ธนากร บุตรตะวงศ์ แข่งรถ = ฝึกสมาธิขั้นสูง

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์โพสต์ทูเดย์

19 พฤษภาคม 2559 เวลา 10:39 น…. อ่านต่อได้ที่ : http://www.posttoday.com/life/men/432763

ธนากร บุตรตะวงศ์ แข่งรถ = ฝึกสมาธิขั้นสูง

โดย…อณุสรา ทองอุไร

ผู้ชายวัยหนุ่มกับรถและความเร็วนั้นถือว่าเป็นของคู่กันจริงๆ บางคนชอบความเร็วบนถนนทั่วไป แต่บางคนชอบความเร็วจัดในสนามแข่งเพื่อความปลอดภัย เช่นเดียวกับหนุ่มน้อยคมเข้มวัย 22 ปีคนนี้ เบียร์-ธนากร บุตรตะวงศ์ นักแข่งรถรางวัลรองชนะเลิศอันดับ 1 ขับรถวีออส วันเมคเรซ จากการแข่งขันโตโยต้า มอเตอร์สปอร์ต ปี 2009 ขณะอายุ 17 ปี และเมื่อปี 2015 ที่ผ่านมา เขาได้รางวัลชนะเลิศ รุ่นโคโรลล่า อัลติส วันเมคเรซ จากการแข่งขันโตโยต้า มอเตอร์สปอร์ต ปี 2015 ขณะอายุ 22 ปี

รวมทั้งผ่านรอบคัดเลือกในรายการ NetZ Cup VitZ Race ที่สนามฟูจิ สปีดเวย์ ประเทศญี่ปุ่น และในปีนี้เขาได้เข้าเป็นนักแข่งสังกัดโตโยต้า ทีมไทยแลนด์ ขณะมีอายุ 23 ปี และเตรียมจะแข่งขันในรายการไทยแลนด์ ซูเปอร์ ซีรี่ส์ และ RAAT Thailand Endurance Championship นอกจากนี้เขายังตั้งเป้าหมายไว้ในอนาคตอันใกล้นี้ภายใน 2 ปี ต้องการลงไปแข่งขันในสนามใหญ่อย่าง ADAC Zurich 24 Hours Race at Nurburgring ที่ประเทศเยอรมนี

เขาเล่าว่าเริ่มชีวิตการเป็นนักแข่งรถอย่างจริงจังเมื่ออายุ 17 ปี ขณะเรียนอยู่ชั้นมัธยมปลายชอบรถเป็นชีวิตจิตใจ ประกอบกับที่บ้านของเขานั้นคุณพ่อทำธุรกิจเต็นท์รถมือสอง เขาจึงเห็นและคลุกคลีกับรถมาตั้งแต่เด็กๆ พอเข้าสู่วัยรุ่นก็อยากจะขับรถ พอขับรถคล่องก็อยากจะประลองความเร็ว ชอบความท้าทาย คุณพ่อของเขาเป็นห่วงไม่อยากให้ลูกมาพิสูจน์ความเร็วบนท้องถนนเพราะห่วงเรื่องความปลอดภัย ก็เลยแนะนำว่าให้ไปฝึกหัดให้เป็นเรื่องเป็นราว และที่สำคัญอย่ามาขับเร็วบนท้องถนน ให้ไปลงสนามแข่งอย่างถูกต้อง มีกฎ มีกติกา มีความปลอดภัยรองรับ

 

สนามแรกที่เขาไปลงแข่งขันความเร็วก็คือที่พัทยาเซอร์กิต ซึ่งคุณพ่อของเขาซื้อรถแข่งให้อย่างเป็นทางการเพื่อแข่งในสนามนี้ ซึ่งการแข่งในระยะเริ่มต้นของเขาก็ไม่มีสปอนเซอร์ มีคุณพ่อเป็นผู้ออกทุนให้อย่างเป็นทางการ และมีคุณพ่ออีกเช่นกันคอยเป็นพี่เลี้ยงให้อยู่เกือบ 2 ปีเต็ม ตอนนั้นอายุเพียง 16 ปี จนเขาเริ่มมีฝีมือมากขึ้นเริ่มชนะบ่อยๆ ก็มีบริษัทเล็กๆ มาช่วยเป็นสปอนเซอร์ให้ จนได้แชมป์บ่อยขึ้นถึงจะมีสปอนเซอร์จากบริษัทใหญ่เข้ามาในช่วง 3-4 ปีหลัง

“ผมก็เลยมาแข่งในสนามแข่งตั้งแต่ชั้นมัธยมปลายเลยครับ ฝึกหัดอย่างถูกต้องมีหลักการ และคิดไว้ในใจเลยว่าอยากเป็นนักแข่งรถ เริ่มฝึกในสนามตั้งแต่อายุ 15-16 ปี จนถึงวันนี้ก็ 7-8 ปีแล้วครับ การขับรถสำหรับผมคือความสุข ได้ผ่อนคลาย ได้ฝึกสติสมาธิครับ เพราะขับในสนามเรื่องปลอดภัยนั้นสูงมาก เพราะมีระบบต่างๆ รองรับเป็นอย่างดี มีทีมงานคอยดูแลช่วยเหลือเซฟตี้สูงมาก ไม่มีอะไรต้องกังวลเลย (หัวเราะ) การแข่งรถคือการฝึกสมาธิขั้นสูงสำหรับผมครับ” เขากล่าวด้วยรอยยิ้ม

