เปิดตำนาน สรรพวิชามหาเสน่ห์ “พระลักษณ์หน้าทอง” #SootinClaimon.Com

#SootinClaimon.Com : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์คมชัดลึก

https://www.komchadluek.net/news/knowledge/460273

เปิดตำนาน สรรพวิชามหาเสน่ห์ “พระลักษณ์หน้าทอง”  

เปิดตำนาน สรรพวิชามหาเสน่ห์ "พระลักษณ์หน้าทอง"  

6 มีนาคม 2564 – 00:00 น.

เปิดตำนาน สรรพวิชามหาเสน่ห์ “พระลักษณ์หน้าทอง”  ตำรับ อ.วิโรจ โหรา ครอบหน้า-เปิดชะตาเสริมราศี  คอลัมน์…  ตามรอยตำนานแผ่นดิน  โดย… เอก อัคคี  FB :  Akeakkee Ake

“พุทธัง โอม หน้ากูเป็นทองคำอย่างพระจันทร์  จะเข้ามาสะกิดจิต และหน้าของคนทั้งหลาย สัพเพชะนา พะหูชะนา อิตถีวา ปุริโสวา สะมะณะพราหมะโณวา เอหิจิตตัง ปิยังมะมะ โอม พระแลงเป็นแสงพระลักษณ์ พระฤาษี………ฯลฯ” 

อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง…  อ.อ๋อ บ่อทอง ผู้สืบสานลายยันต์ ตำนานผีหัวหลวง มหามนต์ตรา ยักษ์กินผีแห่งล้านนา

เปิดตำนาน สรรพวิชามหาเสน่ห์ "พระลักษณ์หน้าทอง"  

อ.วิโรจ โหรา ฆราวาส
ผู้เป็นเอกอุด้านวิชามหาเสน่ห์สายพระลักษณ์หน้าทอง

นี่คือ พระคาถาพระลักษณ์หน้าทองที่หลวงพ่อเอิบ ฐิตธมฺโม วัดหนองหม้อแกง อ.สรรพยา จ.ชัยนาท ศิษย์หลานหลวงพ่อเดิม วัดหนองโพธิ์, ศิษย์หลวงพ่อพรหม วัดช่องแค ,ศิษย์หลวงพ่อสด วัดหางน้ำสาคร , ศิษย์หลวงพ่อผินะ วัดสนมลาว ได้ผูกพระคาถาขึ้นมาเพื่อใช้ในการร่ายมนต์ในระหว่างประกอบพิธีกรรมครอบเศียรหรือครอบหน้ากากพระลักษณ์หน้าทองหรือปลุกเสกวัตถุมงคลเครื่องรางของขลัง 

วิชาพระลักษ์หน้าทอง ถือว่าเป็นศาสตร์สรรพวิชาสายเมตตามหาเสน่ห์ชั้นสูง ในอดีตนั้นการครอบครูพระลักษณ์หน้าทองมีข้อกำหนดที่เคร่งครัดและมีความซับซ้อนหลายขั้นหลายตอน โดยเฉพาะผงชอล์คที่นำมาเขียนอักขระเลขยันต์นั้น จากการศึกษาค้นคว้าพบว่า ในสมัยก่อนนั้นจะมีการขูดเอาเนื้อผงจากเศียรหัวโขนพระลักษณ์ที่มีความเก่าแก่ตอทอดกันมาจากรุ่นสู่รุ่นมาผสมลงในดินสอพองที่บดผสมกับผงอาถรรพย์อื่นๆแล้วปั้นตากจนแห้งเพื่อนำมาเป็นชอล์คในการเขียนอักขระยันต์ 

ผงที่ขุดจากเศียรหัวโขนพระลักษณ์นี่แหละที่เขาถือว่า เป็นสุดยอดผงอาถรรพ์ของสายวิชาพระลักษณ์หน้าทอง ที่ ในวงการโขนละครร้องละครรำ เขาถือว่าเป็นผงเสน่ห์ ผงวิเศษ สามารถนำมาผสมเจิมหน้าเจิมตาหรือนำมาผสมกับแป้งผัดหน้าได้ หรือมาเขียนพระคาถาพระลักษณ์หน้าทองก็จะยิ่งเพิ่มพลานุภาพ เป็นผงวิเศษที่มีอำนาจเมตตามหานิยมอย่างสูงส่ง 

เพราะถือว่าได้ผงที่เป็นของสมมุติแทนองค์พระลักษณ์และมาจากพระพักตร์ท่านโดย ตรงอีกด้วย แต่การจะขูดเอาผงหน้าพระลักษณ์มาได้นั้นไม่ใช่ว่าใครนึกจะไปขูดเอาก็ไปขูดได้เพราะบอกแล้วว่าเป็นผงอาถรรพย์จากเศียรเก่าระดับบรมครู ย่อมมีแรงครูแรงอาถรรพย์เฉพาะตนอยู่ ใครไม่รู้เคล็ดอาจจะเสร็จจบไม่สวย-ซวยหนักกว่าเดิม

เปิดตำนาน สรรพวิชามหาเสน่ห์ "พระลักษณ์หน้าทอง"  

หน้ากากพระลักษณ์หน้าทอง ลงอักขระเลขยันต์ด้วยชอล์คอาถรรพ์

ครูบาอาจารย์ผมบอกว่า การขูดผงหน้าพระลักษณ์นั้นต้องรู้วิธีรู้พิธีกรรมขั้นตอน อาทิเช่น 
๑. ห้ามเข้าไปขูดผงต่อหน้าพระลักษณ์โดยตรงต้องเข้าไปข้าง ๆ ต้องขูดผงจากข้างซ้ายหรือขวาก็ได้ (แต่ผมไม่บอกหรอกว่าจะต้องขูดผงจากด้านนอกหรือด้านในหัวโขน) 

๒.ต้องมีการตั้งบายศรี ตั้งเครื่อง บวงสรวง กราบขอขมาขออนุญาตครูบาอาจารย์และพระลักษณ์ก่อนจึงทำการขูดเอาผงพระลักษณ์หน้าทองออกมาได้ 

๓.เป็นของ มงคลหากไปทำผิดครูเข้าอาจเกิดอาการทางท้อง หรือไม่สบาย หรือประสบอาถรรพณ์อย่างหนึ่งอย่างใดได้ ที่ชาวโขนละครเรียกกันว่า ผิดครู

และยังมีอีกหลายขั้นตอน แต่เอาเป็นว่า ผงจากเศียรครูพระลักษณ์หน้าทอง ที่ขูดออกมาถูกต้องตามพิธีกรรมนั้นก็เป็นเพียงส่วนหนึ่งของผงผสมชอล์คเขียนอักขระยันต์เท่านั้นเอง ยังมีรายละเอียดต่างๆอีกมากมาย เอาเป็นว่า ถ้าใครได้มีโอกาสครอบเศรียรพระลักษณ์หรือครอบหน้ากากพระพักต์พระลักษณ์หน้าทองจากครูบาอาจารย์ที่ร่ำเรียนวิชานี้มา ก็ต้องบอกว่า ท่านโชคดีแล้วที่ได้รับโอกาสดีๆเป็นมงคลกับชีวิตและโชคดีแล้วที่ได้รับพลังวิเศษทางด้านเมตตามหานิยม

เพราะสรรพวิชาพระลักษณ์หน้าทองนี้ เป็นวิชาสายเมตตามหานิยมที่มีอานุภาพสูงส่ง เป็นสายวิชาที่ปกปิดกันมากเพราะเป็นที่หวงแหนของครูบาอาจารย์ในสมัยก่อนที่ไม่ค่อยจะถ่ายทอดให้ใครง่ายๆและในแต่ละสายสำนักก็มีเคล็ดวิชาที่แตกต่างกันออกไป  บางสำนักก็ใช้เสกแป้งสำหรับทาหน้าทาตัว บางสำนักก็ใช้ลงอักขระบนแผ่นทองคำเปลวเพื่อใช้ปิดหน้า หรือใช้ผสมลงไปในมวลสารอื่นๆ หรือใช้ลงอักขณะในเศียรพระลักษณ์หรือในหน้ากากพระลักษณ์เพื่อใช้ครอบให้กับบรรดาลูกศิษย์ลูกหา 

ซึ่งหนึ่งในผู้ที่ร่ำเรียนวิชาพระลักษณ์หน้าทองมาอย่างช่ำชองและใช้ได้ผลจริงเป็นที่ประจักษ์ก็คือ อ.วิโรจ โหรา อาจารย์ฆราวาส/นักโหราศาสตร์ที่ร่ำเรียนวิชามาจากสายสำนักวัดสะพานสูง เมืองนนทบุรีและอีกหลากหลายสำนัก ซึ่งวิชาไสยเวทด้านเมตตามหาเสน่ห์ของอาจารย์วิโรจ โหรา นั้นถือเป็นวิชาสายขลังมหาเวทย์ที่หาได้ยากและเก่าแก่ที่สุด มีเมตตาสูงมาก ไม่ว่าจะเป็นวิชาจิ้งจกมหาเสน่ห์,วิชาลงนะ หน้าทอง หรือวิชาพระลักษณ์หน้าทอง 

แต่การใช้วิชาพระลักษณ์หน้าทองของวิโรจ โหรา นั้น ถือว่าถูกธาตุถูกจริตถูกที่ถูกทางเพราะบางอาจารย์ใช้แล้วไม่ขลัง เรียกว่า ไม่ขึ้นมือ แต่ของอาจารย์วิโรจนี่ไม่ธรรมดา…แรงจริง

เปิดตำนาน สรรพวิชามหาเสน่ห์ "พระลักษณ์หน้าทอง"  

ผู้เขียนขณะให้ อ.วิโรจ ทำพิธีครอบหน้ากากพระลักษณ์หน้าทอง

เพราะว่าผมเองเคยเจอประสบการณ์ด้วยตัวเอง ผู้ที่ได้รับพลังจากวิชาพระลักษณ์หน้าทองที่ผ่านการครอบเศียร ครอบหน้าหากพระลักษณ์หรือนำวัตถุมงคลที่ลงพระคาถาพระลักษณ์หน้าทองของท่านไปใช้ต่างบอกตรงกันว่า ขลังไม่เป็นสองรองใคร เสริงสง่าราศีให้เป็นผู้ที่มีเสน่ห์เมตตามหานิยมเสริงโชควาสนา ช่วยให้มีคนอุปถัมภ์ค้ำชู บังเกิดความเจริญรุ่งเรืองในชีวิตอย่างสูงสุด ความน่าอัศจรรย์ของวิชาพระลักษณ์หน้าทองจึงนับว่าสูงส่งยิ่งนัก 

อาจารย์วิโรจ โหรา เล่าใฟ้ฟังว่า ท่านเรียนวิชาพระลักษณ์หน้าทองมาจากหลายสำนักหลายอาจารย์ เพราะสนใจวิชานี่มาก ไม่ว่าจะเป็นอาจารย์สุนทร เจ้าของตำรับวิชา นะ หน้าทอง วิชาเป่าทอง ท่านก็สอนให้ แต่ที่เด่นมากๆคือจากพระอาจารย์แว่น วัดสะพานสูง ที่ใช้เวลาอดทนรอคอยนานประมาณ ๘ ปี กว่าที่พระอาจารย์แว่นจะยอมสอนเคล็ดวิชาให้เป็นพิเศษและตนเองก็นำเคล็ดลักจากทุกอาจารย์ที่ไปร่ำเรียนมาปรับใช้จนมีเอกลักษณ์เป็นของตัวเอง โดยเฉพาะอย่างยิ่งการฝึกพลังจิตและเคล็ดวิชาในการเดินธาตุ ต้องฝึกฝนอยู่เป็นประจำเพื่อให้พลังคงที่และสามารถช่วยคนอื่นได้เต็มที่

“เคล็ดวิชานี้ เราต้องฝึกจิตของเรา ต้องเดินธาตุให้สม่ำเสมอ เหมือนการชาร์ตแบตตารี่ที่มีพลังไฟฟ้าเต็มอยู่ตลอดเวลา เมื่อจะใช้ก็สามารถปล่อยพลังได้เต็มไม่ขาดตกบกพร่อง ผมเองเป็นนักโหราศาสตร์ด้วย เมื่อเราดูดวงชะตาราศีให้คนที่เขามีความทุกข์มีความเดือดเนื้อร้อนใจ เราก็อยากให้ความช่วยเหลือเขามากกว่าแค่ดูดวงชะตา ทำนานทายทักไป แต่ไม่สามารถช่วยอะไรได้ ผมอยากทำมากกว่านั้น อยากช่วยเหลือมากกว่านั้น จึงพบว่า วิชาพระลักษณ์หน้าทองนี้แหละเป็นคำตอบที่ช่วยให้เขามีคนรักมีคนเมตตามากขึ้น ผ่านพ้นเคราะห์ร้ายความทุกข์ความโศกไปได้ อย่างน้อยก็พอบรรเทาจากหนักให้กลายเป็นเบาได้บ้าง นั้นคือเหตุผลที่ผมเลือกใช้วิชานี้ในการช่วยคนที่มาหา”

เพราะจากการที่เรียนวิชาโหราศาสตร์มา มันมีวิชา ๗ ตัว ๙ ฐาน ซึ่งมีหลักการสำคัญเมื่อเราเรียนลงไปลึกๆพบว่า มันมีฐานสำคัญคือ ฐาน ๑๖ หรือว่าฐานโสฬส ซึ่งเป็นวิชาที่ตรงกับทางวัดสะพานสูง คือ วิชามงคลโสฬสของหลวงปู่เอี่ยม ปรมาจารย์ของสำนักวัดสะพานสูง  ที่ใครสำเร็จวิชานี้สามารถใช้วิชานี้ช่วยคนให้มีกินไม่มีอดและเป็นอักขระยันต์ขั้นสูงที่ใช้กันมายาวนานตั้งแต่ต้นกรุงรัตนโกสินทร์ แม้แต่การผูกดวงบ้านดวงเมืองก็ใช้ยันต์โสฬส  เมื่อต้องการไปเรียนวิชาการใช้ยันต์โสฬสที่วัดสะพานสูงก็เลยได้มีโอกาสเรียนวิชาอื่นๆด้วยทั้งวิชาการใช้ตัวนะ อย่างนะมีเงิน นะเรียกทรัพย์ นะเฑาะว์ รวมไปถึงวิชาพระลักษณ์หน้าทองด้วย จึงนำมาปรับใช้จนกลายเป็นสูตรเฉพาะของตัวเอง

เปิดตำนาน สรรพวิชามหาเสน่ห์ "พระลักษณ์หน้าทอง"  

พลังแห่งมนตรามหาเสน่ห์ที่สืบทอดมาตั้งแต่ครั้งโบราณ

“ผมใช้วิชานี้ในการช่วยเหลือผู้คนมาตลอด บางคนก็ขอให้ลงนะหน้าทองให้ บางคนก็ขอให้ครอบเศียรพระลักษณ์ให้ บางคนก็ขอให้ครอบหน้ากากพระลักษณ์ให้ ผมก็ไม่ขัดศรัทธาใคร ช่วยอะไรได้ผมก็ช่วย ไม่ได้คิดเรื่องผลประโยชน์อะไร ยกเว้นค่ายกขันพานครูตามทำเนียมแต่ครั้งโบราณมา ค่ามาลัยดอกไม้ หมากพลูก็ขึ้นอยู่กับเหตุและปัจจัย การได้ช่วยคนที่ทุกข์มาก็เหมือนคนหนีร้อนมาพึ่งเย็น ผมพอจะมีน้ำในขัน เราก็หยิบยื่นให้ไปครับ”

…………….

