ชมพระอุโบสถ และสะพานวัดเบญจมบพิตร

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์โพสต์ทูเดย์

04 มิถุนายน 2560 เวลา 08:26 น…. อ่านต่อได้ที่ : http://www.posttoday.com/travel/thailand/497595

ชมพระอุโบสถ และสะพานวัดเบญจมบพิตร

โดย…ส.สต

วันที่ 31 พ.ค. 2560 ผมเข้าไปในวัดเบญจมบพิตรดุสิตวนาราม เพื่อกราบและถ่ายภาพพระพุทธรูปจำนวน 52 องค์ ที่ประดิษฐาน ณ วิหารคด ได้พบเห็นนักท่องเที่ยวต่างชาติมากกว่าคนไทย ซึ่งนักท่องเที่ยวรู้จักในชื่อ The Marble Temple หรือวัดหินอ่อน ซึ่งเป็นความงามที่อัศจรรย์ยิ่งของสยามความงามที่โดดเด่น ได้แก่ พระอุโบสถที่สร้างด้วยหินอ่อนทั้งหลัง ศิลปะด้านสถาปัตยกรรมตัวอุโบสถโดดเด่น งามสง่า โดยไม่มีสิ่งใดมาบดบัง แม้กระทั่งวิหารคด เพราะสถาปนิกออกแบบให้วิหารคดโอบอยู่ด้านหลังอุโบสถ  ดังนั้นเมื่อมองด้านหน้า ด้านใต้ ด้านเหนือ พระอุโบสถ ล้วนกลมกลืนเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน หากเปรียบเทียบง่ายๆ เหมือนแหวน ตัวพระอุโบสถเปรียบเหมือนหัวแหวน วิหารคดเปรียบเหมือนตัวเรือน ผู้ที่ออกแบบพระอุโบสถได้งดงามเป็นอมตะ ไม่ใช่ใครที่ไหน หากแต่เป็นสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้ากรมพระยานริศรานุวัดติวงศ์ นายช่างใหญ่แห่งกรุงสยาม สมเด็จเจ้าฟ้ากรมพระยานริศรานุวัดติวงศ์ เคยตอบคำถามผู้ที่สรรเสริญการออกแบบพระอุโบสถวัดเบญจมบพิตรว่ามีแนวคิดที่เลอเลิศยิ่งนัก ว่าการออกแบบพระอุโบสถแห่งนี้ไม่ใช่ของใหม่เลยทีเดียว ท่านให้ไปดูวิหารหลวงพ่อพระพุทธชินราช วัดพระศรีรัตนมหาธาตุ จ.พิษณุโลก ที่โบราณบัณฑิต ได้ออกแบบและสร้างเป็นตัวอย่างไว้แล้ว ข้อมูลจากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี กล่าวถึงปฐมเหตุการสร้างพระอุโบสถว่า เมื่อแรกสร้างในปี พ.ศ. 2441 พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ซื้อที่ดินระหว่างคลองผดุงกรุงเกษมจนถึงคลองสามเสนเพื่อสร้างที่ประทับพักผ่อนพระอิริยาบถส่วนพระองค์ โดยพระราชทานนามว่า “สวนดุสิต” (พระราชวังดุสิต ในปัจจุบัน) ซึ่งบริเวณที่ดินที่ทรงซื้อนั้นมีวัดโบราณ 2 แห่ง คือ วัดดุสิตซึ่งอยู่ในสภาพทรุดโทรม ถูกใช้เป็นที่สร้างพลับพลา และวัดร้างอีกแห่งซึ่งจำเป็นต้องใช้ที่ดินของวัดสำหรับตัดเป็นถนน พระองค์จึงทรงกระทำผาติกรรม สร้างวัดแห่งใหม่เพื่อเป็นการทดแทนตามประเพณี โดยทรงเลือกวัดเบญจมบพิตรเป็นวัดที่ทรงสถาปนาตามพระราชดำริว่า การสร้างวัดใหม่หลายวัดยากต่อการบำรุงรักษา ถ้ารวมเงินสร้างวัดเดียวให้เป็นวัดใหญ่ และทำโดยฝีมือประณีตจะดีกว่า จึงโปรดเกล้าฯ ให้สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้ากรมพระยานริศรานุวัดติวงศ์ เป็นผู้ทรงออกแบบก่อสร้างพระอุโบสถและถาวรวัตถุอื่นๆ และมีพระยาราชสงคราม (กร หงสกุล) เป็นนายช่างก่อสร้าง

สะพานถ้วย

 

เมื่อวันที่ 1 มี.ค. 2441 พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เสด็จพระราชดำเนินมายังวัด ในการนี้มีพระบรมราชโองการประกาศพระบรมราชูทิศถวายที่ดินให้เป็นเขตวิสุงคามสีมาของวัด พร้อมทั้งพระราชทานนามวัดใหม่ว่า วัดเบญจมบพิตร อันหมายถึง วัดของพระเจ้าแผ่นดินรัชกาลที่ 5 และเพื่อแสดงลำดับรัชกาลในมหาจักรีบรมราชวงศ์ ต่อมาพระองค์ได้ถวายที่ดินซึ่งพระองค์ขนานนามว่า ดุสิตวนาราม ให้เป็นที่วิสุงคามสีมาเพิ่มเติมแก่วัดเบญจมบพิตร และโปรดฯ ให้เรียกนามรวมกันว่า วัดเบญจมบพิตรดุสิตวนาราม

เมื่อมีการจัดระเบียบพระอารามหลวงในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวในปี พ.ศ. 2458 วัดเบญจมบพิตรดุสิตวนารามได้รับการจัดเป็นพระอารามหลวงชั้นเอก ชนิดราชวรวิหาร ดังนั้น ชื่อวัดจึงมีสร้อยนามต่อท้ายด้วย “ราชวรวิหาร” ดังเช่นในปัจจุบัน

ด้านข้างพระอุโบสถหินอ่อน มีลำคลองเล็กๆ เป็นแนวแบ่งเขตพุทธาวาส กับสังฆาวาส ที่สะดุดตา ได้แก่ สะพานข้ามคลองมีถึง 3 สะพาน แต่ละสะพานมีชื่อปรากฏทั้งสิ้น ได้แก่ สะพานพระรูป สะพานถ้วย และสะพานงาข้อมูลจากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี (อีกแล้ว) บอกว่า สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้ากรมพระยานริศรานุวัดติวงศ์ ทรงออกแบบส่งไปหล่อเป็นสะพานเหล็กมาจากอิตาลี คานและลูกกรงเป็นเหล็กหล่อลวดลาย ที่กลางสะพานติดป้ายแผ่นเหล็กมีสัญลักษณ์และประวัติความเป็นมาของสะพาน ซึ่งเป็นผลมาจากการจัดงานประจำปีวัดเบญจมบพิตร ในปี 2444 นำรายได้จากขายสิ่งของเป็นทุน สร้างเสร็จพร้อมกันในปี 2446

ประกาศของเจ้าอาวาส ห้ามขาย ห้ามปล่อยห้ามให้อาหารสัตว์น้ำ

 

สะพานพระรูป มีแผ่นป้ายจารึกประวัติติดไว้ที่สะพานว่า

สพานนี้ได้สร้างขึ้นด้วยเงินค่าขายพระรูป อันจำหลักในแผ่นทองแดงก้าไหล่ทอง ซึ่งพระเจ้าน้องยาเธอ กรมขุนสรรพสาตร์ศุภกิจ ถวายช่วยในการปฏิสังขรณ์พระอารามเมื่อ ร.ศ. ๑๑๙ จึงพระราชทานนามว่า สพานพระรูป สร้างสำเร็จเมื่อ ร.ศ. ๑๒๑

สะพานถ้วย อยู่ตรงกลาง มีแผ่นป้ายจารึกประวัติของสะพานติดไว้ว่า

สพานนี้ได้สร้างขึ้นด้วยเงินค่าถ้วยชาพื้นสีลายทองงานพระเมรุ ซึ่งพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้จำหน่ายในการออกร้านที่วัด เมื่อ ร.ศ. ๑๑๙ ทรงพระราชอุทิศเงินค่าถ้วยชานั้นให้สพานนี้ จึงพระราชทานนามว่า สพานถ้วย ได้สร้างแล้วเสร็จเมื่อ ร.ศ. ๑๒๑

สะพานงา ซึ่งเป็นสะพานที่ 3 ตรงข้ามกับพระวิหารสมเด็จ ส.ผ. มีแผ่นป้ายจารึกประวัติของสะพานติดไว้ว่า

สพานนี้ได้สร้างขึ้นด้วยเงินค่างาช้าง ซึ่งพระเจ้าน้องยาเธอ กรมหลวงดำรงราชานุภาพถวาย เพื่อจำหน่ายเป็นเงินช่วยในการปฏิสังขรณ์พระอาราม เมื่อออกร้านในวัด ร.ศ. ๑๑๙ จึงพระราชทานนามว่า สพานงา สร้างสำเร็จเมื่อ ร.ศ. ๑๒๑

ชื่นชมสะพาน แต่ห้ามให้อาหารปลาและเต่าในคลอง เพราะเจ้าอาวาสประกาศว่าอาหารที่เราให้ ไปทำลายสิ่งแวดล้อม รวมทั้งชีวิตสัตว์น้ำด้วย ตั้งใจทำบุญ แต่กลายเป็นบาป นะครับ

พระอุโบสถหินอ่อน วัดเบญจมบพิตร (ภาพ : สมาน สุดโต)

สะพานงา

 

คลับแห่งความหรูหรา อินเตอร์คอนติเนนตัล พัทยา รีสอร์ท

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์โพสต์ทูเดย์

03 มิถุนายน 2560 เวลา 07:55 น…. อ่านต่อได้ที่ : http://www.posttoday.com/travel/thailand/497426

คลับแห่งความหรูหรา อินเตอร์คอนติเนนตัล พัทยา รีสอร์ท

โดย….นิทรา ราตรี

 เปิดตัวเป็นที่เรียบร้อยกับห้องพักโฉมใหม่ “คลับอินเตอร์คอนติเนนตัล” ที่ยังคงความหรูหราแบบฉบับของโรงแรมอินเตอร์คอนติเนนตัล พัทยา รีสอร์ท ไว้ พร้อมด้วยบริการพิเศษในคลับอินเตอร์คอนติเนนตัล เลานจ์ เฉพาะผู้เข้าพักในห้องคลับและห้องวิลล่าเท่านั้น

ห้องคลับอินเตอร์คอนติเนนตัลออกแบบในสไตล์โมเดิร์น โทนสีคลาสสิกดำ-ขาว ตัดกับธรรมชาติเขียวชอุ่มด้านนอก โดยพื้นที่ภายในห้องจัดวางอย่างเรียบโก้ ด้วยห้องนอนที่เชื่อมต่อกับห้องแต่งตัว อ่างอาบน้ำ และห้องน้ำ ซึ่งสามารถกั้นห้องได้ด้วยผ้าม่าน รวมถึงชุดโซฟาริมหน้าต่างรับแสงธรรมชาติ และให้พักสายตาบนระเบียงกว้างที่มองออกไปจะเห็นแต่ธรรมชาติรอบตัว

