“9 ผักสวนครัว” ควรปลูกไว้ติดบ้าน #SootinClaimon.Com

#SootinClaimon.Com : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์คมชัดลึก

https://www.komchadluek.net/news/lifestyle/473451

” 9 ผักสวนครัว” ควรปลูกไว้ติดบ้าน

8 กรกฎาคม 2564 – 16:04 น.

“ผักสวนครัว” 9 ชนิด ที่ขอแนะนำให้ปลูกไว้ติดบ้าน ถึงแม้จะมีพื้นที่เพียงเล็กน้อย ก็สามารถปลูกได้ ยามใดที่ต้องการทำอาหารก็สามารถนำมาทำข้าวไม่ต้องเสียเงินซื้อให้สิ้นเปลือง

การปลูกผักสวนครัวไว้กินเองในยุคเศรษฐกิจฝืดเคืองแบบนี้ น่าจะเป็นอีกทางที่ช่วยให้เราลดค่าใช้จ่ายลงได้บ้างไม่มากก็น้อย ที่จริงแล้วบ้านเราตั้งแต่สมัยโบร่ำโบราณ ก็มีการปลูกผักสวนครัวไว้โดยรอบบริเวณบ้าน ขาดเหลืออะไรก็เลือกเก็บมาทำกับข้าวได้  แต่ด้วยยุคสมัยที่เปลี่ยนไป จากบ้านที่พื้นที่ปลูกผักสวนครัวได้ ผู้คนก็ขึ้นมาอยู่ตามตึก ตามคอนโดฯ มากขึ้น พื้นที่น้อยลง แต่ก็ไม่ใช่เรื่องยากถ้าเราคิดจะปลูกผักสวนครัวเหล่านี้ไว้บ้าง เราจึงได้รวบรวมผักสวนครัว 9 ชนิด ที่น่าจะปลูกไว้ติดบ้านนมาแนะนำเผื่อเป็นแนวทางถ้าจะเลือกมาปลูกไว้บ้าน

ผักสวนครัว 9 ชนิดที่ควรปลูกไว้ติดบ้าน ประกอบด้วย 

1. กะเพรา ผักยอดนิยม ยิ่งถ้ามีพื้นที่ปลูก รับรองว่า เมนูผัดกะเพรา ต้องกลายเป็นเมนูประจำบ้านไปอย่างแน่นอน  กะเพรา เป็นผักที่ขึ้นง่าย ไม่ต้องดูแลมาก ปลูกได้ในดินเกือบทุกชนิด ปลูกได้ทั้งกะเพราขาว กะเพราแดง

2.พริกขี้หนู อีกหนึ่งผักสวนครัว คู่ครัวไทย  มีหลายสายพันธุ์  การปลูก ก็ไม่ได้ยาก ส่วนใหญ่นิยมการหว่านเมล็ดลงในดิน แล้วรดน้ำให้ชุ่ม ไม่นานต้นพริกก็งอก นอกจากนี้ พริกขี้หนูยังเป็นพืชที่ทนแล้งได้ดี  แต่ก็มีเทคนิคที่ทำให้พริกลูกดกมี 2 วิธีคือ การแกล้งพริก  คือการปลูกแล้วให้ยอดพริกชี้ลงดิน และการเด็ดยอด  จะทำให้พริกแตกยอดอ่อนออกมามากขึ้น ซึ่งจะทำให้ได้พริกที่มีลูกดกมากขึ้น

3. ตะไคร้   เป็นพืชที่แตกหน่อ เติบโตง่าย น้ำท่วมไม่ตาย แต่แล้งหนักๆ ไม่ได้  ตะไคร้ มีประโยชน์ในการป้องกันหน้าดิน ปลูกไว้ข้างๆ บ่อกันการกัดเซาะของน้ำได้ดี ใบตะไคร้มีกลิ่นหอม นำมาเผาให้เกิดควันใช้ไล่ยุงได้อีกด้วย   การปลูกก็ไม่ยาก เอาหน่อตะไคร้ฝังดินไว้ ไม่ต้องลึกมาก รดน้ำให้ดินชุ่ม ไม่นานก็แตกหน่อออกมาเป็นกอ

