศของ อ.เบตง ส่วนใหญ่เป็นภูเขาสูงจึงทำให้เบตงมีอากาศดี และมีหมอกตลอดปี ดังคำขวัญประจำอำเภอที่ว่า “เมืองในหมอก ดอกไม้งาม ใต้สุดสยาม เมืองงามชายแดน”

สภาพโดยรวมของพื้นที่เป็นที่ราบสูงเนินเขา ลุ่มน้ำ เมืองเบตงตั้งอยู่ในหุบเขา มีลักษณะเหมือนแอ่งกระทะที่โอบล้อมด้วยหุบเขาน้อยใหญ่ พื้นที่ทั่วไปสูงกว่าระดับน้ำทะเลประมาณ 1,900 ฟุต ตัวเมืองเบตงอยู่ห่างจากด่านชายแดนเบตงเป็นระยะทาง 7 กิโลเมตร เป็นเมืองที่มีความสำคัญด้านการท่องเที่ยวและการขนส่งสินค้า เป็นเมืองหน้าด่านที่จะนำสินค้าเข้าออกไปยังท่าเรือน้ำลึกปีนังของมาเลเซีย

ปัจจุบัน อ.เบตง จ.ยะลา ถูกยกระดับให้เป็น 1 ใน 3 อำเภอของพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ โดยรัฐบาลคณะรักษาความสงบแห่งชาติ กำหนดไว้เมื่อปี 2559 ให้ อ.เบตง เป็นเมืองต้นแบบด้านการพัฒนาเพื่อการพึ่งพาตนเองอย่างยั่งยืน ควบคู่ไปกับอีก 2 อำเภอ คือ อ.หนองจิก จ.ปัตตานี และ อ.สุไหงโกลก จ.นราธิวาส ที่ทั้งหมดจะเป็นสามเหลี่ยมเศรษฐกิจในพื้นที่ชายแดนภาคใต้

เมืองเบตง ในฐานะที่เป็นไข่แดง และถือเป็นเมืองที่สวยงามของพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนใต้ ถูกตั้งเป้าหมายการพัฒนาในระยะสั้น คือ 1.การเพิ่มจำนวนนักท่องเที่ยวให้เป็น 1.2 ล้านคน จากเดิมที่เฉลี่ยปีละ 2.5 แสนคน

2.การสร้างงาน สร้างอาชีพให้กับประชาชนไม่น้อยกว่า 5 หมื่นราย

3.มูลค่าทางเศรษฐกิจในพื้นที่จะต้องมีการเจริญเติบโตไม่น้อยกว่า 2,500 ล้านบาท

ภายใต้เม็ดเงินที่รัฐอุดหนุนเพื่อให้เกิดการพัฒนาพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนใต้ให้มากที่สุด เพื่อหวังว่าความเจริญ การจัดการที่เป็นระบบ จะช่วยลดระดับความรุนแรงจากปัญหาการก่อเหตุความไม่สงบในพื้นที่ชายแดนใต้ให้ลดน้อยลงและหมดไป

สถานการณ์ดีขึ้น การพัฒนาจึงไหลตาม

เมื่อมองไปยังสถานการณ์ความรุนแรงของพื้นที่ในตลอดระยะเวลากว่า 13 ปี หน่วยหลักที่รับผิดชอบอย่างทหาร ซึ่งสำนักนโยบายและแผนงาน กองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายใน ภาค 4 ส่วนหน้า (กอ.รมน.ภ.4 สน.) ได้เผยตัวเลขการก่อเหตุในห้วงเวลานับตั้งแต่เดือน ต.ค. 2559 มาจนถึงปัจจุบัน พบว่าสถิติการก่อเหตุลดลงจากช่วงเดียวกันของปีก่อนถึง 56% หรือการก่อเหตุจากจำนวน 197 ครั้ง เหลือเพียง 79 ครั้ง

นั่นเป็นข้อบ่งบอกของสถานการณ์ 3 จังหวัดชายแดนใต้ที่รัฐบาลได้เสนอภายใต้การปฏิบัติงานของทหารที่คุมพื้นที่ และเมื่อเล็งเห็นว่าสถานการณ์ดีขึ้น การพัฒนาสามเหลี่ยมเศรษฐกิจในพื้นที่จึงต้องเดินหน้าอย่างทันที

กระนั้น แม้สถานการณ์จะดีขึ้นมา แต่ในส่วนของทหารก็ยังคงไม่อาจไว้วางใจ และยังคุมพื้นที่อย่างเข้มงวดเช่นเดิม

พล.ต.นิพนธ์ รองสวัสดิ์ เลขาธิการ กอ.รมน.ภาค 4 สน. ฉายภาพเรื่องสถานการณ์ในพื้นที่เอาไว้อย่างน่าสนใจ โดยระบุว่า การป้องกันเหตุรุนแรงเพื่อสร้างความปลอดภัยให้ชีวิตและทรัพย์สินของประชาชน ทหารยังคงยึดมั่นและไม่ลดละ ทุกอย่างเดินหน้าตามแผนที่วางเอาไว้ และผลจากการเข้มงวด การเข้าถึงมวลชน ได้ส่งผลให้เหตุความไม่สงบของกลุ่มผู้เห็นต่างจากรัฐ ไม่อาจขยายพื้นที่ก่อเหตุเข้ามาในเขตเมืองของ 3 จังหวัดชายแดนใต้ แม้จะมีความพยายามอย่างหนักในการก่อเหตุก็ตาม

“แน่นอนว่าเราเผลอไม่ได้ เพราะเผลอเมื่อไหร่เขาก็เล่นเราทันที แต่เพราะความเข้มแข็งที่เราช่วยสร้างและส่งเสริมให้กับภาคประชาชน ทำให้การหลงผิดไปอยู่กลุ่มเห็นต่างจากรัฐลดลง และสถิติการก่อเหตุรุนแรงก็ลดลงตามไปด้วย” พล.ต.นิพนธ์ กล่าว

ยุทธศาสตร์สำคัญที่ทหารนำมาใช้ปรับกับการปฏิบัติหน้าที่ มีอยู่ 3 หลักใหญ่ คือ กฎหมายนำ การทหารตาม และการเมืองขยาย

+ กฎหมายนำ เป็นการนำความถูกต้องยุติธรรมเข้าสู่พื้นที่ พร้อมทั้งเจ้าหน้าที่รัฐเองได้มุ่งเน้นในด้านการแสดงความจริงใจ และอำนวยความยุติธรรมกับทุกคนอย่างเท่าเทียม

+ การทหารตาม มุ่งเน้นเพื่อสร้างความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินให้กับประชาชน สร้างความเชื่อมั่นให้กับผู้ประกอบการ นักลงทุน และนักท่องเที่ยว

+ การเมืองขยาย เป็นการนำนโยบายรัฐบาลมาปฏิบัติให้เกิดผลรูปธรรม เพื่อสร้างความเข้าใจ ลดความหวาดระแวงของคนในพื้นที่ และยกระดับคุณภาพชีวิต และเพิ่มศักยภาพของประชาชนให้ดีขึ้น

3 องค์ประกอบที่ว่า พล.ต.นิพนธ์ เน้นย้ำว่าเป็นแนวนโยบายที่ได้ผล และสอดรับการพัฒนาเร่งด่วนในพื้นที่ภายใต้สถานการณ์ ตามหลัก “มั่นคง มั่งคั่ง ยั่งยืน” ขณะเดียวกันการเดินหน้าของการเจรจาสันติสุขก็ยังคงรุดหน้าอยู่เช่นเดิม

“หากมองในเรื่องของความรุนแรง ผมบอกได้ว่า 80% ส่วนใหญ่เป็นเรื่องส่วนตัว และอีก 20% เป็นเรื่องของความมั่นคง แต่เพื่อความชัดเจนในแต่ละความรุนแรงที่เกิดขึ้น เจ้าหน้าที่ก็ต้องสืบสวนให้ลึกเพื่อหาความเชื่อมโยง” พล.ต.นิพนธ์ ย้ำถึงภาพรวมของสถานการณ์

เมืองสงบไร้ก่อการร้าย

ในข้อกังวลว่าสถานการณ์กลุ่มก่อการร้ายรัฐอิสลาม หรือกลุ่มไอเอส ที่แผ่ขยายเข้ามายังภาคพื้นเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และอาจส่งผลกระทบถึงประเทศไทย โดยเฉพาะสถานการณ์ความรุนแรงในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนใต้

คำตอบจาก พล.ต.นิพนธ์ คงทำให้เบาใจขึ้น เมื่อยืนยันและรับรองแน่นอนว่าไม่มีกลุ่มผู้ก่อการร้ายไอเอสเข้ามาในพื้นที่ อีกทั้งปัญหาความไม่สงบในชายแดนใต้ รัฐบาลยืนยันมาตลอดว่าเป็นปัญหาภายใน นานาชาติไม่อาจเข้ามาแทรกแซง และขณะเดียวกัน ปัญหาภายในที่ว่าก็ไม่ได้เกี่ยวข้องกับสถานการณ์ก่อการร้ายของโลกด้วย

“กลุ่มคนเห็นต่างจากรัฐ กระทำการที่ผิดกฎหมายของไทย และรัฐเข้าไปจัดการด้วยกรอบกฎหมายไทย เราไม่ได้ใช้กฎหมายสากลเข้ามาจัดการปัญหาของเรา และทุกคนที่จับตัวมาได้ ก็เป็นคนไทย ไม่มีคนต่างชาติแม้แต่คนเดียว” พล.ต.นิพนธ์ ยืนยัน

หากให้มองภาพรวมของความปลอดภัยในพื้นที่ที่จะเอื้อต่อการพัฒนาเศรษฐกิจ รวมถึงส่งเสริมสภาพชีวิตของคนใน 3 จังหวัดชายแดนใต้ให้มีความเป็นอยู่ทีดีขึ้นได้อย่างไร?