จนเมื่อต้นปีที่ผ่านมาเขาถึงได้มาสังกัดโตโยต้า ทีมไทยแลนด์ ซึ่งถือว่าเป็นพัฒนาการอีกขั้นของเขามาสู่รุ่นที่ใหญ่ขึ้น ซึ่งก่อนหน้านั้นเขาไม่เคยสังกัดทีมใหญ่มาก่อน นี่ถือว่าเป็นครั้งแรกที่เขาได้สังกัดทีมกับบริษัทใหญ่ๆ เช่นนี้ โดยปีที่แล้วเขาเคยได้เป็นตัวแทนของประเทศไทยไปแข่งที่ประเทศญี่ปุ่น ซึ่งถือว่าเป็นระดับหัวกะทิของภูมิภาคมาแข่งกัน นับเป็นประสบการณ์ที่ดีมาก หลังจากที่เขาได้เป็นนักแข่งสังกัดโตโยต้า ทีมไทยแลนด์แล้ว นี่เป็นครั้งแรกที่ถือว่าเขาเป็นนักแข่งอาชีพอย่างเป็นทางการ มีเงินเดือน และหากชนะก็จะมีรางวัลเพิ่มขึ้น โดยการเป็นนักแข่งอาชีพเช่นนี้จะมีการแข่งเกือบทุกเดือน ประมาณ 10 สนาม/ปี ซึ่งเราจะต้องฝึกให้หนักเตรียมพร้อมไว้เสมอ

 

เขากล่าวว่า การเป็นนักแข่งรถที่จริงเงินเดือนไม่ได้มากมายอะไร แต่คนที่เข้ามาในวงการนี้เหตุผลสำคัญเพราะมีใจรักและส่วนใหญ่ก็มีงานอย่างอื่นทำด้วย ไม่ได้เป็นนักแข่งเพียงอย่างเดียว เพราะอาจจะอยู่ยากและมีเวลามากพอที่จะให้นักแข่งไปทำงานอย่างอื่น ตรงนี้เป็นเพียงส่วนหนึ่งของชีวิตที่เราชื่นชอบ

“อย่างตัวผมเองก็ยังเรียนไม่จบ ก็เรียนไปด้วย แข่งรถไปด้วย อีกส่วนหนึ่งก็คือช่วยธุรกิจที่บ้านที่ทำเต็นท์รถ ผมก็มีหน้าที่รับผิดชอบที่ชัดเจน ช่วยดูแลเรื่องการตลาดและการจัดการ มีหน้าที่หาทะเบียนเลขสวย เลขหายาก มาบริการลูกค้าตามสั่ง

“พวกเลขตัวเดียว สองตัว เลขตอง ซึ่งยังเป็นที่ต้องการของลูกค้ากระเป๋าหนัก โชคดีที่เป็นธุรกิจของที่บ้านเลยทำให้เราแบ่งเวลาได้อย่างสะดวก ด้วยการทำงานที่บริหารเวลาจัดการได้อย่างสะดวกนี่เองที่ทำให้นักแข่งรถส่วนใหญ่อยู่กันนาน อายุไม่ใช่ข้อจำกัด บางคน 50 กว่าแล้วยังแข่งอยู่เลยก็มี ซึ่งตัวผมเองก็คิดว่าจะแข่งไปเรื่อยๆ จนกว่าจะแข่งไม่ไหวล่ะครับ” เขากล่าวอย่างมุ่งมั่น

 

ธนากร บอกว่า เขาอายุน้อยสุดในทีมขณะนี้ เพราะไต่ระดับมาตั้งแต่รุ่นเล็กสุด คือ วีออส (วันเมคเรซ) มาสู่อัลติส เครื่อง 2,000 ซีซี และเริ่มขยับไปที่รุ่นใหญ่ขึ้น โดยในปีนี้จะมีการแข่งขันไทยแลนด์ ซูเปอร์ ซีรี่ส์ ที่สนามพีระเซอร์กิต และที่บางแสนเลียบชายหาด ซึ่งเขาก็หวังจะประกาศฝากฝีมือเอาไว้อย่างเต็มที่ เพื่อเตรียมพร้อมไปสนามที่ใหญ่ขึ้นทั้งในและต่างประเทศ โดยเก็บคะแนนเก็บชั่วโมงสะสมประสบการณ์เพื่อไต่ไประดับใหญ่ขึ้นเป็นสนามอินเตอร์ที่ประเทศญี่ปุ่น ซึ่งทางโตโยต้าจะหาสนามใหญ่ๆ ให้ได้ลง แต่ที่เขาฝันเอาไว้และถือว่าเป็นสนามสูงสุดที่เขาอยากไปมากก็คือสนามระดับโลกที่ประเทศเยอรมนี ซึ่งเป็นความฝันอันสูงสุดของนักแข่งรถมืออาชีพทุกคน

