ส่องเหล่าบล็อกเกอร์ สายท่องเที่ยว กับควันหลงทริปสงกรานต์

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์โพสต์ทูเดย์

22 เมษายน 2560 เวลา 10:59 น…. อ่านต่อได้ที่ : http://www.posttoday.com/travel/thailand/491383

ส่องเหล่าบล็อกเกอร์ สายท่องเที่ยว กับควันหลงทริปสงกรานต์

โดย…รอนแรม

 สงกรานต์ที่ผ่านมา เหล่าบล็อกเกอร์สายท่องเที่ยวยังคงอวดภาพให้สาวกได้อิจฉา รู้แบบนี้คงต้องขอส่องควันหลงวันขึ้นปีใหม่ไทยให้ตาร้อนไหม้กันไปข้างหนึ่ง

บางอ้อพ่อลูกอ่อน

พื้นที่ระบายความรู้สึกนึกคิดของพ่อหนุ่ม-คงกระพัน แสงสุริยะ กับเพจ “บางอ้อพ่อลูกอ่อน” ที่ล่าสุดได้โพสต์ภาพลูกชาย น้องภัทร ในทริปเที่ยวทะเลพร้อมหน้าพร้อมตาพ่อแม่ลูก โดยได้บันทึกข้อความสั้นๆ ทว่าลึกซึ้งว่า “ความรักคือการเดินทาง”

“…เดินทางมาถึงจุดที่กลายเป็นส่วนหนึ่งของชีวิต… You are my another half… เดินทางมาถึงจุดที่มีไม่ได้มีแค่เรา… แต่มีดวงใจน้อยๆ มานอนข้างๆ… You are my sunshine… เดินทางมาแสนนาน… ถึงจุดที่ปล่อยวางและเข้าใจ… ชีวิตคู่ก็แบบนี้… ไม่มีใครสุขทุกวัน… ไม่มีใครทุกข์ตลอดไป… ทุกข์สุขก็พร้อมจะเข้าใจ… กลับมาแล้ว… เหมือนเดิมมาเติมรักใหม่… เพราะความรักเดินทางเป็นวงกลม… เป็นการเดินทางที่ไม่มีจุดจบ… ปลายทางของมันคือการเริ่มต้นใหม่เสมอ… เพราะลูกทำให้เรามีจุดหมายปลายทาง… และคล้องสองใจไว้ไม่ให้แยกจากกัน… ขอบคุณกามเทพตัวน้อย”

เรียกได้ว่าทั้งอบอุ่นและกินใจ หากใครที่อยากได้แรงบันดาลใจและความรู้สึกดีๆ แนะนำให้ติดตามเพจบางอ้อพ่อลูกอ่อนของชายผู้แสนอบอุ่นคนนี้

ลุงเด้ง ป้าไก่ กิน เที่ยว ทั่วโลก

ตาร้อนผ่าวๆ กับครอบครัวลุงเด้งป้าไก่ที่ยกครอบครัวหนีร้อนไปพึ่งเย็นถึงสหรัฐ ขณะที่ชาวไทยกำลังสาดน้ำกันโครมๆ ลุงเด้งป้าไก่ก็กำลังเที่ยวชิลอยู่ในซีแอตเทิล และขณะที่คนกรุงกำลังแห่ไปชมต้นชมพูพันธุ์ทิพย์ ทั้งคู่ก็กำลังชมดอกซากุระบนเนินเขาควีนแอนเนฮิลล์ท่ามกลางอุณหภูมิ 10 องศาเซลเซียส รวมถึงซากุระสีขาวที่เมืองพอร์ตแลนด์และเทศกาลทิวลิป (Wooden Shoe Tulip Fest) ที่เมืองวูดเบิร์น

“ช่วงนี้เป็นฤดูใบไม้ผลิดอกไม้แข่งกันบานเต็มเมือง แต่อากาศก็ยังหนาวอยู่ประมาณ 8-12 องศา เป็นอีกเมืองหนึ่งที่น่ามาเที่ยวมากๆ ลุงเด้งป้าไก่มาเที่ยวที่นี่เน้นชิลๆ สูดอากาศบริสุทธิ์เข้าปอดกันเต็มที่เลย” ลุงเด้งป้าไก่อธิบายจนเห็นภาพแบบนี้ สงสัยต้องซื้อตั๋วเครื่องบินไปตามรอย

Twin Traveller : Travel and Lifestyle

พี่น้องฝาแฝดแห่งทวิน ทราเวลเลอร์ ใหม่-ธนทัต พงษ์พิบูล และนัท-ณัฐพงษ์ พงษ์พิบูล ถือโอกาสใช้วันหยุดยาวไปเที่ยวไกลที่จอร์เจีย ประเทศที่น้อยคนนักจะรู้จัก แต่ทั้งคู่กลับการันตีว่า มันมีของดีซ่อนอยู่

“…บอกตรงๆ เลยว่าไม่รู้จักเลย รู้แต่จอร์เจียซึ่งอยู่ในสหรัฐ แต่ไม่ใช่ พอมาค้นข้อมูล มีข้อมูลเพียงน้อยนิด รู้เพียงแค่ว่าเคยเป็นขั่วอำนาจเก่าของรัสเซีย มีชายแดนติดกับตุรกี อาร์เมเนีย และรัสเซีย ธรรมชาติยังสดใหม่ หุบเขาสวยงาม นักท่องเที่ยวยังไปเที่ยวน้อยอยู่ มันน่าท้าทายดี และรูปในเน็ตมีให้ดูน้อยมาก เลยตกลงไปทริปนี้ เพราะอยากไปเห็นกับตาว่า จอร์เจียที่ว่าจะหน้าเป็นอย่างไร” เพจทวินทราเวลเลอร์โพสต์การเดินทางที่ตุรกีนาน 6 วัน

นอกจากนี้ ในทริปเดียวกันคู่ฝาแฝดยังเที่ยวที่ตุรกีอีก 15 วัน ซึ่งนับเป็นสงกรานต์ที่บ้าบิ่น แต่ทั้งคู่ก็ยังสามารถถ่ายทอดความสวยงามของสถาปัตยกรรมให้เห็นผ่านมุมมองและเลนส์

เที่ยวแบบกรู

แม่มุก-ภัทรารวีย์ เกตุธีรโรจน์ ออกเดินทางสู่ทริปตามฝันเพื่อไปสัมผัสหิมาลัยสักครั้งในชีวิต เธอจึงหนีลูกสาวและสามีไปเที่ยวเนปาลนาน 10 วัน โดยมีจุดหมายอยู่บนเส้นทางลังตัง (Langtang)

และแล้วเมื่อวันที่ 14 เม.ย.ที่ผ่านมา แม่มุกได้โพสต์ข้อความชวนดีใจว่า “พ่อลูก แม่ทำสำเร็จแล้วนะ เดินมา Langtang Vallay ความสูง 3,430 เมตร บอกเลยว่าใจสู้แต่ร่างกายก็ร่อแร่ ปวดขามาก วันนี้เดินต่ออีกไกลเป็นกำลังใจให้ด้วยนะทุกคน”

สงกรานต์ของเธอนับเป็นวันอันแสนประทับใจ และนับเป็นความสำเร็จอีกขั้นของผู้หญิงตัวเล็กที่เป็นทั้งแม่ ภรรยา และนักเดินทาง

ไปไหนไปด้วยกัน 

ปิดท้ายสงกรานต์ด้วยคำแนะนำของคู่รักนักเดินทางแห่งเพจไปไหนไปด้วยกัน กับ 10 ข้อที่น่าจะปฏิบัติในช่วงเดินทางท่องเที่ยว โดยเฉพาะการไปต่างบ้านต่างเมือง

1.ศึกษาข้อมูล กฎหมาย วัฒนธรรมของประเทศที่จะไป

2.ทิ้งกำหนดการเดินทางให้คนที่บ้านหรือเพื่อนรู้ว่าจะไปที่ไหนวันไหน

3.นำสำเนาพาสปอร์ตติดตัวไว้ทุกครั้ง

4.ติดตามข่าวสารและพยากรณ์อากาศของประเทศที่จะไป

5.จดเก็บเบอร์สถานทูตและเบอร์โทรฉุกเฉินของประเทศนั้นๆ

6.เก็บเงินแยกไว้หลายๆ ที่ หากหายไปก็จะได้ไม่หายทั้งหมด

7.ศึกษาระบบโรมมิ่งโทรศัพท์มือถือในเครือข่ายที่คุณใช้อยู่ จะได้ไม่มานั่งปวดหัวเรื่องค่าใช้จ่ายหลังจากกลับมา

8.ศึกษาประโยคภาษาง่ายๆ ของท้องถิ่นไว้บ้าง เช่น การทักทาย การขอบคุณ เราจะดูเป็นนักท่องเที่ยวที่น่ารักขึ้น

9.อย่ารับฝากของจากคนแปลกหน้า เพราะอาจเกิดปัญหาว่าสิ่งนั้นเป็นของผิดกฎหมายในภายหลัง

 10.ควรซื้อประกันภัยการเดินทางทุกครั้งก่อนออกเดินทาง

 

ผ่าพิภพ ‘สตูล’

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์โพสต์ทูเดย์

22 เมษายน 2560 เวลา 10:56 น…. อ่านต่อได้ที่ : http://www.posttoday.com/travel/thailand/491382

ผ่าพิภพ ‘สตูล’

โดย…กาญจน์ อายุ

 ไม่เคยไม่ได้อะไรกลับมา กับการเดินทางร่วมกับทีมกรมทรัพยากรธรณี อย่างครั้งนี้ที่ไปตามหาประวัติศาสตร์หลักร้อยล้านปีใน “สตูล” กับแหล่งฟอสซิลบนพื้นที่กว้างใหญ่ และถ้ำเลสเตโกดอนที่เป็นไฮไลต์ในมุมที่แปลกออกไป

ก่อนเข้าสู่เรื่องธรณีวิทยา ต้องขออัพเดทข่าวความคืบหน้าการผลักดันอุทยานธรณีสตูลให้เป็นอุทยานธรณีโลก โดยหลังจากวันที่ 8 พ.ย. 2559 ที่ประชุม ครม.เห็นชอบให้เสนออุทยานธรณีสตูลเป็นสมาชิกอุทยานธรณีโลกขององค์การสหประชาชาติ (ยูเนสโก) แล้ว วันนี้กำลังอยู่ในกระบวนการการตรวจสอบของยูเนสโก ซึ่งคาดว่าจะรู้ผลอย่างเป็นทางการภายในปี 2561 และมีแนวโน้มว่าไม่น่าจะมีเรื่องเซอร์ไพรส์ให้ผิดหวัง

เขตข้ามกาลเวลาเขาโต๊ะหงาย

 

อุทยานธรณีโลก คือ พื้นที่รวมแหล่งและสภาพภูมิประเทศที่มีความสำคัญทางธรณีวิทยาระดับนานาชาติ โดยพื้นที่เหล่านี้จะได้รับการบริหารจัดการแบบองค์รวม ได้แก่ การอนุรักษ์ การให้การศึกษา และการพัฒนาอย่างยั่งยืน ปัจจุบันทั่วโลกมีอุทยานธรณีโลกของยูเนสโก 120 แห่ง ใน 33 ประเทศ โดยในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้มีจำนวน 4 แห่ง

ทั้งนี้ อุทยานธรณีสตูลได้จัดตั้งขึ้นเมื่อวันที่ 14 ส.ค. 2557 มีเนื้อที่ทั้งหมด 2,597 ตร.กม. ครอบคลุมพื้นที่ 4 อำเภอ ได้แก่ ทุ่งหว้า มะนัง ละงู และ อ.เมือง (ในเขตอุทยานแห่งชาติตะรุเตา) มีแหล่งสำคัญทั้งหมด 69 แห่ง ประกอบด้วยแหล่งธรณี ซากดึกดำบรรพ์ แหล่งธรรมชาติ แหล่งโบราณคดี และวิถีชีวิต วัฒนธรรม ภูมิปัญญาท้องถิ่น

ล่องคายักชมภายในถ้ำเลสเตโกดอน

 

โดยมี นายกโอเล่ย์-ณรงค์ฤทธิ์ ทุ่งปรือ นายกองค์การบริหารส่วนตำบลทุ่งหว้า เป็นผู้อำนวยการอุทยานธรณีสตูลคนแรกกระทั่งปัจจุบัน ซึ่งหากอุทยานธรณีสตูลได้เป็นสมาชิกอุทยานธรณีโลกจริง จะทำให้ประเทศไทยเป็นที่รู้จักในระดับนานาชาติ และทำให้ทรัพยากรได้รับการปกป้องอย่างยั่งยืน

ถ้ำเลสเตโกดอน

ความหลากหลายในพื้นที่อุทยานธรณีสตูล แท้จริงแล้วมีสิ่งที่น่าสนใจมากมายแต่ที่ต้องกล่าวถึงเป็นแห่งแรกคงหนีไม่พ้น ‘ถ้ำเลสเตโกดอน’ หรือที่ชาวบ้านเรียกว่า ถ้ำวังกล้วย สถานที่เจอฟอสซิลช้างสเตโกดอน อายุ 1.8 ล้านปี อันเป็นที่มาของการจัดตั้งอุทธยานธรณีสตูล

ทางเดินสู่เกาะลิดี

 

ถ้ำเลสเตโกดอนนับเป็นถ้ำลอดที่ยาวที่สุดที่ยังมีซากฟอสซิลสัตว์ทะเลมหายุคพาลิโอโซอิกฝังตามหินภายในถ้ำ หินย้อย และน้ำตกที่อยู่ภายใน โดยเรื่องราวทั้งหมดเกิดขึ้นในปี 2551 ขณะที่ชาวบ้านกลุ่มหนึ่งกำลังดำน้ำจับกุ้งอยู่ในถ้ำวังกล้วย ได้พบซากดึกดำบรรพ์ (ฟอสซิล) ลักษณะเป็นหินสีน้ำตาลไหม้ น้ำหนัก 5.3 กก. ยาว 44 ซม. สูง 16 ซม. ห่างจากปากทางเข้าถ้ำด้านหมู่บ้านคีรีวงประมาณ 1.6 กม.