ห้องพักโฉมใหม่นี้ได้มาพร้อมกับบริการใหม่อันเป็นเอกลักษณ์ คือ คลับอินเตอร์คอนติเนนตัล เลานจ์ ทั้งบัตเลอร์ส่วนตัวคอยบริการตลอด 24 ชั่วโมง บริการเช็กอินและเช็กเอาต์ส่วนตัว เพลิดเพลินกับชุดน้ำชาทีดับบลิวจี เวลา 14.00-16.00 น. แฮงเอาต์ในงานเลี้ยงค็อกเทล เวลา 17.00-19.00 น. บริการจัดและเก็บกระเป๋าเดินทาง บริการโทรศัพท์ติดต่อภายในประเทศ บริการหนังสือพิมพ์ต่างประเทศ บริการอินเทอร์เน็ตไร้สาย และสามารถเลือกรับประทานอาหารเช้าได้ที่คลับเลานจ์

 รีสอร์ทประกอบด้วยห้องพักทั้งหมด 156 ห้อง บนพื้นที่ 24 ไร่ ซึ่งมีห้องคลับ 40 ห้อง และวิลล่า 2 ห้อง โดยวิลล่าจะมีสระว่ายน้ำส่วนตัว ห้องอาบน้ำทั้งด้านในและด้านนอกห้องพัก ห้องรับแขกที่แยกส่วนออกมาจากห้องนอน และผู้เข้าพักสามารถใช้บริการในคลับอินเตอร์คอนติเนนตัล เลานจ์

สำหรับห้องอาหารมีให้บริการที่ห้องอาหารอิลิเม้นท์ บริการอาหารนานาชาติและบุฟเฟ่ต์บาร์บีคิวมื้อค่ำทุกวันเสาร์ ห้องอาหารอินฟินิติ บริการอาหารสไตล์เมดิเตอร์เรเนียน ตั้งอยู่บนสุดของตึกหน้าหาด จึงสามารถมองเห็นทัศนียภาพทั้งหมดของอ่าวไทยและชมพระอาทิตย์ตกยามเย็น และละติจูด บาย เดอะ บีช เลานจ์ บริการเครื่องดื่มค็อกเทลหลากหลายรสชาติ สมูทตี้ ไวน์ และเมนูทาปาส

ผู้ที่ต้องการผ่อนคลาย อัมบูรายา สปา มีทรีตเมนต์ให้เลือกมากกว่า 30 ชนิด โดยเทอราพิสมืออาชีพ พร้อมสิ่งอำนวยความสะดวกอย่างฟิตเนสเซ็นเตอร์เปิดให้บริการ 24 ชั่วโมง สระว่ายน้ำ 3 สระ และชายหาดส่วนตัว

 อินเตอร์คอนติเนนตัล พัทยา รีสอร์ท พร้อมมอบความหรูหราใหม่ในความหรูหราเดิม รวมถึงบริการสุดยอดวีไอพีเฉพาะคนคลับเดียวกันเท่านั้น

Price: ห้องคลับอินเตอร์คอนติเนนตัล ราคาเริ่มต้น 36,700 บ.

Place: เขาพระตำหนัก พัทยา โทร. 038-259-888 เว็บไซต์ pattaya.intercontinental.com

Promotion: พัก 1 คืน ฟรี 1 คืน สำหรับผู้ถือบัตรเครดิตระดับพรีเมี่ยมของธนาคารกรุงศรีอยุธยา แจ้งรหัสโปรโมชั่น Krungsri-B1G1/17 BANK PROMO เพื่อเข้าพักในห้องคลับอินเตอร์คอนติเนนตัล โอเชียน วิว เทอเรส สวีท ราคา 18,000 บาทสุทธิต่อคืน ตั้งแต่วันนี้ – 31 ส.ค. 2560

 

 

ครั้งแรกที่ได้ลอง

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์โพสต์ทูเดย์

03 มิถุนายน 2560 เวลา 07:46 น…. อ่านต่อได้ที่ : http://www.posttoday.com/travel/thailand/497422

ครั้งแรกที่ได้ลอง

โดย…กาญจน์ อายุ

 สมแล้วที่ชื่อ “เมืองลอง” เพราะมันน่าลองไปเสียทุกอย่าง ไม่ว่าจะ “ลองดู” สถานีรถไฟบ้านปินสไตล์บาวาเรียนที่ยังอยู่รอดมานานถึง 103 ปี “ลองกิน” ขนมเส้นน้ำย้อยรสเด็ดที่ทำให้ลืมทุกที่ที่เคยกินมา “ลองคุย” กับปราชญ์ผู้สืบสานผ้าซิ่นตีนจกโบราณ และ “ลองสัมผัส” ความรักของชาวบ้านที่ทำให้ไม่อยากไปจากเมืองลอง

เท้าความกลับไปในอดีตตามคำบอกเล่าของ โกมล พานิชพันธ์ อาจารย์สอนทอผ้า ลูกหลานชาวเมืองลอง ปราญช์ และเจ้าของพิพิธภัณฑ์ผ้าโบราณ กล่าวว่า วัฒนธรรมที่สำคัญของเมืองนี้คือ การทอผ้าซิ่นตีนจก ซึ่งมีทักษะการทอที่เก่าที่สุดในประเทศไทย และเชื่อว่าการทอจะไม่สูญหายไปเพราะชาวเมืองลองก็ยังทอผ้าอยู่ถึงปัจจุบัน

“สมัยก่อนคนที่นี่ไม่ต้องสอนก็ทอผ้าเป็น คือเรียนรู้จากเพื่อนบ้าน เพราะเมื่อก่อนบ้านไม่มีรั้ว เราก็จะเห็นว่าบ้านนี้ทอผ้ายังไง ครูพักลักจำกันไปเดี๋ยวก็เป็น อย่างพ่อแม่ก็ไม่เคยสอน แต่ดูจากเพื่อนบ้านเอาสามวันเจ็ดวันก็ฝึกทอเองได้แล้ว” กาแฟดำในถ้วยเริ่มพร่องแต่รสชาติยังหอมกรุ่นเหมือนบทสนทนา

พิณเปี๊ยะ เครื่องดนตรีหายาก

 “ผ้าโบราณของเมืองลองคือ ผ้าซิ่นตีนจก ที่เราสามารถเทียบอายุผ้าได้จากจิตรกรรมฝาผนังวัดเวียงต้า อายุ 200 กว่าปี ที่ได้สื่อถึงการแต่งกายของชาวไทยโยนกซึ่งเป็นคนไทยดั้งเดิมของเมืองลอง และแสดงให้เห็นว่าผ้าซิ่นตีนจกมีอายุเก่าแก่และมีความสำคัญมาก”

โกมลยังกล่าวต่อว่า ผ้าซิ่นตีนจกเมืองลองแตกต่างจากสุโขทัยอย่างสิ้นเชิง เพราะที่นี่เป็นผ้าที่ทอโดยชาวไทยโยนกหรือไทยยวน ซึ่งคนเชียงใหม่ ลำปาง ลำพูน แพร่ น่าน เป็นไทยโยนกเกือบร้อยละ 90

เอกลักษณ์ของผ้าจะเป็นผ้าซิ่นลายขวางเท่านั้น ไม่มีลายอื่น โดยแบ่งผ้าซิ่นเป็น 3 ส่วน เปรียบเหมือนคนคนหนึ่งที่มี หัวซิ่น (ใช้สีขาวกับแดง) ตัวซิ่น และตีนซิ่น ใช้เทคนิคการทอที่เรียกว่า จก ซึ่งที่อื่นคำว่า จก คือ การปักผ้าไปพร้อมกับการทอผ้าพื้น แต่ที่เมืองลองไม่มีผ้าพื้น จก จึงเป็นการทอหนึ่งเส้นปักหนึ่งเส้นสลับกันไปจนเกิดลายเสมือนภาพสามมิติบนผืนผ้า

ของอร่อยเมืองลองต้องน้ำพริกน้ำย้อยป้าเพ็ญ

 นอกจากนี้ การกลับมาพัฒนาบ้านเกิดของเขา ยังหวังให้เมืองลองเป็นเมืองท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรม โดยเส้นทางการท่องเที่ยวนั้นได้ยกให้ สถานีรถไฟบ้านปิน เป็นประตูบานแรกที่เปิดสู่เมืองลอง

‘ลองดู’ สถานีรถไฟบ้านปิน

สถาปัตยกรรมสไตล์บาวาเรียน โครงสร้างก่ออิฐถือปูน ใช้เทคนิคเฟรมเฮาส์โดยนำแท่งไม้มาสานเป็นลวดลายของผนัง อันเป็นเอกลักษณ์ของสถานีรถไฟบ้านปิน คุณปู่แห่งเมืองลองอายุ 103 ปี ซึ่งมีความสำคัญต่อการค้าในอดีตอย่างมาก

สถานีรถไฟแห่งนี้เป็นสถานีรถไฟประจำตำบลและอำเภอลอง ทั้งยังเป็นสถานีรถไฟแห่งเดียวในแพร่ ที่เป็นสถานีระดับ 2 ประกอบด้วย 5 ราง สร้างโดยนายช่างชาวเยอรมันนาม เอมิล ไอเซนโฮเฟอร์ ผู้รับผิดชอบสร้างทางรถไฟช่วงนี้ต่อไปยังลำปาง โดยเขาได้นำไม้สักที่มีมากมายในเมืองแพร่มาสร้าง ซึ่งรูปแบบสไตล์บาวาเรียนมีเพียงที่สถานีนี้เท่านั้น ทว่ารายละเอียดต่างๆ ยังมีความเป็นไทยอยู่บ้างอย่างหลังคาทรงปั้นหยาตกแต่งด้วยไม้ฉลุ และช่องลมเหนือประตูหน้าต่างก็ทำเป็นบานลูกฟักฉลุไม้เป็นลายพรรณพฤกษาอย่างงดงาม

ร้านฉลองศิลป์ที่กลายเป็นพิพิธภัณฑ์ภาพถ่ายของเมืองลอง

 ปัจจุบันสถานีรถไฟบ้านปิน กลายเป็นสถาปัตยกรรมที่สามารถบอกเล่าประวัติศาสตร์ของเมืองลอง ที่ครั้งหนึ่งเคยเป็นจุดลำเลียงและค้าขายสินค้า โดยเฉพาะไม้สักไปยังจังหวัดต่างๆ ทางภาคเหนือ ทว่าทุกวันนี้สถานีจะไม่คึกคักและไม่มีไม้สักเหมือนแต่ก่อน แต่เส้นทางรถไฟยังคงเป็นเส้นทางคมนาคมสุดคลาสสิกที่คนกรุงเทพฯ สามารถนั่งจากหัวลำโพงไปเชียงใหม่จะผ่านสถานีบ้านปิน และชาวบ้านเองก็ยังใช้เป็นเส้นทางโดยสารระหว่างอำเภอด้วย

ทั้งนี้ การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) สำนักงานแพร่ ยังมีแผนโปรโมทการท่องเที่ยวทางรถไฟ ให้นักท่องเที่ยวได้เห็นแพร่ในมุมมองใหม่ผ่านการเล่าเรื่องราวจากเมืองลองซึ่งเป็นเมืองรองสู่ตัวเมืองแพร่

