ทริปพุงแตก ตะลุยกินตราด

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์โพสต์ทูเดย์

20 พฤษภาคม 2560 เวลา 10:54 น…. อ่านต่อได้ที่ : http://www.posttoday.com/travel/thailand/495754

ทริปพุงแตก ตะลุยกินตราด

โดย…

 เตรียมพุงไว้ให้พร้อมแล้วไปกินล้อมโต๊ะกับ ม.ล.ภาสันต์ สวัสดิวัตน์ กูรูลิ้นทองคำที่จะ “พาไปกินเดี๋ยวบินกลับ” แบบกะเพิ่มน้ำหนักที่ จ.ตราด

“มาตราดต้องกินอาหารทะเล” กูรูบอกเช่นนั้น โดยเฉพาะปูกับกั้งที่ห้ามพลาด อันดับแรก ม.ล.ภาสันต์ จึงจัดประเดิมด้วยร้านอาหารเก่าแก่การันตีความอร่อย ชื่อร้าน “ก๋วยเตี๋ยวปูสุขุมวิท” อยู่ในซอยสุขุมวิทใจกลางเมืองตราด ปากซอยอยู่ข้างตลาดสดเทศบาลเมืองตราด ตรงเข้าไป 200 เมตร ซอยจะแคบลง ร้านก๋วยเตี๋ยวปูสุขุมวิทจะอยู่ทางซ้ายมือ

เจ้าของร้านชื่อ ถนอมศรี ศิริเสวกุล สตรีผู้เป็นคนลงมือผัดอาหารเองทุกจาน ซึ่งขณะที่กำลังผัดนั้นกรุณาอย่าไปกวนใจคุณน้า อยากกินอะไรให้อ่านเมนูบนกระดาษใหญ่ข้างฝาแล้วจดในกระดาษส่งให้เงียบๆ

ที่นี่มีของทะเลสดๆ หลายอย่างกั้ง ปู กุ้ง และปลาหมึก โดย ม.ล.ภาสันต์ แนะนำว่าใครชอบกินเส้นให้สั่งก๋วยเตี๋ยวทะเล มีทั้งเส้นปลาทำจากเนื้อปลาและบะหมี่ เส้นใหญ่ เส้นเล็ก หมี่ขาว วุ้นเส้น

ขนมชั้นบนเตาฟืนโบราณทำให้หอมอร่อย

 ส่วนเกี๊ยวมีให้เลือก 3 ชนิด คือ เกี๋ยวปลาสีขาวที่ห้ามพลาด เกี๊ยวหมู และเกี๊ยวกุ้งห่อด้วยแป้งเกี๊ยวสีเหลือง น้ำซุปปรุงจากน้ำต้มกระดูกหมูหวานหอม ก๋วยเตี๋ยวใส่เครื่องทะเล กุ้ง กั้ง ปู ปลาหมึก ลูกชิ้นปลา และกุ้งทอดเป็นแพกรอบๆ รวมถึงเมนูเย็นตาโฟทะเล ก๋วยเตี๋ยวต้มยำ เกี๊ยว และเกาเหลาทะเล

ถนอมศรี ยังขายอาหารตามสั่งหลายเมนูอย่างผัดกะเพรา ที่จะผัดแบบแห้งๆ รสเข้มข้นจัดจ้าน เผ็ดกำลังดี มีทั้งกะเพราปู กั้ง กุ้ง ปลาหมึก และไข่ปู ทั้งยังมีเมนูผัดพริกขี้หนู ซึ่งต้องเลือกว่าจะสั่งเนื้ออะไร ที่แนะนำคือกั้งกับไข่ปูผัดพริกขี้หนู โดยในจานจะพูนไปด้วยพริก เคี้ยวพริกได้เรียกเหงื่อหอมอร่อย

เมนูข้าวผัดน้ำพริกเกลือทะเลรวม ซึ่งจะผัดกับน้ำจิ้มซีฟู๊ดที่คนตราดเรียกว่า น้ำพริกเกลือ เมนูกั้งกระเทียม จะใช้กั้งตัวเล็กๆ เนื้อหวานสด ผัดกับพริกไทยอ่อน ผัดพริกอ่อน หรือพริกหยวกก็ได้ และเมนูก๋วยเตี๋ยวผัดกั้งและปู รสจัดจ้านแบบไม่ต้องปรุง ครบทุกรสทั้งเปรี้ยวเค็มหวานและเผ็ด โดยทุกเมนูที่กล่าวมาราคา 50 บาทถ้วน

หลังจากอิ่มกั้งอิ่มปูเป็นที่เรียบร้อย ต้องไปต่อของหวานกันที่ร้าน “ขนมไทยป้าหนอม” ที่ตั้งอยู่ไม่ใกล้ไม่ไกลจากก๋วยเตี๋ยวปูสุขุมวิท

ก๋วยเตี๋ยวเย็นตาโฟทะเลรวม เน้นทะเลชิ้นโต

ม.ล.ภาสันต์ กล่าวต่อว่า เสน่ห์เรื่องอาหารการกินอีกอย่างของตราด คือ ขนมพื้นบ้านโบราณที่ยังคงเอกลักษณ์สืบทอดกันมาถึงคนรุ่นใหม่ ซึ่งหากินที่อื่นได้ยากหรือไม่ได้เลยด้วยซ้ำ ขนมที่ว่านี้คือขนมชั้นสีแดงจากครั่งและ ขนมบันดุ๊ก ที่แค่ชื่อก็รู้สึกตื่นตาตื่นใจแล้ว

ร้านขนมไทยป้าหนอมขายมานานกว่า 50 ปี โดยช่วง 10 ปีหลังนี้ได้ถูกสืบทอดมาถึงรุ่นลูกชาย นก-วุฒินัท ปรุงทำนุ สถาปนิกหนุ่มใหญ่รุ่นที่ 2 ได้สืบต่อกับภรรยา รำเพย-นันทกัญ ปรุงทำนุ โดยยังใช้วิธีการกวนขนมบนเตาฟืนแบบดั้งเดิม

ปัจจุบันทำขายอยู่ในตลาดโต้รุ่งริมถนนสุขุมวิท ซึ่งหาร้านไม่ยาก เพราะนกได้ออกแบบร้านเป็นรถลากไทยประยุกต์ เปิดออก 3 ด้านกลายเป็นแผงขนมไทย โดยแต่ละวันทั้งคู่จะทำขนมขาย 10 กว่าอย่าง และแน่นอนว่าหนึ่งในนั้น คือ ขนมชั้นสีแดงจากครั่ง

ครั่ง คือ ยางหรือขี้ผึ้งธรรมชาติ ออกสีแดงม่วง ขับออกมาจากแมลงครั่ง คนโบราณจะนำไปใช้เป็นส่วนผสมของยา และใช้ในการผลิตงานพิมพ์ งานทอ เครื่องสำอาง และเป็นตราประทับบนจดหมาย มีราคาแพงและต้องสั่งมาจากภาคเหนือ

ถนอมศรี เจ้าของร้านก๋วยเตี๋ยวปูสุขุมวิท

 ขั้นตอนกว่าจะได้สีของครั่งมาผสมในขนมชั้นนั้นต้องผ่านหลายขั้นตอน เริ่มตั้งแต่นำใบตะกิมมาต้มน้ำ (มีความเป็นกรดเล็กน้อย) แล้วนำน้ำต้มใบตะกิมมากวนกับครั่งในกะทะ และกรองเอาน้ำสีแดงสวนมาใช้ ทำเป็นชั้นๆ หนาอย่างต่ำ 22 ชั้น กวนขนมบนเตาฟืนโบราณ และใช้กะทิคั้นเองสดๆ ทุกวัน จึงทำให้ขนมชั้นร้านขนมป้าหนอมมีความหอมและนุ่มนวล

ส่วนขนมหวานที่หากินจากที่อื่นไม่ได้อย่างขนมบันดุ๊ก แท้จริงแล้วมีที่มาจากขนมของคนญวน คล้ายขนมเปียกปูนแต่มีสีขาว ทำจากแป้งข้าวเจ้าแช่น้ำปูนใสข้ามคืน และนำไปโม่ กวน จนแป้งยืด จากนั้นใส่ถาดทิ้งไว้จนเย็นเป็นอันเสร็จสิ้น ส่วนวิธีการกิน ต้องราดด้วยน้ำเชื่อมน้ำตาลทรายแดงที่เคี่ยวจนหอม โรยด้วยถั่วลิสงตำคั่วใหม่ ซึ่งคราวหลังคนตราดนิยมดัดแปลงเป็นสีเขียวจากน้ำใบเตยและราดกะทิเพิ่ม ทำให้ขนมบันดุ๊กของร้านขนมป้าหนอมมีสีเขียวและหอมกว่าใคร

นอกจากนี้ อีกหนึ่งขนมไทยหายาก คือ ขนมฟัก ทำจากฟักแก่แช่น้ำปูนใสให้กรอบ ผัดกับหอมแดงและกะทิ พักไว้ จากนั้นกวนแป้งข้าวเจ้าผสมแป้งมันเล็กน้อย ใส่ฟักผัดลงไปจนได้ขนมฟักเหนียวๆ สีน้ำตาลอมเขียว และปิดท้ายด้วยโรยถั่วลิสงคั่วใหม่ทุกวัน

รวมถึงขนมชั้นน้ำตาลอ้อย มีชั้นสีน้ำตาลรสหวานสลับกับชั้นแป้งสีขาวรสเค็ม ขนมชั้นสีอัญชัน ขนมเปียกปูนใบเตย ตะโก้เผือก ขนมหม้อแกงไข่ล้วน ข้าวเหนียมเหลืองหน้าปลาแห้ง หน้ากุ้ง กาละแม ข้าวเหนียวกวน เผือกกวน ฟักทองกวน วุ้นหน้ากะทิ วุ้นใบเตย ขนมน้ำกะทิ สนนราคาชิ้นละ 5 บาท ยกเว้นขนมหม้อแกงไข่ชิ้นละ 10 บาท

ม.ล.ภาสันต์และคูลเจขวัญโชว์เมนูกั้งที่ร้านก๋วยเตี๋ยวปูสุขุมวิท

 ทุกๆ เช้า นกและรำเพยจะเตรียมทำขนมที่บ้านริมถนนชลประทานเลียบเขื่อน เพื่อพร้อมขายที่ตลาดโต้รุ่งตอน 15.00 น. ไปจนถึงยาม 21.00 น. และหยุดทุกวันอาทิตย์ แต่หากวันอาทิตย์ไหนตรงกับวันโกนจะเลื่อนไปหยุดวันถัดไป

หากกระดุมยังไม่ปริ ขอท้าให้ไปปิดท้ายความอร่อยที่ “บ้านทิวธารา” ร้านอาหารทะเลที่ขึ้นชื่อที่สุดในตราด และใครอยากกินปูทะเลสารพัดชนิดต้องมากินที่นี่

ร้านนี้จุคนได้ถึง 300 คน แต่ถ้ามาก่อนให้รีบจองซุ้มไม้ริมน้ำ เพื่อรับลมเย็นจากป่าชายเลนฝั่งตรงข้ามเป็นที่อยู่อาศัยของเหยี่ยวแดงตามธรรมชาติ โดยทางร้านมีบริการพานั่งเรือไปชมการใหเอาหารเหยี่ยวแดงตอน 5 โมงเย็น

