ชี้เป้า “โดนัทโฮมเมด” เติมหวาน ช่วง “work from home” #SootinClaimon.Com

#SootinClaimon.Com : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์คมชัดลึก

https://www.komchadluek.net/news/lifestyle/473663

ชี้เป้า “โดนัทโฮมเมด” เติมหวาน ช่วง “work from home “

9 กรกฎาคม 2564 – 20:08 น.

“โดนัทโฮมเมด” เจ้าอร่อยสักชิ้น น่าจะช่วยลดความเบื่อหน่ายจาก การทำงานแบบ” work from home” ได้เป็นอย่างดี ขอชี้เป้าร้านดัง แสนอร่อย 4 ร้าน ที่สายหวานไม่ควรพลาด

สถานการณ์การแพร่ระบาดของ โควิด-19 ที่ยาวนาน หลายหน่วยงานมีนโบายให้พนักงานทำงานที่บ้าน work from home เพื่อลดความเสี่ยงในการติดเชื้อ การทำงานที่บ้านเป็นเวลานาน ส่งผลให้หลายคน เกิดภาวะเบื่อหน่าย หมดไฟ อาหารอร่อย ๆ จึงเป็นอีกหนึ่งทางเลือกในการเพิ่มพลัง ลดความจำเจวันนี้ ขอมาชี้เป้า 4 ร้านโดนัทโฮมเมด แสนอร่อย ที่สายหวานไม่ควรพลาด 

เริ่มกันที่ร้านแรก กับ Loaflay โดนัทแห่งความสุข สูตรโฮมเมด ที่คัดสรรวัตถุดิบจากธรรมชาติแบบสุด ๆ ตั้งแต่การคัดเลือก ไข่ไก่อารมณ์ดี นมสดจากภูฟาร์ม โรยหน้าด้วยน้ำตาลหัวไชเท้า (เทนไซโต) จากญี่ปุ่น ออกมาเป็นโดนัทพรีเมี่ยม เนื้อนุ่มนิ่ม ไม่อมน้ำมัน จิ้มกับนมข้นฮอกไกโดที่ร้านกวนเอง ถึง 5ชม. เมนูที่ห้ามพลาดคือ Loaf – Lay Signature Donut และ Whole Wheat Amazake Donut สั่งซื้อได้ทาง LINE : @loaflay หรือจะไปตามส่องความน่ากินกันได้ที่ เพจเฟซบุ๊ก และ อินสตาเกรม  loaflyกันได้เลยจ้า

Dropbydough Drop By Dough เป็นร้าน Handcraft dough ที่ทำเองทุกขั้นตอน คัดสรรวัตถุดิบที่มีคุณภาพ เพื่อให้ได้โดนัทที่รสชาติดีที่สุด และไม่ใส่สารเคมีใดๆ โดยปกติจะมีโดนัท 10 รสชาติ และแต่ละเดือนหน้าจะมี special flavors ออกมาเป็นพิเศษอยู่เสมอ  เมนูที่จะแนะนำ Classic Vanilla เป็นราติที่ตั้งใจทำออกมาให้ทานง่าย หวานน้อยที่สุด Bacon & Cheddar Cheese รสชาติที่หลายคนสงสัยว่าจะเข้ากันได้อย่างไร กับการที่เอา bacon มาทำเป็นขนม เริ่มจากด้านในเป็น cheddar chesse custard เข้มข้น เกรซด้านบนโรย bacon เวลาทานจะได้รสชาติความเค็มของชีส ความหวานของเกรซบวกกับกลิ่นหอมของ bacon เป็นรสชาติที่หลายคนชอบ และบอกว่าเข้ากัน สามารถสั่งซื้อได้ทาง Grab/ Lineman/ Foodpanda/ Robinhood และ Line@: @dropbydough 

Brassicabkk โดนัทแป้งฟูนุ่มไส้ทะลัก การันตีได้จากฝีมือการทำทุกขั้นตอนของ เชฟชอง เหวิน  เชฟหนุ่มฝีมือจากสิงคโปร์ ใช้แป้งโดว์ที่หมักทิ้งไว้หนึ่งคืน และถูกนำมาทอดใหม่ ๆ ทุกเช้าหลังเปิดร้าน มีเมนูแครมบูเล่เป็นเมนูขายดี ด้านในเป็นไส้วานิบบาคัสตาร์ด ใช้เมล็ดวนิลาแท้จากโลคัลฟาร์มที่เชียงใหม่เพื่อให้ได้กลิ่นหอมหวานที่เป็นเอกลักษณ์ ด้านบนเผาหน้าน้ำตาลไหม้ เพื่อให้ได้รสสัมผัสทั้งกรอบและนุ่มเวลาทาน ที่ร้านเผาแครมบูเล่สดๆทุกออเดอร์เพื่อความกรอบอร่อย สั่งซื้อได้ทางขายบน Grabfood, LINEMAN, Robinhood หรือสามารถสั่งตรงกับทางร้านที่ไลน์ @brassicabkk

Kinu Donut โดนัทแสนนุ่มมม เหมือนปุยเมฆ มีความหวานน้อยตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์คนรักสุขภาพ ชูจุดเด่นที่แป้ง ลดความหวาน ไม่ใช้น้ำมันขมันทรานซ์ ความอร่อยของ ร้านนี้การันตีผ่านการบอกต่อ ที่โด่งดังในโซเชียล ที่วันนี้ต้องขยายสาขาอีกหลายสาขา เพื่อให้คนได้ลิ้มรสความอร่อยของKinuได้ง่ายขึ้น สามารถสั่งซื้อได้ที่หน้าร้าน 4 สาขา เยาวราช อารีย์ เสาชิงช้า และโชคชัย 4 หรือผ่านทางออนไลน์ LinemanRobinhood 

 การทำงานที่บ้านเป็นเวลานาน ส่งผลให้หลายคน เกิดภาวะเบื่อหน่าย หมดไฟ อาหารอร่อยๆ จึงเป็นอีกหนึ่งทางเลือก ในการเพิ่มพลัง ลดความจำเจ เติมหวานสักนิด เพื่อเป็นพลังงานในการสู้วิกฤต 

3 สิ่งพึงสังเกต “อาการผิดปกติ” จากการ “Work Form Home” #SootinClaimon.Com

#SootinClaimon.Com : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์คมชัดลึก

https://www.komchadluek.net/news/lifestyle/473653

3 สิ่งพึงสังเกต “อาการผิดปกติ”จากการ “Work Form Home”

9 กรกฎาคม 2564 – 18:50 น.