4.มะเขือเทศ  พันธุ์ที่นิยมปลูกในบ้านคือมะเขือเทศสีดา นำมาทำอาหารได้หลากฟลายเมนู  การปลูกมะเขือเทศ ต้องให้น้ำสม่ำเสมอตั้งแต่เริ่มปลูกไปจนถึงเริ่มแก่ คือผลเริ่มเปลี่ยนสี หลังจากนั้นจึงลดการให้น้ำเพื่อป้องกันผลแตก

5. ตำลึง  ผักรั้ว มีคุณค่าทางโภชนาการสูง  โดยมากมักเห็นขึ้นเองตามธรรมชาติ ลูกตำลึง ผลอ่อนมีรสฝาด หากนำมาทำอาหารต้องแช่น้ำเกลือ ก่อนนำไปปรุงเป็นอาหาร ส่วนใหญ่จะเป็นการเชื่อม ส่วนผลสุกรับประทานได้ มีรสหวานอ่อนๆ

6. ถั่วพู  เป็นไม้เลื้อย หากมีค้างให้ก็สามารถเลื้อยไปได้ไกล ถั่วพู กินได้ทุกส่วนตั้งแต่ ยอดอ่อน ใบอ่อน ดอก ฝักอ่อน วิธีการปลูก ใช้เมล็ดแก่เพาะในถุงดำ หรือในกระบะเพาะชำ หรือถ้าจะปลูกลงดินเลย ก็ขุดหลุมกว้าง 1 ฟุต ลึก 1 ฟุต รองก้นหลุมด้วยปุ๋ยคอก เศษใบไม้ กาบมะพร้าวสับชิ้นเล็กๆ คลุกเคล้าให้เข้ากัน แล้วจึงหยอดเมล็ดลงไปหลุมละ 4-5 เมล็ด กลบดินบางๆ รดน้ำให้ชุ่มเช้า-เย็น  ประมาณ 10 วัน ต้นถั่วพู ก็จะงอกขึ้นมา ให้เราถอนแยก เลือกเอาต้นที่สมบูรณ์ไว้ 2 ต้น ต่อหลุม อายุได้ 15 วัน ก็หาไม้ไผ่มาทำค้างให้เลื้อย หากไม่มีที่พอ จะปลูกในกระถางก็ได้เช่นกัน หรือหากระถางไม่ได้แต่อยากปลูกจริงๆ

7. มะนาว เป็นพืชที่ปลูกได้ดีในดินเกือบทุกชนิด แต่ถ้าต้องการให้เจริญเติบโตและคุณภาพดี ควรปลูกในพื้นที่ที่เป็นดินร่วนซุย มีการระบายน้ำดี มีอินทรียวัตถุผสมอยู่มาก และควรเลือกพื้นที่ปลูกใกล้แหล่งน้ำ ส่วนใหญ่การปลูกมะนาว นิยมปลูกจากกิ่งตอน ดังนั้นกิ่งตอนก่อนที่จะนำมาปลูก ควรได้รับการชำเสียก่อน เพื่อให้กิ่งพันธุ์ตั้งตัวเจริญแข็งแรงพร้อมที่นำไปปลูกในหลุมที่เตรียมไว้

8. ต้นหอม  ผักกินใบที่นิยมนำมาประกอบอาหารแทบทุกเมนู ปลูกง่าย โตเร็ว ไม่ต้องดูแลยุ่งยาก สามารถปลูกได้ในกระถาง ไม่มีที่หรือสวนก็ปลูกได้ วิธีปลูกต้นหอม เริ่มจากเตรียมดินด้วยการพรวนดินให้ร่วน  นำเปลือกถั่วลิสงผสมกับดิน แล้วตักดินใส่กระถางโดยไม่ต้องกดดินให้แน่น ใช้มีดตัดต้นหอมเหนือราก 1.5-2 นิ้ว แล้วปักชำลงดิน โดยเว้นระยะห่าง จากนั้นรดน้ำพอให้ชุ่ม

9.ผักคะน้า สุดยอดผักในเมนูอาหารที่หลากหลาย อีกทั้งมีราคาค่อนข้างดี เป็นที่นิยมสูง ปลูกไว้ไม่เสียดายแน่นอน  การปลูกไม่ต้องขุดหลุมลึกมาก การปลูกคะน้าใช้วิธีหว่านเมล็ดลงในแปลงได้เลย วิธีการหว่านเมล็ดจะหว่านแบบกระจายทั่วทั้งแปลง หรือจะโรยเมล็ดแบบเรียงแถวก็ได้ การเลือกปลูกวิธีไหน ขึ้นอยู่กับความสะดวกของผู้ปลูกเอง เสร็จแล้วใช้ฟางหรือเศษใบไม้แห้งปิดคลุมทับหน้าดินเพื่อรักษาความชื้น ไม่นานต้นคะน้าก็จะแทงยอดอ่อนออกมาให้งอกงาม 