พ.อ.ปราโมทย์ พรหมอินทร์ โฆษก กอ.รมน.ภ.4 สน. ให้คำตอบว่า ทหารจัดพื้นที่ปลอดภัย หรือที่เรียกว่า “เซฟโซน” ไว้ในหัวเมืองเศรษฐกิจรวมแล้ว 7 พื้นที่ กำลังหลักจะเป็นการบูรณาการร่วมระหว่างทหาร ตำรวจ ภาคพลเรือน และภาคประชาชน ความเข้มแข็งของภาคส่วนที่ร่วมมือกันทำงานทำให้พื้นที่มีความปลอดภัยสูงขึ้นกว่าเดิมอย่างมาก

“เหตุการณ์ระเบิดบิ๊กซี จ.ปัตตานี พื้นที่นั่นอยู่นอกพื้นที่ปลอดภัย ซึ่งห่างจากเซฟโซนไปราว 5 กิโลเมตร แต่แน่นอนว่าเราเข้มงวดแค่ไหน หากมีช่องโหว่ก็จะเกิดเหตุได้ทันที” พ.อ.ปราโมทย์ ให้ความเห็น

อย่างไรก็ตาม ในส่วนสถานการณ์การพูดคุยสันติสุข โดยเฉพาะประเด็นการกำหนดพื้นที่ปลอดภัย จะต้องเป็นรูปแบบที่ร่วมกันตกลงทั้งสองฝ่าย และขณะนี้ยังอยู่ในช่วงการทำงานทาง “เทคนิค” ที่ทหารก็ไม่อาจเปิดเผยข้อมูลในส่วนนี้ให้สาธารณะได้รับทราบได้ โดย พล.ต.นิพนธ์ และ พ.อ.ปราโมทย์ ยืนยันในทิศทางเดียวกันว่า ทุกอย่างกำลังดำเนินการ

หนึ่งในเมืองสามเหลี่ยมเศรษฐกิจ

เมื่อทหารในฐานะหน่วยงานสำคัญที่จะต้องดูแลความสงบในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนใต้ ยืนยันถึงสถานการณ์ว่าอยูในช่วงที่ดีขึ้น การผลักดันในการพัฒนาจึงต้องเดินหน้าอย่างเต็มที่ด้วยเช่นกัน

ไข่แดงของ 3 จังหวัดชายแดนใต้ อย่าง อ.เบตง จ.ยะลา ถูกนับเป็นหัวเมืองหลักใน 3 เมืองของพื้นที่ที่จะต้องพัฒนาให้เป็นเมืองต้นแบบภายใต้สถานการณ์ควันปืน ที่แม้จะดีขึ้น แต่ความรุนแรงก็ยังคงไม่ได้จางหายไป

กระนั้น ทำไมจึงต้องเป็น “เบตง” เพราะภูมิพื้นที่ของเบตงถือเป็นเมืองโดดเดี่ยว ตั้งอยู่ใต้สุดของประเทศไทย ขณะที่การเดินทางต้องใช้ถนนหมายเลข 410 จาก อ.เมืองยะลาเข้าสู่พื้นที่ ในระยะทางราว 137 กิโลเมตร ท่ามกลางถนนที่คดเคี้ยวตัดภูเขา กอปรกับยังต้องผ่านพื้นที่เสี่ยงอีกด้วย

ดำรงค์ ดีสกูล นายอำเภอเบตง ตอบคำถามนี้ไว้อย่างน่าสนใจว่า แม้เบตงจะถือเป็นเมืองเล็ก ประชากรอาศัยอยู่ราว 7 หมื่นคน แต่ภายในเมืองกลับน่าดึงดูดสำหรับนักท่องเที่ยว ทั้งธรรมชาติที่สวยงาม วิถีวัฒนธรรมของคนไทยหลากหลายเชื้อชาติ แสงสีในยามค่ำคืน สถานที่ท่องเที่ยวอีกมากมาย รวมถึงอาหารต่างๆ องค์ประกอบเหล่านี้ได้ดึงดูดนักท่องเที่ยวโดยเฉพาะชาวมาเลเซีย สิงคโปร์ และจีน เข้ามาท่องเที่ยวในทุกๆ ปี

ที่สำคัญ เบตง แม้จะอยู่ในพื้นที่ก่อเหตุความไม่สงบ แต่ให้นับตัวเลขของความรุนแรงกลับเกิดขึ้นน้อยครั้งอย่างมาก โดยครั้งสุดท้ายเกิดเหตุระเบิดเมื่อปี 2557 และนับตั้งแต่นั้นมา ไม่มีเหตุใดเกิดขึ้นอีกเลย

“เพราะคนในพื้นที่เข้มแข็ง หวงพื้นที่ และไม่ต้องการความรุนแรงใดๆ เกิดขึ้น ขณะเดียวกันเจ้าหน้าที่ทั้งทหาร ตำรวจ ฝ่ายปกครอง ร่วมมือกันวางกำลังรักษาความปลอดภัยทั่วทั้งเมือง ความเข้มแข็งในจุดนี้ ถือว่าหยุดความรุนแรงให้ชะงักได้เลย” ดำรงค์ ให้ความเห็น

กระนั้น แม้ อ.เบตง จะต้องถูกผลักดันพัฒนาอย่างเร่งด่วนตามนโยบายของรัฐ เพื่อดึงเม็ดเงินและกระตุ้นการท่องเที่ยวให้กับคนในพื้นที่ และอีกนัยก็เพื่อให้เป็นเมืองต้นแบบอย่างที่กล่าวเอาไว้

แต่สิ่งหนึ่งที่นายอำเภอเบตงไม่อาจละเลย เพราะแม้เมืองจะพัฒนาไปมากแค่ไหน วิถีชีวิตของคนในพื้นที่จะต้องไม่ได้ผลกระทบ ไม่ว่าจะเป็นกลุ่มคนไทยเชื้อสายจีน คนไทยพุทธ และคนไทยมุสลิม จะต้องอยู่อย่างมีความสุขควบคู่ไปกับการพัฒนาเมืองเบตง

เบตง จะพัฒนาอย่างก้าวกระโดด

สิ่งสำคัญที่จะทำให้เบตงเป็นเมืองต้นแบบด้านการพัฒนาเพื่อการพึ่งพาตนเองอย่างยั่งยืน องค์ประกอบความสำเร็จจะมาพร้อมการลงทุนจากภาครัฐ กรอบวงเงิน 1,900 ล้านบาท ถูกเทเข้าสู่พื้นที่เพื่อสร้างสนามบินเบตง บนพื้นที่กว่า 900 ไร่ มีหลุมจอดเครื่องบินขนาด 70 ที่นั่ง 3 ลำ ที่ ต.ยะรม อ.เบตง ซึ่งห่างจากตัวเมืองเบตงไปทางทิศเหนือในระยะทางราว 10 กิโลเมตร

สนามบินแห่งนี้จะช่วยในการเดินทางของนักท่องเที่ยว นักธุรกิจ ทั้งชาวไทยและต่างชาติให้มาที่เบตงได้สะดวกยิ่งขึ้น ขณะที่การก่อสร้างมีความคืบหน้าและคาดว่าจะแล้วเสร็จภายในปี 2562

นอกจากนี้ เงินอีก 90 ล้านบาทจะถูกนำมาใช้ก่อสร้างจุดชมวิวพื้นกระจก หรือ Sky Walk ที่เทือกเขาอัยเยอร์เวง หรือเขาไมโครเวฟ ที่เป็นจุดชมทะเลหมอกที่สวยไม่แพ้ภาคเหนือของเมืองไทย และชมได้ตลอดทั้งปี ทั้งนี้ Sky Walk จะช่วยให้นักท่องเที่ยวได้สัมผัสกับทะเลหมอกอย่างใกล้ชิดมากขึ้น และที่สำคัญ Sky Walk ชมทะเลหมอกที่เทือกเขาอัยเยอร์เวง จะเป็นแลนด์มาร์คสำคัญที่นักท่องเที่ยวสามารถชมทะเลหมอกได้อย่าง 360 องศา ซึ่งจะยิ่งใหญ่และสวยที่สุดในทวีปเอเชีย

สถานที่ท่องเที่ยวในเบตงยังมีอีกมากมาย ทั้งอุโมงค์ปิยะมิตร ที่เคยเป็นสถานที่ต่อสู้ในอดีตของคนจีนมลายูพลัดถิ่น ซึ่งอุโมงค์ที่เคยใช้เป็นพื้นที่หลบซ่อนภัยทางอากาศ ได้แปรเปลี่ยนเป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่คงเอกลักษณ์ดั้งเดิมเอาไว้ เพื่อรอให้นักท่องเที่ยวได้สัมผัส หรืออาหารการกินที่มีความอุดมสมบูรณ์ และเป็นอาหารเฉพาะถิ่นที่หากินได้ที่เบตงเท่านั้น ทั้งข้าวมันไก่เบตง หรือปลากือเลาะห์ ที่ได้รับความนิยมอย่างมากในหมู่นักท่องเที่ยวต่างชาติ และแน่นอนว่าสร้างเม็ดเงินให้กับคนในพื้นที่ไม่น้อย

บรรยากาศรอบเมืองเบตงที่ได้สัมผัส พบว่ามีเสน่ห์ดึงดูดที่น่าสนใจ ความน่ากลัวจากคนนอกที่มองว่าเบตง หรือเมืองอื่นๆ ในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนใต้ยังคงอันตรายนั้น หากได้มาสัมผัสกับวิถีการดำรงชีวิตของคนในพื้นที่ รอยยิ้มที่จริงใจแผ่ซ่านให้กับคนแปลกหน้า ความกลัวก็น่าจะจางลงไปพร้อมกับควันปืนด้วยเช่นกัน และท้ายสุด เบตงอาจจะเป็นเมืองที่นำความสำเร็จไปสู่การกลืนสถานการณ์ความรุนแรงให้หายไปก็เป็นได้

ดอกไม้ชายแดนใต้ “เบตง” บนความเจริญในวันนี้

มนต์เสน่ห์และความพิเศษ หรืออัตลักษณ์เมืองในหุบเขา รวมถึงความประทับใจของเบตง ในฐานะคนที่เกิดที่นั่น ฝังรกรากที่นั่น ดุสิต ศิลากอง รองผู้อำนวยการ World Film Festival of Bangkok หลายสมัย ซึ่งเป็นชาวเบตงโดยกำเนิด ครอบครัวฝังรกรากที่นี่มายาวนานตั้งแต่รุ่นบรรพบุรุษที่อพยพมาเป็นคนจีนโพ้นทะเลที่นี่ จนกลายเป็นชาวเบตงแท้ที่มีส่วนร่วมสร้างบ้านแปลงเมืองจนถึงทุกวันนี้