‘ลองกิน’ ขนมเส้นน้ำย้อย

ถ้าอยากกินของอร่อยประจำเมืองลองต้องมากินก่อนบ่าย 2 ไม่เช่นนั้น ร้านขนมเส้นน้ำย้อย ป้าเพ็ญ อาจหมดเกลี้ยง เพราะที่นี่คนท้องถิ่นเองยังยกให้เป็นที่หนึ่ง

บาร์บี้ในชุดผ้าไทยโบราณฝีมือโกมล

 ขนมเส้นหรือขนมจีนนั้น คนเมืองลองจะชอบกินกับน้ำพริกน้ำย้อย เป็นน้ำพริกรสชาติเผ็ดและหอมกลิ่นหอมเจียว ทำจากวัตถุดิบไม่กี่อย่างคือ พริกแห้ง กระเทียม หอมแดงเจียว และกุ้งแห้งกรอบ นำมาผัดให้เข้ากัน ซึ่งขั้นตอนผัดคั่วนี้เองที่ไม่สามารถลอกเลียนกันได้จึงทำให้น้ำพริกน้ำย้อยของแต่ละเจ้าต่างกัน

ส่วนขนมเส้นจะทำจากเส้นหมักบีบสด บีบลงน้ำที่เริ่มเดือด รอให้เส้นลอยดูว่าขึ้นเงาสวย และจับเส้นใส่จานกินคู่กับน้ำพริกน้ำย้อย ผักลวก และน้ำต้มกระดูกหมูไว้ซดให้คล่องคอ

พอได้ชิมต้องบอกว่า อร่อยจนต้องขอสองและสามสี่ไว้ห่อกลับบ้าน เพราะนอกจากรสชาติของเส้นบีบสด ความเผ็ดหอมของน้ำพริกน้ำย้อยยังถูกใจคนภาคกลางเป็นที่สุด จึงต้องซื้อน้ำพริกกลับไปกินกับข้าวสวยร้อนๆ ก็อร่อยไม่แพ้กัน หรือล่าสุดกินคู่กับขนมปังก็ถือเป็นอาหารฟิวชั่นรสดีทีเดียว

แหล่งผลิตซึง

‘ลองคุย’ กับเจ้าของพิพิธภัณฑ์ผ้าโบราณ

หลังจากเกริ่นเรื่องผ้าซิ่นตีนจกโบราณไป โกมลได้เล่าต่อถึง พิพิธภัณฑ์ผ้าโบราณ ที่เปิดมานาน 25 ปี เป็นสถานที่เก็บรวบรวมผ้าซิ่นตีนจกโบราณของอาจารย์ที่สะสมไว้ตั้งแต่ปี 2522 โดยมีผ้าที่สมบูรณ์ราว 1,200 ผืน และผ้าที่ยังไม่สมบูรณ์อีกประมาณ 1,000 ผืน

ภายในพิพิธภัณฑ์ได้จัดแสดงผ้าซิ่นไว้เป็นหมวดหมู่ โดยมีผ้าซิ่นตีนจกโบราณแสดงไว้เพียงส่วนหนึ่งเพื่อแสดงถึงขั้นตอนการทำและความสัมพันธ์ระหว่างคนกับผ้า

นอกจากนี้ ยังต่อชีวิตลายผ้าซิ่นตีนจก ด้วยการกระจายกลุ่มทอผ้าไปตามหมู่บ้านต่างๆ พร้อมให้อุปกรณ์และลายผ้าที่อาจารย์แกะมาจากผ้าซิ่นโบราณ วิธีนี้ชาวบ้านจะได้ค่าแรงเป็นรายได้ ส่วนการขายจะเป็นหน้าที่ของพิพิธภัณฑ์ ซึ่งนอกจากจะเป็นการเสริมสร้างอาชีพแล้ว ยังเป็นการอนุรักษ์วิถีทอผ้าและลายผ้าซิ่นโบราณไว้ให้คงอยู่ต่อไป

ผ้าซิ่นตีนจกล้ำค่าในพิพิธภัณฑ์ผ้าโบราณ

‘ลองสัมผัส’ ความรักของผู้คน

วัฒนธรรมจะอยู่รอดไม่ได้ถ้าคนไม่สืบสานต่อกันมา ซึ่งเห็นได้ชัดว่าคนเมืองลองหวงแหนรากเหง้าของตนมาก อย่างที่ โฮงซึงหลวง แหล่งเรียนรู้ศิลปวัฒนธรรมพื้นบ้านของเมืองลอง ที่ก่อตั้งโดยคนรุ่นใหม่ จีรศักดิ์ ธนูมาศ ผู้ชื่นชอบเครื่องดนตรีพื้นเมืองของล้านนา โดยเฉพาะ พิณเปี๊ยะ เครื่องดนตรีโบราณที่หาคนเล่นได้ยากแล้ว

โฮงซึงหลวง เป็นสถานที่สอนดนตรีล้านนาฟรี เป็นโรงเรียนสอนทำซอและซึงแฮนด์เมดทุกขั้นตอน และเป็นจุดจำหน่ายเครื่องดนตรีล้านนา ผู้ที่สนใจสามารถมาเรียนรู้หรือซื้อได้จากผู้ผลิต ผู้มีจิตอนุรักษ์วัฒนธรรมท้องถิ่นผ่านเครื่องดนตรีพื้นเมือง

นอกจากนี้ ในตัวเมืองลองบ้านเรือนยังเป็นเรือนไม้สองชั้น ชาวบ้านยังอนุรักษ์สถาปัตยกรรมเดิมไว้ แม้ว่าวิถีชีวิตจะเปลี่ยนไปตามกาลเวลา ซึ่งอาคารหนึ่งที่เตะตากว่าหลังไหนๆ คือ ร้านถ่ายรูปฉลองศิลป์ ร้านของคุณพ่อของโกมล ที่ปัจจุบันได้เปลี่ยนเป็นพิพิธภัณฑ์ภาพถ่ายและกล้องถ่ายรูป รวมถึงบนชั้น 2 ยังทำเป็นนิทรรศการหมุนเวียนให้นักศึกษามาใช้พื้นที่ฟรี ซึ่งคำว่าอนุรักษ์อีกความหมายหนึ่งก็คือ ความรักของชาวเมืองลองที่ไม่อยากให้อดีตจมหายไปกับสิ่งที่เรียกว่าโบราณ

ทั้งหมดทั้งมวลนี้ จึงไม่น่าเกลียดถ้าจะกล่าวว่า เสน่ห์เมืองลองไม่เป็นสองรองใคร แม้นจะเป็นอำเภอเล็กๆ ของ จ.แพร่ ที่ถูกแบ่งแยกด้วยภูเขา แต่ก็ไม่ใช่อุปสรรคที่ทำให้ไม่อยากมา “ลอง” เมืองที่เต็มไปด้วยการลองสิ่งใหม่ที่หาไม่ได้จากที่ไหนอีกแล้ว

ซึงไม้หลากสีทำจากมือทั้งหมด

สถานีรถไฟบ้านปิน

เจ้าของพิพิธภัณฑ์ผ้าโบราณสไตล์บาวาเรียน

ภาพถ่ายนางงามสมัยก่อนในร้านฉลองศิลป์

โกมล ผ่านเลนส์กล้อง

ข่วงวัฒนธรรมโฮงซึงหลวง

กี่ทอผ้าซิ่นตีนจกเมืองลองหน้ากว้างจะแคบเพื่อให้ทอง่ายและเร็ว

 

 

ตามหาบ้านในโปสการ์ด ‘บ้านท่าม่วง’

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์โพสต์ทูเดย์

28 พฤษภาคม 2560 เวลา 07:54 น…. อ่านต่อได้ที่ : http://www.posttoday.com/travel/thailand/496718

ตามหาบ้านในโปสการ์ด ‘บ้านท่าม่วง’

โดย…กาญจนา อายุวัฒน์ธนชัย

สถาปัตยกรรมเก่า คือ เสน่ห์ของบ้านท่าม่วง ชุมชนเล็กๆ ที่ตั้งอยู่ระหว่างแม่น้ำแม่กลองและถนนแสงชูโต เทศบาลตำบลท่าม่วง อ.ท่าม่วง จ.กาญจนบุรี โดยแต่เดิมนั้น ชุมชนแห่งนี้เคยเป็นย่านการค้าเก่าที่มีประวัติความเป็นมายาวนานถึง 118 ปี กระทั่งปัจจุบันก็ยังเป็นเช่นนั้นในรูปแบบของ “ตลาดเก่าท่าม่วง”

ย้อนกลับไปในสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 ชุมชนท่าม่วงมีประวัติศาสตร์ร่วมกับเหตุการณ์นั้น โดยเคยเป็นที่ตั้งค่ายของทหารญี่ปุ่น เป็นที่ซ่อมหัวจักรรถไฟ เป็นที่กักกันเชลยศึก เป็นที่ส่งเสบียงของกองทัพญี่ปุ่น และเป็นสถานที่ที่ชาวญี่ปุ่นทำมาค้าขายกับคนท่าม่วงหลายบ้านจนทำให้เศรษฐกิจรุ่งเรืองมาก และยังแสดงให้เห็นถึงความโอบอ้อมอารีของเจ้าบ้านที่มีต่อผู้มาเยือน

หลังจากนั้นเมื่อสงครามโลกครั้งที่ 2 สงบลง วิถีชีวิตของชาวท่าม่วงก็ได้เปลี่ยนแปลงไปและเติบโตอย่างมาก โดยเฉพาะการสร้างเขื่อนกั้นลำน้ำแม่กลองในปี 2507 ได้ส่งผลกระทบต่อวิถีชีวิตคนริมแม่น้ำแม่กลองแห่งนี้ เพราะชาวท่าม่วงจะสร้างบ้านเรือนอยู่ริมลำน้ำแม่กลองเพื่อการสัญจรและค้าขาย ซึ่งประชากรกลุ่มแรกที่อพยพเข้ามาสร้างบ้านเรือนในตลาดท่าม่วง หรือในสมัยนั้นใช้ชื่อว่า ตลาดนางลอย คือ ชาวจีนแต้จิ๋วและจีนแคระ โดยอาศัยอยู่ริมน้ำ สร้างบ้านหลังคามุงจาก ผนังก่อด้วยดิน และส่วนใหญ่ทำอาชีพทำไร่ทำนาและปลูกยาสูบ

จนกระทั่งชุมชนเกิดอัคคีภัยครั้งใหญ่เมื่อปี 2478 ทำให้ตลาดนางลอยหายไป ส่วนบ้านเรือนได้ถูกบูรณะใหม่และบางส่วนถูกสร้างขึ้นใหม่เป็นบ้านเรือนไม้ชั้นเดียวหรือสองชั้น รวมถึงส่งผลต่อวิถีชีวิตชาวจีนที่เคยทำไร่ทำนาก็เปลี่ยนมาทำค้าขาย โดยใช้ลำน้ำแม่กลองเป็นเส้นทางการค้ากับกรุงเทพฯ สมุทรสงคราม และฉะเชิงเทรา ปัจจุบันชุมชนก็ยังมีท่าน้ำทั้งหมด 3 ท่า คือ ท่าบน ท่ากลาง และท่าล่าง แม้ว่าคนจะมีถนนแทนลำน้ำแล้วก็ตาม