สำหรับตำนานของวิชาพระลักษณ์หน้าทองนั้น มีบันทึกว่ามาจากเรื่องรามเกียรติ์ ในท้องเรื่องรามเกียรติ์นั้นพระรามมีพี่น้องทั้งหมด๔ คน คนที่สนิทที่สุดคือพระลักษณ์ ตัวพระรามนั้นเป็นนารายณ์อวตาร ร่างมีสีเขียว ส่วนพระลักษณ์นั้นเป็นองค์พญาอนันตนาคราช มาเกิดเพื่อช่วยเหลือพระรามในการสังหารอสูร มีร่างกายสีทอง 

ทั้งนี้เนื่องจากองค์พญานาคอนันตนาคราชแต่เดิมนั้นก็มีเกล็ดเป็นทองคำทั้งร่าง เมื่อกลับชาติมาเกิดเป็นพระลักษณ์ก็มีการทองตามไปด้วย กล่าวถึงลักษณะพระลักษณ์นั้นมีการกล่าวคำบรรยายว่า หนึ่งพักตร์ สองกร มีพระพักตร์เป็นสีทองคำ ใส่มงกุฎยอดแหลม อยู่ในพงศ์พันธุ์แห่งองค์นารายณ์อวตาร เรียกสั้น ๆ ว่า “นารายณ์พงศ์”

พระลักษณ์ในเรื่องรามเกียรติ์เป็นผู้ที่มีความกล้าหาญชาญชัย ซื่อสัตย์ต่อองค์พระรามด้วยชีวิต ดังจะเห็นได้ว่าครั้งหนึ่งอสูรนามว่ากุมภกัณฑ์มีหอกโมกขศักดิ์เป็นอาวุธ เมื่อได้ทีจะพุ่งใส่พระราม แต่พระลักษณ์ออกมารับแทนจนโดนฤทธิ์ของหอกโมกศักดิ์เจ็บเจียนตาย เกือบไม่รอด นี่แสดงให้เห็นถึงความมีน้ำใจ ความซื่อสัตย์จงรักภักดีต่อองค์พระรามผู้พี่อย่างยากที่จะหาใครมาเปรียบได้ นอกจากนี้พระลักษณ์ยังเป็นผู้มีจิตใจเยือกเย็น คอยคิดคอยช่วยเหลือพระรามโดยตลอด 

อีกทั้งพระลักษณ์เป็นผู้ที่มีบุญบารมีไม่ธรรมดาเพราะครั้งที่มีการแข่งขันยกมหาคันศรเพื่อเสี่ยงทายว่าผู้ใดที่ยกได้จะได้นางสีดาไปเป็นภรรยา เทพพรหมทุกชั้นฟ้ามาแข่งขันเพื่อจะยกก็หาใครยกไม่ได้ พอพระลักษณ์มาลองยกก็ทำท่าว่าจะยกได้แต่ด้วยรู้ว่าพี่ชายคือพระรามนั้นรักนางสีดาอยู่ ก็เลยขอสละสิทธิ์ให้พระรามมายก ปรากฏว่าพระรามก็ยกได้และได้นางสีดาไปครอง

นับเป็นอีกครั้งที่พระลักษณ์แสดงให้เห็นถึงความมีน้ำใจ อีกทั้งยังแสดงให้เห็น ถึงบุญบารมีของพระลักษณ์ว่าไม่ธรรมดาเช่นกัน ในเรื่องรามเกียรติ์พระลักษณ์มีอาวุธเป็นพระขรรค์กายสิทธิ์เรื่องการได้ อาวุธคู่บารมีของพระลักษณ์นั้นก็เป็นด้วยบุญของพระลักษณ์เช่นกัน 

เล่าว่าก่อนหน้านั้นมีอสูรตนหนึ่งภาวนาขอพรจากพระเป็นเจ้าเมื่อบำเพ็ญตบะจน แก่กล้าพระเป็นเจ้าก็ประทานพรให้ อสูรขออาวุธวิเศษพระเป็นเจ้าก็บันดาลให้เกิดพระขรรค์แก้วร่วงหล่นลงมาจากสวรรค์ชั้นฟ้า แต่ด้วยกรรมบังตาอสูรเกิดความไม่พอใจคิดว่าพระเป็นเจ้าหมิ่นเกียรติตนเองจึง เขวี้ยงพระขรรค์ลงมาเช่นนี้ อสูรจึงทิ้งพระขรรค์นั้นไป  ต่อมาพระลักษณ์เดินทางมาถึงพบพระขรรค์วิเศษทิ้งเอาไว้ พระลักษณ์ลองนำมากวัดแกว่งดูปรากฏว่าสะท้านสะเทือนไปทั้งสามโลก อสูรตนดังกล่าวรู้ว่าเป็นฤทธิ์อำนาจจากพระขรรค์ที่ตนบำเพ็ญตบะจึงจะมาเอา คืน ต่อสู้ด้วยกับพระลักษณ์ พระลักษณ์จึงได้ใช้พระขรรค์วิเศษฟันตัวอสูรจนขาดเป็นสองท่อน อสูรนั้นก็ถึงแก่ความตาย 

คือจะว่าไปแล้วในตำนานเรื่องพระลักษณ์จากรามเกียรติ์นั้นมีด้วยกันหายตอนแม้ว่าจะไม่มีบทบาท มากเท่าพระรามแต่ก็เป็นบุคคลสำคัญที่ใคร ๆ ก็รู้จักเป็นอย่างดี แต่ที่สำคัญคือด้วยการที่พระลักษณ์ในกายทอง องค์พระลักษณ์จึงเป็นผู้ที่มีเสน่ห์เมตตามหานิยมสูงมาแต่กำเนิด ทั้งคำว่าลักษณ์ ยังเป็นคำเสียงใกล้เคียงกับคำว่า “รัก”ที่ถือว่า เป็นสิ่งที่ใครๆก็ปราถนา

ดังนั้น นามพระลักษณ์หน้าทองนี้จึงเป็นตัวแทนแห่งเสน่ห์เมตตามหานิยมได้เป็นอย่างดีที่สุด และในสายวิชาทางไสยศาสตร์ ไสยเวทแบบพุทธผสมพราหมณ์ไทยๆเรา ซึ่งรับอิทธิพลมาจากคัมภีร์ของพราหมณ์-ฮินดู ก็ได้นำเอาตัวละครจากเรื่องรามเกียรติ์มาปรับใช้เป็นครูในสายวิชา อย่าง หนุมาน ,พระรามหรือพระนารายณ์ อาทิ วิชานารายณ์แปลงรูป วิชานารายณ์ตรึงไตรภพ ฯลฯ ซึ่งมักเป็นครูในสายวิชาทางการรบทัพจับศึก คงกระพันชาตรี 

ส่วนพระลักษณ์ผู้น้องที่มีร่างเป็นทองคำนั้นก็เป็นครูสายวิชาเสน่ห์เมตตามหา นิยม พระรามและพระลักษณ์จึงเปรียบเหมือนพลังคู่หยินหยาง พระรามหรือพระนารายณ์เป็นอำนาจประดุจพระอาทิตย์ยามเที่ยงวัน พระลักษณ์เป็นอำนาจประดุจพระจันทร์เต็มดวงยามเที่ยงคืน ที่เยือกเย็นเป็นเสน่ห์อันสุดประมาณมิได้

และนี่คือที่มาแห่งวิชาพระลักษณ์หน้าทอง ที่ได้รับความนิยมสืบเนื่องมาจากยาวนานจวบจนปัจจุบันและสำหรับผู้ที่สนใจจะให้อาจารย์วิโรจ โหรา ลงนะหน้าทองหรือว่าครอบเศียร,ครอบหน้ากากพระลักษณ์หน้าทอง ก็ลองติดต่อสอบถามท่านเอาเองที่หมายเลขโทรศัพย์๐๙๔๔๒๕๙๐๙๙ หรือไปหาท่านได้ที่วัดสุทธาราม ซอยตากสิน 19 เขตคลองสาน กรุงเทพมหานคร ในวันอาทิตย์ 

4 มีนาคม วันอ้วนโลก ( World Obesity Day ) แพทย์ผู้เชี่ยวชาญเวชศาสตร์ชะลอวัย แนะวิธี หยุด “วิกฤต” โรคอ้วน #SootinClaimon.Com

#SootinClaimon.Com : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์คมชัดลึก

https://www.komchadluek.net/news/knowledge/460082

 4 มีนาคม วันอ้วนโลก ( World Obesity Day ) แพทย์ผู้เชี่ยวชาญเวชศาสตร์ชะลอวัย แนะวิธี หยุด “วิกฤต”โรคอ้วน 

 4 มีนาคม วันอ้วนโลก ( World Obesity Day ) แพทย์ผู้เชี่ยวชาญเวชศาสตร์ชะลอวัย แนะวิธี หยุด "วิกฤต"โรคอ้วน 

4 มีนาคม 2564 – 10:14 น.

 4 มีนาคม วันอ้วนโลก ( World Obesity Day ) แพทย์ผู้เชี่ยวชาญเวชศาสตร์ชะลอวัย แนะวิธี หยุด “วิกฤต”โรคอ้วน 

เนื่องในโอกาส ศูนย์เวชศาสตร์ชะลอวัย Smart Life Antiaging Center โรงพยาบาลพญาไท 1 ได้จัดกิจกรรมอบรมเชิงปฏิบัติการแก่พนักงาน เพื่อให้ตระหนักถึงผลของโรคอ้วนต่อสุขภาพ วิธีการควบคุมน้ำหนัก ทั้งในแง่ของอาหาร การออกกำลังกาย และการเลือกใช้ยาที่ถูกต้องตามข้อบ่งชี้และมาตรฐานทางการแพทย์ เพื่อจะนำความรู้ไปใช้ในการดูแลคนไข้ต่อไป

นอกจากนี้ภายในงานยังมี Workshop การสอนทำอาหารควบคุมน้ำหนักโดยนักกำหนดอาหารประจำศูนย์และยังมี Nurse Ambassador พยาบาลผู้ที่ได้รับการรักษาการลดน้ำหนักจากศูนย์ชะลอวัยอย่างได้ผลมาแบ่งปันประสบการณ์ และสร้างแรงบันดาลใจให้ทุกคนใส่ใจในการควบคุมน้ำหนักเพื่อสุขภาพอีกด้วย

 4 มีนาคม วันอ้วนโลก ( World Obesity Day ) แพทย์ผู้เชี่ยวชาญเวชศาสตร์ชะลอวัย แนะวิธี หยุด "วิกฤต"โรคอ้วน 

 พญ.ธิศรา วีรสมัย หัวหน้าศูนย์เวชศาสตร์ชะลอวัย ได้กล่าวว่า “การจัดงานในวันนี้ มีที่มาจากการที่ศูนย์เวชศาสตร์ชะลอวัย Smart Life Anti-aging Center ของโรงพยาบาลพญาไท 1 เราประสบความสำเร็จในการดูแลรักษาคนไข้และเจ้าหน้าที่ของโรงพยาบาลที่มีปัญหาโรคอ้วนในคลินิคโรคอ้วน หรือ Obesity Clinic

ซึ่งปัจจุบัน “อ้วน”จัดเป็นโรคเรื้อรังชนิดหนึ่งโดยเฉพาะอย่างยิ่ง โรคอ้วนลงพุง จัดเป็นหนึ่งในโรคเรื้อรังไม่ติดต่อ หรือ NCD ซึ่งเป็นโรคที่ ส่วนหนึ่งเกิดจากพฤติกรรมการใช้ชีวิต และหากการดำเนินโรคต่อเนื่อง ไม่ได้รับการรักษา จะนำไปสู่การเกิดโรคหัวใจและหลอดเลือด มะเร็ง หรือเพิ่มอัตราการเสียชีวิตได้
การจัดงานในโอกาสช่วงของวันอ้วนโลก(World Obesity Day)ในปีนี้ เรามีแนวคิดเพิ่มเติมขึ้นอีกว่า คนไข้โรคอ้วนไม่ได้มีเฉพาะในคลินิคโรคอ้วนแต่มีในทุก ๆ คลินิคและในทุกๆ ward ผู้ป่วย เพียงแต่หลายคนอาจยังไม่ตระหนักถึงความสำคัญในการดูแลรักษาการอบรมบุคลากรในโรงพยาบาลทุกแผนกในวันนี้ จึงมีความสำคัญ เพราะทุกคนจะสามารถให้ความรู้ และแนะนำคนไข้ที่แต่ละคนได้ร่วมดูแล ให้ตระหนักถึงการรักษาโรคอ้วน ก่อนที่จะเกิดโรคต่าง ๆ ตามมา

นอกจากนี้ยังมีบุคคลากรหลายคนที่เราได้ให้การรักษาลดน้ำหนักได้ผล และส่งผลดีตามมามากมายต่อสุขภาพทั้ง
สุขภาพกายและใจ เขาก็สามารถจะส่งต่อประสบการณ์และเป็นแรงบันดาลใจทั้งต่อเพื่อนร่วมงานและคนไข้ที่ดูแล ให้หันมาใส่ใจรักษา ปรึกษาแพทย์ ดูแลแบบองค์รวมเพื่อการลดน้ำหนักอย่างถูกต้อง และป้องกันการเกิดโรคต่อไป 
ด้าน พว.เบญจวรรณ สุขเรือน ผู้อำนวยการฝ่ายการพยาบาล โรงพยาบาลพญาไท 1 กล่าวว่า “ เนื่องในวันอ้วนโลก 4 มีนาคมนี้ ในฐานะที่เป็นพยาบาล บุคคลากรทางการแพทย์ ไม่อยากให้เกิดการดูแลที่ไม่ถูกต้องในการลดน้ำหนัก หรือทานอาหารไม่ถูกสัดส่วน จึงอยากให้ทุกคนช่วยกันรณรงค์ในการควบคุมน้ำหนักอย่างถูกต้อง