ดุสิต เล่าถึงจุดเด่นของเบตงว่า หลักๆ ทั่วไปคงเป็นเรื่องของอากาศที่มีอุณหภูมิเฉลี่ย 25 องศาเซลเซียสทั้งปี และอาหารการกินที่หลากหลาย

“ด้วยว่า อ.เบตง มีขนาดเล็กกะทัดรัด และด้วยอายุของอำเภอที่มีอายุ 110 ปี ทำให้ผู้สูงอายุรุ่นที่ 2 ที่มีอายุระหว่าง 70-80 ยังมีอยู่ค่อนข้างมาก จึงยังทำให้วัฒนธรรมและประเพณีในอดีตยังคงดำเนินต่อไป การเป็นเมืองเล็กทำให้บรรยากาศของเมืองเต็มไปด้วยการทักทายกันบนท้องถนน ทำให้มันดูอบอุ่น การไปมาหาสู่ทำได้ง่าย”

จากสถานการณ์ความรุนแรงใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ส่งผลกระทบต่อผู้คนในเบตง เปลี่ยนแปลงขนาดไหน ดุสิตชี้ว่าสถานการณ์ความรุนแรงที่เกิดขึ้นมีผลกระทบต่อ อ.เบตงน้อยมาก เพราะเศรษฐกิจส่วนใหญ่มาจากเม็ดเงินของนักท่องเที่ยวชาวมาเลเซีย

“ความเข้าใจกันระหว่างคนเบตง กับคนใน อ.เมืองยะลา เรียกได้ว่าแทบจะไม่รู้จักกัน คนทั้งสองพื้นที่ไปมาหาสู่กันน้อยมาก คนเบตงส่วนใหญ่จะไปที่ อ.หาดใหญ่ หรือไม่ก็ไปปีนังมากกว่า อีกทั้งด้วยความที่เบตงเป็นเมืองเข้าออกทางเดียว การจะทำเหตุรุนแรงอะไรทำได้ค่อนข้างยาก ถึงแม้จะมีเหตุความรุนแรงบ้าง แต่การจับกุมใช้เวลาไม่มากก็ทำการจับกุมสำเร็จ และไม่มีข้อครหาเรื่องการจับแพะเลย ไม่เหมือนกับพื้นที่อื่น”

การวางเบตงให้เป็นเขตเศรษฐกิจพิเศษ หรือเมืองต้นแบบสามเหลี่ยมเศรษฐกิจ คิดว่าดีหรือเหมาะสมอย่างไร? ดุสิตชั่งใจและบอกว่า เรื่องนี้ตอบได้ยากมาก แต่ถ้าพูดจากส่วนลึก ไม่ค่อยเหมาะสมเท่าไหร่ แต่ถ้าวางเป็นเมืองท่องเที่ยว และเป็นด่านย่อย น่าจะดีกว่าเพราะส่วนของภาครัฐไม่ได้เริ่มลงมือทำความเข้าใจเรื่องอะไรพวกนี้เลย รวมไปถึงระบบโลจิสติกส์ที่ยังไม่ได้วางแผนอะไรเลย

“ในแง่เศรษฐกิจภายในประเทศ อย่างที่กล่าวไว้ด้านบน คนเบตงไม่ค่อยได้มีการปฏิสัมพันธ์กับคนทางยะลา ปัตตานี หรือนราธิวาส ตอนนี้ดูเหมือนคนจากที่ดังกล่าวเริ่มทยอยเดินทางมาเที่ยวทะเลหมอก ที่ ต.อัยเยอร์เวงมากขึ้น แต่ไม่เข้ามาถึงตัว อ.เมือง เพราะค่าครองชีพที่เบตงถือว่าสูงมาก

“เรื่องความรุนแรงใน 3 จังหวัดชายแดนส่วนใหญ่เกิดระหว่างทาง ซึ่งเป็นเส้นทางเดินทาง เช่น ที่ อ.รามัน กรงปินัง ที่ชาวบ้านยังกลัวกันอยู่ หากยังคงมีข่าวแบบนี้ต่อไปก็ยากที่จะมีการทำการค้าต่อกัน ในแง่เศรษฐกิจระหว่างประเทศ โดยเฉพาะจากประเทศมาเลเซีย เฉพาะจุดของเบตง ไม่น่าจะใช่เส้นทางลำเลียงสินค้านำเข้าหรือส่งออกที่สำคัญมากนัก เนื่องจากท่าเรือที่บัตเตอร์เวิร์ทของประเทศมาเลเซีย ที่มีการนำเข้าสินค้าจากประเทศจีนจำนวนมหาศาล รวมไปถึงการตั้งโรงงานขนาดใหญ่ของบริษัทต่างชาติดังๆ ที่บริเวณสะพานข้ามทะเลอันใหม่ของเกาะปีนัง การลำเลียงสินค้าผ่านด่านที่สะเดา สะดวกกว่ามาก

“เรื่องการท่องเที่ยวตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน คนมาเลเซียที่เดินทางมาท่องเที่ยวส่วนใหญ่เป็นคนละแวกๆ ชายแดน และมาจากเมืองอิโปห์เสียส่วนใหญ่ ที่น่าแปลกใจคือคนจากปีนัง ที่มีระยะห่างแค่ 125 กิโลเมตร เดินทางมาเที่ยวน้อยมาก ซึ่งปัญหาเหล่านี้ยังไม่ได้รับการพูดถึง ยังไม่รวมไปถึงศักยภาพของคน ที่ปัจจุบันคนอายุ 45 ลงไป พื้นฐานทางภาษาอังกฤษ และจีน และอาจรวมไปถึงภาษาบาฮาสามาเลย์ ถือว่าไม่ดีเอาเสียเลย อันนี้น่าเป็นห่วง คนเชื้อสายมาเลย์ ฝั่งมาเลเซียเอง ภาษาอังกฤษก็เลวร้ายพอๆ กัน”

สนามบินมูลค่า 1,900 ล้านบาท ที่จะเสร็จในปี 2562 จะเปลี่ยนแปลงเบตงให้ยกระดับขึ้นอีกขั้นไหม? ดุสิตยอมรับว่า แน่นอน เพราะอย่างน้อยก็จะต้องมีคนไทยเดินทางมาท่องเที่ยวมากขึ้น ไม่ต้องกังวลเรื่องที่จะเดินทางผ่านเส้นทางยะลา-เบตง ทำให้เทศกาลอาหารและผลไม้ของเบตงจะต้องคึกคักเป็นอย่างมาก รวมไปถึงการเข้ามาลงทุนของคนนอกที่จะต้องมีเข้ามาแน่นอน

“หากเป็นไปตามความเห็นกว้างๆ ก็อยากจะให้มันสำเร็จไปตามแผนที่รัฐได้วาดโครงการมา รวมไปถึงความสงบ แต่มันคงยังตอบอะไรมากไม่ได้ว่ามันจะเป็นไปตามเป้าหมายหรือเปล่า ทั้งนี้เพราะการเติบโตของโรงแรมที่พัก ถนนหนทาง การจัดการเมืองให้เป็นระเบียบ ยังดูไม่ดีนัก รวมไปถึงการพัฒนาทักษะด้านภาษา และช่างฝีมือก็ยังน้อย นี่ยังไม่รวมถึงระดับการักษาของโรงพยาบาลที่เครื่องไม้เครื่องมือเองก็ยังไม่ทันสมัยเอาเสียเลย ซึ่งในกรณีหลังเป็นเรื่องที่ไม่มีใครให้น้ำหนักกันมากนัก แต่ผมเชื่อว่านี่เป็นอีกหนึ่งเรื่องที่ต้องให้ความสำคัญ เพราะการมาท่องเที่ยว หรือจะมาประกอบธุรกิจที่นี่นานๆ เรื่องสาธารณสุขพื้นฐานเป็นเรื่องที่มองข้ามไม่ได้”

สุดท้าย ดุสิต ก็สรุปตามประสาคนท้องถิ่นที่เห็นการเปลี่ยนแปลงของเบตงในรอบเกือบครึ่งศตวรรษที่ผ่านมาว่า เบตงเป็นเมืองที่น่ามาท่องเที่ยวพักผ่อน อากาศดี อาหารอร่อย แต่ยังไม่เหมาะนักกับการลงทุนทำธุรกิจ เพราะจำนวนคนที่นั่นยังน้อย ส่วนใหญ่เป็นผู้สูงอายุ และเด็ก

“ดังนั้นกำลังซื้อไม่ดีมากนัก ผู้สูงอายุมีเงินแต่ไม่ใช้ เด็กอยากใช้แต่ไม่มีเงิน ก็หวังแค่ว่าหากประชากรผู้อยู่อาศัยมากขึ้น เบตงเป็นหนึ่งในที่ที่น่าลงทุนที่หนึ่งในประเทศไทยอย่างแน่นอน”

 

ภูกระดึง ภูงามกับความทรงจำ

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์โพสต์ทูเดย์

18 มิถุนายน 2560 เวลา 07:40 น…. อ่านต่อได้ที่ : http://www.posttoday.com/travel/thailand/499004

ภูกระดึง ภูงามกับความทรงจำ

โดย…สืบสิน ภาพ : คลังภาพโพสต์ทูเดย์

หลังจากที่กองอุทยานแห่งชาติภูกระดึง ประกาศปิดฤดูกาลการท่องเที่ยวไป เมื่อวันที่ 31 พ.ค. 2560 แล้วจะเปิดรับนักท่องเที่ยวอีกครั้งในราวต้นเดือน ต.ค.ของทุกปี นับเป็นเวลาถึง 8 เดือน ซึ่งเชื่อว่าเป็นช่วงเวลาที่นักท่องเที่ยวได้ชื่นชมธรรมชาติอันงดงามกันอย่างเต็มอิ่ม แต่รู้ไหมว่าภูแห่งนี้มีเรื่องเล่าขานกันได้ทุกวันอย่างไม่รู้เบื่อเลยทีเดียวครับ