คำว่า ตลาดนางลอย จึงลบเลือนหายไป และถูกตั้งชื่อใหม่ให้เป็น ตลาดท่าม่วง ตามต้นมะม่วงที่ขึ้นอยู่มากมายริมน้ำ ซึ่งชื่อใหม่ได้มาพร้อมกับความเจริญเชิงพาณิชย์ จนตลาดกลายเป็นศูนย์กลางทางเศรษฐกิจแห่งใหม่ที่อยู่ใกล้กับทางหลวง และยังคงทำหน้าที่เป็นแหล่งอาหารและของใช้ให้กับชาวบ้านในละแวกนั้นเหมือนในอดีตเมื่อร้อยกว่าปีที่แล้ว

นอกจากนี้ สิ่งที่ยังไม่เปลี่ยนแปลงไปตามกาลเวลาอีกอย่างที่ต้องกล่าวถึง สถาปัตยกรรมดั้งเดิม เพราะชาวท่าม่วงทุกคนมีภารกิจสำคัญที่จะต้องรักษาโดยเฉพาะการอนุรักษ์สถาปัตยกรรมพื้นถิ่น เช่น บ้านอุดมพันธ์ บ้านค้าขายหลังแรกๆ ที่สร้างขึ้นในชุมชนแห่งนี้ตั้งแต่ปี 2506 หรือบ้านปอเชียง ที่เป็นตัวอย่างอันสะท้อนให้เห็นความตั้งใจอนุรักษ์ของเจ้าของ จนทำให้ชุมชนท่าม่วงถูกยกให้เป็นชุมชนอนุรักษ์สถาปัตยกรรมดีเด่นด้วย

ด้านการท่องเที่ยวนั้นต้องนิยามว่า ชุมชนท่าม่วงเป็นแหล่งท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรม เพราะจุดเด่นของท่าม่วงมี 2 อย่างสำคัญ คือ สถาปัตยกรรมและวัฒนธรรมที่มีคุณค่า ดังนั้นหาซื้อโปสการ์ดสักหลายๆ ใบในตลาด แล้วออกเดินไปตามหาบ้านหรืออาคารที่เหมือนลายเส้นในโปสการ์ดนั้น จะได้เห็นอดีตปะทะปัจจุบันอย่างชัดเจนว่า กาลเวลาไม่อาจทำลายรากของวัฒนธรรมอย่างถิ่นที่อยู่ และอย่าลืมไปตามหาอาหารขึ้นชื่อประจำถิ่นอย่าง โอเลี้ยงโบราณ ที่ใช้เมล็ดกาแฟจากการคั่วด้วยมือในโรงคั่วท้องถิ่น รวมถึงข้าวหมกไก่ กวยจั๊บโบราณ และขนมเปี๊ยะโบราณ ซึ่งเป็นอาหารดั้งเดิมที่สืบทอดมาจากบรรพบุรุษ

นอกจากนี้ ผู้เฒ่าผู้แก่ท่านหนึ่งได้กล่าวไว้ว่า บ้านท่าม่วงสามารถแทนด้วยตัวเลขหนึ่งถึงสี่ ได้แก่

หนึ่งสายน้ำ คือ แม่น้ำแม่กลองที่คอยหล่อเลี้ยงชาวท่าม่วงและเส้นทางสัญจรที่สำคัญในอดีต

สองศิลปะ คือ สถาปัตยกรรมไทยลักษณะเป็นเรือนไม้ และสถาปัตยกรรมจีนลักษณะเป็นอาคารตึกสไตล์ชิโนโปรตุกีส

สามศาสนา คือ พุทธ คริสต์ และอิสลาม ที่อยู่ด้วยกันอย่างมีความสุขมาเป็นร้อยปี

สี่วัฒนธรรม คือ วัฒนธรรมของไทยพุทธ คริสต์ อิสลาม และจีน

ปัจจัยทั้งหมดประกอบรวมเป็นชุมชนท่าม่วงบ้านฉัน ดีและงาม ชุมชนเรียบง่ายและสันติสุข อุดมไปด้วยรอยยิ้มและความน่ารักของชาวบ้าน และงามตาด้วยคุณค่าของสถาปัตยกรรม ซึ่งในอนาคตบ้านเรือนเก่าจะถูกพัฒนาด้วยความร่วมมือร่วมใจของชาวบ้านที่เห็นความสำคัญของวัฒนธรรมและรากเหง้า หวังให้ชุมชนท่าม่วงกลับมาสวยงามและมีชีวิตชีวาอีกครั้ง (อย่างที่เคยเป็นมา)

 

 

สราญใจที่หอศิลปวัฒนธรรมแห่งกรุงเทพมหานคร

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์โพสต์ทูเดย์

27 พฤษภาคม 2560 เวลา 18:32 น…. อ่านต่อได้ที่ : http://www.posttoday.com/travel/thailand/496698

สราญใจที่หอศิลปวัฒนธรรมแห่งกรุงเทพมหานคร

โดย…นกขุนทอง ภาพ : กฤษณ์ พรหมสาขา ณ สกลนคร

หากรู้สึกจำเจกับการต้องพบปะตามห้างสรรพสินค้า ที่คนจอแจหิ้วถุงช็อปปิ้งพะรุงพะรัง หอศิลปวัฒนธรรมแห่งกรุงเทพมหานคร เป็นอีกทางเลือกหนึ่งที่เป็นแหล่งนัดพบเพื่อความสราญใจ เพราะที่นี่ไม่ได้มีแค่งานศิลปะ แต่ยังมีกิจกรรมการแสดงอื่นๆ ด้วย รวมไปจนถึงร้านค้าที่ให้คุณช็อปปิ้ง หรือจะนั่งดื่มในมุมสบายๆ พักผ่อนหย่อนใจก็มีให้เลือกสรร

พื้นที่นี้เปิดให้ทุกผู้ทุกวัยมาซึมซับศิลปวัฒนธรรมได้อย่างไม่รู้ตัวเลยเทียว โดยชั้น 3 มีทางเดินเชื่อมต่อกับทางยกระดับรถไฟฟ้าบีทีเอส สถานีสนามกีฬาแห่งชาติ อำนวยความสะดวกให้แก่ผู้ที่จะมาใช้บริการชมศิลป์กลางกรุง

artHUB@bacc  คือ โซนของร้านอาหาร ร้านค้าของที่ระลึก ที่ครอบคลุมพื้นที่ 20 เปอร์เซ็นต์ของหอศิลป์กรุงเทพฯ ตั้งแต่บริเวณชั้น 1-4 เป็นพื้นที่รวบรวมความหลากหลายความแตกต่างของร้านค้า ที่เน้นความเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตนและมากด้วยความคิดสร้างสรรค์ เพราะทุกร้านที่อยู่ในโซนนี้ได้รับโจทย์เหมือนกัน คือเน้นคอนเซ็ปต์ความเป็นศิลปะและต้องไม่เหมือนใคร โดยความเป็นศิลปะนี้จะถูกถ่ายทอดออกผ่านทางรูปแบบของการสร้างสรรค์เมนูอาหารและเครื่องดื่มต่างๆ รวมเป็นถึงการตกแต่งร้าน

แนะนำร้านน้องใหม่ คือ สวนชั้น 1 “It’s going green” ที่มีแนวคิดทำร้านค้าให้เป็นเหมือนสวนที่ค่อยๆ เติบโตและแผ่ขยายสิ่งดีๆ มีคุณภาพให้กับผู้บริโภค สินค้าจะมีทั้งของสด ของอุปโภค บริโภค ที่คัดสรรให้ปลอดภัยที่สุดเท่าที่จะทำได้ และมีงานคราฟต์ดีๆ เช่น ผักสดออร์แกนิก น้ำผลไม้สด 100% น้ำมันมะพร้าว ซีอิ๊วที่ทำแบบกรรมวิธีโบราณ ไม่ใส่สารใดๆ ปลาเค็มจากประมงพื้นบ้าน สบู่ ยาสระผม เสื้อผ้าเส้นใยธรรมชาติ แชมพูสำหรับทาสหมาทาสแมวที่มีหัวใจออร์แกนิกด้วย

ชั้น 1 ยังมีร้านกาแฟ Gallery กาแฟดริป ร้านขายจักรยาน ชั้น 2-3 พื้นที่ระหว่างทางเดินนอกจากจะมีการศิลปะจัดแสดงประปราย ยังมีรับจ้างเขียนภาพเหมือน ภาพล้อเลียน มีร้ายขายเครื่องประดับแฮนด์เมด ฯลฯ ชั้น 4 จะมีร้านอาหารหลายร้าน เช่น ร้านเลอปลาแดก (Le Pla Daak) สำหรับคอส้มตำที่อยากแซ่บก็มีเมนูให้เลือกหลากหลาย แต่ถ้าอยากลิ้มรสชาติที่แปลกใหม่และหารับประทานยากต้องเมนูส้มตำบัวสาย ที่นำไหลบัวมาคลุกกับน้ำปรุงที่กลมกล่อมด้วยถั่วตัด ถั่วคั่ว ไม่เพียงมีร้านอาหาร แต่ชั้น 4 ยังมีร้านเพชร Moncher ที่ออกแบบเครื่องประดับตามตามบุคลิกและราศีผู้สวมใส่

ขึ้นมาถึงชั้น 7-9 (หรือชั้นอื่นบ้างประปรายตามคอนเซ็ปต์งาน) เป็นโซนจัดแสดงผลงานศิลปะ ตอนนี้มีนิทรรศการให้ได้ชมกันยาวๆ คือ ห้องนิทรรศการหลัก ชั้น 7 จัดแสดง “ความสุขของคนไทย ใต้ร่มพระบารมี 70 ปีแห่งการครองราชย์” (แสดงถึงวันที่ 2 ก.ค.) นำเสนอผลงานจิตรกรรม ประติมากรรม ภาพพิมพ์และสื่อผสม ในรูปแบบเหมือนจริง ที่ได้รับรางวัลจากการประกวดศิลปกรรมช้างเผือก ครั้งที่ 6 ประจำปี 2560

ห้องนิทรรศการหลัก ชั้น 8 มีส่วนหนึ่งของโครงการ “Condition Report” (จัดแสดงถึงวันที่ 2 ก.ค.) โครงการศิลปะเชิงปฏิบัติการร่วมกันระหว่างภัณฑารักษ์จากญี่ปุ่นและประเทศในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยมีจุดประสงค์เพื่อบ่มเพาะภัณฑารักษ์รุ่นใหม่ผ่านการทำงานร่วมกันกับภัณฑารักษ์ผู้มีประสบการณ์ รยางค์สัมพันธ์ Mode of Liaisons เป็นนิทรรศการสุดท้ายโดยภัณฑารักษ์รุ่นใหญ่ในกรุงเทพฯ

ห้องนิทรรศการหลัก ชั้น 9 นิทรรศการ CROSSING THE DATELINE (แสดงถึงวันที่ 4 มิ.ย.) เป็นการรวมตัวกันของกลุ่มศิลปินไทยและต่างประเทศ 9 คน และศิลปินร่วมอีก 1 คน ที่มีโอกาสเดินทางไปแลกเปลี่ยนความคิดเห็นทัศนคติเกี่ยวกับชีวิตและศิลปะ ณ โครงการศิลปินพำนักเวอร์มอน์ สตูดิโอ เซ็นเตอร์ รัฐเวอร์มอนต์ สหรัฐอเมริกา จึงเกิดความคิดที่ต้องการนำเสนอบทสนทนาข้ามวัฒนธรรมที่มีความแตกต่างกัน ผ่านผลงานศิลปะรูปแบบต่างๆ ได้แก่ ภาพถ่าย วาดเส้น สื่อผสม ศิลปะจัดวาง ศิลปะจัดวางเชิงปฏิสัมพันธ์ และวิดีโอจัดวาง เป็นต้น