จากการศึกษาพบว่า ฟอสซิลดังกล่าวเป็นซากกระดูกขากรรไกรพร้อมฟันกรามซี่ที่ 2 และ 3 ด้านล่างขวาของช้างดึกดำบรรพ์สกุลสเตโกดอน อายุประมาณ 1.8 -0.01 ล้านปีในยุคไพลสโตซีน และสันนิษฐานว่า ฟอสซิลช้างโบราณอาจถูกกระแสน้ำทะเลพัดพาเข้ามาในถ้ำ ซึ่งนับเป็นการค้นพบฟอสซิลสัตว์งวงแห่งแรกของภาคใต้

แว่นขยาย อุปกรณ์ดูฟอสซิลของนักธรณีวิทยา

 

นอกจากนี้ ภายในถ้ำเลสเตโกดอนยังสำรวจค้นพบฟอสซิลช้างโบราณสกุลเอลลิฟาส อายุ 1.1 ล้านปี ฟอสซิลแรดโบราณ 2 สกุล คือ เกนดาธิเรียมและคิโลธิเรียม และฟอสซิลอื่นๆ อีกกว่า 200 ชิ้น สตูลจึงเป็นแหล่งฟอสซิลที่เก่าแก่ที่สุดในประเทศไทย มีอายุประมาณ 500 ล้านปีมากกว่ายุคไดโนเสาร์

สำหรับนักท่องเที่ยวสามารถใช้บริการเรือคายักของชาวบ้านในการล่องชมหินงอกหินย้อย ระยะทางประมาณ 2 กม. ตามสโลแกน “ตามหาหัวใจที่ปลายอุโมงค์” โดยปลายถ้ำสามารถทะลุออกทะเลอันดามัน ดังนั้นเมื่อออกจากถ้ำแล้วต้องนั่งเรือใหญ่ผ่านแนวป่าโกงเกงออกไปยังทะเลเพื่อกลับเข้าฝั่ง เส้นทางท่องเที่ยวถ้ำเลสเตโกดอนจึงทำให้เห็นความหลากหลายทางธรรมชาติและทางธรณีวิทยา ซึ่งจะทำให้เข้าใจว่าทำไมสตูลถึงควรค่าแก่การเป็นอุทยานธรณีโลก

ฟอสซิลในหินที่ฟอสซิลแลนด์

 

ฟอสซิลแลนด์

อุทยานธรณีท้องถิ่นที่กำลังจะก้าวสู่อุทยานธรณีระดับโลก ตอกย้ำความโดดเด่นด้านซากดึกดำบรรพ์ด้วยแหล่งฟอสซิลขนาดใหญ่ หรือ ฟอสซิลแลนด์ แผ่นดินยุคแรกเริ่มวิวัฒนาการของโลกเมื่อ 542-251 ล้านปีก่อนในมหายุคพาลิโอโซอิกสัตว์ทะเลและสิ่งมีชีวิต สาหร่ายดึกดำบรรพ์และภูเขาสาหร่าย ยุคก่อนที่จะมีสัตว์มีครีบเกิดขึ้นบนโลก ฟอสซิลแลนด์จึงไม่มีลักษณะเด่นที่เห็นด้วยตา แต่มันฝังอยู่ในพื้นดินแทบทุกตารางเมตร

อย่างสาหร่ายสโตมาโทไล บ้านป่าฝาง ห่างจาก อ.ละงู ประมาณ 6 กม. ลักษณะเป็นแหล่งธรณีวิทยาริมลำธารข้างถนนของบ้านป่าฝาง โดยพบชั้นหินปูนสีแดงยุคออร์โดวิเชียน (อายุประมาณ 470 ล้านปี) ที่มีซากดึกดำบรรพ์ของสาหร่ายสโตรมาโตไลท์ ลักษณะเป็นห้องขนาดเท่าๆ กันปรากฏชัดเจน และยังพบซากดึกดำบรรพ์ของปลาหมึกทะเลโบราณมีเปลือกหุ้มลำตัว หรือนอติลอยด์ (Nautiloid) 2 สายพันธุ์ และส่วนปล้องของพลับพลึงทะเลโบราณ (Crinoid stem)

น้ำตกธารปลิว

 

นอกจากนี้ ยังค้นพบสโตรมาโตไลท์ เขาแดง ในเขตพื้นที่บ้านท่าแลหลา นับเป็นแหล่งที่ค้นพบสโตมาโทไลต์ที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในสตูล โดยเขาแดงเป็นภูเขาหินปูนยุคออร์โดวิเชียน (อายุประมาณ 470 ล้านปี) พื้นที่อยู่บริเวณฝั่งตะวันตกของเขา จุดเด่นคือ ซากดึกดำบรรพ์ของสาหร่ายสโตรมาโตไลท์ในลักษณะเป็นกลุ่มก้อนขนาดใหญ่ (Colony) แทรกอยู่ในเนื้อหินปูนกว้าง 4 เมตร ยาว 15 เมตร สูง 6 เมตร

ทั้งนี้ สาหร่ายสโตรมาโตไลท์มีความสำคัญต่อการวิวัฒนาการของสิ่งมีชีวิต เพราะเป็นตัวสร้างออกซิเจนให้กับสิ่งมีชีวิตแรกเริ่มในยุคแคมเบรียน (500 ล้านปี) โดยในยุคก่อนหน้านี้ไม่มีออกซิเจนอิสระอยู่เลย การมีออกซิเจนขึ้นมาทำให้เกิดวิวัฒนาการของสิ่งมีชีวิตที่ใช้ออกซิเจนในที่สุด และมีจุดเด่นทางธรณีอีกอย่างคือ การแสดงลักษณะการสะสมตัวเป็นชั้นๆ ที่เกิดจากการเปลี่ยนแปลงสภาพแวดล้อมโดยฉับพลัน บ่งบอกสภาวะแวดล้อมโบราณซึ่งมีความน่าสนใจเป็นอย่างมาก

สาหร่ายสโตรมาโตไลท์ บ้านป่าฝาง

 

เกาะลิดี

ตั้งอยู่ในอุทยานแห่งชาติเกาะเภตราสามารถแบ่งแหล่งธรรมชาติออกเป็น 3 บริเวณ ได้แก่ บริเวณถ้ำหินปูน บริเวณหาดโคลนต้นลำพู และเกาะหว้าหิน

บริเวณเกาะลิดีเป็นพื้นที่ประกอบด้วยหินปูนสีเทาขาว และพบถ้ำขนาดเล็กมีความกว้างประมาณ 1 เมตร ยาวประมาณ 15 เมตร สูงประมาณ 3 เมตร ส่วนบริเวณหาดโคลนต้นลำพู จะพบรากต้นลำพูโผล่ขึ้นบนอากาศเป็นจุดเด่นด้านพฤกษศาสตร์ และส่วนบริเวณพื้นที่เกาะหว้าหินประกอบด้วยหินทรายตะกอนขนาดละเอียด การคัดขนาดดี สีเทาขาว มีความหนาของชั้นหินตะกอนขนาด 20-50 ซม. และมีสันทรายเชื่อมต่อระหว่างเกาะลิดีกับเกาะหว้าหิน (ทะเลแหวก) วางตัวเป็นทางเดินแนวเหนือ-ใต้ สะสมตัวเป็นความยาว 100 เมตร และบนเกาะหว้าหินยังพบซากดึกดำบรรพ์หลายชนิด เช่น แบรคิโอพอด (หอยตะเกียง) รูหนอน และฟอสซิลฟองน้ำ

การเดินทางไปเกาะลิดีต้องนั่งเรืออกจากฝั่ง อ.ละงู ไปประมาณ 5 กม. เป็นเกาะที่เงียบสงบ มีชายหาดโค้งยาว ทิวสน และป่าโกงกางขนาดใหญ่ โดยนักท่องเที่ยวสามารถเดินข้ามทะเลไปยังเกาะหว้าหินได้บนสันทรายที่จะเชื่อมถึงกันขณะที่น้ำทะเลลดเท่านั้น

ป่าโกงกางบนเกาะลิดี

 

นอกจากนี้ จากเกาะลิดีสามารถล่องเรือไปดูจุดข้ามภพที่ เขาโต๊ะหงาย ลักษณะเป็นผาหินสองสีแดงและเทา เรียกว่า ธรณีสองภพ ที่มาติดต่อกันโดยธรรมชาติซึ่งมีอายุห่างกันนับร้อยล้านปี

น้ำตกธารปลิว

นอกจากทรัพยากรธรรมชาติทางทะเล สตูลยังมีน้ำตกสวยงามหลายแห่ง หนึ่งในนั้นคือ น้ำตกธารปลิว อ.ทุ่งหว้า เป็นน้ำตกที่สวยงาม มีสายน้ำพวยพุ่งออกมาจากภูเขาต้นน้ำ ไหลลงบนแอ่งชั้นบนตกลงสู่แอ่งน้ำชั้นล่างและไหลมาบรรจบกันเป็นสายน้ำ

ด้านลักษณะธรณีวิทยา พบว่า เป็นน้ำตกที่พบในพื้นที่หินปูนยุคออร์โดวิเชียน (อายุประมาณ 470 ล้านปี) เนื้อหินมีสีเทาดำ มีหน้าผาหินปูนขนาดสูง 5 เมตร ยาว 50 เมตร และมีน้ำตกเล็กๆ สูง 1-2 เมตร กระจายอยู่ทั่วไป ซึ่งเกิดจากการพอกตัวของคราบหินปูนและตะกอนแขวนลอยที่มากับน้ำ ทำให้เกิดลักษณะเป็นแอ่งน้ำคล้ายทำนบลดหลั่นกันลงมาอย่างสวยงาม รวมถึงมีการแสดงลักษณะการกัดเซาะของน้ำตรงหน้าผาน้ำตกทำให้มีลักษณะเป็นหินย้อยสวยงาม

แสงที่ปลายอุโมงค์หรือทางออกของถ้ำเลสเตโกดอน

 

ส่วนการเดินเท้าเข้าน้ำตกไม่ยาก เพราะมีทางเดินลัดเลาะเข้าไปในป่าจนไปถึงตัวน้ำตกธารปลิว

อย่างไรก็ตาม ความหมายของคำว่า อุทยานธรณี ตามที่ยูเนสโกกำหนด หมายถึง พื้นที่หรือขอบเขตที่มีแหล่งซึ่งมีความสำคัญทางวิทยาศาสตร์อย่างน้อย 1 แหล่ง ไม่เฉพาะทางด้านธรณีวิทยา แต่ยังรวมถึงคุณค่าทางโบราณคดี นิเวศวิทยา หรือวัฒนธรรม โดยประเทศต่างๆ สามารถเสนอพื้นที่อุทยานธรณีของประเทศตนเองต่อยูเนสโก เพื่อขอจัดตั้งอุทยานธรณีและเป็นสมาชิกเครือข่ายอุทยานธรณีระดับโลกได้ โดยต้องมีคุณสมบัติตามเกณฑ์ คือ ต้องมีแหล่งธรณีวิทยาที่มีคุณค่าด้านโบราณคดี นิเวศวิทยา และวัฒนธรรม มีการบริหารจัดการและการอนุรักษ์อย่างมีบูรณาการ และมีการถ่ายทอดความรู้แก่ชุมชน

สำหรับประเทศไทยคงต้องรอลุ้นอุทยานธรณีสตูลให้เป็นอุทยานโลก หลังจากได้พัฒนาและผลักดันมาเนิ่นนาน จนถึงตอนนี้เหลือเวลาอีกไม่นานก็จะรู้กันว่า “สตูล” สามารถสร้างประวัติศาสตร์ให้วงการธรณีวิทยาในระดับโลก

สันทรายเชื่อมต่อระหว่างเกาะลิดีกับกาะหว้าหิน

 

 

 

อ่างศิลา นั้นหนามีดีกว่าที่คิด

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์โพสต์ทูเดย์

16 เมษายน 2560 เวลา 12:02 น…. อ่านต่อได้ที่ : http://www.posttoday.com/travel/thailand/490377

