( คมชัดลึกออนไลน์ 14 ก.ย. 61 ) ภาพความรกเลอะเทอะและสกปรกของขยะกองพะเนิน ที่นักท่องเที่ยวสาวชาวจีน 3 คน ทิ้งไว้ให้ดูต่างหน้า ถูกเจ้าของห้องพักแอร์บีเอ็นบี (บริการแบ่งปันห้องพัก ) ชาวจีนในนครโอซากา ประเทศญี่ปุ่น นำมาโพสต์ประจานบนอินเทอร์เน็ต จากนั้น สื่อหลายสำนักในจีนนำมารายงานต่อ และกลายเป็นกระแสในสื่อสังคมออนไลน์

แม้ว่าในที่สุด นักท่องเที่ยว 3 คนซึ่งเป็นนักศึกษาวัย 19 ปี ออกมาขอโทษแล้วเมื่อวันอังคาร โดยหนึ่งในสามคนนี้ได้โพสต์บนเวบไซต์เว่ยป๋อ ยอมรับความผิดพลาดและขอให้สังคมให้อภัย แต่หลายฝ่ายมองว่าพวกเธอต้องกลับลำเพราะถูกกดดัน เนื่องจากในวันก่อนหน้า ไม่ได้แสดงความรู้สึกผิดอะไรกับสิ่งที่ทิ้งไว้ในห้องพักหลังเข้าไปใช้บริการ 5 วัน

ปักกิ่ง ยูท เดลีย์ รายงานอ้างคำบอกเล่าของเฉิง เจ้าของห้องพักว่า เมื่อเข้าไปดูห้องเพื่อทำความสะอาดเมื่อวันจันทร์ หลังจากทั้งสามเช็คเอาท์  พบขยะกลาดเกลื่อนไปทั่ว และกลิ่นอาหารบูดเน่าคละคลุ้ง

( The Star /SCMP )

เฉิง กล่าวว่า เขาไม่เคยเจออะไรแบบนี้มาก่อนเลย ค่าทำความสะอาดห้องสกปรกตกประมาณ 3,000 เยน  จึงได้ร้องเรียนไปยังแอพจองห้อง และขอให้ลูกค้าจ่ายค่าทำความสะอาดสองเท่า แต่หนึ่งในนักท่องเที่ยวสามคนนี้ กล่าวว่า “พวกเราจ่ายค่าที่พักแล้ว ไม่มีค่าทำความสะอาด นี่ไม่ใช่บ้านของเรา เราไม่จำเป็นต้องทำความสะอาดให้กับคุณ”

นอกจากนี้ พวกเธอยังได้ทิ้งข้อความหยาบคายบนสมุดเยี่ยม และวาดภาพร่างเป็นรูปกองอุจระ

( The Star /SCMP )

หลังจากโพสต์ของเฉิงกลายเป็นกระแสในโลกออนไลน์จีน หนึ่งในสามคนนี้ ได้ออกมาบอกเมื่อวันอังคารว่า พร้อมขอโทษ และติดต่อเฉิงเพื่อหารือเรื่องค่าชดเชย เธอกล่าวว่าเฉิงลงข้อมูลของพวกเธอบนอินเทอร์เน็ต จึงถูกชาวเน็ตวิจารณ์หนักหน่วง บางคนขุดข้อมูลส่วนตัวไม่หยุด และได้รับโทรศัพท์รังควาญจำนวนมาก

ด้าน แอร์บีเอ็นบี ระบุในแถลงการณ์ว่า กำลังสอบสวน และระบุว่าบริษัทมีกองทุนประกันให้กับเจ้าของห้องพักที่ได้รับความเสียหายจากการกระทำของแขกที่เข้าพัก

สองเดือนก่อนหน้า ที่โอซากาเช่นกัน เคยมีกรณีนักท่องเที่ยวสาวชาวจีนสองคน ถูกเจ้าของเชิญออกจากร้านบาร์บีคิวเพราะแสดงมารยาททรามบนโต๊ะอาหาร