นิทรรศการปรับเปลี่ยนไปเรื่อยๆ ร้านค้าเองก็เช่นกันมีร้านใหม่ๆ ไอเดียดีๆ มาเติมเสมอ หากไม่รู้จะไปไหน ลองแวะไปหอศิลปวัฒนธรรมแห่งกรุงเทพมหานคร บริเวณสี่แยกปทุมวัน เปิดให้บริการทุกวันอังคาร-อาทิตย์ (หยุดวันจันทร์) ตั้งแต่เวลา 11.00-21.00 น. ดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่เว็บไซต์ www.bacc.or.th

 

‘นลินรัตน์ เจริญสุพงษ์’ท่องเที่ยวคือการพักผ่อน

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์โพสต์ทูเดย์

27 พฤษภาคม 2560 เวลา 18:07 น…. อ่านต่อได้ที่ : http://www.posttoday.com/travel/thailand/496693

‘นลินรัตน์ เจริญสุพงษ์’ท่องเที่ยวคือการพักผ่อน

โดย…อรวรรณ จารุวัฒนะถาวร

ปัจจุบันการดูแลรักษาสุขภาพเข้ามามีบทบาทสำหรับคนวัยทำงานมากขึ้น เนื่องจากการทำงานที่เร่งรีบบางคนทำงานตั้งแต่เช้าจรดค่ำ ทำให้มีเวลาพักผ่อนน้อยลงกว่าที่ควรจะเป็น อีกทั้งพฤติกรรมที่ทำติดต่อมาหลายๆ ปี จนเป็นที่มาของสารพัดโรค

แต่สำหรับบางคนถือว่าการท่องเที่ยวเป็นการพักผ่อนหย่อนใจที่ดี ซึ่งนอกจากจะได้เปิดโลกทัศน์แล้วยังเป็นการสร้างประสบการณ์และความสัมพันธ์ที่ดีระหว่างครอบครัวกันอีกด้วย

“นลินรัตน์ เจริญสุพงษ์” กรรมการผู้จัดการ บริษัท เน็กซัส พรอพเพอร์ตี้ มาร์เก็ตติ้ง ซึ่งเป็นสาวมั่นยุคใหม่ที่เป็นทั้งผู้เชี่ยวชาญและที่ปรึกษาด้านการวิเคราะห์การออกแบบ การตลาด และการขายให้กับโครงการอสังหาริมทรัพย์ชั้นนำทั้งในและต่างประเทศ ได้เล่าถึงประสบการณ์การพักผ่อนจากการท่องเที่ยว โดยบอกว่า ในช่วง 10-15 ปีที่ผ่านมาจะหาเวลาไปพักผ่อนกับครอบครัว เพราะเห็นว่าเมื่อทำงานอย่างหนักมาตลอดทั้งปี ก็อยากจะหาเวลาพักผ่อนกันบ้าง ซึ่งครอบครัวเราชื่นชอบการท่องเที่ยวอยู่แล้ว

ดังนั้นแต่ละปีจะหาเวลาสักประมาณ 2-3 อาทิตย์ สำหรับเดินทางไปท่องเที่ยวซึ่งจะไปต่างประเทศเป็นส่วนใหญ่ไม่ว่าจะเป็น สหรัฐอเมริกา แคนาดา ยุโรป เอเชีย เป็นต้น และไปแบบลุยๆ ซึ่งการท่องเที่ยวของครอบครัวเราจะประกอบไปด้วย พ่อ แม่ และลูก ในแต่ละปีจะมีการวางโปรแกรมกันก่อนว่าปีนี้ที่จะไปที่ไหน ทั้งนี้ต้องเหมาะสมกับสไตล์ของทุกคนและช่วงอายุของเราและลูกด้วย เพราะเริ่มพาลูกเที่ยวตั้งแต่ 1 ขวบ จนปัจจุบันอายุลูก 14-15 ปีแล้ว เช่นปีนี้วางแผนจะไปเที่ยวแบบแอดเวนเจอร์ที่เนปาล ซึ่งต้องใช้พลังงานอย่างมากก็ต้องเตรียมตัวโดยเฉพาะต้องฟิตร่างกายให้พร้อม

ทั้งนี้แต่ละทริปจะมีการเตรียมตัวที่แตกต่างกันไป โดยหลักๆ คือเรื่องของการเดินทาง เนื่องจากส่วนมากจะขับรถไปตามเมืองต่างๆ ที่มีการวางแผนกันไว้ โดยแต่ละวันจะมีกิจกรรมทำร่วมกันตลอด ซึ่งทำให้มีอารมณ์เข้าถึงบรรยากาศ วัฒนธรรมประเพณีแต่ละท้องถิ่น ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของอาหารการกิน การอยู่อาศัยในแบบท้องถิ่น ที่เราจะหาไม่ได้ถ้าไปกับทัวร์

การท่องเที่ยวทุกทริปสร้างความประทับใจแม้จะต้องเผชิญกับนานาปัญหาก็ตาม อย่างไรเช่น ทริปไอร์แลนด์ ที่ต้องเจอกับสภาพอากาศที่เปลี่ยนแปลงบ่อยๆ โดยช่วงที่ไปจะเจอกับความโหดทั้งหิมะตกหนัก ลมแรง แต่ก็สนุกตื่นเต้น เพราะทำให้เรารู้จักวิธีแก้ปัญหาเฉพาะหน้า ดังนั้นใครที่จะไปท่องเที่ยวต้องเตรียมตัวรับมือกับสภาพอากาศในแต่ละพื้นที่ไว้ด้วย

การที่ครอบครัวนิยมไปเที่ยวในต่างประเทศ ก็เพราะต้องการเปิดโลกทัศน์ให้กับตัวเองและลูกได้มากขึ้น ซึ่งบางครั้งสิ่งที่ได้ยินมาเมื่อมีโอกาสได้ไปเห็นด้วยตัวเองก็ไม่ใช่ก็มี บางประเทศที่บอกว่าเป็นเมืองที่มีความเจริญก้าวหน้าในทุกด้านก็มีจุดบอดของเมืองเหมือนกัน

นอกจากนี้ยังทำให้เข้าใจถึงวัฒนธรรมในแต่ละประเทศ เรื่องของภาษา การแก้ไขปัญหาเร่งด่วนเฉพาะหน้า ตรงนี้เป็นประโยชน์อย่างมากซึ่งลูกได้รับการซึมซับมาโดยตลอด ทำให้เขามีความกล้าที่จะเผชิญกับบุคคลและสถานที่เขาไม่ได้คุ้นเคย ตอนนี้จึงไม่ค่อยมีปัญหาเมื่อต้องไปศึกษาในต่างประเทศ ส่วนตนเองก็สามารถนำมาปรับใช้กับการทำงานได้เหมือนกัน ซึ่งมองว่านี่คือข้อดีสำหรับการพักผ่อนโดยการท่องเที่ยว

อย่างไรก็ดี เนื่องจากการท่องเที่ยวต้องใช้พลังงานค่อนข้างเยอะ ดังนั้นจำเป็นต้องดูแลในเรื่องของสุขภาพของตนเองเพื่อเตรียมความพร้อมก่อนจะไปลุย ซึ่งที่ผ่านมาก็เริ่มออกกำลังกายอย่างจริงจังทุกวันทำมาได้ 3-4 ปีแล้ว จากก่อนหน้าจะออกกำลังเมื่อมีเวลาเท่านั้น ส่วนหนึ่งเพราะอายุเริ่มมากขึ้นจึงต้องปรับเปลี่ยนตัวเอง ซึ่งก็พบว่าร่างกายแข็งแรงมากขึ้น

อีกสิ่งที่กระทำมาอย่างต่อเนื่องมาหลายปีซึ่งมีผลต่อจิตใจ นั่นก็คือการมีส่วนของในงานซีเอสอาร์ของบริษัทเป็นการดำเนินกิจกรรมภายในและภายนอกองค์กร โดยแต่ละปีมีกิจกรรมที่หลากหลายนอกจากจะเป็นประโยชน์ต่อผู้ได้รับแล้ว ผู้ให้ยังสุขใจอีกทั้งยังเป็นการสร้างความสามัคคีให้เกิดกับองค์กรร่วมกันอีกด้วย

 

Are we there yet พวกเธอจะพาไปเอง

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์โพสต์ทูเดย์

27 พฤษภาคม 2560 เวลา 17:18 น…. อ่านต่อได้ที่ : http://www.posttoday.com/travel/thailand/496686

Are we there yet พวกเธอจะพาไปเอง

โดย…รอนแรม ภาพ : Are we there yet

เมื่อเพื่อนของเพื่อนมาเป็นเพื่อนกัน ด้วยความบังเอิญที่ชอบเที่ยวเหมือนกัน ทุกคนจึงรวมตัวกันเป็นแก๊ง Are we there yet เพจเฟซบุ๊กของสามสาววัย 28 ปี มู่หลาน-ดวงพร ลักษมีวรานนท์ นักอ่านไพ่ยิปซีและธุรกิจส่วนตัว เกรส-กิรณา จิรัชสิรกร เจ้าของร้านกาแฟบุตรี เสาชิงช้า และ เบียร์-ภรณ์นภา วงศ์ชะอุ่ม อาจารย์สอนภาษาอังกฤษ สาธิต มศว ที่ได้ผลัดกันเล่าความรู้สึกและประสบการณ์ผ่านพื้นที่เล็กๆ

“พวกเราสนใจทุกอย่างที่ได้เที่ยว ได้กิน และได้ศึกษา อะไรที่ผ่านเข้ามาหรือเราเดินเข้าไปหา แล้วเราประทับใจ เราจะหยิบสิ่งเหล่านั้นมาให้แฟนเพจทุกคนได้ดู ไม่จำเป็นต้องเที่ยวชิกเก๋ (แต่อาจมีบ้าง) ไม่จำเป็นต้องจำกัดงบ (เพราะแล้วแต่สไตล์การเที่ยว) ไปเที่ยวที่เหมือนกับคนอื่นแต่มีมุมมองที่ต่างไป แต่ที่ได้แน่นอนคือความสุขใจที่ได้เที่ยว”

ทั้งสามนิยามไลฟ์สไตล์ไว้ในเพจที่อายุใกล้ครบ 3 เดือน โดยได้รวบรวมไลฟ์สไตล์ของแต่ละคนที่แตกต่างกัน อันเป็นตัวตนและเอกลักษณ์ที่ไม่จำเป็นต้องปรุงแต่งหรือพยายามเป็นอย่างใคร

“เพจเราไม่มีไดเรกชั่นชัดเจนว่าต้องฮิปสเตอร์ เดินป่า ดำน้ำ พวกเราแค่ไปเที่ยวตามที่ตัวเองอยากไปแล้วอยากมาเล่าให้เพื่อนๆ ฟัง ซึ่งแต่ละคนก็เที่ยวต่างกัน อย่างเบียร์จะเที่ยวสบายๆ เกรสชอบเที่ยวชาญญี่ปุ่น ส่วนมู่หลานชอบไปเที่ยวแล้วมีกิจกรรมทำ เช่น ไปปีนผา เล่นซิปไลน์ ดำน้ำ เพราะทุกคนต่างทำงาน ดังนั้นถ้าใครว่างเมื่อไหร่ก็แยกกันไปเที่ยว” มู่หลาน กล่าว

