เดลเลน มิลลาร์ด อดีตทายาทเศรษฐีแคนาดาวัย 33 ปี ร่ำไห้ ขณะผู้พิพากษาศาลในออนตาริโออ่านคำพิพากาษาให้เขามีความผิดในคดีฆาตกรรมโดยเจตนาและไตร่ตรองไว้ก่อน  ด้วยการยิง เวน มิลลาร์ด พ่อของตัวเองขณะนอนหลับเมื่อปี 2555
เวน มิลลาร์ด นักธุรกิจเจ้าของบริษัทสายการบิน มิลลาร์ดแอร์ วัย 71 ปี ถูกพบเป็นศพอยู่บนเตียงนอน มีกระสุนปืนฝังในสมอง เมื่อ 29 พฤศจิกายน 2555 ในตอนแรกระบุว่าเป็นการฆ่าตัวตาย ลูกชายที่ได้รับมรดกหลายล้านดอลลาร์ บอกตำรวจว่าพ่อซึมเศร้าและติดเหล้า “พ่ออมทุกข์อย่างหนักตลอดชีวิตที่ผมไม่เคยรู้ เขาไม่อยากเล่าให้ผมฟัง” ลูกชายพูดหลังพ่อเสียชีวิต แต่ผู้พิพากษาระบุว่า ลูกชายฆ่าพ่อด้วยการยิงเข้าที่ตายซ้ายขณะนอนหลับ

ปัจจุบัน มิลลาร์ดอยู่ระหว่างรับโทษจำคุกตลอดชีวิต ฐานฆาตกรรม ลอรา แบบค็อก และ ทิม บอสมาอยู่แล้ว

รายงานระบุว่าเหยื่อคนที่ 3 ลงโฆษณาขายรถออนไลน์ ในเดือนพฤษภาคม 2556 และมิลลาร์ดกับเพื่อน มาร์ค สมิช สนใจ และเดินทางไปพบกับบอสมาที่บ้านของเขา นอกเมืองฮามิลตัน จ. ออนตาริโอ ทั้งคู่ขอทดลองขับและบอสมาไปด้วย  จากนั้น ไม่มีใครพบเห็นบอสมาอีก ภรรยาของเขากล่าวว่า มันเรื่องของรถกระบะคันเดียวเท่านั้น                                        ต่อมา ตำรวจพบรถกระบะอยู่ในบ้านของมารดามิลลาร์ด ไม่นาน เขากับสมิช ก็กลายเป็นผู้ต้องสงสัย ตำรวจยึดรถที่ภายในพบรอยเลือดและเขม่าปืน

ตำรวจเริ่มขุดคุ้ยอดีตของมิลลาร์ด  การตายของพ่อของเขา และการหายตัวไปของแฟนเก่า ลอรา แบบค็อก ที่หายตัวไปก่อนหน้าที่เขาจะฆ่าพ่อได้ราว 3 เดือน

ผลสอบสวนพบว่า มิลลาร์ดคบซ้อนกับแฟนสาวคนปัจจุบัน และเคยสัญญาว่าจะขจัดผู้หญิงคนนี้ออกไปจากชีวิต  กระนั้น ตำรวจไม่พบศพและไม่สามารถพิสูจน์อัตลักษณ์ศพเหยื่อทั้งสองได้ แต่หลังจากที่หญิงสาวหายตัวไป มิลลาร์ดซื้อเตาเผามาเครื่องหนึ่ง จึงเชื่อว่าทั้งคู่ถูกยิงก่อนนำศพไปเผาทำลายหลักฐาน

มิลลาร์ดกับสมิช ถูกตัดสินมีความผิดฆาตกรรมบอสมา ในปี 2559 และถูกตัดสินมีความผิดฆ่าแบบค็อกในปีที่แล้ว
จากนั้น ตำรวจเริ่มสอบสวนคดีของเวน  มิลลาร์ด  อัยการกล่าวหาลูกชายปลิดชีวิตของพ่อเพื่อปกป้องมรดก ที่กำลังถูกนำไปใช้เป็นทุนธุรกิจการบินใหม่ มิลลาร์ดอ้างว่าเขาอยู่ที่บ้านของสมิชตอนพ่อตาย แต่บันทึกโทรศัพท์เผยว่าเขากลับไปบ้านพ่อในเช้ามืดของวันเกิดเหตุ ปืนที่มิลลาร์ดซื้อมาผิดกฎหมาย พบอยู่ข้างศพและพบหลักฐานดีเอ็นเอที่ปืน

