ชิลก่อนกลับบ้าน โฟร์ฮังกรี

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์โพสต์ทูเดย์

18 กันยายน 2558 เวลา 16:59 น…. อ่านต่อได้ที่ : http://www.posttoday.com/travel/nightlife/388921

ชิลก่อนกลับบ้าน โฟร์ฮังกรี

โดย…โจ เกียรติอาจิณ  ภาพ กฤษณ์ พรหมสาขา ณ สกลนคร

ร้านชิลขวัญใจคนย่านอโศก ก็ตามนั้นเลย ชิลก่อนกลับบ้าน จะรีบกลับทำไม แวะชิลก่อนมั้ย เขาพร้อมต้อนรับและจัดเสิร์ฟความชิลให้

“คิดดูนะครับ ถ้าคุณทำงานย่านนี้ เลิกงาน 6 โมงเย็น รถไฟใต้ดินคนก็เยอะ บีทีเอสคนก็แน่น ขับรถรถก็ติด แวะมาที่นี่ก่อน ชิลๆ ก่อนกลับบ้านสัก 2-3 ชั่วโมง ให้คนซาให้ถนนโล่ง ค่อยกลับบ้านครับ” หุ้นส่วนบอกถึงคอนเซ็ปต์

 

คูหาเดียวของตึกที่ซุกตัวอยู่ในซอยไม่มีชื่อ (ประมาณเกือบท้ายซอย) บอกพิกัดชัวร์ๆ ก็ถ้าเดินจากตึกจีเอ็มเอ็ม แกรมมี่ มาทางแยกอโศก สังเกตคือมีร้านข้าวแกงอร่อยอยู่ปากซอย นั่นละถูกที่ถูกทาง ร้านอยู่ในซอยนี้

ที่บอกกันเอ๊งกันเองก็เพราะขนาดร้านมันเล็ก ใครไปใครมาทั่วถึงกันหมด โดดงาน หรือหนีแฟนมา รู้หมด ยิ่งเฉพาะใครเป็นคนดัง พรางตัวยาก มากกว่านั้นยังอบอุ๊นอบอุ่น นั่น! บก.นิตยสาร! นี่โปรดิวเซอร์รายการ นู่น! แฟชั่นสไตลิสต์ นั่งโต๊ะหลังชนกัน พอดึกหน่อยก็รวมโต๊ะ ชนแก้ว

 

เรื่องที่มาชื่อร้านหุ้นส่วนว่าจริงๆ นั้นแรกเริ่มก็มาจากการ “ฟอร์ฮังกรี” ความหมายก็ “สำหรับคนหิวข้าว” หิวเมื่อไหร่ก็แวะมา ประมาณนั้น แต่พอเน้นเสียงสูงต่ำแบบฝรั่ง พูดไปพูดมา จากฟอร์ก็เพี้ยนเป็นโฟร์ และบวกกับหุ้นส่วนร้านมี 4 คน ผลจึงมาสรุปที่ “โฟร์ฮังกรี” โลโก้ก็ใส่เลขสี่ไทยซะ เก๋ไก๋นักแล

อารมณ์ร้านจะออกโทนดิบๆ ครึ้มๆ ย้อมใจให้มันเหมือนร้านแฮงที่แลดูลึกลับ จริงๆ ไม่มีอะไร แค่เขาเน้นผนังปูนเปลือย ผนังก็เต็มไปด้วยภาพวาดและข้อความที่ไร้สาระและมีสาระปะปนกัน ภาพวาดก็สวยบ้างเลอะบ้าง มองให้เป็นศิลป์มันก็เป็นศิลป์ ไม่มีอะไรให้ตีความ

 

ฝีมือการวาดการเขียนก็มาจากเหล่าเพื่อนๆ หุ้นส่วน ที่ช่วยกันออกไอเดียคนละไม้คนละมือ รวมทั้งเก้าอี้ โต๊ะ ก็มาจากของเหลือใช้ ที่บ้านไม่ใช้ ที่ออฟฟิศเป็นขยะ ก็ยกมาบริจาค ก็เข้าท่าดีไม่หยอก ต่อยอดประโยชน์ของเหลือใช้ให้กลายเป็นร้านเท่ๆ

ไปสะดุดที่โต๊ะหนึ่งอยู่ซ้ายมือ (เข้าไปเจอเลย) ระบุชัด “โต๊ะนี้กะเทยจอง” แหม! ผู้ชายทั้งแท่งมายังแหยง ขาใหญ่นะยะกล้าประกาศ (อิอิ) หุ้นส่วนร้านแอบอำ ใครนั่งโต๊ะนี้เป็นกะเทย ขำกันทั้งร้าน แต่เชื่อมั้ย โต๊ะนี้แหละใครมาก็นั่ง เพราะโลเกชั่นดีสุด หันมุมไหน องศาใด เห็นหมด (มิน่า)

 

มายกแก๊งเรียนเชิญนั่งชั้นสอง เหมาชั้นไปเลย เปิดเป็นพื้นที่ปาร์ตี้ส่วนตัว เฮฮากันด้วยบทสนทนาดีๆ เครื่องดื่มพร้อม อาหารพร้อม เดี๋ยวเขาจัดยกเสิร์ฟให้ถึงโต๊ะ ส่วนใครมาน้อยคนและอยากผจญกับความครึกครื้นก็นั่งชั้นล่าง โต๊ะนี้กะเทยจอง ลูกศรชี้เล็งเป้า นั่งแล้วใครไม่มองให้มันรู้ไป

ที่นี่เครื่องดื่มก็มีเบียร์กับเหล้า ค็อกเทลไม่มี ที่ไม่มีเพราะไม่มีคนทำ หุ้นส่วนเลยตัดรำคาญ เหลือแค่เครื่องดื่มที่สั่งง่ายๆ โดยเอาใจนักดื่มที่คุ้นเคยเครื่องดื่มไทย เบียร์นอกก็มีนิดหน่อย เมื่อถามหาเขาก็จัดให้ แต่ส่วนใหญ่ที่มาก็เบียร์ไทย หรือไม่ก็เหล้าแบน โซดา น้ำเปล่า น้ำแข็ง แถมราคาใจดี จบข่าว!

 

ไม่ต่างกัน อาหารก็มีทั้งจานด่วนจานเดียว ประเภทกับแกล้มก็มี แต่ไม่ใช่ยาวเหยียดเหมือนร้านข้าวต้มกุ๊ย “ข้าวผัดปลาร้าหมูกรอบ” รองท้องก่อนเป็นไง เสิร์ฟร้อนๆ อร่อยแน่ เพราะฝีมือแม่ครัวการันตีว่าเข้าใจหัวอกคนหิว แถมยังให้เครื่องแน่น จานนี้หอมปลาร้า ถูกใจคนเลิฟปลาร้า ต้องลองๆๆ

“ลาบหมูทอด” วางร้อนๆ ต้องรีบซัดเลย อย่าปล่อยให้ความเย็นมาทำลายความอร่อย รสลาบครบเครื่อง ไม่เหมือนกินมันฝรั่งรสลาบที่โรยผงลาบลงไปแล้วบอกว่าแซ่บหลายเด้อ

 

แต่ที่แซ่บอีหลี ก็ต้องยกให้ “ส้มตำถาด” จัดมาถาดขนาดพอเหมาะ 2-3 คนกิน เครื่องเคราส้มตำเห็นแล้วลายตา อะไรต่อมิอะไรมากมายจนบอกไม่ถูก เป็นเมนูที่แกล้มเครื่องดื่มได้ลงตัว เผ็ด เปรี้ยว เค็ม หวานนั่นแล้วแต่ชอบ เชื่อเถอะว่าจะทำให้การมาแฮงที่นี่ตาสว่าง

อ่อ! ก่อนรับประทานส้มตำถาด แนะนำว่ากรุณาคลุกเคล้าเครื่องเคราทุกสิ่งอย่างในถาดนั้นให้เป็นเนื้อคู่ตุนาหงันนะจ๊ะ ตักนี่นิด นั่นหน่อย จ้างให้ก็ไม่อร่อย มันต้องมั่วซั่วกันในถาด ขี้คร้านถาดเดียวไม่พอ ต้องเบิ้ลถาดต่อไป

 

โฟร์ฮังกรี เปิดบริการทุกวันจันทร์ถึงศุกร์ (หยุดวันเสาร์และอาทิตย์) ตั้งแต่ 11 โมงเช้า ยัน 5 ทุ่ม หรือ จำง่ายๆ 11AM11PM เลขสวย ติดลมก็นั่งเพลินๆ ได้จนเที่ยงคืน โทร. 08-9617-5136

 

Roadsidedog ร้านเก๋ๆ ของคนรักหมา

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์โพสต์ทูเดย์

11 กันยายน 2558 เวลา 16:58 น…. อ่านต่อได้ที่ : http://www.posttoday.com/travel/nightlife/387584