อ่างศิลา นั้นหนามีดีกว่าที่คิด

โดย…กั๊ตจัง ภาพ Thiti Wannamontha

ทุกครั้งที่มีแผนเที่ยวหาดบางแสน เรามีกำหนดการพิเศษก่อนถึงหาดบางแสนก็คือแวะเที่ยวอ่างศิลา แหล่งขายครกหินและอาหารทะเลสดๆ เหตุผลก็ไม่ได้มีอะไรมากครับแค่อยากจะแวะมาซื้ออาหารทะเลราคาถูกชนิดที่เห็นแล้วต้องร้องว้าวกันเลยทีเดียว แต่เมื่อลองเดินอ่างศิลาไปเรื่อยๆ หลายคำถามก็เริ่มเกิดขึ้นในใจ ทำไมถึงชื่ออ่างศิลา ไม่เป็นครกศิลา เดินไปทางไหนก็มีแต่ครกหินชั้นดีที่ต้องมีทุกครัวเรือน จึงทำให้เราต้องค้นหาคำตอบกัน และทำให้เราพบว่าอ่างศิลานั้นมีอะไรมากกว่าที่เห็น

อ่างศิลาลือชื่อเรื่องครก

ต.อ่างศิลา ชื่อเดิมที่ชาวบ้านเรียกขานกันคือ อ่างหิน เพราะเป็นแหล่งหินชั้นดีของประเทศไทย ยังคงความหมายเดิมแต่ฟังเพราะขึ้น ยังไม่มีปีที่ระบุชัดเจนถึงการเปลี่ยนชื่อแต่คาดว่าน่าจะเปลี่ยนในช่วงรัชกาลที่ 4 ซึ่งหาดบางแสนนี้เป็นสถานที่พักตากอากาศของชาวกรุงมาช้านาน มีบันทึกหลักฐานบันทึกถึงชื่อ “อ่างศิลา” อย่างเป็นทางการ ในการบันทึกการเสด็จประพาสของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงประทับแรมที่ “อ่างศิลา” ลงลายพระราชหัตถเลขา ลงวันที่ 9 ม.ค. 2419

ส่วนสาเหตุที่ชื่ออ่างศิลานั้นเพราะมี อ่างศิลา นั่นเพราะมีแผ่นดินสูงเป็นลูกเนิน มีศิลาก้อนใหญ่ๆ เป็นศิลาดาดขนาดใหญ่ น้ำฝนไม่สามารถซึมผ่านได้ และมีอยู่ด้วยกันถึง 2 แห่ง ชาวบ้านมักจะใช้เป็นแหล่งน้ำยามฤดูแล้ง เจ้าพระยาทิพากรวงศ์มหาโกษาธิบดี (ขำ บุนนาค) ขุนนางชั้นผู้ใหญ่ในสมัยรัชกาลที่ 3 ได้สั่งการให้หลวงฤทธิ์ศักดิ์ชลเขตร ปลัดเมืองชลบุรี ก่อเสริมปากบ่อโดยรอบไม่ให้น้ำสกปรกไหลกลับเข้าบ่อหินกลายเป็นอ่างเก็บน้ำขนาดใหญ่ให้กับชาวบ้านนั่นเอง ส่วนอ่างศิลาที่ว่านี้ ไม่มีปรากฏหลักฐานเด่นชัดว่าตั้งอยู่ที่ใดกันแน่ ถามชาวบ้านก็ไม่มีใครรู้ แต่เมื่อค้นประวัติหลังจากการสร้างก็พบว่าไม่ใช่เพียงเฉพาะอ่างที่สร้างขึ้นในสมัยรัชกาลที่ 3 เท่านั้น ยังมีบ่อน้ำที่ชาวบ้านขุดก่อกันขึ้นมาภายหลังอีกหลายแห่ง ด้วยพื้นที่บริเวณอ่างศิลาเต็มไปด้วยหินที่เหมาะกับการทำอ่างเก็บน้ำทำให้ไม่ทราบจุดที่ชัดเจน

ส่วนที่มาของครกหินนั้นเริ่มในช่วงสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 เมื่อมีคนไทยเชื้อสายจีนนำเอาหินในพื้นที่มาสลักเป็นเครื่องโม่แป้งสำหรับทำขนม แล้วนำหินที่เหลือมาทำเป็นครกไว้ตำเครื่องประกอบอาหารและยาต่างๆ เพื่อส่งออกขายไปทั่วประเทศ รวมถึงส่งออกไปต่างประเทศด้วย แต่ทำไปทำมาน่าจะเป็นลูกจ้างที่รู้วิชาออกมาเปิดกิจการร้านขายครกหินอ่างศิลาของตัวเอง ปัจจุบันเราถึงได้เห็นอ่างศิลาเต็มไปด้วยร้านขายครกอย่างที่เห็น

จุดเด่นของครกอ่างศิลาที่รู้แล้วอยากจะซื้อกลับบ้านในทันทีก็คือ หินมีความแข็งแกร่งสูง ตำแล้วไม่เป็นทรายและมีสีขาวนวลหรือเหลืองอ่อน หรือช่างแกะสลักหินเรียก สีมันปู เมื่อยกขึ้นเข้าหาแสงแดดจะมีประกายเพชรเปล่งออกมา เป็นลักษณะพิเศษของอ่างศิลาของแท้และต้องมี 2 หู ผมนี่ฟังแล้วรีบหยิบครกหินที่บ้านมาส่องแดดดูว่ามีประกายเพชรเปล่งออกมาไหม

แต่ข่าวร้ายที่ทราบกันมานานแล้วก็คือหินในพื้นที่อ่างศิลานั้นได้หมดไปเมื่อประมาณปี 2558-2559 ว่ากันว่าชุดครกหินรุ่นสุดท้ายที่ทำจากหินอ่างศิลาแท้ๆ ความกว้าง 11 นิ้ว แกะสลักด้วยมือไม่ใช้เครื่องเจียร นั้นขายได้ลูกละ 2.5 หมื่นบาทกันเลยทีเดียว

ล่าสุดที่เราเดินสำรวจมาก็ยังขายกันอยู่เหมือนเดิมครับ รูปลักษณ์มีทั้งแบบดั้งเดิมคลาสสิกและแบบโมเดิรน์ ทรงเหลี่ยมลูกเต๋าและทรงกลมกระบอก เหมาะสำหรับบ้านยุคใหม่ ส่วนหินนั้นมีการนำหินแกรนิตจากที่พื้นที่อื่นมาทำ เท่าที่สังเกตก็ไม่พบความแตกต่างของเนื้อหินมากนัก เจ้าของร้านต่างๆ บอกเป็นเสียงเดียวกันว่าคุณภาพใกล้เคียงหรือเทียบเท่าหินในพื้นที่แต่ราคาจะสูงขึ้นเพราะต้องบวกค่าขนส่งเข้าไปด้วย

จากตลาดขายครกหินไปที่สะพานปลาอ่างศิลา เวลาที่คุณตั้งพิกัดแผนที่ในแอพนำทางให้ใช้คำว่า “สะพานปลาอ่างศิลา” ถ้าใช้คำว่า “ตลาดอ่างศิลา” แผนที่จะนำทางเราไปตลาด 100 ปีอ่างศิลา ซึ่งเป็นคนละสถานที่แต่อยู่ใกล้ๆ กัน เป็นตลาดร้อยปีที่ดูใหม่มาก เรายังไม่ได้มีโอกาสแวะเดินเที่ยวเพราะหาที่จอดรถได้ยาก ครั้นจะให้จอดรถที่สะพานปลาแล้วเดินย้อนมา 2 กิโลเมตรก็คงไม่ไหว

เลือกอาหารทะลสดๆ ที่สะพานปลา

สะพานปลาอ่างศิลา เป็นท่าเทียบเรือประมง จำหน่ายสินค้าอาหารทะเลสดและแห้งได้รับความนิยมจากพ่อค้าแม่ค้าและนักท่องเที่ยวสะพานปลาอ่างศิลานั้น เริ่มมาจากในสมัยรัชกาลที่ 4 มีความต้องการท่าเทียบเรือเพื่อขนถ่ายสินค้าจากสำเภาจากประเทศจีน สะพานเทียบเรือนี้จึงสร้างขึ้นและเรียกว่า “สะพานหิน” แม้จะชื่อว่าสะพานหินแต่ก็ไม่ได้ทำมาจากหิน แต่ทำให้ยื่นยาวออกไปจากทะเลมากเป็นพิเศษเพื่อให้พ้นเขตหินใต้น้ำที่มีอยู่มากในบริเวณนั้น

ส่วนเรือชาวประมงของชาวบ้านก็อาศัยเทียบหาดหรือท่าเรือเล็กๆ ในบริเวณนั้น จนกระทั่ง ปี 2499 ได้เปลี่ยนเป็นสะพานปลาอ่างศิลา เพื่อขนถ่ายสินค้าอาหารทะเล สินค้าที่นี่จึงมีความสดยกขึ้นจากเรือมาเห็นๆ แถมราคาถูกกว่าซื้อในตลาดสดในกรุงเทพฯ อยู่ประมาณกิโลกรัมละ 50-100 บาท เช่นเราซื้อปูเนื้อที่ตลาดยิ่งเจริญที่ว่าถูกที่สุดแล้วประมาณกิโลกรัมละ 450 บาท ที่ตลาดสะพานปลาจะอยู่ที่กิโลกรัมละ 350-370 บาท ส่วนความสดไม่ต้องพูดถึงยังมีชีวิตกันอยู่ทุกตัวรับประกันความสดแน่ๆ

มาแต่ละครั้งหมดเงินไม่ต่ำกว่า 1,000 บาท กับค่ากุ้ง หอย ปู ปลา ไม่ต้องถามเทียบกับการไปรับประทานอาหารทะเลที่ภัตตาคารหรือร้านอาหารริมทะเล เพราะถูกกว่ากัน 3 เท่าแน่ๆ แถมได้ของสดและครบกว่า ที่ชอบอยู่อย่างหนึ่งในตลาดนี้ก็คือ การเขียนป้ายของชื่อสินค้าและราคาที่ชัดเจน มือใหม่ที่ไม่สันทัดเรื่องชื่อวัตถุดิบแค่มีใบสั่งจาก ผบ.ทบ. (ผู้บัญชาการที่บ้าน) แล้วยื่นให้พ่อค้าทุกอย่างก็จบ

มีร้านรับปิ้ง ย่าง นึ่ง ขายน้ำจิ้มซีฟู๊ดเสร็จสรรพ ใช้เวลาประมาณ 15-30 นาทีรอรับสินค้า ใส่ถุงไปนั่งกินชิลๆ ที่หาดบางแสนต่อได้เลย แนะนำว่าหากเป็นไปได้ถ้ามาซื้อของช่วงประมาณ ตี 4 ถึง 6 โมงเช้า จะเป็นช่วงเวลาที่ของลงใหม่ๆ เป็นช่วงเวลาของพ่อค้าแม่ค้ามาเลือกซื้อไปขายตามตลาดสด คุณจะได้อีกราคาที่ถูกกว่า หลัง 6 โมงเช้าไปจะเป็นราคาของลูกค้าทั่วไปที่เดินทางเข้ามาซื้อก่อนไปเที่ยวหาดบางแสนและพัทยา แต่ก็ยังถูกกว่าซื้อตามตลาดสดอยู่ดี แต่ถ้าให้ดีควรมาไม่เกิน 10 โมงเช้า จะยังพอมีตัวเลือกดีๆ เหลืออยู่

สถานตากอากาศแห่งแรกของประเทศไทย 

อ่างศิลานี้ค่อนข้างจะมีประวัติความเป็นมาในช่วงรัชกาลที่ 3-5 อยู่พอสมควร เพราะตามประวัติแล้วอ่างศิลาเป็นสถานตากอากาศริมทะเลแห่งแรกของกรุงรัตนโกสินทร์ มีการบันทึกการสร้างพลับพลาที่อ่างศิลา ในสมัยรัชกาลที่ 4 ทรงมีพระราชดำริว่า ที่ชายทะเล ต.อ่างศิลา เป็นที่อากาศดี จึงโปรดให้สร้างพลับพลาเป็นที่ประพาส 2 แห่ง ที่สวนอ่างศิลา และเขาสามมุก

กระทั่งในสมัยรัชกาลที่ 5 ได้เสด็จไปประพาสอ่างศิลาอีกหลายครั้ง สมเด็จพระศรีพัชรินทราบรมราชินีนาถ ซึ่งทรงสำเร็จราชการแผ่นดินในระหว่างพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเสด็จประพาสยุโรป ได้บูรณปฏิสังขรณ์ใหม่ เพราะเป็นพลับพลาที่พระองค์ท่านเสด็จไปบ่อยครั้ง แล้วพระราชทานนามตึกหลังใหญ่ว่า “ตึกมหาราช” ตึกหลังเล็กว่า “ตึกราชินี” ปัจจุบันตั้งอยู่ตรงข้ามตลาด 100 ปีอ่างศิลา ไว้โอกาสหน้าเราจะมาเล่าความถึงสถานตากอากาศแห่งแรกในประเทศไทยอย่างละเอียดอีกครั้ง