“ท่านสามารถมารับการรักษาได้ที่ศูนย์เวชศาสตร์ชะลอวัยของเราในส่วนของ Obesity Clinic เพราะเราอยากเห็นทุกคนมีสุขภาพดี และไม่เป็นโรคอ้วนค่ะ “

 4 มีนาคม วันอ้วนโลก ( World Obesity Day ) แพทย์ผู้เชี่ยวชาญเวชศาสตร์ชะลอวัย แนะวิธี หยุด "วิกฤต"โรคอ้วน 

คุณสิตาภรณ์ วาณิชเสนี ผู้อำนวยการฝ่ายการตลาดต่างประเทศ กลุ่ม รพ.พญาไท 1, 2 และ รพ.เปาโลพหลโยธิน กล่าวว่า “ อย่างที่เราทราบกันว่าวันที่ 4 มีนาคมของทุกปี เป็นวันอ้วนโลก อยากบอกกับทุกคนที่กำลังมีปัญหาโรคอ้วนว่าไม่ต้องกังวลค่ะ เรามีทีมบุคลากร แพทย์-พยาบาลเฉพาะทาง เภสัชกร และนักกำหนดอาหาร ซึ่งจะคอยดูแลอย่างมีประสิทธิภาพ และยังมีอาหารชะลอวัยและควบคุมน้ำหนักของทางศูนย์ ซึ่งจะช่วยให้ทุกคนมั่นใจ เรามาร่วมกันดูแลให้ ตั้งแต่วันที่ 5 มีนาคมเป็นต้นไป ไม่มีใครเป็นโรคอ้วนกันนะคะ”
         ติดตามบทสัมภาษณ์ คำแนะนำ และการดูแลตนเองจากแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ เพื่อหยุดวิกฤต “โรคอ้วน” จาก พญ.ธิศรา วีรสมัย หัวหน้าศูนย์เวชศาสตร์ชะลอวัย  Smart Life Antiaging Center โรงพยาบาลพญาไท 1 ได้ที่  https://drive.google.com/file/d/1U8tcieRTUL15tfhqAG2ziVqDQ5RPTeNy/view

 4 มีนาคม วันอ้วนโลก ( World Obesity Day ) แพทย์ผู้เชี่ยวชาญเวชศาสตร์ชะลอวัย แนะวิธี หยุด "วิกฤต"โรคอ้วน 

อ.อ๋อ บ่อทอง ผู้สืบสานลายยันต์ ตำนานผีหัวหลวง มหามนต์ตรา ยักษ์กินผีแห่งล้านนา #SootinClaimon.Com

#SootinClaimon.Com : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์คมชัดลึก

https://www.komchadluek.net/news/knowledge/459283

อ.อ๋อ บ่อทอง ผู้สืบสานลายยันต์ ตำนานผีหัวหลวง มหามนต์ตรา ยักษ์กินผีแห่งล้านนา

อ.อ๋อ บ่อทอง ผู้สืบสานลายยันต์ ตำนานผีหัวหลวง มหามนต์ตรา ยักษ์กินผีแห่งล้านนา

27 กุมภาพันธ์ 2564 – 00:00 น.

อ.อ๋อ บ่อทอง ผู้สืบสานลายยันต์ ตำนานผีหัวหลวง มหามนต์ตรา ยักษ์กินผีแห่งล้านนา  คอลัมน์…  ตามรอยตำนานแผ่นดิน  โดย… เอก อัคคี FB : Akeakkee Ake

เรื่องราวของ ผีหัวหลวงนั้น ผมเองพอจะได้ยินได้ฟังมาบ้างแต่ก็แบบผ่านๆตาไม่ได้ให้ความสนใจอะไรมากมาย เพราะเคยอ่านเจอในหนังสือที่เกี่ยวกับคติความเชื่อของคนเหนือหรือชาวล้านนาที่เชื่อถือเรื่องนี้กันมาช้านานแล้ว

อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง… ป้องกันภูตผีด้วย…. “ท้าวเวสสุวรรณ ชินบัญชรมหาปราบ”

อ.อ๋อ บ่อทอง ผู้สืบสานลายยันต์ ตำนานผีหัวหลวง มหามนต์ตรา ยักษ์กินผีแห่งล้านนา

อ.อ๋อ บ่อทอง 

จนกระทั้งวันหนึ่งผมมีโอกาสไปเจอกับ อ.แขก รือเสาะ ผู้เรืองเวทย์และเป็นคุรุผู้รู้จริงในไสยศาสตร์ลี้ลับโบราณหลากหลายแขนงอย่างรู้ลึกและรู้จริง ทำได้จริง ไม่ว่าจะเป็นสรรพวิชาสายจีน สายไทย สายมอญ สายพม่า สายมุสลิม ฯลฯระหว่างนั่งสนทนากันผมสังเกตุที่ข้อเท้าของ อ.แขก รือเสาะ เห็นรอยสักเป็นหน้ายักษ์มีอักขระโบราณรายล้อม สอบถามจึงได้ความว่า นี่คือ ยันต์ผีหัวหลวง ซึ่งเป็นพญายักษ์ที่กินผีเกเร คนภาคเหนือในสมัยโบราณจะนับถือกันมาก แต่ปัจุบันนี้วิชานี้แทบจะหายสาบสูญไปแล้วมีคนที่รู้จริงเรื่องนี้น้อยมาก ใครมียันต์นี้ติดตัวก็หมายความว่า จะเดินทางไปไหนมาไหนก็ไม่ต้องเกรงกลัวภูตผีปิศาจใดๆ

ผมสนใจในเรื่องตำนานผีหัวหลวงมาก จึงกลับมาสืบค้นต่อจนได้ความว่า ผีหัวหลวง ก็คือพญาปุริสาท ท่านเป็นหนึ่งใน 4 มหาอำมาตย์ของท้าวเวสสุวรรณ (ผู้เป็นเจ้าแห่งภูตผีปีศาจและยักษ์ทั้งปวง) ท่านพญาปุริสาท ผู้ที่ได้การยอมรับว่า เป็นมือขวาของ ท้าวเวชสุวรรณ เป็นผู้กำราบ ภูติผี ปีศาจ อวิชาต่างๆ ที่นอกลู่นอกทาง รวมถึงช่วยเสริมด้านโชคลาภเงินทอง นั้นมีหน้าที่ดูแลความสงบเรียบร้อย ดูแลพฤติกรรมของบรรดายักษ์และภูตผีปิศาจบริวารต่างๆ แต่ท่านพญาปุริสาทนั้นจะกินผีที่ไม่อยู่ในคำสั่งหรือผีเกเร ยักษ์เกเรเป็นอาหาร

อ.อ๋อ บ่อทอง ผู้สืบสานลายยันต์ ตำนานผีหัวหลวง มหามนต์ตรา ยักษ์กินผีแห่งล้านนา

ครูบากฤษดา กับ 3อาจารย์ฆราวาสที่ท่านถ่ายทอดวิชาผีหัวหลวงให้

เพราะฉะนั้น พวกยักษ์และภูติผีปีศาจจะเกรงกลัวท่านพญาปุริสาทมากเช่นเดียวกับท้าวเวสสุวรรณ เหล่าคณาจารย์สมัยก่อนทางอาณาจักรล้านนา หรือภาคเหนือของไทยเราในปัจจุบัน ทั้งในแถบเชียงตุ้ง ไทยใหญ่ พม่า จึงสร้างเป็นรูปเคารพ ,แผ่นยันต์, ผ้ายันต์ หินชนวน และเครื่องรางของขลังต่างๆรวมไปถึงการลงอักขระเลขยันต์ สักติดตัวไว้ โดยจะเป็นการสักใบหน้าของพญาปุริสาทไว้ที่ข้อเท้าทั้งสองข้าง โดยหน้าแข้งเหนือข้อเท้าข้างขวาจะสักเป็นใบหน้าพญาปุริสาทที่เป็นหน้ายักษ์มีเขี้ยวโง้ง ส่วนหน้าแข้งเหนือข้อเท้าข้างซ้ายจะสักเป็นหน้ามนุษย์และรายล้อมไว้ด้วยอักขระเลขยันต์ภาษาล้านนาโบราณ แต่หาผู้ที่ศึกษาศาสตร์การสักนี้อย่างลึกซึ้งน้อยมาก

จนล่าสุดผมได้มีโอกาสพบกับ อาจารย์อ๋อ บ่อทอง เจ้าของพรอันประเสริฐ “อย่าอด อย่าอยาก อย่ายาก อย่าจน อย่าต่ำกว่าคน อย่าจนกว่าใคร”   แห่งสำนักสักยันต์ชื่อดังแห่งบ้านบ่อทอง ลาดหลุมแก้ว ปทุมธานี  ซึ่งเป็นผู้ที่ศึกษาเรื่องราวในศาสตร์และศิลป์ด้านการลงอักขระเลขยันต์ ถือเป็นอาจารย์ฆราวาสผู้เรืองเวทย์รุ่นใหม่ที่รู้ลึกรู้จริงในไสยศาสตร์ทั้งสายวัดบางพระ สายมอญ สายขอมและไสยศาสตร์อีกหลายแขนง ซึ่งอ.อ๋อ บ่อทอง เล่าว่าเพิ่งเดินทางกลับมาจากทางภาคเหนือกับคณะอาจารย์ฆราวาส อาทิ อ.แขก รือเสาะ ,อ.จั้ม ศรีบูรพา,อ.เทพ พงศาวดารและเพิ่งได้ไปกราบนมัสการครูบากฤษดา แห่งวัดปงสนุกเหนือ เมืองลำปาง ซึ่งท่านเป็นผู้ที่สืบทอดวิชาของครูบานันตาและเป็นผู้ที่ศึกษาและรักษาตำราวิชาการสักยันต์ผีหัวหลวงหรือพญาปุริสาทเอาไว้

อ.อ๋อ บ่อทอง ผู้สืบสานลายยันต์ ตำนานผีหัวหลวง มหามนต์ตรา ยักษ์กินผีแห่งล้านนา

อักขระยันต์ผีหัวหลวง ตำรับล้านนาขนานแท้ ตำนานยักษ์กินผี

“ ตุ๊เจ้า(พระอาจารย์)ท่านเล่าว่า ได้วิชานี้มาจากอาจารย์ฆราวาสท่านหนึ่งชื่อว่า หนาน(ขอสงวนชื่อ)ที่อยู่ในแถบเชียงตุง ไทยใหญ่ เมื่อนานมาแล้ว เป็นวิชาที่มีความเข้มขลังศักดิ์สิทธิ์ มีพลานุภาพมาก ผีทั้งหลายเกรงกลัวมาก แต่ขณะเดียวกันก็หนุนดวงช่วยในเรื่องโภคทรัพย์ ทำมาหากิน เสี่ยงโชคจะโดดเด่นมาก แต่ตามเคล็ดวิชานี้คือต้องสักไว้ที่ข้อเท้าบริเวณหน้าแข้ง เพื่อเป็นการสะกดข่มเอาไว้ จะให้เสมอกับเราไม่ได้ ต้องไว้ด้านล่าง แต่เวลาเราเดินทางไปไหนก็จะมีผีหลวงคุ้มครองไปด้วย ทำให้บรรดาภูตผีปิศาจทั้งหลายจะเกรงกลัวมาก เรียกว่าไปไหนก็แคล้วคลาดปลอดภัย มากด้วยบารมีตบะอำนาจ ผมจึงขอรับช่วงวิชาการสักยันต์ผีหัวหลวงหรือท่านพญาปุริสาท มาจากตุ๊เจ้าท่าน ท่านก็เมตตามอบวิชานี้ให้พร้อมอักขระยันต์ภาษาล้านนา แต่ที่สำคัญคือ น้ำมันสักของท่าน ซึ่งเป็นน้ำมันว่านที่ผสมว่านหายากมากมายจากฝั่งพม่า ซึ่งถือว่า เป็นวิชาสายเหนือของแท้แน่นอน นับเป็นโชคดีมากที่ท่านเมตตามอบให้มาเพื่อให้มาสักกับศิษย์ในสำนักและเป็นการสืบทอดรักษาสรรพวิชาโบราณแห่งล้านนานี่เอาไว้ในอนุชนรุ่นหลัง ลายยันต์กับอักขระคาถาอาจจะหากันได้แต่น้ำมันสักสายตรงแบบนี้หายาก ถ้าจะสักให้ได้ผลต้องสักกับน้ำมันว่านยายักษ์นี้เท่านั้นครับ”

กล่าวสำหรับน้ำมันสักนั้น เป็นน้ำมันที่เรียกกันว่า น้ำมันว่านยายักษ์ของพม่า ใช้ในด้านการแก้อาถรรพ์ ถอนอาถรรพ์ กันผีกันสางกันของไม่ดีต่างๆ ซึ่งทำมาจากว่านยาพม่านี้ ซึ่งว่านยาพม่าแบ่งเป็นกลุ่มใหญ่ๆได้4กลุ่ม คือยาพระ ยาเทวดา ยายักษ์ และยารูปสัตว์ 

อ.อ๋อ บ่อทอง ผู้สืบสานลายยันต์ ตำนานผีหัวหลวง มหามนต์ตรา ยักษ์กินผีแห่งล้านนา

น้ำมันสักผีหัวหลวงตำรับพม่าของแท้

ซึ่งทั้งหมดนี้ส่วนใหญ่จะรวมเป็นสายยา ปถมังสิทธิ จะทำออกมาเป็นแท่งหรือในรูปลักษณะต่างๆนำมาฝนผสมกับน้ำมนต์หรือผสมเป็นน้ำมันว่านสำหรับใช้สักยันต์ มีข้อมูลจาก อ.กัน ล้านนา ระบุว่า ทางศาสตร์พม่านั้นครูบาอาจารย์สมัยก่อน เรียกว่าองค์สย่า จะนำยาทั้งหลายที่หาได้ มาทำการเล่นแร่แปรธาตุ(หลุง) บดบนถ้วยกระโหลกอาถรรพ์แล้วนำเขี้ยวเสือมาคนผสมตัวยา จากนั้นก็จะเสกคาถาประจุพลังจนศักดิ์สิทธ์ แล้วนำมาพอกปั้นเป็นแท่งหรือ อาจจะพอกเป็นรูปหรือแกะจากแท่งยาให้เป็นรูปลักษณะต่างๆ เพื่อบ่งบอกถึงตัวยาที่ได้ใช้ผสมลงไป เช่น พระพุทธรูป,เทพเทวดา,ยักษ์ปุริสาท,สัตว์ต่างๆ 

สำหรับยายักษ์นั้นมักใช้ในด้านการแก้อาถรรพ์ ถอนอาถรรพ์ ไล่อาถรรพ์ กันผีกันสางกันของไม่ดีต่างๆ เรียกโชคลาภโภคทรัพย์ ตามคติความเชื่อเรื่องท้าวเวสสุวรรณและพญายักษ์ปุริสาท 

แต่อย่างไรก็ตามปัจจุบันนี้ศาสตร์วิชาในการสร้างยาของทางพม่า ได้สูญหายไปตามกาลเวลามากขึ้น เหลือเพียงไม่กี่สำนักเท่านั้นที่จะทำสำเร็จและสามารถสร้างยา ขยายยาเป็นของตัวเองได้ เพราะในตัวยานั้นกว่าจะสร้างได้เสร็จนั้น ต้องใช้เวลาเสาะหาตัวว่านยาในแถบป่าลึกในพม่า ไทยใหญ่ เชียงตุง เชียงรุ้ง ซึ่งว่านบางอย่างหายากมากในสมัยนี้ต้องใช้ความอุตสาหะมากพอสมควร 

อ.อ๋อ บ่อทอง ผู้สืบสานลายยันต์ ตำนานผีหัวหลวง มหามนต์ตรา ยักษ์กินผีแห่งล้านนา

ยิ่งการทำยายักษ์นั้นยังมีขั้นตอนที่ซับซ้อนอีกมาก รวมไปถึงพระเวทมนตราที่ใช้ปลุกพญาปุริสาทของครูผู้สร้างต้องกล้าแข็ง ถึงจะได้ตัวยายักษ์หรือน้ำมันว่านยายักษ์ที่ใช้ได้และมีฤทธิ์ขึ้นมา เพราะฉะนั้นใครที่รู้เคล็ดวิชานี้หรือไปเสาะแสวงหาอาจารย์สักยันต์นี้ต้องบอกว่า ไม่ธรรมดา

แต่อย่างไรก็ตาม ต้องบอกว่า การที่จะนำมาสักเป็นยันต์ผีหัวหลวงนั้นหรือ พญาปุริสาท ผู้เป็นพญายักษ์ที่กินผีเกเรเป็นอาหาร ต้องใช้น้ำมันผสมว่านยายักษ์เท่านั้น!!