บ้างก็ว่าภูแห่งนี้เป็นบทพิสูจน์รักแท้อย่างดีเยี่ยม เพราะด้วยเส้นทางการไต่ขึ้นภูระยะทางกว่า 9 กิโลเมตร คือขึ้นเขา 5 กิโลเมตร บวกทางราบอีกประมาณ 3-4 กิโลเมตร เราก็จะได้รู้กันล่ะว่าจะพาคนที่เรารักไปถึงยอดเขาหรือไม่ และถ้าหากเขาคนนั้นสามารถร่วมเดินทางไปกับคุณจนกระทั่งถึงยอดดอย และคอยช่วยเหลือดูแลกันและกันเป็นอย่างดีแล้วละก็ เขาก็คือรักแท้ของเราเป็นแน่แท้ ที่ร่วมกันพิชิตภูกระดึง รวมไปถึงกลุ่มเพื่อนๆ และทุกคนที่ได้ไปสัมผัสต่างพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า ตอนเดินเหนื่อยมากๆ แต่พอได้ไปสัมผัสกับธรรมชาติบนยอดภูกระดึง แล้วมันรู้สึกหายเหนื่อยและคุ้มค่าจริงๆ

โดยส่วนตัวผมแล้วลองนับย้อนดูแทบไม่น่าเชื่อว่าผมนั้นเดินทางไปพิชิตภูนี้มาแล้วถึง 7 ครั้ง และแต่ละครั้งก็มีความหมายและความทรงจำที่ดีเสมอ ผมลืมความเหน็ดเหนื่อยไปเป็นปลิดทิ้ง เวลาบอกเล่าให้ใครต่อใครฟังก็จะพูดถึงความงดงามในแต่ละปีที่ไม่ซ้ำกันเลยสักครั้ง และปีที่ผมรู้สึกประทับใจมากที่สุดที่มาพิชิตภูแห่งนี้ก็คือเมื่อคราวที่เดินทางไปเที่ยวในช่วงปลายฝนต้นหนาว ภูกระดึงแห่งนี้จะโอบอุ้มความชุ่มชื่นเอาไว้ให้คอยต้อนรับคนที่ไปเยือนให้ได้สัมผัสกันอย่างเต็มปอด มองไปทางไหนก็เห็นแต่สีเขียว น้ำตกน้ำก็ใสและมากกว่า แม้จะต้องเผชิญกับหอยทากมากกว่าช่วงเวลาอื่น แต่สารภาพเลยว่าหลงรักภูกระดึงมากที่สุดก็คราวนี้ คราวที่สายฝนกำลังบอกลาและต้อนรับฤดูหนาวมาเยือนนั่นเอง

ภูกระดึงเป็นอุทยานแห่งชาติลำดับที่ 2 ของบ้านเรา ตั้งอยู่ในท้องที่ ต.ศรีฐาน อ.ภูกระดึง จ.เลย เป็นภูเขาหินทรายยอดตัด เป็นที่ราบขนาดใหญ่ มีเนื้อที่ประมาณ 60 ตารางกิโลเมตร มีความสูง 400-1,200 เมตรจากระดับน้ำทะเลปานกลางเป็นแหล่งท่องเที่ยวทางธรรมชาติที่ได้รับความนิยมมากแห่งหนึ่งของเมืองไทย จุดสูงสุดอยู่ที่บริเวณคอกเมย มีความสูง 1,316 เมตรจากระดับน้ำทะเล

สภาพทั่วไปของภูกระดึง ประกอบไปด้วยพรรณไม้นานาชนิด สัตว์ป่านานาพันธุ์ หน้าผา ทุ่งหญ้า ลำธาร และน้ำตก อีกทั้งยังเป็นพื้นที่ต้นน้ำของลำน้ำพองซึ่งเป็นลำน้ำสายสำคัญสายหนึ่งของภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ด้วยความสูง บรรยากาศ และสภาพอากาศที่เย็นสบายตลอดปีบนยอดภูกระดึง โดยเฉพาะในช่วงฤดูหนาวอุณหภูมิอาจลดต่ำจนถึง 0 องศาเซลเซียส จึงเป็นแรงจูงใจให้นักท่องเที่ยวปรารถนาและหวังจะเป็นผู้พิชิตยอดภูกระดึงสักครั้งหนึ่งในชีวิต

มาถึงภูแห่งนี้ก็มีจุดท่องเที่ยวให้เราได้ไปสัมผัสกันมากมายแบบไม่รู้เบื่อ

ผานกแอ่น เป็นลานหินเล็กๆ มีสนต้นหนึ่งขึ้นโดดเด่นอยู่ริมหน้าผา เป็นจุดท่องเที่ยวชมพระอาทิตย์ขึ้นที่สำคัญ อยู่ห่างจากที่พักศูนย์วังกวางเพียง 2 กิโลเมตร ในทุกเช้าของหน้าหนาวจะมีนักท่องเที่ยวนิยมถ่ายรูปกันอย่างสนุกสนาน ในตอนเช้าจะต้องไปพร้อมเจ้าหน้าที่เสมอ ห้ามไปเองเพราะอาจได้รับอันตรายจากสัตว์ป่า ริมทางเดินใกล้ผานกแอ่นยังเป็นสวนหินมีดอกกุหลาบป่าขึ้นอยู่เป็นดงใหญ่ซึ่งจะบานสะพรั่งเต็มต้น

ผาหล่มสัก ว่ากันว่าถ้าไม่มาชมพระอาทิตย์ตกที่นี่ก็เหมือนไม่ได้มาเยือนภูกระดึง ตัวผาหล่มสักอยู่ห่างจากผาแดง 2.5 กิโลเมตรหากเดินมาจากแยกศูนย์โทรคมนาคมกองทัพอากาศ บนเส้นทางน้ำตก แต่ถ้าเดินจากที่พักศูนย์วังกวางจะมีระยะประมาณ 9 กิโลเมตร ด้วยลักษณะแผ่นที่มีหินแปลกตากับโค้งกิ่งสนที่รองรับกันพอดิบพอดี ถือว่าเป็นจุดไฮไลต์ของที่นี่ และกลายเป็นสัญลักษณ์สำคัญของอุทยานแห่งชาติภูกระดึง

ผาหมากดูก อยู่ห่างจากศูนย์บริการนักท่องเที่ยว 2.5 กิโลเมตร เป็นผาที่มีลานหินกว้างขวาง เป็นผาสำหรับชมพระอาทิตย์ตกที่ใกล้ที่พักมากที่สุด สามารถชมทิวทัศน์ภูผาจิตในเขตอุทยานแห่งชาติน้ำหนาว ในช่วงต้นฤดูฝนจะมีดอกกระเจียวขึ้นเต็มทุ่งตามเส้นทางสู่ผาหมากดูก

น้ำตกวังกวาง อยู่ใกล้ที่พักศูนย์วังกวางมากที่สุดโดยมีระยะทางห่างแค่ราว 1 กิโลเมตรเท่านั้น วังกวางเป็นน้ำตกเล็กๆ ชั้นที่สูงสุดจะสูงประมาณ 7 เมตร จะมีความสวยงามมากในช่วงฤดูฝน ตั้งแต่เดือน พ.ค.-ต.ค. บริเวณนี้จะมีทากชุมเพราะเป็นด่านช้าง หรือทางช้างเดิน

น้ำตกถ้ำสอเหนือ อยู่ห่างจากศูนย์บริการนักท่องเที่ยววังกวาง 4.8 กิโลเมตร เป็นน้ำตกขนาดกลาง สูง 10 เมตร น้ำไหลมาจากผาเป็นม่านน้ำตก บริเวณเหนือน้ำตกมีดงกุหลาบแดง ซึ่งในช่วงฤดูร้อนจะผลิดอกสร้างสีสันให้กับบริเวณนี้ให้สวยงามยิ่งขึ้น

น้ำตกเพ็ญพบใหม่ เกิดจากลำธารวังกวาง น้ำตกผ่านผาหินรูปโค้ง ในหน้าหนาวใบเมเปิลที่อยู่บริเวณริมน้ำตกจะร่วงหล่นลอยไปตามผิวน้ำ ตัดกับสีเขียวของตะไคร่น้ำตามโขดหินงดงามมาก

ลำธารวังกวางเป็นต้นกำเนิดของน้ำตกโผนพบ ซึ่งตั้งชื่อเป็นเกียรติแก่ โผน กิ่งเพชร นักชกแชมเปี้ยนโลกคนแรกของชาวไทยในฐานะเป็นผู้ค้นพบคนแรกเมื่อคราวที่ขึ้นไปซ้อมมวยให้ชินกับอากาศหนาว ก่อนเดินทางไปชกในต่างประเทศ

สระอโนดาต อยู่ห่างจากศูนย์บริการนักท่องเที่ยว 2.7 กิโลเมตร เป็นสระน้ำขนาดไม่ใหญ่นักที่มีต้นสนขึ้นเป็นแนวใกล้กันยังมีลานกินรี ซึ่งเป็นสวนหินธรรมชาติที่อุดมไปด้วยพรรณไม้ ทั้งพวกกินแมลงอย่างดุสิตา หยาดน้ำค้าง หรือเฟิร์นนานาชนิด

อุทยานแห่งชาติภูกระดึงยังมีสถานที่น่าสนใจอีกหลายแห่ง ทั้ง น้ำตกรัตนา น้ำตกพระองค์ น้ำตกธารสวรรค์ ผาแดงผาส่องโลก ผานาน้อย ผาจำศีล สวนสีดา เรียกได้ว่าบนยอดเขาอันเป็นที่ราบแสนมหัศจรรย์แห่งนี้ยังเป็นที่รอคุณพิชิต และสัมผัสธรรมชาติอันงดงามตลอดทั้งฤดูกาล

สำหรับการเดินทางขึ้นภูกระดึงนั้น ทางอุทยานจะอนุญาตให้นักท่องเที่ยวเดินขึ้นได้ตั้งแต่เวลา 07.00-14.00 น.ของทุกวัน และหลังจากเวลา 14.00 น.เป็นต้นไป ทางอุทยานจะไม่อนุญาตเพราะระยะทางในการเดินทางขึ้นเขาต้องใช้เวลาในการเดินเท้าประมาณ 4-5 ชั่วโมง ซึ่งจะตรงกับเวลาพลบค่ำในระหว่างทาง ดังนั้นอาจจะทำให้เกิดความยากลำบาก อีกทั้งอาจได้รับอันตรายจากสัตว์ป่าที่ออกหากินในเวลา
กลางคืนอีกด้วย