แต่ที่แน่ๆ อ่างศิลาที่เคยเป็นแค่ทางผ่านไปพัทยากับบางแสนนั้นเป็นสถานที่สำคัญทางประวัติศาสตร์และมีดีกว่าที่เราคาดคิดอย่างมาก หากมีโอกาสอย่าลืมมาแวะเที่ยวชมกันครับ รับรองว่าคุ้มไม่รู้สึกเสียเที่ยวอย่างแน่นอน

 

ปรากฏการณ์ระหว่างพัก ณ ทีซิกซ์ไฟว์ ฟีโนมินัล พัทยา

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์โพสต์ทูเดย์

15 เมษายน 2560 เวลา 11:21 น….. อ่านต่อได้ที่ : http://www.posttoday.com/travel/thailand/490241

ปรากฏการณ์ระหว่างพัก ณ ทีซิกซ์ไฟว์ ฟีโนมินัล พัทยา

โดย…นิทรา ราตรี

 แนวคิดในการออกแบบที่ได้รับแรงบันดาลใจมาจากองค์ประกอบของ “เวลา” เป็นเอกลักษณ์ที่ชัดเจนของโรงแรม ทีซิกซ์ไฟว์ ฟีโนมินัล พัทยา (TSIX5, Phenomenal) ทั้งรูปแบบของเวลา และการเฉลิมฉลองในแต่ละช่วงเวลาที่นำเสนอผ่านสีและการตกแต่งของห้องพักเสมือนเป็นตัวแทนของช่วงเวลาพิเศษใน 365 วัน

คาแรกเตอร์ของกลุ่มโรงแรมทีซิกซ์ไฟว์ทั้ง 3 แห่งในเมืองพัทยา ได้แก่ ทีซิกซ์ไฟว์ โฮเต็ล ทีซิกซ์ไฟว์ 365.25 ที่ได้เล่นดีไซน์เกี่ยวกับคำข้างขึ้นข้างแรม และล่าสุด ทีซิกซ์ไฟว์ ฟีโนมินัล ก็ได้นำปรากฏการณ์หรือฤดูกาลในหนึ่งปีมาใช้ในการดีไซน์ห้องพักทั้ง 270 ห้อง

 ห้องพักแบ่งเป็น 2 ประเภท คือ คลับดีลักซ์ และห้องสูท ภายใต้การดีไซน์ 3 แบบคือ นีออน ใช้สีสันและแสงไฟเป็นตัวแทนของฤดูร้อน ไฮโดร ใช้หยดน้ำเป็นตัวแทนของฤดูฝน และบรีซ ใช้กังหันลมและจักรยานเป็นตัวแทนของฤดูหนาว รวมทั้งยังได้เลือกใช้ของตกแต่งสไตล์โมเดิร์นและบางชิ้นถูกออกแบบใหม่ให้เข้าธีมของห้องนั้น

นอกจากนี้ โรงแรมยังมีสระว่ายน้ำที่เผยให้เห็นวิวทะเลพัทยาในมุมสูง ห้องออกกำลังกายที่มีเครื่องออกกำลังกายครบทุกประเภทพร้อมเทรนเนอร์ สปา ห้องอาหารไดอะล็อก บาร์บริเวณสระว่ายน้ำและล็อบบี้ และห้องประชุม

ทีซิกซ์ไฟว์ ฟีโนมินัล ตั้งอยู่ในย่านนาเกลือหรือพัทยาเหนือที่บรรยากาศเงียบสงบกว่าในตัวเมือง เหมาะสำหรับคนที่ต้องการหลีกหนีความวุ่นวายชั่วขณะแต่ไม่อยากห่างจากความสะดวกสบายเกินไป พร้อมวิวท่าเรือและโค้งเว้าของหาดพัทยา

 อย่างไรก็ตาม แม้ว่าโรงแรมจะไม่ติดชายหาดแต่ก็มีบริการรถรับ-ส่งจากโรงแรมไปหาดตลอดวัน และสามารถเลือกใช้สระว่ายน้ำหรือพักผ่อนในโลเกชั่นอื่นของโรงแรมในเครืออัญชลีวิวัฒน์อีก 8 แห่ง ซึ่งเป็นอภิสิทธิ์ของแขกที่ทีซิกซ์ไฟว์ ฟีโนมินัล เท่านั้น

Price: เมื่อจองในเว็บไซต์ของโรงแรม ราคาห้องพักเริ่มต้นที่ประมาณ 2,700 บ.

Place: พัทยาเหนือ นาเกลือ ซ. 12 โทร. 038-225-800 เว็บไซต์ www.tsix5hotel.com/phenomenal

Promotion: เมื่อพักในห้องคลับดีลักซ์ 1 คืนพร้อมอาหารเช้า รับฟรีบัตรเข้าเล่นที่ ฟรอสท์ เมจิคอล ไอซ์ ออฟ สยาม จำนวน 2 ใบ

 

พาลูกเที่ยวรับซัมเมอร์ กับแม่พลอย ชิดจันทร์

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์โพสต์ทูเดย์

15 เมษายน 2560 เวลา 11:16 น…. อ่านต่อได้ที่ : http://www.posttoday.com/travel/thailand/490240

พาลูกเที่ยวรับซัมเมอร์ กับแม่พลอย ชิดจันทร์

โดย…ฤดูกาล

 ได้ชื่อว่าเป็นคุณแม่ลูกดกไปแล้วสำหรับนักแสดงสาว พลอย-ชิดจันทร์ รุจิพรรณ ที่ตอนนี้มีงานหลักต้องเลี้ยงลูกๆ วัยซนทั้ง 4 คน ได้แก่ ชิโน่ ชิลลี่ ชิต้าร์ และชิลีน ซึ่งแม้ว่างานจะยุ่งแค่ไหน พลอยก็ยังทำให้ทุกสัปดาห์มีวันครอบครัวร่วมกันเสมอ

เธอจึงได้แนะนำสถานที่ท่องเที่ยวที่เหมาะสำหรับทุกคนในครอบครัว ไม่ว่าจะเป็น ชายหาด ภูเขา และนานาสัตว์ ที่ลูกๆ ชื่นชอบ

เชียงใหม่

“เพราะบ้านเราอยู่ที่เชียงใหม่ สวนสัตว์จึงเป็นที่ที่เราไปกันบ่อยที่สุด เด็กๆ จะชอบให้อาหารสัตว์ ชอบดูสัตว์ ที่สวนสัตว์เชียงใหม่เราจะใช้เวลาเกือบทั้งวัน เพราะที่นี่มีกิจกรรมต่างๆ มากมาย” แม่พลอย กล่าวถึงสวนสัตว์เชียงใหม่

ไม่ว่าจะเป็นการดูหมีแพนด้า สวนนกนครพิงค์ ที่ได้เดินชมธรรมชาติและฟังเสียงนกชนิดต่างๆ กว่า 800 ตัว ในพื้นที่ 6 ไร่ ศูนย์จัดแสดงนกเพนกวินฮัมโบลต์ให้เด็กๆ ได้สัมผัส เกาะชะนี สถานที่เพื่อการใช้ชีวิตอย่างอิสระของชะนี เด็กๆ จะได้เข้าใจถึงวิธีการดำรงชีวิตของสัตว์ป่าสร้างความคุ้นเคยระหว่างคนกับสัตว์ได้อย่างกลมกลืน

อาคารเลี้ยงแมวนํ้า สถานที่จัดแสดงแมวนํ้า (Cape Fur Seal) จำนวน 5 ตัว ที่เดินทางมาจากประเทศแอฟริกาใต้ และอุโมงค์ปลาในอุทยานสัตว์น้ำ จัดแสดงสัตว์น้ำจืดกว่า 60 ชนิด ไม่ว่าจะเป็นปลาบึกยักษ์ลุ่มแม่น้ำโขง และปลาบึกลาย

“เด็กๆ จะชอบสัตว์มาก บางครั้งเราก็จะไปที่เชียงใหม่ ไนท์ ซาฟารี มีให้เลือกทั้งเดินชมสัตว์ และนั่งรถรอบสวนสัตว์ อย่างเดินชมสัตว์จะมีจุดจากัวร์เทรล มีทะเลสาบไว้ให้เดินเล่น ระหว่างทางจะพบกับสัตว์ป่าถึง 50 ชนิด เช่น เสือขาว เสือจากัวร์ หนูยักษ์คาปิบาลา เสือลายเมฆ สมเสร็จบราซิล”

นอกจากนี้ ยังมีโซนสัตว์เลื้อยคลาน ที่ต้องนั่งรถชมประมาณ 2 กม. ซึ่งเป็นจุดแสดงสัตว์ป่าประเภทนักล่า อาทิ เสือโคร่งขาว เสือโคร่งอินโดจีน เสือโคร่งเบงกอล เป็นต้น และสะวันนา ซาฟารี สัตว์ป่าประเภทสัตว์กีบและสัตว์กินพืชที่มีถิ่นอาศัยในแถบทุ่งหญ้าสะวันนา เช่น เลียงผา กวางผา กระทิง แรดขาว ไฮยีน่า เสือชีต้า เป็นต้น

เชียงราย

แม่พลอยยังชอบยกโขยงพาลูกๆ ไปแคมปิ้งทางภาคเหนืออย่าง สิงห์ปาร์ค จ.เชียงราย เธอกล่าวว่า เกิดขึ้นจากที่เด็กๆ อ่านหนังสือแล้วอยากไปแคมปิ้ง และสิงห์ปาร์ค เชียงราย ก็ใกล้กับบ้านของเธอด้วย เพราะที่นี่มีบริการแคมปิ้งเหมาะสำหรับครอบครัว มีเต็นท์ให้บริการ อยู่ภายในไร่บุญรอดซึ่งปลอดภัย และที่สำคัญมีพื้นที่กว้างมากให้เด็กๆ ได้วิ่งเล่นและปั่นจักรยาน

“ชิโน่กับชิต้าร์ได้ฝึกปั่นจักรยาน และปั่นจักรยานเป็นที่สิงห์ปาร์ค ด้วยที่นี่เป็นสถานที่ท่องเที่ยวเชิงเกษตร เด็กๆ ก็จะได้ดูต้นไม้ เห็นวิธีการปลูกพืชเกษตรกรรมทั้งหลาย มีไร่ชากว้างมากๆ มีไร่สวนผลไม้ต่างๆ เช่น สตรอเบอร์รี่ มัลเบอร์รี่ ฟักทองยักษ์ สวนผักผลไม้เมืองหนาว อย่างมัลเบอร์รี่ก็สามารถเข้าไปเก็บมากินได้ด้วย และมีฟาร์มปศุสัตว์เลี้ยงสัตว์ของจริงให้ได้ดู และก็ยังมีส่วนที่เป็นสวนสัตว์เป็นทุ่งหญ้าและวิถีชีวิตสัตว์ มียีราฟ และม้าลายคอยต้อนรับ ส่วนเด็กๆ ก็สามารถให้อาหารสัตว์ได้ด้วย” แม่พลอยกล่าวเพิ่มเติม

ชะอำ

แม่พลอยบอกด้วยว่า การท่องเที่ยวนั้น เป็นช่วงเวลาที่ครอบครัวสามารถใช้ร่วมกันได้อย่างมีคุณภาพที่สุด เป็นโอกาสที่คุณพ่อคุณแม่จะได้สอนลูกๆ ไปพร้อมกับเปิดประสบการณ์ใหม่ๆ ทุกครั้งที่เด็กออกนอกบ้าน พวกเขาจะรู้สึก “ว้าว” ที่สำคัญยังช่วยให้เด็กๆ มีพัฒนาการตามวัย และสามารถมีปฏิสัมพันธ์กับคนรอบตัวได้ด้วย ยกตัวอย่างการไปรู้จักสัตว์นานาชนิดที่ คาเมล รีพับบลิค เมืองชะอำ

“ที่นี่เป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่เราบังเอิญแวะไปเที่ยวกันระหว่างทาง มีกิจกรรมให้เล่นสนุกทั้งพ่อแม่และเด็กๆ เป็นทั้งสวนสัตว์และสวนสนุก มีสัตว์มากมายให้พบเจอ เช่น อูฐ อัลปาก้า เป็ด แพะ และนกต่างๆ มีกิจกรรมให้ได้เปิดประสบการณ์ใหม่ๆ เช่น ลองขี่อูฐ ให้อาหารสัตว์ แล้วก็ยังมีเครื่องเล่นในโซนเครื่องเล่นนำเข้ามาจากต่างประเทศ ที่พ่อแม่เองก็ไม่เคยเล่นมาก่อน ซึ่งก็ตื่นเต้นสำหรับพ่อแม่ด้วย” เธอกล่าวทิ้งท้าย