“ฉลากสินค้า” บอกอะไรกับเราบ้าง ความรู้ที่มักถูกมองข้าม #SootinClaimon.Com

#SootinClaimon.Com : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์คมชัดลึก

https://www.komchadluek.net/news/lifestyle/473454

“ฉลากสินค้า” บอกอะไรกับเราบ้าง ความรู้ที่มักถูกมองข้าม

8 กรกฎาคม 2564 – 15:32 น.

เชื่อได้เลยว่าหลายคนอาจจะมองข้าม “ฉลากสินค้า” ไม่ว่าจะเป็นนม ขนม อาหารต่างๆ ที่เราซื้อมาเป็นกล่องหรือเป็นห่อ 

เชื่อได้เลยว่าหลายคนอาจจะมองข้าม “ฉลากสินค้า” ไม่ว่าจะเป็นนม ขนม อาหารต่างๆ ที่เราซื้อมาเป็นกล่องหรือเป็นห่อ 

วันนี้จะพาไปดูว่า “ฉลากสินค้า” นั้นบอกอะไรกับเราบ้าง

ฉลากสินค้า หรือป้ายสินค้า คือ ข้อมูลที่แสดงรายละเอียดเกี่ยวกับสินค้า เพื่อให้ข้อมูลแก่ผู้บริโภค โดยจะมีข้อมูลสำคัญต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็น ปริมาณ ข้อมูลโภชนาการ หมายเลขทางการค้า เครื่องหมายรับรองต่าง ๆ  เป็นต้น 

ฉลากหรือป้ายสินค้า นิยมใช้กันมากกับสินค้าประเภทเครื่องใช้ไฟฟ้า เครื่องสำอาง อาหารและเครื่องดื่ม การติดฉลากไว้ที่บรรจุภัณฑ์อาหาร หรือเครื่องดื่ม จะทำให้ลูกค้าเห็นฉลากได้อย่างชัดเจน

ตามประกาศกระทรวงสาธารณสุข ฉบับที่ 194 เรื่องฉลากอาหาร พ.ศ.2543 ให้คำนิยามของฉลากอาหาร รูป รอยประดิษฐ์ เครื่องหมาย หรือข้อความใดๆ ที่แสดงไว้ที่อาหาร ภาชนะบรรจุ หรือหีบห่อของภาชนะที่บรรจุอาหาร (รวมถึงแผ่นพับและฉลากคอขวด) โดยกำหนดให้อาหารทุกชนิดที่ผู้ผลิตไม่ได้เป็นผู้ขายอาหารนั้นให้กับผู้บริโภคโดยตรงต้องแสดงฉลากบนภาชนะบรรจุ ข้อมูลที่แสดงบนฉลากอาหารนั้นสามารถจำแนกตามวัตถุประสงค์ได้เป็น 4 กลุ่ม ได้แก่

  1. ข้อมูลความปลอดภัย ประกอบด้วย วันที่ผลิต/หมดอายุ วิธีการเก็บรักษา วิธีปรุง คำเตือนต่างๆ (กรณีที่กฎหมายกำหนด)
  2. ข้อมูลความคุ้มค่า ประกอบด้วย ชื่อ/ประเภทของอาหาร ส่วนประกอบซึ่งเรียงลำดับตามปริมาณที่ใช้จากมากไปน้อย และปริมาณอาหาร (น้ำหนัก หรือปริมาตร) ในภาชนะบรรจุ
  3. ข้อมูลเพื่อการโฆษณา ได้แก่ รูปภาพและข้อความกล่าวอ้างต่างๆ
  4. ข้อมูลเพื่อแสดงความเชื่อมั่น ได้แก่ ยี่ห้ออาหาร ชื่อและที่อยู่ของผู้ผลิต ผู้จำหน่ายหรือผู้นำเข้า เครื่องหมาย อย. (กรณีที่กฎหมายกำหนด) และตราสัญลักษณ์ต่างๆ