เขาฝากถึงน้องๆ วัยรุ่นที่ชอบความเร็วและอยากเป็นนักแข่งรถว่า ควรฝึกหัดอย่างเป็นเรื่องเป็นราว อย่าไปฝึกเอง ซึ่งมีโรงเรียนสอนแข่งรถมีชื่อหลายแห่ง อย่างของโตโยต้าก็มีสอนตั้งแต่ขั้นเริ่มต้นพื้นฐานเลย จนไปถึงขั้นแอดวานซ์ที่ต้องการไปเป็นนักแข่งระดับเรซซิ่ง ที่สำคัญต้องมาแข่งในสนาม อย่าไปประลองความเร็วบนถนนซึ่งไม่มีความปลอดภัย ไม่มีเซฟตี้ที่ดีพอ จะทำให้ตัวเองและเพื่อนร่วมถนนเดือดร้อนได้ เพราะเราไม่รู้ใครเป็นใคร เจอคนใจร้อนคนเมา ต่อให้ขับรถดีและระวังแค่ไหนก็อันตราย

ถ้าเป็นในสนามทุกอย่างมีการควบคุมมาเป็นอย่างดี ทุกคนในสนามมีการเตรียมมาอย่างดี มีความเป็นมืออาชีพ ทุกอย่างควบคุมได้เกือบทั้งหมด การแข่งในสนามทำให้เรามีสมาธิมุ่งมั่นกับการขับอย่างเดียวไม่ต้องไปกังวลเรื่องอื่น แล้วสนามแข่งของไทยปัจจุบันก็มีสนามดีได้มาตรฐานเยอะขึ้น

สำหรับธนากร หากเรียนจบก็คงทำธุรกิจที่บ้านต่อไป ขยายงานด้านเต็นท์รถให้มากขึ้น อาจมีสาขาเพิ่มขึ้น ควบคู่กับการเป็นนักแข่งมืออาชีพ

 

4 วิธีธรรมดาแต่จีบสาวติด

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์โพสต์ทูเดย์

03 พฤษภาคม 2559 เวลา 17:22 น…. อ่านต่อได้ที่ : http://www.posttoday.com/life/men/429949

4 วิธีธรรมดาแต่จีบสาวติด

โดย…กรกฎ

การจีบสาวให้ประสบความสำเร็จ กรกฎว่าไม่ใช่เรื่องยากเกินวิสัยของชาย เพียงแต่การจีบนั้นควรต้องอาศัยศิลปะเข้าช่วยบ้าง เพราะเราไม่สามารถกำหนดวิธีจีบสาวที่ได้ผลแน่นอนร้อยเปอร์เซ็นต์ และ 4 วิธีต่อไปนี้เชื่อว่าน่าจะทำให้สาวเปิดทางรุกให้เรามากขึ้น และยอมรับเราเป็นแฟนในที่สุด

1.กล้าและมั่นใจในตัวเอง   

เป็นปฐมบทของการจีบสาวของผู้ชายทุกคนก็ว่าได้ เพราะตราบใดที่ผู้ชายไร้ซึ่งความกล้าและความมั่นใจก็จำต้องร้องเพลงรอต่อไป แต่ให้ระวังตาอยู่ให้ดีจะตัดหน้าคว้าพุงปลาไปกินด้วย เพราะฉะนั้นสิ่งที่ต้องทำ คือ การเพิ่มความกล้าเข้าไปเพื่อเพิ่มโอกาสในการจีบให้ติด สิ่งสำคัญที่ขาดไม่ได้ ต้องพกความมั่นใจด้วย อย่ากลัวและอย่าคิดไปเองกับคำถามในใจที่ว่า จีบแล้วถ้าเธอไม่ชอบขึ้นมาเสียท่าเสียฟอร์มหมด แต่ขอให้คิดว่าทุกโอกาสที่เราได้ลงมือทำไม่ได้สูญเปล่าแน่นอน ไม่ว่าจะจีบติดหรือไม่ติด เพราะทั้งหมดล้วนได้สร้างความกล้าและทักษะในการจีบสาวให้เราด้วย

2.เปิดเกมจีบด้วยการเริ่มคุยก่อน

ใครที่เริ่มคุยได้ก่อนย่อมได้เปรียบในการสร้างความสัมพันธ์ ยิ่งเราเป็นผู้ชายยิ่งต้องเริ่มก่อนที่จะคุยกับเธอ ลองคิดดูว่าสมมติเป็นเราแล้วมีคนมาจีบ ใช้แค่สายตาเมียงมอง ไม่พูดไม่จา ไม่ถามอะไร เราจะชอบไหม คิดว่ารู้สึกรำคาญมากกว่า อีกอย่างถ้าพูดไม่น่าฟังเราก็ไม่อยากคบด้วย เพราะฉะนั้นถ้าเริ่มเปิดบทสนทนาให้เกี่ยวข้องกับสถานการณ์ขณะนั้นก็เป็นเรื่องที่เหมาะ เช่น เจอกันที่สระว่ายน้ำก็ควรชวนคุยเรื่องว่ายน้ำ เรื่องออกกำลังกาย เป็นต้น

3.ปล่อยคำชมออกมาจากใจ

คำพูดที่ดี คำพูดเพราะๆ ด้วยการกล่าวคำชื่นชม ไม่ว่าใครที่ได้ยินแล้วก็ต้องชอบและเกิดความประทับใจ ซึ่งคำพูดพวกนี้จัดเป็นองค์ประกอบหนึ่งที่มีส่วนสำคัญในการจีบสาว ขอแค่กลั่นออกมาจากข้างในหรือจากใจจริงๆ เป็นใครได้ยินก็ต้องประทับใจ แล้วผู้หญิงที่ได้ฟังก็จะรู้สึกว่า “เออ…เขาก็สังเกตเรา และให้ความสนใจเราเหมือนกันนะ”