สำนักข่าว Rapler ของฟิลิปปินส์ รายงานว่าสำนักงานอุตุนิยมวิทยาออกประกาศล่าสุดเมื่อ 17.00 น. วันนี้ ว่า เกือบทั่วทั้งเกาะลูซอน เกาะหลักของฟิลิปปินส์ อยู่ภายใต้ประกาศเตือนระดับ 1 ซึ่งเป็นระดับสูงสุดแล้ว เนื่องจากพายุไต้ฝุ่นมังคุด หรือที่ฟิลิปปินส์เรียกพายุ “ออมปอง” ยังคงมีกำลังแรงขณะเคลื่อนตัวเข้าใกล้ทางเหนือของเกาะ ด้วยความเร็วสูงสุด 255 กิโลเมตร

ประชาชนหลายหมื่นคน อพยพออกจากพื้นที่ใกล้ชายฝั่งทางเหนือสุดของเกาะลูซอน แล้วก่อนพายุไต้ฝุ่นมังคุด จะพัดขึ้นฝั่งที่จังหวัดคายากันในเช้าวันเสาร์ ด้วยความเร็วเทียบเท่ากับพายุเฮอร์ริเคนระดับ 5 แรงกว่าพายุเฮอร์ริเคนฟลอเรนซ์ ที่เริ่มกระหน่ำชายฝั่งตะวันออกของสหรัฐในวันนี้

มีชาวฟิลิปปินส์ราว 10 ล้านคนอยู่ในเส้นทางพายุมังคุด พายุไต้ฝุ่นลูกที่ 15 และจะเป็นพายุกำลังแรงที่สุุดของปี  ยังไม่นับรวมประชาชนอีกหลายล้านแถบชายฝั่งของจีนซึ่งมีประชากรหนาแน่น

ผลกระทบจากพายุคาดว่าจะทำให้เกิดน้ำท่วม ดินสไลด์ สตอร์มเซิร์จที่อาจจะสูงถึง 7 เมตร ตลอดจนความเสียหายจากลมกำลังแรง

ทางการฟิลิปปินส์เตรียมพร้อมอุปกรณ์กู้ภัยและภารกิจบรรเทาทุกข์ ขณะโรงเรียนปิดการเรียนการสอน เกษตรกรเร่งเก็บเกี่ยวข้าวและข้าวโพดก่อนกำหนดเพื่อลดความสูญเสียจากน้ำท่วม

หลังกระหน่ำฟิลิปปินส์ พายุไต้ฝุ่นจะเคลื่อนตัวไปทางฮองกงและทางใต้จีนในวันอาทิตย์

(คมชัดลึกออนไลน์ 13 ก.ย. 61 ) ผู้ต้องหาซึ่งไม่สามารถเปิดเผยชื่อได้ด้วยเหตุผลทางกฎหมาย ในตอนแรกถูกพิจารณาคดีในฐานะผู้ใหญ่ หลังถูกแจ้งข้อหาความผิดที่ก่อในวันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2561

เนื่องจากปีนี้ ไม่มีวันที่ 29 กุมภาพันธ์ ศาลเยาวชนในแคนเบอร์รา ชี้ว่าวัยรุ่นหญิงอายุครบ 18 ปีบริบูรณ์ในวันที่ก่อเหตุ จึงควรพิจารณาคดีตามกระบวนการยุติธรรมผู้ใหญ่

แต่ทนายของผู้ต้องหายื่นคำร้องขอให้ทบทวน โดยแย้งว่าลูกความจะอายุครบ 18 ปีบริบูรณ์ในวันที่ 1 มีนาคม 2561 ดังนั้นไม่ควรพิจารณาคดีในฐานะผู้ใหญ่

ทนายกล่าวว่า คนที่เกิดในวันที่ 29 กุมภาพันธ์ 2543 จะยังไม่ครบ 18 ปีในวันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2551 หลักการเดียวกับคนที่เกิดในวันที่ 2 กุมภาพันธ์ 2543 จะไม่ครบ 18 ปีในวันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2561