จิตแพทย์ แนะสังเกต”อาการผิดปกติ” ที่อาจจะเกิดจาก”Work Form Home” 3 อาการที่อาจนำไปสู่ปัญหาทางด้านสุขภาพจิต

Work Form Home เป็นสิ่งที่ตามมาหลังจากเกิดการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ซึ่งการทำงานที่บ้านเป็นระยะเวลาที่ยาวนาน เป็นสิ่งที่ต้องระมัดระวัง เนื่องจากอาจส่งผลให้เกิดความเครียดสะสมและมีผลต่อสุขภาพจิต ดร.นพ. วรตม์ โชติพิทยสุนนท์ โฆษกกรมสุขภาพจิต แนะนำวิธีสังเกตตัวเองถึงความผิดปกติที่เกิดจาก Work Form Home เนื่องจากปัญหาเรื่องสุขภาพจิตเป็นเรื่องที่กว้างมาก อาจเกิดได้หลายรูปแบบ ซึ่งคนทั่วไปสามารถมีอารมณ์ความเครียด ความกังวลได้ปกติ  แต่จะเริ่มไม่ปกติเมื่อ อารมณ์เหล่านั้น ส่งผลให้ชีวิตคุณเปลี่ยนแปลงไป 

– ประสิทธิภาพในการทำงานที่เปลี่ยนแปลงไป วกวนอยู่ในอารมณ์เครียด หรือเศร้า จนไม่สามารถทำงานได้เท่าเดิม ทำงานช้าลง หรือจากที่เคยเป็นคนละเอียดรอบคอบ กลายเป็นคนไม่ละเอียดรอบคอบ ประสิทธิภาพในการเรียนของนักเรียนที่เรียนออนไลน์ เปลี่ยนไป จากเดิมเป็นคนที่มีสมาธิกลายเป็นคนไม่มีสมาธิ เป็นสาเหตุมาจากอารมณ์เหล่านั้นครอบงำในจิตใจ 

– ความสัมพันธ์ต่อคนรอบข้างและคนทั่วไปลดลง จากที่เคยมีความสัมพันธ์ที่ดี เมื่อเกิดอารมณ์เครียดมากๆ อาจเกิดอาการเก็บเนื้อเก็บตัว ไม่พูดคุยกับใคร ไม่เล่นโซเชียลมีเดีย ไม่พุดคุยกับใคร ซึ่งอาจจะเป็นผลจากความเครียดที่ส่งผลให้เปลี่ยนแปลงไป

– การดูแลตัวเองลดลง หรือ การไม่ดูแลตัวเอง ไม่ทานอาหาร ไม่เก็บทำความสะอาดห้อง ไม่ดูแลตัวเองในเรื่องใดเลย นั่นอาจเป็นสัญญาณของการเริ่มส่งผลต่อการมีปัญหาทางสุขภาพจิต 

3 สิ่งที่เป็นสิ่งเราควรสังเกตว่า เรามีผลกระทบจากการ Work Form Home มีผลกระทบต่อชีวิตประจำวันของเราแล้วหรือยัง  ซึ่งเหล่านี้อาจเป็นผลที่มาจากความเหนื่อยล้าของจิตใจ ความวิตกกังวลกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้นในปัจจุบัน การทำงานอยู่บนความไม่รู้อนาคต เป็นความกลัวที่ทุกคนจะต้องยอมรับให้ได้ก่อนว่า มีความกลัวและกังวลเรื่องงาน  แต่ทำอะไรไม่ได้ ไม่สามารถรู้สถานการณ์ที่จะเกิดขึ้น จึงควรปรับมาให้ความสำคัญในสิ่งที่เรายังสามารถควบคุมได้ พยายามมองในเรื่องที่บวก เพื่อให้ประสิทธิภาพการทำงานดีขึ้น และต้องยอมรับว่า การคิดแต่แง่ลบ จะส่งผลร้ายให้ตนเอง 

เลือกสี “ลิปสติก” ตามวันเกิด เสริมดวง เสริมความโชคดี #SootinClaimon.Com

#SootinClaimon.Com : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์คมชัดลึก

https://www.komchadluek.net/news/lifestyle/473641

เลือกสี “ลิปสติก” ตามวันเกิด เสริมดวง เสริมความโชคดี

9 กรกฎาคม 2564 – 18:39 น.

ผู้หญิงทุกคนต้องมี “ลิปสติก” มากกว่า 1 แท่งอย่างแน่นอน เพราะ “ลิปสติก” เป็นเครื่องสำอางที่ผู้หญิงหลายคนขาดไม่ได้ ช่วยแต่งเติมเรียวปากให้มีสีสัน เสริมบุคลิกในด้านต่างๆ ผู้หญิงมักใช้ “ลิปสติก” สีไม่ซ้ำกัน

แต่ “ลิปสติก” ไม่ได้มาเพิ่มความสวยกับปากของเราอย่างเดียว เพราะว่าหากทาสี “ลิปสติก” ที่ถูกโฉลกกับวันเกิด ก็จะช่วยเสริมดวง สร้างเสน่ห์ ทำให้มีความมั่นใจในการเปิดรับโอกาสใหม่ๆ เข้ามา ทั้งความโชคดี และ มีโชคลาภได้

การเลือกสี “ลิปสติก” เสริมดวง นอกจากจะได้ไอเดียสี “ลิปสติก” ในแต่ละวันแล้ว ยังเพิ่มความมั่นใจให้สาวๆ ได้อีกด้วย สาวๆสายมูต้องลองทำดูเพื่อความปังทั้ง สีปาก และ ปังทั้งดวง สาวที่เกิดวันไหน ต้องใช้ลิปสติก สีอะไร ตามมาดูกันได้เลย

1. “ผู้หญิงที่เกิดวันจันทร์” ควรทา “ลิปสติก” สีชมพู – สีนู้ด  คนที่เกิดวันจันทร์มีบุคลิกภาพที่อ่อนหวาน อ่อนโยน แต่มักโมโหร้าย หายเร็ว มีการแต่งตัวที่ดี  มีนิสัยที่สุขุม รอบคอบ และ มีความอดทน ช่างคิด ช่างฝัน ดังนั้น “ลิปสติก” สีชมพูหรือสีนู้ด จะเข้ากับบุคลิกภาพของคนที่เกิดวันจันทร์ จะช่วยเสริมความน่ามองมากยิ่งขึ้น

2.  “ผู้หญิงที่เกิดวันอังคาร” ควรทา “ลิปสติก” สีส้ม คนที่เกิดวันอังคาร แม้ภายนอกจะดูอ่อนแอ แต่จริงๆ แล้วเป็นคนสู้ไม่ถอย ดื้อและจริงจัง แต่เมื่อถึงคราวจะใจอ่อน ก็มักให้อภัยคนง่ายๆ การทาลิปสีโทนส้มน่ารักๆ จะช่วยให้คนเกิดวันนี้ดูอ่อนโยน และ เป็นมิตรมากขึ้น 

3.  “ผู้หญิงที่เกิดวันพุธ” ควรทา “ลิปสติก” สีชมพูอมม่วง คนที่เกิดวันพุธ มักจะเป็นคนที่มีมนุษยสัมพันธ์ที่เข้ากับคนอื่นได้ง่าย มักใช้วาจาที่เข้าหาคนได้เป็นอย่างดี มีสติปัญญาที่ยอดเยี่ยม ฉลาด ปรับตัวได้เข้ากับทุกสถานการณ์ และ รักการอ่าน อ่านใจคนเก่ง “ลิปสติก” โทนสีชมพูอมม่วง จะช่วยเสริมลุคให้ดูน่าดึงดูด น่าพูดคุย

4.  “ผู้หญิงที่เกิดวันพฤหัสบดี” ควรทา “ลิปสติก” สีนู้ด – สีนู้ดส้ม คนเกิดวันพฤหัสบดี เป็นคนอดทน จิตใจเข้มแข็ง แต่ลึกๆ แล้วต้องการความใส่ใจจากคนรอบข้าง แต่ข้อเสียคือไม่ค่อยรับฟังความเห็นผู้อื่น สีลิปสติกโทนนู้ดอมส้ม จะเสริมลุคให้คุณดูสดใส ร่าเริง และ อ่อนหวาน