และด้วยเหตุว่าท่านเป็นพญายักษ์หลวงมีฤทธิ์มาก คนโบราณในล้านนาจึงกลัวเกรงท่านมาก พยายามเลี่ยงที่จะต้องเผชิญหน้ากับท่านในทิศต่างๆถึงกับมีการเขียนตำราด้วยภาษาล้านนาว่าด้วยทิศของผีหัวหลวงเอาไว้ด้วยและถึงกับระบุเอาไว้เลยว่า หากวันใดเมื่อใดผู้คนทั้งหลายจักกระทำพิธีอันเป็นมงคลห้ามหันหน้าไปทางทิศที่ผีหัวหลวงอยู่จักฉิบหาย จักเสียข้าวของเงินทอง หรือถ้าจะไปค้าขาย หรือไปเล่นเสี่ยงโชคลาภต้องระวังว่าเป็นทิศที่ ผีหัวหลวงอยู่หรือไม่ ซึ่งถ้าเรามาพิจารณาตามหลักของความเป็นจริงแล้วคงจะเป็นเรื่องยากที่จะปฏิบัติตาม แต่เอาเป็นว่า ในตำราโบราณของล้านนา ระบุข้อห้ามเอาไว้ดังนี้ 

อ.อ๋อ บ่อทอง ผู้สืบสานลายยันต์ ตำนานผีหัวหลวง มหามนต์ตรา ยักษ์กินผีแห่งล้านนา

วันอาทิตย์ : ผีหัวหลวงอยู่ปลายไม้ ห้ามแหงนหน้าดูปลายไม้เมื่อยามออกจากบ้าน
วันจันทร์ : ผีหัวหลวงอยู่ทางทิศตะวันออกห้ามนั่งหันหน้าไปทางนี้จักเสียทรัพย์ จักมีอันตราย
วันอังคาร : ผีหัวหลวงอยู่ทางทิศตะวันตกห้ามเที่ยวทางหรือหน้าไปทิศนี้ไม่ดี เล่นการพนันก็หมดเงิน
วันพุธ : ผีหัวหลวงอยู่ในอากาศ ห้ามขึ้นที่สูงจะตกลงมาตาย ห้ามเที่ยวทวนกระแสลมวันนี้จักเกิดพินาศเป็นเสนียดจัญไรแก่ตนแล
วันพฤหัสบดี : ผีหัวหลวงอยู่บนฟ้า ห้ามแหงนมองฟ้าเวลายามเมื่อออกจากบ้านเคหาจักเป็นเสนียดแก่ตน ไปค้าขายก็ไม่ได้ดั่งใจอับโชค 
วันศุกร์ : ผีหัวหลวงมันอยู่ทางทิศใต้ ห้ามออกบ้านทางทิศใต้หรือไปค้าขายเสี่ยงโชคทางนี้หรือนั่งหันหน้าไปทิศใต้จะไม่เจริญ
วันเสาร์ :  ผีหัวหลวงอยู่ทิศเหนือห้ามไปเที่ยวทางนี้หรือนั่งหันหน้าหันหน้าไปทิศเหนือจะเป็นทุกข์เสี่ยงโชคลาภก็ไม่ได้ดั่งใจปราถนา 

อ.อ๋อ บ่อทอง ผู้สืบสานลายยันต์ ตำนานผีหัวหลวง มหามนต์ตรา ยักษ์กินผีแห่งล้านนา

………..

อย่างไรก็ตาม เรื่องแบบนี้มันอยู่ที่เคล็ดลับการนำวิชามาใช้ของแต่ละครูบาอาจารย์ ใครที่แก้เคล็ดเป็นก็จะประสบโชคพบกับชัยชนะมากกว่าจะต้องพ่ายแพ้ไป ส่วนจะแก้เคล็ดกันอย่างไรก็ต้องขึ้นอยู่กับปัญญาของแต่ละคน แต่ละครูบาอาจารย์…แต่รับรองว่า ใครมีพญาปุริสาทติดตัวไปทางไหน…ทางนั้นผีกระเจิง…

ข้อห้ามมีข้อเดียว สำหรับคนที่สักผีหัวหลวงไว้ที่ข้อเท้าทั้งสองข้างคือ 
ห้ามเตะลูกเตะเมียเด็ดขาด!!!

ส่วนใครสนใจเรื่องราวของการสักยันต์ผีหัวหลวงแบบละเอียดก็สามารถสอบถามไปได้ที่ สำนักสักยันต์ อ.อ๋อ บ่อทอง 0861010905 Line:janaor007 wechat:janaor007

พระกริ่งแม่อยู่หัว วัดท่าคุระ ขอได้-ไหว้รับ แต่ต้องรำโมราแก้บน #SootinClaimon.Com

#SootinClaimon.Com : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์คมชัดลึก

https://www.komchadluek.net/news/knowledge/458907

พระกริ่งแม่อยู่หัว วัดท่าคุระ ขอได้-ไหว้รับ แต่ต้องรำโมราแก้บน

พระกริ่งแม่อยู่หัว วัดท่าคุระ ขอได้-ไหว้รับ แต่ต้องรำโมราแก้บน

20 กุมภาพันธ์ 2564 – 08:22 น.

พระกริ่งแม่อยู่หัว วัดท่าคุระ ขอได้-ไหว้รับ แต่ต้องรำโมราแก้บน  คอลัมน์… ตามรอย ตำนานแผ่นดิน โดย…  เอก อัคคี

คงต้องบอกว่า งานประเพณีโนราแก้บน รำโนราแก้บน วัดท่าคุระ จังหวัดสงขลา หนึ่งปีมีเพียงครั้งเดียว กับประเพณีโบราณอันศักดิ์สิทธิ์ สรงน้ำพระพุทธรูปเจ้าแม่อยู่หัว พระพุทธรูปเก่าแก่ คู่บ้านคู่เมือง หลังประสบความสำเร็จดั่งใจหวังนั้นถือว่า เป็นหนึ่งเดียวในโลกเลยก็ว่าได้ 

อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง…  ความเชื่อและพิธีกรรมทำน้ำพระพุทธมนต์ แห่งสายสรรพวิชาไสยเวทย์สำนัก”เขาอ้อ”  

พระกริ่งแม่อยู่หัว วัดท่าคุระ ขอได้-ไหว้รับ แต่ต้องรำโมราแก้บน

 พระกริ่งแม่อยู่หัว รุ่นสอง  ด้านหน้า

เพราะในวันพุธแรกของข้างแรมเดือน 6 ของทุกปี สำหรับชาวลุ่มน้ำทะเลสาบสงขลาจะถือว่าเป็นวันสมโภช “พระพุทธรูปเจ้าแม่อยู่หัว”ที่ลูกหลานซึ่งออกเดินทางไปอยู่ต่างบ้านแดนไกลจะเดินทางกลับมาทำบุญให้บรรพบุรุษ

พระแม่อยู่หัวเป็นพระพุทธรูปทองคำขนาดเล็กจิ๋ว ปางสมาธิที่ประดิษฐานอยู่ที่วัดท่าคุระ ตำบลคลองรี อำเภอสทิงพระ มาแล้วกว่า 300 ปี องค์ท่านจะถูกอัญเชิญออกจากมณฑป มาประดิษฐานไว้ในที่สำหรับสรงน้ำ เพื่อให้ชาวพุทธได้ร่วมกันสรงน้ำ และแก้บนด้วยการรำโนรา ด้วยความเลื่อมใสในความศักดิ์สิทธิ์ 

พระกริ่งแม่อยู่หัว วัดท่าคุระ ขอได้-ไหว้รับ แต่ต้องรำโมราแก้บน

พระกริ่งแม่อยู่หัว รุ่นสอง  ด้านหลัง

ซึ่งในงานก็จะมีพิธีการรำโนราถวายเพื่อแก้บน หรือที่ชาวบ้านเรียกว่าเหมรย พิธีกรรมวันแกร จะเริ่มต้นด้วยการบวชแก้บน ทั้งการบวชพระ บวชชี บวชชีพราหมณ์ และการอัญเชิญและสรงน้ำพระพุทธรูปเจ้าแม่อยู่หัว ในขณะที่คณะโนราเข้าโรงทำพิธีเบิกโรง ลงโรง ประกาศครู เชิญครู กราบครู โนราใหญ่รำถวายครู และการรำทั่วไป 

ส่วนพิธีกรรมในวันที่ 2 จะเป็นวันเซ่นไหว้ครูหมอโนราและเจ้าแม่อยู่หัว  แก้บน รำโนราถวาย เหยียบเสน ส่งครูและทำพิธีตัดเหมรย ด้วยแรงศรัทธาอันแรงกล้า ชาวบ้านจึงต่างผลัดเปลี่ยนกันมารำแก้บน เพื่อให้เกิดความมีสิริมงคลกับตัวเอง และครอบครัวตลอดไป

พระกริ่งแม่อยู่หัว วัดท่าคุระ ขอได้-ไหว้รับ แต่ต้องรำโมราแก้บน

พระกริ่งแม่อยู่หัว รุ่นสอง  ก้นอุดหล่อยันต์อุ

เจ้าแม่อยู่หัวหมายถึง พระพุทธรูปทองคำที่สร้างแทนตัวบุคคลที่ชาวบ้านท่าคุระบุคคลทั่วไปให้ความเคารพนับถือและเชื่อว่ามีความศักดิ์สิทธิ์ ที่บรรพบุรุษได้สร้างไว้เมื่อหลายร้อยปีมาแล้วจึงเป็นมรดกตกทอดมาให้คนรุ่นหลังได้เคารพสักการบูชาสืบต่อกันมา รวมทั้งเป็นเครื่องยึดเหนี่ยวจิตใจ ที่รวมจิตใจเป็นหนึ่งทำให้ลูกหลาน เจ้าแม่อยู่หัว แม้ว่าจะมีขนาดหน้าตักกว้างเพียง 2 นิ้วแต่มีความเข้มขลังศักดิ์สิทธิ์มาก สันนิษฐานว่าสร้างขึ้นสมัยสุโขทัยตอนปลายหรืออยุธยาตอนต้น ประมาณ พ.ศ. 1900 

ในปีหนึ่งลูกหลานสามารถเห็นพระพุทธรูปแม่เจ้าอยู่หัวได้ครั้งเดียวตอนสรงน้ำ ในวันพุธแรกข้างแรมเดือนหกเท่านั้น ซึ่งทำติดต่อกันมานับร้อยปีมาแล้วและลูกหลานเจ้าแม่อยู่หัวต้องรักษาประเพณีสืบมา 

สำหรับรูปหล่อพระกริ่งนั้นเท่าที่ทราบข้อมูลมามีการสร้างเพียงสองรุ่น โดยทางวัดท่าคุระ ซึ่งในปัจจุบันนี้ หายากมากเพราะลูกหลานของชาวบ้านที่สืบเชื้อสายมาจากชาวท่าคุระ ต่างเก็บไว้บูชาพกพาติดตัวไม่ค่อยที่จะปล่อยออกมาในตลาดสนามพระสักเท่าไรนัก อย่างในปี ปี2505 พิมพ์นั่ง เป็นพระเก่าหายาก ไม่ค่อยพบเจอครับ หรืออย่างในปี2528 ก็ได้มีการจัดสร้างอีกครั้งหนึ่ง เรียกว่า รุ่นสร้างมณฑป ที่ได้รับความนิยมมาก แต่ก็หายากสุดๆเหมือนกัน 

พระกริ่งแม่อยู่หัว วัดท่าคุระ ขอได้-ไหว้รับ แต่ต้องรำโมราแก้บน

พร้อมกล่องเดิมจากทางวัดท่าคุระ

ส่วนตัวผมเองก็ได้รับมอบเป็นมรดกมาจากคุณแม่เพียงหนึ่งองค์ เพราะท่านเองเป็นลูกหลานตายายย่านจากบ้านท่าคุระ เกิดและเติบโตที่นั่น จึงถือว่าเป็นพระเครื่องถิ่นบ้านเกิดของแม่ที่ผมเอกพกพาบูชาติดตัวได้อย่างสนิทใจ 

โดยส่วนตัวก็มีประสบการณ์ตรงเรื่องขอได้ไหว้รับจาก พระเครื่อง-พระกริ่งแม่อยู่หัวเช่นกัน จึงถือว่าเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ประจำตัวที่ไม่เคยห่างจากตัวเลยตั้งแต่ได้รับมอบมา สำหรับพระกริ่งรุ่นนี้จัมีสองพิมพ์คือ พิมพ์แขนตันกับพิมพ์แขนทะลุ ซึ่งต่างก็ได้รับความนิยมพอกัน เพราะหายากทั้งสองพิมพ์ ส่วนเนื้อชนวนมวลสารนั้นก็เป็นการชนวนโบราณของทางวัดท่าคุระมาหลอมรวมเป็นหนึ่งเดียว เป็นเหตุจึงสร้างได้เพียงจำนวนน้อยนิด ใครมีใครครอบครอง ถ้าเป็นลูกหลานชาวบ้านท่าคุระก็นับเป็นวาสนาแล้วล่ะครับท่าน!!