Roadsidedog ร้านเก๋ๆ ของคนรักหมา

โดย…พงศ์ พริบไหว ภาพ เสกสรร โรจนเมธากุล

เปิดมาได้ไม่ถึงสองเดือนดี แต่ก็มีลูกค้าแน่นร้านทุกวัน สำหรับร้าน “หมาข้างถนน” (Roadsidedog) ซึ่งนอกจากชื่อร้านจะมาจากการที่อยู่ติดถนนแล้ว มีความพิเศษคือเป็นร้านกินดื่มที่สามารถพาสุนัขมาเที่ยวฟังเพลงด้วยกันได้

บรรยากาศของร้านออกแนวสดใส สามารถหามุมเก๋ๆ ถ่ายรูปได้หลายมุม วันที่ไปเยี่ยมเยือนน่าเสียดายว่าพายุเข้าพอดิบพอดี ร้านจึงดูเปียกปอนไปเสียหน่อยเพราะเป็นร้านที่เปิดโล่ง มีต้นไม้ใหญ่คอยสร้างบรรยากาศธรรมชาติๆ ร้านตั้งใจให้เป็นเหมือนหมู่บ้านในแถบยุโรป มีการออกแบบสร้างบ้านดินปั้นและปราสาทล้อมรอบร้าน ซึ่งก็ให้อารมณ์ที่ชวนแปลกแต่ก็ดูสนุกไปอีกแบบ

 

ร้านแบ่งออกเป็นสามส่วน เริ่มจากโซนชิลๆ ที่นั่งกันง่ายๆ เพราะแต่ละพื้นที่ติดกัน ให้ฟีลโต๊ะต่อโต๊ะเหมือนการได้นั่งในท่าช้างย่านดังของ จ.เชียงใหม่ ใต้แสงไฟสลัวๆ ของแต่ละโต๊ะให้อารมณ์แอบโรแมนติกหน่อยๆ ถัดไปเป็นโซนห้องคาราโอเกะที่ตั้งอยู่ภายใน และสุดท้ายกับโซนที่สามารถเหมาจัดปาร์ตี้เฮฮากันกลุ่มใหญ่ ซึ่งแน่นอนว่าในอนาคตร้านแห่งนี้จะจัดการพื้นที่ให้แล้วเสร็จในเร็ววัน และคงได้เห็นอะไรใหม่ๆ ที่ทางร้านบอกว่าจะเข้ามาเติมเต็มให้ร้านหมาข้างถนนแห่งนี้สมบูรณ์ขึ้น

อีกสิ่งที่ขึ้นชื่อนอกจากรูปปั้นสุนัขขนาดใหญ่หน้าร้าน คืออาหารของที่นี่แม้ว่าจะเป็นเมนูไทยแท้ที่คุ้นชินกัน แต่ก็มีความเฉพาะตัวในรสชาติที่จัดจ้านถึงใจ ได้เนื้อได้รสของความเป็นอาหารไทยแท้ ที่มีส่วนผสมของวัตถุดิบเกรดดีจากต่างประเทศ

 

จานเด่นเหมาะกับนักดื่มคือ “เนื้อวางุจิ้มแจ่ว” ย่างสุกกำลังดีจนได้เนื้อที่นุ่มกินคู่กับน้ำจิ้มแจ่วรสจัดเหมาะเหลือเกินสำหรับเรียกน้ำย่อย ส่วนเมนูที่ห้ามพลาดอีกจาน “แซลมอนแช่น้ำปลา” เนื้อปลาสดๆ ที่ราดมากับน้ำจิ้มสูตรที่ทางร้านคิดขึ้นใหม่ถึงใจเหลือเกิน เมนูซิกเนเจอร์ของทางร้านอีกจาน “ยำหมาหมา” เป็นการผสมผสานระหว่างยำสามกรอบและยำไข่สุดแซ่บ เข้ากันๆ

มาที่เครื่องดื่มชื่อขำๆ “เมาเหมือนหมา” ที่มีเหล้าอยู่ในแก้วถึง 4 ตัว ค็อกเทลเซตเอาใจสาวๆ “หมาสามสหาย” สามารถเลือกรสชาติแนวผลไม้ได้สามรส

 

ร้านหมาข้างถนนจัดหนักกันกับการคัดสรรนักร้องเป็นอย่างมาก หากใครอยากนั่งฟังเพลงที่นี่ถือเป็นตัวเลือกที่ไม่เลว ยิ่งมาอยู่ในบรรยากาศสลัวๆ ใต้แสงเทียนภายในร้านแล้วก็ดูจะเคลิ้มกับบรรยากาศได้ไม่ยาก เอาเป็นว่าหากใครอยากเปลี่ยนบรรยากาศจากร้านในเมืองมีสไตล์หรูๆ แวะออกมานอกเมืองนิดหน่อยร้านแห่งนี้ก็เป็นตัวเลือกที่น่าสนใจ

ร้านตั้งอยู่บริเวณเลียบทางด่วนรามอินทรา อยู่ก่อนถึงซอยนวลจันทร์ โทร. 09-7162-6866

 

 

สแปลช เอาต์ พูลปาร์ตี้ เซ็กซี่เบาๆ ริมสระน้ำ

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์โพสต์ทูเดย์

10 กันยายน 2558 เวลา 10:12 น…. อ่านต่อได้ที่ : http://www.posttoday.com/travel/nightlife/387177

สแปลช เอาต์ พูลปาร์ตี้ เซ็กซี่เบาๆ ริมสระน้ำ

โดย…ไนท์กาย ภาพ : G Spot Ent

ในช่วงวันหยุดสุดสัปดาห์จะมัวแต่นั่งๆ นอนๆ เป็นนางห้องอยู่แต่ในบ้านก็เซ็งแย่เลยน่ะสิ แบบนี้มันต้องออกไปปาร์ตี้กันสักหน่อย แต่ผับบาร์ก็ไปบ่อยจนน่าเบื่อ งั้นลองเปลี่ยนบรรยากาศไปงานพูลปาร์ตี้เก๋ๆ ริมสระน้ำบ้างดีกว่า ลองไปดูซิว่าบรรยากาศภายในงานจะสนุกสนานเพียงใด

“สแปลช เอาต์ พูลปาร์ตี้” เป็นปาร์ตี้ริมสระน้ำในธีมสุดเก๋ ที่ผู้มาร่วมงานจะต้องสวมใส่ชุดว่ายน้ำแบบเซ็กซี่เบาๆ ตามสไตล์ของตัวเองมาร่วมสนุกสนานในปาร์ตี้ ซึ่งจะจัดขึ้นเป็นประจำทุกวันเสาร์แรกของเดือน
ณ ชั้นสระว่ายน้ำของโรงแรมดับเบิล ทรี บาย ฮิลตัน ซอยสุขุมวิท 26

 

งานนี้นอกจากจะได้เห็นผู้เข้าร่วมงานในชุดว่ายน้ำหรือกางเกงขาสั้นโชว์ความเซ็กซี่แล้ว ในงานยังมีแฟชั่นโชว์สุดพิเศษจากนายแบบและเน็ตไอดอลหน้าตาดี หุ่นเป๊ะเว่อร์มาเดินแบบโชว์ให้เป็นอาหารตาอาหารใจเป็นการสร้างสีสันให้กับงานด้วย แถมยังมีโชว์ลิปซิงก์และการเล่นเกมต่างๆ ที่สนุกสนานมากมาย โดยโชว์แรกเริ่มตั้งแต่เวลา 16.30 น. เป็นต้นไป

สำหรับใครที่ชอบแดนซ์ก็ไม่ผิดหวัง เพราะในงานยังมีการเปิดแผ่นด้วยเพลงมันส์ๆ ชวนให้แดนซ์กระจายจากดีเจชั้นนำขวัญใจชาวเราอย่าง “ดีเจ ดี ไอริช” และดีเจอื่นๆ อีกด้วย

แหมแค่ดูจากธีมของงานก็กิ๊บเก๋ไม่เหมือนใครแล้วล่ะ จึงไม่น่าแปลกใจหรอกที่งานพูลปาร์ตี้นี้จะมีทั้งคนไทย เอเชีย และฝรั่ง ซึ่งชาวเราพร้อมใจพากันตบเท้าเข้าร่วมงานกันเพียบ อ้อ! งานนี้ผู้หญิงก็สามารถมาร่วมงานได้ด้วยนะ เพราะความสนุกสนานไม่มีการจำกัดเพศอยู่แล้ว เพียงแค่คุณมั่นใจที่จะใส่ชุดว่ายน้ำและรักการแดนซ์ไปกับเสียงเพลงมันส์ๆ พูลปาร์ตี้ก็ยินดีอ้าแขนรับทุกคนเลยจ้ะ

 