บ้านทิวธาราเปิดมานาน 6 ปี ทุกวันในช่วงสายๆ จะมีชาวบ้านนำปูมาขาย จากนั้นช่วงกลางวันทางร้านจะคัดปูจึงรับรองได้ว่า จะได้ชิมปูสด เนื้อแน่น ถึงขนาดรับประกันว่าถ้าเนื้อไม่แน่นให้เปลี่ยนใหม่หรือรับเงินคืนได้เลย อย่างแรกที่ห้ามพลาดคือ ปูมัน เป็นปูที่มีมันเต็มกระดองและแทรกอยู่ตามเนื้อหอมมันอร่อย โดยเจ้าของร้านบอกว่า จะเป็นปูตัวผู้และปูกระเทยตัวเล็กๆ ถึงจะมีมัน

แชะภาพในรถขายขนมไทยป้าหนอม

 “จงจำให้ขึ้นใจว่า การกินปูให้กินตัวเล็กๆ เนื้อถึงหอมหวาน” ม.ล.ภาสันต์ ฝากบอก

รวมถึงปูจานที่แกะเนื้อตรงตัวปูและเนื้อก้ามมาให้เต็มจาน ปูไข่ ที่จะเห็นไข่เยิ้มๆ ทะลักออกมาเต็มจาน ปูก้าม หมายถึงปูตัวใหญ่ก้ามโต น้ำหนัก 5 ขีดขึ้นไปจนถึงตัวใหญ่มากถึง 1 กิโลกรัม เน้นกินก้ามใหญ่ๆ ซึ่งคนตราดจะไม่นิยมมากนักเพราะเนื้อจะไม่หวานเท่าปูตัวเล็ก ปูมันปนไข่ เป็นปูที่ยังมีมันและกำลังเริ่มมีไข่เป็นวุ้นๆ และ ปูสองกระดอง หมายถึงปูที่สมบูรณ์พร้อมลอกคราบ ทำให้มีกระดองนิ่มๆ ซ้อนอยู่ด้านใน มีเนื้อเป็นก้อนแน่นพร้อมมันปู เรียกได้ว่า เหนือปูทั่วไปยังมีปูสองกระดองเสมือนเทพแห่งปูทั้งหลาย

นอกจากนี้ ร้านยังมีเมนูปูนิ่มทอดกระเทียม น้ำพริกไข่ปู ข้าวผัดปู ต้นยำปลากะพงน้ำใส หมึกไข่นึ่งมะนาว ปลากะพงต้มกระวาน กุ้งอบวุ้นเส้น ปลาดุกทะเลผัดฉ่า หอยเชลล์ผัดฉ่า ปราอินทรีทอดน้ำปลา กะหล่ำปลีผัดน้ำปลาใส่กุ้งแห้ง ข้าวผัดมันปู ที่นำมันปูในกระดองมาผัดกับข้าว ใส่น้ำจิ้มซีฟู้ดหรือน้ำพริกเกลือ (ภาษาถิ่น) พร้อมไข่ปูและพริกขี้หนูลงไป และยำสามไข่ ที่ใส่ทั้งไข่ปู ไข่ปลาเรียวเซียว และไข่แมงดา

มาตราดต้องกินอาหารทะเลและไม่จำเป็นต้องเข้าร้านใหญ่ก็มีให้ลิ้มลอง ซึ่งทริปนี้สมกับเป็นทริป อิงค์ อีต ออล อะราวด์ ที่กูรูอาหารได้พาไปกิน กิน และกินถึงเมืองตราด งานนี้ใครไม่แคร์น้ำหนักต้องไปตาม เพราะถ้าไม่ไปถือว่าไปไม่ถึง!

กั้งทอดกระเทียม

ก๋วยเตี๋ยวปูสุขุมวิท อยู่ในซอยสุขุมวิท ถนนสุขุมวิท เปิดทุกวัน เวลา 08.00-14.30 น. โทร. 039-511-972

ขนมไทยป้าหนอม อยู่ในตลาดโต้รุ่ง เปิดวันจันทร์-เสาร์ เวลา 15.00-21.00 น. โทร. 09-4235-3242

บ้านทิวธารา อยู่ที่ ต.หนองโสน มาตามถนนสาย 3148 ตราด-แหลมงอบ 6 กิโลเมตร ผ่านวัดไทรทองทางซ้ายมืออีก 400 เมตร เลี้ยวซ้ายที่สี่แยกเล็กๆ เข้าถนนปากคลองน้ำเชี่ยว จะมีป้ายบอกไปบ้านทิวธาราโฮมสเตย์ เข้ามาประมาณ 3 กิโลเมตร ก่อนจะสุดทางที่ร้านบ้านทิวธารา ริมถนนด้านขวามือเป็นที่จอดรถสำหรับลูกค้า ให้จอดรถไว้และจะมีรถรับไปส่งที่ร้านอาหาร ซึ่งอยู่ริมปากคลองน้ำเชี่ยวก่อนออกสู่ทะเล เปิดทุกวัน เวลา 10.00-20.00 น. โทร. 039-593-669

บัวลอยโฮมเมดที่บ้านขนมไทยป้าหนอม

ขนมฟักสีเขียวเข้ม ขนมบันดุ๊กสีเขียวอ่อน และขนมชั้นจากครั่งสีแดง

 

 

สัมผัสธรรมชาติใกล้กรุง เจ็ดคต-โป่งก้อนเส้า

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์โพสต์ทูเดย์

14 พฤษภาคม 2560 เวลา 07:36 น…. อ่านต่อได้ที่ : http://www.posttoday.com/travel/thailand/494739

สัมผัสธรรมชาติใกล้กรุง เจ็ดคต-โป่งก้อนเส้า

โดย…สืบสิน ภาพ ณัฐพล โลวะกิจ

เมื่อหนาวคราวที่แล้วหลายคนอาจจะไม่มีโอกาสได้ไปสัมผัสหนาวตามภูฮิตเหมือนใครเขา อย่าได้น้อยใจไปเพราะหน้าฝนที่จะถึงนี้เตรียมแพ็กกระเป๋าพร้อมเดินทางกันได้เลย คราวนี้นอกจากจะได้สัมผัสความชุ่มฉ่ำ อากาศเย็นสบายเพราะโอบล้อมด้วยป่าเขาอย่างเต็มอิ่มแล้ว ที่สำคัญจะบอกให้ว่าใกล้กรุงเทพฯ แค่นิดเดียวเอง

สถานที่ที่ผมกำลังพูดถึงนี้ก็คือ ศูนย์ศึกษาธรรมชาติและท่องเที่ยวเชิงนิเวศเจ็ดคต-โป่งก้อนเส้า จ.สระบุรี ซึ่งอยู่ห่างจากกรุงเทพฯ เพียงแค่ 130 กิโลเมตรเท่านั้น หลายคนฟังชื่อแล้วอาจจะไม่คุ้นหู แต่รู้ไหมว่าศูนย์ศึกษาธรรมชาติและท่องเที่ยวเชิงนิเวศนี้มีพื้นที่กว้างใหญ่ถึง 13,750 ไร่เลยทีเดียว จึงนำมาซึ่งสังคมป่าหลายประเภท ทั้งป่าดิบชื้น ป่าดิบแล้ง ทุ่งหญ้า ตลอดจนสวนป่าที่ปลูกขึ้นมาใหม่อีกมากมาย

ศูนย์แห่งนี้ยังอุดมสมบูรณ์ไปด้วยพันธุ์ไม้และสัตว์ป่าน้อยใหญ่นานาชนิด และที่ถือเป็นไฮไลต์ของที่นี่ก็คือมีน้ำตกให้เลือกชมกันหลายแห่งทั้งน้ำตกเจ็ดคตเหนือ น้ำตกเจ็ดคตกลาง น้ำตกเจ็ดคตใต้ น้ำตกเจ็ดคตใหญ่ น้ำตกหินดาด แล้วก็น้ำตกคลองผักหวาน แต่ละแห่งก็จะมีความงดงามไม่แพ้กัน ที่สำคัญถ้ามาช่วงหน้าฝนก็จะมีน้ำให้เล่นเยอะทีเดียว และแต่ละน้ำตกก็อยู่ไม่ไกลกันสามารถเดินถึงกันได้อย่างสบาย

และพลาดไม่ได้กับกิจกรรมสุดฮิตอย่างการปั่นจักรยาน ชมวิวธรรมชาติรอบอ่างเก็บน้ำ ใครไม่ได้เอาจักรยานมาสามารถมาเช่าได้ที่นี่ และถ้าอยากเห็นวิวสวยๆ ก็ต้องไปที่จุดชมวิวมอเครือ ที่นี่คุณจะมองเห็นวิวกว้างสุดสายตากันทีเดียว

ไฮไลต์อีกอย่างของที่นี่ก็คือจะมีพื้นที่ให้กางเต็นท์ริมบึงขนาดใหญ่เอาไว้รองรับ มีขนาดกว้างขวางเกือบ 5 ไร่ ไม่ต้องกลัวว่าเต็นท์จะไปเบียดกับเต็นท์ข้างๆ ถ้าไม่สะดวกกางเต็นท์ที่นี่เขายังมีบ้านพักเอาไว้รองรับอีกหลายหลัง

สนใจอยากจะมาเที่ยวที่ศูนย์ศึกษาธรรมชาติและท่องเที่ยวเชิงนิเวศเจ็ดคต-โป่งก้อนเส้า  สามารถติดต่อสอบถามได้ที่ ศูนย์ศึกษาธรรมชาติและท่องเที่ยวเชิงนิเวศเจ็ดคต-โป่งก้อนเส้า โทรศัพท์ 08-9237-8659, 08-5968-3520 และ 08-0019-2762 หรือเว็บไซต์ saraburi.dnp.go.th

 

 

หนีร้อนมาหา อัมพวาน่านอน

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์โพสต์ทูเดย์

13 พฤษภาคม 2560 เวลา 11:02 น…. อ่านต่อได้ที่ : http://www.posttoday.com/travel/thailand/494685

หนีร้อนมาหา อัมพวาน่านอน

โดย…นิทรา ราตรี

 ฤดูร้อนนี้ ลองเปลี่ยนจากทะเลไปซบแม่กลอง เดินทอดน่องตลาดน้ำ และนอนฝันหวานที่ อัมพวาน่านอน แอนด์ สปา โรงแรมบูติกน่ารักในบรรยากาศอบอุ่น ซึ่งล่าสุดได้เป็นเจ้าของรางวัลไทยแลนด์ บูติก อวอร์ดส ซีซั่น 4 (2559-2560) เขตเมือง ประเภทแนวคิดและวัฒนธรรม ขนาดเอ็มคอลเลกชั่น (21-50 ห้อง) ตามคอนเซ็ปต์ความเรียบง่ายและคงกลิ่นอายความเป็นพื้นบ้านไว้ในชุมชนอัมพวา

อัมพาวาน่านอน เปิดในปี 2556 โดยครอบครัวอารยอสนี ชาวอัมพวาดั้งเดิมที่ได้พัฒนาพื้นที่โกดังเก่าบริเวณทางเข้าตลาดน้ำให้เป็นโรงแรมขนาด 36 ห้อง ประกอบด้วย ห้องดีลักซ์ และสวีท 2 ห้องนอน ที่มีห้องนั่งเล่นอยู่ตรงกลาง ห้องน้ำและห้องอาบน้ำแยกจากกัน และระเบียงที่ยาวกว่า เหมาะสำหรับครอบครัวและกลุ่มเพื่อน