สำหรับพ่อแม่ที่มองหาสถานที่ท่องเที่ยวสำหรับครอบครัว สามารถมาหาไอเดียได้ใน มหกรรมพาลูกเที่ยวดะ ครั้งที่ 1 ตอน พาลูกตะลุยเที่ยวเก็บเกี่ยวประสบการณ์ จัดโดยเพจพาลูกเที่ยวดะ เครือข่ายออนไลน์สำหรับพ่อแม่ที่รักการพาลูกเที่ยวและเรียนรู้ ร่วมกับการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) กรุงเทพมหานคร และบริษัท บัตรกรุงไทย

งานท่องเที่ยวงานเพื่อครอบครัวที่รวบรวมข้อมูลแหล่งท่องเที่ยวคุณภาพที่เหมาะสมสำหรับทุกคนในครอบครัว จัดขึ้นระหว่างวันที่ 16-18 มิ.ย. 2560 ณ สยามพารากอน เว็บไซต์ www.familytripexpo.com

 

เที่ยวพะเยามุมใหม่ ตามรอยการท่องเที่ยวเพื่อสุขภาพแบบองค์รวม

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์โพสต์ทูเดย์

15 เมษายน 2560 เวลา 11:13 น…. อ่านต่อได้ที่ : http://www.posttoday.com/travel/thailand/490239

เที่ยวพะเยามุมใหม่ ตามรอยการท่องเที่ยวเพื่อสุขภาพแบบองค์รวม

โดย…อ.ฟู ม.พะเยา

 เมื่อพูดถึง จ.พะเยา นักท่องเที่ยวส่วนใหญ่จะนึกถึงกว๊านพะเยา แต่หากขับรถออกจากตัวจังหวัดไปทางทิศตะวันออกเพียง 36 กม.ใช้เวลาไม่เกิน 30 นาที เราจะเจอกับ “หมู่บ้านหนองหล่ม” หมู่บ้านเล็กๆ ใน อ.ดอกคำใต้ ตามคำแนะนำของ อ.ฟู ม.พะเยา” ที่ต้องการนำเสนอเรื่องราวใหม่ๆ ในจังหวัดรองที่กำลังถูกจับตามอง

เขาเล่าว่า วันนี้หมู่บ้านหนองหล่มกำลังพัฒนาไปสู่การเป็นแหล่งท่องเที่ยวแห่งใหม่ในรูปแบบ “การท่องเที่ยวเพื่อสุขภาพแบบองค์รวม” ซึ่งเป็นรูปแบบการท่องเที่ยวแบบผ่อนคลาย สบาย แห่งแรกและแห่งเดียวของพะเยา

“เมื่อเข้าไปสัมผัสชุมชนแห่งนี้ สิ่งแรกรู้สึกได้คือ บรรยากาศของชนบท และสัมผัสได้ถึงความร่วมมือร่วมใจอย่างเข้มแข็งของชุมชนในพื้นที่ที่พยายามจัดกิจกรรมต้อนรับผู้มาเยือน รอยยิ้มและมิตรภาพที่จริงใจ จากการพูดคุยกับผู้นำจัดการท่องเที่ยวในพื้นที่ ทำให้ได้ทราบว่า แนวคิดของการจัดการท่องเที่ยวของหมู่บ้านหนองหล่ม มุ่งเน้นที่จะใช้ประโยชน์สูงสุด และต่อยอดศักยภาพของพื้นที่ที่ภายในหมู่บ้านที่มีความสมบูรณ์ ทั้งของพื้นที่ป่าไม้ ภูเขา ที่ราบสูง และความสวยงามของแหล่งน้ำธรรมชาติ หรือที่เรียกว่าน้ำออกฮู ซึ่งมีน้ำไหลออกมาจากผิวดินตลอดทั้งปี” เขากล่าว

 ผู้มาเยือนจะได้พบกับกิจกรรมการท่องเที่ยวที่จะช่วยให้ได้พักผ่อนอย่างแท้จริง ทั้งด้านร่างกายและจิตใจ ด้วยกิจกรรมการท่องเที่ยวชมสวนเกษตรอินทรีย์ วิถีคนชนบท ผสมผสานด้วยศาสตร์ของการนวดไทย สมุนไพรพื้นบ้าน และทัศนียภาพที่มีความสวยงาม

เริ่มต้นด้วยการสักการะครูบาคำ พระเกจิอาจารย์ของหมู่บ้าน ที่เลื่องชื่อด้านแคล้วคลาดปลอดภัย ต่อด้วยไหว้เจ้าพ่อคำปวน แม่ทัพของพญาลิ้นก่านที่ปกปักรักษาชุมชนหนองหล่ม มีประวัติยาวนานกว่า 1,200 ปี ตั้งอยู่ที่ ดงหอ หรือป่าต้นน้ำของหมู่บ้านที่ไหลหล่อเลี้ยงชีวิตผู้คนตลอดปีไม่มีแห้งเหือด

สำหรับผู้ที่ชื่นชอบการผจญภัย ชุมชนสามารถจัดกิจกรรมเดินป่าเพื่อชมความน่าสนใจของต้นตะเคียนยักษ์ อายุกว่า 100 ปี และบ่อน้ำศักดิ์สิทธิ์พันปีของหมู่บ้าน ที่มีความเชื่อว่า ดื่มแล้วหายจากการป่วยในบางโรคได้ จากนั้นจบวันด้วยกิจกรรมการผ่อนคลายความเมื่อยล้า ด้วยศาสตร์การนวดไทย สัปปายะ และสปาปลาธรรมชาติ อบอวลด้วยกลิ่นหอมของสมุนไพรท่ามกลางธรรมชาติ พร้อมกับการจิบชาสมุนไพรหอมกรุ่น

 นอกจากนี้ ยังสามารถไปเที่ยวน้ำตกธารสวรรค์ ผืนน้ำสีมรกตในอุทยานแห่งชาติดอยภูนาง อยู่ไม่ไกลจากหมู่บ้าน และตลอดทางเดินจะมีเพื่อนร่วมทางเป็นนกยูงป่าราวกับเป็นมัคคุเทศก์ท้องถิ่นคอยนำทาง

ทั้งหมดที่กล่าวมาอยู่ในกิจกรรมแบบเช้าเย็นกลับภายใน 1 วัน แต่สำหรับผู้ที่ต้องการค้างแรมในหมู่บ้านจะมีบริการโฮมสเตย์พร้อมรับประทานอาหารปลอดภัยจากสวนเกษตรอินทรีย์ภายในชุมชน

“วันนี้หมู่บ้านหนองหล่มพร้อมแล้วที่จะให้บริการการท่องเที่ยวเพื่อสุขภาพแบบองค์รวม” อ.ฟู กล่าวทิ้งท้าย

และนี่คือความพยายามของคนในชุมชน เพื่อเป็นอีกทางเลือกหนึ่งสำหรับการพัฒนาไปสู่การท่องเที่ยวของชุมชน และเป็นอีกหนึ่งทางสำหรับการสร้างรายได้ให้แก่ชุมชนนอกเหนือจากการทำไร่ทำนาและเลี้ยงสัตว์

ผู้ที่สนใจสามารถร่วมจัดทริปกับชุมชนได้ตามความต้องการ สอบถามโทร. 09-1747-8555 (จริยา)

น่าน Plus แพร่ เที่ยวมุมใหม่สไตล์ศิลป์บวกธรรม

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์โพสต์ทูเดย์

15 เมษายน 2560 เวลา 11:08 น…. อ่านต่อได้ที่ : http://www.posttoday.com/travel/thailand/490238

น่าน Plus แพร่ เที่ยวมุมใหม่สไตล์ศิลป์บวกธรรม

โดย…กาญจน์ อายุ

 ความน่าตื่นตาตื่นใจของวัฒนธรรมและวิถีชีวิตที่เนิบช้า เป็นอัตลักษณ์ท้องถิ่นที่สามารถสัมผัสและรับรู้ได้จากดินแดนล้านนาตะวันออกอย่าง “น่าน Plus แพร่” เส้นทางท่องเที่ยวเชื่อมโยงในโครงการเมืองต้องห้าม… พลาด Plus ที่ต้องการกระจายตัวให้นักท่องเที่ยวเดินทางตามแหล่งท่องเที่ยวในจังหวัดเมืองรองที่มีศักยภาพในการรองรับนักท่องเที่ยวเช่นกัน

เมืองต้องห้าม Plus เป็นการต่อยอดจากปี 2559 กับแคมเปญเมืองต้องห้ามพลาด และล่าสุดการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) ได้เน้นปลุกกระแสให้นักท่องเที่ยวร่วมค้นหาและชื่นชมกิจกรรมและแหล่งท่องเที่ยวในมุมมองใหม่ หวังสร้างรายได้ให้เติบโต 10% หรือประมาณ 9.5 แสนล้านบาท จากการท่องเที่ยวในปี 2560

การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย สำนักงานแพร่ (ดูแลพื้นที่แพร่และน่าน) จึงได้เปิดเส้นทางท่องเที่ยวมุมมองใหม่ โดยดึงเอกลักษณ์ของผ้าทอและงานศิลป์ท้องถิ่นขึ้นมาให้เด่นชัด เพื่อส่องสปอตไลต์ไปยังคนพื้นถิ่นและวิถีชีวิตที่จะบอกเล่าตัวตนของจังหวัดนั้นอย่างลึกซึ้ง

ข้าวหลามป้าเพ็ญหลากหลายไส้

น่าน เนิบๆ

น่านเป็นจังหวัดขนาดเล็กมีพื้นที่ประมาณ 7 ล้านกว่าไร่ หากเท้าความย้อนไปในอดีต น่านเป็นนครรัฐเล็กๆ ที่ก่อตั้งขึ้นกลางพุทธศตวรรษที่ 18 บริเวณที่ราบลุ่มแม่น้ำน่าน ภายใต้การนำของพญาภูคา โดยมีศูนย์กลางการปกครองอยู่ที่เมืองย่าง (บ้านเสี้ยว อ.ท่าวังผา) มีการปรากฏร่องรอยชุมชนในสภาพที่เป็นคูน้ำ คันดิน และกำแพงเมืองซ้อนกันอยู่

ตั้งแต่ พ.ศ. 1993 เป็นต้นไป เมืองน่านได้ซึมซับศิลปวัฒนธรรมของล้านนาแทนที่ศิลปะแบบสุโขทัย หลังจากพระเจ้าติโลกราชกษัตริย์นครเชียงใหม่ยกทัพเข้ายึดเมืองน่าน เพื่อครอบครองแหล่งบ่อเกลือมาง (อ.บ่อเกลือ) เมืองน่านจึงถูกผนวกเข้าเป็นส่วนหนึ่งของอาณาจักรล้านนาเกือบ 100 ปี

ทั้งเจดีย์วัดพระธาตุแช่แห้ง เจดีย์วัดสวนตาล ล้วนเป็นศิลปะแบบล้านนา หรือเจดีย์วัดพระธาตุช้างค้ำ ที่แม้จะเหลือส่วนฐานที่มีช้างล้อมรอบแบบศิลปะสุโขทัยอยู่ แต่ส่วนองค์เจดีย์ขึ้นไปถึงส่วนยอดได้เปลี่ยนเป็นศิลปกรรมแบบล้านนาทั้งหมด จวบจนปัจจุบันศิลปะและวัฒนธรรมแบบล้านนากลายเป็นส่วนหนึ่งของชาวน่านไปแล้ว

ศิลปินบ้านชมคำแสนกำลังแกะสลักพระไม้

ฝ้ายเงิน เพลินผ้าโบราณ

พิพิธภัณฑ์ผ้าโบราณ ร้านฝ้ายเงินเกิดจากความชื่นชอบสะสมผ้าโบราณของ เทิดศักดิ์ อินแสง ผู้รวบรวมและรักษาผ้าซิ่น เครื่องแต่งกาย ไทยวน ไทลื้อ-เมืองน่าน และชาติพันธุ์ต่างๆ ในอุษาคเนย์

ผ้าที่มีความเก่าแก่ที่สุดมีอายุมากกว่า 160 ปี ปัจจุบันร้านฝ้ายเงินเปิดจำหน่ายผลิตภัณฑ์ผ้าทอที่ยังคงการย้อมเส้นด้ายจากสีธรรมชาติ และยังมีกรรมวิธีในการทอผ้าแบบโบราณ ไม่ว่าจะเป็นลายล้วง ลายเก็บมุก ลายคาดก่าน รวมถึงซิ่นป้อง ซิ่นม่านของชาวไทลื้อที่ล้วนเป็นลายดั้งเดิมของชาติพันธุ์ในเมืองน่าน

นอกจากนี้ เทิดศักดิ์ยังคงพยายามทอผ้าให้ถูกต้องตามงานต้นแบบโบราณ อย่างผ้าซิ่นลื้อเมืองงา อายุกว่าร้อยปีที่สามารถทำให้เสมือนจริง ซิ่นไทขาว นาหมื่น ลื้อเมืองฮุน น้ำปาดฟากท่า ผ้าซิ่นอาคาชิน และผ้าซิ่นมัดก่านไหมแกมฝ้ายที่ต้องทอตามแบบเบ้าโบราณตามต้นแบบของเก่าในคลังสะสมของตน