 ส่วนเนื้อหาในเพจนั้น มู่หลาน อธิบายว่า แต่ละคนมีอิสระในการสร้างสรรค์เต็มที่ แต่ก็มีข้อกำหนดร่วมกันว่า ทุกโพสต์ต้องเขียน 2 ภาษา คือ ไทย และอังกฤษ เพื่อเป็นประโยชน์กับชาวต่างชาติที่อยากมาเที่ยวไทย โดยตัวเนื้อหาจะเน้นไปที่ความรู้สึกมากกว่าข้อมูลแบบละเอียดยิบ

“การไปต่างจังหวัดเดี๋ยวนี้ไม่ยาก เราเลยเน้นเขียนถึงความรู้สึกและสิ่งที่เห็นตรง

หน้ามากกว่า ซึ่งรูปแบบการเที่ยวของพวกเราจะเป็นกลุ่มคนที่โตขึ้นมาหน่อย คือ เที่ยวแบบสบายๆ แต่ก็มีการผจญภัยอยู่บ้าง” มู่หลานกล่าวต่อ

“ส่วนเรื่องรูปภาพ เราไม่ใช่ช่างภาพมืออาชีพ ดังนั้นมุมมองจึงสำคัญที่สุด เราจะไม่แต่งภาพจนโอเวอร์ จะถ่ายแบบธรรมชาติ ให้เข้าถึงง่าย ไม่ต้องคลุมธีมให้เหมือนกันทุกรูป ถ้าคนไปตามต้องได้เห็นเหมือนในภาพ ไม่ใช่เปลี่ยนสีหรือเช็ทถ่าย เพราะถ้าไปแล้วไม่เห็นแบบนั้น เขาก็คงรู้สึกไม่ดี”

ทั้งสามคนยังตกลงกันว่าจะไม่มีกฎเกณฑ์ใดๆ ให้รู้สึกว่าการทำเพจเฟซบุ๊กเป็นงานหรือเป็นภาระเพิ่ม ดังนั้น ใครไปมาก็เขียน ใครไม่ว่างก็ไม่เป็นไร โดยไม่จำกัดเนื้อหาทั้งร้านอาหาร โรงแรม ทริปท่องเที่ยว หรืออะไรก็ได้ที่เป็นไลฟ์สไตล์จริงๆ ซึ่งความที่ไม่มีกฎเกณฑ์นี้จึงทำให้ทุกคนทำมันด้วยความสบายใจ และอยากที่จะแบ่งปันเนื้อหาให้เพื่อนและผู้อื่นที่ติดตามได้รู้สึกไปด้วยกัน โดยเฉพาะคนรุ่นเดียวกันที่เป็นคนเจนฯ ใหม่ และกล้าใช้เงินกับการท่องเที่ยว

“เราคาดหวังว่ามันสนุกก็โอเคแล้ว แต่ในอนาคตเพจสามารถสร้างรายได้ให้ก็คงเป็นโบนัสมากกว่า แต่ตอนนี้เรามีความสุขที่ได้ทำมัน เราทำให้คนที่ไม่ได้ไปเที่ยว รู้สึกสดชื่นเมื่อเห็นภาพหรืออ่านสิ่งที่เราเขียน แค่นี้ก็ดีใจ ส่วนพวกเราก็ชอบเดินทางเพราะมันทำให้เราโตขึ้น ได้เรียนรู้ และสอนให้หาความสุขได้ง่ายๆ จากสิ่งรอบตัวโดยไม่ต้องขวนขวายมากมาย”

เข้าไปพูดคุยและติดตามไลฟ์สไตล์ของทั้ง 3 สามสาวได้ทางเพจเฟซบุ๊ก Are we there yet ซึ่งความน่ารักคือ พวกเธอตอบทุกคอมเมนต์!

 

พังงาหน้าฝนยลเกาะยาวน้อย

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์โพสต์ทูเดย์

27 พฤษภาคม 2560 เวลา 16:44 น…. อ่านต่อได้ที่ : http://www.posttoday.com/travel/thailand/496683

พังงาหน้าฝนยลเกาะยาวน้อย

โดย…กาญจน์ อายุ

พ.ค.เดือนแห่งมรสุม ทำให้อุทยานแห่งชาติทางทะเลหลายแห่งถูกปิดเป็นเวลา 5 เดือน แต่ระหว่างช่องว่างนั้น คลื่นลมรอบ “เกาะยาวน้อย” ยังสงบเหมือนความเงียบเรียบง่ายของเกาะ

กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช ประกาศปิดอุทยานแห่งชาติทางทะเล ประกอบด้วย อุทยานแห่งชาติหมู่เกาะสุรินทร์ อุทยานแห่งชาติหมู่เกาะสิมิลัน รวมถึงหมู่เกาะในจังหวัดใกล้เคียง เช่น อุทยานแห่งชาติหมู่เกาะลันตา จ.กระบี่ อุทยานแห่งชาติหาดเจ้าไหม จ.ตรัง และอุทยานแห่งชาติตะรุเตา เฉพาะโซนเกาะอาดังราวีและเกาะหลีเป๊ะ จ.สตูล ตั้งแต่วันที่ 16 พ.ค.-16 ต.ค. 2560 เพื่อความปลอดภัยของนักท่องเที่ยวและให้ธรรมชาติได้ฟื้นตัว

ทว่าเกาะยาวน้อย จ.พังงา ถูกล้อมรอบด้วยเกาะแก่งบังคลื่นลม และมีแนวขอบเขตติดกับภูเก็ตและกระบี่ โอบอยู่เป็นรูปตัวยูคว่ำ เกาะแห่งนี้จึงเที่ยวได้ทั้งปีและไม่มีไฮซีซั่น หรือโลว์ซีซั่น

 

เกาะยาวน้อยเสน่ห์ไม่น้อยเหมือนชื่อ

เกาะยาวน้อยอยู่เคียงคู่กับเกาะยาวใหญ่ ตั้งอยู่ใน อ.เกาะยาว จ.พังงา การเดินทางสามารถไปได้จากทางจ.พังงา กระบี่ และภูเก็ต โดยเส้นทางที่สะดวกและใกล้ที่สุด คือ ขึ้นเรือจากภูเก็ตที่ท่าเรือบางโรง ลงที่ท่าเรือมาเนาะ เกาะยาวน้อย

การเดินทางบนเกาะสามารถเช่ารถสองแถวสำหรับกลุ่มใหญ่ หรือ เช่ารถมอเตอร์ไซค์ขับขี่เที่ยวสำหรับขาลุย โดยถนนรอบเกาะจะวนเป็นวงกลม มีเนินขึ้นลงบ้างเป็นระยะ คนไม่ชินเส้นทางจึงต้องขับขี่อย่างระวัง โดยเฉพาะในเขตชุมชน

 

ชาวบ้านบนเกาะยาวน้อยนั้นเป็นมุสลิมเกือบร้อยเปอร์เซ็นต์ ประกอบอาชีพทำประมง ทำนา สวนยางพารา และสวนมะพร้าว โดยการทำประมงนั้นจะทำเป็นกระชัง อย่างที่ขึ้นชื่อที่สุดต้องไปสัมผัสที่ “กระชังปลาบังหนีด” ของบังหนีด-เกษม นิลสมุทร ที่นอกจากจะเลี้ยงปลาเพื่อขายแล้ว เขายังทำเป็นสถานที่ท่องเที่ยวเชิงเรียนรู้กลางทะเลด้วย

กระชังปลาบังหนีดตั้งอยู่ที่บ้านแหลมไทร ประกอบด้วยปลาหลายชนิดทั้งฉลามทราย ปลาหมอทะเล ปลากะพง ปลาเก๋า ปลาปักเป้า ปลาดาว ปลาไหลมอเรย์ และกุ้งมังกรจำนวนร้อยๆ ตัว ที่บังหนีดเลี้ยงดูเองจากประสบการณ์ สำหรับปลาที่เลี้ยงไว้อย่างฉลามทราย เวลามีนักท่องเที่ยวเขาจะให้อาหารเพื่อล่อมันขึ้นมาแสดงตัว พร้อมให้ข้อมูลเกี่ยวกับสัตว์ชนิดนั้น

 

หรือบางชนิดอย่างปลาดาว หรือปลาปักเป้า ที่เป็นสัตว์ไม่อันตรายก็จะสามารถสัมผัสผิวมันได้ด้วย แต่สำหรับดาวเด่นอย่างกุ้งมังกร เดาว่าคงไม่มีใครอยากสัมผัสมัน เพราะนอกจากราคาที่ตกอยู่ประมาณกิโลกรัมละ 2,000 กว่าบาทแล้ว หนวดอันยาวเยื้อยและเปลือกที่แข็งแรงน่าเกรงขาม ยังดูน่าอันตรายมากกว่าน่ากิน

ส่วนเสน่ห์บนพื้นดินเกาะยาวน้อย เกิดขึ้นจากวิถีชีวิตของชาวบ้าน ไม่ว่าจะเป็น “ทุ่งนา” ที่ล้อมรอบด้วยภูเขา มีฝูงควายเล็มหญ้า และเหล่านกเอี้ยง นกกระยาง ที่มาร่วมแจม ซึ่งช่วงฤดูฝนนี้ชาวบ้านจะเริ่มดำนำ ดังนั้นใครที่มาเที่ยวหลังฝนต้นหนาวก็จะได้เห็นทุ่งนาสีทองเหลืออร่ามกลางทะเล

 

นอกจากนี้ ทางตอนกลางของเกาะชาวบ้านจะทำ “สวนยางพารา” โดยระหว่างทางจากฝั่งตะวันออก บ้านท่าเขาสู่บ้านอันเป้าทางฝั่งตะวันตก ถนนจะผ่านสวนยางพาราสีเขียวขจี ซึ่งกิ่งก้านสองข้างทางจะโน้มหากันคล้ายอุโมงค์ยางพาราให้ข้ามเวลาสู่เกาะสีเขียว

รวมถึง “สวนมะพร้าว” อาชีพเก่าแก่ของชาวเกาะ แต่ปัจจุบันเหลือสวนมะพร้าวน้อยจนไม่พอกับความต้องการของโรงแรมบนเกาะ ด้วยรสชาติหอมชื่นใจ ไม่เปรี้ยว เนื้ออ่อนกินได้ไม่เหลือทิ้ง ซึ่งใครมาเกาะยาวน้อยแล้วต้องมาชิมถึงหน้าสวน

 

แต่หากใครอยากกินทั้งเนื้อมะพร้าวและเนื้อโรตี จงไปเฝ้ากระทะหน้าร้านโรตีเพื่อนกัน แล้วสั่งเมนูโรตีมะพร้าวอ่อน นั่งกินในบรรยากาศบ้านๆ กับชาวสภากาแฟ หรืออีกร้านที่อยู่ไม่ห่างกัน คือ ร้านโรตีชาวเกาะ มีโรตีให้เลือกมากกว่า 80 รายการ และเป็นขวัญใจวัยรุ่นมากกว่า โดยทั้งสองร้านตั้งอยู่แถวสามแยกเทศบาลบ้านค่าย (สามแยกไฟฉาย หรือลอกอ) ซึ่งถือเป็นย่านหลักที่คึกคักที่สุด