แล้วฉลากบอกอะไรเราบ้าง

1.ข้อมูลทั่วไป 

– ชื่ออาหาร 

– ส่วนประกอบ

– น้ำหนักหรือปริมาตรสุทธิของอาหาร 

– วันหมดอายุ 

– เลข อย.13 หลัก 

– ชื่อ ที่อยู่ของผู้ผลิต หรือผู้นำเข้า

2.ข้อมูลเฉพาะ 

– วิธีรับประทาน 

– แนะนำการเก็บรักษา

– คำเตือน

– ชนิดสารก่อภูมิแพ้

– วัตถุเจือปนอาหารที่ใช้

– แต่งสี แต่งกลิ่น แต่งรส 

– การกล่าวอ้าง เช่น แคลเซียมสูง

– ฉลากโภชนาการ บอกข้อมูลทางโภชนาการ สาระสำคัญ คือ การบอกจำนวนหน่วยบริโภค พลังงาน และสารอาหารให้ผู้บริโภคทราบ

– ฉลาก GDA แสดงข้อมูล หวาน มัน เค็ม เป็นการบอกพลังงานและสารอาหารที่จะได้รับหากกินทั้งหมด (คิดเป็นร้อยละของปริมาณที่แนะนำต่อวัน)

– สัญลักษณ์ Healthier Choice สัญลักษณ์โภชนาการทางเลือกสุขภาพ หากพบอาหารที่มสัญลักษณ์นี้สามารถใช้เป็นทางเลือกในการลด หวาน มัน เค็ม ได้

"ฉลากสินค้า" บอกอะไรกับเราบ้าง ความรู้ที่มักถูกมองข้าม

ขอบคุณข้อมูลประกอบจาก สำนักงานอาหารและยา 

6 วิธีจัดโซน “เรียนออนไลน์” ยุค โควิด-19 อย่างไรให้ลูกรู้สึกอยากเรียน #SootinClaimon.Com

#SootinClaimon.Com : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์คมชัดลึก

https://www.komchadluek.net/news/lifestyle/473425

6 วิธีจัดโซน “เรียนออนไลน์” ยุค โควิด-19 อย่างไรให้ลูกรู้สึกอยากเรียน

8 กรกฎาคม 2564 – 13:54 น.

6 วิธีจัดบ้าน โซนสำหรับ “เรียนออนไลน์” ยุค โควิด-19 ให้เด็ก ๆ รู้สึกอยากเรียนและพร้อมสำหรับการเรียน

“เรียนออนไลน์” ปรับรูปแบบการเรียนการสอนจากออนไซต์ On Site มาเป็นแบบออนไลน์ On Line อีกครั้งแล้ว เพื่อรับมือการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรน่า 2019 หรือ โรคโควิด-19 (COVID-19) และคงไม่ดีแน่ถ้าเด็ก ๆ ต้องอุดอู้ อยู่ในที่ที่ไม่ช่วยส่งเสริมการเรียนให้มีประสิทธิภาพ อาจด้วยข้อจำกัดหลายประการแต่อย่างน้อยเรามาลองพยายามกันดูค่ะ ว่าแล้วคุณพ่อคุณแม่ผู้ปกครองจะทำอะไรอย่างไรเพื่อลูก ๆ หลาน ๆ ของเราได้บ้าง วันนี้ ขอนำเสนอ 6 วิธีจัดบ้าน โซนสำหรับ “เรียนออนไลน์” ให้เด็ก ๆ รู้สึกอยากเรียนและพร้อมสำหรับการเรียนออนไลน์ ไปดูกันเลย

โควิด-19, เรียนออนไลน์, On Site, On Line, โรคโควิด-19

(แฟ้มภาพ : เรียนออนไลน์)