ส่วนสิ่งอำนวยความสะดวกในห้องพักมีครบทั้งเครื่องปรับอากาศ โทรทัศน์ มินิบาร์ ของใช้ในห้องน้ำ สัญญาณอินเทอร์เน็ต แต่ที่ต้องกล่าวถึงเป็นพิเศษคือ เตียงนอน ที่หลายคนกล่าวขวัญว่า “ดูดวิญญาณ” เพราะนอนแล้วหลับสนิทไม่อยากลุกไปไหน

 ทั้งความแข็งที่พอดีของเตียงนอน ความนุ่มหนาของผ้าห่ม และความสูงของหมอน เป็นไปตามความตั้งใจแรกของเจ้าของที่ต้องการสร้างที่พักที่น่านอนให้ผู้มาเยือนหยุดพักอัมพวา ไม่ใช่แค่มาเดินตลาดน้ำแล้วกลับ ทั้งที่อัมพวามีสิ่งให้น่ามองอีกมากมาย

โรงแรมจึงได้ร่วมมือกับชุมชนด้วยการนำเสนอกิจกรรมให้แขก เช่น นั่งเรือชาวบ้านไปไหว้พระริมน้ำ หรือตื่นเช้าไปใส่บาตรพระทางเรือ เพื่อกระจายรายได้สู่ชุมชนและสร้างประสบการณ์จริงให้ผู้มาเยือน

นอกจากนี้ ภายในโรงแรมยังมีสปา ห้องประชุมสัมมนาที่รองรับได้ 80 คน ห้องอาหาร และรูฟท็อป เสิร์ฟอาหารท้องถิ่นรสชาติดั้งเดิม อย่างเมนูปลาทูที่เชฟสามารถสร้างสรรค์ให้เป็นน้ำพริก ฉู่ฉี่ ต้มยำ และอีกสารพัด ซึ่งบรรยากาศบนรูฟท็อปนับเป็นจุดชมวิวแม่น้ำแม่กลองแห่งเดียวของ จ.สมุทรสงคราม

 สมแล้วที่อัมพวาน่านอนได้รับรางวัลประเภทแนวคิดและวัฒนธรรม และสมแล้วที่ต้องหนีร้อนมาซุกความอบอุ่นของโรงแรม

Price: ดีลักซ์ 3,500 บ. สวีท 2 ห้องนอน 5,500 บ.

Place: ถ. ประชาเศรษฐ เดินไปตลาดน้ำอัมพวา 1 นาที โทร. 034-752-111 เว็บไซต์ www.amphawananon.com

Promotion: สมาชิกบัตรเครดิตเคทีซีรับราคาพิเศษ ดีลักซ์ 1,900 บ. รวมอาหารเช้า และสวีท 2 ห้องนอน 4,000 บ. รวมอาหารเช้า 4 ท่าน เมื่อพักต่อเนื่อง 2 คืนขึ้นไปจะได้รับเซ็ตอาหารเย็น 1 มื้อ พร้อมส่วนลดอาหารและเครื่องดื่ม 10% ตั้งแต่วันนี้ – 31 ต.ค. 2560 นอกจากนี้ยังมีสิทธิ์ลุ้นรับรางวัลใหญ่ อ่านรายละเอียดที่

 

โหดจริงไม่อิงตำนาน ‘แห่นาคโหด’

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์โพสต์ทูเดย์

13 พฤษภาคม 2560 เวลา 10:49 น…. อ่านต่อได้ที่ : http://www.posttoday.com/travel/thailand/494681

โหดจริงไม่อิงตำนาน 'แห่นาคโหด'

โดย…กาญจน์ อายุ

 งานบุญที่แปลกประหลาดและโหดที่สุดในโลกคือ “แห่นาคโหด” จ.ชัยภูมิ ประเพณีที่เกิดขึ้นจากความคึกคะนองของชายฉกรรจ์ จนกลายเป็นตำนานแห่ง “บ้านโนนเสลา” ที่สืบทอดต่อกันเป็นธรรมเนียมปฏิบัติของนาครุ่นหลังจวบจนปัจจุบัน

เมื่อวันที่ 2 พ.ค.ที่ผ่านมา ประเพณีบุญเดือนหก งานแห่นาคโหด ได้เวียนกลับมาอีกครั้ง ณ วัดตาแขก (วัดใน) โดยชาวบ้านโนนเสลาและโนนทันได้ร่วมกันจัดงานอุปสมบทหมู่ให้กับคนหนุ่มหรือบุตรหลานในหมู่บ้านที่มีอายุครบ 20 ปี เพื่อให้ลูกหลานได้บวชแทนคุณบิดามารดา ซึ่งมีการเตรียมตัวมาตั้งแต่เดือนสี่

ผู้เป็นบิดาจะพาบุตรชายไปฝากไว้กับเจ้าอาวาสใน 2 วัด คือ วัดบุญถนอมพัฒนาราม (วัดนอก) และวัดตาแขก (วัดใน) เพื่อถือขัน 5 ประกอบด้วย เทียน 5 คู่ ดอกไม้ 5 คู่ ไปฝากตัวเป็นนาคปฏิบัติธรรมถือศีล 8 เรียนรู้บทสวดที่จะบวช และเรียนรู้พระธรรมวินัยเบื้องต้นก่อนถึงกำหนดวันบวชของประเพณี

กองหมอนขิดที่ชาวบ้านนำมาถวายวัด

 งานแห่นาคโหดเริ่มต้นด้วยพิธีการตัดและโกนผมนาค จากนั้นนาคทุกคนจะไปกราบศาลปู่ตา ซึ่งเป็นศาลประจำหมู่บ้านพร้อมกัน เมื่อเสร็จนาคจะกลับวัดเพื่อทำพิธีสู่ขวัญนาคอันศักดิ์สิทธิ์ หลังจากนั้นช่วงเวลาแห่นาคโหดจะเริ่มต้นขึ้น โดยใช้คนหนุ่มที่ยังไม่ได้บวชมาช่วยกันหามแคร่ไม้ไผ่ เขย่าโยนนาคอย่างรุนแรงเพื่อทดสอบความตั้งใจ

นาคต้องมีความมุ่งมั่นอดทนที่จะบวชแทนคุณบิดามารดาและต้องประคองตัวเองไม่ให้ตกลงมาจากแคร่ เป็นเช่นนี้ตลอดระยะทางที่แห่รอบหมู่บ้านกว่า 3 กม. ตลอด 3-4 ชม. และรอบโบสถ์วัดอีก 3 รอบ หากใครตกลงมาถูกพื้นดินจะถือว่าขาดคุณสมบัติ และอาจจะไม่ให้บวชก็เป็นได้

ย้อนกลับไปที่จุดเริ่มต้นของประเพณีเกิดขึ้นในปี 2514 โอด ขวัญกล้า นักเลงหัวไม้ที่เป็นที่รักของคนในหมู่บ้านเกิดนึกพิเรนทร์ ตะโกนบอกให้คนหามโยกแคร่แรงๆ จนเกิดเป็นความสนุกสนาน ซึ่งหลังจากนั้นก็ได้มีการทำตามจนกลายเป็นธรรมเนียมที่สืบทอดกันมานาน 46 ปี

ก่อนนาคจะไปรวมตัวที่วัด ต้องไปขอขมาญาติตามบ้านต่างๆ

 แห่นาคโหดนั้นนับเป็นบททดสอบของลูกผู้ชาย เพื่อทดแทนพระคุณ “แม่” ที่ต้องอดทนอดกลั้นกับความเจ็บปวดเมื่อตอนคลอดลูกออกมา และต้องอดทนกับความทรมานในการอยู่ไฟบนแคร่ไม้ไผ่ ฉะนั้นก่อนนาคจะสามารถบวชได้ ต้องอดทนกับความเจ็บปวดและครองตัวให้มั่นบนแคร่ไม้ไผ่ที่ถูกเซิ้งถูกโยนอย่างรุนแรง

แห่นาคโหด 2560

ปีนี้มีชายอายุครบ 20 ปี เข้าพิธีสู่ขวัญนาคจำนวน 16 คน โดยพิธีเริ่มตั้งแต่เช้าตรู่ของวันที่ 2 พ.ค. ผู้เฒ่าผู้แก่จะไปทำบุญใส่บาตรถวายภัตตาหารแด่พระสงฆ์ที่วัดตาแขก (วัดใน) ในขณะที่บ้านของนาคจะมีพิธีปลงผมนาค โดยญาติและเพื่อนบ้านจะนำหมอนขิดและปัจจัยใส่ซองมาร่วมทำบุญ ซึ่งฝ่ายเจ้าบ้านจะให้เนื้อหมูสดเพื่อให้นำไปประกอบอาหารเป็นสิ่งตอบแทน

เมื่อปลงผมและแต่งกายนาคเสร็จ ผู้ติดตามนาคจะกางร่มพานาคไปขอขมาญาติตามบ้านต่างๆ จนกระทั่งเวลาเที่ยงกว่า นาคทุกคนจะไปรวมตัวกันที่วัดตาแขกเพื่อไปคารวะกราบไหว้ศาลปู่ตาซึ่งเป็นศาลประจำหมู่บ้าน และกลับมาคารวะหลักเส หรือสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ของวัด

มือของนาคถือใบบัวรองรับเส้นผม

 ก่อนขึ้นไปนั่งพักบนศาลาวัดเพื่อเข้าสู่พิธีบายศรีสู่ขวัญนาค นาคทั้ง 16 คนจะนั่งล้อมพราหมณ์ผู้ทำพิธี พนมมือถือสายสิญจน์ตั้งใจฟังคำสวด โดยช่วงปลายของพิธีพ่อแม่และญาติของนาคจะช่วยกันร้องโห่และโถมตัวเข้ามาผูกข้อมือ

ไข่ต้มที่ปอกเปลือกแล้วถูกถือประคองในมือ ก่อนที่แม่ของนาคจะเด็ดเส้นผมของตนออกมาผ่าแบ่งครึ่งไข่ออกเป็น 2 ชิ้น ไข่ที่ถูกผ่าอย่างสวยงามจะถูกทำนายในแง่ดีจากพราหมณ์ผู้ทำพิธี หลังจากนั้นนาคทุกคนจะโน้มตัวลงรับน้ำมนต์จนถ้วนทั่วอันเป็นการเสร็จสิ้นพิธี

เมื่อผ่านพิธีสู่ขวัญ นาคจะห้ามเดินติดพื้นดิน แต่ต้องขึ้นหลังผู้ติดตามและอยู่ภายใต้ร่มของตนเท่านั้น ซึ่งรวมถึงตอนอยู่บนแคร่!