ลองไปฟังคำยืนยันจาก “ต้น-พลพงษ์ พยัคฆ์มะเริง” นายแบบแนวเซ็กซี่ที่บอกว่า เขาไปร่วมงาน “สแปลช เอาต์ พูลปาร์ตี้” มาแล้วถึง 5 ครั้ง

“งานสแปลช เอาต์ พูลปาร์ตี้ เป็นปาร์ตี้ริมสระน้ำที่สนุกสนานและมีสีสันมากที่สุดงานหนึ่งในความรู้สึกของผม ผมไปงานนี้ครั้งแรกเพราะเพื่อนชวนไป พอไปหลายครั้งก็เริ่มรู้จักกับเพื่อนใหม่ๆ ทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติ ก็คุยกันมาเรื่อยๆ จนเริ่มสนิทกัน หลังจากนั้นผมก็ไปร่วมงานตลอด

อย่างที่ทราบว่างานนี้เป็นพูลปาร์ตี้ ถ้าใครหุ่นดี มีความมั่นใจ ก็สามารถนำกางเกงว่ายน้ำ หรือชุดว่ายน้ำไปเปลี่ยนเพื่อใส่เข้าร่วมปาร์ตี้ได้เลย อย่างผมด้วยอาชีพนายแบบซึ่งถ่ายแบบแนวเซ็กซี่อยู่แล้ว ผมจึงรู้สึกไม่ค่อยอายเท่าไหร่ที่จะใส่กางเกงว่ายน้ำต่อหน้าผู้ร่วมปาร์ตี้คนอื่นๆ ซึ่งส่วนใหญ่ก็จะเป็นกลุ่มเพื่อนๆ ที่รู้จักกันนั่นแหละ

 

แต่ใครที่ไม่ค่อยมั่นใจในรูปร่างตัวเอง ผู้ชายจะใส่กางเกงเซิร์ฟหรือกางเกงขาสั้นกับเสื้อกล้าม และผู้หญิงจะใส่ชุดว่ายน้ำที่ไม่ค่อยโป๊มากนัก ก็ไม่มีใครว่าคุณได้ เพราะสแปลช เอาต์ พูลปาร์ตี้ ไม่มีกฎกติกาที่ตายตัว ไม่ว่าคุณจะดริงก์ จะแดนซ์ จะเมาท์มอยกับเพื่อนๆ จะมาดูแฟชั่นโชว์สุดเซ็กซี่ หรือร่วมกิจกรรมเล่นเกมสนุกๆ ขำๆ เช่น ทายเพลงแจกดริงก์ และอื่นๆ ก็สามารถทำได้โดยไม่ต้องแคร์สายตาใคร

อย่างผมเองก็เคยขึ้นไปเต้นบนเวทีในงานอยู่บ่อยๆ แถมยังมีเพื่อนผู้หญิงขึ้นมาเต้นด้วยอย่างสนุกสนานอีกแน่ะ นับว่าเป็นการสร้างสีสันให้กับงานได้ดีทีเดียว ผมคิดว่าถ้าเราทำให้คนที่มาร่วมงานแฮปปี้ พวกเราก็รู้สึกแฮปปี้ไปด้วยครับ”

 

อ๊ะ! ทราบข้อมูลกันไปแล้ว ยังไงก็อย่าลืมหาโอกาสไปสัมผัสบรรยากาศจริงๆ ดูสักครั้งก็แล้วกัน เพราะมันอาจสนุกสนานเกินกว่าที่คุณคิดไว้ก็ได้นะ

“สแปลช เอาต์ พูลปาร์ตี้” จัดขึ้นทุกวันเสาร์แรกของเดือน ที่โรงแรมดับเบิล ทรี บาย ฮิลตัน ซอยสุขุมวิท 26 เริ่มตั้งแต่เวลา 14.00-20.00 น. ค่าบัตรเข้างาน 300 บาท www.GSpotEnt.com

 

อิ่มสุขริมทะเล อันดามัน บิสโทร แอนด์ บาร์

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์โพสต์ทูเดย์

04 กันยายน 2558 เวลา 09:29 น…. อ่านต่อได้ที่ : http://www.posttoday.com/travel/nightlife/386047

อิ่มสุขริมทะเล อันดามัน บิสโทร แอนด์ บาร์

โดย…คีตะ

ช่วงเวลาพักผ่อน (และทำงาน) ที่ภูเก็ตครั้งล่าสุดเต็มไปด้วยความสุข หนึ่งในช่วงเวลาแห่งความสุข คือ การใช้เวลาที่นี่ห่างจากสนามบิน 45 นาที ไม่กี่ก้าวจากอ่าวยนอันเงียบสงบ โรงแรมบัญดารา บีช ภูเก็ต ตั้งอยู่ตรงนั้น ณ เลขที่ 96 หมู่ 8 ต.วิชิต อ.เมือง จ.ภูเก็ต (โทร. 076-316-298) นอกจากจะเป็นที่พักแสนสะดวกสบายแล้วภายในโรงแรมแห่งนี้ยังมี “อันดามัน บิสโทร แอนด์ บาร์” ตั้งอยู่ที่ตึกบี ชั้น 2

บาร์และร้านอาหารแห่งนี้ประกอบด้วยบรรยากาศสวยงาม เหมาะสำหรับการนั่งชิลเพื่อผ่อนคลายริมสระน้ำ รวมทั้งทอดอารมณ์มองทะเลอันสดสวยเบื้องหน้า นอกจากอิ่มใจแล้วยังอิ่มท้อง ด้วยมีบริการอาหารตั้งแต่มื้อกลางวัน 11 โมง เรื่อยไปถึงมื้อค่ำ ช่วงเวลาแนะนำคือ ก่อนตะวันตกดินเรื่อยไปจนดึกดื่น (ร้านปิดเที่ยงคืน) น่ายึดไว้เป็นสถานที่สำหรับการแฮงเอาต์ยิ่งนัก

 

มาเยือนร้านนี้แล้วก็น่าจะได้ลองจิบเครื่องดื่มอันเป็นซิกเนเจอร์ของเขาที่เรียกว่า บันดารา ซันไรส์ น้ำสีส้มสดเสิร์ฟในแก้วทรงสูงเป็นเครื่องดื่มที่ผสมจากวอดก้า, ครีม เดอ บานาน่า, น้ำส้ม และเกรนาดีน นอกจากนั้นยังมี โซลาร์ อีคลิปส์ ผสมจากเบอร์เบิ้น, ออเรนจ์คูราเซา, น้ำส้ม, มะนาว, น้ำแครนเบอร์รี่ และใบมินต์ หรือจะเป็น อลาบาม่า สแลมเมอร์ สูตรนี้ได้มาจากเซาเทิร์น คอมฟอร์ต, วอดก้า, อมาเรตโต, น้ำแครนเบอร์รี่, น้ำส้ม และเกรนาดีน ผสมผสานกัน

อีกหนึ่งเมนูชื่อห้าวๆ ว่า ไทเกอร์ชาร์ค เกิดจากวอดก้า, เพอร์น็อด (อนิส), น้ำสับปะรด, น้ำมะนาว, ไซรัป และใบมินต์ นอกจากนี้ยังมีเครื่องดื่มค็อกเทลสูตรคลาสสิกมากมายให้เลือกทั้ง ลองไอส์แลนด์ ไหมไทย พินาโคลาดา สิงคโปร์สลิง มาการิตา ฯลฯ ไวน์เลิฟเวอร์ก็สบายใจได้ เพราะตัวเลือกในไวน์ลิสต์นั้นหลากหลายไม่น้อย

สาวๆ ที่นิยมเครื่องดื่มนันแอลกอฮอล์ที่นี่เขามีม็อกเทลสวยๆ ให้เลือกดื่ม ไม่ว่าจะ ซินเดอเรลลา (ดื่มแล้วรู้สึกสวยเหมือนนางเอกในเทพนิยาย) ผสมจากน้ำสับปะรด, น้ำส้ม, เกรนาดีน และจิงเจอร์เอล หรือจะลองเวอร์จิ้นพิน่าที่ให้อารมณ์ทะเล้ทะเลด้วยน้ำสับปะรด, น้ำมะพร้าว และไซรัป ที่นำมาปรุงแต่งเข้าด้วยกัน หรือถ้าอยากได้สมูทตี้ก็มีให้ลองทั้งรสผลไม้อย่าง แมงโก้ดีไลท์ หรือราสพ์เบอร์รี่แมงโก้ ส่วนวานิลลาคอฟฟี่น่าจะเหมาะสำหรับคนชอบหวานๆ ขมๆ มันๆ