 

 

ดีไซน์ใหม่ฉลองทศวรรษ สยาม แอ็ท สยาม กรุงเทพฯ

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์โพสต์ทูเดย์

17 มิถุนายน 2560 เวลา 13:31 น…. อ่านต่อได้ที่ : http://www.posttoday.com/travel/thailand/498959

ดีไซน์ใหม่ฉลองทศวรรษ สยาม แอ็ท สยาม กรุงเทพฯ

โดย…นิทรา ราตรี

 10 ปีที่ผ่านมา ไม่ได้ทำให้ สยาม แอ็ท สยาม ดีไซน์ โฮเต็ล กรุงเทพฯ ดูน่าตื่นเต้นน้อยลงเลย

จากวันแรกของการเป็นดีไซน์ โฮเต็ล สัญชาติไทยแห่งแรกที่สร้างความแตกต่างด้วยจุดเด่นเฉพาะตัวในคอนเซ็ปต์ อินดัสเทรียล ชิก ดีไซน์ (Industrial Chic Design) จนถึงวันนี้ในโอกาสครบรอบ 10 ปี สยาม แอ็ท สยาม ก็ยังสร้างสิ่งใหม่ที่ชิกกว่าเดิม

ไม่ว่าจะเป็นการปรับโฉมดีไซน์ห้องพักทั้ง 202 ห้องให้มีสีสันสดใส ปรับการตกแต่ง “My Club” Executive Lounge เพื่ออำนวยความสะดวกแก่ผู้ใช้บริการชั้นบิซิเนส และการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่กับการเปิดตัวห้องพักโฉมใหม่จำนวน 20 ห้องบนชั้นเฮอริเทจ

เฮอริเทจ ฟลอร์ เป็นการเปลี่ยนพื้นที่สปาในชั้น 10 ให้กลายเป็นห้องพักสุดเอ็กซ์คลูซีฟ โดยดึงเสน่ห์ของสถาปัตยกรรมไทยโคโลเนียลสมัยรัชกาลที่ 6 มาใส่ไว้ โดยแต่ละห้องมีความสงบนิ่งด้วยผนังโทนสีขาวสะอาดตา ประกอบกับแนวไม้สลับเส้นสายแผงประกลสีดำเน้นความเป็นไทย มีกระเบื้องลวดลายหัวไม้ซับซ้อนแปลกตาตามยุคสมัยของฝรั่งต่างชาติที่ตกแต่งบ้านพักในช่วงรัชกาลที่ 6 และภาพวาดจากช่างศิลป์ไทยที่แฝงพลังของธาตุทั้งสี่ไว้เพื่อสร้างความสมดุล

 อย่างไรก็ตาม ห้องพักทุกห้องยังคงโดดเด่นเรื่องความสบายของเครื่องนอน ความทันสมัยของอุปกรณ์และเครื่องใช้ต่างๆ พร้อมพื้นที่ใช้สอยกว้างขวางอย่างห้องเฮอริเทจก็ได้แบ่งพื้นที่ห้องนอนและห้องนั่งเล่นแยกจากกัน

นอกจากนี้ บริเวณล็อบบี้ได้สร้างความตื่นตาตื่นใจด้วยการปรับเปลี่ยนชิ้นงานศิลปะเดิมที่เป็นสไตล์โมเดิร์นอาร์ตให้กลับมามีกลิ่นอายความเป็นไทยมากขึ้น ทั้งเรื่องราวลึกลับของป่าหิมพานต์ ความซุกซนของหนุมาน จักรวาล 12 ราศี ภาพเขียนชุดคัลเลอร์ ออฟ กรุงเทพฯ และภาพเขียนพ่อของแผ่นดิน ซึ่งทั้งหมดได้สร้างบรรยากาศเสมือนเป็นแกลเลอรี่อาร์ตที่น่าพักที่สุด

ส่วนอื่นๆ ของโรงแรมก็ยังให้ความสะดวกสบายอยู่ครบถ้วน ไม่ว่าจะเป็นสระว่ายน้ำสไตล์พาโนรามา ฟิตเนส และห้องอาหาร 3 ห้อง 3 สไตล์ ได้แก่ ปาร์ตี้ เฮาส์ วัน แหล่งรวมความสนุกสนานแห่งสยาม เดอะรูฟ แกสโตร บนชั้น 25 เสิร์ฟอาหารสไตล์เฟรนช์-เมดิเตอร์เรเนียน พร้อมวิวกรุงเทพฯ แบบ 360 องศา และลา วู บริการอาหารฝรั่งเศสและไวน์จากแคว้นต่างๆ ในฝรั่งเศสด้วย

กล่าวได้ว่า การเปลี่ยนแปลงทั้งหมดช่างสมกับการฉลองครบ 10 ปีของ สยาม แอ็ท สยาม ดีไซน์ โฮเต็ล กรุงเทพฯ และสมกับการทุ่มงบกว่า 150 ล้านบาท เพื่อตอกย้ำความเป็นดีไซน์ โฮเต็ล แห่งแรกในประเทศไทย ซึ่งเชื่อว่าก็ยังคงเป็นแห่งเดียวในใจของใครหลายคน

Price:ห้องพักเฮอริเทจราคาเริ่มต้นที่ 11,182 บ. รวมอาหารเช้า 2 ท่าน

Place: เกษมสันต์ ซ. 3 ใกล้กับบีทีเอสสนามกีฬาแห่งชาติ มาบุญครอง และย่านสยาม โทร. 02-217-3000 เว็บไซต์ www.siamatsiam.com

Promotion: ห้องพักทุกประเภทลด 10 % เมื่อจองผ่านเว็บไซต์ www.siamatsiam.com สำหรับการจองและเข้าพักตั้งแต่วันนี้ – 31 ก.ค. 2560

 

ระยองไม่มีทะเล มีแต่เสน่ห์แห่งฤดูกาล

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์โพสต์ทูเดย์

17 มิถุนายน 2560 เวลา 13:21 น…. อ่านต่อได้ที่ : http://www.posttoday.com/travel/thailand/498954

ระยองไม่มีทะเล มีแต่เสน่ห์แห่งฤดูกาล

โดย…กาญจน์ อายุ

 ตระเตรียมพุงและใจไว้ให้ดี เพราะการเดินทางในครั้งนี้จะเต็มไปด้วยของกินและเรื่องที่ดีต่อใจ

ประเด็นแรกอยู่ที่งานเทศกาลสวนผลไม้ และของดีภาคตะวันออก ประจำปี 2560 โดยการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) ร่วมกับ 4 จังหวัดภาคตะวันออก ได้แก่ ระยอง จันทบุรี ตราด และปราจีนบุรี จัดขึ้นเพื่อส่งเสริมการท่องเที่ยวเชิงเกษตร (Agro Tourism) สร้างมูลค่าเพิ่มให้ผลผลิตทางการเกษตรของไทยและช่วยเหลือเกษตรกรไทย

พูดง่ายๆ คือ ททท.กำลังเชิญชวนคนไทยมากินผลไม้ในสวน โดยได้จัดโปรโมชั่นพิเศษ แจกคูปองชิมผลไม้มูลค่า 100 บาท เพื่อใช้เป็นส่วนลดค่าบุฟเฟ่ต์ผลไม้จำนวน 20 แห่งจาก 4 จังหวัด (เฉพาะวันอาทิตย์-พฤหัสบดี) ซึ่งสวนทั้งหมดพร้อมเปิดบริการให้นักท่องเที่ยวเข้าชมสวนตั้งแต่ตอนนี้ถึงเดือน ก.ค. 2560

ตึกเก่าในซอกซอยย่านยมจินดา

 อย่างสวนยายดา-เจ๊บุญชื่น จ.ระยอง คิดราคาบุฟเฟ่ต์คนละ 350 บาท กินได้ไม่อั้นทั้งทุเรียนหมอนทอง ทุเรียนชะนี สละพันธุ์สุมาลี เงาะโรงเรียน มังคุด และเพิ่มเติมด้วยของคาวอย่างส้มตำ ไก่ทอด และข้าวเหนียว ซึ่งทั้งหมดจะนำมาวางไว้ให้หยิบรับประทานแบบฟรีสไตล์ ไม่ได้ให้เข้าไปเด็ดจากต้นเหมือนที่หลายคนคิดไว้

บุฟเฟ่ต์ชนิดนี้จะไม่จำกัดเวลารับประทาน แต่มีข้อห้ามเพียงข้อเดียวคือ ห้ามนำกระเป๋าใบใหญ่เข้าสวน เพราะกลัวคนจะติดใจหยิบกลับบ้าน แต่หากใครอยากซื้อฝาก หน้าสวนจะมีร้านขายในราคาย่อมเยาแบบที่คนกรุงเทพฯ ต้องร้องว้าว เช่น เงาะโรงเรียน 4 โล 100 บาท ทุเรียนหมอนทองโลละ 100 บาท สละโลละ 70 บาท ซึ่งเป็นราคาที่หาซื้อในท้องตลาดเมืองกรุงไม่ได้

นอกจากนี้ ในช่วงผลไม้ดก ราคาดี ซึ่งในแต่ละปีมีเพียง 3 เดือนเท่านั้น (พ.ค.-ก.ค.) ททท.จึงเดินทางจัดกิจกรรมโครงการ “วันธรรมดา ลุยสวน (เที่ยว) ยกครัว” ใน จ.ระยอง และจันทบุรี โดยนักท่องเที่ยวที่เข้าพักโรงแรมในสองจังหวัดนี้ในวันธรรมดา จะได้รับคูปองเข้าสวนผลไม้ที่ร่วมกิจกรรม ใบละ 100 บาท จำนวน 2 ใบต่อ 1 ห้องพัก

บุฟเฟ่ต์ผลไม้สวนยายดา-ป้าบุญชื่น

 ในระยอง ได้แก่ สวนยายดา-เจ๊บุญชื่น สวนละไม สวนผู้ใหญ่เสวตร สวนลุงทองใบ สวนผู้ใหญ่สมควร และสวนสุภัทราแลนด์