ความเชื่อและพิธีกรรมทำน้ำพระพุทธมนต์ แห่งสายสรรพวิชาไสยเวทย์สำนัก “เขาอ้อ” #SootinClaimon.Com

#SootinClaimon.Com : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์คมชัดลึก

https://www.komchadluek.net/news/knowledge/458160

ความเชื่อและพิธีกรรมทำน้ำพระพุทธมนต์ แห่งสายสรรพวิชาไสยเวทย์สำนัก”เขาอ้อ”

ความเชื่อและพิธีกรรมทำน้ำพระพุทธมนต์ แห่งสายสรรพวิชาไสยเวทย์สำนัก"เขาอ้อ"

13 กุมภาพันธ์ 2564 – 00:00 น.

ความเชื่อและพิธีกรรมทำน้ำพระพุทธมนต์ แห่งสายสรรพวิชาไสยเวทย์สำนัก”เขาอ้อ”  คอลัมน์…  ตามรอยตำนานแผ่นดิน   โดย…   เอก อัคคี

อย่างที่ทราบกันเป็นอย่างดีว่า สำนักตักศิลามหาเวทย์เขาอ้อ หรือ สำนักวัดเขาอ้อ แห่งเมืองพัทลุงนั้น เป็น ตักศิลามหาวิทยาลัยไสยศาสตร์มาตั้งแต่ครั้งโบราณกาลที่มีอายุยาวนานนับพันปี เรียกว่า เป็นสายสรรพวิชาที่สำคัญที่สุดของคาบสมุทรทะเลใต้ แม้ว่าทุกวันนี้หากใครไปเยือนอาจจะรู้แค่ว่า ที่นี่เป็นเพียง วัดวาอารามธรรมดาๆแห่งหนึ่งในพระพุทธศาสนา ที่มีโบราณสถาน โบราณวัตถุ หลงเหลืออยู่ไม่มากมายนัก 

อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง.. ไขปริศนาธรรม ไหทั้ง๗ ของท้าวกุวาร นี่คือ สมบัติแห่งจักรพรรดิ

ความเชื่อและพิธีกรรมทำน้ำพระพุทธมนต์ แห่งสายสรรพวิชาไสยเวทย์สำนัก"เขาอ้อ"

อ.เปลี่ยน หัทยานนท์ อาจารย์ฆราวาสเขาอ้อ
ขณะปลุกเสกน้ำพระพุทธมนต์สำหรับประพรมศิษย์

สิ่งที่เก่าแก่ที่สุดก็เห็นจะเป็นเพียงเขาอ้อ ซึ่งเป็นภูเขาโดดๆลูกเดียวอยู่ในวัดเท่านั้นที่เป็นเครื่องบ่งชี้ว่าที่นี่เก่าแก่เป็นตำนานจริงๆแต่ความจริงแล้ว สรรพวิชาต่างๆของสำนักนี้ไม่ได้สูญหายไปไหน ตำรับตำราสรรพวิชาต่างๆของสำนักเขาอ้อนั้นได้กระจัดกระจายไปอยู่ในความครอบครองของบรรดาศิษย์ที่ร่ำเรียนสรรพวิชาอาคมของที่นี่เป็นการคัดลอกจากต้นฉบับเดิม ตกทอดกันมาจากรุ่นสู่รุ่นมาอย่างต่อเนื่อง และอย่างที่ทราบกันว่า ศิษย์สำนักเขาอ้อที่ก้าวขึ้นมาเป็นครบาอาจารย์สืบทอดสืบสานสรรพวิชาของบูรพาจารย์นั้นก็มีอยู่ไม่น้อย  

ความเชื่อและพิธีกรรมทำน้ำพระพุทธมนต์ แห่งสายสรรพวิชาไสยเวทย์สำนัก"เขาอ้อ"

อ.เปลี่ยน หัทยานนท์ อาจารย์ฆราวาสเขาอ้อ
ขณะปลุกเสกน้ำพระพุทธมนต์สำหรับประพรมศิษย์

มีทั้งที่เปิดเผยตัวและไม่เปิดเผยตัว เพราะตามหลักคำสอนสั่งของปรมาจารย์ตั้งแต่ครั้งโบราณนานมาของเขาอ้อคือ วิชามีไว้เพื่อใช้ป้องกันตัวและช่วยเหลือคนอื่น ไม่ได้มีไว้เพื่ออวดอ้างหรือว่า คุยโตโอ้อวด และหนึ่งในครูบาอาจารย์ที่รู้ลึกรู้จริงอีกท่านหนึ่งของสำนักนี้คือ อาจารย์เปลี่ยน หัทยานนท์ ฆราวาสวัย ๙๔ ปีศิษย์คนสุดท้ายที่ พระอาจารย์ปาล ปาลธัมโม หนึ่งในปรมาจารย์ของสำนักถ่ายทอดเคล็ดวิชาให้ท่านที่ท่านจะปิดวาจายาวนานจนมรณภาพ ซึ่งทุกวันนี้ต้องยอมรับ อ.เปลี่ยน หัทยานนท์ คือ หนึ่งในอาจารย์สายฆราวาสของเขาอ้อที่ได้รับเชิญจากบรรรดาศิษย์ให้เป็นผู้ประกอบพิธีกรรมต่างๆอย่างต่อเนื่อง ซึ่งแม้ว่าท่านจะอยู่ในวัยชราแล้ว แต่ท่านก็เมตตากับศิษย์ทุกคนเสมอมา

ความเชื่อและพิธีกรรมทำน้ำพระพุทธมนต์ แห่งสายสรรพวิชาไสยเวทย์สำนัก"เขาอ้อ"

 การปลุกเสกน้ำพระพุทธมนต์นั้นใช้เวลานานนับชั่วโมง
เพราะต้องสวดพระคาถาต่างๆตามตำรา

ซึ่งอีกหนึ่งสรรพวิชาสำคัญของสำนักเขาอ้อ ที่หลายคนอาจจะมองว่า ธรรมดา แต่ในความเป็นจริงแล้วไม่ธรรมดาเลย ทั้งก็คือ พิธีการทำน้ำพระพุทธมนต์ของสำนักวัดเขาอ้อ กล่าวโดยพอสังเขปสรุปได้ว่า การทำน้ำพระพุทธมนต์ของสำนักเขาอ้อนั้น แบ่งเป็นประเภทใหญ่ ๆ ได้ ๒ ประเภท คือ น้ำพระพุทธมนต์ทั่วไป และน้ำพระพุทธมนต์สะเดาะเคราะห์ ซึ่งจะมีรายละเอียดขั้นตอนที่แตกต่างกันพอสมควร 

ความเชื่อและพิธีกรรมทำน้ำพระพุทธมนต์ แห่งสายสรรพวิชาไสยเวทย์สำนัก"เขาอ้อ"

น้ำพระพุทธมนต์สำหรับใช้ประพรมศิษย์ตามตำรับเขาอ้อ

สำหรับ น้ำพระพุทธมนต์ประพรมที่ใช้ประพรมทั่วไป  ซึ่งน้ำพระพุทธมนต์นี้ทางอาจารย์ท่านจะเป็นผู้ประกอบพิธีหรือปลุกเสกเดี่ยวโดยจะมีการนำน้ำจากสระ น้ำบ่อ และน้ำคลองมารวมกันในหม้อน้ำมนต์
ภายในหม้อน้ำมนต์ ประกอบด้วยขวานหินสีขาว ดำ และแดง ใบเงิน ใบทอง ใบนาค
หญ้าแพรก และหญ้าคา  ซึ่งสถานที่ประกอบพิธีกระทำภายในอุโบสถในวัดเขาอ้อหรือหน้าโต๊ะหมู่
บูชาภายในกุฏิหรือบ้านของอาจารย์ฆราวาส แล้วแต่ความเหมาะสม ท่านจะเริ่มพิธีโดยโยงสายสิญจน์จากพระประธานมาพันรอบหม้อน้ำมนต์ พระอาจารย์จะอ่านโองการหรือปลุกเสกคาถาศักดิ์สิทธิ์จนจบจึงนำไปใช้ประพรมเพื่อให้เกิดสิริมงคล

ความเชื่อและพิธีกรรมทำน้ำพระพุทธมนต์ แห่งสายสรรพวิชาไสยเวทย์สำนัก"เขาอ้อ"

อาจารย์เปลี่ยน ขณะประพรมน้ำพระพุทธมนต์ให้บรรดาศิษย์ผู้เชื่อมั่นศรัทธา

ส่วนประเภทที่สองคือ น้ำพระพุทธมนต์ใช้อาบ  ในการประกอบพิธี อาจารย์จะเป็นผู้กำหนดวันฤกษ์ยามส่วนใหญ่ใช้วันเสาร์ หรือวันอังคาร สถานที่ใช้ภายในอุโบสถหรือภายในกุฏิหรือบ้านของครูบาอาจารย์นั้นๆ เริ่มพิธีโดยพระอาจารย์จะโยงสายสิญจน์จากพระประธานมาพันรอบหม้อน้ำมนต์ ภายในหม้อน้ำมนต์มีดอกบัวขาว๑๐ดอก ลูกมะกรูด๗ลูกนำมาผ่าเป็นสองซีก ส้มปอย๗ฟัก ฝักละ ๗ เม็ด ,ใบเงินใบทอง,,ใบมะตูม, หญ้าแพรก และหญ้าเข็ดมอญ(ในภาษาใต้)หรือหญ้าขัดมอญ (ในภาษากลาง)จากนั้น อาจารย์จะลงอักขระเลขยันต์คาถาด้วยดินสอลงบนกลีบใบบัว ใบไม้และทุกอย่างด้วยคาถาแต่ละบทที่ไม่เหมือนกัน แล้งจึงจุดธูปเทียนและปลุกเสกจนเสร็จพิธี อาจารย์จะนำน้ำพระพุทธมนต์ผสมกับน้ำที่เตรียมไว้ ผู้ที่จะอาบน้ำพระพุทธมนต์ ศิษย์ที่เข้าทุกคนเสียค่าบูชาครูคนละหนึ่งบาท

ความเชื่อและพิธีกรรมทำน้ำพระพุทธมนต์ แห่งสายสรรพวิชาไสยเวทย์สำนัก"เขาอ้อ"

อาจารย์เปลี่ยน ขณะประพรมน้ำพระพุทธมนต์ให้บรรดาศิษย์ผู้เชื่อมั่นศรัทธา

ประเภทที่สามคือ น้ำพระพุทธมนต์พระจันทร์เพ็ญ เป็นน้ำพระพุทธมนต์ที่ทำขึ้นในวันเพ็ญขึ้น๑๕ค่ำ เดือน ๑๒ที่ตรงกับวันจันทร์ เรียกว่า “จันทร์เพ็ญ” การประกอบพิธีนั้นจัดทำที่หน้าอุโบสถหรือที่บ่านของอาจารย์(หากท่านเป็นฆราวาส) โดยใช้โอ่งน้ำหลายใบตั้งเรียงรายหน้าอุโบสถ ภายในโอ่งน้ำบรรจุสิ่งของเช่นเดียวกับน้ำพระพุทธมนต์ใช้อาบ แล้วโยงสายสิญจ์จากพระประธานพันรอบโอ่ง ปากโอ่งปักเทียน ๙ เล่ม อาจารย์ท่านจะนั่งปลุกเสกตั้งแต่ย่ำค่ำจนเที่ยงคืนผู้ประสงค์จะอาบน้ำพระพุทธมนต์จันทร์เพ็ญจะต้องอาบเวลาเที่ยงคืนโดยนำดอกไม้ธูปเทียนหมากพลูพร้อมเงินบูชาครู ๑๐๙ บาท ถวายบูชาครู 

ความเชื่อและพิธีกรรมทำน้ำพระพุทธมนต์ แห่งสายสรรพวิชาไสยเวทย์สำนัก"เขาอ้อ"

อาจารย์เปลี่ยน ขณะประพรมน้ำพระพุทธมนต์ให้บรรดาศิษย์ผู้เชื่อมั่นศรัทธา

………
ส่วนน้ำพระพุทธมนต์ใช้สะเดาะเคราะห์หรือพระเคราะห์นั้น ใน การทำน้ำพระพุทธมนต์สะเดาะเคราะห์ กระทำแบบเดียวกับน้ำพระพุทธมนต์ใช้อาบ แตกต่างกันที่เครื่องบูชาและอาหารคาวหวานที่ใช้ประกอบพิธี ซึ่งจำนวนจะต้องเท่ากับกำลังวันเกิดของผู้อาบน้ำ เช่น ผู้อาบน้ำเกิดวันอาทิตย์กำลังวัน ๖ อาหารคาวหวาน๖ ห่อ ได้แก่ขนมแห้ง๒ห่อ ขนมสด๒ห่อ ข้าวสุก ๑ห่อ และแกง๑ถุง เป็นต้น เมื่ออาจารย์ปลุกเสกน้ำพระพุทธมนต์เสร็จแล้ว ผู้อาบน้ำก็จะใช้อาบส่วนใหญ่จะกำหนดเวลาประมาณ ๐๘.๓๐  น. ของวันเสาร์ และวันอังคาร โดยทุกคนเสียค่าบูชาครูคนละ ๑๐๐บาท

สำหรับความเชื่อเกี่ยวกับน้ำพระพุทธมนต์ น้ำพระพุทธมนต์ตามตำราของวัดเขาอ้อนั้น บรรดาสานุศิษย์และประชาชนทั่วไปต่างมีความเชื่อว่าศักดิ์สิทธิ์สามารถดลบันดาลให้ได้ผลตามปรารถนา และเชื่อว่าน้ำพระพุทธมนต์แต่ละประเภทจะมีพุทธคุณหรือสรรพคุณที่แตกต่างกันไป เช่น น้ำพระพุทธมนต์สะเดาะเคราะห์เชื่อว่าจะทำให้เคราะห์ด้วยหายเป็นดี เป็นการขับไล่เสนียดจัญไรทำให้เกิดสิริมงคล น้ำพระพุทธมนต์จันทร์เพ็ญเชื่อว่าจะทำให้ร่างกายคงทนต่ออาวุธทุกชนิด ทำให้เกิดโชคลาภเมตตาหานิยมและปราศจากโรคภัยไข้เจ็บทั้งปวง น้ำพระพุทธมนต์ใช้อาบเชื่อว่าจะทำให้เกิดสิริมงคลแก่ตนเองและครอบครัว เป็นต้น

และนี่คือตำนานแผ่นดินที่ถือว่า เป็นมรดกอันล้ำค่าจากบูรพาจารย์แห่งสำนักเขาอ้อ ที่ยังคงได้รับการสืบทอดมาจวบจนปัจจุบัน

ไขปริศนาธรรม ไหทั้ง ๗ ของท้าวกุวาร นี่คือ สมบัติแห่งจักรพรรดิ #SootinClaimon.Com

#SootinClaimon.Com : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์คมชัดลึก

https://www.komchadluek.net/news/knowledge/457433

ไขปริศนาธรรม ไหทั้ง๗ ของท้าวกุวาร นี่คือ สมบัติแห่งจักรพรรดิ

ไขปริศนาธรรม ไหทั้ง๗ ของท้าวกุวาร นี่คือ สมบัติแห่งจักรพรรดิ

6 กุมภาพันธ์ 2564 – 00:00 น.