มีเครื่องดื่มแล้วก็ต้องแกล้มด้วยอาหาร อันดามัน บิสโทร แอนด์ บาร์ ให้บริการความอร่อยรสไทย-อินเตอร์ โดยมีกลิ่นอายท้องถิ่นภาคใต้เข้าไปผสมผสาน ไม่ว่าจะเป็นมื้อเบาๆ อย่างทาปาสหรืออาหารเรียกน้ำย่อยรับประทานง่ายๆ สะดวกๆ หรือจะเป็นมื้อค่ำแบบเต็มอิ่มท้องอิ่มตาด้วยอาหารสวยงาม เอร็ดอร่อย และน่าทึ่งในความคิดสร้างสรรค์ ซึ่งดูแลโดย สกันท์ มณีพันธุ์-ซีเนียร์ เอ็กเซ็กคิวทีฟ เชฟ ผู้สั่งสมประสบการณ์จากร้านอาหารทั้งที่ออสเตรเลียและในกรุงเทพฯ มาก่อน

 

 

ค่ำนั้นเราเริ่มต้นด้วยอาหารเบาๆ เรียกน้ำย่อยอย่างแซนด์วิชเป็ดกงฟีย่างเสิร์ฟพร้อมมันฝรั่งสไตล์โฮมเมด ตามด้วย ชิลลี่ดับเบิ้ล คือ พริกหยวกยัดไส้ชีสเสิร์ฟมากับมูสไก่-กุ้งและซัลซ่า จานต่อไปอยากให้ลองจริงๆ กับ ออทัมน์เทมปุระ ซึ่งนำผักท้องถิ่นภาคใต้ที่หาไม่ได้ง่ายๆ มาทอดแล้วรับประทานกับน้ำจิ้มเทมปุระ แม้แต่คนที่ไม่ค่อยชอบผักยังออกปากว่าอร่อย แล้วก็มาจิ้มๆ กับดิปปิ้งแพลตเตอร์ ที่วันนั้นมีสโมกแซลมอนตาเปนาด คือ มะกอกบดผสมแซลมอนรมควัน จิ้มรับประทานกับพิต้าเบรดกรุบๆ กรอบๆ

พอน้ำย่อยทำงานเต็มกำลังก็ถึงเวลารับประทานดินเนอร์ให้เป็นเรื่องเป็นราว อาจจะย้ายที่นั่งจากกลางแจ้งริมสระเข้าสู่พื้นที่อินดอร์สบายๆ แล้วล้างปากด้วยเชอร์เบตรสเมลอนและแตงกวาเพื่อปรับลิ้น ก่อนพบกับมื้อค่ำอย่างเช่น สลัดและกุ้งคาร์ปาชโช มาพร้อมเดรสซิ่งรสจัดจ้าน อารมณ์คล้ายกุ้งแช่น้ำปลาหน่อยๆ ต่อด้วยปลากะพงแดงกับริซอตโต้มันฝรั่งและซุปมะเขือเทศมีกลิ่นอายรสชาติแบบอาหารไทยภาคใต้ผสมเข้ามา แล้วจึงเป็นกุ้งตัวโตทอดกระเทียม พริก และผักชี ตามด้วยซี่โครงแกะย่างเสิร์ฟกับซอสสีเขียวซึ่งช่วยเสริมรสและดับกลิ่นแกะได้อย่างเยี่ยม ใครชอบรับประทานข้าวก็น่าจะชอบจานนี้ คือ ข้าวหมกนกกระทา เสิร์ฟกับซอสรสจัดเล็กน้อย และปิดมื้ออร่อยด้วยไอศกรีมซันเดย์ซึ่งทุกคนสามารถที่จะตกแต่งหน้าตาและรสชาติด้วยท็อปปิ้งที่เลือกเองได้

ด้วยอาหาร เครื่องดื่ม บรรยากาศ และวิวทิวทัศน์ ทุกอย่างที่ อันดามัน บิสโทร แอนด์ บาร์ ทำให้เวลาดูเหมือนจะผ่านไปอย่างรวดเร็ว พร้อมกับความสุขที่เพิ่มพูนขึ้นเรื่อยๆ จนฟินสุดๆ ไปเลย

 

นั่งชิลๆ ในร้านเก๋ ‘วีว่า 21’

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์โพสต์ทูเดย์

28 สิงหาคม 2558 เวลา 17:06 น…. อ่านต่อได้ที่ : http://www.posttoday.com/travel/nightlife/384829

นั่งชิลๆ ในร้านเก๋ ‘วีว่า 21’

โดย…อีตติง อาร์ต ภาพ ทวีชัย ธวัชปกรณ์

เย็นย่ำของวันศุกร์ก้าวเข้าสู่สุดสัปดาห์ ถ้าไม่รีบกลับบ้านจนเกินไป ลองแวะไปหาที่นั่งชิลๆ ในร้านเก๋ๆ สักร้านก็น่าจะดีมิใช่น้อย และแล้วก็มาสะดุดตาเข้าอย่างจังกับร้าน “วีว่า 21” (Viva 21) ที่เป็นทั้งร้านอาหารและบาร์ในย่านทองหล่อเข้าพอดี

ภายในตัวร้านตกแต่งสไตล์ลอฟต์ผสมผสานความเป็นวินเทจ โดยใช้วัสดุประเภทเหล็กและไม้เป็นโครงสร้างหลัก ประดับประดาด้วยโคมไฟ รอกที่ทำจากโซ่เหล็ก ไก่ฟ้าสตาฟฟ์ เขากวาง และอื่นๆ บรรยากาศโดยรวมจึงได้กลิ่นอายความเป็นวินเทจที่มีมู้ดแอนด์โทนเหมือนกับร้านอาหารกึ่งบาร์ในต่างประเทศเลยล่ะ

 

เมื่อเดินเข้ามาที่บริเวณชั้น 1 จะเห็นเคาน์เตอร์บาร์ตั้งเด่นเป็นสง่า มีโต๊ะเก้าอี้ทรงสูงตั้งเรียงขนานไปกับทางเดิน สามารถนั่งดื่มสบายๆ คลอเคล้าเสียงเพลงที่เปิดให้ฟังเพลินๆ โดยสั่งเมนูสแน็กที่แปลกใหม่ของร้านมากินคู่กับเครื่องดื่มก็ได้

บริเวณชั้น 2 จะเป็นไดนิ่งรูม 1 ห้องใหญ่ เหมาะสำหรับดินเนอร์ไปด้วย คุยธุรกิจไปด้วยเป็นที่สุด ส่วนที่ชั้น 3 ก็เป็นไดนิ่งรูมเช่นกัน แต่ชั้นนี้จะมีโต๊ะให้นั่ง 6-7 โต๊ะด้วยกัน มีพื้นที่กว้างเพียงพอสำหรับคนที่ต้องการดินเนอร์แบบสองต่อสอง กับกลุ่มเพื่อนๆ หรือกับครอบครัว เพราะที่ชั้น 2 และ 3 นี้จะเสิร์ฟอาหารแบบฟูลคอร์สให้กับลูกค้าที่โทรจองโต๊ะไว้

เมนูของร้านเป็นอาหารสไตล์นิวยอร์กฟิวชั่น เริ่มจากเมนูแรกที่ขอแนะนำก่อนเลย “Snack Selection” เมนูนี้ประกอบด้วยอาหาร 6 ชนิด คือ แมงโก้ กาซปาโช (ซุปมะเขือเทศ-มะม่วงที่เสิร์ฟมาเป็นแก้วเล็กๆ) เรด เคอร์รี่ & สโมกดั๊ก ครอเกตต้าส์ (เนื้อเป็ดรมควันปั้นเป็นก้อนแล้วทอด) สควิด อิงก์ ครอเกตต้าส์ (ปลาหมึกปั้นเป็นก้อนแล้วทอด) สแปนิช ออมเลต (ไข่ออมเลตเป็นชิ้นแบบสเปน) คอริโซ & เควล เอ๊ก โทสต์ (ขนมปังโทสต์ไข่) และจิลด้า วิธ แองโชวี & โอลีฟ ออยล์ (แองโชวีปรุงรสเสิร์ฟมาในแก้วน้ำมันมะกอกเล็กๆ) เมนูนี้เหมาะสำหรับกินคู่กับเครื่องดื่มหรือค็อกเทลมากๆ

 

ต่อด้วย “Wild Salmon Gravlax” จานนี้ใช้เนื้อแซลมอนนำเข้าจากอลาสกา เสิร์ฟพร้อมกับครีมชีสและขนมปังเบเกิลกรอบ แม้หน้าตาเมนูดูสวยงามแปลกตา แต่เชฟบิลลี่ (เชฟประจำร้าน) บอกว่า เขาตั้งใจทำให้มีลักษณะเป็นแซนด์วิชรูปแบบใหม่ ฉะนั้นเวลากินจึงต้องกินทั้งแซลมอน ครีมชีส และเบเกิลกรอบไปพร้อมๆ กันในคำเดียว ถึงจะได้รสชาติที่แสนอร่อยอย่างแท้จริง

 