5.  “ผู้หญิงที่เกิดวันศุกร์” ควรทา “ลิปสติกสี” ชมพูเข้ม คนที่เกิดวันศุกร์เป็นคนที่รักสวยรักงาม มีน้ำใจกับทุกคน มีความนอบน้อม อ่อนโยน ขยัน มีรสนิยมการแต่งตัวที่สูง ขยันทำงาน ไม่เคยเอาเปรียบใคร รู้จักอดออม ลิปสติกสีชมพู จะช่วยเสริมลุคให้ดูหวานแบบมีเสน่ห์ไม่น่าเบื่อ

6.  “ผู้หญิงที่เกิดวันเสาร์” ควรทาลิปสติกสีน้ำตาลนู้ด – สีอิฐ คนเกิดวันเสาร์ มีความรับผิดชอบสูง บุคลิกโตเกินวัย เป็นคนตรงไปตรงมา จนบางครั้งก็โผงผาง ไม่หลงเชื่อคนง่ายๆ มีความสามารถในการบริหารจัดการ ทำให้ได้เป็นผู้นำในด้านต่างๆ สีลิปโทนอิฐและน้ำตาลอ่อน จะเสริมลุคความเป็นผู้ใหญ่ แต่ก็แฝงความอ่อนหวานไว้

7. “ผู้หญิงที่เกิดวันอาทิตย์” ควรทา “ลิปสติก” สีแดง  คนที่เกิดวันอาทิตย์ ค่อนข้างเป็นคนใจร้อน แต่ก็มีเสน่ห์ จุดเด่นคือมีความคิดสร้างสรรค์ ชอบความท้าทายทั้งเรื่องงาน และ ความรัก การทาลิปสติกสีแดงจะช่วยเสริมความมั่นใจ เสริมโชคด้านการงาน มีเสน่ห์ในการโน้มน้าวคนฟัง

“5 อาชีพ” ดาวรุ่งในยุค “โควิด-19” #SootinClaimon.Com

#SootinClaimon.Com : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์คมชัดลึก

https://www.komchadluek.net/news/lifestyle/473643

“5 อาชีพ” ดาวรุ่งในยุค”โควิด-19″

9 กรกฎาคม 2564 – 18:38 น.

ในขณะที่วิกฤตของการแพร่ระบาดของโรค”โควิด-19″ กำลังถาโถมเข้ามาอย่างต่อเนื่องและยาวนาน หลายอาชีพ ได้รับผลกระทบอย่างรุนแรง แต่ในวิกฤตยังมีโอกาส ดร. ศุภสัณห์ ปรีดาวิภาต ม.หอการค้าไทย ทำการจัดลำดับ “5 อาชีพ” ดาวรุ่ง ที่มาแรงแซงทุกวิกฤต

สถานการณ์แพร่ระบาดโควิด-19 ส่งผลกระทบให้กับทุกคนไปในวงกว้าง หลายบริษัทต้องปิดตัวลง หลายอาชีพต้องตกงาน แต่ในวิกฤตก็ยังมีโอกาสเสมอ แม้ว่าสภาวะเศรษฐกิจที่ซบเซานี้ทำให้หลายอาชีพหมดโอกาสในการทำงาน แต่บางอาชีพกลับเป็นที่ต้องการอย่างมาก  ดร. ศุภสัณห์ ปรีดาวิภาต รองคณบดีฝ่ายกิจการนักศึกษา คณะบริหารธุรกิจ ม.หอการค้าไทย จัดลำดับ 5 อาชีพ ดาวรุ่งในช่วงวิกฤต ดังนี้

นักการตลาดดิจิทัล  ปฏิเสธไม่ได้ว่าในยุคโควิด-19 ทำให้ผู้บริโภคนิยมซื้อสินค้าผ่านช่องทางออนไลน์กันมากขึ้น จากความจริงที่ว่านี้ ทำให้ผู้ประกอบการต้องปรับตัวให้สินค้าและบริการของตนเองขึ้นสู่แพลทฟอร์มออนไลน์ต่าง ๆ แต่ผู้ประกอบการอีกมากมายยังขาดองค์ความรู้และบุคลากรที่มีความชำนาญในการตลาดดิจิทัล ซึ่งงานที่เกี่ยวกับการตลาดดิจทัลประกอบไปด้วยการตลาดเฉพาะทางด้านต่าง ๆ เช่น การโฆษณา การสร้างแบรนด์ การเขียนคอนเทนต์ การรีวิวเพื่อโปรโมทสินค้าและบริการ เป็นต้น 

อาชีพในกลุ่มโลจิสติกส์ เมื่อการขายสินค้าออนไลน์เป็นทางรอดของผู้ประกอบการยุคใหม่ ประกอบกับไลฟ์สไตล์ของคนที่หลีกเลี่ยงการไปสถานที่แออัด ทำให้อาชีพที่เกี่ยวกับการบริหารงานขนส่งกลายเป็นสิ่งจำเป็นในยุคโควิด-19 เช่น ผู้บริหารคลังสินค้า พนักงานตรวจนับสินค้า พนักงานขับรถโฟลค์ลิฟท์/รถบรรทุก เป็นต้น ทั้งนี้ยังรวมไปถึงอาชีพที่ให้บริการด้านโลจิสติกส์ก็เป็นอาชีพดาวรุ่งที่เติบโตไปพร้อมกับการขายสินค้าออนไลน์เช่นกัน เช่น การรับบริการแพคสินค้า งานบริการขนส่ง ไรเดอร์ เป็นต้น  

การสอนออนไลน์และติวเตอร์ออนไลน์  การเรียนรูปแบบออนไลน์หรือ E-Learning กลายเป็นรูปแบบการเรียนรู้แห่งยุคอนาคต และสามารถทำเป็นอาชีพเสริมสร้างรายได้ได้เป็นกอบเป็นกำ ทั้งนี้ก็เพราะว่าแม้ในช่วงโควิด-19 ที่ไม่สามารถไปสถานศึกษาหรือโรงเรียนกวดวิชาได้ แต่น้อง ๆ นักเรียนก็ต้องเรียนและเตรียมตัวสอบ การเรียนออนไลน์จึงตอบโจทย์ปัญหาในยุคโควิดได้เป็นอย่างดี อีกเหตุผลที่สำคัญก็คือ การทำงานที่บ้าน (Work from home) ทำให้คนมีเวลามากขึ้นเพราะไม่ต้องเสียเวลาเดินทาง จึงทำให้คนหันมาพัฒนาตนเองด้านต่าง ๆ ผ่านบริการเรียนการสอนรูปแบบออนไลน์มากขึ้น เช่น เทรนเนอร์ออนไลน์ การลงทุนในหุ้น การทำอาหาร การเรียนภาษา เป็นต้น