สองสัปดาห์ที่แล้ว เจมส์ ลูคูคู ผู้นำพรรคการเมืองเล็กๆในแซมเบีย ถูกตำรวจจับกุมและต้องเข้าไปอยู่ในห้องขังหลายชั่วโมง หลังจากสวมเสื้อยืดพิมพ์สโลแกน #sayno2China กับป้ายมีข้อความ “จีนเท่ากับฮิตเลอร์” เดินประท้วงคนเดียวในกรุงลูซากา

แต่เขาไม่ใช่ชาวแซมเบียคนเดียว ที่ไม่เห็นด้วยการเข้าไปมีบทบาทครอบงำเศรษฐกิจในประเทศแอฟริกาตอนใต้แห่งนี้ โดยเฉพาะโครงการปล่อยกู้ก้อนใหญ่ให้กับรัฐบาลประธานาธิบดีเอดการ์ ลุนกู

ลูคูคู กล่าวว่า เขาต้องการเรียกความสนใจจากประชาคมโลก ให้เห็นถึงอิทธิพลของจีนและการคอรัปชั่นในแซมเบีย

จีนเป็นนักลงทุนรายใหญ่ในแซมเบีย เช่นเดียวกับในอีกหลายประทศแอฟริกา ที่มาพร้อมกับการเสนอให้ความช่วยเหลือแบบ”ไม่มีเงื่อนไข” และการประมูลโครงการส่วนใหญ่ ตกเป็นของผู้ยื่นประมูลชาวจีน

ผู้รับเหมาจากแดนมังกรกำลังสร้างสนามบิน ถนนหนทาง โรงงานและสถานีตำรวจในกรุงลูซากาและทั่วประเทศ โดยการปลูกสร้างที่กำลังเฟื่องฟู ส่วนใหญ่ก็ได้เงินกู้จากจีน

ลูคูคู กล่าวว่า จีนกำลังจะเอาทุกอย่างไปจากแซมเบีย พวกเขาครอบงำเศรษฐกิจของเราผ่านหนี้สินผิดกฎหมาย รัฐบาลนี้ทำสัญญากู้ยืมจากจีนโดยไม่ผ่านสภาด้วยซ้ำ นอกจากนี้ ลูคูคูและฝ่ายสนับสนุนเชื่อว่า รัฐกำลังจะขาย เซสโก การไฟฟ้าของประเทศ สนามบินลูซากา และสถานีโทรทัศน์ทางการ ZNBC ให้จีนเข้าไปควบคุม

ปัจจุบัน หนี้สาธารณะแซมเบียอยู่ที่ราว 1.06 หมื่นล้านดอลลาร์ แต่กำลังสงสัยกันว่ารัฐบาลน่าจะซ่อนตัวเลขหนี้ที่แท้จริง แบบเดียวกับโมแซมบิกเมื่อสองปีก่อน ที่ออกมายอมรับว่าเก็บงำการกู้เงิน 2,000 ล้านดอลลาร์เป็นความลับ  ประกอบกับราคาทองแดง สินค้าส่งออกของแซมเบียตกต่ำ ทำให้เกรงว่า รัฐบาลลูซากาอาจมีปัญหาในการชำระหนี้

มาร์กาเร็ต มวานาคัตเว รัฐมนตรีคลังแซมเบีย ยืนยันว่า ช่วงแรกของปีนี้ รัฐบาลชำระดอกเบี้ยเจ้าหนี้ 342 ล้านดอลลาร์ โดย 53 % เป็นหนี้ภาคเอกชน เพียง 30% เท่านั้นที่เป็นเจ้าหนี้จีน

กระนั้น พรรคฝ่ายค้านหลัก ยังคงใช้ประเด็นการครอบงำของจีน มาหาเสียงเพื่อโค่นรัฐบาล

สตีเฟน คาทูกา เลขาธิการพรรคสหพัฒนาแห่งชาติ กล่าวว่า การที่รัฐบาลเอาใจฝ่ายจีน ให้ใช้แรงงานจากแดนมังกรแทนแรงงานแซมเบีย ในโครงการที่จีนบริหาร อาจเป็นระเบิดเวลา โดย หากสถานการณ์ยังเป็นเช่นนี้ต่อไป อาจนำไปสู่กระแสต่อต้านต่างชาติ ที่ผ่านมา มีเหตุการณ์ที่ผู้จัดการชาวจีนปฏิบัติต่อชาวจีนไม่เหมาสม เช่น ทุบตี ในที่ทำงาน เพียงเพราะไม่ทำตามคำสั่ง