ไขปริศนาธรรม ไหทั้ง๗ ของท้าวกุวาร นี่คือ สมบัติแห่งจักรพรรดิ คอลัมน์… ตามรอยตำนานแผ่นดิน  โดย…  เอก อัคคี  FB:Akeakkee ake

………
เรื่องของ
เรื่องคือ ครั้งหนึ่ง คุณอ๊อด สิชล นักสร้างพระเครื่อง/วัตถุมงคล ระดับแนวหน้าของภาคใต้ มีแนวคิดจะสร้าง องค์บูชาท้าวกุเวร ซึ่งเป็นอีกภาคหนึ่งปางหนึ่งของท้าวเวสสุวรรณ และถามผมมาว่า ทำไมเบื้องหน้าของท่านท้าวกุเวร จะต้องมีไหวางเรียงรายกัน ๗ ใบ เป็นไหอะไร? 

อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง…

ท้าวเวสสุวรรณเนื้อผงหลักเมืองน่านอีกตำนานที่ช่วยทหารรอดตาย

ป้องกันภูตผีด้วย…. “ท้าวเวสสุวรรณ ชินบัญชรมหาปราบ”

ไขปริศนาธรรม ไหทั้ง๗ ของท้าวกุวาร นี่คือ สมบัติแห่งจักรพรรดิ

พระธนบดี ศิลปะศรีวิชัย  ปัจจุบันอยู่ในพิพิธภัณฑ์กีเม่ต์
ประเทศฝรั่งเศส อายุกว่า ๑๕๐๐ ปี

ครับ-เป็นไหสมบัติที่เป็นปริศนาธรรมครับ เพราะว่า สมัยโบราณการออกแบบปั้นรูปหล่อบูชาท่านท้าวกุเวร(หรือท้าวเวสสุวรรณ) ในปางมหาจักรพรรดิ นั่งบัลลังค์ จะต้องมีไหสมบัติ ๗ ใบจำลองตามแบบขององค์ต้นแบบที่เป็นรูปหล่อเนื้อสำริดเขียว ท้าวกุเวรเจ้าแห่งขุมทรัพย์ซึ่งนักโบราณคดีสันนิฐานว่า สร้างขึ้นในสมัยศรีวิชัย

ต้นแบบองค์ที่สวยที่สุดในโลกนั้น ปัจจุบันอยู่ในพิพิธภัณฑ์กีเม่ต์ ประเทศฝรั่งเศส พระธนบดี ศิลปะศรีวิชัย เนื้อสำริดสนิมเขียว อายุประมาณ ๑,๕๐๐ ปี มีความงดงามสุดยอด เป็นศิลปะศรีวิชัย

สำหรับความหมายของไหทั้ง ๗ นั้นเป็นสัญลักษณ์แทนความหมายวสำคัญ เพราะตามคัมภีร์เก่าแก่กล่าวไว้ว่า

เนื่องเพราะท้าวกุเวร ท่านเป็นมหาจักรพรรดิผู้ประทานความมั่งคั่ง แผ่นดินใดที่อุดมสมบูรณ์ ปกครองแผ่นดินด้วยทศพิธราชธรรม จักทรงเปี่ยมไปด้วยพระบรมเดชานุภาพเหนือกว่าพระราชาทั้งปวงหรือที่เรียกว่า “จักรพรรดิ” 

ไขปริศนาธรรม ไหทั้ง๗ ของท้าวกุวาร นี่คือ สมบัติแห่งจักรพรรดิ

หุ่นขี้ผึ้งต้นแบบที่สร้างย้อนยุค

ขอให้ผู้บูชาท่าน ยึดมั่นถือมั่นในความดี มีศีลธรรม คิดดีประพฤติดี มีสัจจะ ทั้งทางกาย วาจา ใจ องค์ท่านท้าวกุเวร (ชัมภล) หรือ เทพเจ้าแห่งความร่ำรวยก็จะประทานพรให้

พระองค์นั้น พระหัตถ์ด้านขวาถือลูกแก้ววิเศษ พระหัตถ์ด้านซ้ายถือพังพอน ที่กำลังคาย เพชร,นิล,จินดา,แก้วแหวนเงินทอง พระบาทซ้ายเหยียบหอยโข่ง นั่งท่ามหาราชเทวา

ท่านคือผู้ประทาน “สัตรัตนมณี” แก้วเจ็ดประการหรือสมบัติแห่งจักรพรรดิอันประกอบ ช้างแก้ว, ม้าแก้ว ,ขุนพลแก้ว, ขุนคลังแก้ว, มณีแก้ว ,นางแก้ว, จักรแก้ว, การประทานสมบัติเจ็ดประการของมหาจักรพรรดิ เพื่อความรุ่งเรืองแห่งแผ่นดิน จึงแทนสัญลักษณ์ด้วยไห ๗ ใบ มีดังนี้

ไขปริศนาธรรม ไหทั้ง๗ ของท้าวกุวาร นี่คือ สมบัติแห่งจักรพรรดิ

ท้าวกุเวร เนื้อสนิมเขียว สร้างย้อนยุคโดยออ๊ด สิชล

ใบที่ ๑ จักรรัตนะ คือ จักรแก้ว หมายถึง การมีอำนาจหรือเดชานุภาพแผ่ขยายไปทั่วทุกทิศ
ใบที่ ๒หัตติรัตนะ คือ ช้างแก้ว หมายถึง การแสดงออกซึ่งความมีบารมีที่ยิ่งใหม่ความมั่นคง
ใบที่ ๓ อัสสรัตนะ คือ ม้าแก้ว หมายถึง การมีบริวารข้าทาสรับใช้ที่ดี
ใบที่ ๔ มณีรัตนะ คือ มณีแก้ว หมายถึง ความสว่าง ความมีสติปัญญา ความรู้
ใบที่ ๕ อิตถีรัตนะ คือ นางแก้ว หมายถึง ได้คู่ครองที่ดีมีความงดงาม
ใบที่ ๖ คหปติรัตนะ คือ ขุนคลังแก้ว หมายถึง ความมีทรัพย์สิน เงินทองบริบูรณ์
ใบที่๗ ปริณายกรัตนะ คือ ขุนพลแก้ว หมายถึง ที่ปรึกษาคู่ใจ ผู้ให้ความรู้ ผู้ปกป้องคุ้มครอง บุตรที่ดี
…………. 

กล่าวสำหรับ รูปหล่อสำริกท้าวกุเวร ที่ฝรั่งเศส นั้นเป็นศิลปะศรีวิชัย ยุคเดียวกับองค์หินแกะสลักที่มหาเจดีย์บุโรพุทโธ อินโดนีเซีย อันเป็นงานศิลปะศรีวิชัยที่งดงามยิ่ง

ตอกย้ำถึงความยิ่งใหญ่ของท้าวกุเวร หรือ ท้าวเวสสุวรรณหรือพระธนบดี (องค์เดียวกัน แต่มีหลายชื่อ)ว่า คือผู้ประทานสมบัติพระจักรพรรดิแห่งอาณาจักรทะเลใต้ 

ไขปริศนาธรรม ไหทั้ง๗ ของท้าวกุวาร นี่คือ สมบัติแห่งจักรพรรดิ

 ท้าวกุเวร ย้อนยุคเนื้อปิดทอง สร้างย้อนยุคโดย อ๊อด สิชล

ดังนั้น อานุภาพแห่งพระองค์ท่าน คุณสามารถอธิษฐานขอพรได้ ๗ประการดัวยกัน ตามคุณลักษณะของสมบัติจักรพรรดิ ๗ ประการ ซึ่งประทานให้มนุษย์ทั้งหลายที่เชื่อมั่นและเคารพนับถือท่าน

เพราะท่านคือมหาราชผู้เป็นท้าวจตุโลกบาล ผู้คุ้มครองดูแลโลกมนุษย์ตลอดกาลชั่วกาลปวสาน ในอดีตกาลนานโพ้นอาณาจักรศรีวิชัยคือมหาอาณาจักรที่ยิ่งใหญ่มีพระราชาธิราช ที่มีพระบรมเดชานุภาพเหนือกว่าพระราชาองค์อื่นปกครองทั่วน่านน้ำอาณาจักรทะเลใต้แผ่พระราชอำนาจเดชานุภาพดุจพระอาทิตย์ พระจันทร์

ใครสนใจเรื่องนี้ไปค้นคว้าเอกสารโบราณของอาณาจักรศรีวิชัยได้เพราะ มีจารึกกรุงศรีวิชัย ประกาศความยิ่งใหญ่ เอาไว้อย่างชัดเจนครับ

“มบ” มนต์มายาไสยศาสตร์ แห่งดินแดนด้ามขวาน (จบ) #SootinClaimon.Com

#SootinClaimon.Com : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์คมชัดลึก

https://www.komchadluek.net/news/knowledge/456830

“มบ” มนต์มายาไสยศาสตร์ แห่งดินแดนด้ามขวาน (จบ)

"มบ" มนต์มายาไสยศาสตร์ แห่งดินแดนด้ามขวาน (จบ)

30 มกราคม 2564 – 08:22 น.

“มบ” มนต์มายาไสยศาสตร์ แห่งดินแดนด้ามขวาน (จบ)  คอลัมน์…  ตามรอยตำนานแผ่นดิน  โดย เอก อัคคี FB: akeakkee ake

เป็นเรื่องจริงที่ยอมรับกันอย่างกว้างขวางว่า ในวงการศิลปะการแสดงของศิลปินพื้นบ้านปักษ์ใต้ในอดีต ไม่ว่าจะเป็น หนังตะลุงหรือว่ามโนราห์ หัวหน้าคณะจะต้องมีความสามารถสูงทั้งในด้านการแสดงและในด้านวิชาอาคม จึงจะ”พาชาวคณะอยู่รอดไปตลอดรอดฝั่ง”และมีชื่อเสียงโด่งดัง

อ่านข่วที่เกี่ยวข้อง
“มบ” มนต์มายาแห่งไสยศาสตร์แห่งด้ามขวาน (๓) 
 

"มบ" มนต์มายาไสยศาสตร์ แห่งดินแดนด้ามขวาน (จบ)

ยิ่งคณะไหนดัง มีชื่อเสียง ยิ่งโดนลองของ!!
เพราะฉะาั้นนายหนังตะลุงหรือหัวหน้าคณะมโนราห์
ต้องไม่ธรรมดาในศาสตร์สายนี้ แม้ว่าบางคณะจะมีครูหมอไสยศาสตร์อยู่ประจำคณะ
แต่หัวหน้าคณะเองก็ต้องมีวิชาอาคมพอตัวด้วย มิฉะนั้นอาจจะกลายเป็นดาวร่วงได้ง่ายๆในขณะที่กำลังเป็นดาวรุ่งพุ่งทะยานหรือแม้ว่าจะโด่งดังอยู่แล้วมีชื่อเสียงอยู่แล้ว แต่อย่าลืมว่า ยิ่งสูงยิ่งหนาว

เพราะเราไม่รู้ว่าใครยืนมองเราอยู่ในเงาสลัวรางหลังโรง!?!
และหนึ่งในวิชามารของ”คนที่เราไม่รู้ว่าใครในเงามืด”
ใช้คือ วิชาการทำมบ นั้นเอง

……..
การทำมบเพื่อถล่มเวทีหนังตะลุง,เวทีมโนราห์ ผู้ที่รู้ในศาสตร์สายนี้เล่าเอาไว้ว่า
การทำมบระดับนี้ คนทำต้องมีวิชาอาคมระดับขั้นเทพ เพราะว่าทุกคณะที่มีชื่อเสียงโด่งดัง เขาจะมีครูหมอดักทางแก้เอาไว้หมดแล้ว เพราะฉะนั้นคนทำต้องมีฝีมือและมีวิชาอาคมแก่กล้าสามารถมากและต้องไปทำในสถานที่จริงเท่านั้น เพราะฉะนั้นในสมัยก่อนที่การแข่งขันประชันโรงกันไม่ว่าจะเป็น หนังตะลุงหรือมโนราห์ ในงานเทศกาลต่างๆไม่ว่าจะเป็น งานทำบุญสารทเดือนสิบที่นครศรีธรรมราช,งานชักพระที่สุราษฏร์ธานีหรือว่างานประชันโรงกันที่จังหวัดไหนก็ตามที

ถ้ามีการประชันโรงกัน ชิงถ้วยชิงเงินรางวัลได้เสียกัน 
วิชาไสยศาสตร์การทำมบก็จะถูกนำมาใช้เงียบๆในชายป่าแถวๆนั้น
ซึ่งจะมีการทำมบหลายวิธีด้วยกัน คือ

"มบ" มนต์มายาไสยศาสตร์ แห่งดินแดนด้ามขวาน (จบ)


…………..
การทำมบด้วยไข่ไก่
โดยครูหมอไสยศาสตร์จะนำเอาไข่ไก่ดิบ ๑ ฟองแล้วเขียนชื่อศิลปินฝ่ายตรงข้ามลงบนที่เปลือกไข้ แล้วตั้งจิตเป็นสมาธิก่อนจะเสกด้วยคาถา ” โอม—-อุบอิบ อุบ—-โอมอุด—-มหา—-”(ผมขอสงวนบทคาถาฉบับเต็มเอาไว้นะครับ ป้องกันคนเอาไปลองเล่น/เอก อัคคี)
แล้วก็เป่าคำว่า “—–”ลงไปที่ไข่ไก่ จากนั้นก็จะแอบเอาไข่ได้ฟองนั้นไปฝังหลังโรงแสดงของคู่แข่ง  มีความเชื่อกันว่า ศิลปินที่ถูกมบจะขับกลอนไม่ออก รำไม่สวย ร้องติดๆขัดๆเหมือนไข่ที่อยู่ในเปลือก…ถ้าผ่านคืนแรกที่แสดงไปแล้วไม่รีบหาทางแก้เยียวยา คณะนั้นก็จะค่อยๆเสื่อมความนิยมลงไป