แต่ผู้อำนวยการสำนักอัยการ ที่ต้องการให้ดำเนินคดีจำเลยในศาลปกติ แย้งว่าเหตุผลไม่ได้มีอะไรยุ่งยาก อายุของบุคคลอ้างอิงตามนิยามของเดือนปฏิทิน  ทุกเดือนที่ 12 นับจาก 29 กุมภาพันธ์ 2543 ซึ่งรวมถึงเดือนก.พ.ที่มี 28 วันด้วย ให้นับเป็น 1 ปี

อย่างไรก็ดี ผู้ช่วยผู้พิพากษาไม่เห็นด้วยกับข้อโต้แย้งนี้ เธอมองว่าเมื่อยังมีข้อสงสัยทางกฎหมายกับวันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2561 จึงควรพิจารณาว่าจำเลยยังไม่อยู่ในวัยผู้ใหญ่ ไม่ใช่บุคคลอายอย่างน้อย 18 ปี เนื่องจากอายุยังไม่ถึงวันครบรอบวันเกิด

เด็กชายซาเวียร์ คันนิงแฮม ถูกฝูงตัวต่อโจมตีขณะเล่นอยู่บนบ้านต้นไม้ ใกล้บ้านของเขาในรัฐแคนซัสเมื่อบ่ายวันเสาร์ แล้วพลัดตกลงมา ใบหน้าลงไปเสียบกับเหล็กเสียบเคบับ ที่เขากับเพื่อนนำไปปักไว้กับพื้น

เหล็กแหลมเสียบเข้าโหนกแก้มซ้ายใต้ตา ทะลุกะโหลกศีรษะเกือบทะลุคออีกด้าน

แต่ซาเวียร์ยังมีแรงลุกขึ้นยืนแล้ววิ่งไปบ้าน นางแกเบรียล มารดา ได้ยินเสียงร้อง และเห็นซาเวียร์ในสภาพที่มีเหล็กแหลมเสียบอยู่แบบนั้น

การผ่าตัดครั้งนี้ใช้บุคลากรการแพทย์ราว 100 คน ค่อยๆเอาเหล็กแหลมความยาว 1 ฟุตไม่ให้โดนเส้นเลือดออกได้สำเร็จ หมอกล่าวว่าหากทะลุไกลกว่านี้อีก 1 นิ้ว อาจบาดเจ็บสาหัสหรือไม่รอดชีวิต

โคจิ เอเบอร์โซล แพทย์ประสาทศัลยกรรม กล่าวว่าเหล็กแหลมไม่โดนดวงตา เฉียดสมอง และไขสันหลัง  นับเป็น 1 ในล้านของการถูกของแหลมความยาว 5-6 นิ้วทะลุใบหน้าจนถึงด้านหลังแล้วไม่โดนส่วนสำคัญที่ว่ามาเลย แต่แทงแทงผ่านพื้นที่น้อยๆในศีรษะใกล้กับเส้นเลือดหลัก “ผมไม่เคยเห็นอะไรที่เสียบเข้าไปลึกแบบนั้นแล้วยังสามารถรอดชีวิตได้ ยังไม่ต้องพูดถึงการรักษาได้จนเกือบหายหรือไม่หาย”

ซาเวียร์สามารถลุกเดินได้แล้วในห้องผู้ป่วยฉุกเฉินของโรงพยาบาลท้องถิ่น

ก่อนหน้านี้ เขาถูกโอนย้ายไปยังโรงพยาบาลอื่นสองครั้ง ก่อนรวบรวมทีมแพทย์ผู้เชี่ยวชาญมาทำการผ่าตัด

เนื่องจากเด็กไม่มีเลือดมากแบบรุนแรง ช่วยให้แพทย์เตรียมการผ่าตัดได้ภายในเช้าวันถัดไป แต่นั่นก็หมายถึงการรอคอยอย่างเจ็บปวดตลอดคืนวันเสาร์ นางมิลเลอร์กล่าวว่า ซาเวียร์ตื่นขึ้นมาแล้วถามว่า ผมยังไม่ตายใช่ไหม