แต่ประโยชน์จากการลงทุนขนานใหญ่อยู่กับใครยังเป็นคำถาม เอดการ์ สยาคาโชมา ผู้รับเหมา ชาวแซมเบีย ม กล่าวว่า ไม่ชอบการครอบงำของผู้รับเหมาจีน อย่างแรก เงินที่พวกเขาได้จากสัญญาก่อสร้าง ถูกส่งออกนอกประเทศ ส่วนที่แซมเบียได้กลับมาคือค่าจ้างน้อยนิด รัฐบาลควรให้สัญญารับเหมากับเราบ้างเพื่อให้ประโยชน์ตกกับชาวแซมเบีย

หนังสือพิมพ์ เดอะ สตาร์ ของมาเลเซีย รายงานวันนี้ว่า ศาลชารีอะฮ์ในรัฐตรังกานูตัดสินให้สตรีวัย 30 ปีคนหนึ่ง มีความผิดฐานเตรียมการให้บริการทางเพศที่โรงแรม

สำนักงานศาสนารัฐตรังกานู ระบุในแถลงการณ์ว่า ขณะเจ้าหน้าที่บุกเข้าในห้องโรงแรมเมื่อเวลา 23.45 น. ของวันที่ 17 กันยายน สตรีผู้นี้สวมชุดนอนแขนกุดอยู่กับผู้ชายคนหนึ่ง เจ้าหน้าที่เชื่อว่าเธอขายบริการทางเพศเพื่อเงินราว 300 – 3,000 ริงกิต แต่ได้รับจากลูกค้าเพียง 100 ริงกิตในคืนนั้น

เจ้าหน้าที่แจ้งข้อหาความผิดที่อาจทำให้เธอถูกลงโทษจำคุกไม่เกิน 3 ปี หรือปรับไม่เกิน 5,000 ริงกิต หรือโบยไม่เกิน 6 ครั้ง หรือโทษทั้งหมดรวมกัน

ผู้พิพากาษา รอสดี ฮารุน ให้โอกาสจำเลย ซึ่งเป็นแม่เลี้ยงเดี่ยวของลูกสาววัย 7 ขวบ ขอผ่อนโทษให้เบาลง  ขณะเธอระบุว่า ไม่มีปัญญาเสียค่าปรับ  จำเลยกล่าวว่าเธอไม่ได้ค่าเลี้ยงดูจากอดีตสามีนับจากหย่ากันเมื่อ 7 ปีก่อน

ศาลอนุญาตให้ประกันตัว ระหว่างรอคำตัดสินลงโทษในวันพฤหัสบดี

เมื่อวันที่ 3 กันยายน รัฐตรังกานูเพิ่งโบยสตรี 2 คน คนละ 6 ครั้งที่ศาลสูงชารีอะฮ์ ฐานพยายามมีเพศสัมพันธ์ภายในรถยนต์เมื่อเดือนสิงหาคม

มาเลเซียลงหวายสองสาวฐานมีเซ็กส์เลสเบียน  

ไบรอัน เดโนโมสเทียร์  ชาวอเมริกันในรัฐฟลอริดาวัย 33 ปี  ให้การรับสารภาพในศาลไมอามี เมื่อวันพฤหัสบดีที่แล้ว ข้อหาดักฟังการสื่อสารทางวาจาอย่างผิดกฎหมาย ซึ่งมีโทษจำคุก 10 ปี กรณีบันทึกคลิปเพศสัมพันธ์หรือกิจกรรมทางเพศกับผู้ชายราว 150 คน และอัพโหลดคลิปบนเวบไซต์ “StraightBoyz”  โดยราว 80 ราย ไม่ได้ยินยอม หรือไม่รู้ตัวว่ากำลังถูกบันทึกคลิปอยู่