แม่ล้างผมนาคก่อนสวมชุดเต็มยศ

 ตั้งแต่ปี 2514 เป็นต้นมา ยังไม่มีผู้ใดตกลงมาถูกพื้นดินเลยสักราย ถึงแม้จะได้รับบาดเจ็บรุนแรงอย่างศีรษะแตกและแขนหลุดก็ตาม ศรัทธามหามงคลยังคงดำเนินต่อไปตามความเชื่อและความรู้สึกในเส้นทางศาสนา แม้จะแห่ด้วยความโหด แต่ด้วยความมุ่งมั่นตลอด 3-4 ชม. ต่อเนื่อง ความศรัทธาก็ยังไม่เสื่อมคลาย

ในวันถัดไปพิธีการอุปสมบท ผู้ที่จะบวชเป็นพระภิกษุต้องขอนิสัยจากพระอุปัชฌาย์ การจะอุปสมบทบวชเป็นพระภิกษุ บริขารต้องครบทุกอย่าง หรือที่เรียกว่าบริขาร 8 จากนั้นสามเณรจะรับบาตรจากบิดามารดาที่นำมาประเคน เดินด้วยเข่าเข้าไปหาพระอุปัชฌาย์ น้อมบาตรถวายท่าน กราบลง 3 ครั้ง และยืนขึ้นกล่าวคำอุปสมบท เมื่อเสร็จสิ้นชาวบ้านจะทำบุญถวายพระสงฆ์เป็นอันเสร็จสิ้นพิธีการ

สิ่งเหล่านี้ถือเป็น “ความแซ่บนัวของอีสาน” ที่หล่อหลอมด้วยเสน่ห์ของประเพณีวัฒธรรม อันควรค่าแก่การเรียนรู้และสืบทอด ซึ่งเป็นไปตามทิศทางการส่งเสริมตลาดในประเทศปี 2560 ของการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) ที่ต้องสร้างความเข้มแข็งจากภายในให้การท่องเที่ยวเป็นเครื่องมือทำให้คนไทยมองเห็นคุณค่าความเป็นไทย จนเกิดความรักและความภาคภูมิใจในประเทศ สร้างความรู้สึกการเป็นเจ้าของที่จะร่วมกันดูแลรักษาสิ่งแวดล้อม คงเอกลักษณ์ความเป็นไทย และเป็นเจ้าบ้านที่ดี

พ่อแม่เอื้อมมือผูกแขนนาค

 ทั้งนี้ ททท.ได้ส่งเสริมให้นักท่องเที่ยวชาวไทยเปิดมุมมองใหม่จากการสัมผัสและมีส่วนร่วมกับประสบการณ์เอกลักษณ์เฉพาะแต่ละท้องถิ่น ภายใต้จุดขายเชิงคุณค่าของแต่ละภูมิภาคอย่างภาคอีสาน คือ อีสานแซ่บนัว เพื่อก่อให้เกิดการส่งต่อประสบการณ์ ความรู้ และความประทับใจแก่ผู้อื่น

การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย สำนักงานนครราชสีมา ซึ่งดูแลพื้นที่โคราชและชัยภูมิ ได้แนะนำแหล่งท่องเที่ยวในเส้นทางงานประเพณีแห่นาคโหด ดังนี้

1.ผ้าไหมบ้านเขว้า

แหล่งทอผ้าไหมที่มีชื่อเสียงของชัยภูมิ โดยเฉพาะผ้าไหมมัดหมี่ที่มีลวดลายดั้งเดิม ณ ศูนย์ส่งเสริมผ้าไหมบ้านเขว้า เป็นที่ตั้งของนิทรรศการผ้าไหมลายต่างๆ และชมกระบวนการทำไหม ทอผ้าไหม และเลือกซื้อผลิตภัณฑ์ผ้าไหมคุณภาพจากแหล่งผลิต

ไข่ต้มจากพิธีบายศรีสู่ขวัญ

2.ไร่กาแฟ บี แอนด์ พี ชัยภูมิ 

ร้านกาแฟริมไร่กาแฟสายพันธุ์อราบิกา ที่ได้ปลูกแบบผสมผสานกับพืชชนิดอื่น เช่น ประดู่และสัก โดยนำสายพันธุ์มาจากโครงการหลวงทางภาคเหนือ ตั้งอยู่ที่ ต.เก่าย่าดี อ.แก้งคร้อ โทร. 08-1876-3366

3.วัดพระธาตุหนองสามหมื่น

สันนิษฐานว่าสร้างขึ้นราวพุทธศตวรรษที่ 21-22 ในสมัยพระไชยเชษฐาธิราชแห่งราชอาณาจักรลาว โดยพระธาตุเป็นเจดีย์ย่อมุมไม้สิบสอง ประดิษฐานพระพุทธรูปปางรำพึงและปางลีลา นับเป็นโบราณสถานที่สำคัญของชัยภูมิ

4.ผ้าขิดบ้านโนนเสลา

แหล่งผลิตผ้าขิดที่ใหญ่ที่สุดของชัยภูมิ โดยชุมชนมีการรวมกลุ่มทอผ้าแปรรูปจำหน่ายจนกลายเป็นแหล่งผลิตผ้าขิดที่สำคัญ ซึ่งสามารถซื้อหาได้ที่ร้านประยัติ โทร. 08-1073-3258

นาคทั้งสองคนกระเด้งสูงต้านแรงคนนับสิบ

5.พิพิธภัณฑ์ผ้าโบราณชัยภูมิ Komgrish

ก่อตั้งโดย คมกฤช ฤทธิ์ขจร ศิลปินแห่งชาติด้านเรขศิลป์และนักอนุรักษ์ผ้าโบราณ โดยได้รวบรวมผ้าขิดและผ้าไหมโบราณของลูกหลานเจ้าพ่อพญาแลไว้ในพิพิธภัณฑ์ สามารถเข้าชมฟรี โทร. 08-1725-5215

6.สวนน้ำโปรแหวน วอเตอร์พาร์ค 

โดยโปรแหวน-พรอนงค์ เพชรล้ำ ที่ได้เปิดสวนน้ำและสนามไดรฟ์กอล์ฟในบ้านเกิด ณ อ.เกษตรสมบูรณ์ ซึ่งเป็นสวนน้ำแห่งแรกและแห่งเดียวของจังหวัด เพื่อเติมความสุขให้เด็กในพื้นที่และจังหวัดใกล้เคียง

7.น้ำตกตาดโตน 

มีน้ำไหลตลอดปี ลักษณะเป็นลานหินกว้างสามารถเล่นน้ำได้และเข้าถึงได้ง่าย เปิดทุกวัน เวลา 08.00-18.00 น.

ความแรงของแคร่เพื่อทดสอบความตั้งใจของนาค

8.น้ำผุดทัพลาว

เป็นสวนรุกขชาติในเขตป่าสงวนแห่งชาติภูซำผักหนาม บ้านผาเบียด ลักษณะเป็นน้ำบาดาลไหลออกมาสู่ผิวดิน และบางแห่งเป็นน้ำพุแรงดันสูง

9.วัดเจดีย์

สันนิษฐานว่าสร้างสมัยกรุงสุโขทัย เป็นที่ประดิษฐานพระพุทธรูปปางมารวิชัย หรือหลวงพ่อปากแดง ศิลปะสมัยสุโขทัยตอนต้น โดยกลางเดือน มี.ค. ชาวบ้านจะมีงานบุญเดือนสี่ และนิยมเล่นสะบ้ากันในบริเวณวัด

 สอบถามการเดินทางและสถานที่ท่องเที่ยวในนครราชสีมาและชัยภูมิ โทร. 044-213-030

ญาติของนาคล้อมวงระหว่างพิธีบายศรีสู่ขวัญนาค ณ วัดตาแขก (วัดใน)

เครื่องแต่งกายเต็มยศของนาค

 

สตรีผู้เพียบพร้อมและเด่นสง่า เดอะ ระวีกัลยา แบงค็อก

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์โพสต์ทูเดย์

06 พฤษภาคม 2560 เวลา 11:08 น…. อ่านต่อได้ที่ : http://www.posttoday.com/travel/thailand/493554

สตรีผู้เพียบพร้อมและเด่นสง่า เดอะ ระวีกัลยา แบงค็อก

โดย…นิทรา ราตรี ภาพ : ภัทรชัย ปรีชาพานิช

 เรือนพักอาศัยของพระนมในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 6 ยังคงอบอุ่นและสง่างามในรูปแบบของรีสอร์ทนาม เดอะ ระวีกัลยา แบงค็อก เวลล์เนส คูซีน รีสอร์ท (The Raweekanlaya Bangkok Wellness Cuisine Resort)

ตัวอาคารได้ถูกบูรณะในช่วงระหว่างปีพุทธศักราช 2400 และได้ขยายต่อเติมหมู่เรือนมาถึงบริเวณด้านหน้าถนนกรุงเกษม ซึ่งความสวยงามถูกส่งต่อมาถึงปัจจุบันจนกลายเป็นรีสอร์ทน่าถวิลหา เพิ่มความงดงามขึ้นด้วยงานจิตรกรรมบนผนังและงานเขียนกาพย์กลอนที่มีชื่อเสียงในสมัยรัตนโกสินทร์ เพื่อสะท้อนถึงประวัติศาสตร์ของไทยและเชิดชูพระอัจฉริยภาพด้านบทกวีของรัชกาลที่ 6

แบ่งตัวอาคารออกเป็น 2 กลุ่มหลัก ได้แก่ กลุ่มอาคารด้านหน้า ประกอบด้วยห้องพัก 20 ห้องในฝั่งซิตี้วิง และกลุ่มอาคารในสวนอีก 18 ห้องในฝั่งการ์เดนวิง ซึ่งกลุ่มอาคารนี้เองที่เคยเป็นเรือนพักอาศัยของพระนมของรัชกาลที่ 6 มีลักษณะเป็นเรือนไม้ 2 ชั้น ท่ามกลางสวนอันร่มรื่นเหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการความเงียบสงบ

ห้องพักทั้ง 38 ห้องถูกออกแบบอย่างพิถีพิถัน และชื่อห้องพักได้รับแรงบันดาลใจมาจาก มัทนะพาธา บทละครโดยรัชกาลที่ 6 แบ่งเป็น ห้องมนทา มัทนีสุพีเรียร์ มัทนาดีลักซ์ มัทนาสวีท คอฟเวอร์เนสสวีท (Governess Suite – ห้องแม่นม) และเทเวศร์สวีท

 โดยทุกห้องจะมีสิ่งที่สะท้อนถึงมรดกแห่งวัฒนธรรมสยามและบรรยากาศแบบไทยดั้งเดิม รวมถึงมีโคลงกลอนที่เขียนอย่างประณีตด้วยฝีมือช่างไทย ทำให้แต่ละห้องมีความพิเศษเป็นเอกลักษณ์ของตัวเอง

นอกจากนี้ เวลล์เนส (Wellness) ยังเป็นอีกแนวคิดสำคัญ รีสอร์ทจึงให้ความสำคัญกับพื้นที่สีเขียว สวนผักออร์แกนิกที่เชฟนำมาใช้เป็นวัตถุดิบปรุงอาหาร อิมพีเรียล สปา โดยผู้เชี่ยวชาญที่ได้รับการถ่ายทอดจากสถาบันสุขภาพโพธาลัย รวมถึงอาหาร

เดอะ ระวีกัลยา ไดนิ่ง จะให้ประสบการณ์ใหม่รสชาติอาหารไทยดั้งเดิมและยุโรป เน้นวัตถุดิบจากธรรมชาติ เช่น ข้าวกล้องหอมมะลิเกษตรอินทรีย์ เกลือสมุทร และวัตถุดิบออร์แกนิกตามฤดูกาล

รีสอร์ทจึงเป็นการรวม 3 สิ่งสำคัญเข้าด้วยกัน คือ รีสอร์ท เวลล์เนส และอาหาร กลายเป็น “เดอะ ระวีกัลยา แบงค็อก เวลล์เนส คูซีน รีสอร์ท” รีสอร์ทแห่งแรกในเดอะเวลเนสคอลเลกชั่นภายใต้เครือ ทีซีซี กรุ๊ป ที่ได้สะท้อนมรดกทางวัฒนธรรมแห่งสยามได้อย่างดีเยี่ยม

Price: ห้องพักราคาเริ่มต้น 2,800 บ. (ไม่รวมอาหารเช้า)

Place: ซ. เทเวศน์ 2 ถ. กรุงเกษม กรุงเทพฯ โทร. 02-628-5999 เว็บไซต์ www.raweekanlaya.com