ส่วนจันทบุรีมีที่ สวนเคพีการ์เด้น สวนเจริญชัย สวนป้าแกลบ สวนภูทิพย์ธารา อิสรีย์ฟาร์มม้าไทย และวิสาหกิจชุมชนท่องเที่ยวเชิงเกษตรชุมชน รักษ์เขาบายศรี

หากถามว่า ต้องไปสวนไหน คงต้องตอบว่าไปสวนไหนก็ได้ เพราะรสชาติของผลไม้จะไม่ต่างกัน เนื่องจากปลูกในดินจังหวัดเดียวกัน ตามสโลแกน “อร่อยทุกไร่ ชิมไปทุกสวน” แต่อาจจะต่างกันที่ราคาและการอำนวยความสะดวก ว่าจะบ้านๆ หรือแบบทัวร์ๆ

นกงูเผยลำคอยาวคล้ายงูขณะบินจากกิ่งไม้

 อย่างไรก็ตาม ททท.คาดว่าตลอดงานเทศกาลสวนผลไม้ปีนี้จะมีเงินหมุนเวียนกว่า 68 ล้านบาท ซึ่งเพิ่มขึ้นจาก 62 ล้านบาทในปีที่ผ่านมา ด้าน กฤษฎา รัตนพฤกษ์ ผู้อำนวยการการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย สำนักงานภาคตะวันออก เผยว่า ในปีนี้มีผลไม้เยอะกว่าปีที่ผ่านมา จากปี 2559 ประสบภัยแล้งทำให้มีทุเรียนประมาณ 1 แสนตัน แต่ในปีนี้ที่สภาพอากาศดีกว่าทำให้มีทุเรียนมากถึง 3 แสนตัน

“จันทบุรีได้รับสมญานามว่าเป็น มหานครแห่งผลไม้ ซึ่งตำแหน่งนี้เขาสมควรได้รับ เพราะจันทบุรีเป็นจังหวัดที่มีพื้นที่ปลูกทุเรียน กล้วยไข่ และลำไยมากที่สุดในประเทศไทย เช่นเดียวกับระยองที่มีผลผลิตมากไม่แพ้กัน ดังนั้น การจัดกิจกรรมส่งเสริมทางการตลาดนี้จะช่วยให้เกษตรกรมีรายได้มากขึ้นทุกๆ ปี โดยเฉพาะอย่างยิ่งการขายผลไม้จากเจ้าของสวนสู่นักท่องเที่ยวโดยตรงจะทำให้เกษตรกรได้เงินเต็มเม็ดเต็มหน่วยและนักท่องเที่ยวเองก็จะได้สัมผัสบรรยากาศสวนผลไม้ของจริง”

ผู้อำนวยการภาคตะวันออก ยังกล่าวด้วยว่า ในปีแรกที่ ททท.ทำกิจกรรม อร่อยทุกไร่ ชิมไปทุกสวน กับสวนผลไม้มีเพียง 5 สวนเท่านั้นที่เข้าร่วม ทว่าในปีนี้เฉพาะระยองจังหวัดเดียวมีสวนผลไม้ที่พร้อมรองรับนักท่องเที่ยวมากกว่า 40 สวน หรือทั้ง 9 จังหวัดในภาคตะวันออกมีสวนผลไม้ที่เข้าร่วมโครงการไม่ต่ำกว่า 60 สวนแล้ว

มอเตอร์ไซค์ขับผ่านสตูดิโอเก่าบนถนนยมจินดา

 “สิ่งที่น่าสนใจอีกอย่างคือ นักท่องเที่ยวต้องทำการบ้านก่อนไปสวนผลไม้ที่เลือกไว้ เพราะสวนผลไม้ไม่ใช่โรงงานผลไม้ วันนี้สุก พรุ่งนี้อาจไม่สุกก็มี โดยเฉพาะคอทุเรียนที่ต้องถามให้ละเอียดว่า ที่สวนมีพันธุ์อะไรบ้าง เพราะแต่ละสวนจะมีทุเรียนสายพันธุ์ท้องถิ่นที่ต่างกัน ดังนั้นแต่ละคนแต่ละกลุ่มที่ไปอาจไม่ได้กินผลไม้ชนิดเดียวกัน ซึ่งก็เป็นเสน่ห์อีกอย่างของการไปกินบุฟเฟ่ต์ผลไม้” กฤษฎา กล่าวเพิ่มเติม

อย่างไรก็ตาม นอกจากสีสันตะวันออกที่น่าไปชิมให้รู้รสแล้ว ททท.ยังมีกิจกรรม “ท้าเที่ยวข้ามภาค” เพื่อกระตุ้นให้คนไทยเดินทางไปเรียนรู้ภาคอื่นๆ อย่างที่ผ่านมา ติ๊ก-เจษฎาภรณ์ ผลดี พรีเซนเตอร์โครงการท้าเที่ยวข้ามภาคได้ไปเยือนสวนยายตา-เจ๊บุญชื่น และร่วมพิชิตภารกิจแกะเปลือกสละกับนักท่องเที่ยว

สำหรับใครที่อยากกินทุเรียน ตอนนี้ผลผลิตถือว่ามากถึงขีดสุดพร้อมรับนักท่องเที่ยวจากทุกภาค หรือสายอื่นๆ ทั้งเงาะ มังคุด สละ ระกำ สับปะรด ก็ถึงเวลาเตรียมพุงมาบุฟเฟ่ต์ ซึ่งถ้าให้ชัวร์ควรมาชิมภายในเดือน มิ.ย.นี้

ผลไม้สดๆ หน้าสวนผลไม้

นิยม ยมจินดา

เปลี่ยนบรรยากาศจากสวนผลไม้มาเดินย่อยในย่านเมืองเก่าระยอง บน “ถนนยมจินดา” ที่สองข้างทางยังมีบ้านเรือนเก่าที่บ้างได้แปรเปลี่ยนเป็นพิพิธภัณฑ์ ร้านอาหาร และร้านกาแฟสายวินเทจ

ยกตัวอย่าง บ้านบุญศิริ ที่ยังเป็นบ้านอยู่อาศัย ตั้งอยู่บนพื้นที่ 3 ไร่ ที่ดินด้านหน้าติดกับถนนยมจินดา ส่วนด้านหลังติดแม่น้ำระยอง ซึ่งเดิมทีที่ดินบนถนนยมจินดาทั้งหมดเป็นของพระยาศรีสมุทรโภคชัยโชคชิตสงคราม หรือ เกตุ ยมจินดา (ต้นตระกูลยมจินดา) ผู้ดำรงตำแหน่งเป็นผู้ว่าราชการเมืองระยองตั้งแต่ปี 2404-2445 และ 2452-2456 โดยบ้านบุญศิริถือเป็นบ้านหลังแรกบนถนนสายนี้ สร้างเสร็จตั้งแต่ปี 2474 ซึ่งเป็นบ้านพักอาศัยของบุตรสาวพระศรีสมุทรโภคฯ

ส่วนเรือนตึกแถวที่ขึ้นเรียงรายริมแม่น้ำระยอง ในอดีตเคยเป็นย่านการค้าด้วยความที่ตั้งอยู่บนสายแรกของเมืองระยอง และเป็นแหล่งการค้าแห่งแรกของเมืองชายฝั่งทะเลตะวันออก อย่างไรก็ตาม แม้กาลเวลาและถนนหนทางจะนำมาซึ่งความซบเซา แต่ชีวิตของถนนยมจินดายังไม่หมดลมหายใจ เพราะบ้านเรือนยังมีคนอยู่อาศัย ชาวบ้านยังช่วยกันรักษาสถาปัตยกรรเดิมไว้ และพยายามต่อยอดไปสู่แหล่งเรียนรู้ให้คนรุ่นใหม่มีจิตใจสืบสานความเป็นยมจินดาในวัยกว่าร้อยปี

หยดน้ำธรรมชาติจากหม้อข้าวหม้อแกงลิง

ชมนกชมไม้ สวนพฤกษศาสตร์ระยอง

เส้นทางสวนผลไม้มาบรรจบที่ “สวนพฤกษศาสตร์ระยอง” แหล่งชมป่าเสม็ดขาวโบราณที่ใหญ่ที่สุดในภาคตะวันออก ซึ่งวิธีการต้องนั่งเรือท้องแบนพร้อมเจ้าหน้าที่เป็นผู้ควบคุมเรือ เพื่อพาไปตามเส้นทางศึกษาธรรมชาติที่กำหนดไว้ เพื่อไม่ให้รบกวนธรรมชาติจนเกินไปและความปลอดภัยของนักท่องเที่ยว

โดยจะล่องเรือไปบนบึงน้ำขนาดมหึมากว่า 3,800 ไร่ ที่เป็นแหล่งอาศัยของนกน้ำหลายชนิด อย่างเจ้าถิ่น นกงู หรือนกอ้ายงั่ว สีตัวดำเมี่ยม มีคอยาวเหมือนงู และนกปากห่าง ที่ชอบจับฝูงเกาะกิ่งไม้สอดสายตาหาปลาในน้ำ

บรรยากาศสองข้างทางจะเห็นแพหญ้าหนังหมาที่ดูเหมือนกลุ่มหญ้าลอยน้ำธรรมดา แต่มันแน่นหนาจนคนสามารถขึ้นไปเดินได้ ซึ่งไฮไลต์จะอยู่ลึกเข้าไป โดยจะผ่านกอหม้อข้าวหม้อแกงลิงขนาดใหญ่ บัวหลวงกลีบบาน และกลุ่มบัวบานขนาดจิ๋วที่ชูช่อดอกสีขาวเต็มผืนน้ำ

เปลือกต้นเสม็ดขาว

 จากนั้นเรือท้องแบนจะไปจอดเทียบท่าที่เส้นทางศึกษาธรรมชาติ ป่าเสม็ดขาวโบราณ ซึ่งพบเป็นเพียงแห่งเดียวในภาคตะวันออก และมีมาก ซึ่งไม่ผิดที่ใช้คำว่า ป่าเสม็ด