หมอเอเบอร์โซล ชมว่าซาเวียร์กล้าหาญมาก และความสามารถของเด็กในการสงบสติอารมณ์ และไม่แตะต้องเหล็กแหม ช่วยให้หมอเตรียมความพร้อมได้สะดวก

  (คมชัดลึกออนไลน์ 13 ก.ย. 61) ทางการเมืองเหิงตง มณฑลเหอหนานทางภาคกลางของจีน แถลงผ่านสื่อสังคมออนไลน์ว่า เหตุเกิดที่จตรัสปินเจียง เมื่อเวลา 19.35 น. เมื่อวาน ( 12 ก.ย.) หรือ 18.35 น. วันเดียวกันตามเวลาประเทศไทย

เดอะ เปเปอร์ เวบไซต์สื่อทางการ รายงานว่า ตำรวจควบคุมตัวคนขับรถซึ่งเป็นชายวัย 54 ปี ไปสอบปากคำ เขาเป็นบุคคลที่มีรูปพรรณสัณฐานสอดคล้องกับคนร้ายรายหนึ่งที่เคยถูกจำคุกในคดียาเสพติดมาก่อน มีรายงานด้วยว่าเหยื่อบางรายบาดเจ็บจากถูกแทง

เจ้าหน้าที่ไม่ได้พูดถึงก่อการร้าย นอกจากระบุว่า เป็นคดีขับรถโดยเจตนามุ่งร้ายทำให้ผู้อื่นได้รับบาดเจ็บ

ภาพที่แชร์บนสื่อสังคมออนไลน์ แสดงให้เห็นรถเอสยูวีสีแดง กันชนพังยับ แต่คลิปวิดีโอหลายคลิปเผยแพร่บนสื่อสังคมออนไลน์ไม่นานก็ถูกลบ

  ( คมชัดลึกออนไลน์ 12 ก.ย.) แนวร่วมอินโดนีเซียปลอดเนื้อสุนัข (ดีเอ็มเอฟไอ) ระบุเมื่อไม่นานมานี้ว่า การทารุณสุนัขและแมว ที่ตลาดเอ็กซ์ตรีม เมืองโตโมฮอน จังหวัดสุลาเวสีเหนือ ประเทศอินโดนีเซีย ยังดำเนินต่อไป ทั้งที่รัฐบาลสัญญาสั่งห้ามในเดือนสิงหาคม

คลิปแสดงให้เห็นว่า สุนัขและแมวยังมีชีวิตอยู่ขณะถูกลากถูลู่ถูกังไปตามพื้น ก่อนถอดขนด้วยการพ่นไฟเผาผิวหนัง และชำแหละกลางตลาดที่มีผู้คนจอแจ ทั้งชาวบ้าน นักท่องเที่ยวและเด็ก นอกจากนี้ยังมีภาพคนงานใช้ท่อนไม้ขนาดใหญ่ทุบลงไปที่หัว

ตลาดโตโมฮอน เปิดขึ้นมาเพื่อเป็นจุดดึงดูดนักท่องเที่ยว ที่จะเห็นการซื้อขายเนื้อสัตว์แปลกเพื่อการบริโภค เช่น เนื้องู สุนัข ค้างคาว แมว และหนู แต่กลุ่มสิทธิสัตว์ระบุว่าการปฏิบัติต่อสุนัขและแมวที่นำมากิน โหดร้ายทารุณ อีกทั้งยังผิดกฎหมายสุขอนามัย ทำให่ผู้บริโภคเสี่ยงติดเชื้อพิษสุนัขบ้า โรคระบาดที่รัฐบาลจาการ์ตาประกาศจะขจัดให้หมดไปภายในปี 2563