อาชีพในกลุ่มเทคโนโลยีสารสนเทศ เมื่อทุกองค์กรต้องปรับตัวให้เข้ากับการทำงานในรูปแบบการทำงานที่บ้าน (Work from home) เพื่อให้สามารถทำงานที่ไหนก็ได้องค์กรต่าง ๆ จึงต้องลงทุนในอุปกรณ์และเทคโนโลยีสำหรับรองรับรูปแบบการทำงานที่เปลี่ยนไป เพื่อให้การทำงานที่บ้านมีความพร้อมเสมือนนั่งทำงานในออฟฟิส อาชีพที่เกี่ยวข้องกับเทคโนโลยีสารสนเทศจึงเป็นที่ต้องการอย่างมาก เช่น IT Helpdesk และ Programmer เป็นต้น

ประกันสุขภาพและประกันชีวิต แนวคิดด้านการป้องกันความเสี่ยงได้รับการยอมรับจากคนไทยมากขึ้นตั้งแต่ก่อนยุคโควิด-19 แต่สถานการณ์ที่ไม่ปกตินี้ยิ่งกระตุ้นให้คนหันมาซื้อประกันกันมากขึ้น ประกอบกับค่ารักษาพยาบาลก็ปรับตัวสูงขึ้นทุกปี อาชีพนายหน้าขายประกันและธุรกิจเกี่ยวกับประกันภัยจึงกลายเป็นอีกหนึ่งดาวรุ่งในยุคโควิด-19 อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

โควิด-19 ส่งผลให้หลายคนเกิดปัญหา ขอเป็นกำลังใจให้กับทุกคน และเราจะผ่านปัญหาครั้งนี้ไปด้วยกัน

ที่มา มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย

เช็กอาการ “ภาวะสมองล้า” กับสาเหตุที่เกิด และวิธีรักษา #SootinClaimon.Com

#SootinClaimon.Com : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์คมชัดลึก

https://www.komchadluek.net/news/lifestyle/473629

เช็กอาการ “ภาวะสมองล้า” กับสาเหตุที่เกิด และวิธีรักษา

9 กรกฎาคม 2564 – 17:41 น.

เมื่อ “สมอง” ถูกใช้งานอย่างหนักต่อเนื่องเป็นเวลานาน จะทำให้ระบบประสาทเสียสมดุล จนเกิด “ภาวะสมองล้า” เช็กเลยอาการที่ต้องสังเกตมีอะไรบ้าง

เมื่อ “สมอง” ถูกใช้งานอย่างหนักต่อเนื่องเป็นเวลานาน จะทำให้ระบบประสาทเสียสมดุล จนเกิด “ภาวะสมองล้า” (Brain Fog Syndrome) หากเป็นบ่อยอาจส่งผลต่อสุขภาพในระยะยาว

ภาวะสมองล้า (Brain Fog Syndrome) คือ ภาวะเครียดโดยไม่รู้ตัวจากการที่สมองถูกใช้งานอย่างหนักเป็นระยะเวลานาน ซึ่งอาจเกิดจากความเร่งรีบที่จะทำงานให้เสร็จ การพักผ่อนน้อย หรือการทำงานอยู่หน้าจอคอมพิวเตอร์นานเกินไป ทำให้สารสื่อประสาทในสมองซึ่งเป็นสารเคมีที่ทำหน้าที่เชื่อมต่อข้อมูลสัญญาณไฟฟ้าระหว่างเซลล์ของระบบประสาทเสียสมดุล ประสิทธิภาพการทำงานของสมองจึงแย่ลง หากเกิดบ่อยครั้งจะกลายเป็นสาเหตุของโรคต่าง ๆ มากมาย เช่น โรคกระเพาะ, โรคอ้วน, ภาวะประจำเดือนมาไม่ปกติ, โรคเบาหวาน ฯลฯ

-สาเหตุของภาวะสมองล้า คือ คลื่นแม่เหล็ก จากการใช้งานคอมพิวเตอร์ โทรศัพท์ แท็บแล็ตมากเกินไป รบกวนการหลั่งสารสื่อประสาทในสมอง

-ความเครียด ทำให้การไหลเวียนเลือดไปเลี้ยงสมองลดลง เกิดอาการมึนงง ความจำแย่ลง

-นอนดึก นอนไม่เพียงพอ ขาดการออกกำลังกาย

-ขาดสารอาหาร อาทิ กรดอะมิโน วิตามิน เกลือแร่ และสารต้านอนุมูลอิสระต่าง ๆ 

-สารพิษในชีวิตประจำวัน เช่น มลภาวะ สารเคมี โลหะหนัก ยาฆ่าแมลงที่ปนเปื้อนในอากาศ น้ำ และอาหาร

อาการเตือนของ “ภาวะสมองล้า” มีดังนี้ นอนไม่หลับ ปวดศีรษะเรื้อรัง สายตาอ่อนเพลีย จัดการหรือแก้ไขปัญหาต่าง ๆ ได้ไม่ดีเหมือนก่อน อารมณ์แปรปรวน หงุดหงิดง่าย ขี้หลงขี้ลืม ความจำระยะสั้นแย่ลง สมาธิในการทำงานลดลง ความคิดสร้างสรรค์ที่เคยมีหายไป ไม่สดชื่น

สำหรับวิธีรักษาภาวะสมองล้า คือ ควบคุมการใช้เทคโนโลยีในเวลาที่เหมาะสม ไม่นานจนเกินไปหรือตลอดทั้งวัน ควรหยุดพักบ้างเป็นระยะ คิดบวก มองโลกในแง่ดี มีอารมณ์ขัน ไม่เครียด ทานอาหารที่มีประโยชน์ช่วยบำรุงสมอง
นอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอวันละ 7-8 ชั่วโมง และควรนอนในเวลา 4 ทุ่มไม่เกินเที่ยงคืน ออกกำลังกายสม่ำเสมอ เพราะช่วยให้สุขภาพสมองแข็งแรง เลี่ยงเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ การสูบบุหรี่ และไม่ดื่มกาแฟในช่วงเย็นเพราะอาจรบกวนการนอนหลับ ท่องเที่ยวธรรมชาติเพื่อผ่อนคลายและได้สูดออกซิเจนให้เต็มปอด ช่วยเติมพลังชีวิตได้ดี

ส่วนสารอาหารที่ช่วยบำรุงสมองก็คือ น้ำมันปลา (Fish Oil), สารสกัดจากแปะก๊วย (Ginkgo Biloba Extract), โคลีน (Choline Bitartrate), สารสกัดจมูกข้าว (Gamma Oryzanol), ธีอะนีน (L – Theanine), ฟอสฟาติดิลซีรีน (Phosphatidylserine), อิโนซิทอล (Inositol), สารสกัดจากโสม (Ginseng Extract), ซอยเลซิทิน (Soy Lecithin), แอลคาร์นิทีน แอลทาร์เทรต (L-Carnitine L-Tartrate), วิตามินซี วิตามินเอ วิตามินอี และวิตามินบี

ข้อมูลจาก bangkokhospital

7 ข้อควรปฏิบัติ เสริมศักยภาพการทำงาน “Work Form Home” เพิ่มภูมิคุ้มกันด้านจิตใจช่วงโควิด-19 #SootinClaimon.Com

#SootinClaimon.Com : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์คมชัดลึก

https://www.komchadluek.net/news/lifestyle/473618

7 ข้อควรปฏิบัติ เสริมศักยภาพการทำงาน “Work Form Home” เพิ่มภูมิคุ้มกันด้านจิตใจช่วงโควิด-19

9 กรกฎาคม 2564 – 16:42 น.