อีกเมนูคือ “Steak Tartare” (Nam Tok) เมนูแปลกใหม่ที่ใช้เนื้อสันในมาหั่นเป็นชิ้นเล็กๆ แล้วปรุงรสชาติแบบน้ำตกอาหารอีสานบ้านเฮา เสิร์ฟมาพร้อมกับข้าวเหนียวทอดกรอบ ได้รสชาติอร่อยแซ่บโดนใจ นอกจากนี้ยังมีเมนูเด็ดๆ ที่น่าสนใจให้คนรักการชิมได้ลิ้มลองอีกหลากหลายเมนู ไล่มาตั้งแต่เมนูประเภทสแน็กสำหรับคนชอบดริงก์ เมนูหลักประเภทสเต๊กและพาสต้าต่างๆ รวมทั้งเมนูของหวานก็มีให้เลือกตบท้ายดินเนอร์มื้อนี้ด้วย ชอบแบบไหนก็จัดไปได้เลย ราคาอาหารเริ่มที่ 200-1,500 บาท

 

แนะนำอาหารไปแล้ว มาที่ค็อกเทลกันบ้าง เริ่มจาก “Lost Star” แก้วสีฟ้าใส ได้รสชาติเปรี้ยวๆ แก้วนี้มีส่วนผสมของจิน บลูคาราเซา ไข่ขาว และมะเฟือง ต่อมาคือ “Al Capone” แก้วนี้ดีกรีค่อนข้างแรงอยู่สักหน่อย มีส่วนผสมของเหล้าชั้นดี 2 ชนิด วิสกี้ชั้นดี 2 ชนิด น้ำผึ้ง เลมอน และสปาร์กลิ้งโซดา ปิดท้ายด้วย “Lovely Polly” แก้วนี้ดีกรีเบาๆ เหมาะสำหรับสาวๆ มีส่วนผสมของ รัม มาร์ตินี และกลีบกุหลาบ

แหม! บรรยากาศร้านเก๋ไก๋แปลกตา เมนูอาหารอร่อยสร้างสรรค์แบบนี้ ถ้าใครกำลังมองหาที่แฮงเอาต์สำหรับค่ำคืนวันศุกร์อยู่ละก็ แนะนำให้ลองมาที่ “วีว่า 21” นี้เลย

ร้านอยู่ระหว่างปากซอยทองหล่อ 19 และทองหล่อ 21 (เยื้องๆ สน.ทองหล่อ) เปิดบริการทุกวัน ตั้งแต่ 17.00-01.00 น. โทร.02-712-8184, www.facebook.com/vivathonglor21

 

ชิลๆ ในอารมณ์แจ๊ซบาร์ที่ ‘จะกินอย่าบ่น’

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์โพสต์ทูเดย์

07 สิงหาคม 2558 เวลา 16:47 น….. อ่านต่อได้ที่ : http://www.posttoday.com/travel/nightlife/380777

ชิลๆ ในอารมณ์แจ๊ซบาร์ที่ ‘จะกินอย่าบ่น’

โดย…อีตติง อาร์ต ภาพ กิจจา อภิชนรจเรข

จะกินอย่าบ่น” ร้านอาหารกึ่งแจ๊ซบาร์ที่เน้นเครื่องดื่มและเสิร์ฟอาหารง่ายๆ ในสไตล์ของตัวเอง ร้านนี้ตั้งอยู่บนหัวถนนพระสุเมรุ (ตัดกับถนนราชดำเนินกลาง) ด้วยมู้ดแอนด์โทนและบรรยากาศที่แสนจะชิล ทำให้มีลูกค้าหนุ่มสาวออฟฟิศและคนทั่วไปแวะเวียนมาไม่ขาดสาย

เมื่อก้าวเข้าไปในร้านจะพบกับการตกแต่งในแนวป๊อปดีไซน์ที่แต่งแต้มไปด้วยสีสันของภาพวาดบนผนังกำแพงตึกเก่าอายุกว่า 90 ปี ที่บรรยากาศความเป็นตึกแบบดั้งเดิมยังได้รับการรักษาไว้อย่างดี

ลูกค้าที่แวะมาที่ร้านสามารถเลือกที่นั่งด้านนอกเพื่อชมวิวภูเขาทองและโลหะปราสาทได้ ส่วนใครชอบบรรยากาศด้านในก็เลือกนั่งได้ทั้งชั้น 1 และชั้น 2 พร้อมทั้งฟังวงแจ๊ซบรรเลงเพลงเพราะๆ ไปกินข้าวไปก็ได้เช่นกัน

มาถึงเมนูอาหารบ้าง “สตีฟ” เจ้าของร้านบอกว่า จากการที่เขาเคยเปิดร้านอาหารไทยที่ชื่อ “สตีฟ คาเฟ่ แอนด์ ครุยซีน” มาแล้วสองสาขา มักจะได้รับฟีดแบ็กจากสังคมโซเชียลเน็ตเวิร์กซึ่งบ่นนั่นบ่นนี่อยู่เสมอ เขาจึงอยากบอกกับหลายคนว่า “ช่วงเวลาที่มีความสุขก็คือช่วงเวลาของการรับประทานอาหาร ฉะนั้นอย่าบ่นอะไรมากมาย ให้ปล่อยวางและมีความสุขกับการกินอาหารเถอะ”

รวมถึงอีกเหตุผลก็คือ อาหารร้านนี้จะเป็นเมนูแบบง่ายๆ ซึ่งเขาคิดค้นขึ้นเองทั้งหมด ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นเมนูสไตล์ฟิวชั่นผสมผสานกันทั้งไทย ญี่ปุ่น ยุโรป นี่จึงเป็นที่มาของชื่อร้านไปโดยปริยาย

เมนูแนะนำวันนี้ เริ่มจาก “สตีฟ เบอร์เกอร์” เป็นเบอร์เกอร์ออริจินัลที่ตัวขนมปังทำจากบีทรูท มาพร้อมไส้เบอร์เกอร์สองชั้นซึ่งเป็นหมูย่างตะไคร้พริกขี้หนูสด ราดด้วยซอสดอกกุหลาบปั่นกับมายองเนส ได้รสชาติอร่อยถูกปาก

ต่อด้วย “แพท เบอร์เกอร์” ที่ตัวขนมปังทำจากฟักทอง ไส้เบอร์เกอร์ทำจากเนื้อนกกระจอกเทศสองชั้น ราดด้วยซอสพริกไทย ได้รสชาติที่แตกต่าง นอกจากนี้ยังมีเบอร์เกอร์อื่นๆ ที่ตัวขนมปังทำจากชาร์โคล โฮลวีตและข้าวเหนียวดำ ซึ่งลูกค้าสามารถเลือกได้อีกด้วย

มาถึง “สปาเกตตีผัดแห้งต้มยำทะเล” บ้าง ดูจากชื่อก็รู้ว่าเป็นเมนูฟิวชั่น แต่ขอบอกว่าจานนี้นอกจากเส้นสปาเกตตีที่เหนียวนุ่มแล้ว รสชาติจากซอสผัดแห้งต้มยำทะเลยังเข้มข้นถูกใจคนรักรสชาติไทยๆ แบบเรามากๆ

“แซลมอนผัดกะปิ” เมนูนี้ห้ามพลาด โดยปกติแล้วที่ร้านอื่นมักจะใช้กุ้งผัดกับกะปิ แต่ที่นี่ใช้เนื้อแซลมอนหั่นเต๋า ซึ่งพอผัดกับกะปิเสร็จใหม่ๆ จะได้กลิ่นหอมหวนชวนกิน ยิ่งได้ข้าวสวยร้อนๆ สักจานด้วยนะ โหย! แซบเว่อร์

ปิดท้ายด้วย “ฟิช แอนด์ ชิปส์” เนื้อปลาทอดและมันฝรั่งทอดกรอบนอกนุ่มใน กินคู่กับซอสสูตรเฉพาะและสลัดเพื่อตัดเลี่ยน เป็นอีกเมนูที่น่าสนใจและไม่ควรพลาด นอกจากนี้ยังมีเมนูอาหารไทยฟิวชั่นจานอื่นๆ และพิซซ่าอิตาเลียนโฮมเมดหน้าต่างๆ เช่น พิซซ่าหน้าเนื้อใจเสือ (หน้ากะเพรา) พิซซ่าหน้าไหว้หลังหลอก (หน้ายำปลากระป๋อง) และพิซซ่าหน้าลาบไก่ รวมทั้งสปาเกตตีจานเด่นอีกหลายจานให้เลือกด้วย ราคาอาหารเริ่มที่ 160-220 บาท