………
การทำมบด้วยลม
ในวิธีนี้ กลางคืนขณะทำการแสดงอยู่นั้น ครูหมอไสยศาสตร์เขาจะขึ้นไปนั่งบนเวทีของฝ่ายตนเอง แล้วหันหน้าไปทางทิศที่ตั้งของโรงแสดงคู่แข่ง แล้วร่ายพระเวทว่าคาถา “โอม….พระ………พระ…..พระ……กูจะล้างด้วยแรงฤทธิ์ของพระพาย สิทธิ……..”(ผมขอสงวนบทคาถาฉบับเต็มเอาไว้นะครับ ป้องกันคนเอาไปลองเล่น/เอก อัคคี)เสร็จแล้วก็จะเป่าลมออกจากปากพร้อมกับคำว่า “เพี้ยง”ไปในทางทิศที่โรงคู่แข่งตั้งอยู่ ถ้าคนที่วิชาอาคมแข็งๆว่ากันว่า หลอดไฟแสงสว่างโรงคู่แข่งดับพรึบลงทันตา ถ้าหลอดไฟไม่ขาด ห้อมแปลงไฟไม่ระเบิด คืนนั้นคนในคณะก็จะทะเลาะกัน หริอไม่นายโรงหัวหน้าคณะก็จะอารมณ์เสีย หงุดหงิดแบบไม่ทราบสาเหตุ แต่จะทำให้ไม่สามารถเรียกเรตติ้งในคืนนั้นได้ เพราะสมาธิสติแตกไปเรียบร้อยแล้ว และถ้าแก้ไม่ถูกจุด ทำพิธีล้างไม่ได้นายโรงหัวหน้าคณะก็จะเสียศูนย์จนเลิกเป็นศิลปินนายหนังตะลุง มโนราห์ไปเลย

……..
การทำมบด้วยมดคันไฟ
วิธีนี้ครูหมอไสยศาสตร์ เขาจะแอบไปนั่งอยู่ในมุมมืดแถวๆตรงข้ามกับหน้าโรงหนังตะลุง หรือหน้าเวทีของฝ่ายตรงข้าม ทำตัวเนียนๆเหมือนแฟนๆมาติดตามชมผลงานการแสดง แล้วทำพิธีเรียกมดคันไฟว่า ” โอมมดคัน……มหามดคันไฟ…มดง่าม มดแดง มดดำ มดมหามด มดคันทั้งหมด จงมารวมตัวกันที่นี่  มารวมตัวกันมา มา มา มาช่วยกันคนที่นั่งด้วยมนต์แห่งข้า ด้วยแรงมหา สิทธิ——สรรพ—–ญา—-โอมจง—–” (ผมขอสงวนบทคาถาฉบับเต็มเอาไว้นะครับ ป้องกันคนเอาไปลองเล่น/เอก อัคคี) แล้วครูหมอไสยศาสตร์จะส่ายหัวไปมาทำแบบวนๆไป เมื่อทำพิธีแล้วเชื่อกันว่า ด้านหน้าเทวีของคู่แข่งผู้ชมจะนั่งไม่ติด เพราะจะมีฝูงมดมารุมกันกันให้วุ่นวาย  จนไม่สามานั่งดูหรือยืนดูได้ตลอดทั้งคืน แต่วิธีนี้จะทำเป็นงานๆไป

………..
การทำมบด้วยคางคก
ครูหมอไสยศาสตร์เขาจะจับคางคากมาหนึ่งตัวแล้วเขียนชื่อหัวหน้าคณะของฝ่ายตรงข้ามลงในกระดาษชิ้นเล็กๆหรือใบไม้แห้ง แล้วเสกด้วยคาถาแบบเดียวกับการทำมบไข่ไก่จากนั้นก็จะม้วนกระดาษหรือมบไม้ที่เขียนชื่อนั้นยัดไปในปากของคางคก แล้วเสกคาถาปิดปากคางคกก่อนจะปล่อยมันไป เชื่อกันว่าจะทำให้คืนนั้น ไม่ว่าจะเป็นนายหนังตะลุงหรือโนราห์ก็จะขับกลอนไม่ออก หัวไม่แล่น เสียงหาย ร้องไม่ออกเหมือนมีอะไรมาจุกปากเอาไว้

"มบ" มนต์มายาไสยศาสตร์ แห่งดินแดนด้ามขวาน (จบ)

……….
การทำมบด้วยมะนาว
เขาจะนำมะนาวมา๑ ลูก นั่งบริกรรมคาถาร่ายพระเวทอยู่บนเวทีของฝั่งตัวเองว่า “โอม กูจะลบ——กูจะกลบ——–(ชื่อคณะศิลปินคู่แข่ง)….กูจะกลบ ด้วย นะ——–ให้ชื่อมันสิ้นไปด้วยนะ——-”(ผมขอสงวนบทคาถาฉบับเต็มเอาไว้นะครับ ป้องกันคนเอาไปลองเล่น/เอก อัคคี) ขณะเสกครูหมอไสยศาสตร์จะใช้ฝ่ามือทั้งสองข้างนวดคลึงลูกมะนาวไปด้วยช้าๆ จนสำเร็จเสร็จสิ้นการสวดจะกี่คาบ/ครั้งก็แล้วแต่(ไม่บอก)จากนั้นจะใช้มีดหมอผ่ามะนาวเป็นสองซีกแล้วบีบให้น้ำมะนาวหยดลงถึงพื้นดิน เชื่อกันว่าจะทำให้คู่แข่ง ขับกลอนร้องนำเชิดหนังตะลุง เสียงเพี้ยนเหมือนมะนาวที่เปรี้ยวจนเข็ดฟัน จนผู้ชมทนไม่ได้ต้องลุกหนีออกมาในที่สุด

………
เชื่อไหมครับว่า ในอดีตมีหนังตะลุง, มโนราห์ ที่กำลังมีชื่อดังโด่งดัง จู่ๆก็เลิกรับงาน ชื่อเสียงเสื่อมถอยความนิยมลดน้อยลง ยิ่งถ้าไม่รู้วิธีแก้ วิธีปรับ ต้องเลิกอาชีพศิลปิน กลับไปทำไร่ทำนาทำสวนยางพาราก็ไม่น้อย  เพราะโดนทำอาคมใส่ด้วยสรรพวิชาที่เรียกว่า มบ

มนต์มายาไสยศาสตร์แห่งดินแดนด้ามขวาน ที่คนทำไม่คำนึงถึงบาปบุญคุณโทษใดๆทั้งสิ้นนอกจากความอยากเอาชนะ—เวรกรรมแท้ๆ

“มบ” มนต์มายาแห่งไสยศาสตร์แห่งด้ามขวาน (๓) #SootinClaimon.Com

#SootinClaimon.Com : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์คมชัดลึก

https://www.komchadluek.net/news/knowledge/455943

“มบ” มนต์มายาแห่งไสยศาสตร์แห่งด้ามขวาน (๓)  

"มบ" มนต์มายาแห่งไสยศาสตร์แห่งด้ามขวาน (๓)  

23 มกราคม 2564 – 07:45 น.

“มบ” มนต์มายาแห่งไสยศาสตร์แห่งด้ามขวาน (๓)  คอลัมน์ ตามรอยตำนานแผ่นดิน  โดย… เอก อัคคี  Fb:Akeakkee Ake

 ที่ว่าไปแล้วคือ การเล่นกันถึงตายหรือไม่ก็ต้องพิการเลี้ยงไม่โตกันไปเลยสำหรับการเล่นของหนัก พิธีทำมบหรือหมบตามศาสตร์ด้านมืดของปักษ์ใต้ แต่ถ้าเอาพอท้วมๆเพี้ยนๆสติแตกไม่เต็มบาทล่ะมีไหม ท่านผู้รู้บอกว่า มีและเป็นเรื่องที่น่าเศร้ามากที่ในสมัยก่อน ยุคที่ไสยศาสตร์เข้มข้นคนเล่นของมีวิชาอาคมแข็งแกร่ง-เขาทำแล้วมันได้ผลจริงจัง

อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง

ชุดเรื่องเล่าชาวเขาอ้อ ตอน : มบ  มนต์มายาแห่งไสยศาสตร์แห่งด้ามขวาน (๒)

"มบ" มนต์มายาแห่งไสยศาสตร์แห่งด้ามขวาน (๓)  


นั่นคือ ทำมบให้กลายเป็นคนวิกลจริต!!

ว่ากันว่า เป้าหมายสำคัญคือ สาวสวยทั้งหลายที่เจ้าพวกหนุ่มๆมันจีบไม่ติด ไปแอบหลงรักเขาข้างเดียวเหมือนข้าวเหนียวตายนึ่งน้ำขึ้นไม่ถึงก็แห้งตายแหง๋แก๋ แต่ที่มันร้ายกาจคือ มันไม่ยอมตายนะสิ มันแค้นและไปหาครูหมอไสยศาสตร์เล่นงานฝ่ายหญิง หรือไม่ก็พวกที่ชายหญิงรักกันดี แต่พ่อแม่ฝ่ายหญิงกีดกันฝ่ายชาย ต้องการจะให้แต่งงานกับชายอื่น คนพวกนี้ก็มักจะทำร้ายทำลายคนรักของตัวเองด้วยอารมณ์ประมาณว่า ในเมื่อข้าไม่ได้เชยชายอื่นก็อย่าหวังจะได้ชม การทำมบระดับนี้ ในอดีตนั้นสถิติคือ ส่วนใหญ่ฝ่ายชายจะทำใส่ฝ่ายหญิง ให้กลายเป็นสาวสวยสติฟั่นเฟื่อนไปเลย

วิธีการก็มีหลากหลายรูปแบบ อาทิ
การทำมบด้วยสะเก็ดไม้ 
เริ่มต้นจากครูหมอไสยศาสตร์จะไปหาสะเก็ดไม้ตะเคียนตกน้ำมันมา ๑ ชิ้น แล้วร่ายเวททนต์คาถากำกับพร้อมออกชื่อนามสกุลที่อยู่ของคนที่ถูกกระทำ ก่อนจะเป่ามนต์ลงที่สะเก็ดไม้ชิ้นนั้น จากนั้นก็ให้ใครก็ได้แอบนำไม้ตะเคียนปลุกเสกอาถรรพ์ชิ้นนั้นไปฝังไว้ในบริเวณบ้านของคนที่ถูกกระทำ เชื่อกันว่า ไม่ช้าไม่นาน คนๆนั้นก็จะเซื่องซึมและสติฟั่นเฟือนไปในที่สุด

…………..

"มบ" มนต์มายาแห่งไสยศาสตร์แห่งด้ามขวาน (๓)  

การทำมบด้วยด้วยเสื้อผ้า
การทำแบบนี้จะเริ่มจากการต้องไปนำเสื้อผ้าของคนที่ตกเป็นเป้าหมายมา ไม่ว่าจะเป็นเสื้อ ผ้าถุง กางเกงหรือผ้าเช็ดหน้าอะไรก้ได้ แต่ต้องเอามาแบบเจ้าของต้องไม่รู้เนื้อรู้ตัว จากนั้นเอามาให้ครูหมอไสยศาสตร์เสกคาถากำลังลงไป แล้วให้นำกลับไปคืนโดยไม่ให้เจ้าตัวรู้ ถ้าเธอนำเสื้อผ้าเหล่านั้นมาสวมใส่ มนต์ตราอาถรรพ์ก็จะออกฤทธิ์ ทำให้เซื่องซึมและเป็นบ้าในที่สุด
………..

การทำมบด้วยดินรอยเท้า
เริ่มด้วยการไปขุดเอาดินที่เป็นรอยเท้าของคนที่ตกเป็นเป้าหมายเหยียบเดินผ่าน ครูหมอไสยศาสตร์เขาจะไปขุดเอาดินส่วนนั้นมาใส่ภาชนะจากนั้นก็จะนำมาทำพิธีกรรมบริกรรมคาถา แล้วนำดินนั้นไปโปรยที่ทางน้ำไหลหรือที่น้ำวน หรือทางสามแพรก เชื่อกันว่า จะทำให้เจ้าของรอยเท้ากลายเป็นบ้าได้
………

"มบ" มนต์มายาแห่งไสยศาสตร์แห่งด้ามขวาน (๓)  

การทำมบด้วยลูกสะบ้า
ในอดีตนั้น ชาวใต้นิยมเล่นสะบ้ามาก  ลูกสะบ้าจึงหาได้ไม่ยาก ครูหมอไสยศาสตร์เขาจะไปหาลูกสะบ้าที่แก่จัดมา ๑ ลูกจากนั้นก็จะเขียนชื่อนามสกุลของคนที่ถูกทำมบลงบนเปลือกสะบ้าแล้วจะนั่งบริกรรมคาถา ก่อนจะหมุนลูกสะบ้า ๓ ครั้งแล้วนำลูกสะบ้านั้นไปทิ้งในบ่อร้าง เชื่อว่า คนที่ถูกกระทำจะเสียสติและกลายเป็นบ้าไปในที่สุด
………

นี่คือ ความรักที่กลายเป็นความแค้น 
และทำให้คนตาบอด ใจดำ ทำบาปชนิดที่ตกนรกหมกไหม้เลยทีเดียวเชียว!!!!
…………

 อืม….แล้วถ้าทำมบไม่ต้องให้ตาย-ไม่ต้องให้บ้า
เอาแค่เสื่อมความนิยม เรตติ้งตกได้ไหม
นักเลงไสยศาสตร์เขาบอกว่าทำได้-โปรดติดตาม

“กรมการแพทย์” ห่วงใยคนทำงานกลางแจ้ง แนะวิธีป้องกันฝุ่นจิ๋ว PM 2.5 #SootinClaimon.Com

#SootinClaimon.Com : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์คมชัดลึก

https://www.komchadluek.net/news/knowledge/455401

“กรมการแพทย์” ห่วงใยคนทำงานกลางแจ้ง แนะวิธีป้องกันฝุ่นจิ๋ว PM 2.5

 "กรมการแพทย์" ห่วงใยคนทำงานกลางแจ้ง แนะวิธีป้องกันฝุ่นจิ๋ว PM 2.5

16 มกราคม 2564 – 13:01 น.