ส่วนประกอบของต้นเสม็ดขาวมีประโยชน์ทุกอย่างทั้ง เนื้อไม้ นำไปใช้เป็นเครื่องมือ เครื่องใช้ ใช้ก่อสร้าง ทำรั้วบ้าน นั่งร้าน เสาเข็ม ทำฟืน และเผาถ่าย เปลือกต้นไม้ ใช้ไปทำฝาบ้าน มุงหลังงคา ชุบน้ำมันยางทำไต้จุดไฟ หรืออุดรูรั่วของเรือ ใช้ย้อมแห อวน และใช้ห่อก้อนไต้สำหรับใช้จุดไฟ และใบ สามารถนำมาสกัดทำน้ำมันหอมระเหย

ลำต้นของมันจะแช่อยู่ในน้ำ ไม่ตาย เปลือกไม้มีสีขาวเหมือนกระดาษ รูปร่างบิดเบี้ยวดูน่าเกรงขามและดูช่างสวยงามเมื่อสะท้อนกับผิวน้ำในเวลาเดียวกัน

เงาเสม็ดขาวสะท้อนบนผิวน้ำ

 ทว่าสวนพฤกษศาสตร์ระยองไม่ได้เปิดเป็นแหล่งท่องเที่ยวเต็มตัว แต่เป็นแหล่งเรียนรู้เต็มที่ ดังนั้นก่อนเข้าไปต้องติดต่อกับสำนักงานเพื่อจัดเตรียมเรือและเจ้าหน้าที่ให้ข้อมูลทุกครั้ง รวมถึงช่วงนี้ฝนตกฟ้ารั่วเป็นประจำอาจต้องระวังเปียกเพราะเรือไม่มีหลังคา

ภาพจำของภาคตะวันออกในวันนี้ไม่มีแค่ทะเลหรือชายหาดเหมือนแต่ก่อน เพราะสีสันตะวันออกมีหลากหลายทั้งผลไม้ บ้านเรือน และธรรมชาติอันยิ่งใหญ่ ซึ่งถึงเวลาที่คนไทยต้องออกไปหาสีสันใหม่ให้ชีวิต

นกปากห่างจับกลุ่มบนต้นไม้

นักท่องเที่ยวลองลงไปเดินบนแพหญ้าหนังหมา

เรือท้องแบนพาล่องบึงน้ำ

ดอกบัวบาน

 

 

เข้าถึงความงามของ ‘แก้ว’ @BG Glass Studio

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์โพสต์ทูเดย์

11 มิถุนายน 2560 เวลา 07:55 น…. อ่านต่อได้ที่ : http://www.posttoday.com/travel/thailand/498233

เข้าถึงความงามของ ‘แก้ว’ @BG Glass Studio

โดย…สมแขก

ใครชื่นชอบงานศิลปะจากแก้ว และหากหลงใหลถึงขั้นอยากผลิตชิ้นงานจากแก้ว ต้องลองเดินทางไปชมที่มาที่ไป รวมทั้งได้ทดลองทำได้อีก จะพาคุณไปดูศิลปะจากการเป่าแก้วที่สตูดิโอเป่าแก้วแห่งแรกในประเทศไทย ใครที่ชื่นชอบงานแก้วเป็นพิเศษ ต้องรีบหาโอกาสไปดู

กว่า 4 ทศวรรษแห่งความสำเร็จ บริษัท บางกอกกล๊าส หรือบีจี ได้รับการยอมรับในความเป็นผู้นำธุรกิจแก้วและบรรจุภัณฑ์ และเมื่อไม่นานมานี้ก็ได้เปิดพื้นที่ร่วมสร้างประสบการณ์ศิลปะรูปแบบใหม่ในรูปแบบสตูดิโอเป่าแก้วแห่งแรกในประเทศไทย ในชื่อ “BG Glass Studio” ซึ่งตั้งอยู่ภายในโรงงาน BGC ปทุมธานีกล๊าส เพื่อใช้เป็นสถานที่ผลิตผลงานทางศิลปะ ฝึกอบรม และถ่ายทอดองค์ความรู้ทางศิลปะการเป่าแก้ว การออกแบบชิ้นงานหรือผลิตภัณฑ์แก้วเชิงศิลปะ เช่น การจัดแสดงนิทรรศการ หรือผลงานทางศิลปะ ฯลฯ เพื่อสร้างชิ้นงานตัวอย่าง สำหรับกลุ่มอุตสาหกรรมในเครือบางกอกกล๊าส

สตูดิโอเป่าแก้วแห่งนี้เจ้าของตั้งใจให้เป็นแหล่งเรียนรู้ศิลปะที่เกี่ยวข้องกับการเป่าแก้วครบวงจร ไม่ว่าจะเป็นสถานที่ผลิตและจัดแสดงผลงานศิลปะ เพื่อให้เราได้เข้าถึงความงามของ “แก้ว” ในทุกแง่มุมและทุกขั้นตอน และยังเป็นศูนย์ฝึกอบรม และถ่ายทอดองค์ความรู้ทางศิลปะแก้ว ยังได้รับความร่วมมือจากสถาบันการศึกษาชั้นนำ จัดเวิร์กช็อปอบรมความรู้ พร้อมการสาธิตศิลปะการเป่าแก้วจากศิลปินมืออาชีพให้กับบุคลากรทั้งภายในและภายนอกที่สนใจ เพื่อเตรียมความพร้อมสำหรับการสร้างสรรค์ผลงานในอนาคต นอกจากนี้ยังเป็นการต่อยอดความเป็น Total Glass Solution ในด้านศิลปะแก้ว เพื่อเติมไอเดียให้ผู้คนที่สนใจเรื่องแก้วอย่างรอบด้าน สามารถต่อยอดพลังสร้างสรรค์ เชื่อมต่อกับไลฟ์สไตล์ของคนรุ่นใหม่ที่มีความสนใจเฉพาะเจาะจงมากขึ้น

สำหรับที่ BG Glass Studio มีโซนต่างๆ ที่เป็นไฮไลต์ทั้งหมด 4 โซน ได้แก่ โซน Show case เป็นพื้นที่สำหรับแสดงสินค้า ผลงาน และจัดนิทรรศการ ถัดมาเป็นโซน Hot Shop Zone ที่รวบรวมเทคนิคการผลิตด้วยความร้อน เช่น ขั้นตอนการหลอมทราย และขั้นตอนการเป่าแก้วเอาไว้อย่างครบถ้วน ซึ่งจะเป็นส่วนที่ให้เหล่าศิลปินและคนที่สนใจมาสาดไอเดียกันอย่างเต็มที่ หรือจะเป็น Cold Shop Zone ที่นำเสนอเทคนิคการผลิตผลงานแก้วโดยไม่ผ่านความร้อน เช่น งานขัด งานเคลือบผิว

ส่วนอีกโซนหนึ่งที่คนรักแก้วต้องไม่พลาดก็คือ Training Zone ที่ใช้สำหรับจัดเวิร์กช็อป และอบรมเกี่ยวกับ Art Glass โดยผู้เชี่ยวชาญจากหลากหลายสถาบัน หมุนเวียนมาอย่างต่อเนื่อง ในวันเปิดตัวอย่างเป็นทางการมี เจอร์มี โปเปลก้า (Jeremy Popelka) ชาวอเมริกันได้รับการยอมรับในฐานะผู้เชี่ยวชาญด้านศิลปะแก้ว จากประเทศสหรัฐ ซึ่งได้รับเกียรติเป็นวิทยากรถ่ายทอดความรู้ด้านศิลปะแก้วและงานหล่อทรายให้แก่มหาวิทยาลัยและสถาบันศิลปะชั้นนำในสหรัฐ โดยผลงานของเจอร์มีถูกนำไปจัดแสดงในนิทรรศการและพิพิธภัณฑ์ต่างๆ ในหลายประเทศ อาทิ The Museum of Wisconsin Art, The Northwest Mutual Collection in Milwaukee, Wisconsin, The Bergstrom Mahler museum of glass เป็นต้น

นอกจากนี้ยังมี สเตฟานี่ เทร็นเชิร์ท (Stephanie Trenchard) ชาวอเมริกันได้รับการยอมรับในฐานะผู้เชี่ยวชาญด้านประติมากรรมแก้ว ได้ทำงานศิลปะร่วมกับเจอร์มี โปเปลก้า และได้สะท้อนเรื่องราวต่างๆ ผ่านงานศิลปะแก้วได้อย่างสวยงามและลงตัว โดยผลงานถูกนำไปจัดแสดงในนิทรรศการและพิพิธภัณฑ์ต่างๆ เช่นเดียวกัน

สำหรับผู้ที่สนใจสัมผัสประสบการณ์ศิลปะรูปแบบใหม่ “BG Glass Studio” ตั้งอยู่ที่โรงงาน BGC ปทุมธานีกล๊าส ถนนรังสิต-นครนายก (คลอง 3) จ.ปทุมธานี สอบถามรายละเอียดและข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่โทร. 02-834-7000

 

 

หลงรักหน้าฝน ท้าเที่ยวกรีนซีซั่น

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์โพสต์ทูเดย์

08 มิถุนายน 2560 เวลา 12:24 น…. อ่านต่อได้ที่ : http://www.posttoday.com/travel/thailand/498086

หลงรักหน้าฝน ท้าเที่ยวกรีนซีซั่น

โดย…กาญจนา อายุวัฒน์ธนชัย ภาพ คลังภาพโพสต์ทูเดย์

 

พอเข้าเดือนหก ฝนก็ตกพรำๆ อันเป็นสัญญาณของกรีนซีซั่น ที่กำลังมาเยือนแหล่งท่องเที่ยวทั่วไทยอย่างเป็น

ทางการ ถึงแม้ว่าจะเป็นฤดูกาลที่คนอยากเดินทางน้อย แต่กลับเป็นช่วงเก็บเกี่ยวประสบการณ์ที่สนุกและชิลไม่ใช่ย่อย ที่สำคัญคือ ราคาถูกและคนน้อยจนทำให้ทุกคนกลายเป็นแขกวีไอพี

แหล่งท่องเที่ยวที่จะฟื้นคืนชีพช่วงหน้าฝนมีหลากหลายรูปแบบ ไม่ว่าจะเป็นทุ่งนาสีเขียวที่เพิ่งแทงต้นอ่อนหลังฝนตกได้ไม่นาน สายหมอกลอยคว้างเหนือยอดดอย ลำน้ำเกรี้ยวกราดรอให้กำราบ หยดน้ำค้างปลายกลีบบุปผา หรือที่พักท่ามกลางธรรมชาติที่จะทำให้ขี้เกียจซ้ำแล้วซ้ำเล่า