รูปหล่อสมเด็จพระนเรศวร บ้านเทพ

 นักท่องเที่ยวสามารถเข้าชมพิพิธภัณฑ์ผ้าโบราณฝ้ายเงินได้ทุกวัน เพื่อศึกษาและชื่นชมผ้ากว่าร้อยผืนที่ถูกจัดแสดงด้วยความใส่ใจและหวงแหน

ป้าเพ็ญ ข้าวหลามแจ้งแห่งเมืองน่าน

ข้าวหลามแจ้งขนาดยาว 1 เมตร คือ ความแปลกประหลาด แต่สำหรับข้าวหลามแจ้งป้าเพ็ญ บ้านดอนไชย ต.ศิลาเพชร คือ ความแปลกที่สู้ไม่ได้กับความอร่อย ของขึ้นชื่อที่คนท้องถิ่นยังคลั่งไคล้และเป็นของฝากที่คนต่างถิ่นต้องการครอบครอง

ทุกเช้าบ้านป้าเพ็ญจะเผ่าข้าวหลามเพื่อขายวันต่อวัน ซึ่งเอกลักษณ์ของที่นี่นอกจากจะเป็นข้าวหลามแจ้งขนาดยาวเป็นเมตรแล้ว ยังโดดเด่นด้วยความหลากหลายของไส้ทั้งถั่วดำที่เห็นกันทั่วไป สังขยา เผือก และกุ้ง ที่ทุกไส้ขายดิบขายดีจนต้องพรีออร์เดอร์

ชาวเมืองแพร่นุ่งขาวห่มขาวร่วมงานนมัสการพระธาตุช่อแฮ

 หลายคนอาจเห็นข้าวหลามป้าเพ็ญวางขายอยู่ตามร้านขายของฝาก แต่ต้องบอกว่าป้าเพ็ญไม่มีหน้าร้าน เพราะสถานที่ขายคือบ้านของป้าเอง ดังนั้นหากนักท่องเที่ยวที่ต้องการเห็นกระบวนการทำและอยากซื้อจากป้าเพ็ญโดยตรงคงต้องไปถึงหน้าบ้าน และเมื่อไปถึงบ้านขนาดนั้นแล้ว ป้าเพ็ญคงปฏิเสธไม่ได้ว่า ไม่มีขาย

แพร่ เมืองอาร์ติสต์

แพร่ หรือ เมืองแป้ เมืองเก่าแก่อายุกว่า 1,100 ปี เป็นที่ตั้งขององค์พระธาตุช่อแฮและนครแห่งวรรณกรรมอมตะเรื่อง ลิลิตพระลอ ปัจจุบันที่ตั้งของแพร่นับเป็นศูนย์กลางการคมนาคมขนส่งทางรถยนต์ที่สำคัญแห่งหนึ่งทางภาคเหนือ สามารถเชื่อมโยงไปยังน่าน พะเยา เชียงราย ลำปาง ลำพูน เชียงใหม่ จึงเรียกได้ว่าแพร่เป็น ประตูสู่ล้านนา

ทว่าปัจจุบันเมืองแพร่ได้รับสมญานามใหม่ว่า เป็นเมืองชิกๆ เพราะเป็นเมืองขนาดเล็ก ใกล้เชียงใหม่ เดินทางง่าย และเป็นขวัญใจสายอาร์ตที่ต้องการค้นหาอะไรใหม่ๆ ในเมืองเล็กๆ

ของเก่ามีคุณค่าในพิพิธภัณฑ์บ้านเทพ

วัดพระธาตุช่อแฮ

ปูชนียสถานคู่บ้านคู่เมืองแพร่ เป็นที่ประดิษฐานพระเกศาธาตุและบรมสารีริกธาตุพระศอกซ้ายของพระพุทธเจ้า ลักษณะเป็นเจดีย์ทรงแปดเหลี่ยมย่อมุมไม้สิบสอง ศิลปะเชียงแสน สร้างด้วยอิฐโบกปูน หุ้นด้วยแผ่นทองเหลืองลงรักปิดทอง และยังเป็นพระธาตุประจำปีเกิดของคนปีขาล

ชื่อของพระธาตุช่อแฮ นี้ได้มาจากผ้าแพรชั้นดีที่ชาวบ้านนำมาผูกบูชาองค์พระธาตุ โดยทุกปีจะมีการนมัสการตามจันทรคติในวันขึ้น 9 ค่ำ-15 ค่ำ เดือน 4 ใต้ เดือน 6 เหนือ อย่างที่ผ่านมาเมื่อวันที่ 6-12 มี.ค. 2560 ได้มีงานประเพณีไหว้พระธาตุช่อแฮ เมืองแพร่แห่ตุงหลวง

พระโกศัยเจติยารักษ์ รองเจ้าคณะจังหวัดแพร่ และเจ้าอาวาสวัดพระธาตุช่อแฮ พระอารามหลวง เล่าว่า เมื่อเริ่มวันขึ้น 9 ค่ำ เดือน 4 ใต้ เดือน 6 เหนือ พุทธศาสนิกชนจากทุกสารทิศจะเดินทางมานมัสการพระธาตุ ด้วยความเชื่อที่ว่าในช่วงระยะเวลาขึ้น 9 ค่ำ ถึงขึ้น 15 ค่ำ พระบรมสารีริกธาตุจะแสดงปาฏิหาริย์แผ่บารมีเป็นสิริมงคลแก่ผู้ที่มาสักการะ

งานพุทธศิลป์ ฝีมือสล่าอิทธิพล

ศิลป์สร้างสรรค์ ชมคำแสนแกลเลอรี่

หอศิลป์ขนาดเล็กจากความตั้งใจของ สล่าอิทธิพล ปัญญาแฝง ช่างฝีมือท้องถิ่นผู้ถนัดงานแกะสลักไม้แนวทางพุทธศิลป์ เปิดบ้านตนให้เป็นพื้นที่จัดแสดงงานศิลปะและสถานที่เรียนรู้ศิลปะ

ชมคำแสนแกลเลอรี่ ตั้งอยู่ที่บ้านวังหลวง อ.หนองม่วงไข่ หรือที่ชาวบ้านเรียกว่า เฮือนคำแสน ภายในจัดแสดงศิลปะหลายรูปแบบแต่ที่โดดเด่น คือ งานแกะสลักแนวพุทธศิลป์ จากแนวคิดการอนุรักษ์ภูมิปัญญาฝีมือช่างพื้นบ้านให้คงอยู่และสืบทอด ให้เป็นแหล่งจัดแสดงผลงานศิลปะ เรียนรู้งานฝีมือด้านการแกะสลักแก่เยาวชนและผู้ที่สนใจ และเปิดให้นักท่องเที่ยวได้มาเยี่ยมชมสัมผัสศิลปะอันงดงามอีกแขนงด้วยตัวเอง

สล่าอิทธิพล ถือว่าเป็นศิลปินด้านแกะสลักของบ้านวังหลวง อย่างช้างสามเศียร วัดห้วยมงคล จ.ประจวบคีรีขันธ์ ก็เป็นหนึ่งในผลงานของกลุ่มที่เรียกตัวเองว่า “สล่าเมืองแพร่” ปัจจุบันศิลปะการแกะสลักจากสล่าอิทธิพลได้รับการถ่ายทอดให้เยาวชนคนรุ่นหลังได้เรียนรู้ หวังให้งานศิลป์พื้นบ้านให้อยู่คู่กับชาววังหลวงและชาวไทย

ผ้าโบราณร้านฝ้ายเงิน

บายศรี บาติกโมเดิร์น

การย้อมผ้าทอมือด้วยสีธรรมชาติผสมผสานกับเทคนิคการทำบาติกบนผืนผ้าในดีไซน์ร่วมสมัยเป็นเอกลักษณ์ของ ร้านบายศรี หรือ บายศรี ครีเอชั่น สถานที่ที่ไม่ใช่เป็นเพียงร้านค้าแต่ยังเปิดเป็นแหล่งเรียนรู้การทำลวดลายแบบบาติกด้วยตนเอง

ศักดิ์จิระ เวียงเก่า นักออกแบบและผู้ก่อตั้งบายศรี ครีเอชั่น ได้นำเสนอสินค้าอยู่ 2 ประเภท คือ เสื้อผ้าเครื่องแต่งกาย และงานผ้าสำหรับการตกแต่งบ้าน โดยเจาะกลุ่มเป้าหมายผู้ใหญ่วัยทำงานอายุ 35 ปีขึ้นไป ที่น่าสนใจ คือ งานดีไซน์แบบเฉพาะตัวที่บายศรี ครีเอชั่นทำตลาดกับลูกค้าทั้งในประเทศและต่างประเทศ ซึ่งเกิดขึ้นจากฝีมือการออกแบบของศักดิ์จิระและทักษะการผลิตครบวงจรที่โรงงานบายศรี จ.แพร่

โรงงานบายศรีเริ่มตั้งแต่พัฒนาผ้าด้วยการพิมพ์ ย้อม เพนต์ ออกแบบ สร้างแพตเทิร์น ตัดเย็บจนสำเร็จเป็นสินค้า เรียกได้ว่าสามารถสร้างสรรค์ผลงานที่มีสไตล์เฉพาะตัวได้ตั้งแต่ต้นจนจบ โดยทุกลวดลายไม่เหมือนใคร และไม่มีใครเหมือน มีความทันสมัยตามเทรนด์โลก และให้ความรู้ใหม่กับวงการผ้าบาติกตลอดเวลา

เทพหน้าประตูไม้สักสูง 4 เมตร

ของเก่ายังเก๋า พิพิธภัณฑ์บ้านเทพ

แหล่งเรียนรู้ใหม่ในแพร่กับพิพิธภัณฑ์บ้านเทพ จากแนวคิดของ เทพ-วัฒนา เหลืองอุทัยศิลป์ ผู้สะสมของเก่าอันทรงคุณค่าและหาได้ยากมานานกว่า 40 ปี ไฮไลต์สำคัญคือ การสักการะขอพรพระบรมรูปหล่อเสมือนจริงขององค์ดำ (สมเด็จพระนเรศวร) ที่เชื่อว่าจะให้ผลสำเร็จเรื่องยศ ตำแหน่งราชการ และเมตตามหานิยม

รวมถึงบานประตูไม้สักแผ่นเดียวสูงเกือบ 4 ม. อายุกว่า 400 ปี ชุดเฟอร์นิเจอร์ฝังมุกอายุ 100 ปี หีบไม้จันทน์ที่ส่งกลิ่นหอมเป็นอมตะ ตู้คัมภีร์ลายสลักจากงาช้าง เครื่องลายครามสมัยอยุธยา กลองมโหระทึกโบราณ เครื่องกระเบื้องสมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้น ซึ่งของทั้งหมดหาชมไม่ได้จากที่อื่น ซึ่งทำให้บ้านเทพได้สโลแกนเป็น บ้านนี้… ต้องห้ามพลาด เมื่อมาเยือนเมืองแพร่ไปแล้ว

นอกจากนี้ ททท.สำนักงานแพร่ ยังได้แนะนำให้ลิ้มรสอาหารถิ่นเมืองแป้ที่สามารถบอกวิถีชีวิตของชาวบ้านผ่านอาหารได้ ยกตัวอย่าง ขนมเส้นเมืองแป้ อาหารถิ่นประจำจังหวัดที่คนแป้นิยมนรับประทาน เป็นเมนูที่แสดงถึงเส้นใยของความรักที่ยาวนานในหมู่ญาติมิตร และนิยมใช้เป็นเมนูจัดเลี้ยงในงานมงคลและงานบุญต่างๆ

ดังนั้น เส้นทางน่าน Plus แพร่ จึงเต็มไปด้วยความน่าตื่นตาตื่นใจของวัฒนธรรมและวิถีชีวิตที่เนิบช้า และเป็นอัตลักษณ์ท้องถิ่นที่สามารถสัมผัสและรับรู้ได้จากดินแดนล้านนาตะวันออก ตามนโยบาย “เที่ยววิถีไทย เก๋ไก๋สไตล์ลึกซึ้ง” ที่ทุกคนสามารถเก๋ไก๋ หากเลือกท่องเที่ยวตามวิถีไทยและนำตัวเองเข้าไปสัมผัสอย่างลึกซึ้ง

สล่าอิทธิพล ปัญญาแฝง เจ้าของเฮือนคำแสน

เทิดศักดิ์เจ้าของพิพิธภัณฑ์ผ้าโบราณฝ้ายเงิน

 

 

นอนนับกระต่าย แรบบิซ ฮิลล์ รีสอร์ท

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์โพสต์ทูเดย์

08 เมษายน 2560 เวลา 10:25 น…. อ่านต่อได้ที่ : http://www.posttoday.com/travel/thailand/489175

นอนนับกระต่าย แรบบิซ ฮิลล์ รีสอร์ท

โดย…นิทรา ราตรี

 สุดยอดโรงแรมบูติก แรบบิซ ฮิลล์ รีสอร์ท (Rabbiz Hill Resort) เจ้าของรางวัลโครงการประกวดสุดยอดโรงแรมบูติกไทย (Thailand Boutique Awards) ครั้งที่ 4 ปี 2559-2560 ในเขตภูเขา ประเภทอนุรักษ์ธรรมชาติสิ่งแวดล้อม ขนาด 3-20 ห้อง โดยรีสอร์ทมีเอกลักษณ์ที่วิวภูเขาพาโนรามา ล้อมรอบด้วยป่า และน่าตะมุตะมิกับกระต่ายขนปุย