หมอวรตม์ ชี้ 7 ขอควรปฏิบัติในการทำงาน ” Work Form Home” ให้เกิดประสิทธิภาพ เสริมสร้างภูมิคุ้มกันด้านจิตใจ ก่อนนำไปสู่ปัญหาด้านสุขภาพจิต ช่วง “โควิด-19”

การแพร่ระบาดของ โควิด-19 ที่ยาวนาน หลายหน่วยงานมีนโบายให้work from home มาตั้งแต่การแพร่ระบาดรอบแรก หลายคนเริ่มเกิดอาการเครียด เนื่องจากทำงานที่บ้านเป็นระยะเวลา ซึ่งอาจจะส่งผลต่อสุขภาพจิตได้  

ดร.นพ. วรตม์ โชติพิทยสุนนท์ โฆษกกรมสุขภาพจิต ให้ข้อสังเกต ถึงความผิดปกติที่เกิดทางจิตใจ ที่อาจจะมีผลต่อสุขภาพจิต จากการทำงานที่บ้านหรือ Work Form Home ว่าคนที่  Work Form Homeหากมองในแง่บวก ณ.ตอนนี้แสดงว่ายังมีงานทำ ดังนั้นสิ่งที่ เราควรโฟกัส คือสุขภาพกายและสุขภาพจิตต้องดี  ซึ่งเป็นเรื่องสำคัญที่สุด หลายคนยังไม่ยอมรับว่าการ  Work Form Homeจะส่งผลให้สุขภาพเปลี่ยนแปลงไป หรือเพิกเฉยจนเกิดเหตุการณ์ขึ้นก่อน ถึงจะรู้สึกว่ามีการเปลี่ยนแปลงไป มีผลการวิจัยออกมาจำนวนมาก ว่าการ Work Form Home ไม่ใช่เรื่องง่ายสำหรับคนที่ไม่เคยทำมาก่อน สิ่งแรกที่ควรทำคือการตระหนักว่าอาจจะเกิดปัญหาขึ้นได้ 

เนื่องจากการ Work Form Home เป็นสภาพแวดล้อมที่คนส่วนใหญ่ไม่คุ้นชินมากนัก จึงจำเป็นที่จะต้องปรับให้สภาพแวดล้อมใกล้เคียงกับที่ทำงานมากที่สุด 
เหมือนที่เราเคยคุ้นชิน เพื่อทำให้การ Work Form Home ของเรามีประสิทธิภาพ โดยมีข้อที่ควรปฏิบัติดังนี้
-การทำกิจวัตรประจำวันในตอนเช้า ให้เหมือนออกไปทำงาน เช่น การอาบน้ำ ให้ร่างายสดชื่น 
-ไม่เอางานไปทำบนเตียง ทำให้การทำงานกับการใช้ชีวิตรวมกันไปหมด ส่งผลให้ทำงานได้อย่างไม่มีประสิทธิภาพ 
-จัดพื้นที่เหมาะสมในการทำงาน เช่น มีโต๊ะทำงานที่เหมาะสม 
-จัดสรรเวลาการกินอาหารให้เป็นเวลา ให้เหมือนตอนทำงานที่ออฟิตปกติ 
-เลิกงานให้เป็นเวลา เหมือนทำงานที่ออฟฟิต 
-หาเวลาในการออกำลังในบ้าน ที่เราพอสามารถทำได้ เพื่อเพิ่มการเคลื่อนไหวในชีวิตประจำวัน เพื่อคงสภาพร่างกายไว้ 
-หมั่นสำรวจใจตัวเองตลอดเวลา เนื่องจาการ Work Form Home ทำให้การติดต่อปฏิสัมพันธ์กับคนอื่น หรือเพื่อนร่วมงานลดลง อาจเป็นผลให้เกิดเป็นความเครียดแบบไม่รู้ตัว 

ทั้งนี้แต่ละคนมีภูมิต้านทานและความยืดหยุ่นในใจเรื่องการ  Work Form Home ที่ไม่เท่ากัน จึงไม่สามารถบอกได้ชัดว่าทุกคนจะมีอาการที่ผิดปกติท่งสุขภาพจิตทั้งหมด แต่ความเสี่ยงที่เกิดจะไม่แตกต่างจากโรคที่เกิดจากความเครียดทั่วไป โดยการ Work Form Home ที่ทำให้เกิดความเครียดมาก ๆ อาจจะพัฒนาเป็น

 โรควิตกกังวลได้ เช่น การไม่ได้ติดต่อเพื่อนร่วมงาน การทำงานที่ไม่มีประสิทธิภาพ ส่งผลให้เกิดความกังวล ทำให้รู้สึกถึงความยากลำบากในการทำงาน ปัญหาการนอน ที่เกิดจากการการทำงานไม่เป็นเวลา การเอางานไปทำในที่นอน หากการนอนไม่ดี สิ่งที่ตามมาคือปัญหาทางสุขภาพจิตตามมา เช่น โรควิตกกังวล โรคซึมเศร้า ที่อาจมาจากการนอนที่ไม่มีประสิทธิภาพเพียงพอ หรือแม้แต่การไม่ได้ออกกำลังกาย ไม่ได้ออกไปพักผ่อนก็อาจนำไปสู่โรคเหล่านี้ได้เช่นกัน   

แนะนำ 5 “อาหาร” “เมนูเส้น” สำหรับสายเฮลท์ตี้ #SootinClaimon.Com

#SootinClaimon.Com : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์คมชัดลึก

https://www.komchadluek.net/news/lifestyle/473611

แนะนำ 5 “อาหาร” “เมนูเส้น” สำหรับสายเฮลท์ตี้

9 กรกฎาคม 2564 – 16:01 น.

แนะนำ 5 “อาหาร” “เมนูเส้น” สำหรับสายเฮลท์ตี้ เลือกกินเมนูเส้นแบบไหนให้ร่างกายไม่ขาดสารอาหาร

เลือกกินเมนูเส้นแบบไหน สำหรับสายเฮลท์ตี้ ในชีวิตประจำวันของคนเรานั้น พลังงานที่เพียงพอกับความต้องการต่อวัน ขณะที่อาหารประเภทเส้น นั้นหลายคนชอบกินเป็นอาหารหลัก โดยเฉพาะหนุ่มๆ สาวๆ สายสุขภาพที่ต้องการควบคุมน้ำหนัก 

ข้อมูลจากสำนักงานอาหารและยา ระบุว่า เพศชายวัยรุ่น วัยทำงาน ต้องการพลังงานอยู่ที่ 2,000 กิโลแคลอรี่/วัน ในขณะที่คุณผู้หญิงวัยทำงานหรือผู้ที่มีอายุ 60 ปีขึ้นไปนั้น ความต้องการพลังงานอยู่ที่ 1,600 กิโลแคลอรี่/วัน 

วันนี้จะพาไปหาคำตอบว่า เมนูอาหารประเภทเส้นแต่ละชนิดให้พลังงานมากแค่ไหน และสายเฮลท์ตี้หรือสายสุขภาพ ต้องกินอาหารอย่างไร

หากเทียบเส้นที่ผลิตจากแป้งในรูปแบบเส้นลักษณะที่นำมาบริโภคและปริมาณที่รับประทานกันทั่วไป มีดังต่อไปนี้