พอกินเสร็จบรรยากาศก็เย็นย่ำ วงดนตรีแจ๊ซเริ่มบรรเลงพอดี ขอนั่งชิลๆ ต่ออีกสักพักโดยสั่งค็อกเทลเซต “สตีฟ คัลเลอร์ฟูล” มาลองจิบดีกว่า เซตนี้มีค็อกเทล 3 แก้ว 3 สี คือ “สีเขียว” มีส่วนผสมของแอปเปิ้ลไซรัป มาร์ตินี วอดก้า และน้ำมะนาว “สีฟ้า” มีส่วนผสมของบลูฮาวาย วอดก้า และบลูคาราเซา และ “สีแดง” มีส่วนผสมของวอดก้า บาร์คาดี น้ำพันช์ และน้ำมะนาว เซตนี้ดีกรีค่อนข้างแรงอยู่สักหน่อย ใครที่ไม่ดื่มแอลกอฮอล์แนะนำให้สั่งอิตาเลียนโซดามากินคู่กับอาหารก็เข้ากันได้ดี

หากคุณกำลังมองหาร้านบรรยากาศดี ดนตรีแจ๊ซไพเราะ อาหารอร่อย แนะนำให้มาที่ “จะกินอย่าบ่น” ร้านอยู่บนถนนพระสุเมรุ เยื้องกับหอศิลป์สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ เปิดบริการทุกวัน จันทร์-ศุกร์ 12.00-14.30 น. และ 17.00-24.00 น. เสาร์-อาทิตย์ 12.00-24.00 น. มีวงแจ๊ซเล่นสลับกันทุกวัน อาทิตย์-พุธ 20.00-22.00 น. พฤหัสบดี-เสาร์ 19.00-23.30 น. (เล่นสองวง) โทร. 02-282-4003, IG : @jakinyabon, www.jakinyabon.comฃ

 

การค้นพบและความสุข EST.33 @ The Up

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์โพสต์ทูเดย์

31 กรกฎาคม 2558 เวลา 13:44 น…. อ่านต่อได้ที่ : http://www.posttoday.com/travel/nightlife/379411

การค้นพบและความสุข EST.33 @ The Up

โดย…คีตะ ภาพ กฤษณ์ พรหมสาขา ณ สกลนคร

ลังจากเปิดสาขาที่ ซีดีซี และ เดอะ ไนน์ พระราม 9 แล้ว “EST.33” ก็ขยับเข้าใกล้ใจกลางเมืองมาเปิดสาขาใหม่ล่าสุดที่ ดิ อัพ พระราม 3 ตรงแยกรัชดา-นราธิวาสฯ

จากที่เคยไปเยือน EST.33 สาขาอื่นมาก่อน ก็พบว่าสาขาที่ ดิ อัพ พระราม 3 นี้ ตกแต่งได้ดูอลังการมีเสน่ห์แบบ “ดิบและเนี้ยบ” การตกแต่งของร้านนี้ได้รับแรงบันดาลใจมาจาก “การค้นพบที่ยิ่งใหญ่” หรือ “The Great Discovery” ซึ่งเล่าเรื่องในอดีตตั้งแต่เมื่อครั้งที่พระยาภิรมย์ภักดีเดินทางไปเยอรมนีและได้พบกับเครื่องดื่มที่เรียกว่า เบียร์ ก่อนกลับมาเปิดโรงเบียร์แห่งแรกในเมืองไทย อันเป็นจุดเริ่มต้นของบุญรอดบริวเวอรี่และเบียร์สิงห์ โครงสร้างรูปเรือที่อยู่ใต้หลังคาร้านนั้นยิ่งใหญ่ แปลกตาน่าค้นหา ห้องเก็บเบียร์สดและถังเบียร์รอบร้านเป็นของตกแต่งที่ชวนมอง

 

สิ่งที่เป็นเสน่ห์ดึงดูดใจให้ลูกค้าต้องกลับมาร้านนี้เสมอๆ คือ เบียร์ ในมวลหมู่แฟนคลับของ EST.33 คงจะคุ้นเคยดีกับเบียร์ Original, Copper และ Weizen Beer ซึ่งพร้อมเสิร์ฟเสมอ นอกจากนั้นยังมีเบียร์พิเศษที่นำเสนอเป็นทางเลือกตามวาระ อย่างช่วงที่เราไปเยือนนั้นก็มีรสชาติใหม่อย่างเบียร์เสาวรสให้สั่ง ตัวเลือกในหมู่เครื่องดื่มยังรวมถึงค็อกเทลอย่างเมนูชื่อเดียวกับชื่อร้านคือ EST.33 ที่ผสมจากวอดก้า วานิลลา น้ำแครนเบอร์รี่ น้ำราสพ์เบอร์รี่ และมะนาวสด อีกหนึ่งเมนูมีชื่อเท่ๆ ว่า ทาร์, แจ็ก ทาร์ เป็นการรวมตัวตามสัดส่วนของ เตอร์กิล่า มิโดริ บลูคูราโซ่ น้ำเสาวรส และน้ำพีช ม็อกเทลอร่อยๆ แบบไร้แอลกอฮอล์ก็มีให้เลือกมากมาย

อาหารของ EST.33 นั้น ไม่ใช่แค่กับแกล้ม แต่เป็นเมนูอาหารเต็มรูปแบบที่อิ่มได้จริงๆ จังๆ เชฟใหญ่แห่ง EST.33 คือ สรมย์เวท ธีระพจน์ แนะนำว่า มาแล้วต้องลองซี่โครงหมูซอสบาร์บีคิว สูตรของ EST.33 เนื้อนุ่ม หลุดร่อนจากกระดูกอย่างง่ายดาย รสชาติดี เผ็ดหน่อยๆ ด้วยพริกปาปริก้า คาเยน และฮาบาเนโร่ นอกจากนั้นยังมีสลัดไก่กรอบพร้อมซอสเสาวรส สำหรับคนรักปลาอาจจะลองแซลมอนทอดเสิร์ฟพร้อมเห็ดผัดเนย หรือจะเป็นเซียร์ทูน่าสลัดราดน้ำยำรสจัดจ้าน ใครชอบอาหารมีเส้นก็ต้องลองแองเจิ้งแฮร์กุ้งผัดพริกกระเทียม อีกเมนูเด็ด คือ พาสต้าผัดพริกไทยดำกับปูนิ่มทอดราดซอสมะขาม สาวๆ มาที่นี่ก็ไม่ต้องกลัวอดของหวาน ด้วย เบียร์รามิสุหรือจะเป็น พานาคอตตาชาไทย จะทำให้คุณฟินได้ ใครที่เคยมาแล้วก็กลับไป EST.33 ได้บ่อยๆ ไม่ต้องกลัวซ้ำซาก เพราะเชฟสรมย์เวทและทีมงานสรรหาเมนูใหม่ๆ ใหม่มานำเสนอตลอดๆ การันตีความอร่อยโดยทีมงานครัวที่ชนะรางวัลระดับประเทศ Thailand Ultimate Chef Challenge มาหมาดๆ

สำหรับคนรักดนตรีแสดงสด ที่นี่ก็น่าจะเป็นตัวเลือกที่ดี เพราะทุกค่ำคืนมีนักร้องนักดนตรีฝีมือเยี่ยมมาประจำการให้ความบันเทิงที่นี่ EST.33 ตั้งอยู่ที่โครงการ ดิ อัพ พระราม 3 โทร. 08-5483-1933 ร้านเปิดทุกวันตั้งแต่เวลา 17.00-24.00 น. และ 01.00 น. ในวันศุกร์และเสาร์

EST.33 เหมาะเป็นสถานที่สำหรับพบปะสังสรรค์เพื่อนฝูงหลังเวลาทำงาน ที่นี่ความสุขจากการดื่ม กิน และพูดคุยจะถูกค้นพบ

 

เดอะ สเตรนเจอร์ บาร์ ไมตรีจากคนแปลกหน้าหาได้ที่นี่

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์โพสต์ทูเดย์

30 กรกฎาคม 2558 เวลา 11:57 น…. อ่านต่อได้ที่ : http://www.posttoday.com/travel/nightlife/379192

เดอะ สเตรนเจอร์ บาร์ ไมตรีจากคนแปลกหน้าหาได้ที่นี่

โดย…ไนท์กาย ภาพ วีรวงศ์ วงศ์ปรีดี

เย็นย่ำวันศุกร์หลังเลิกงานจะรีบกลับบ้านฝ่ารถติดกันไปทำไม หาที่นั่งดริงก์เบาๆ ในบรรยากาศชิลๆ ดีกว่า ว่าแล้วก็เดินเข้ามาที่สีลมซอย 4 และต้องสะดุดตากับชื่อร้าน “เดอะ สเตรนเจอร์” บาร์สุดเก๋ซึ่งเป็นสถานที่แฮงเอาต์ของชาวเราที่ดูแตกต่างจากร้านอื่น