หนุ่มรายนี้ ซึ่งใช้ชื่อบนสื่อสังคมออนไลน์ ว่า susanleon33326  ถูกจับกุมเมื่อเดือนกรกฎาคม หลังจากกระทรวงความมั่นคงมาตุภูมิสหรัฐสอบสวนพบว่า เดอโนโมสเทียร์ ลงโฆษณาบนเวบไซต์  Craiglist เชิญชวนมีเพศสัมพันธ์แบบไม่เผยตัวกับแม่บ้าน

เมื่อชายหลายคนที่ตอบรับโฆษณา เดินทางไปบ้านของเธอก็พบเดอโนโมสเทียร์ปลอมตัวเป็นแม่บ้านเรียบร้อยแล้ว บ่อยครั้ง แม่บ้านกำมะลอขอให้เหยื่อสวมแว่นปิดตา หรือผูกผ้าปิดตาก่อนมีกิจกรรมทางเพศกัน ระหว่างนั้น มีการบันทึกคลิปไว้ เพื่อนำไปอัพโหลดขึ้นเวบไซต์ StraightBoyz ที่โฆษณาว่าเป็นแหล่งรวมคลิปชาวเกย์ลวงชายแท้มาทำกิจกรรมทางเพศ

เอกสารในศาลระบุว่า เวบไซต์นี้มีวิดีโอระหว่างเดโนโมสเทียร์กับชายมากหน้าหลายตา 619 คลิป  คิดค่าธรรมเนียมการรับชม 35 ดอลลาร์ต่อเดือน

เวลาเหยื่อถามเพื่อความมั่นใจว่าไม่มีการตั้งกล้อง เดอโนโมสเทียร์ ซึ่งอาศัยใกล้กับฐานทัพอากาศฮอมสเต็ด อ้างว่าแต่งงานแล้วกับคนในกองทัพ ดังนั้น จะไม่มีการถ่ายรูปหรืออัดคลิปอย่างแน่นอน

เวบไซต์ StraightBoyz ปิดแล้ว แต่คลิปที่เคยอัพโหลดไว้บนเวบนี้ ยังแพร่อยู่บนเวบอื่นเพราะเขาขายให้ลูกค้าบางรายในต่างแดนด้วย

แม้ว่าการค้นหาร่องรอยเครื่องบินมาเลเซียแอร์ไลนส์ เที่ยวบิน เอ็มเอช 370 ยุติลงไปโดยทิ้งปริศนาคาใจว่าเครื่องบินโบอิง 777-200 อีอาร์ ทั้งลำกับผู้โดยสารและลูกเรือ 239 คนสูญหายไปได้อย่างไร หลังขึ้นบินจากกรุงกัวลาลัมเปอร์ ไปยังกรุงปักกิ่ง เมื่อ 4 ปีที่แล้ว

แต่ยังคงมีความพยายามสืบสวนแง่มุมต่างๆของปริศนาดำมืดที่สุดในประวัติศาสตร์การบินอยู่ต่อไป โดยล่าสุด พอล ทูฮีย์ ผู้สื่อข่าวเชิงสืบสวนมือรางวัลของ “นิวส์คอร์ป”พบพฤติกรรมประหลาดของ ซาฮารี อาห์หมัด ชาห์ กัปตันเที่ยวบินเอ็มเอช 370 ใช้เฟซบุ๊ก ติดตามความเป็นไปของนางแบบฝาแฝดแบบเกาะติด ที่ทำให้นักจิตวิทยาวิเคราะห์ว่ากัปตันวัย 53 ปี มีพฤติกรรมทำลายตัวเอง และลุ่มหลง ในระดับที่สายการบินไม่ควรมองข้าม

( Daily Mail) 

กัปตันซาฮารี ซึ่งแต่งงานแล้ว ไม่ได้คิดปิดบังตัวตน ขณะติดตามหญิงสาวอายุน้อยกว่า 34 ปี บนสื่อสังคมออนไลน์ ทั้งยังนำหน้าที่การงานของตัวเองในสายการบินของรัฐ มาเสี่ยงด้วยการวิจารณ์รัฐบาลในขณะนั้น