แรบบิซ ฮิลล์ รีสอร์ท ตั้งอยู่บนเนินเขาส่วนตัวบริเวณรอยต่อระยอง-จันทบุรี มองเห็นทิวเขาสลับซับซ้อน ผืนป่าสีเขียวขนาดใหญ่ และเงาสะท้อนบนผืนทะเลสาบ ประกอบด้วยห้องพักเพียง 15 ห้อง 4 ดีไซน์ เริ่มต้นที่ ไอวอรี่ บันนี่ ขนาด 40 ตร.ม. ภายในตกแต่งด้วยไม้สักผสมกับวัสดุธรรมชาติ ห้องน้ำมีเพียงผ้าม่านกั้นแทนประตู เหมาะสำหรับคู่รักที่จะมาดื่มด่ำความสุข

บราวนี่ บันนี่ ขนาด 42 ตร.ม. ตกแต่งด้วยเฟอร์นิเจอร์ไม้สักสีวอลนัต ดีไซน์เรียบง่าย มีสไตล์ ทำให้ห้องพักดูอบอุ่น ปลอดโปร่ง กลมกลืนกับธรรมชาติรอบด้าน

 โนว์วี่ บันนี่ ขนาดเดียวกันแต่เหมาะสำหรับครอบครัว เน้นการตกแต่งด้วยวัสดุที่เรียบง่ายพร้อมระเบียงส่วนตัวที่มองเห็นวิวสวนป่า และสวีทตี้ บันนี่ ขนาด 142 ตร.ม. เป็นวิลล่า 2 ห้องนอนบนจุดที่สวยที่สุด ตกแต่งแนวโมเดิร์นดูสบาย มีมุมจัดปาร์ตี้บาร์บีคิวบนระเบียงส่วนตัว พร้อมอ่างจากุซซี่มองพระอาทิตย์ลับขอบฟ้าในยามเย็น

รีสอร์ทยังมีสระว่ายน้ำ ห้องอบเซาน่า ห้องประชุม สนามเด็กเล่น สนามชิปกอล์ฟ ถนนปั่นจักรยานระยะทาง 12 กม. คาราโอเกะ และไฮไลต์ที่หมู่บ้านกระต่ายสุดน่ารัก โดยสามารถเข้าไปให้อาหารและเล่นกับเจ้าขนปุยได้ รวมถึงห้องอาหารที่มีทั้งบาร์บีคิวซีฟู้ด อาหารไทย ยุโรป เวียดนาม และพิซซ่าโฮมเมด เรียกได้ว่าไม่ต้องไปไหนก็สามารถมีความสุขกับกิจกรรมเหล่านี้ได้หลายวัน

ทั้งนี้ เคทีซี หรือ บริษัท บัตรกรุงไทย หนึ่งในผู้จัดโครงการได้ร่วมกับ โลเคิล อไลค์ พันธมิตรโรงแรม และธุรกิจท่องเที่ยวใน จ.จันทบุรี จัด 3 แพ็กเกจท่องเที่ยวภายใต้คอลเลกชั่น Local Is New Luxury แบ่งเป็นแพ็กเกจจันทบุรี…ที่นี่อยู่กับช้าง 2 วัน 1 คืน (พักแรบบิซ ฮิลล์ รีสอร์ท) แพ็กเกจจันทบุรี…อัญมณีและวิถีประมง 2 วัน 1 คืน และจันทบุรี…วิถีท้องถิ่น 3 วัน 2 คืน เพื่อให้นักท่องเที่ยวสัมผัสจุดหมายปลายทางอย่างลึกซึ้ง

 

Price: บราวนี่ และ ไอวอรี่ 2,900 บ. สโนว์วี่ 3,600 บ.

Place: เขาวงกต ซ. 2 จ. จันทบุรี โทร. 090-783-2250 เว็บไซต์ www.rabbizhillresort.com

Promotion: พิเศษสำหรับผู้ใช้บัตรเครดิตเคทีซี แพ็คเกจจันทบุรี… ที่นี่อยู่กับช้าง 2 วัน 1 คืน พักที่แรบบิซ ฮิลล์ รีสอร์ท สามารถแบ่งชำระกับ KTC FLEXI 0% นาน 4 เดือน สอบถามโทร. 02-123-5050 หรือ 087 145 2839 (โลเคิล อไลค์)

 

รื่นรมย์ตามรอยบุญ จิบชาชมกุหลาบ ไหว้พระวัดป่าดาราภิรมย์

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์โพสต์ทูเดย์

02 เมษายน 2560 เวลา 09:13 น…. อ่านต่อได้ที่ : http://www.posttoday.com/travel/thailand/488144

รื่นรมย์ตามรอยบุญ จิบชาชมกุหลาบ ไหว้พระวัดป่าดาราภิรมย์

โดย…นายใจดี

เชียงใหม่ มักถูกคิดถึงในฤดูหนาวเสียส่วนมาก แต่เชียงใหม่ในฤดูร้อนแรงก็ไม่ได้น่าชัง อย่างเดือน เม.ย.นี้ ก็นึกถึง ป๋าเวณีปี๋ใหม่เมืองเจียงใหม่ เล่นน้ำสงกรานต์รอบคูเมืองเชียงใหม่ รู้สึกฉ่ำใจขึ้นมาบัดดล

แม้จะไปเยือนเชียงใหม่หลายหน แต่แหล่งท่องเที่ยวของเชียงใหม่ก็ไม่เคยทำให้รู้สึกเบื่อหน่าย เพราะแต่ละแห่งยังมีมนตร์เสน่ห์ดึงดูดคนต่างถิ่นให้อยากเร้นตัวอิงแอบกับสถานที่ได้เสมอ ล่าสุดการได้ร่วมเดินทางกับ บริษัท บุญนำพา (ประเทศไทย) ผู้ให้บริการรับจัดงานบุญครบวงจร เราจึงได้ประสบการณ์การเดินทางในอีกรูปแบบ แน่นอนล่ะว่า “อิ่มบุญ”

การเดินทางครั้งนี้ทาง “สรสิช เนตรนิล” ผู้(บุญ)นำพา มีความประสงค์ที่จะเรียนรู้ถึงประเพณีการจัดงานบุญในท้องถิ่นต่างๆ เพื่อเพิ่มศักยภาพในการรับจัดงานบุญได้อย่างทั่วถึงในทุกภูมิภาคของไทย และเป้าหมายที่สำคัญ คือ “ความสุข”

ความสุขที่สมบูรณ์ในการใช้ชีวิต บุญนำพา แยกย่อยให้ 2 ส่วน คือ ความสุขใจ ซึ่งเกิดขึ้นได้จากงานบุญ และความสุขกาย ที่เกิดขึ้นได้จากการดูแลด้านสุขภาพและความสะดวกสบายในการใช้ชีวิต เช่นนี้การเดินทางไปแต่ละแห่งหน เราจึงได้ดื่มด่ำทั้งสุนทรียรสของอาหาร เครื่องดื่ม ธรรมชาติ สถาปัตยกรรม ไหว้พระ ถวายสังฆทาน ฯลฯ เรียกว่า เติมเต็มความสุขทั้งกาย-ใจ

ใจผลิบานราวกุหลาบแรกแย้ม

“สวนกุหลาบหลวงโครงการหลวงห้วยผักไผ่” ห่างจากตัวเมืองเชียงใหม่ ราว 40 นาที เป็นส่วนหนึ่งของศูนย์พัฒนาโครงการหลวงทุ่งเริง จัดให้เป็นสถานที่ควรมายามเช้า เพราะทำเลที่ตั้ง ต.บ้านปง อ.หางดง แม้จะฤดูกาลไหน ยามเช้าก็ยังสามารถสัมผัสได้ถึงความเย็นสบายของอากาศ เน้นมายามเช้า แม้ว่าเราจะอยากได้บรรยากาศจิบชายามบ่ายสไตล์ผู้ดีอังกฤษก็ตาม

สวนกุหลาบหลวงโครงการหลวงห้วยผักไผ่ เป็นสถานที่ท่องเที่ยวเชิงเกษตร มีกุหลาบหลายสายพันธุ์ ปลูกไล่ระดับตามไหล่เขา แดงมินิเจส มิดไนท์บลู ลาเวนเดอร์ดรีม พิงก์พีช บีเวอรี ชมพูไต้หวัน บลู ฟอร์ ยู สตาร์รูนา ซัมเมอร์ สโนว์ เป็นอาทิ สวรรค์ของคนชอบถ่ายภาพดอกไม้ เดินชมได้เรื่อยๆ เพราะพื้นที่ไม่กว้างนัก ยังไม่ได้เหงื่อก็เดินทั่วถึงแล้ว

อีกหนึ่งความน่าสนใจของที่นี้ นอกจากตกแต่งสวนตามสไตล์อังกฤษแล้ว ยังจัดโซนรับประทานอาหาร-เครื่องดื่ม ที่แทรกตัวอยู่กลางหมู่มวลดอกกุหลาบ ให้อารมณ์วินเทจ ได้อาหารตาใจแล้วมาเติมอาหารกายกันบ้าง ซึ่งเด็ดด้วยเมนูผักสดจากโครงการหลวงหลากหลายเมนู ชาสมุนไพร และเมนูจากอโวคาโด เพราะโครงการหลวงทุ่งเริง จัดเป็นแหล่งปลูกอโวคาโดอันดับต้นในโครงการหลวง แนะนำชิมไศกรีมอโวคาโด

นอกจากนี้ ยังมีลานกางเต็นท์สำหรับการพักผ่อนที่ใกล้ชิดธรรมชาติ กิจกรรมท่องเที่ยวเชิงเกษตร สนุกสนานและเพลิดเพลินกับการขี่จักรยานชมสวนเกษตรอินทรีย์รอบๆ ได้ ที่นี่เปิดเวลา 08.00-20.00 น. หากไม่อยากพลาดชมความเบ่งบานของหมู่มวลกุหลาบ โทรสอบถามเจ้าหน้าที่ได้ 09-9135-1118

วิจิตรการพุทธสถาน

อีกครึ่งวันหลัง เคลื่อนตัวมาที่ “วัดป่าดาราภิรมย์” ตั้งอยู่ ต.ริมใต้ อ.แม่ริม ใช้เวลาเดินทางจากตัวเมืองเชียงใหม่ราว 40 นาที ต้องบอกว่ามาช่วงไหนก็ได้ความร่มรื่น สมชื่อวัดป่า มีต้นไม้ใหญ่แผ่ให้ร่มเงา ช่วยให้การเดินจากจุดหนึ่งไปอีกจุดหนึ่งไม่ต้องปาดเหงื่อมากนัก แม้วัดจะกลายเป็นอีกจุดหนึ่งสำหรับนักท่องเที่ยวที่มาเยือนเมืองเชียงใหม่ หากบรรยากาศภายในวัดเงียบสงบมาก

วัดป่าดาราภิรมย์ เป็นวัดเก่าแก่ มีปูชนียสถานที่วิจิตรงดงาม ภาพยนตร์ละครหลายเรื่องมาขอใช้สถานที่ เช่น “พระอุโบสถ” ที่ตระการงานศิลป์ ตัวอุโบสถสร้างเป็นศิลปะล้านนา หน้าบันไดเป็นลวดลายเครือเถาล้านนา ล้อมรอบดาว 3 ดวง ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของพระราชชายาเจ้าดารารัศมี ประตู หน้าต่าง แกะสลักด้วยลวดลายล้านนาลงรักปิดทอง มีพญานาค 3 คู่ สิงห์ 1 คู่ เทวดา 1 คู่ และมอม 1 คู่ ส่วนพระประธาน เป็นพระพุทธรูปปางสมาธิ ศิลปะสุโขทัย ลงรักปิดทอง

“พระวิหารหลวง” จำลองมาจากหอคำของเจ้าหลวงเชียงใหม่ในสมัยโบราณ งดงามในศิลปะการแกะสลัก ปูนปั้นและลายคำแบบล้านนา ภายในพระวิหารประดิษฐานพระประธานทรงเครื่องในมณฑปปราสาทพร้อมทั้งพระบรมสารีริกธาตุ และแวดล้อมด้วยพระพุทธรูปพระพุทธเจ้า 28 พระองค์

“หอกิตติคุณ” ดื่มด่ำสถาปัตยกรรมศิลปะล้านนาผสมผสานศิลปะไทยลื้อ อาคารชั้นเดียว หลังคามุงกระเบื้องเคลือบสีน้ำตาลไหม้ ปักฉัตรสีทองตรงกลาง ประดับช่อฟ้ารูปนกหัสดีลิงค์ สันหลังคาประดับลวดลายปูนปั้นรูปตัวลวง (คล้ายมังกรผสมสิงห์มีปีก) ด้านทิศใต้และด้านทิศเหนือมีมุขยื่นออกไปคลุมบันได หน้าบันไดทั้งสองด้านประดับสิงห์คู่ศิลปะไทยลื้อ ประกอบเสาหน้ามุขสองต้นประดับลวดลายลงรักปิดทองรูปหม้อดอกปูรณฆฏะและลายเครือเถาว์แบบล้านนาที่งดงาม เหนือประตูทางเข้าประดับลวดลายแกะสลักพญานาคพันกัน ภายในจัดแสดงรูปภาพโบราณ ศิลปวัตถุ เปรียบเป็นพิพิธภัณฑ์ข้อมูลประวัติศาสตร์แห่งพุทธจักรล้านนาเลยเทียว

เพียงสถานที่เดียวก็ใช้เวลาเพลินๆ อย่างไม่รู้ตัวได้หลายชั่วโมง ยิ่งถ้าต้องการศึกษารายละเอียดกันทุกซอกทุกมุมจริงๆ ให้เวลาครึ่งวันก็ไม่มีเบื่อ อีกสิ่งที่รู้สึกประทับใจต่อวัดป่าดาราภิรมย์ ก็คือ ความสะอาดและไม่ได้เป็นพุทธพาณิชย์ ที่วัดเต็มไปด้วยตู้รับบริจาครายเรียงทั่วทุกมุม การเดินเข้าสู่วัดป่าดาราภิรมย์ นอกจากกราบสักการะพระพุทธรูปได้สำรวมกาย-วาจา-ใจแล้ว ยังได้รื่นรมย์ในความงดงามของสถาปัตยกรรมแบบล้านนาอีกด้วย

 

 

หม่อนไหม ผ้าไหม อีสานไหม?