ดีเอ็มเอฟไอ ซึ่งประกอบด้วยองค์กรช่วยเหลือสัตว์ทั้งในและต่างประเทศ  เคยนำเสนอรายงานเชิงสอบสวนเจาะลึกตลาดโตโมฮอนครั้งแรกเมื่อธันวาคมปีที่แล้ว จุดกระแสประท้วงทั่วโลก  บุคคลผู้มีชื่อเสียงทั้งในและต่างประเทศกว่า 90 คน ร่วมกันลงชื่อในจดหมายถึงประธานาธิบดีโจโก วิโดโด ให้สั่งห้ามค้าเนื้อสุนัขและแมว ส่วนในคำร้องของแนวร่วมอินโดนีเซียปลอดเนื้อสุนัข  มีผู้ร่วมเข้าชื่อเกือบ 1 ล้านคน

รัฐบาลประกาศว่าจะสั่งห้าม แต่จากคลิปใหม่ล่าสุดของพันธมิตรกลุ่มเคลื่อนไหวเพื่อสวัสดิภาพ เป็นสิ่งพิสูจน์ว่ายังไม่มีความคืบหน้า

โลลา เวบเบอร์ ผู้อำนวยการมูลนิธิเปลี่ยนแปลงเพื่อสัตว์ หนึ่งในแนวร่วม กล่าวว่าสภาพตลาดแห่งนี้ คือความโหดร้ายทารุณที่สุดเท่าที่เคยประสบมาในรอบ 10 ปี และเป็นการกระทำต่อหน้าต่อตาเด็กเล็ก

ไม่มีข้อมูลชัดเจนว่า อินโดนีเซียบริโภคเนื้อสุนัขแต่ละปีจำนวนเท่าใด แต่กระทรวงเกษตรเคยอ้างผลวิจัยในปี 2558 ว่ามีสุนัข 7.3 แสนตัวที่ถูกส่งจากชวาตะวันตกเข้าไปในกรุงจาการ์ตาเพื่อการบริโภค

( คำเตือน : คลิปมีภาพที่อาจทำให้รู้สึกไม่สบายใจ ) 

คลิปวิดีโอที่จุดกระแสไม่พอใจในสื่อสังคมออนไลน์ซาอุดีอาระเบีย แสดงให้เห็นชายหญิงกำลังรับประทานอาหารด้วยกันบนโต๊ะ โดยสตรีในคลิปสวมนิกอบ หรือชุดคุลมทั้งตัวตั้งแต่ศีรษะจรดเท้า โบกมือให้กับกล้อง และป้อนอาหารให้กับผู้ชายที่กำลังอัดคลิปอยู่

คลิปวิดีโอแสดงความใกล้ชิดระหว่างชายหญิงคู่นี้  จุดกระแสวิจารณ์อย่างหนัก จนสำนักงานอัยการต้องออกแถลงการณ์ขอให้ชาวต่างชาติในซาอุฯ เคารพค่านิยมและธรรมเนียมประเพณีในสังคมท้องถิ่น

เหตุการณ์นี้มีขึ้นขณะเป็นที่ทราบกันว่า เจ้าชายโมฮัมหมัด บิน ซัลมาน มกุฎราชกุมารซาอุดีอาระเบีย พยายามผลักดันการเปลี่ยนแปลงหลายอย่างไปทางเปิดกว้างและเสรีนิยมมากขึ้น ทำให้เห็นผู้หญิงซาอุฯขับรถได้ ไปโรงภาพยนตร์ และชมคอนเสิร์ตที่มีเพศตรงข้ามปะปะได้ หลังจากถูกห้ามมานานหลายสิบปี

แต่กระแสที่มีต่อคลิปนี้สะท้อนถึงความท้ายทายที่เจ้าชายโมฮัมเหม็ดยังต้องเผชิญ ขณะพยายามปฏิรูปประเทศจากอนุรักษ์นิยมสุดขั้วสู่ความทันสมัย

เมื่อเดือนเมษายน  กระทรวงกีฬา สั่งปิดศูนย์ออกกำลังกายสตรีแห่งหนึ่งในกรุงริยาดห์ หลังทำคลิปโฆษณาแสดงภาพผู้หญิงในชุดออกกำลังกายรัดรูป