เมื่อก้าวเข้ามาเราได้พบกับ “เอ็ม สเตรนเจอร์” เจ้าของร้านที่แต่งตัวจัดเต็ม ทั้งเสื้อผ้า หน้าผม ในลุคแดร็กควีนสาวสุดเซ็กซี่ เอ็มบอกว่า ร้านนี้เธอกับแฟนหนุ่มชาวไอริชซึ่งพบรักกันที่เมืองไทย ร่วมหุ้นกันเปิดร้านมาได้ 3 ปีแล้ว ซึ่งเท่าที่ผ่านมาก็มีลูกค้าพากันแวะเวียนมาที่ร้านอย่างเหนียวแน่น

“เดอะ สเตรนเจอร์ บาร์ เป็นร้านเล็กๆ ที่ตกแต่งให้มีมู้ด แอนด์ โทน สไตล์มืดๆ ดาร์กๆ เหมือนบาร์เล็กๆ ย่านบรู๊กลินหรือบรองซ์ในนิวยอร์ก โดยเน้นโทนสีดำ ผนังร้านตกแต่งด้วยหน้ากากมากมายที่สื่อความหมายอิงกับชื่อร้านด้วย กลุ่มลูกค้าประจำส่วนใหญ่ที่มาจะเป็นคนไทย แต่ก็มีกลุ่มชาวต่างชาติอายุน้อยที่ทำงานอยู่เมืองไทยเป็นลูกค้าประจำด้วยเช่นกัน เรียกว่ามีฐานลูกค้าที่มั่นคงพอสมควร

 

ที่ร้านจะเปิดเพลงแนวป๊อปแดนซ์และเฮาส์ซึ่งเป็นสไตล์เพลงที่ลูกค้าชอบ นอกจากนี้ยังมีโชว์เด่นๆ อย่างเช่น แฟชั่นโชว์และแดร็กควีนโชว์ ซึ่งช่วงแรกๆ เอ็มจะรับหน้าที่เดินแฟชั่นโชว์กับทีมพร้อมกับโชว์แดร็กควีนเองด้วย แต่พอมาระยะหลังนี้ก็ได้ ‘ปัน ปัน’ แดร็กควีนที่กำลังมีชื่อเสียงมาโชว์ให้ ซึ่งลูกค้าส่วนใหญ่ก็จะชอบปัน ปันมาก”

เอ็ม เสริมว่า เสน่ห์ของ เดอะ สเตรนเจอร์ บาร์ น่าจะอยู่ตรงที่ลูกค้าส่วนใหญ่ที่มาที่นี่จะมนุษยสัมพันธ์ดีและเป็นมิตรกันได้ทั้งไทยและฝรั่ง ส่วนเสน่ห์อีกอย่างน่าจะเป็นเพราะที่นี่เป็น Pre Bar หรือสถานที่แวะพักก่อนที่ลูกค้าจะไปเที่ยวผับหรือเธคต่อที่สีลมซอย 2 นั่นเอง

อ๊ะ! ฟังเจ้าของร้านไปแล้ว ลองมาฟัง “ปัน ปัน” หรือ “แพนแพน นาคประเสริฐ” แดร็กควีนดาวเด่นประจำร้านพูดถึงการโชว์บ้าง

ปัน ปัน บอกว่า การโชว์แดร็กควีนคือการที่เกย์หรือผู้ชายจริงมาแต่งหญิงเพื่อการแสดง ซึ่งจะแตกต่างจากการโชว์ลิปซิงก์ทั่วไปที่ส่วนใหญ่มักจะเป็นสาวประเภทสองมาโชว์ซะมากกว่า

“การโชว์ของเราจะเป็นการเต้นแวกกิ้ง (Waacking Dance) ซึ่งเป็นการเต้นในยุค 1970 โดยใช้มือ ใช้ท่าทาง การโพสท่า และการเคลื่อนไหวประกอบเพลงดิสโก้ รวมทั้งการเป็นเอ็มซี เล่นเกม ทายเพลง ให้ลูกค้าได้ลิปซิงก์ตามด้วย ซึ่งแฟนคลับหรือคนที่ชอบเราส่วนใหญ่แล้วจะเป็นคนไทยแต่ก็มีชาวต่างชาติด้วยเหมือนกัน ซึ่งพวกเขาเหล่านี้บอกว่าชอบโชว์ของเรามากเพราะแตกต่างจากที่อื่น แถมเรายังเต้นหนัก เต้นแรง เลยรู้สึกสนุกดี

ซึ่งปัจจุบันนี้เราก็ทำอาชีพโชว์มาได้ 1 ปีแล้ว โดยโชว์ประจำที่ ‘เดอะ สเตรนเจอร์ บาร์’ ทุกวันพุธและวันศุกร์ เวลา 22.00-01.00 น.และโชว์ที่ ‘แมกกี้ส์ ชูว์’ ทุกวันอาทิตย์ เวลา 22.00-01.00 น. เช่นกัน จากเมื่อก่อนที่เราเคยทำงานประจำมาก่อน แต่ก็รู้สึกเบื่อ บวกกับเราเป็นคนชอบเต้นและยังเคยเข้าแข่งขันในรายการ ‘ไทยแลนด์ แดนซ์ นาว’ มาก่อน แถมยังเป็นครูที่รับสอนเต้นแวกกิ้งอีกด้วย เลยคิดว่าเราควรทำงานที่ตัวเองรักก็น่าจะดีและมีความสุขมากกว่า”

ปัน ปัน ทิ้งท้ายว่า นอกจากโชว์ทั้งสองสถานที่นี้แล้ว เธอยังเป็นหนึ่งในทีมงาน “จี สปอต เอนเตอร์เทนเมนต์” ซึ่งรับหน้าที่โชว์และเป็นฝ่ายเอ็นเตอร์เทนลูกค้าตามสถานที่ที่จัดงาน “จี สปอต ปาร์ตี้” อีกด้วย

เอ้า! วีกเอนด์นี้ใครอยากเติมความแปลกใหม่ให้กับชีวิต เชิญได้ที่ “เดอะ สเตรนเจอร์ บาร์” ร้านอยู่ที่สีลมซอย 4 เปิดบริการทุกวัน ตั้งแต่เวลา 19.00-02.00 น. ดูข้อมูลได้ที่ Facebook : The Stranger Bar

 

ดื่มแบบมีสไตล์ ใน เมลโล่ เดอะคริสตัลปาร์ค

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์โพสต์ทูเดย์

24 กรกฎาคม 2558 เวลา 17:55 น…. อ่านต่อได้ที่ : http://www.posttoday.com/travel/nightlife/378223

ดื่มแบบมีสไตล์ ใน เมลโล่ เดอะคริสตัลปาร์ค

โดย…พงศ์ พริบไหว ภาพ กัณณ์ กาญจนประชาชัย

ยามเย็นในบรรยากาศของรถราที่ติดเป็นแถวยาวบนถนนเลียบทางด่วนเอกมัย-รามอินทรา หากไม่อยากทนเบื่ออยู่บนท้องถนนให้เมื่อยล้าอารมณ์เสีย งานนี้อยากแนะนำให้เลี้ยวรถเข้าไปในเดอะคริสตัลปาร์ค (The Crystal Park) เพื่อพักนั่งดื่มชิลๆ ฟังเพลงเบาๆ ในร้านสไตล์วินเทจที่เพิ่งย้ายทำเลจากโซนด้านในมาเปิดใหญ่โตอยู่ด้านหน้าริมทางอย่างร้านเมลโล่ เรสเทอรองต์ แอนด์ บาร์ (Mellow  Restaurant and Bar)

 

ร้านตกแต่งใหม่แบบอลังการงานออกแบบ ทวีความน่านั่งเข้าไปใหญ่ ด้วยบรรยากาศของร้านที่โปร่งโล่งมีต้นไม้และดอกหญ้ารายล้อม อีกทั้งสามารถเลือกบริเวณนั่งดื่มได้หลากมุม บวกกับเสียงเพลงที่เปิดคลอเบาๆ จากดีเจมืออาชีพ ทำให้ร้านแห่งนี้กำลังได้รับความนิยมจากคนวัยทำงานที่อยากพบปะสังสรรค์กับเพื่อนแบบชิลๆ

 

เมลโล่ เรสเทอรองต์ แอนด์ บาร์ สาขาที่ 3 แบ่งพื้นที่บริการออกเป็น 2 ส่วน คือด้านนอกที่ให้อารมณ์เหมือนนั่งในสวน มีร่มไม้ใหญ่และต้นไม้เล็กๆ อยู่รอบบริเวณ หากใครชอบบรรยากาศแบบโปร่งๆ มีพื้นที่กว้างนั่งสบายที่สามารถเลือกนั่งได้รอบบริเวณร้าน ซึ่งสามารถมองเข้าไปเห็นบรรยากาศด้านในอย่างชัดเจน ถัดเข้าไปด้านในที่ถูกเชื่อมพื้นที่ด้วยการกรุกระจกรอบร้านให้บรรยากาศดูเป็นกันเองเหมือนนั่งในบ้าน การจัดแบ่งโซนไว้เป็นอย่างดี ทั้งการจัดวางโต๊ะอย่างลงตัวไม่อึดอัด เสริมชั้นลอยเพื่อเป็นมุมสงบๆ นั่งพูดคุยเรื่องงาน เป็นร้านที่มีความหลากหลายในการเลือกนั่งดื่มกิน