อ่านต่อ  มาเลเซียเปิดรายงาน”เอ็มเอช370″ไม่ตัดปมมือที่สามมีเอี่ยว

รายงานสอบสวนของมาเลเซียที่เผยแพร่เมื่อเดือนกรกฎาคม ไม่ได้เอ่ยถึงการใช้เฟซบุ๊กของซาฮารี ว่าเขาโพสต์อะไรบ้าง  หรือเข้าเฟซบุ๊กบ่อยแค่ไหน ตำรวจมาเลเซียปัดว่าไม่ใช่เรื่องสำคัญ ส่วนบรรดาเพื่อนและคนใกล้ชิด มักพูดถึงเขาว่าเป็นคนสบายๆ และ ใจดี แต่จากการแสดงออกบนเฟซบุ๊ก ดูเหมือนเขาเผชิญวิกฤติวัยกลางคน เบื่อหน่ายและขาดความยับยั้งชั่งใจ

( Daily Mail ) 

ช่วงปี 2556 ก่อนเครื่องบินหาย ซาฮารี โพสต์เฟซบุ๊กมากถึง 97 ครั้งบนเพจของนางแบบในปีนัง ชื่อ ฉี หมิน หลาน หรือ จัสมิน หมิน วัยเพียง 18 ปีในขณะนั้น แต่ส่วนใหญ่เธอไม่ตอบ
ซาฮารีไม่ได้รู้จักเธอเป็นการส่วนตัว แต่หลงไหลได้ปลื้ม ถึงกับชวนมาเที่ยวกัวลาลัมเปอร์ที่เขาอาศัยอยู่กับภรรยา  ความเห็นของเขาจำนวนมาก อาทิ คุณเซ็กซี่เหลือเกิน แซ่บ สวยมาก เพิ่งอาบน้ำหรือ?  บ่งบอกถึงภาวะอบจนของผู้ชายคนหนึ่ง

นอกจากนี้ โพสต์เฟซบุ๊ก ยังเผยให้เห็นว่า เขาไม่ได้สนใจการเมืองแบบกระตือรือร้นธรรมดา  แต่อยู่ในระดับรุนแรง เช่น เรียกนายกรัฐมนตรีนาจิบ ราซัคเวลานั้น บนเพจเฟซบุ๊กของตัวเองว่า ปัญญาอ่อน

กัปตันซาฮารี เป็นแฟนพันธุ์แท้พีเคอาร์ หรือ พรรคยุติธรรมของประชาชน ( ขณะนั้นเป็นฝ่ายค้านเวลานี้เป็นรัฐบาล ) และเป็นอาสาสมัครช่วยหาเสียงในศึกเลือกตั้ง 2556 จึงนำไปสู่การตั้งข้อสันนิษฐานยอดนิยมข้อหนึ่งว่า ซาฮารีไฮแจ็คเที่ยวบินเอ็มเอช370 เพื่อประท้วงการสั่งจำคุกอันวาร์ อิบราฮีม แกนนำพีเคอาร์ แต่ครอบครัวปฏิเสธ

ในเดือนเมษายน 2556 ก่อนเลือกตั้ง ซาฮารีโพสต์ความเห็น 119 ความเห็นในชื่อตัวเอง สะท้อนความเกลียดชังรัฐบาลนาจิบ และหลังพรรคของนาจิบชนะเลือกตั้ง ซาฮารีเขียนชักชวนออกไปประท้วง โดยระบุว่า เราทุกคนมีความเป็นกบฏอยู่ในตัวเอง

ทูฮีย์ นักข่าวที่เจาะเรื่องนี้ ขอความเห็นจาก พอล ดิกเคนส์ นักจิตวิทยาในอังกฤษ จากศูนย์จิตวิทยาการบิน ผู้นำการประเมินสุขภาพจิตนักบินพาณิชย์ระดับโลก

ดิกเคนส์ กล่าวว่า จากโพสต์ที่เห็น คือพฤติกรรมลุ่มหลง(การเมืองกับผู้หญิง)ระดับหนึ่งผสมกับการขาดความยับยั้งชั่งใจ ซึ่งไม่ปกติสำหรับนักบิน

ด้าน จอฟฟรี โทมัส ผู้เชี่ยวชาญการบินและบรรณาธิการ airlineratings.com กล่าวว่า น่าตกใจมากที่นักบินอาวุโสแสดงความเห็นทางการเมืองแบบนั้น หากนักบินแควนตัสทำแบบเดียวกัน คงถูกเรียกตัวไปสั่งพักงาน

ที่มา Western Australia Daily Mail