4.ยิ้มบ้าง อย่าทำหน้าเครียด

ต้องหัดเป็นคนอารมณ์ดีและรู้จักยิ้ม ทำให้เป็นธรรมชาติและเป็นนิสัย โดยเฉพาะรอยยิ้มนั้นถือเป็นตัวแทนของการมองโลกในแง่ดี จึงควรฝึกยิ้มเข้าไว้โดยเริ่มกับคนรอบข้างก่อน แล้วรอยยิ้มจะค่อยๆ นำพามิตรภาพมาสู่ตัวเราและช่วยให้การจีบของเรามีโอกาสสำเร็จ หรือถ้าไม่ได้ผลก็อย่าไปวอรี่ เพราะยังมีหญิงอื่นรอรอยยิ้มของเราอีกมาก ขอให้ระลึกเสมอว่า อยู่ต่อหน้าสาวอย่าทำหน้าเครียด อารมณ์ต้องดีและมีรอยยิ้มให้เห็นเป็นระยะ

 

7 กีฬาของดาราหนุ่มนักกีฬา ปราชญ์ บัวภา

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์โพสต์ทูเดย์

21 เมษายน 2559 เวลา 18:30 น…. อ่านต่อได้ที่ : http://www.posttoday.com/life/men/427872

7 กีฬาของดาราหนุ่มนักกีฬา ปราชญ์ บัวภา

โดย…โยโมทาโร่

ปราชญ์ บัวภา คือนักแสดงหนุ่มไฟแรง ที่มีชื่อเสียงจากการแสดงละครเวที “มวยไทยไลฟ์” และกำลังจะเป็นที่รู้จักในฐานะหนึ่งในนักแสดงจากละครเรื่องเจ้าเวหา เขาเคยเป็นนักกีฬาแบดมินตันที่เคยเข้าแข่งขันในระดับประเทศ เป็นนักวิ่งของ จ.ร้อยเอ็ด เป็นนักกีฬาตัวแทนโรงเรียนและมหาวิทยาลัยหลายรายการ และที่สำคัญเขาเป็นนักกีฬาที่มีความสามารถหลากหลายโดยเฉพาะศิลปะการต่อสู้ป้องกันตัว

“ผมชอบการต่อสู้มากที่สุดเพราะเราได้แข่งกับตัวเองและต่อสู้กับคนอื่นได้ด้วย ช่วยให้เราแก้ปัญหาตรงหน้าได้ง่าย เคารพตัวเอง เคารพคู่ต่อสู้ และฝึกการประมาณตัวเอง เช่น เราฝึกซ้อมมาน้อยเราจะไม่กล้าลงแข่งหรือเข้าสู้กับคนอื่นๆ หลายครั้งที่ผมไม่ประมาณตัวเองฝึกซ้อมน้อยพอไปลงแข่ง ความมั่นใจในตัวเองก็น้อยกว่า แถมเจ็บกลับมาด้วย แต่ถ้าเราซ้อมมาดี เราจะรู้ร่างกายตัวเองว่าพร้อมที่จะลงแข่ง พร้อมที่จะสู้กับคนอื่น ความมั่นใจก็มีเต็มที่

“นอกจากนี้ศิลปะการต่อสู้ยังฝึกจิตใจในเรื่องของความกล้า บางครั้งเราเจอคู่ต่อสู้ตัวใหญ่หน้าโหดๆ แต่เขาอาจจะไม่เก่งเหมือนอย่างที่เรากลัวไปเองก็ได้ ดังนั้นเวลาสู้ก็ทำให้เต็มที่ด้วยเทคนิคการต่อสู้ที่เรามีแค่นั้นก็พออย่าไปกลัวคู่ต่อสู้”

1 มวยไทย

“เป็นกีฬาที่ผมชอบมากที่สุด เป็นกีฬาที่ทำให้เราได้เป็นลูกผู้ชาย ผมเริ่มต้นเรียนมวยไทยที่กรมพลศึกษา มีการเข้าค่ายฤดูร้อนที่สนามกีฬาศุภชลาศัย ซึ่งผมสามารถเลือกได้ว่าจะเข้าคลาสเรียนกีฬาอะไรก็ได้ ผมเห็นมีเปิดคลาสมวยไทยอยู่ก็เลยสนใจไปเรียน โค้ชมวยไทยคนแรกของผมคือ ก้องธวัช สิงห์วังชา เจ้าของ1ฉายาหมัดมรณะ เป็นนักมวยไทยที่เน้นหมัดขวาตรงหนักหน่วง ผมจึงติดสไตล์การชกแบบเน้นหมัดหนักเหมือนอาจารย์ผมไปด้วย การชกของผมจะเน้นหมัดหนักๆ จัดเต็มๆ”