สำหรับของฝากอยากจะชวนเชิญให้ดีไอวายทำ “ผ้าบาติก” ด้วยตัวเอง โดยมีคอร์สสอนพร้อมอุปกรณ์กับกลุ่มแม่บ้านบ้านท่าเขา หรือจะอุดหนุนผ้าบาติกแฮนด์เมนฝีมือแม่ๆ ก็ยิ่งดี เพราะนอกจากจะมีผืนเดียวในโลก ยังช่วยกระจายรายได้สู่ชุมชนโดยตรง

 

ทั้งนี้ รอบๆ เกาะยาวน้อยยังมีแหล่งท่องเที่ยวทางทะเลที่น่าสนใจและไม่เคยปิดอย่างเกาะกูดู หรือ เหลากูดู อยู่บริเวณตอนเหนือของเกาะยาวน้อยที่ได้รับความนิยมมากในหมู่นักท่องเที่ยว มีลักษณะเป็นเกาะ 2 เกาะอยู่ใกล้กัน บรรยากาศเงียบสงบเหมาะสำหรับนอนอาบแดด เล่นน้ำ และดำน้ำดูปะการังที่มีอยู่รอบเกาะ ซึ่งนับว่าสวยและสมบูรณ์ที่สุดของอ่าวพังงา

และอีกเกาะที่อยู่ใกล้ คือ เกาะนอก ห่างจากเกาะยาวน้อยประมาณ 5 นาที บนเกาะมีหาดทรายขนาดเล็ก ลงเล่นน้ำได้อย่างปลอดภัย และยังสามารถเดินขึ้นไปบนยอดเขา เพื่อชมทิวทัศน์มุมสูงของเกาะยาวน้อยและบริเวณป่าเกาะได้ชัดเจน

อย่างไรก็ตาม ด้วยที่ตั้งของเกาะยาวน้อยยังทำให้สะดวกแก่การเดินทางไปเที่ยวเกาะต่างๆ ทั้งในพังงา และกระบี่

 

เกาะยาวใหญ่แฝดคนละฝา

เกาะยาวใหญ่แฝดคนละฝากับเกาะยาวน้อย มีแหล่งท่องเที่ยวที่สำคัญ คือ อ่าวคลองสน อ่าวตีกุด ซึ่งมีลักษณะหาดทรายขาวสะอาด ร่มรื่นด้วยพรรณไม้ชายหาด รายล้อมด้วยทิวสน และโขดหินสีสันสวยงาม เหมาะแก่การเล่นน้ำชมปะการัง หรือจะไปนอนชิลที่อ่าวหินกอง เป็นหาดที่ร่มรื่นด้วยป่าไม้เคี่ยม และบริเวณอ่าวจะมีลูกปลากระเบนอาศัยอยู่มาก จึงไม่เหมาะที่จะลงเล่นน้ำ แต่เหมาะกับการเก็บภาพที่น่าประทับใจ

นอกจากนี้ ถ้าเทียบพื้นที่และจำนวนประชากรที่อาศัยอยู่บนเกาะแล้ว เกาะยาวใหญ่มีจำนวนประชากรมากกว่าเกาะยาวน้อยหลายเท่าตัว แต่ความเพียบพร้อมรวมถึงหน่วยงานราชการจะตั้งอยู่บนเกาะยาวน้อย ทำให้เกาะยาวใหญ่มีโรงแรมที่พักน้อยกว่า จึงทำให้สงบและมีความเป็นส่วนตัวมากกว่า แต่ก็สะดวกสบายน้อยกว่าเกาะยาวน้อย

 

ธารโบกขรณี ชื่อนี้ต้องดำ

อุทยานแห่งชาติธารโบกขรณี จ.กระบี่ มีสภาพพื้นที่เป็นเขาสูงชันที่ทอดตัวในแนวเหนือ-ใต้ บางส่วนมีลักษณะเป็นบ่อ หรือพื้นยุบตัวของหินเบื้องล่าง มีธารน้ำใต้ดินและเขาโดดเตี้ยของหินปูนซึ่งกระจายอยู่ทั่วไป รวมถึงพื้นที่บางส่วนเป็นหมู่เกาะในทะเลอันดามัน ประกอบด้วย เกาะเหลาบิเละ (เกาะห้อง) เกาะเหลาลาดิง และเกาะเหลาบุโล๊ะ (เกาะผักเบี้ย) เป็นต้น

จากเกาะยาวน้อยสามารถนั่งสปีดโบตไปเที่ยวเกาะในกระบี่ได้สบายอย่างที่ เกาะห้อง หรือเกาะเหลาบิเละ โดดเด่นด้วยชายหาดวงโค้งและอ่าวห้อง ซึ่งดูคล้ายสระน้ำสีเขียวมรกตขนาดใหญ่ รายล้อมด้วยหน้าผาชันโดยรอบ เหมือนห้องที่มีประตูทางเข้าเพียงทางเดียวกว้างประมาณ 10 เมตร พื้นเป็นทรายละเอียดขาวสะอาดราบเรียบเสมอกัน น้ำตื้นและใส โดยส่วนใหญ่คนจะไม่ลงเล่นน้ำ แต่จะไปเล่นที่ชายหาดอีกฝั่งของอ่าวห้องแทน

 

รวมถึงเกาะผักเบี้ย เป็นเกาะเล็กๆ อยู่ตรงข้ามของเกาะห้อง เหมาะแก่การลงเล่นน้ำดูปลาและปะการัง และเมื่อถึงเวลาน้ำลง สันทรายที่เกาะผักเบี้ยจะปรากฏเป็นแนวยาวไปจนจรดอีกเกาะหนึ่ง ซึ่งเรียกว่าเกาะผักเบี้ยเช่นกัน และเกาะเหลาลาดิง หรือเกาะพาราไดซ์ เป็นจุดท่องเที่ยวที่สวยงามและเงียบสงบเสมือนหาดส่วนตัวที่ถูกซ่อนไว้

ทั้งหมดสามารถเที่ยวได้แบบวันเดย์ทริป โดยส่วนใหญ่ที่พักบนเกาะยาวน้อยจะมีบริการให้เช่าเรือพาเที่ยวอย่างโรงแรมน้องใหม่ เคปกูดู ก็มีเรือสุดคลาสสิกพาไปเปิดประสบการณ์ พร้อมอาหารและเครื่องดื่มตามรีเควสต์

ฉะนั้น การไปทะเลหน้าฝนก็ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร เพราะแม้ว่าเกาะยาวน้อยจะมีฝนบ้างให้ชาวนาและต้นไม้ดีใจ แต่มันมาเดี๋ยวก็ไป เหมือนไล่ฟ้าหม่นให้เป็นฟ้าใหม่ ทำให้กลางวันยังสดใส ส่วนกลางคืนจะได้หลับใหลไปพร้อมเสียงฝน

การเดินทางจากสนามบินภูเก็ต ขึ้นรถแท็กซี่มาที่ท่าเรือบางโรง (20 นาที) ซื้อตั๋วโดยสารรอลงสปีดโบตหรือเรือหางยาวขนาดใหญ่ โดยสปีดโบตใช้เวลา 30 นาที และเรือหางยาวใช้เวลา 1 ชั่วโมง เมื่อถึงท่ามาเนาะบนเกาะยาวน้อย จะมีรถสองแถวของชาวบ้านมารอรับถึงท่า และไม่ว่าไปจุดไหนคิดราคาคนละ 100 บาทขาดตัว

 

เปิดโลกสัตว์ต่างถิ่นที่ ซาฟารีเวิลด์

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์โพสต์ทูเดย์

21 พฤษภาคม 2560 เวลา 07:27 น…. อ่านต่อได้ที่ : http://www.posttoday.com/travel/thailand/495814

เปิดโลกสัตว์ต่างถิ่นที่ ซาฟารีเวิลด์

โดย…กั๊ตจัง

ไทยเป็นประเทศที่มียีราฟมากที่สุดในโลก คำกล่าวนี้จะไม่เป็นจริงได้เลยหากไม่มีซาฟารีเวิลด์ เพราะยีราฟ 300 กว่าชีวิตและมีจำนวนเพิ่มขึ้นทุกปี ใช้ชีวิตอยู่รวมกันเป็นฝูงใหญ่แสนสบายโดยไม่จำเป็นต้องสอดส่องจากบรรดาสัตว์นักล่า แค่มองหาคนให้อาหารบนเชิงเทินก็พอ และแน่นอนว่าเด็กๆ ที่ได้แต่มองดูสัตว์ป่าแอฟริกาเหล่านี้ผ่านช่องสารคดีจะต้องตะลึงเมื่อได้มาเห็นของจริงที่มีขนาดสูงใหญ่อย่างใกล้ชิด

ซาฟารีเวิลด์ตั้งอยู่ริมถนนซาฟารีเวิลด์ ถนนปัญญาอินทรา การเดินทางค่อนข้างจะซับซ้อนสำหรับคนที่ไม่เคยไป แนะนำให้ขับรถเข้าสู่ถนนรามอินทรา มุ่งหน้าสู่แฟชั่นไอส์แลนด์ ก่อนถึงทางเข้าแฟชั่นไอส์แลนด์ลอดใต้สะพานมอเตอร์เวย์ บางปะอิน มองหาป้ายไปหมู่บ้านปัญญาอินทรา แยกนี้สำคัญมากครับมองป้ายทางให้ดี เลี้ยวผิดชีวิตเปลี่ยน จากจะไปเที่ยวซาฟารีเวิลด์จะได้ไปเที่ยวบางปะอิน ไม่ก็เดินเล่นที่แฟชั่นไอส์แลนด์แทน หากรอดแยกนี้มาได้วิ่งผ่านหมู่บ้านปัญญาอินทราทางตรงยาวจนใกล้จะรู้สึกว่าหลงทาง สุดถนนใหญ่อีกด้านก็จะเห็นป้ายทางเข้าซาฟารีเวิลด์พอดี

บน 430 ไร่ โดยแบ่งพื้นที่ออกเป็น 3 ส่วน คือ ซาฟารีปาร์ค เป็นสวนสัตว์เปิด มารีนปาร์ค และโซนการแสดง ในโซนซาฟารีปาร์ค หากนำรถมาแนะนำให้เข้าไปเที่ยวในโซนนี้ก่อนครับ ยิ่งได้มาตอนเช้าสัตว์ส่วนใหญ่จะยังออกหากินตอนเช้า ก็จะได้บรรยากาศที่ดีกว่าช่วงเที่ยงที่สัตว์เริ่มหลบแดดเข้านอนกลางวัน แต่ถ้าไม่ได้นำรถส่วนตัวมาให้รอรถบัสของทางสวนสัตว์มีบริการนำเข้าพื้นที่ พร้อมกับเจ้าหน้าที่ให้ความรู้ ถ้าเลือกได้ผมเลือกนั่งรถบัสของทางสวนสัตว์ดีกว่า เพราะจะได้ความรู้อื่นๆ ไปในตัว