  • ขนมจีน 106 กิโลแคลอรี่ (พลังงานต่อ 100 กรัม)
  • เส้นหมี่แช่น้ำ จากเส้นแห้ง 47 กรัม ให้พลังงาน 168 กิโลแคลอรี่
  • วุ้นเส้นแช่น้ำ จากเส้นแห้ง 47 กรัม ให้พลังงาน 172 กิโลแคลอรี่
  • เส้นเล็กสด 220 กิโลแคลอรี่ (พลังงานต่อ 100 กรัม)
  • บะหมี่เหลือง 298 กิโลแคลอรี่ (พลังงานต่อ 100 กรัม)

สำหรับผู้ที่ต้องควบคุมน้ำหนักแนะนำให้เลือกรับประทาน ขนมจีน เส้นหมี่ขาว และวุ้นเส้น อย่างไรก็ตาม สามารถเลือกรับประทานเส้นที่ชอบได้ แต่ในปริมาณที่เหมาะสม โดยมีการรับประทานอาหารชนิดอื่นร่วมด้วยเพื่อให้ได้สารอาหารที่ครบ 5 หมู่ 

คำแนะนำวิธีเลือกซื้อวุ้นเส้น 

  • บรรจุภัณฑ์ต้องสมบูรณ์ไม่มีรูรั่วหรือฉีกขาด 
  • อ่านฉลาก 
  • สังเกตเครื่องหมาย อย. ก่อนซื้อทุกครั้ง

ขอบคุณข้อมูลประกอบจาก สำนักงานอาหารและยา

เทคนิคจัดการ “ความเครียด” #SootinClaimon.Com

#SootinClaimon.Com : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์คมชัดลึก

https://www.komchadluek.net/news/lifestyle/473604

เทคนิคจัดการ “ความเครียด”

9 กรกฎาคม 2564 – 15:05 น.

เทคนิคจัดการ “ความเครียด” รับมือโควิด-19 ไม่ให้ป่วยทางใจ

สถานการณ์การระบาดของเชื้อโควิด-19 ทำเอาหลายคนไม่ว่าจะเป็นบุคลากรทางแพทย์ หรือแม้แต่ประชาชนคนธรรมดาอย่างเราๆ ต่างเกิดความเครียดไปตามๆกัน สภาวะเช่นนี้ ย่อมไม่ส่งผลดีกับตัวเราแน่นอน แต่จะมีวิธีไหนที่จะช่วยให้เราก้าวข้ามความเครียดที่เกิดขึ้นนี้ได้ พญ. อภิสมัย ศรีรังสรรค์  จิตแพทย์   ผู้ช่วยโฆษกศูนย์บริหารสถานการณ์โควิด-19 (ศบค.) มีคำแนะนำในการจัดการกับความเครียดดังนี้ 

  •  ต้องรู้จักวิธีรับมือกับสถานการณ์โควิด-19  อย่างเข้าใจ  อย่าทำให้สถานการณ์เลวร้ายลง ความเครียดระยะยาวอาจทำให้เกิดภาวะท้อถอย หมดหวัง นำไปสู่การตัดสินใจที่ผิดพลาดได้ง่าย ระหว่างนี้จึงไม่ควรมีการตัดสินใจในเรื่องใหญ่ ๆ ทั้งสิ้น เพียงประคับประคองให้ผ่านสถานการณ์แต่ละวัน รักษาตัวให้ดี ระวังอย่าให้ติดเชื้อโควิด-19 
  • ติดตามข่าวสารเท่าที่จำเป็น เลือกรับข่าวสารจากแหล่งข่าวที่เชื่อถือได้ – ปฏิบัติตามคำแนะนำจากกระทรวงสาธารณสุขอย่างเคร่งครัด – ตรวจสอบอาการทางร่างกาย จิตใจ และอารมณ์ ของตัวเองสม่ำเสมอ เฝ้าระวังอาการซึมเศร้า การนอนที่ผิดปกติ การดื่มแอลกอฮอล์มากขึ้น หากมีอาการเหล่านี้จนถึงขั้นกระทบศักยภาพ หน้าที่การงาน หรือความสัมพันธ์ ควรพบแพทย์โดยเร็ว
  • ใช้ชีวิตอย่างปกติและมีคุณค่า แม้อยู่ในสถานการณ์ที่ไม่ปกติ เราก็จำเป็นต้องดำเนินชีวิตให้เป็นปกติ แม้จะต้องหยุดงานกักตัวอยู่บ้าน 14 วันก็สามารถจัดการกิจวัตรแต่ละวันให้มีสุขภาพดีได้ อย่ามัวแต่จดจ่ออยู่กับข่าวจนป่วยทั้งใจและกาย 
  • ใช้ชีวิตให้ปกติ (Healthy Routine) นอนให้ปกติ  
  • เชื่อมต่อกับผู้คน แม้จะเจอเพื่อนฝูงผู้คนเหมือนเมื่อก่อนไม่ได้ แต่ยังสามารถเชื่อมต่อ พูดคุยปรึกษาหารือกันได้ โดยใช้เทคโนโลยีเชื่อมต่อถึงกัน หรือจะโทรหากัน การแยกตัวโดดเดี่ยวอาจทำให้ความเครียดมากขึ้น
  • หากิจกรรมทำอย่าให้ว่าง แม้จะ Work From Home ก็ควรทำตัวเหมือนปกติ ตื่นเช้า อาบน้ำ แต่งตัว ออกกำลังกาย ทำงานบ้าน การเคลื่อนไหวเป็นยาดี ป้องกันภาวะซึมเศร้า
  • ฝึกปรับทัศนคติ “อย่าตระหนก อย่ากังวล” ความรู้สึกแย่เหล่านี้เกิดขึ้นโดยอัตโนมัติ ยิ่งพยายามไม่คิด ความคิดจะเกิดขึ้นเอง วกวนอยู่แต่กับความรู้สึกลบ ๆ ตามหลักการ Cognitive Behavioral Therapy (CBT) วิธีจัดการสามารถทำได้ ดังนี้ 

– ทุกครั้งที่มีความรู้สึกแย่ ๆ เกิดขึ้น ต้องรู้สึกตัว ให้รู้ว่าวันนี้รู้สึกไม่ดี  ลองใช้เวลาสักวันละ 5 นาที สำรวจ ทบทวนความคิด ความรู้สึก หรือการตอบสนองทางร่างกาย หรือถ้าไม่แน่ใจลองถามคนรอบข้างและคนใกล้ชิดได้ 

– เมื่อรับรู้ถึงความรู้สึกลบ ไม่ต้องพยายามปรับให้เป็นบวก หลักสำคัญคือ การอยู่บนพื้นฐานความจริง อยู่แบบกลาง ๆ (Neutral)   แต่ละวันข่าวร้ายก็มีข่าวดีก็มีมาก เมื่อรู้สึกแล้วก็แค่รับรู้ว่ามันเป็นความรู้สึก ไม่ต้องไปหงุดหงิด  ผิดหวังในตัวเองว่าทำไมต้องเครียดขนาดนี้  การกดดันตัวเองเรียกว่า Worry About Worry คือ เกิดความรู้สึกไม่ดีขึ้นโดยธรรมชาติแล้วยังไปรู้สึกชอบใจหรือไม่ชอบใจกับความคิดหรือความรู้สึกนั้น ๆ ทำให้เสียพลังงานถึงสองต่อ