2 คาราเต้

“หลังจากเราเรียนมวยไทยจนเริ่มชานาญก็ลองหันไปเล่นกีฬาอื่นดูบ้างก็เริ่มลองเล่นกีฬาคาราเต้ดูบ้าง สำหรับผมคาราเต้จะต่างจากมวยไทยตรงที่ ในการแข่งขันเขาห้ามทำร้ายที่ใบหน้า ผมเรียนคาราเต้ไม่นานก็ขอลงแข่งเลยเพราะผมมีพื้นฐานในกีฬามวยไทยมาก่อน จึงมีทักษะทางการต่อสู้ติดตัวมาบ้าง ปรากฏว่าผมแพ้ฟาวล์เพราะไปชกหน้าคู่ต่อสู้จนเลือดออก เพราะผมไม่เห็นเขาเข้ามาสู้เสียทีก็เลยเข้าไปจัดการต่อยไปหมัดนึงแพ้ฟาวล์ไป แต่การเรียนคาราเต้ก็ทำให้ผมได้รู้จักการอ่อนน้อม รู้จักการเคารพคู่ต่อสู้ และการถ่อมตน”

3 เทควันโด

“ผมคิดว่าถ้าเล่นเทควันโดแล้วสาวๆ จะกรี๊ด และคนเล่น เทควันโดก็มีแต่คนหน้าตาดีๆ ก็เลยไปลองเล่นเทควันโดดูเผื่อสาวๆ จะชอบผมบ้าง การเตะของเทควันโดจะต่างจากมวยไทย เขาจะเตะขาตรง เน้นการสแนปใช้ความเร็วเข้าเตะคู่ต่อสู้ มีท่าเตะหลากหลาย ในขณะที่มวยไทยเตะช้า แต่เน้นหนัก ถ้าโดนคือเจ็บแน่ๆ แต่เทควันโดเน้นเร็วเตะเอาแต้มคะแนน ไม่เน้นเตะให้เจ็บ ตอนแรกผมก็งงว่านี่คือเตะแล้วเหรอคือไม่รู้สึกเจ็บเลยเมื่อเทียบกับมวยไทย เป้าหมายการฝึกเทควันโดของผมคือประยุกต์เอาการเตะของเทควันโด มาพัฒนาทักษะการเตะของผมให้ได้ทั้งความแรง ความเร็ว และเตะให้สวยขึ้น”
4 ยูโด

“เริ่มเล่นไม่ต่างจากเทควันโดและคาราเต้คือรู้สึกว่ามันเท่ ผมชอบชุดของยูโดใส่แล้วดูเท่ดี การทุ่มของยูโดที่ผมฝึก มาทำให้ผมรู้ว่ายูโดทุ่มหนักมาก ยูโดเป็นกีฬาที่ทำให้เรารู้จักการใช้แรง เอาแรงคู่ต่อสู้กลับไปทำร้ายตัวเขาเอง รู้จักการ เบี่ยงแรง เสริมแรง หลักการเหล่านี้ทำให้คนตัวเล็กทุ่มคนตัวใหญ่ได้ การทุ่มของยูโดจะเน้นการ ทุ่ม เชือด คอนโทรล เมื่อเทียบกับการทุ่มของมวยไทยแล้วยูโดจะทุ่มหนักกว่าเพราะเขาทุ่มแบบตัวลอยจากพื้นเลยถ้าคนทุ่มจับทุ่มแล้วปล่อยไปตามแรงเลยเราจะเจ็บหนัก แต่ถ้าเขาช่วยยั้งด้วยการดึงเราจะไม่เจ็บมาก”

5 ไตรกีฬา

“ผมเป็นคนชอบเล่นกีฬาแบบบ้าพลัง ผมจะลงแข่งไตรกีฬาทุกปีในรายการแข่งขันหลักๆ เพื่อรักษาสภาพร่างกายให้ฟิตพร้อมเสมอ การเล่นไตรกีฬาสอนเราหลายอย่าง คือ การมีสมาธิ ความอดทน และการควบคุมร่างกายให้เป็นไปตามจังหวะที่เหมาะสม ซึ่งจังหวะเป็นสิ่งสำคัญมากในการแข่งไตรกีฬา อย่างสเตจแรก ว่ายน้ำ 2 กม. เราจะต้องว่ายให้เป็นจังหวะให้เหมาะสมไม่ออกแรงว่ายน้ำเร็วเกินไปหรือช้าเกินไป การออกแรงมากช่วยให้ว่ายน้ำได้เร็วก็จริง แต่เราจะหมดแรงก่อน ดังนั้นทุกอย่างต้องเป็นไปตามจังหวะ พอขึ้นจากน้ำก็ไปปั่นจักรยานต่ออีก 40 กม. และจบด้วยการวิ่งมาราธอนอีก ถ้าเราไม่สามารถคุมจังหวะการออกแรงให้ดีเราจะหมดแรงก่อนถึงเส้นชัย”

6 ยิมนาสติก

“ที่คณะพลศึกษา มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ (ประสานมิตร) จะต้องเรียนวิชายิมนาสติกเป็นวิชาบังคับ เราก็จะได้เรียนท่ายิมนาสติกพื้นฐานอย่างม้วนหน้า ม้วนหลังและอื่นๆ แต่ไม่มีท่า ตีลังกากลับหน้ากลับหลัง ในขณะที่ผมอยากจะเรียนรู้วิธีตีลังกาให้ได้จึงไปฝึกเพิ่มเติมเพื่อให้ ตีลังกาให้ได้ การเรียนยิมนาสติกทำให้เราเรียนรู้เรื่องการยืดหยุ่นตัว และท่าตีลังกาต่างก็สามารถเอาไปประยุกต์ใช้กับการแสดงได้อีกด้วย”