 

อาหารที่นี่เสิร์ฟแบบฟิวชั่น มีเมนูหลากหลายให้เลือกกว่า 60 เมนู ตั้งแต่พิซซ่ายันสปาเกตตีผัดฉ่า ทางร้านแนะนำเมนูอย่าง สโนว์ฟิช ที่นำปลาหิมะชิ้นโตๆ มาปรุงรสพร้อมเสิร์ฟกับมันบดและผักย่าง กินกับน้ำจิ้มตัวซิกเนเจอร์รสเด็ดเผ็ดถึงใจ ตามด้วยสปาเกตตีผัดฉ่า ปรุงในสไตล์ฟิวชั่นให้ถูกปากวัยรุ่น อีกหนึ่งเมนูที่ควรสั่งมารับประทานเรียกน้ำย่อยคือ เปาะเปี๊ยะไส้อกเป็ดกับชีส ที่เสิร์ฟพร้อมซอสมะม่วงรสหวานอมเปรี้ยว กินกันได้เพลินๆ พอๆ กับเมนูจี๊ดของทางร้าน คือ เมลโล่วิง ปีกไก่สไปซี่ที่กรอบนอกนุ่มในอร่อยลิ้น

 

สำหรับเมนูเครื่องดื่มของที่นี่มีเสิร์ฟหลากหลายกว่า 300 ชนิด ตั้งแต่ไวน์ เบียร์ และที่โดดเด่นที่สุดเห็นจะเป็นค็อกเทล ซึ่งทางร้านจะคิดขึ้นใหม่ทุกเดือน และมีเมนูสูตรของทางร้านที่หากินที่ไหนไม่ได้ รับรองว่าถูกอกถูกใจคอค็อกเทลแน่นอน

ช่วงนี้แนะนำ Whie Haze ค็อกเทลที่มีไวน์ขาวเป็นเบส ผสมกับน้ำแตงโม และสตรอเบอร์รี่ รสชาตินุ่มลื่นเหมาะกับสาวๆ Mellowmelon ค็อกเทลที่มีกลิ่นหอมของเมลอนเป็นเอกลักษณ์ รสชาติลงตัวเมื่อกินคู่พาร์มาแฮม หรือจะเลือกเอนจอยกับเบียร์ผลไม้รสชาติต่างๆ ในช่วงนี้ก็ตรงกับเทศกาลพอดิบพอดี จัดแค่ปีละครั้งเท่านั้นนะครับ

 

ใครชอบความหลากหลายของเครื่องดื่ม ในบรรยากาศแสนอบอุ่นโรแมนติก เมลโล่ เรสเทอรองต์ แอนด์ บาร์ สาขาคริสตัลปาร์ค ถือเป็นตัวเลือกที่น่าลอง เปิดบริการทุกวัน ตั้งแต่ 17.00-01.00 น. มีที่จอดรถกว้างขวาง โทร. 02-515-0748

 

สบายใจ @สกาล่า บาร์ & บิสโทร

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์โพสต์ทูเดย์

17 กรกฎาคม 2558 เวลา 18:10 น…. อ่านต่อได้ที่ : http://www.posttoday.com/travel/nightlife/376882

สบายใจ @สกาล่า บาร์ & บิสโทร

โดย…ลีโอ เคน ภาพ ทวีชัย ธวัชปกรณ์

ค่ำนี้หลบร้อน หลบฝนจากเมืองกรุง มุ่งหน้ามาทำอารมณ์ชิลๆ ใกล้ๆ แต่ได้บรรยากาศรื่นรมย์ไม่เบา นั่นคือ จ.นครนายก ที่นอกจากแลเห็นท้องทุ่งที่มองไกลสุดลูกหูลูกตา ที่นี่ยังมีป่าเขาให้ชื่นชม ทำให้แอบหลงรักอย่างเงียบๆ

เหนืออื่นใด ในเวลาพลบค่ำเรายังได้นั่งเอกเขนกที่ผับบาร์ ปล่อยใจอย่างสบายอุรา ละทิ้งความวุ่นวาย คงเหลือไว้แต่ความสุขสบายใจ ณ ที่แห่งนี้เอง สกาล่า ที่ผมเชื่อว่าใครที่มาเยือนต่างก็สบายใจ

ด้วยความที่เจ้าของวัยหนุ่ม ไก่-จักรกฤษ แซ่ลี้ ชื่นชอบของเก่า ออกแนววินเทจ และโรงหนังสกาลาย่านสยามสแควร์เป็นชีวิตจิตใจ จึงได้แรงบันดาลใจมาเปิดร้านนั่งชิลๆ ที่ให้อารมณ์วินเทจนามว่า สกาล่า บาร์ & บิสโทร

บรรยากาศร้านตกแต่งด้วยของเก่าที่เจ้าของร้านสะสมเอาไว้ ทั้งโต๊ะ เก้าอี้ อารมณ์เรโทร และตุ๊กตาแนวฮีโร่ ช่วยทำให้ร้านสนุกสนานยิ่งขึ้น

 

ร้านมีทั้งโซนด้านใน ที่หยิบเอาของสะสมไว้มาโชว์เด่นจนสัมผัสได้ถึงความสนุกสนาน และให้คุณค่าทางอารมณ์เมื่อนึกย้อนไปถึงที่ที่ไป ที่เจ้าตัวสะสมไว้ด้วยความรัก และยังมีมุมวีไอพีที่เปิดแอร์เย็นฉ่ำที่เปิดมาเอาใจคนที่ชื่นชอบความเป็นส่วนตัว หรือว่ายกกันมาสนุกกันทั้งก๊วน และลานเอาต์ดอร์ขนาดใหญ่ที่เป็นสนามหญ้าและปูนเปลือย สานรับกันอย่างได้อารมณ์ นับเป็นมุมโปรดของลูกค้าที่มักจะมานั่งรับลมห่มฟ้ากันอย่างสบายอุรา

ด้านเมนูของบาร์นี้มาจากเสน่ห์ปลายจวักของญาติเจ้าของร้าน ที่คิดค้นเมนูมาจากก้นครัวที่ทำแล้วทุกคนในบ้านต่างติดใจในรสชาติ แล้วลงเสียงกันมาใส่เป็นเมนูเอกประจำร้าน มีทั้งที่เป็นแบบกินกับข้าว และเป็นกับแกล้ม บางเมนูทำให้นึกไปไกลถึงรสมือแม่เรากันเลยทีเดียว

 

เริ่มต้นกล่อมอารมณ์แบาๆ กับเมนูเด่นของร้าน กุ้งแก้วสกาล่า กุ้งตัวเขื่องนำมาทอดกับพริกจนหอมฟุ้ง เหมาะกับเป็นกับแกล้มอย่างยิ่ง เพราะทั้งได้ความกรอบและความหอมในคราวเดียว

ต่อกันด้วย ส้มตำทอด เมนูที่เกิดจากความบังเอิญ เนื่องจากลูกค้าต้องการจะกินสลัด แล้วทางร้านไม่มี ก็เลยจัดให้ซะเลย เป็นส้มตำไทยรสชาติคุ้นเคยแต่นำไปทอดจนกรอบ เสิร์ฟพร้อมกับไข่เค็ม และกุ้งแห้งโรยมา อร่อยไปอีกแบบ

ที่อร่อยไม่น้อยหน้า มาม่าขี้เมาทะเล รสชาติจัดจ้านตามประสาขี้เมา ที่อุดมไปด้วยของฝากจากทะเล ทั้งกุ้ง หอย ปลา และปลาหมึก มาพร้อมกับเส้นมาม่า ผัดคลุกเคล้าจนเข้ากัน ใครที่โปรดนักกับเมนูจัดจ้านไม่ควรพลาดอย่างยิ่ง

 

ด้านเครื่องดื่มมีทั้งเหล้า เบียร์ หลากดีกรีไว้คอยต้อนรับ พร้อมต้อนรับด้วยดนตรีหลายสไตล์ ทั้งอินดี้ แจ๊ซ บลู แถมเจ้าของร้านยังแอบกระซิบบอกอีกว่า ในอนาคตอันใกล้จะจัดให้มีดนตรีสดขับกล่อมกันอีกทุกค่ำคืน สุขกว่านี้ไม่มีอีกแล้วล่ะครับ

สกาล่า บาร์ & บิสโทร ตั้งอยู่ถนนสุวรรณศร (สี่แยกใจกลางเมือง ตรงข้ามธนาคารไทยพาณิชย์) จ.นครนายก เปิดให้ดื่มด่ำความสุขทุกวัน ตั้งแต่เวลา 18.00-24.00 น. โทร. 09-0971-0648