– ยอมรับว่าความผิดพลาด ความล้มเหลวเป็นสิ่งที่อาจจะหลีกเลี่ยงไม่ได้ ในสถานการณ์ที่ยากลำบาก เราต้องยอมรับว่า แม้เราพยายามอย่างเต็มที่ก็ยังอาจเกิดข้อผิดพลาด สิ่งที่เกิดขึ้นเหล่านี้ไม่ใช่ความผิดของใครคนใดคนหนึ่ง ไม่ใช่เวลาที่จะมาตำหนิตัวเอง หรือสำรวจว่าใครบกพร่อง ณ เวลานี้ทุกคนต้องการกำลังใจ แม้ผลลัพธ์จะออกมาอย่างไร เราจะไม่เสียดาย เพราะเราตระหนักว่าในสถานการณ์ที่ข้อจำกัดต่าง ๆ มีมากมาย เราได้พยายามอย่างดีที่สุดแล้ว

– Mindfulness  ช้าลงช่วยให้เร็วขึ้น เหตุการณ์นี้ยังคงจะดำเนินไปอีกสักระยะใหญ่  เมื่อรู้ว่าจะต้องรับมือกับความเครียดระยะยาว เราต้องประคับประคองไปเรื่อย ๆ ใช้ชีวิตให้ช้าลงสักนิด ลองฝึกที่จะจดจ่ออยู่กับวินาทีที่เป็นปัจจุบัน นั่นคือช่วงที่ Mind ได้รับการบำบัด Take A Break หยุดทั้งความคิดลบและบวก ทั้งความรู้สึกดี ความรู้สึกแย่ก็ไม่เกิด เทคนิคนี้เรียกว่า Mindfulness ฝึกให้ได้วันละนิดเมื่อนึกได้ เมื่อ Mind ได้พักเติมพลังเป็นระยะ ๆ จะมีเรี่ยวแรงออกไปสู้รบกับสถานการณ์ยาก ๆ ได้ใหม่ เสมือนเป็นการเก็บกวาดขยะความคิด ความรู้สึกออกเป็นพัก ๆ จะได้มีที่ไว้รองรับความคิดแย่ ๆ ความรู้สึกลบ ๆ ที่จะกลับมาใหม่ทุก ๆ วัน

– Sharing is Caring คงความสัมพันธ์ไว้ให้มั่น แม้จะห่างกายตามนโยบาย Social Distancing แต่ไม่จำเป็นต้องห่างกัน สามารถโทรคุยกัน หรือจะ Vdo Call ให้เห็นหน้ากันบ้าง พยายามอย่าคุยกันเรื่องโควิด-19  การที่เราต่างคนต่างมีความทุกข์ วิตกกังวล และได้มีพื้นที่ที่สามารถระบายออกมาได้บ้าง และยังได้รับการตอบสนองในลักษณะที่ทำให้เรารับรู้ได้ว่าเขาก็ลำบากเหมือนกัน การแลกเปลี่ยนแบ่งปัน (Sharing) ถือได้ว่าเป็นอาวุธอันสำคัญ การพูดจาโต้ตอบอย่างเข้าอกเข้าใจและเห็นอกเห็นใจซึ่งกันและกัน แม้จะไม่รู้จักกันเป็นการเยียวยา ช่วยให้มีความหวังและเกิดกำลังใจที่จะเดินหน้าร่วมสู้ไปด้วยกัน พลังของการพูด การหัวเราะ การให้กำลังใจเป็นยาสำคัญที่ทุกคนต้องการอย่างมากที่สุดในช่วงนี้

ที่มา  https://www.bangkokhospital.com

รู้จัก เชื้อดื้อยา CRE ในเด็ก อันตรายที่พ่อแม่ไม่ควรมองข้าม #SootinClaimon.Com

#SootinClaimon.Com : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์คมชัดลึก

https://www.komchadluek.net/news/lifestyle/473571

รู้จัก เชื้อดื้อยา CRE ในเด็ก อันตรายที่พ่อแม่ไม่ควรมองข้าม

9 กรกฎาคม 2564 – 12:37 น.

เชื้อดื้อยา CRE อันตรายสำหรับเด็ก โดยเชื้อดื้อยาสามารถอาศัยอยู่ในลำไส้ได้นาน 6-9 เดือน ส่งผลให้ก่อโรคอื่น ๆ ตามมา

เชื้อดื้อยา CRE (Carbapenem-Resistant-Enterobacteriaceae) เป็น “เชื้อแบคทีเรีย” กลุ่ม Enterobacteriaceae (แบคทีเรียแกรมลบทรงแท่งที่พบในลำไส้) ที่ดื้อต่อยากลุ่ม Carbapenem ซึ่งเป็นยาหลักที่ใช้ในการรักษาผู้ป่วยที่มีภาวะติดเชื้อ โดยเชื้อที่พบบ่อยได้แก่ Klebsiella pneumoniae, Escherichia Coli และ Enterobacter spp.

นายแพทย์วีรวุฒิ อิ่มสำราญ รองอธิบดีกรมการแพทย์ กล่าวว่า เชื้อดื้อยา หรือเชื้อแบคทีเรียดื้อยา มีสาเหตุสำคัญจากการใช้ยาปฏิชีวนะอย่างไม่ถูกวิธี ส่งผลให้เชื้อแบคทีเรียมีการปรับตัวและพัฒนาการดื้อยาจนไม่สามารถใช้ยาปฏิชีวนะที่มีอยู่เดิม จึงมีความจำเป็นที่จะต้องรักษาโดยการใช้ยาปฏิชีวนะที่มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น ซึ่งเป็นการเพิ่มความเสี่ยงต่อการแพ้ยาและอาจเกิดผลข้างเคียงรุนแรงได้ รวมทั้งยังส่งผลให้ผู้ป่วยนอนโรงพยาบาลนานยิ่งขึ้น ค่าใช้จ่ายในการรักษาพยาบาลเพิ่มสูงขึ้น หรือกรณีรุนแรงที่สุด คือ ไม่มียาปฏิชีวนะใดที่สามารถรักษาผู้ป่วยได้

นายแพทย์อดิศัย ภัตตาตั้ง ผู้อำนวยการสถาบันสุขภาพเด็กแห่งชาติมหาราชินี กล่าวเสริมว่า เชื้อดื้อยา CRE สามารถอาศัยอยู่ในลำไส้ได้นาน 6-9 เดือน ทำให้สามารถก่อโรคไปยังระบบอื่นของร่างกายและแพร่เชื้อไปยังบุคคลอื่นได้

โดยมักพบการดื้อยา เมื่อร่างกายของคนเรามีความอ่อนแอ หรือได้รับยาปฏิชีวนะเป็นเวลานาน ดังนั้น สิ่งสำคัญสำหรับการป้องกันการเกิดเชื้อดื้อยา CRE ในเด็ก คือ ดูแลบุตรหลานให้ได้รับยาปฏิชีวนะตามแพทย์สั่ง โดยไม่ซื้อยาปฏิชีวนะมารับประทานเอง เพื่อป้องกันการเกิดแบคทีเรียดื้อยา และเชื้อดื้อยา CRE สามารถแพร่กระจายเชื้อโดยการสัมผัส ผู้ดูแลผู้ป่วย ทั้งบุคลากรทางการแพทย์ ญาติ จึงควรหมั่นล้างมืออย่างเคร่งครัด และปฏิบัติตามมาตรการป้องกันและควบคุมการแพร่กระจายเชื้อดื้อยา CRE เมื่อพบอุบัติการณ์การในโรงพยาบาล

“ชาใบหม่อน” 8 สรรพคุณที่ดีต่อสุขภาพ #SootinClaimon.Com

#SootinClaimon.Com : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์คมชัดลึก

https://www.komchadluek.net/news/lifestyle/473556

“ชาใบหม่อน” 8 สรรพคุณที่ดีต่อสุขภาพ

9 กรกฎาคม 2564 – 10:42 น.