Promotion: จองก่อนวันเข้าพัก 15 วัน รับส่วนลดสูงสุด 35% พร้อมอาหารเช้า เครื่องดื่มต้อนรับ ชากาแฟ และไวไฟฟรี ตั้งแต่วันนี้ – 31 ธ.ค. 2560

 

เพลินกับอดีต ที่พิพิธภัณฑ์บ้านครูกัง

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์โพสต์ทูเดย์

30 เมษายน 2560 เวลา 07:35 น…. อ่านต่อได้ที่ : http://www.posttoday.com/travel/thailand/492543

เพลินกับอดีต ที่พิพิธภัณฑ์บ้านครูกัง

โดย…สมแขก

พิพิธภัณฑ์เอกชนและท้องถิ่นในไทย ปัจจุบันหากนับรวมๆ แล้วน่าจะมีไม่เกินกว่า 1,000 แห่ง มีทั้งที่เพิ่งเปิดตัวใหม่และปิดตัวไปก็ไม่น้อย เมื่อต้นปีที่แล้วมีพิพิธภัณฑ์เอกชนแห่งใหม่ใน จ.ระยอง เปิดตัวและให้คนทั่วไปได้เข้าชม ในชื่อ “พิพิธภัณฑ์บ้านครูกัง” ที่อนุรักษ์ของเก่าไว้ให้เยาวชนรุ่นหลังได้ดูและศึกษา เป็นสถานที่ท่องเที่ยวและแหล่งศึกษาแห่งใหม่ใน จ.ระยอง ที่เห็นบรรยากาศแล้วหลายคนถึงกับต้องร้องว้าว เพราะช่างคลาสสิกและน่าเดินชม เป็นสถานที่เก็บรวบรวมของเก่าจากอดีตเพื่อให้คนรุ่นใหม่ก็ได้ รุ่นเก่าก็ได้คิดถึง

“ครูกัง-บุญเกียรติ บุญช่วยเหลือ” อดีตข้าราชการครู ผู้เป็นเจ้าของใช้เวลาสะสมของเก่าตั้งแต่อายุ 22 ปี และเก็บมาเรื่อยๆ นานกว่า 40 ปี กระทั่งเกษียณอายุราชการ จึงค้นพบว่าการสร้างความสุขหลังการทำงานด้วยการเปิดบ้านให้เป็นพิพิธภัณฑ์ จึงเนรมิตตึกแถวให้เช่าเดิมบนพื้นที่เกือบ 2 ไร่ เป็นบ้านหลังใหญ่ สร้างเป็นพิพิธภัณฑ์ให้นักท่องเที่ยวได้ชม ด้วยเหตุผลที่ว่าครูไม่อยากเก็บของดีไว้ดูคนเดียว ครูกังบอกว่า ชีวิตหลังเกษียณมันเหงา เลยอยากหาอะไรทำแก้เหงา ซึ่งครูกังดูแลเองทั้งหมดตั้งแต่เปิดจนกระทั่งทำความสะอาด จะมาเดี่ยว มาคู่ มาเป็นหมู่คณะก็พร้อมรองรับ

โครงสร้างบ้านแข็งแรงด้วยไม้เก่า เปิดเพดานให้สูง ใช้ระบบการระบายอากาศด้วยพัดลมและหน้าต่างระบายอากาศ ใช้แสงธรรมชาติ ทำให้บ้านไม่ร้อนเกินไป ไม่เก็บความชื้น ของเก่าในบ้านกว่า 3,000 ชิ้น ถูกจัดเก็บอย่างเป็นระบบระเบียบด้วยการแบ่งเป็นหมวดหมู่และจัดเก็บไว้ตามแต่ละห้องแบ่งได้เป็น 20 ห้อง รวมกับห้องโถงใหญ่อีก 2 ห้อง ซึ่งทุกห้องล้วนมีเรื่องราวตื่นเต้นซ่อนอยู่มากมาย มีภาพจำเมื่อครั้งที่ครูกังยังเยาว์วัย ตามยุคสมัย ไม่ว่าจะเป็นเครื่องใช้ เครื่องครัว ยานพาหนะเล็ก-ใหญ่ จักรยาน รถมอเตอร์ไซค์ กระทั่งรถยนต์คลาสสิกก็นำมาจอดเทียบท่าให้ชม

ทุกอย่างถูกถ่ายทอดออกมาผ่านการจัดแสดงเป็นห้องต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นร้านตัดผมชาย/หญิง ร้านตัดเสื้อ ร้านทอง โรงภาพยนตร์ ร้านถ่ายภาพ ร้านชำ ร้านกาแฟ ห้องครัว ห้องเรียน ถัดมาในห้องต่างๆ มีทั้งของเล่น ของขาย ตะเกียง ธนบัตร กระปุกออมสิน เครื่องประกอบอาชีพ ฯลฯ ส่วนห้องโถงก็จัดเก็บของจิปาถะ อย่างเหรียญ ธนบัตร ตะเกียง นาฬิกา เครื่องฉายหนัง ชุดถ้วยชามเบญจรงค์อายุมากที่สุดกว่า 300 ปี ไว้ตามหมวดหมู่ รับประกันว่าเมื่อเข้าไปดูแล้วต้องยิ้มออกมาแน่นอน

ห้องจัดแสดงช่วยดึงความทรงจำครั้งที่เราเป็นเด็ก หรือนานกว่านั้น เช่น ห้องเรียน แม้จะเป็นห้องเล็กๆ แต่ในห้องจัดบรรยากาศใกล้เคียง มีสมุดลายไทยวางอยู่ มีกระดานดำที่ขีดเขียนด้วยชอล์ก มีโต๊ะคุณครูและมีปิ่นโตเถาเล็กๆ วางเรียงรายสัญลักษณ์ของโรงเรียน หรือร้านขายของชำ ที่รวมสารพันของใช้ทั้งเก่าใหม่ที่สามารถหาได้ที่นี่ ทั้งผงซักฟอก แป้งเย็น ขนม เครื่องเขียน สบู่ กระทั่งอุปกรณ์สำหรับชุดลูกเสือ ของบางชิ้นอยู่ในยุคสมัยของเรา ของบางชิ้นอยู่ในยุคสมัยของแม่ นี่เองทำให้เราเกิดรอยยิ้มและแลกเปลี่ยนความทรงจำระหว่างกันของสองคนสองยุคสมัย หรือจะอมยิ้มกับห้องกระปุกออมสิน มีห้องที่แสดงอุปกรณ์ทำนาและหาปลาที่เมื่อลมพัดจากด้านนอกจะได้ยินเสียงกรุ๊งกริ๊งตลอดเวลา

ไปเยือนแหล่งเรียนรู้ที่รวบรวมของสะสมที่พิพิธภัณฑ์บ้านครูกัง เปิดบริการทุกวันตั้งแต่เวลา 09.00-16.00 น. โดยมีค่าเข้าชม เริ่มตั้งแต่ผู้ใหญ่ 80 บาท เด็ก 30 บาท ชาวต่างชาติ 150 บาท พิพิธภัณฑ์บ้านครูกัง อยู่ติดถนนสุนทรภู่ 3161 ใกล้กับต้นเลียบ (ตลาดนัดต้นเลียบ) ถ้ามาจาก อ.แกลง ระยะทางประมาณ 10 กม. ก่อนถึงอนุสาวรีย์สุนทรภู่ 1 กม. ครูกังคอยให้การต้อนรับคุณทุกวัน สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่โทร.08-7129-9405 หรือเฟซบุ๊ก : พิพิธภัณฑ์บ้านครูกัง

 

 

ความเรียบง่ายในความหรูหรา อาเซอรัย หลวงพระบาง

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์โพสต์ทูเดย์

29 เมษายน 2560 เวลา 11:02 น…. อ่านต่อได้ที่ : http://www.posttoday.com/travel/thailand/492472

ความเรียบง่ายในความหรูหรา อาเซอรัย หลวงพระบาง

โดย…นิทรา ราตรี

เมื่อความบูติกและความหรูหรามารวมตัวกันจึงกลายเป็น อาเซอรัย โฮเต็ล หลวงพระบาง (Azerai Hotel Luang Prabang) โรงแรมสุดประณีตและเรียบง่ายใจกลางเมืองหลวงพระบาง ที่จะกลายเป็นที่พักและที่หย่อนใจของนักเดินทาง

อาเซอรัย เป็นคำที่รับอิทธิพลมาจากภาษาเปอร์เซียคำว่า คาราวานเซอราย (Caravanserai) หมายถึง สถานที่พักผ่อนที่มีพื้นที่หย่อนใจส่วนกลางสำหรับเหล่านักเดินทาง ซึ่งอาเซอรัย หลวงพระบาง คือปฐมบทของเรื่องราวและเป็นแบรนด์โรงแรมแห่งใหม่ที่เกิดขึ้น ณ สถานที่แห่งนี้เป็นครั้งแรก

โรงแรมถูกออกแบบตามแนวคิดร่วมระหว่างความเป็นมรดกทางวัฒนธรรมของหลวงพระบาง และสุนทรียศาสตร์ร่วมสมัยของอาคารสูง 2 ชั้น ที่ได้รับการสร้างขึ้นใหม่ในระยะเวลา 2 ปี ตามแบบผังภูมิอาคารเดิมของสถานที่เดิมซึ่งมีอายุกว่า 100 ปี

ประกอบด้วยห้องพัก 53 ห้อง ตั้งแต่ขนาด 30-50 ตร.ม. ที่ถูกออกแบบตกแต่งอย่างเรียบง่ายทว่าพิถีพิถัน โดยเน้นประโยชน์ใช้สอยและความสะดวกสบาย ได้แก่ ห้องอาเซอรัย มีให้เลือก 2 บรรยากาศ คือ ห้องติดสระว่ายน้ำให้ความรู้สึกชิลสบาย และห้องอีกฝั่งที่เก็บความเป็นส่วนตัวไว้ด้วยระเบียงกว้างอย่างมิดชิด

ห้องซูพีเรียร์ บนชั้น 2 เห็นวิวสระว่ายน้ำใจกลางโรงแรม ทุกห้องเปิดโล่งมีประตูบานเกล็ดแบบฝรั่งเศสเปิดเชื่อมต่อกับระเบียงที่มีเตียงอาบแดด มุมเก้าอี้อ่านหนังสือภายในห้อง เคาน์เตอร์โต๊ะทำงาน มินิบาร์พร้อมเครื่องชงชา กาแฟ และขนมกินเล่นที่เติมใหม่ทุกวัน รวมถึงอุปกรณ์เครื่องใช้ภายในห้องน้ำ 2 ชุดเพื่อความสะดวกสบายที่สุด

นอกจากนี้ โรงแรมยังให้ความสำคัญกับพื้นที่ส่วนกลาง มีทั้งสระว่ายน้ำขนาดยาว 25 เมตร ขนาบด้วยต้นไม้ใหญ่ที่คอยให้ร่มเงาแก่เตียงนอนเล่นและเตียงอาบแดด ห้องอ่านหนังสือเปิดโล่ง สปาโดยช่างนวดผู้ชำนาญการ ยิม และคลาสโยคะ

ส่วนห้องอาหารมีให้บริการที่อาเซอรัย บิสโทร ท่ามกลางบรรยากาศผ่อนคลายทั้งโซนกลางแจ้งและในร่ม เสิร์ฟอาหารลาวและอาหารฝรั่งเศส ด้วยวัตถุดิบสดใหม่ทุกวัน และบิสโทร บาร์ จุดนัดพบสุดรื่นเริงบนชั้น 2 ของห้องอาหาร ซึ่งสามารถนั่งดื่มชมเมืองหลวงพระบางยามเย็นและสีสันของตลาดกลางคืน