7 แบดมินตัน

“ผมเล่นแบดมินตันตั้งแต่อายุประมาณ 12 ปี เล่นจนได้เป็นนักกีฬาตัวแทนจังหวัดไปแข่งในกีฬาเยาวชนแห่งชาติ เรียกได้ว่าเป็นกีฬาแรกๆ ที่ผมเล่นได้ดีจนสามารถขึ้นไปเป็นคนฝึกสอนได้เลย ก่อนที่ผมจะเบนเข็มมาเล่นมวยไทยอย่างจริงจังในเวลาต่อมา จุดเด่นในการเล่นแบดมินตันของผมก็คือบ้าพลัง สามารถขึ้นไปตบได้แรงหนักหน่วง วิ่งได้ตลอดเกม ได้โดยที่แรงไม่ตกเลย”

 

กว่าจะเป็นมิสเตอร์พันล้าน จักรพันธ์ ประจวบเหมาะ

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์โพสต์ทูเดย์

30 มีนาคม 2559 เวลา 11:00 น….. อ่านต่อได้ที่ : http://www.posttoday.com/life/men/424184

กว่าจะเป็นมิสเตอร์พันล้าน จักรพันธ์ ประจวบเหมาะ

โดย…ศศิธร จำปาเทศ/ภาดนุ ภาพ เสกสรร โรจนเมธากุล

หนุ่มโสดสายเลือดนักการเมือง จักรพันธ์ ประจวบเหมาะ เป็นลูกไม้หล่นไกลต้น เพราะเลือกเดินสายธุรกิจตั้งแต่อายุเพียง 20 ต้นๆ ด้วยความชอบส่วนตัวที่มีมาตั้งแต่เด็ก จนประสบความสำเร็จในตำแหน่งซีอีโอ บริษัท เจพี เวิลด์ บริษัทมหาชนที่เขาทุ่มเทสร้างอย่างมุ่งมั่น และสามารถแตกไลน์ออกไปกว่า 10 ธุรกิจ ซึ่งมีมูลค่ากว่าพันล้านในเวลาเพียงไม่กี่ปี แต่กว่าจะได้ฉายามิสเตอร์พันล้านมาก็ไม่ใช่เรื่องง่ายๆ

นักธุรกิจหนุ่มวัย 32 จบปริญญาตรีจากคณะนิเทศศาสตร์ มหาวิทยาลัยรังสิต ที่ตอนนี้พ่วงดีกรีปริญญาดุษฎีบัณฑิตกิตติมศักดิ์ สาขาเศรษฐศาสตร์ จากมหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย ในฐานะผู้ทำประโยชน์ให้กับสังคมด้วย เล่าว่า เขาเริ่มมีหัวการค้ามาตั้งแต่เรียนอยู่ชั้นประถม โดยการนำของเล่นในบ้านที่ตัวเองเลิกเล่นแล้วมาใส่ถุงใหม่ให้สวยงาม แล้วจึงนำไปวางขายริมถนนหน้าบ้าน รวมทั้งขายให้กับเพื่อนๆ ที่โรงเรียนด้วย

ช่วงที่กำลังเรียนมหาวิทยาลัย จักรพันธ์มีจุดมุ่งหมายในใจว่า ถ้าเรียนจบแล้วเขาจะทำธุรกิจ ในระหว่างเรียนเขาจึงเปิดแผงขายเสื้อผ้าตามตลาดนัดและขายนาฬิกาไปด้วย ทำให้เมื่อเรียนจบจึงมีเงินทุนหลักแสนในการเริ่มต้นสานฝันทำธุรกิจ

 

 

“ตอนที่เรียนจบใหม่ๆ เหมือนเป็นช่วงที่ผมกำลังค้นหาตัวเอง รู้แล้วว่าตัวเองชอบทำธุรกิจ ไม่อยากเป็นลูกจ้างใคร ช่วงแรกผมจึงตัดสินใจกลับบ้านที่ อ.กุยบุรี จ.ประจวบคีรีขันธ์ และใช้ที่ดินของครอบครัวเริ่มทำธุรกิจเพื่อเป็นการประหยัดต้นทุน ตอนแรกที่ไปอยู่ยังไม่รู้จะทำอะไร เห็นคนอื่นเขาเป็นเกษตรกรกันก็ทำบ้าง ทั้งเลี้ยงหมูและเลี้ยงวัว แต่พอถึงเวลาขายจริงแล้วผลตอบแทนมันน้อยมาก ทำแล้วไม่คุ้มเหนื่อย ก็เลยเลิก”

หลังจากชิมลางด้วยการเป็นเกษตรกรแล้ว จักรพันธ์ก็ครุ่นคิดถึงธุรกิจที่จะทำต่อไป ด้วยอากาศที่ร้อนจัดของ อ.กุยบุรี ในช่วงนั้นคนจึงสั่งน้ำดื่มเป็นจำนวนมากจนทำให้น้ำดื่มขาดตลาด ชายหนุ่มจึงปิ๊งไอเดียในการทำธุรกิจเปิดโรงงานผลิตน้ำดื่มเล็กๆ โดยใช้ทุนตั้งต้น 2 แสนบาท ซื้อเครื่องกรองน้ำมา แล้วแปลงโรงจอดรถในบ้านให้เป็นโรงงานผลิตน้ำบรรจุเอง ซึ่งถือเป็นธุรกิจที่ไปได้ดีและเป็นจุดเริ่มต้นของธุรกิจอื่นๆ ในเวลาต่อมา