กรมการแพทย์ โดยรพ.นพรัตนราชธานี ห่วงคนทำงานกลางแจ้งพบปัญหา “ฝุ่นจิ๋ว PM 2.5″กระทบสุขภาพ ระยะสั้น จะไอ จาม คลื่นไส้ อาเจียน แสบจมูก ระคายเคืองตา และผิวหนัง ส่วนระยะยาว มีผลต่อโรคระบบหัวใจและหลอดเลือด โรคระบบทางเดินหายใจ โรคหอบหืด โรคปอดอุดกั้นเรื้อรัง

นายแพทย์สมศักดิ์  อรรฆศิลป์ อธิบดีกรมการแพทย์ เปิดเผยว่า ฝุ่นมลพิษ PM 2.5 ซึ่งส่งผลต่อร่างกายมนุษย์ในหลายๆ ระบบ ทั้งระบบทางเดินหายใจ ระบบหัวใจ และ ระบบผิวหนัง ทางแพทย์และผู้เชี่ยวชาญทั้งหลายได้ออกมาเตือนและให้ความรู้ประชาชนในการหลีกเลี่ยงและป้องกันตนเองต่อผลเสียของการสัมผัส ฝุ่นมลพิษ PM 2.5 เป็นมลพิษต่ออากาศและร่างกาย ควรป้องกันตนเองด้วยการสวมหน้ากากอนามัยที่สามารถป้องกันฝุ่นละอองขนาดเล็กได้ คือ หน้ากาก N95 ส่วนหน้ากากประเภทอื่นนั้น ช่วยป้องกันได้เพียงส่วนหนึ่ง และควรใส่ให้ถูกวิธี เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการใช้งาน 

 "กรมการแพทย์" ห่วงใยคนทำงานกลางแจ้ง แนะวิธีป้องกันฝุ่นจิ๋ว PM 2.5

นายแพทย์สมบูรณ์  ทศบวร ผู้อำนวยการโรงพยาบาลนพรัตนราชธานี  กล่าวว่า อาชีพที่ทำงานกลางแจ้ง อาทิ ตำรวจจราจร คนขับมอเตอร์ไซด์รับจ้างและรถตุ๊กตุ๊ก  พนักงานรักษาความปลอดภัย พ่อค้าแม่ค้าริมถนน พนักงานกวาดถนน พนักงานเก็บขยะ พนักงานร.ป.ภ  คนสวน  พนักงานสนามกอล์ฟ เกษตรกร  และ กรรมกรก่อสร้าง 

 "กรมการแพทย์" ห่วงใยคนทำงานกลางแจ้ง แนะวิธีป้องกันฝุ่นจิ๋ว PM 2.5

ผู้ปฏิบัติอาชีพเหล่านี้ต้องทำงานกลางแจ้งและต้องสัมผัสกับสภาพภูมิอากาศที่เปลี่ยนแปลงตลอดเวลา อันตรายหรือสิ่งคุกคามเฉพาะเรื่องการทำงานกลางแจ้งที่มีต่ออาชีพเหล่านี้คือ 1.มลพิษ ได้แก่ ฝุ่น หรือ PM2.5 และสารเคมีต่าง ๆ โดยเฉพาะ VOCs (volatile organic compounds) hexane, ozone ตะกั่ว nitrous oxide ที่เกิดจากการสันดาปไม่สมบูรณ์ โดยการทำงานกลางแจ้งจะมีการสัมผัสสารพิษเหล่านี้ การใช้หน้ากากมักจะไม่ได้ผลเนื่องจากสารพิษเหล่านี้มีขนาดเล็ก ทำให้การหายใจอึดอัดไปด้วย ยิ่งทำงานกลางแจ้ง ก็จะทำให้ใส่หน้ากากเหล่านี้ไม่ได้ ผลของมลพิษ จะทำให้เกิดอาการทั้งแบบเฉียบพลันคือ การระคายเคืองเยื่อเมือก เช่น แสบตา คันตา อาการทางผิวหนัง เช่น คัน มีผื่น แพ้เหงื่อ อาการของโรคทางเดินหายใจส่วนบน เช่น มีน้ำมูก คันคอ แสบคอ มีเสมหะ อาการเรื้อรัง ได้แก่ การเป็นโรคทางเดินหายใจเรื้อรัง เช่น หลอดลมอักเสบ ถุงลมโป่งพอง ที่ร้ายแรงจริงๆ คือ มลพิษเหล่านี้เป็นสาเหตุหนึ่งของโรคมะเร็งปอด

นอกจากนี้ PM2.5 ยังทำให้หลอดเลือดตีบ ซึ่งในระยะยาวเป็นสาเหตุของโรคหัวใจ โรคหลอดเลือดสมองด้วย ในคนที่เป็นโรคทางเดินหายใจ หรือเป็นโรคของหลอดเลือดอยู่แล้ว การหายใจเอามลพิษเข้าไปจะทำให้เป็นมากขึ้น หรือแย่ลงได้ 

การป้องกันคือทำให้ร่างกายแข็งแรง ป้องกันปอดเราโดยหายใจอากาศบริสุทธิ์ พยายามอยู่ในที่ซึ่งมี PM 2.5 น้อย หรือใช้เครื่องฟอกอากาศ พยายามหลีกเลี่ยงอย่าอยู่กลางแจ้งนาน ให้ทำงานสักระยะแล้วหลบเข้าในอาคาร การใส่หน้ากากจะทำให้อึดอัด โดยเฉพาะในสภาพอากาศร้อนยิ่งทำให้ไม่สามารถใส่หน้ากากได้นาน ขณะนี้ หน้ากาก N95 เป็นหน้ากากที่ใช้ป้องกันได้ดีที่สุด แต่ในทางปฏิบัติไม่สามารถใส่ได้นาน เพราะจะอึดอัด อย่างไรก็ดีการใช้หน้ากากอื่น ชั่วคราวก็ทำได้ โดยสังเกตการณ์ระคายเคือง แสบคอ มีเสมหะ ถ้าเป็น ก็แสดงว่าหน้ากากไม่ได้ผล อาจจะต้องเปลี่ยนมาใช้หน้ากาก N95

ทั้งนี้ สามารถมาติดต่อได้ที่คลินิกมลพิษคลินิกเฉพาะทางแห่งแรกในประเทศไทย โรงพยาบาลนพรัตนราชธานี หรือสอบถามได้ที่สายด่วน 0-2548-1000 กด 0 ได้ทุกวันในเวลาราชการ และสามารถประเมินอาการ จากการสัมผัสมลพิษของตนเองได้อย่างสะดวก รวดเร็วและทราบผลเบื้องต้นภายใน 1 นาที ด้วยคลินิกมลพิษออนไลน์ http://www.pollutionclinic.com

 "กรมการแพทย์" ห่วงใยคนทำงานกลางแจ้ง แนะวิธีป้องกันฝุ่นจิ๋ว PM 2.5

ชุดเรื่องเล่าชาวเขาอ้อ ตอน : มบ มนต์มายาแห่งไสยศาสตร์แห่งด้ามขวาน (๒) #SootinClaimon.Com

#SootinClaimon.Com : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์คมชัดลึก

https://www.komchadluek.net/news/knowledge/455302

ชุดเรื่องเล่าชาวเขาอ้อ ตอน : มบ  มนต์มายาแห่งไสยศาสตร์แห่งด้ามขวาน (๒)

ชุดเรื่องเล่าชาวเขาอ้อ ตอน : มบ  มนต์มายาแห่งไสยศาสตร์แห่งด้ามขวาน (๒)

16 มกราคม 2564 – 00:00 น.

ชุดเรื่องเล่าชาวเขาอ้อ ตอน : มบ  มนต์มายาแห่งไสยศาสตร์แห่งด้ามขวาน (๒) คอลัมน์…  ตามรอยตำนานแผ่นดิน  โดย..  เอก  อัคคี FB: Akeakkee Ake

อย่างที่เกริ่นไปแล้วว่า การทำมบหรือหมบด้วยความคับแค้น อาฆาตพยาบาทนั้น เขาเล่นกันถึงตาย แต่การที่ผมหยิบเอาเรื่องราวเล่านี้มาเล่าสู่กันฟังก็ต้องมองในมุมของนักศึกษาเรียนรู้ด้านคติชนวิทยา ความเชื่อของคนพื้นเมืองแดนด้ามขวานนั้นครับ อย่ามองว่า เป็นการชี้โพรงให้กระรอกหรือว่าจะเป็นการยื่นด้ามดาบให้คนไปฆ่ากัน

อ่านข่าว…  ชุดเรื่องเล่าชาวเขาอ้อ   “มบ” มนต์มายาแห่งไสยศาสตร์แห่งด้ามขวาน (๑) 

ชุดเรื่องเล่าชาวเขาอ้อ ตอน : มบ  มนต์มายาแห่งไสยศาสตร์แห่งด้ามขวาน (๒)

เพราะทุกวันนี้ นักเลงไสยศาสตร์หรือครูหมอที่มีวิชาอาคม 
ผมว่าน้อยคนที่จะทำบาปด้วยการทำมบใส่คน!?!

เพราะบาปในการเล่นไสยศาสตร์ทำร้ายคน 
สุดท้ายมันก็จะหนีกฏแห่งกรรมไม่พ้นทั้งคนใช้ให้ทำและคนที่ลงมือทำ

ผมนำมาเล่าสู่กันฟังเพื่อเป็นวิชาความรู้และบันทึกเอาไว้ให้รับรู้กันว่า ในสมัยโบราณเขามีสรรพวิชาอาคมแบบไหนกันบ้าง รู้ไว้ใช่ว่าใส่บ่าแบกห่าม แม้ว่าบางเรื่องก็แค่เป็นตำนานบางเรื่องก็เป็นเรื่องจริงและบอกไว้เลยว่า ใครอ่านงานชุดนี้ก็ไปทำเล่น ทำเอาเองไม่ได้ เพราะผมบอกไม่หมดหรอก(ฮา)

กลับมาที่เรื่องการทำมบให้ถึงตายกันดีกว่า

การทำมบด้วยการฝังรูป 
ครูหมอไสยศาสตร์เขาจะนำเอาขี้ผึ้งรังร้างมาปั้นเป็นรูปคนแล้วแทงด้วยหนามของต้น—– ที่แหลมคมแทงตามแขนตามขา หน้าอกแล้วห่อด้วยผ้าขาวห่อศพที่เขียนชื่อนามสกุลที่อยู่ของศัตรูแล้วเสกด้วยคาถา——–กำกับไว้ ก่อนจะนำไปฝังไว้ที่ทางสามแพร่งหรือในป่าช้า

ในกรณีที่นำไปฝังในป่าช้า ต้องมีการตั้งเครื่องเซ่นเจ้าเปรว คือ ตากะลียายกะลา ด้วย ปลามีหัวมีหางใส่กระทงใบกล้วยตานีเสียก่อน ถ้าต้องการให้ศัตรูเจ็บปวดทรมานให้ฝังลึกลงไป –- คืบ ถ้าต้องการให้ตายฝังลึกลงไป—ศอก เชื่อกันว่า ได้ทรมาณได้ตายสมใจอยากแน่

ชุดเรื่องเล่าชาวเขาอ้อ ตอน : มบ  มนต์มายาแห่งไสยศาสตร์แห่งด้ามขวาน (๒)

……….
การทำมบด้วยไม้เสียบผี
ในสมัยก่อนเวลาเขาเผาศพ เขาจะเผาด้วยเชิงตะกอน เพราะฉะนั้นสัปเหร่อเขาจะทำไม้เสียบผีขึ้นมา คือ ใช้ไม้ไผ่ทั้งลำเอาไว้ค้ำโลงบนฟอนฟืนไว้เสียบไว้เขี่ยศพขณะเผา การทำมบวิธีนี้ นักเลงไสยศาสตร์แดนด้ามขวานเขาจะไปเอาไม้เสียบผีของคนที่ตายวันเสาร์เผาวันอังคารมาก เพราะเชื่อกันว่าผีแรงป่าช้าแตกแหกเชิงตะกอน แต่ไม่ต้องมาทั้งลำยาวๆหรอกเขาตักมาแค่ปล้องเดียว แล้วใช้หนังวัว หรือหนังควาย หรือผ้าขะม้า อย่างใดอย่างหนึ่งมาเขียนชื่อนามสกุลที่อยู่ของศัตรูคู่แค้นแล้วทำพิธีกรรมปลุกเสกด้วยคาถากำกับลงไปและจุกหรือยัดเข้าไปในปล้องไม้ไผ่เสียบผีแล้วนำไปฝังไว้แบบเดียวกับการทำมบแบบฝังรูป
เชื่อกันว่า จะได้ผลแบบเดียวกัน

……….
การทำมบด้วยตะปูตอกโลงศพ
วิธีนี้ครูหมอไสยศาสตร์ต้องไปนำตะปูตอกโลงศพผีตายโหงมาจากเชิงตะกอน แล้วนำมาทำพิธีเสกคาถากำกับลงไปในตะปูเหล่านั้น ก่อนจะนำตะปูไปตอกตรึงไว้ที่ต้นไม้ใหญ่ในป่าช้า ก่อนจะตอกตะปู เขาจะต้องว่าคาถา “โอม……..กูจะล้าง(เอ่ยชื่อนามสกุลที่อยู่ของเหยื่อ)แล้วจึงตอก ถ้าต้องการแค่ให้ทรมานก็ตอกครึ่งเดียว ถ้าเล่นถึงตายก็ตอกให้จมมิดหัวตะปู เชื่อกันว่า ไม่นานมีรายการหามขึ้นเชิงตะกอนแน่

ชุดเรื่องเล่าชาวเขาอ้อ ตอน : มบ  มนต์มายาแห่งไสยศาสตร์แห่งด้ามขวาน (๒)

…….
การทำมบด้วยไม้กระดานท้องโลง
ทางครูหมอไสยศาสตร์จะต้องไปเอาไม้กระดานท้องโลงศพที่สัปเหร่อทิ้งไว้ในป่าช้า สับเอาเพียงแค่ขนาดนิ้วก้อยก็พอไม่ต้องเดินแบกไม้กระดานโทงๆมาจากป่าช้าหรอก เอามาแล้วก็ห่อด้วยผ้าขาวที่เขียนชื่อนามสกุลที่อยู่ของคู่แค้นให้เรียบร้อย จากนั้นก็บริกรรมคาถาที่ร่ำเรียนมาแล้วนำไปเผาไฟ ถ้าต้องการแค่สั่งสอนก็เผาแค่ให้ผ้าขาวที่ห่อเกรียมเปลี่ยนเป็นสีน้ำตาลอย่าปล่อยให้ไหม้ แต่ถ้าต้องการให้ตาย-ก็เผาให้กลายเป็นขี้เถ้าไปทั้งหมด

นี่คือ วิธีการทำมบหรือหมบ ที่เล่นกันถึงพิการหรือตาย
ของนักเลงไสยศาสตร์ปักษ์ใต้ในสมัยโบราณ…ซึ่งเชื่อกันว่า ได้ผลชะงัก
แต่ถ้าไม่ต้องการให้เจ็บปวด ทรมาน พิการหรือว่าตายล่ะ…
ต้องการใ้เป็นบ้าสติฟั่นเฟือน เขาทำกันได้ไหม…?

……….
โปรดติดตามตอนต่อไป-อย่ากระพริบตา