ยิ่งไปกว่านั้น อาเซอรัยยังให้ความสำคัญกับเมืองหลวงพระบาง โดยมีความยินดีที่จะให้บริการข้อมูลสถานที่ท่องเที่ยว อาหาร และวัฒนธรรม จากคำบอกเล่าของเจ้าหน้าที่ดูแลแขก (Concierge) ที่เป็นคนท้องถิ่น และคุณจะค้นพบว่า ไม่ว่าใครก็สามารถซึมซับและโอบกอดความลึกลับที่แฝงไปด้วยความอ่อนโยน และจิตวิญญาณของเมืองนี้ไว้ได้อย่างเต็มหัวใจ

Price: ห้องพักช่วงเปิดตัวราคาเริ่มต้นที่ 250 USD

Place: หัวมุมสี่แยกตลาดกลางคืน ใกล้วัดพูสี หลวงพระบาง สปป. ลาว เว็บไซต์ www.azerai.com

Promotion: –

 

สงกรานต์หลังสงกรานต์ ที่ ‘กาญจนบุรี’

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์โพสต์ทูเดย์

29 เมษายน 2560 เวลา 10:53 น…. อ่านต่อได้ที่ : http://www.posttoday.com/travel/thailand/492468

สงกรานต์หลังสงกรานต์ ที่ ‘กาญจนบุรี’

โดย…กาญจน์ อายุ

3 วัน 2 คืน ที่กาญจนบุรีหนนี้ ไม่เฉียดแม่น้ำแควหรือแลนด์มาร์คใดๆ สักแห่ง แต่กลับได้ความรู้และความรู้สึกใหม่เข้ามาแทน แบบใครจะเชื่อว่าเมืองกาญจน์จะมี!

อย่างข้อแรกแปลกหรือไม่? คนจังหวัดนี้เล่นน้ำสงกรานต์กันวันที่ 17 เม.ย. แทนที่จะเปียกปอนกันตั้งแต่วันที่ 13 อย่างคนอื่นเขา

หรือเชื่อหรือไม่ เมืองกาญจน์มีประเพณีแห่ปราสาทผึ้งในช่วงสงกรานต์ เพราะเห็นแต่ในอีสานเขาแห่เข้าวัดช่วงเข้าพรรษากัน และรู้หรือไม่ว่า มีชาวไทยทรงดำตั้งถิ่นฐานอยู่เป็นชุมชนใหญ่และแนบแน่น (มาก) กับประเพณีไทย เช่น งานยกธงสงกรานต์

ใยแมงมุม เครื่องประดับธงสมัยใหม่

ความแปลกจนน่าฉงนเหล่านี้ เพิ่งถูกค้นพบหลังจากการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) ได้ชักชวนไปหาคำตอบ บนเส้นทางสงกรานต์หลังสงกรานต์เมื่อสงกรานต์ที่ผ่านมา

ยกธงสงกรานต์ ความสนุกสนานแบบเบญพาด

ภาพที่ติดตาและติดใจจนถึงวันนี้คือ ธงหัก!

ประเพณียกธงสงกรานต์ เป็นประเพณีสำคัญของชาวเบญพาด ต.พังตรุ อ.พนมทวน จ.กาญจนบุรี ที่ชาวบ้านสืบต่อกันมามากกว่า 100 ปี ผู้เฒ่าผู้แก่ในหมู่ 13 บ้านเบญพาด เล่าว่า เมื่อถึงเทศกาลสงกรานต์ชาวบ้านจะร่วมกันทำธงตลอด 5 วัน คือตั้งแต่วันที่ 13 จนถึงพิธีแห่วันที่ 17 เม.ย. ของทุกปี

ชาวบ้านพรมน้ำหอมบนลำไผ่อาบขมิ้น

เริ่มจากชาวบ้านแต่ละหมู่บ้าน จะเข้าไปหาต้นไผ่ลำต้นยาวตรงและมีกิ่งก้านแตกแขนง นำมาใช้เป็น “ธง” และจะช่วยกันเย็บผ้าผืนใหญ่ที่มีความยาวพอดีกับความสูงของต้นไผ่ ประดับด้วยลูกปัดสวยงาม ทำเป็น “ผ้าธง” อันเป็นสองส่วนประกอบหลักของธงสงกรานต์

ส่วนของกิ่งก้านบริเวณปลายต้นไผ่ ชาวบ้านจะช่วยกันประดิษฐ์ของตกแต่ง เช่น ใยแมงมุม ดอกไม้ ปลาตะเพียนสาน นกสาน ตะกร้อ หรือแล้วแต่ธีมของหมู่บ้านนั้นที่ตกลงกัน

ทว่าในอดีตของตกแต่งธงจะใช้พวกเศษผ้าสี ใบลาน ใบตาล ปุยฝ้าย หรือของประดิษฐ์จากธรรมชาติ ซึ่งช่วงเวลาลงแขกทำธงนี้จะเป็นยามดีที่ลูกหลานจะกลับบ้านมาทำกิจกรรมร่วมกัน

เด็กชายเอื้อมมือแต้มดอกผึ้ง

“แต่ก่อนต้นไผ่ก็หาตามมีตามเกิด” ผู้เฒ่าท่านหนึ่งกล่าว

“แต่เพราะทุกวันนี้มีการแข่งขันยกธง ชาวบ้านแต่ละหมู่เลยต้องหาต้นไม้ที่ใหญ่และสูงเพื่อให้ธงของตัวสูงที่สุดและแข็งแรงที่สุด ตรงกลางของธงจะมีรูปพญานาค เชื่อว่าขอน้ำขอฝน ขอความอุดมสมบูรณ์ในช่วงทำนาลำต้นจะใช้ขมิ้นแห้งผสมน้ำทาเสาธงให้เป็นสีเหลืองสวยงาม และเมื่อยกธงแล้วบ้านของเราจะมีความสุข มีความอุดมสมบูรณ์

“ชาวบ้านเราทำทุกปีไม่เคยขาด เพราะถ้าขาดแล้วความรู้สึกของชาวบ้านจะไม่ดี ไม่สบายใจ เหมือนว่าจะไม่มีความสุขเหมือนเดิม”

เด็กน้อยถูกอุ้มขึ้นไปปักพุ่มผ้าป่าบนต้นผึ้ง

พอได้ฟังเหมือนกันว่าประเพณีเป็นกุศโลบายให้ชาวบ้านมีความรัก ความสามัคคี และไม่ลืมที่จะเข้าวัดในช่วงสงกรานต์ ทั้งหมด 7 ธงสงกรานต์จะถูกแห่พร้อมกันในวันที่ 17 เม.ย. โดยแต่ละหมู่บ้านจะแห่ออกจากบ้านตนแล้วไปหยุดพร้อมกันที่วัดเบญพาดราวบ่ายแก่ๆ จากนั้นพิธียกธงจะเริ่มขึ้นและเสร็จสิ้นภายในไม่เกิน 10 วินาที ซึ่งผู้ชนะของแต่ละปีจะไม่ได้รับรางวัลใดๆ นอกจากความภูมิใจไปทั้งปี

“ปู่ย่าตายายไม่ได้บอกว่าถ้าเราทำแล้วเราจะได้อะไร แต่เราก็ทำไปเพราะปู่ย่าตายายเขาทำมา” ยายน้อย ม่วงศรี ชาวไทยทรงดำวัย 75 ปีเล่า

“ยายเกิดมาก็เห็น (ประเพณียกธง) รู้ว่าพอถึงวันขึ้นปีใหม่ไทยลูกหลานต้องมารวมตัวกันทำธง เป็นแบบนี้ทุกปีไม่มีขาด และเราจะไม่ทำได้ยังไง”

ปักยอดปราสาทผึ้ง

ทั้งนี้ คุณยายน้อยไม่ได้เล่าว่าสมัยก่อนขบวนแห่เป็นอย่างไร? แต่สมัยนี้ต้องใช้คำว่า“ปล่อยผี” เพราะทั้ง 7 ขบวนจัดเต็มทั้งเสื้อผ้าหน้าผมและระบบสเตอริโอ ร้องรำทำเพลงมาตั้งแต่หน้าหมู่บ้าน ไม่ว่าเด็กหรือคนชราก็แรงไม่ตก ทั้งเต้น ทั้งเดิน ทั้งผลัดกันแบกธง บนระยะทางร่วมหลายกิโลเมตรกว่าจะไปถึงวัดมีถึง 3 ชม. แต่ทุกคนยังแฮปปี้

เมื่อถึงวัดเบญพาดแล้ว ธงทั้ง 7 เสา จะวางเป็นแนวนอนให้ชาวบ้านได้พรมน้ำหอมจากโคนธงถึงปลายเสา เพื่อความเป็นสิริมงคล จากนั้นขบวนพุ่มผ้าป่าจะนำไปตั้งไว้บนศาลาการเปรียญเพื่อทำพิธีทอดผ้าป่า

เมื่อถึงพิธีทางศาสนานี้ ความบันเทิงทุกอย่างจะหยุดชะงัก และชาวบ้านจะพร้อมกันนั่งพนมมือฟังพระสวดอย่างตั้งใจ กระทั่งพระสงฆ์ทำพิธีสวดถึงวรรคสุดท้าย ชาวบ้านไม่จำกัดจำนวนจะร่วมแรงกันยกธงขึ้นอย่างรวดเร็ว ทั้ง 7 ธง โอนเอนเปลี่ยนตำแหน่งเป็นแนวตั้งเพียงในพริบตา พร้อมเสียงโห่ร้องเชียร์ธงระงม

เบื้องหลังความสำเร็จหลังยกธง

ทว่าในปีนี้มีเรื่องไม่คาดคิด ธงเสาหนึ่งหักกลางปล้องไม่อาจตั้งตรงเหมือนธงอื่นได้ ในใจผู้ชมอย่างเราได้แต่คิดสงสารชาวบ้านที่ตั้งใจทำมา 5 วัน 5 คืน แต่ชาวเบญพาดไม่คิดเช่นกัน คนจากหมู่บ้านอื่นที่มัดธงของตนแล้วต่างกรูกันมาช่วยมัดลำไผ่ที่หักจนไม่เหลือช่องว่าง และช่วยกันยกธงอีกครั้งโดยปราศจากการแข่งขัน ลำไผ่ก้านยาวโอนเอนเหมือนจะคัดค้าน แต่ด้วยแรงสามัคคีที่ไม่อาจต้านทาน ธงที่หักได้กลายเป็นธงที่สมบูรณ์อีกครั้ง

“ชาวบ้านเราทำทุกปีไม่เคยขาด เพราะถ้าขาดแล้วความรู้สึกของชาวบ้านจะไม่ดีไม่สบายใจ เหมือนว่าจะไม่มีความสุขเหมือนเดิม”

คำพูดนี้ลอยมาเมื่อเห็นภาพมหัศจรรย์สักครู่ และรู้ทันทีว่าปู่ย่าตายายคงไม่ได้หวังให้ลูกหลานได้อะไรจากประเพณี นอกเหนือไปจากความสามัคคีเช่นนี้เอง