“ตอนนั้นผมอายุแค่ 20 ต้นๆ เอง ไม่มีสเตทเมนต์เลยกู้เงินจากธนาคารไม่ได้ ผมจึงต้องใช้เงินทุนที่มีต่อยอดจากธุรกิจเดิมไปเรื่อยๆ พอทำโรงงานผลิตน้ำดื่มแล้ว ต่อมาก็ทำโรงงานผลิตขวดพลาสติกบรรจุน้ำดื่มขายให้กับผู้ผลิตรายอื่นๆ จากนั้นก็ต่อยอดด้วยการเปิดปั๊มน้ำมัน ซึ่งผมต้องตื่นมาเปิดปั๊มเองตั้งแต่ตี 5 และปิดปั๊มตอน 5 ทุ่ม ทุกวัน ทำอยู่คนเดียวแบบนี้ 2 เดือน กว่าจะมีเงินหมุนพอจะจ้างเด็กปั๊มได้

 

ต่อมาผมจึงนำรายได้จากการทำโรงงานผลิตน้ำและปั๊มน้ำมันมาขยับขยายเปิดเป็นร้านขายมอเตอร์ไซค์ ซึ่งตอนแรกตั้งใจว่าจะขอดีลเลอร์ตั้งเป็นศูนย์รถมอเตอร์ไซค์ แต่เขาไม่อนุญาต ผมเลยเปิดร้านขายมอเตอร์ไซค์ขึ้นมาเอง แล้วตกแต่งให้ดูดี ติดแอร์ด้วย ปรากฏว่ามีลูกค้าแวะเวียนเข้ามาตลอด”

ไม่หยุดต่อยอด จนกลายเป็นธุรกิจพันล้าน

หลังจากเริ่มต้นธุรกิจเล็กๆ มาหลายอย่าง จักรพันธ์ก็มานั่งคิดว่าทำแค่นี้ก็ตันหมดแล้ว เขามีศักยภาพทำได้แค่นี้เองหรือ ถ้าเป็นอย่างนี้เขาคงจะไม่รวยได้เหมือนไอดอลมหาเศรษฐีที่เขาชื่นชอบ และเคยอ่านพ็อกเกตบุ๊กประวัติของคนเหล่านั้นมา ไม่ว่าจะเป็น เจ้าสัวเจริญ สิริวัฒนภักดี เจ้าสัวธนินท์ เจียรวนนท์ โดนัลด์ ทรัมป์ หรือ ริชาร์ด แบรนสัน เป็นแน่

“คืนหนึ่งผมก็นอนคิดได้ว่า งั้นเรามาเป็นเจ้าของแบรนด์ตัวเองดีกว่า นี่จึงเป็นที่มาของร้านมอเตอร์ไซค์มือสองคุณภาพดีแบรนด์คนไทยใน จ.ประจวบคีรีขันธ์ ที่มีชื่อแบรนด์ว่า ‘เจพี’ ซึ่งมาจากชื่อและนามสกุลของผมเอง ปรากฏว่าพอทำแล้วผลตอบรับธุรกิจนี้ดีมาก คนติดต่อมาเยอะ แถมเรายังได้ค่าลิขสิทธิ์แฟรนไชส์แบบกินเปล่าด้วย หลังเปิดได้แค่ 3 เดือน ลูกค้าเยอะมากจนต้องย้ายไปเปิดสาขาในกรุงเทพฯ ผมจึงมาเช่าตึกแถวเล็กๆ และทำธุรกิจมาเรื่อยๆ จนค่อยๆ แตกไลน์เป็นธุรกิจอื่นๆ

 

ด้วยคาแรกเตอร์และนิสัยของผมที่ชอบทำธุรกิจและการลงทุนมากๆ ผมจึงสร้างบริษัทในเครือเจพี กรุ๊ป ขึ้น โดยเปิดบริษัทในเครืออย่าง บริษัท เวิลด์ เทรดดิ้งฯ เพื่อจำหน่ายผลิตภัณฑ์มากมาย อาทิ รถมอเตอร์ไซค์มือสอง รถจักรยานนำเข้ามือสอง รถจักรยานใหม่ รถของเด็กเล่น และน้ำมันเครื่องแบรนด์ทอร์ก (Torque) เปิดบริษัท เจพี คอร์ปอเรชั่น ทำธุรกิจด้านการสื่อสาร โดยจำหน่ายโทรศัพท์มือถือและอุปกรณ์สื่อสารทั่วไปให้กับองค์กรชั้นนำระดับประเทศ เปิดบริษัท พรีมาเดิร์มเฮ้าส์ จำหน่ายเครื่องสำอางบำรุงผิว รวมทั้งเปิดบริษัท สวีท ลิสซิ่ง ทำธุรกิจให้บริการสินเชื่อ เช่าซื้อรถ บ้าน และที่ดิน รวมทั้งทำธุรกิจสื่อบิลบอร์ดข้างสนามฟุตบอลเกือบทั่วประเทศ ที่กำลังไปได้สวยภายใต้ชื่อบริษัท เจพี เวิลด์ เทรดดิ้ง ด้วย