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์โพสต์ทูเดย์

01 เมษายน 2560 เวลา 10:58 น…. อ่านต่อได้ที่ : http://www.posttoday.com/travel/thailand/488040

หม่อนไหม ผ้าไหม อีสานไหม?

โดย…กาญจน์ อายุ

 เนื่องในโอกาสที่ สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ทรงเจริญพระชนมพรรษา 84 พรรษา เมื่อปีที่ผ่านมา การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) จึงได้แนะนำเส้นทางท่องเที่ยวตามรอยโครงการพระราชดำริ “แม่ของแผ่นดิน มิ่งขวัญชาวไทย”

โดยเริ่มที่เส้นทางในภาคอีสานตอนล่าง ตามรอยผ้าไหมพระราชินี และเรียนรู้การทอผ้าในชุมชนสุรินทร์และอุบลราชธานี

ศูนย์หม่อนไหม

แหล่งท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์ด้านการเกษตร ศูนย์หม่อนไหมเฉลิมพระเกียรติ สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ จ.สุรินทร์ เป็นสถานที่ผลิตพันธุ์หม่อน พันธุ์ไหม มีให้เรียนรู้ตั้งแต่ขั้นตอนการปลูกหม่อน เลี้ยงหนอนไหม สาวไหม ย้อมสี ทอผ้าไหม และการแปรรูป โดยแบ่งเป็นฐานพร้อมการสาธิตให้เห็นกระบวนการจริง

กี่ทอผ้าไหมยกทองชั้นบนมีคนทอทั้งหมด 3 คน

 

เริ่มที่ฐานเรียนรู้หม่อนผลิตใบ หม่อนผลิตผล การสาวไหม การย้อมสีธรรมชาติ การทอผ้าไหม การแปรรูปผลิตภัณฑ์ และพิพิธภัณฑ์ผ้าไหม

สิ่งที่น่าสนใจคือ ฐานแปรรูปผลิตภัณฑ์ที่จะจุดประกายไอเดียหม่อนไหมแปลกๆ ที่ไม่ใช่ผ้าไหม ยกตัวอย่าง ข้าวเกรียบผลหม่อน และข้าวเกรียบใบหม่อน ที่รับประทานง่ายและมีประโยชน์ต่อร่างกาย

ในใบหม่อนมีสารดีเอ็นเจ มีฤทธิ์ในการลดระดับน้ำตาลในเลือด มีสารต้านอนุมูลอิสระ มีกรดอะมิโน 18 ชนิด และมีแคลเซียมสูง ส่วนในผลหม่อนจะอุดมไปด้วยวิตามินซี เอ และบี 6 รวมถึงกรดโฟลิกและสารต้านอนุมูลอิสระ

สองมือช่วยทอผ้าไหมยกทองโบราณ

 

นอกจากนี้ ยังมีชาใบหม่อนที่สามารถทำในขั้นตอนง่ายๆ คือ คัด หั่น ลวก คั่ว และอบ โดยใบหม่อนสด 5 กก. จะนำมาทำชาใบหม่อนได้ 1 กก.

สรรพคุณในชา 1 แก้ว ประกอบด้วย สารเควอซิติน รูติน ช่วยลดความเสี่ยงของการเกิดมะเร็ง สารกาบา ช่วยลดความดันโลหิต สารฟายโตสเตอรอล ช่วยลดระดับคอเลสเตอรอล สารดีเอ็นเจ ช่วยลดระดับน้ำตาลในเลือด มีกรดอะมิโนครบทุกชนิดที่ร่างกายต้องการ และมีแร่ธาตุวิตามิน เช่น แคลเซียม โพแทสเซียม โซเดียม แมกนีเซียม เหล็ก สังกะสี วิตามินเอและบี

ไม่เว้นแม้แต่หม่อนผลสด หรือมัลเบอร์รี่ ที่มีคุณค่าทางเภสัชโภชนาการสูง คือ มีสารต้านอนุมูลอิสระกลุ่มโพลิฟีนอล กลุ่มแอนโทไซยานิดิน และกรดโฟลิก ที่มีประโยชน์ต่อร่างกายไม่น้อยกว่าผลเบอร์รี่ราคาแพงอย่างบลูเบอร์รี่หรือราสพ์เบอร์รี่

โดยกรมหม่อนไหม ร่วมกับ คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น ได้นำผลหม่อนมาทดสอบการเรียนรู้และความจำในหนูทดลอง พบว่า การให้ผลหม่อนสุกอบแห้งบด 10 มก./น้ำหนักหนู 1 กก. สามารถเพิ่มความจำและการเรียนรู้ของหนูได้

จันทร์โสมา

 

ดังนั้น หม่อนผลสดอาจมีศักยภาพในการป้องกันการเกิดโรคความจำเสื่อม หรืออัลไซเมอร์ก็เป็นไปได้

ทั้งนี้ ศูนย์หม่อนไหมเฉลิมพระเกียรติ สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ (สุรินทร์) อยู่ภายใต้กรมหม่อนไหม กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เปิดให้ประชาชนท่องเที่ยวเชิงเรียนรู้ได้ฟรี ซึ่งถือว่าเป็นสถานที่เรียนรู้หม่อนไหมครบวงจรที่สุดในสุรินทร์

บ้านท่าสว่าง กี่ทอผ้าบ้านสองชั้น

หมู่บ้านทอผ้าโบราณแห่งสุรินทร์ บ้านท่าสว่าง เป็นแหล่งรวมช่างทอผ้าและผ้าชั้นดีไว้ อย่างบ้าน “จันทร์โสมา” ของ วีรธรรม ตระกูลเงินไทย อาจารย์ผู้ทรงคุณวุฒิด้านการทอผ้าที่เปิดบ้านเป็นแหล่งเรียนรู้การทอผ้าไหมยกทองโบราณโดยกี่ 1,416 ตะกอ ที่หาชมได้ยากและมีคุณค่ามากในวงการผ้าไทย

ไหมยกทองโบราณจันทร์โสมา ใช้วิธีย้อมแบบโบราณด้วยวัตถุดิบจากสีธรรมชาติ ทั้งสีแดงจากครั่ง สีน้ำเงินจากคราม สีเหลืองทองจากเปลือกทับทิม นอกจากจะสวยงามและปลอดภัย สีสันของมันจะยังสดใสไปเป็นร้อยปี

สาวไหม

 

กี่ที่ใช้ทอผ้าไหมยกทองต้องใช้กี่โบราณที่ใหญ่เท่าบ้าน 2 ชั้น เพื่อรองรับความยาวของตะกอที่มีมากถึง 1,416 ตะกอ ใช้คนทอ 4 คน และกว่าจะได้ 1 ผืนต้องใช้เวลานาน เพราะแต่ละวันสามารถทอได้เพียง 4-5 ซม. สมกับราคาผืนละ 6 หลัก ตามความวิจิตรงดงามของผืนผ้า

ในหมู่บ้านยังมีร้านขายผ้าสำเร็จรูปและผ้าไหมทั่วไป ที่ราคาจับต้องได้ให้จับจ่าย ส่วนใหญ่จะเป็นผ้าทอของคนในหมู่บ้าน จึงกล่าวได้ว่า บ้านท่าสว่าง เป็นหมู่บ้านโอท็อปเพื่อการท่องเที่ยวเชิงหัตถกรรมผ้าไหมแห่งเดียวในประเทศไทยที่คนหลงใหลผ้าห้ามพลาด

นอกจากนี้ สุรินทร์ยังเป็นที่ตั้งของศูนย์ส่งเสริมศิลปาชีพอีสานใต้ โดยเฉพาะการเลี้ยงไหมที่มีการสาธิตตั้งแต่การปลูกหม่อน เลี้ยงไหม สาวไหม กรอไหม มัดหมี่ และตัดหมี่ รวมถึงการทำเกษตรผสมเพียงพอตามรอยในหลวง รัชกาลที่ 9 และที่แห่งนี้เกิดขึ้นได้ ก็เพราะกระแสรับสั่งของพระองค์ โดยศูนย์จัดตั้งมาตั้งแต่ปี 2538

บ้านคำปุน พิพิธภัณฑ์ผ้าโบราณที่ยังมีชีวิต

ส่วนใหญ่ประตูบ้านคำปุนจะปิดอยู่ตลอดเวลา เพราะใน 1 ปี ประตูบ้านจะเปิดเพียง 3 วันเท่านั้น ในช่วงวันเข้าพรรษา ซึ่งชาวอุบลราชธานีจะแห่กันมาชมการทอผ้าและอุปกรณ์ทอผ้าโบราณที่หาชมได้ยาก

บ้านคำปุนทรงไทย

 

คำปุน ศรีใส เจ้าของบ้านคำปุน มีความตั้งใจอนุรักษ์ผ้าพื้นเมืองอุบลราชธานีไว้ เปิดเป็นพิพิธภัณฑ์ที่ยังมีคนทอผ้าจริงให้ผู้มาเยือนได้ชื่นชมศิลปวัฒนธรรมพื้นเมือง และเป็นแหล่งผลิตผ้าทอที่มีออร์เดอร์รอข้ามปี โดย คำปุน คือผู้มีผลงานดีเด่นทางวัฒนธรรม สาขาทัศนศิลป์-ถักทอ ปี 2537 และลูกชาย คือ มีชัย แต้สุจริยา ศิลปินดีเด่นจังหวัดอุบลราชธานี ปี 2544 ซึ่งเป็นผู้คิดค้นและออกแบบผ้าลายกาบบัว เอกลักษณ์ประจำจังหวัดด้วย

เส้นทางท่องเที่ยวตามรอยโครงการพระราชดำริ “แม่ของแผ่นดิน มิ่งขวัญชาวไทย” ในภาคอีสานใต้มีจุดเด่นร่วมกันคือ ผ้าไหม สิ่งที่มีคุณค่ายิ่งในชาติไทยที่พระราชินีในรัชกาลที่ 9 ทรงสนพระทัยและทรงทอดพระเนตรเห็นความงดงามที่แฝงอยู่ในงานหัตถกรรมพื้นบ้าน ทำให้กว่า 50 ปีที่ผ่านมา ผ้าไหมไทยได้รับการพัฒนาและได้รับการยกย่องจนได้รับสมญานามว่าเป็น “ราชินีแห่งสิ่งทอ” (The Queen of Textile)

จากสายพระเนตรอันยาวไกล ปัจจุบันผ้าไหมไทยเป็นที่นิยมและรู้จักไปทั่วโลก ได้มีการส่งออกผ้าไหมไทยไปยังประเทศต่างๆ มูลค่านับพันล้านบาท และกลายเป็นส่วนหนึ่งในสัญลักษณ์ของประเทศไทยในสายตาของชาวต่างชาติไปแล้ว

พิพิธภัณฑ์ผ้าไหมในศูนย์ส่งเสริมศิลปาชีพอุบลราชธานี

ผ้าทอหรือผ้าถุงจากฝีมือชาวบ้านสุรินทร์

ม้วนผ้าไหมย้อมสีธรรมชาติ

กี่ทอผ้าไหมยกทองชั้นล่างอยู่ใต้ถุนบ้าน

กี่ทอผ้าโบราณในบ้านคำปุน

รังไหม

ข้าวเกรียบผลหม่อน

ทอผ้าไหม

บ้านคำปุน พิพิธภัณฑ์มีชีวิต

สบู่ แปรรูปจากรังไหม