คนละไม้คนละมือช่วยกันยกธง

จากขี้ผึ้งถึงปราสาท ประเพณีแห่ปราสาทผึ้ง

รัชนี แห้วเพ็ชร หัวหน้าฝ่ายอำนวยการ สำนักปลัดเทศบาลตำบลหนองปรือ เล่าว่า ประเพณีแห่ปราสาทผึ้งเกิดขึ้นพร้อมกับการมาตั้งถิ่นฐานของชาวหนองปรือ ซึ่งเป็นคนลาวอพยพมาจากเวียงจันทน์ นับเป็นเวลาเกือบ 100 ปีมาแล้ว

“เดือนห้าของทุกปีหรือเดือน เม.ย. ชาวบ้านจะออกไปตีผึ้ง ไปหาน้ำผึ้ง แล้วมันจะมีขี้ผึ้งที่นำมาใช้ทำเป็นเทียนให้แสงสว่าง ซึ่งสิ่งที่ได้จากการออกไปหาน้ำผึ้งก็จะนำมาถวายพระด้วย ต่อมาชาวบ้านมีการคิดค้นว่าน่าจะทำอะไรที่มีความสวยงาม เลยทำเป็นปราสาทสร้างด้วยไม้ไผ่ บุด้วยกาบกล้วย และประดับด้วยดอกผึ้ง” รัชนี กล่าวเพิ่มเติม

ชาวบ้านจะเดินทางมาที่วัดหนองปรือ เพื่อติดดอกผึ้งบนปราสาท โดยวันที่ 16 เม.ย. จะมีการแห่ปราสาทผึ้งไปรอบหมู่บ้าน กลับมาแห่รอบโบสถ์ 3 รอบ และตั้งไว้ที่ศาลาการเปรียญ จากนั้นวันที่ 17 เม.ย. จะมีพิธีสวดฉลองปราสาทผึ้งและถวายแด่พระสงฆ์เพื่อเป็นพุทธบูชา

หญิงไทยทรงดำกำลังนำเครื่องสานประดับธง

ทั้งนี้ ประเพณีแห่ปราสาทผึ้ง บ้านหนองปรือ จะมีขึ้นช่วงหลังสงกรานต์เท่านั้น ต่างจากการแห่ปราสาทผึ้งทางภาคอีสานที่จะจัดขึ้นช่วงวันเข้าพรรษาเพื่อถวายขี้ผึ้งทำเทียนพรรษา

อย่างไรก็ตาม รากของประเพณีดังกล่าวก็มาจากคนเวียงจันทน์และทำขึ้นเพื่อถวายเป็นพุทธบูชาเช่นเดียวกัน อาจจะต่างตรงความเข้มข้นที่อีสานจะมีมากกว่า เพราะชาวหนองปรือที่กล้าเรียกตัวเองว่าเป็นลาวเวียงจันทน์นั้นหาแทบไม่มีแล้ว

ทั้งสองประเพณีสงกรานต์ที่จัดขึ้นหลังสงกรานต์นับเป็นความพิเศษของสงกรานต์ที่ผ่านมาอย่างแท้จริง เพราะ 3 วัน 2 คืนที่กาญจนบุรีหนนี้ไม่เฉียดแม่น้ำแควหรือแลนด์มาร์คใดๆ สักแห่ง แต่กลับได้ความรู้และความรู้สึกใหม่เข้ามาแทน

ซึ่งตอนนี้เชื่อแล้วว่าเมืองกาญจน์ก็มีเพราะจังหวัดนี้มีมากกว่าสะพานข้ามแม่น้ำแควหรือประวัติศาสตร์สมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 ด้วยประเพณีวัฒนธรรมเก่าแก่ที่สืบทอดกันมา และน่าบันทึกไว้ว่าปีหน้าอย่าลืมมาเยือน

ยายน้อย ม่วงศรี ผู้สืบทอดประเพณียกธงของหมู่บ้านไทยทรงดำ

ลูกปัดและดอกไม้สำหรับเป็นเครื่องประดับผ้าธง

 

รื่นเริงดนตรี เปรมปรีดิ์อาหาร ณ ย่านนางเลิ้ง

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์โพสต์ทูเดย์

23 เมษายน 2560 เวลา 07:24 น…. อ่านต่อได้ที่ : http://www.posttoday.com/travel/thailand/491436

รื่นเริงดนตรี เปรมปรีดิ์อาหาร ณ ย่านนางเลิ้ง

โดย…กาญจนา อายุวัฒน์ธนชัย

กรุงเทพฯ เล็กนิดเดียวแต่ยังเที่ยวไม่ครบ เช่น ชุมชนเล็กๆ ที่ชื่อคุ้นหูแต่ก็ไม่รู้ว่ามีอะไร อย่างชุมชน “นางเลิ้ง” ในเขตป้อมปราบศัตรูพ่าย ที่เชื่อว่าคนกรุงเทพฯ ต้องเคยได้ยินชื่อ ตลาดนางเลิ้ง แต่รู้หรือไม่ว่า นางเลิ้ง ยังคงเป็นแหล่งอนุรักษ์วัฒนธรรมรำซัดชาตรี เป็นที่ตั้งของบ้านเต้นรำแห่งยุคโก๋หลังวัง และเป็นที่สถิตร่างของพระเอกผู้ล่วงลับ มิตร ชัยบัญชา

ในตรอกเล็กๆ ที่กว้างแค่พอให้จักรยานผ่าน มีเสียงดนตรีที่ไม่คุ้นหูลอดเล็ดออกมา มันไม่ใช่เพลงลูกทุ่ง ไม่ใช่ลูกกรุง และไม่ใช่เพลงป๊อปร็อก แต่มันคือการแสดงดนตรีสดที่น่าจะมีเครื่องดีด สี ตี เป่า และเสียงร้องที่จับภาษาไม่ได้ ดนตรีนำทางให้เดินเข้าไปหาจุดกำเนิด วอลุ่มดังขึ้นๆ จนเท้าไปหยุดหน้าประตูบ้านที่ไม่ปิดประตู และทั้งหมดก็เริ่มเฉลยเมื่อคนในบ้านตะโกนตอบสายตาขี้สงสัย “ยินดีต้อนรับสู่บ้านศิลปะ”

บ้านศิลปะเป็นศูนย์การเรียนรู้ชุมชนด้านวัฒนธรรมท้องถิ่นเฉกเช่น รำซัดชาตรี ศิลปะการแสดงเก่าแก่ที่หาชมได้ยากที่ครั้งหนึ่งละครชาตรีนางเลิ้งเคยรุ่งเรืองและเป็นที่นิยมสูงสุดในประเทศไทย พี่แดง-สุวัน แววพลอยงาม เล่าว่า เมื่อรุ่นปู่ย่าตายายตายไป ลูกหลานไม่ได้สืบต่อทำให้ละครชาตรีอันเป็นศิลปวัฒนธรรมพื้นถิ่นแทบสูญหายไปจากนางเลิ้ง บ้านศิลปะจึงเป็นเพียงแหล่งรวมตัวของผู้เฒ่าผู้แก่ที่ยังคงคิดถึงวันวานของตน

รำซัดชาตรี หรือละครชาตรี คือ ละครรำดั้งเดิมของไทยที่มีมาแต่โบราณ มีต้นกำเนิดมาจากการละเล่นในพิธีกรรมทางศาสนาผีของชุมชนชาวบ้านดึกดำบรรพ์สุวรรณภูมิในอุษาคเนย์ ราว 3,000 ปีมาแล้วเป็นอย่างน้อย แต่เมื่อลิเกสร้างความทันสมัยโดนใจชาวบ้านมาแทนที่ ละครชาตรีก็ลดความนิยมลงจนใกล้จะสูญหาย จะเหลือไว้ก็เป็นเพียงการรำแก้บนเท่านั้น

จากนั้นพี่แดงให้แขกผู้มาเยือนได้รับการชมการแสดงละครชาตรี และเมื่อสิ้นสุรเสียงองก์บูชาเทวดา เวลานั้นเสมือนกับว่าอดีตที่เกือบจะหายไปได้ย้อนกลับมามีชีวิต ณ ปัจจุบัน ดังนั้นจึงขอเพียงแค่มีคนรุ่นใหม่มาต่อลมหายใจ ละครชาตรีก็คงไม่หายลับไปกับกาลเวลา

เดินต่อมาห่างกันเพียงไม่กี่ก้าว หลังบ้านศิลปะเป็นที่ตั้งของบ้านไม้อายุกว่า 90 ปี ที่ยังมีแสงและเสียงสุดโก้สมัยโก๋หลังวัง “บ้านเต้นรำ” ถูกสร้างขึ้นสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 ที่เริ่มมีความบันเทิงเข้ามาในสังคมไทย และข้าราชการไทยต้องเข้าสังคมตะวันตกด้วยการเต้นลีลาศ เจ้าของบ้านจึงเปิดเรือนเป็นโรงเรียนสอนเต้นลีลาศที่มีชื่อเสียงโด่งดังในเกาะรัตนโกสินทร์

ปัจจุบันบ้านเต้นรำถูกสืบทอดด้วยทายาทรุ่นหลาน เอ้ย-ธาริณี ตามรสุวรรณ และเธอกำลังบูรณะบ้านให้กลับมาเป็นโรงเรียนสอนเต้นลีลาศให้คนรุ่นเก่ามาย้อนวันวานและให้คนรุ่นใหม่ได้เรียนรู้

“ชุมชนนางเลิ้งในปัจจุบันจะเหลือแต่คนแก่ คนรุ่นใหม่แทบจะไม่อยู่แล้วเพราะสภาวะของครอบครัวที่ขยายมากขึ้น ดังนั้นบ้านเต้นรำจึงอยากเป็นส่วนหนึ่งที่จะสร้างบรรยากาศให้ชุมชนของเราคึกคัก หวังว่าจะเป็นตัวดึงดูดลูกหลานให้กลับมาบ้าน และเปิดเป็นอาร์ตสเปซให้คนรุ่นใหม่ที่มีความสามารถแต่ไม่มีพื้นที่จัดแสดงงานมาจัดในบ้านหลังนี้ได้” ทายาทของบ้านเต้นรำกล่าว

ถึงแม้ว่าอดีตจะไม่หวนคืนมา แต่เราสามารถสร้างอนาคตโดยเริ่มจากปัจจุบันนี้ได้ เหมือนเจตนารมณ์ของหลานเอ้ยที่จะปลุกชีวิตบ้านเต้นรำให้กลับมาน่ารักและคึกคักเหมือนเดิม

ไม่ไกลจากตรอกชาตรี เส้นทางเดินวันนี้ยังไม่สิ้นสุด ณ วัดสุนทรธรรมทาน (วัดแค นางเลิ้ง) วัดที่มีประวัติความเป็นมาตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 3 ภายในพระอุโบสถได้ประดิษฐานพระพุทธสุนทรมุนี องค์พระประธานหน้าตักกว้าง 4 ศอก มีซุ้มเรือนแก้วประดับแบบพระพุทธชินราชลงรักปิดทองประดิษฐานอยู่บนฐานชุกชีหินอ่อน ภายนอกเป็นชานกำแพงแก้วประดับมุกด้านหน้าและด้านหลังโดยรอบพระอุโบสถ

รวมทั้งยังมีวิหารหลวงพ่อบารมี พระพุทธรูปคู่บุญบารมีกับวัดสุนทรธรรมทานมานานกว่า 50 ปี มีประวัติว่าพระพุทธรูปองค์นี้ประดิษฐานอยู่ใต้ต้นโพธิ์ใหญ่ใกล้กับพระอุโบสถ ครั้งหนึ่งเกิดพายุพัดเอาต้นโพธิ์โค่นล้มลงมาตั้งแต่มิได้ทับองค์พระเป็นที่น่าอัศจรรย์ ชาวบ้านจึงพากันมากราบไหว้บูชาจนเป็นที่เลื่อมใสแก่พุทธศาสนิกชนตลอดมา