นอกจากนี้ ผมยังร่วมลงทุนในบริษัท วิชวัน อินโฟ ซึ่งให้บริการอุปกรณ์ไอที หลอดไฟแอลอีดี และบริการบุคลากรไอทีส่งไปยังองค์กรใหญ่ๆ มากว่า 10 ปี แล้วผมยังชอบลงทุนด้วยการเล่นหุ้นด้วย ซึ่งผมจะใช้สัญชาตญาณความเป็นนักธุรกิจ โดยวิเคราะห์จากการเติบโตของธุรกิจนั้นๆ ว่ามีพื้นฐานที่มั่นคงมั้ย ถ้ามีแนวโน้มที่ดี ส่วนใหญ่ก็จะซื้อหุ้นทิ้งไว้โดยดูที่การเติบโตเป็นหลัก”

แน่นอนว่า ธุรกิจโดยรวมของจักรพันธ์ตอนนี้มีมูลค่าหลักพันล้านบาทภายในเวลาเพียงไม่กี่ปี ทำให้เขาได้รับฉายาจากสื่อมวลชนว่า “มิสเตอร์พันล้าน” และออกพ็อกเกตบุ๊กของตัวเองถึง 3 เล่ม นั่นคือ พ่อมดน้อยการเงิน พันล้านสร้างได้, สร้าง 500 ล้าน เพียง 2 ปี และหนังสือการ์ตูนชีวิต เรียกผมว่า Mr.พันล้าน

ล่าสุด บริษัท เจพี เวิลด์ เทรดดิ้ง ซึ่งเป็นบริษัทในเครือของเขา ยังเป็นบริษัทสัญชาติไทยเพียงบริษัทเดียวที่ได้รับสัมปทาน “แอลอีดี ทาวเวอร์” สื่อโฆษณารูปแบบใหม่ ซึ่งเป็นหอคอยที่ติดจอแอลอีดีล้อมรอบ เพื่อใช้ในการฉายโฆษณาสินค้าต่างๆ ที่สนามบินสุวรรณภูมิและที่สนามบินภูเก็ต ซึ่งนอกจากจะฉายโฆษณาสินค้าต่างๆ แล้ว แอลอีดี ทาวเวอร์ ยังสอดแทรกเรื่องราวการนำเสนอวัฒนธรรมไทยในมิติใหม่ๆ ให้เป็นที่รู้จักของชาวต่างชาติด้วย

 

หลักในการทำงาน

“ความสุขของผมคือ การค้าขาย การลงทุน การหาธุรกิจทำ เพราะเรารักเราชอบมาตั้งแต่เด็ก ผมมองว่าตัวเองไม่ใช่นักบริหาร แต่เป็นนักลงทุนมากกว่า ช่วงแรกผมอาจจะเป็นนักธุรกิจ แต่วันนี้ผมเป็นนักลงทุนแล้ว คิดว่าอาจเป็นคล้ายๆ ประธานก็ได้ ทุกวันนี้ผมรับตำแหน่งซีอีโออยู่ที่เดียวคือ บริษัท เจพี เวิลด์ เท่านี้ก็ยุ่งมากแล้ว ฉะนั้นบริษัทอื่นๆ ของผมจะมีคนเก่งๆ คอยดูแลแทน ผมจะใช้คนที่เก่งและมีความสามารถจริงๆ โดยดึงเขามาร่วมงาน แบ่งผลประโยชน์กันให้ลงตัว เราไม่ต้องลงไปยุ่งอะไรเยอะ เราก็จะเหนื่อยน้อย

แต่ถึงยังไงการทำงานก็ต้องพบปัญหาทุกวัน ทั้งปัจจัยที่ควบคุมได้และควบคุมไม่ได้ ทั้งเรื่องของธุรกิจ คน คู่แข่ง หรือสภาวะเศรษฐกิจโลก เยอะแยะไปหมด ก็ต้องแก้ไขไปทีละเรื่อง แก้ได้ก็แก้ไป ถ้าแก้ไม่ได้จริงๆ ผมก็จะพิจารณาว่าจะเปลี่ยนหรือจะหยุด แต่การเลิกทำจะเป็นทางเลือกสุดท้าย ส่วนใหญ่ผมจะปรับเปลี่ยนโดยนำธุรกิจอื่นเข้ามาเสริมแทนให้มันอยู่ได้ จะไม่ค่อยปิดบริษัทเพื่อแก้ปัญหาสักเท่าไหร่ ซึ่งกว่าจะมาถึงวันนี้ได้ผมล้มลุกคลุกคลานมาเยอะ แต่ประสบการณ์ที่ได้จะช่วยสอนให้เราแข็งแกร่งขึ้นเอง”

จักรพันธ์ ทิ้งท้ายถึงเด็กรุ่นใหม่ๆ ที่เริ่มหันมาทำธุรกิจกันมากขึ้นว่า ให้ทำในสิ่งที่ตัวเองรักและชอบให้ดีที่สุด ลุยไปพร้อมกับความมั่นใจ อย่ากลัว แล้วจะสามารถต่อยอดจากความชอบไปได้เรื่อยๆ หากธุรกิจมีปัญหาให้พยายามปรับก่อน อย่าเพิ่งยอมแพ้ สิ่งสำคัญคือ ทำในสิ่งที่รักที่ชอบ เพราะหากลงมือทำในสิ่งที่รักอย่างมุ่งมั่น เหมือนกับเขาที่รักในการลงทุนทำธุรกิจแล้ว ถึงแม้จะอายุยังน้อยก็ไม่ได้เป็นอุปสรรคต่อความสำเร็จที่จะได้มา