ตูบนาโฮมสเตย์ อ.ปัว จ.น่าน

นานาท้องนา

หลังพิธีกรรมขอฝนผ่านพ้นไป ความกดอากาศต่ำก็เคลื่อนมาปกคลุมประเทศไทย เปลี่ยนแปลงความร้อนให้เป็นเม็ดฝนชุ่มฉ่ำใจชาวนาที่กำลังหวังน้ำจากฟ้ารดเมล็ดข้าวให้เติบโต โดยในเดือน ส.ค.ชาวนาจะช่วยกันลงแขก จากนั้นช่วงกลางเดือน ส.ค.-ต.ค.จะเป็นช่วงของความเขียวขจี

จุดหมายปลายทางของท้องนาต้องยกให้ เมืองปัว จ.น่าน อำเภอเล็กๆ ที่มองไปทางไหนก็เห็นแต่ต้นข้าวสีเขียวอ่อน ซึ่งจุดชมนาที่ดีที่สุดอยู่ที่วัดภูเก็ต มองลงมาจะเห็นผืนนากว้างสุดลูกหูลูกตาแบ่งเป็นแปลงๆ แบบไม่เป็นระเบียบเสมือนภาพแอบสแทรกต์ที่พยายามสื่อความหมายถึงความอุดมสมบูรณ์ของน้ำท่า และวิถีชีวิตดั้งเดิมของชาวปัว

ในภูมิภาคเดียวกันยังเป็นช่วงเวลาอันดีที่จะไปศึกษาวิถีชีวิตชนเผ่าละว้าและกะเหรี่ยงที่ ศูนย์พัฒนาโครงการหลวงแม่ลาน้อย จ.แม่ฮ่องสอน สถานที่ตั้งของธนาคารข้าวแห่งแรกของโลก และเป็นพื้นที่ปลูกนาข้าวขั้นบันไดสุดยิ่งใหญ่ ท่ามกลางไร่กาแฟสายพันธุ์อราบิกาใต้ผืนป่าดิบชื้น

นอกจากนี้ บนกลางเกาะของ เกาะกลาง จ.กระบี่ ก็เป็นแหล่งปลูกข้าวสังข์หยดแบบวิถีอินทรีย์ ความพิเศษของข้าวที่นี่จะปลูกด้วยดินเค็มที่มีน้ำทะเลปะปน จึงทำให้ข้าวมีความหอม หุงขึ้นหม้อ และเคี้ยวนุ่ม ซึ่งทุ่งนาบนเกาะจะมีให้เห็นแค่ปีละครั้งในช่วงเดือน ส.ค.เท่านั้น

ตูบนา โฮมสเตย์ ปัว น่าน

จับหมอกหยอกไอฝน

 

สิ่งที่มาเคียงคู่กับสายฝนมักเป็นสายหมอก แต่ถ้าเป็นทะเลหมอกอลังการต้องขึ้นไปสัมผัสที่ ผาตั้ง จ.เชียงราย ดอยซึ่งอุดมไปด้วยผืนป่าและกาแฟชั้นดี เหมาะอย่างยิ่งแก่การนั่งละเลียดถ้วยโปรดแลมองกลุ่มไอน้ำที่รวมตัวกันอยู่เหนือยอดไม้ ซึ่งฟ้าหลังฝนจะสวยงามกว่าช่วงเวลาใด เพราะนอกจากความชุ่มฉ่ำหัวใจ ยังจะได้เห็นทะเลหมอกในเวลากลางวัน

รวมถึงภาคอีสานที่จะกลายเป็นสีเขียวแทนที่ความแห้งแล้งจนหมดสิ้น โดยเฉพาะจุดชมหมอกริมแม่น้ำโขงอย่าง ภูห้วยอีสัน จ.หนองคาย ที่พร้อมเสิร์ฟหมอกเคียงคู่พระอาทิตย์ทุกวันแบบไม่ต้องลุ้น แต่หากอยากสัมผัสใกล้ขึ้น สกายวอล์ก บริเวณวัดผาตากเสื้อ ก็รอให้นักท่องเที่ยวไปเดินเหนือเมฆหมอกบนพื้นกระจกใสยาว 16 ม.

กาแฟยามเช้า บนภูห้วยอีสัน จ.หนองคาย

ทุ่งดอกไม้และป่าฝน

ใครว่าหน้าฝนดอกไม้จะร่วงโรย เพราะนี่คือช่วงเวลาของทุ่งดอกกระเจียวราชินีป่าฝนในเทศกาลท่องเที่ยวดอกกระเจียวบาน ประจำปี 2560 ระหว่างเดือน มิ.ย.-ส.ค. ณ อุทยานแห่งชาติป่าหินงาม และ อุทยานแห่งชาติไทรทอง จ.ชัยภูมิ แหล่งชมดอกกระเจียวตามธรรมชาติทั้งดอกสีขาว เขียว และชมพูอมม่วง ท่ามกลางป่าฝนและไอหมอกยามเช้า

เช่นเดียวกับ อุทยานไม้ดอกเพ ลา เพลิน จ.บุรีรัมย์ ก็ได้รวบรวมดอกกระเจียวกว่า 10 สายพันธุ์มาจัดแสดง ไม่ว่าจะเป็นสีขาวม็องบลัง สีชมพูมะลิ สีแดงกุหลาบ แดงวิเชียร เชียงใหม่พิงค์ ปากนกแก้ว หงส์เหิน และเขียวช็อกโกแลต พร้อมกิจกรรมชิมอาหารจากดอกกระเจียวระหว่างเดือน มิ.ย.-ส.ค.

นอกจากนี้ ความลับแห่งฤดูกาลยังปรากฏบนยอด ภูสอยดาว จ.อุตรดิตถ์ สถานที่ชมดอกหงอนนาคสีม่วงกระจิริดที่ต้องแลกมาด้วยความเหนื่อยยากกับเส้นทางเดินเขากว่า 4-6 ชม. โดยจะเปิดให้กางเต็นท์บนยอดภูช่วงปลายฝนต้นหนาวเพื่อความปลอดภัยและให้ธรรมชาติฟื้นฟู ซึ่งนอกจากดอกหงอนนาค ภูสอยดาวยังมีป่าสนสามใบ ดอกไม้ป่าสีสันสดใส และดอกไม้ฟ้าอย่างดวงดาวสะพรั่งสมกับชื่อภู

ดงดอกกระเจียว จ.ชัยภูมิ

ฤดูล่องแก่ง

ปริมาณน้ำฝนช่วยเติมเต็มเกาะแก่ง ดึงดูดให้ชาวแอดเวนเจอร์มาออกล่ากระแสน้ำเชี่ยวแรงกับกิจกรรมล่องแก่งที่กำลังมาถึงนี้ โดยมีหลายพื้นที่ ได้แก่ ล่องแก่งลำน้ำเข็ก จ.พิษณุโลก บนเส้นทางคดเคี้ยวยาว 8 กม. ระหว่างทางจะมีแก่งหินน้อยใหญ่ให้พิสูจน์ความกล้า 17 แก่ง และมีความยากระดับ 1-5

ล่องแก่งแม่น้ำปาย จ.แม่ฮ่องสอน ลำน้ำจะลัดเลาะไปตามซอกภูเขาและป่าไม้อุดมสมบูรณ์ เป็นเส้นทาง 2 วัน 1 คืน ต้องตั้งแคมป์ค้างคืนในป่าสำหรับคนกล้าใจอึดที่ชื่นชอบการล่องแก่งอย่างแท้จริง หรือเส้นทาง ล่องแก่งแม่น้ำนครนายก จ.นครนายก ใกล้กรุงเทพฯ มีจุดเด่นอยู่ที่ตัวแก่งหินสามชั้น ลักษณะคล้ายขั้นบันไดที่สามารถสร้างความตื่นเต้นเร้าใจได้พอสมควร ซึ่งกระแสน้ำจะไหลแรงช่วงเดือน ก.ค.-ต.ค.

บ้านไร่ไออรุณ

นอนชิล กินคลีน

ที่พักหน้าฝนไม่ต้องหรูหรา แต่ต้องสบายใจและสบายตาอย่างเกสต์เฮาส์ริมท้องนาที่ ตูบนาโฮมสเตย์ และ ตูบน่าน อ.ปัว จ.น่าน ห้องพักหลังน้อยกับวิวร้อยล้านที่ช่วงหน้าฝนจะมีทุ่งนาและอาหารโฮมเมดจากวัตถุดิบพื้นบ้านคอยต้อนรับผู้มาเยือน

อีกแห่งที่น่านอนพักฟังเสียงฝนพรำคือพื้นที่เเห่งรัก บ้านไร่ไออรุณ จ.ระนอง ที่พักสุดน่ารักท่ามกลางธรรมชาติและแปลงผักตามวิถีพอเพียง ซึ่งบรรยากาศจะเขียวชอุ่ม ฟุ้งไปด้วยกลิ่นดิน และชุ่มชื่นไปด้วยไอฝนอันเป็นเสน่ห์ของเมืองฝนแปดแดดสี่แห่งนี้

รวมถึงภาคอีสานก็มีที่พักบรรยากาศดีอยู่ที่ ภูเรือเรือนไม้รีสอร์ท จ.เลย เป็นบ้านไม้หลังน้อยริมท้องนา จิบกาแฟอุ่นๆ ที่ คาเฟ่ ดี มีนา ไปเดินเล่นบนสะพานไม้ไผ่เหนือทุ่งนา หรือจะสนทนากับเจ้าถิ่นพี่แช่มช้อยก็ได้อรรถรสดี

เพราะหลังม่านฝนยังมีม่านหมอก หลังม่านหมอกยังมีธรรมชาติ ซึ่งจะฟื้นฟูความงามหลังถูกปลุกด้วยสายฝน รวมถึงผู้คนก็จะชื่นใจที่ถึงแม้ว่าจะเลี่ยงฤดูกาลไม่ได้ แต่ไม่ว่าอย่างไรฟ้าหลังฝนก็ย่อมงดงามเสมอ