นอกจากนี้ ครั้งหนึ่งวัดสุนทรธรรมทานเคยเป็นสถานที่สวดอภิธรรมศพ มิตร ชัยบัญชา พระเอกอันดับหนึ่งของเมืองไทยที่เสียชีวิตจากอุบัติเหตุตกเฮลิคอปเตอร์ขณะถ่ายทำภาพยนตร์เรื่อง อินทรีทอง

ตามประวัติ มิตร ชัยบัญชา เคยอาศัยอยู่บริเวณตลาดนางเลิ้งกับแม่และพ่อเลี้ยงในช่วงปี 2485-2497 ซึ่งนับเป็นช่วงเวลาที่มิตรยังไม่ได้เข้าวงการภาพยนตร์ไทย เนื่องด้วยฐานะความเป็นอยู่ในช่วงนั้นไม่ค่อยดีนักจึงต้องลำบากทำงานหนักทุกอย่างมาโดยตลอด ที่นางเลิ้ง มิตรเข้ารับการศึกษาระดับมัธยมศึกษาที่โรงเรียนไทยประสาทวิทยาจนจบมัธยมศึกษาที่ 6

ช่วงเวลากว่า 15 ปี ที่มิตรอยู่ในวงการหนังไทย เขามีภาพยนตร์ที่แสดงนำถึง 350 เรื่อง จนกระทั่งประสบอุบัติเหตุเสียชีวิตเมื่อวันที่ 8 ต.ค. 2513 ภายหลังการเสียชีวิตได้นำศพของมิตรมาบำเพ็ญกุศลที่วัดแค และหลังจากพิธีพระราชทานเพลิงศพก็ได้นำอัฐิมาบรรจุที่วัดแห่งนี้ ปัจจุบันยังคงมีผู้คนมาทำบุญอุทิศส่วนกุศลให้แก่มิตรในวันครบรอบวันเสียชีวิตเป็นประจำทุกปี

การเดินทางบนเส้นทางนางเลิ้งจะขาดไม่ได้ถ้าไม่พาไปเยือน ตลาดนางเลิ้ง ตลาดบกแห่งแรกของประเทศไทย ที่ก่อตั้งมาตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 5 และเปิดขึ้นอย่างเป็นทางการเมื่อวันที่ 29 มี.ค. 2443 โดยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เสด็จเป็นองค์ประธานในพิธีเปิดเอง

ของขึ้นชื่อในตลาดนางเลิ้งต้องไม่พลาด คือ ขนมหวานที่ร้านนันทาขนมไทยและร้านสมจิตต์ เป็ดพะโล้ที่ร้าน ส.รุ่งโรจน์ ร้านข้าวแกงรัตนา สาคูไส้หมูแม่สอง และไส้กรอกปลาแนมรสเด็ดที่หารับประทานได้ยาก

นอกจากนี้ บริเวณเดียวกับตลาดนางเลิ้งยังเป็นที่ตั้งของโรงหนังศาลาเฉลิมธานี เรียกอีกชื่อหนึ่งว่า โรงหนังนางเลิ้ง มีลักษณะเป็นอาคารไม้สองชั้น เริ่มเปิดฉายภาพยนตร์ครั้งแรกเมื่อปี 2461 โดยสภาพที่นั่งเมื่อแรกเปิดกิจการจะเป็นม้ายาวที่ไม่มีการกำหนดที่นั่ง และไม่มีเจ้าหน้าที่ตรวจตั๋ว ระยะแรกเป็นหนังใบ้ไม่มีการพากย์เสียงจะใช้การเล่นแตรวงอยู่หน้าโรงหนังเพื่อเรียกร้องความสนใจคนดู และเมื่อเริ่มฉายหนังจึงย้ายเข้ามาเล่นข้างในศาลาเฉลิมธานี

ทั้งนี้ โรงหนังดำเนินกิจการเรื่อยมาจนถึงปี 2536 จึงได้ปิดกิจการลงเนื่องจากภาวะซบเซาของภาพยนตร์ไทย ซึ่งนับเป็นเวลานาน 75 ปีที่สร้างความบันเทิงให้คนกรุงเทพฯ ทว่าปัจจุบันโรงหนังใช้เป็นโกดังเก็บของ

ย่านนางเลิ้งถือเป็นย่านเก่าแก่บนเกาะรัตนโกสินทร์ที่รอคอยการชุบชีวิตและต่อลมหายใจ ดังนั้นก่อนที่อดีตจะเลือนหายไป นางเลิ้งรอคอยให้ทุกคนไปรื่นเริงดนตรีและเปรมปรีดา

 

ให้ลูกรักษ์ธรรมชาติ

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์โพสต์ทูเดย์

22 เมษายน 2560 เวลา 11:04 น…. อ่านต่อได้ที่ : http://www.posttoday.com/travel/thailand/491384

ให้ลูกรักษ์ธรรมชาติ

โดย…กั๊ตจัง

 เราอาจเสริมความรู้ได้ด้วยการเรียนในห้องเรียน การจะทำให้เราเติบโตเป็นผู้ใหญ่นั้น จะต้องออกไปรู้จักโลกกว้างหาประสบการณ์ใหม่ๆ เช่น ครอบครัวของ ดราราญ ธเนตปราโมทย์ และจักรพงษ์ การุณพิทักษ์

คุณแม่และคุณพ่อที่เลือกจะให้น้องโบอิ้ง ด.ช.ณัฐเศรษฐ การุณพิทักษ์ ได้เรียนรู้ธรรมชาติรอบตัวด้วยการออกไปเล่นสัมผัสกับของจริง

“เราคิดว่าการที่ให้ลูกสัมผัสกับธรรมชาติ ส่วนหนึ่งต้องการให้ลูกได้เรียนรู้เรื่องธรรมชาติ รู้จักต้นไม้ ภูเขา ทะเล ระหว่างเที่ยวด้วยกัน ก็จะได้สอนลูกไปในตัว ตั้งแต่คำศัพท์ภาษาอังกฤษง่ายๆ ไปจนถึงความสำคัญของธรรมชาติ ให้ลูกได้รักเรียนรู้ที่จะอยู่ร่วมกันในธรรมชาติ ดีกว่าการที่เราจะสอนให้ลูกเรียนรู้สิ่งต่างๆ ผ่านการอ่านหนังสือ หรือนั่งดูคลิปวิดีโอ ได้ใช้เวลาตรงนั้นพาลูกออกไปสัมผัสกับธรรมชาติของจริง ได้เรียนรู้กับของจริงเลยจะดีกว่า

 “การสอนเด็กถ้าเน้นวิชาการมากเกินไป เขาจะไม่ค่อยจำ แต่ถ้าเราเอาสิ่งรอบตัวมาสอน เด็กจะจำได้มากกว่า อย่างไปทะเล เราจะชี้ให้ลูกได้เห็นสิ่งต่างๆ รอบตัว ดูภูเขา ต้นไม้ สอนให้เขารู้ว่าในทะเลมีปลา มีแมงกะพรุน มีปะการัง สอนให้รู้จักและสอนภาษาเขาไปในตัว”

สถานที่ที่ครอบครัวดราราญไปเที่ยวด้วยกันบ่อยที่สุด ก็คือทะเลที่ปราณบุรี เธอบอกว่า ไปด้วยกันประมาณปีละ 2-3 ครั้ง

“เรารู้สึกว่ามาแล้วได้ครบทั้งป่า ภูเขา ทะเล น้ำ และผืนทราย น้องโบอิ้งก็จะได้สัมผัสเรียนรู้กับธรรมชาติไปด้วย เพราะเราใช้ชีวิตอยู่ในตัวเมืองมาตลอด ตื่นขึ้นมาลูกจะได้เห็นแค่ตึกอาคาร ไม่ได้สัมผัสกับธรรมชาติอย่างใกล้ชิด จริงอยู่ว่าที่บ้านอาจจะมีพื้นที่เล็กๆ บางส่วน ที่เราทำเป็นสวนปลูกต้นไม้ แต่ความรู้สึกก็จะไม่เหมือนกับการที่เราได้ไปเที่ยวทะเล ได้สัมผัสป่าเขาที่มีต้นไม้ใหญ่ของจริง

“ที่เราเลือกไปปราณบุรีเป็นประจำ ก็เพราะเป็นชายหาดที่สงบ หาดทรายสวย ที่พักแถวปราณบุรีส่วนใหญ่จะดีเหมาะกับพาครอบครัวมาเที่ยว ถ้าเทียบกับหัวหินจะค่อนข้างพลุกพล่านไปสักหน่อย เราจึงชอบมาเที่ยวที่ปราณบุรีกันมากกว่า ครั้งแรกที่พาลูกมาเที่ยวตอนนั้นเขาอายุได้แค่ 6 เดือน ยังจำความไม่ได้ แต่เรารู้ได้จากสีหน้าและแววตาของลูก ดูก็รู้ว่าเขาชอบ มีความสุขอย่างมากกับการเล่นน้ำทะเล มาครั้งแรกเท้าก็แตะพื้นทราย ได้สัมผัสกับน้ำทะเลแล้ว”

 ดราราญ เล่าอย่างมีความสุขว่า การเตรียมตัวในการเที่ยวแต่ละครั้ง ก็ไม่ได้เคร่งเครียดอะไรมาก เพราะมีประสบการณ์ในการพาลูกเที่ยวบ่อย

“จากแต่ก่อนที่เคยเตรียมของเตรียมนมไปเยอะแยะมากมาย ก็เริ่มลดลง เพราะเรารู้ว่าในแต่ละวัน เขาจะต้องใช้อะไรเท่าไหร่ กินนมเยอะแค่ไหน ที่เราต้องดูก็มีแค่สถานที่ว่าเขาไปแล้วจะเล่นอะไร และต้องเตรียมเสื้อผ้าแค่ไหน อากาศร้อนหรือหนาว ดังนั้นเรื่องการเตรียมตัวเราจะไม่กังวลสักเท่าไหร่

“การเที่ยวของครอบครัวเธอ ไม่เชิงว่าจะตั้งเป้าเสียทีเดียวว่าจะเป็นอย่างไร เพียงอยากจะให้ลูกรู้สึกจดจำ และซึมซับในสิ่งที่ดีๆ

“ให้ลูกได้รู้ว่าธรรมชาติไม่ได้มีประโยชน์กับเราแค่คนเดียว แต่ถ้าเราช่วยกันรักษาจะมีประโยชน์ต่อทุกคนในโลก และการเที่ยวด้วยกันในครอบครัว เป็นการเพิ่มความสัมพันธ์ในครอบครัวให้มากยิ่งขึ้น

“จริงอยู่ว่าเราอาจจะอยู่ด้วยกันทุกวันอยู่แล้ว นั่นเป็นเรื่องปกติ แต่การที่เราได้ไปเที่ยวนอกสถานที่จะทำให้เรามีประสบการณ์ในการทำกิจกรรมร่วมกัน มีเรื่องราวพูดถึงสิ่งอื่นๆ นอกเหนือจากชีวิตประจำวัน เป็นช่วงเวลาดีๆ ที่พ่อกับแม่จะได้ช่วยกันสอนลูก เล่นกับลูกด้วยกัน มีความผูกพันกันมากยิ่งขึ้น”