พื้นที่แรกเป็นที่อยู่อาศัยของม้าลาย ยีราฟ และนก สภาพพื้นที่เป็นลานกว้างใหญ่ มีหนองน้ำ และต้นไม้ขึ้นโดยรอบคล้ายกับพื้นที่ในป่าแอฟริกาตามธรรมชาติ เด็กๆ จะได้เห็นยีราฟ 2 พันธุ์ คือ พันธุ์มาไซ ซึ่งจะมีลายสีเข้มๆ เห็นเด่นชัด ส่วนตัวที่มีสีอ่อนลายไม่ค่อยชัดนัก คือ พันธุ์เซาท์แอฟริกา ได้เห็น นกกระสา นกกาบบัว นกปากห่าง นกพิลิแกน นกกาน้ำ นกกระยาง และนกกางเขน เป็นต้น และ
ยังมีสัตว์อีกหลายชนิดที่อาศัยอยู่ในโซนนี้ เช่น แรดขาว ซึ่งมีเหลืออยู่น้อยแล้วในทุ่งหญ้าแอฟริกา นกกระจอกเทศที่วิ่งได้เร็วถึง 80 กม./ชม. มีม้าลายที่ทางสวนสัตว์เปิดแห่งนี้สามารถเพาะพันธุ์ผสมพันธุ์ได้เอง และอูฐหนอกเดียว เจ้าของฉายาเรือรบแห่งทะเลทราย จากความสามารถในการกักเก็บน้ำในร่างกายได้นานนับเดือน

จากนั้นขับเข้าโซนสัตว์ใหญ่ ซึ่งต้องผ่านประตูเหล็ก 2 ชั้น เหมือนกับภาพยนตร์จูราสสิกปาร์ก แต่เราจะเข้าไปดู กวาง วัวป่า กระทิง วัววาตูซี โอริกซ์วินเดอร์บีส และเป็นโซนที่ดูจะมีประชากรหนาแน่นเพราะสัตว์กีบจะมีอัตราการขยายพันธุ์สูง จากนั้นก็จะเข้าสู่โซนสิงโตและโซนเสือเบงกอล หรือเสือโคร่ง ซึ่งเป็นเสมือนเจ้าแห่งป่าดงดิบแถบเอเชีย ก็ต้องผ่านประตูเหล็กกั้นโซนอีกเหมือนเคย ไม่อย่างนั้นคงได้เห็นเสือวิ่งไล่ล่าวัวป่ากันจริงๆ หากขับรถมาเที่ยวด้านใน ไม่ว่าจะอยู่โซนไหนแนะนำว่าห้ามเปิดกระจกชะโงกหน้าออกไปนอกรถเด็ดขาด เพื่อความปลอดภัย หากรถเสียก็แค่เปิดไฟกะพริบ โทรขอความช่วยเหลือให้เจ้าหน้าที่มาลากรถ

จากนั้นรถก็จะวิ่งออกจากโซนซาฟารีมาที่ลานจอดรถหน้าทางเข้า ซาฟารีเวิลด์จุดเดิมที่เราซื้อตั๋วเข้ามาเพื่อเข้าสู่โซนมารีนปาร์ก ซึ่งมีการแสดงของสัตว์แสนรู้ที่ถูกฝึกมาให้แสดงรายการต่างๆ อย่างน่าอัศจรรย์ มีทั้งการแสดงของลิงอุรังอุตัง การแสดงของสิงโตทะเล การแสดงของโลมาและวาฬขาว การแสดงของนก การแสดงของช้างและการให้อาหารหมีขาว

ที่นี่มีจุดหนึ่งที่ไม่ค่อยมีคนเข้าไปชมนักก็คือศูนย์เพาะพันธุ์ไข่ ที่เพาะขยายพันธุ์สัตว์ปีกทุกชนิดที่มีอยู่ ที่สามารถจะเพาะฟักไข่ตั้งแต่นกแก้วฟองเล็กไปจนถึงนกกระจอกเทศ นกอีมู และนกเรียร์ เป็นจุดสำคัญจุดหนึ่งที่ทำให้ซาฟารีเวิลด์มีนกสวยๆ อาศัยอยู่เป็นจำนวนมาก

การเที่ยวที่ซาฟารีเวิลด์ให้ครบภายในวันเดียวนั้นเป็นเรื่องที่ทำได้ยาก ด้วยขนาดของพื้นที่ใหญ่และแต่ละจุดเด็กๆ ก็อยากจะใช้เวลาดูให้นานที่สุด โดยเฉพาะส่วนให้อาหารยีราฟ ลิงอุรังอุตัง และโลมา ดังนั้นควรเลือกรูปแบบการเที่ยวที่เด็กอยากดูมากที่สุด ที่เหลือปล่อยให้เป็นเรื่องระหว่างทางที่อยู่ใกล้จุดการแสดงไหนที่กำลังจะเริ่มค่อยเข้าไปชมก็ได้

อย่างโชว์สงครามจารกรรมและคาวบอยโชว์ สตันต์โชว์ เป็นการแสดงที่เต็มไปด้วยฉากแอ็กชั่นตระการตา ฉากแสงเสียงและสเปเชียลเอฟเฟ็กต์เร้าใจโดยทีมงานระดับโลก การแสดงต่างๆ นี้จะจัดเป็นรอบๆ ไล่เรียงกันไป ซึ่งนักท่องเที่ยวสามารถจะดูโปรแกรมและชมการแสดงได้ทุกชุดเกือบตลอดทั้งวัน แนะนำให้ไปเที่ยวที่นี่ตั้งแต่ 9 โมงเช้า เพื่อที่จะได้ชมการแสดงครบทุกอย่างในวันเดียว แต่สำหรับคนที่เคยไปดูมาแล้วอย่างผม 15 ปีที่แล้วเป็นอย่างไร ปัจจุบันก็ยังเป็นอย่างนั้นครับ

บางทีเราก็สงสัยเหมือนกันว่านักแสดงเหล่านี้ไม่มีความรู้สึกเบื่อบ้างหรืออย่างไรที่ต้องพูดสคริปต์ซ้ำๆ แสดงเดิมตลอดช่วง 10 ปีที่ผ่านมา แต่พอเราได้มองผู้คนรอบข้าง ซึ่งเกินครึ่งเป็นนักท่องเที่ยวต่างชาติ โดยเฉพาะชาวตะวันออกกลางและชาวจีน เราก็คิดได้ว่าเป็นเรื่องเก่าของเราแต่กับนักท่องเที่ยวเหล่านี้เขาเพิ่งดูครั้งแรก เป็นความตื่นเต้นครั้งแรก และนักแสดงทุกคนและทุกตัวต่างก็ทำหน้าที่ได้อย่างยอดเยี่ยมในการแสดงที่ดูเหมือนพวกเขาและสัตว์นักแสดงจะมีความสุขกับสิ่งที่ได้ทำ มีความสุขมากขึ้นเมื่อได้ยินเสียงปรบมือ และความสุขที่สำคัญกว่านั้นก็คือความสุขของเด็กๆ ที่จะได้เรียนรู้ธรรมชาติอย่างใกล้ชิด

 

 

ความทรงจำดีๆ เกิดขึ้นที่นี่ ‘เมซง เดอ สุโขทัย’

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์โพสต์ทูเดย์

20 พฤษภาคม 2560 เวลา 11:03 น…. อ่านต่อได้ที่ : http://www.posttoday.com/travel/thailand/495757

ความทรงจำดีๆ เกิดขึ้นที่นี่ ‘เมซง เดอ สุโขทัย’

โดย…

 เพราะความฝันอยากมีบ้านริมน้ำ ทำให้เธอหวนกลับบ้านสร้าง โรงแรมเมซง เดอ สุโขทัย และบ้านสีส้มหลังไม่ใหญ่ที่แสนอบอุ่น

ต๋อง-กองแก้ว บัวเพ็ง เจ้าของโรงแรม กล่าวว่า เธอเกิดในหมู่บ้านริมคลองฝากระดานแห่งนี้ แต่อยู่ได้แค่ 5 ปีก็ต้องย้ายไปอยู่เมืองหลวง จนกระทั่งถึงจุดหนึ่งที่ชีวิตประสบปัญหาทำให้เธอต้องเดินทางกลับบ้านและสร้างบ้านริมน้ำเป็นของตัวเอง

บ้านสีส้มที่เธออาศัยอยู่สร้างเสร็จเมื่อปี 2549 จากนั้นอีก 2 ปีต่อมาได้สร้างโรงแรมขนาด 4 ห้อง ขนาดห้องละ 16 ตร.ม.ในพื้นที่เดียวกัน ภายใต้คอนเซ็ปต์เมซงโดต์ส (Maison d’hotes) เป็นภาษาฝรั่งเศส แปลว่า โรงแรมที่เจ้าของตกแต่งเองและบริการเองทั้งหมด เพื่อให้แขกรู้สึกว่ามาพักผ่อนเหมือนได้อยู่บ้าน

“ไม่ต้องบอกแขกว่าเที่ยงตรงคุณต้องเช็กเอาต์ แขกมีไฟลต์ห้าโมงเย็นก็สามารถเปิดแอร์อยู่ในห้องได้จนถึงเวลาที่ต้องเดินทาง หรือการขับรถพาแขกไปสนามบิน หรือขับไปพาเที่ยว นั่นคือหลักในการทำงานของเรา ขอให้เรามีความสุขและให้แขกจากกันไปด้วยความรู้สึกดีๆ ให้เขารู้สึกว่าไม่ได้มาพักโรงแรมแต่มาพักที่บ้านเพื่อน แค่นั้นเราก็ดีใจ”

 นอกจากห้องพักที่เหมือนกันทั้ง 4 ห้องแล้ว โรงแรมยังมีระเบียงริมน้ำสำหรับรับประทานอาหารและนั่งชิล รวมถึงซาลงบูติก (Salon boutique) สถานที่ที่ให้แขกนั่งรับประทานอาหาร ดื่มไวน์ ดูทีวี อ่านหนังสือ เหมือนเป็นพื้นที่ส่วนกลางให้แขกมาพบปะแลกเปลี่ยนกันรวมถึงพูดคุยสบายๆ กับเจ้าของบ้าน

ส่วนอาหารเช้าที่นี่ยังมีทีเด็ดด้วยขนมปังฝรั่งเศสแบบโฮมเมด และแยมผลไม้ที่เจ้าของบ้านทำเอง และราคาห้องพักยังรวมอาหารไทยสำหรับมื้อเย็น ซึ่งรสชาติจัดจ้านเพื่อเปิดประสบการณ์ให้ชาวต่างชาติได้ลิ้มรสความเป็นไทย

สรุปได้ว่า ความรู้สึกขณะพักคือ ความสบาย ซึ่งจะแปรเปลี่ยนเป็นความสุขและความทรงจำที่ดีหลังกลับไป และกลายเป็นความรู้สึกอยากกลับมาใหม่เมื่อคิดถึงสุโขทัยอีกครั้ง เชื่อว่าทุกคนที่มาสัมผัสจะรู้สึกแบบเดียวกันนี้

 

Price: ห้องพักราคา 2,500 บ. รวมอาหารเช้าและอาหารเย็น (ราคานี้ตลอดปี)

Place: บ้านคลองแห้ง ต. เมืองบางขลัง อ. สวรรคโลก จ. สุโขทัย โทร. 085-117-9506 เว็บไซต์ www.maisondesukhothai.com

Promotion: –