ในบรรดาเครื่องดื่มประเภทชา  ” ชาใบหม่อน”  จัดว่าเป็นชาอีกชนิดหนึ่ง ที่การบริโภคชาชนิดนี้ดีต่อสุขภาพ   เพราะมีส่วนต่อการป้องกัน โรคเบาหวาน ลดระดับน้ำตาลในเส้นเลือด ช่วยขจัดไขมันส่วนเกิน

ข้อมูลจากสารานุกรมเสรี วิกิพีเดีย ให้ความหมายของ  คุณลักษณะของ”ชาใบหม่อน” ที่มีการศึกษาเอาไว้ระหว่างสถาบันหม่อนไหมแห่งชาติเฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ (สมมช.), ร่วมกับสถาบันอาหารมหาวิทยาลัยมหิดล ,มหาวิทยาลัยขอนแก่น, มหาวิทยาลัยรังสิต, มหาวิทยาลัยนเรศวร และกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์  พบว่า “ใบหม่อน” มีกรดอะมิโนที่จำเป็นต่อร่างกายครบทุกชนิด

มีแคลเซียมสูง มีสารต้านอนุมูลอิสระที่สำคัญหลายชนิด เช่น เควอซิติน , แคมเฟอรอล, และ รูติน นอกจากนั้นยังพบว่า  “ ชาใบหม่อน”มีสารดีเอ็นเจ (1-deoxynojirimycin) มีสรรพคุณลดระดับน้ำตาลในเลือด มีสารกาบา (gamma amino-butyric acid) ลดความดันโลหิต มีสารกลุ่มฟายโตสเตอโรล (Phytosterol) ลดไขมันในเลือด

ในรายละเอียดที่เป็นสรรพคุณที่ร่างกายจะได้รับจากการดื่ม“ชาใบหม่อน” ประกอบด้วย 8 ด้าน ด้วยกัน

-ต้านโรคมะเร็ง     เหล็ก แคลเซียม สังกะสี เบต้าแคโรทีน และกรดแอสคอร์บิคเป็นสิ่งที่พบได้ในใบหม่อน แร่ธาตุและสารต้านอนุมูลอิสระเหล่านี้ ช่วยในการขจัดอนุมูลอิสระและช่วยลดโอกาสในการเกิดโรคมะเร็ง

– ลดระดับกลูโคสในเลือด   กรดแกลลิคที่อยู่ในใบหม่อน ช่วยลดระดับน้ำตาลในเลือดด้วยการปล่อยอินซูลินออกจากเซลล์ตับอ่อน คุณสมบัตินี้ทำให้เกิดประโยชน์ต่อผู้ป่วยที่เป็นโรคเบาหวาน ช่วยยับยั้งเอนไซม์ที่ย่อยสลายน้ำตาลจากลำไส้ น

– ลดคอเลสเตอรอล การดื่มชาใบหม่อนเป็นประจำอย่างต่อเนื่อง เป็นเวลา 3 เดือน สามารถช่วยลดระดับไตรกลีเซอไรด์และลดคอเลสเตอรอลลงได้ ป้องกันการจับตัวของลิ่มเลือด ป้องกันโรคหลอดเลือดหัวใจอุดตัน

– แก้หวัด    อาการเป็นหวัด ปวดศีรษะ ปวดตา ไอ มีไข้และเจ็บคอ การดื่มชาใบหม่อนอุ่นๆ จะช่วยลดการเจริญเติบโตของแบคทีเรีย บรรเทาอาการน้ำมูกไหลและคออักเสบ

– ดูแลสุขภาพดวงตา       ชาใบหม่อนมีปริมาณวิตามินเอสูง ช่วยดูแลและบรรเทาอาการเครียดของสายตา ป้องกันความเสื่อมของจอตา ช่วยให้วิสัยทัศน์ในการมองชัดเจนมากขึ้น

– ดูแลระบบเลือด ชาใบหม่อนช่วยเพิ่มการไหลเวียนของเลือดให้ทำงานอย่างมีประสิทธิภาพ ทำความสะอาดเลือด นอกจากนี้ยังช่วยทำความสะอาดตับและไต ป้องกันการอุดตันของเลือดและช่วยเพิ่มภูมิคุ้มกัน เสริมสร้างสมดุลของระบบเลือด

– ต้านการอักเสบ  มีการศึกษาพบว่าการอักเสบที่เกิดจากโรคเรื้องรัง สามารถดีขึ้นได้โดยการรับประทานชาใบหม่อนเป็นประจำอย่างต่อเนื่อง

– ดูแลระบบประสาท    แมกนีเซียมที่อยู่ในชาใบหม่อนนั้น มีประโยชน์ช่วยในการทำงานของระบบประสาท กล้ามเนื้อและหัวใจ อีกทั้งยังปรับสมดุลระดับน้ำตาลในเลือด และควบคุมความดันโลหิตให้เป็นปกติ

ผลข้างเคียงจากการดื่มชาใบหม่อน

– น้ำตาลในเลือดต่ำ การดื่มชาใบหม่อน อาจทำให้น้ำตาลในเลือดต่ำ และอาจเกิดอาการหิว ปวดศีรษะ วิงเวียน ตามัวและเหงื่อออกมาก

– การรับประทานยา ผู้ที่รับประทานยาเพื่อรักษาโรคเบาหวาน ควรหลีกเลี่ยงชาใบหม่อน หรือหากต้องการรับประทานชาควรปรึกษาแพทย์ก่อน

-ผู้ป่วยไตควรหลีกเลี่ยงชาใบหม่อน เนื่องจากมีโพแทสเซียมสูง อาจทำให้รู้สึกไม่สบายตัวได้

– ภูมิแพ้ การสัมผัสกับลำต้นหรือใบของต้นหม่อน อาจทำให้เกิดการะคายเคืองต่อผิวหนัง และหากสัมผัสแล้วเกิดอาการแพ้ อาจทำให้ชีพจรเต้นเร็ว หายใจลำบากหรือหายใจไม่ออก รวมถึงอาจมีอาการบวมของผิวหนัง ควรรีบไปพบแพทย์ เพื่อทำการรักษา

– ข้อห้าม ผู้ที่กำลังให้นมบุตร หรือตั้งครรภ์ไม่ควรดื่มชาใบหม่อน นอกจากนี้ผู้ที่ต้องเข้ารับการผ่าตัด ควรหลีกเลี่ยงการดื่มชาใบหม่อนก่อนเข้ารับการผ่าตัดเป็นเวลาอย่างน้อย 2 สัปดาห์

***ขอขอบคุณข้อมูลจาก 

https://www.roowai.com/