ประชาชนเดินทางด้วยรถยนต์อพยพออกจากพื้นที่เสี่ยงในเส้นทางพายุจนการจราจรหนาแน่น หลังทางการรัฐนอร์ธแคโรไลนา เซาท์แคโรลนา และเวอร์จิเนียมีคำสั่งหรือคำแนะนำให้ประชาชนมากถึง 1 ล้าน 7 แสนคนอพยพอกจากบ้านเรือน แต่ยังมีบางส่วนเลือกที่จะไม่อพยพตามคำสั่ง

รอย คูเปอร์ ผู้ว่าการรัฐนอร์ธ แคโรไลนา ย้ำเตือนว่า พายุลูกนี้เป็นพายุรุนแรงที่อาจเจอเพียงครั้งหนึ่งในชีวิต อย่าเสี่ยงชีวิตอยู่เผชิญพายุปีศาจ พร้อมกำชับให้อพยพเดี๋ยวนี้ และเขายังมีคำสั่งเป็นครั้งแรกให้ประชาชนในเขตหมู่เกาะแนวกันชนของรัฐอพยพออกจากบ้านเรือนด้วย

ขณะที่ประชาชนในเมืองชาร์ลสตัน รัฐเซาธ์แคโรไลนา นำกระสอบทรายมาสร้างแนวป้องกันบ้านพักของตัวเอง และธนาคารอาหารในท้องถิ่น เตรียมอาหารกล่องฉุกเฉินสำหรับนำไปแจกจ่ายผู้ประสบภัย และประชาชนในในเมืองราลี รัฐนอร์ธแคโรไลนา เร่งสะสมเสบียง และซื้อเครื่องปั่นไฟเนื่องจากมีการเตือนว่า อาจเกิดไฟฟ้าดับหลายวัน

ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ซึ่งได้รับฟังบรรยายสรุปจากเจ้าหน้าที่จากสำนักงาน จัดการสถานการณ์ฉุกเฉิน หรือ ฟีม่า ที่ห้องทำงานในทำเนียบขาว ย้ำว่า ความปลอดภัยของชาวอเมริกันต้องมาก่อนเป็นอันดับแรก พร้อมกับประกาศภาวะฉุกเฉิน ในรัฐเวอร์จีเนีย และรัฐแคโรไลนาทั้งสอง

พายุ”ฟลอเรนซ์” มีความรุนแรงเพิ่มขึ้นเป็นระดับ 4 ด้วยความเร็วลม 220 กม./ชม. เมื่อวันอังคาร และอาจมีความรุนแรงขึ้นเป็นระดับ 5 ที่มีความเร็วลม 250 กม./ชม. ก่อนพัดขึ้นฝั่งแถวรัฐแคโรไลนาทั้งสองในช่วงค่ำวันพฤหัสบดีหรือเช้าวันศุกร์ ท้้งฟีม่า และศูนย์เฮอร์ริเคนแห่งชาติ เตือนว่า พายุลูกนี้จะพัดขึ้นฝั่งโดยตรง และก่อให้เกิดอันตรายอย่างที่สุด โดยอาจทำให้เกิดสตอร์มเซิร์จร้ายแรงในแถบชายฝั่ง ที่จะทำให้มีผู้เสียชีวิตจำนวนมาก

สำนักข่าวซีเอ็นเอ็น  รายงานถึงอันตรายของพายุลูกนี้ว่า อาจทำให้เกิดสตอร์มเซิร์จสูงถึง 6 เมตรได้ และศูนย์เฮอร์ริเคนแห่งชาติ เตือนว่า สตอร์มเซิร์จสูงตั้งแต่ 3 เมตรครึ่งขึ้นไปจะทำให้มีผู้เสียชีวิต นอกจากนี้ซีเอ็นเอ็น ระบุว่า อีกหนึ่งอันตราย คือ พายุจะทำให้เกิดฝนตกหนักและน้ำท่วมใหญ่ในแผ่นดิน  ยิ่งพายุเคลื่อนตัวช้า จะมีฝนตกนาน โดยบางแห่งอาจมีฝนตกวัดได้ 20 นิ้ว และพายุจะพัดไปถึงพื้นที่ตอนบนของชายฝั่งตะวันออกลึกเข้าไปในแผ่นดินกว่าที่เฮอร์ริเคนระดับ 4 ลูกใดเคยไปถึง ประชาชนในพื้นที่ดังกล่าวไม่เคยเผชิญเฮอร์ริเคนระดับ 4 มาก่อน จึงอาจไม่รู้ถึงอันตรายและวิธีป้องกันความเสียหาย

ที่หาดไมร์เทิล รัฐเซาท์คาโรไลานา ขนมปังเกลี้ยงชั้น หลังผู้คนกว้านซื้อกักตุนอาหารก่อนพายุเข้า 

สินค้าขายดี กระดานไม้อัด ที่ต้องใช้เสริมประตูหน้าต่างกันพายุ 

            ( ปั๊มน้ำมันเอ็กซอน เมืองฮาร์บิงเกอร์ รัฐนอร์ทคาโรไลนา ติดประกาศงดขายแอลกอฮอล์เนื่องจากประกาศสถานการณ์ฉุกเฉิน )

อาทิราห์ อาร์ชัด ( Athirah Arshad)  ผู้ใช้เฟซบุ๊กในมาเลเซีย บอกหนังสือพิมพ์เดอะ สตาร์ ว่าขณะที่เธอกำลังอ่านและค้นหาข้อมูลเกี่ยวกับการตั้งครรภ์ บนเวบไซต์สื่อสังคมออนไลน์ Tumblr  รู้สึกตกใจมากเมื่อเห็นรูปว่าที่คุณแม่ตั้งครรภ์จำนวนมาก กับคำบรรยายแนวลากมก

อาร์ชัด เจ้าของแผงขายอาหารวัย 21 ปี ถ่ายภาพหน้าจอมือถือและเซ็นเซอร์ใบหน้ารูปผู้หญิงตั้งครรภ์ พร้อมกับคำบรรยายรูปส่อเรื่องเพศ นำมาโพสต์เป็นตัวอย่างบนเฟซบุ๊ก เพื่อเตือนด้วยความหวังดีถึงว่าที่คุณแม่ทั้งหลายว่า ควรคิดให้ดีก่อนอัพโหลดรูปท้องนูนๆของตัวเองบนสื่อสังคมออนไลน์

เธอโพสต์ว่า มีคนจำนวนหนึ่งที่หื่นจัด แม้แต่ผู้หญิงตั้งท้องอยู่ก็เป็นนางแบบได้ เป็นเรื่องตลกสิ้นดี คนพวกนั้นเป็นมนุษย์แบบไหน 

อาทิราห์หวังว่าทางการ ไม่ว่าจะเป็นตำรวจ และคณะกรรมการสื่อสารโทรคมนาคมและมัลติมีเดียมาเลเซีย จะดำเนินมาตรการกับคนที่โพสต์ข้อความไม่เหมาะสมเหล่านั้น

โพสต์ของเธอถูกแชร์เกือบ 6,000 ครั้ง ผู้ใช้เฟซบุ๊กจำนวนมากแสดงความขยะแขยงและโกรธ

บางคนระบุว่า รู้อยู่แล้วว่า มีคนพวกนี้อยู่ในโลกออนไลน์ จึงเป็นเหตุผลที่เธอไม่เคยโพสต์รูปท้องตัวเองบนสื่อสังคมออนไลน์เลย ไม่ว่าจะแต่งตัวมิดชิดแค่ไหน ขณะบางคนมองว่า ว่าที่คุณแม่ไม่ได้สวมเสื้อผ้าเปิดเผยเนื้อหนัง ปัญหาอยู่ที่พวกผู้ชายโรคจิต ไม่ใช่คนท้อง การโทษเหยื่อเป็นเรื่องไม่ถูกต้อง