6 วิธีจัดโซน “เรียนออนไลน์” ยุค โควิด-19 อย่างไรให้ลูกรู้สึกอยากเรียน

  1. เลือกมุมที่แสงธรรมชาติส่องถึง : เพราะจะทำให้บรรยากาศห้องดูปลอดโปร่ง ไม่อุดอู้ และยังช่วยถนอมสายตาที่ต้องทำงานหนักกับการเพ่งจอ
  2. มีความเป็นส่วนตัวจากสิ่งรบกวน : เนื่องจากจะช่วยให้มีสมาธิกับการเรียนได้ดีขึ้น
  3. จัดเก้าอี้และท่านั่งให้เหมาะสม : การจัดโต๊ะกับเก้าอี้ต้องคิดถึงท่านั่งที่เหมาะสม เก้าอี้ควรมีพนักพิง ปรับระดับความสูงให้ต้นขาขนานพื้นและเท้าติดพื้น ส่วนที่รองแขนปรับให้อยู่ระดับขอบโต๊ะ โดยหน้าจอคอมพิวเตอร์ควรตั้งห่างประมาณ 1 ช่วงแขน และไม่ควรใช้โต๊ะเตี้ยนั่งทำงานบนพื้น
  4. เก็บโต๊ะให้เรียบร้อยน่าเรียน : โต๊ะเรียนที่สะอาดเรียบร้อยไม่รกหูรกตานั้นจะทำให้มีความรู้สึกน่าเรียนมากขึ้น
  5. จัดอุปกรณ์การเรียนให้สะดวกใช้ : สมุดหรือหนังสือเรียน ดินสอ ปากกา สี ต่าง ๆ ควรจัดวางให้เป็นระเบียบ เพื่อให้สะดวกในการหยิบใช้
  6. ตกแต่งโซนเรียนด้วยไม้ประดับ : อาจมีต้นไม้เล็ก ๆ เพื่อให้มีพื้นที่สีเขียวให้ได้พักสายตาเวลาสายตาเมื่อยล้า หรือตกแต่งด้วยสิ่งของหรือตุ๊กตาตัวการ์ตูนที่ชอบในมุมใดมุมหนึ่งของโซนหรือโต๊ะเรียน

ในยุค โควิด-19 ซึ่งยังไม่รู้ว่าจะได้กลับไปเรียนออนไซต์ On Site เมื่อไหร่ เพื่อเด็ก ๆ ที่ต้อง “เรียนออนไลน์” จะได้รู้สึกมีพลังในการเรียน ลองจัดกันดูนะคะ

“Apple” Airtag นวัตกรรมที่จะทำให้คนที่ขี้ลืม ไม่ลืมอีกต่อไป #SootinClaimon.Com

#SootinClaimon.Com : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์คมชัดลึก

https://www.komchadluek.net/news/lifestyle/473434

“Apple” Airtag นวัตกรรมที่จะทำให้คนที่ขี้ลืม ไม่ลืมอีกต่อไป

8 กรกฎาคม 2564 – 13:41 น.

ตอนนี้ “Apple” Inc. ก็ได้เปิดตัวไปแล้วกับ “เทคโนโลยี” ที่จะช่วย ให้คนขี้หลงขี้ลืมอย่างผู้เขียนเอง หรือผู้ที่มีหน้าที่ความรับผิดชอบเยอะ จนบางทีก็ทำให้ลืมว่าตัวเองวางกุญแจรถหรือกระเป๋าสะพายไว้ที่ไหนสักแห่ง ได้ใช้ชีวิตกันง่ายขึ้น

เพราะโลกในศตวรรษที่ 21 นี้ การที่เราจำไม่ได้ว่าเราลืมของไว้ที่ไหนอาจไม่ใช่เรื่องใหญ่อีก ต่อไปทั้งยังไม่ต้องใช้เวลาเป็นวัน ๆ ใน การมานั่งหาอีกด้วย เพราะ Apple Airtag จะเข้ามาช่วยเราตามหาสิ่งของหรืออุปกรณ์ ที่เราทำหาย ไปได้นั่นเอง

"Apple" Airtag  นวัตกรรมที่จะทำให้คนที่ขี้ลืม ไม่ลืมอีกต่อไป

Apple Airtag คืออะไร ?

อุปกรณ์นี้จะเป็นทรงกลมสแตนเลสคล้ายเหรียญบาทแต่ขนาดใหญ่กว่า ซึ่ง Airtag นี้จะถูกฝังไว้ด้วยชิป U1 ซึ่งเป็นนวัตกรรมใหม่ของ Apple ที่จะช่วยในการระบุตำแหน่งของที่เรากำลังตามหาอยู่ได้อย่างแม่นยำมากยิ่งขึ้น พูดง่าย ๆ  คือ ถ้าเราตามหากุญแจรถมันสามารถบอกทางเดินไปยังกุญแจรถเราได้เลย  (ซึ่งจะเป็นการบอกผ่านแอพ FindMy iphone/ipad) เท่านี้ยังล้ำไม่พอเจ้า Airtag นี้ยังมีลำโพงในตัวของมันเองอีกด้วยทำให้เมื่อเราเข้าใกล้กุญแจรถ เราสามารถกดปุ่มเล่นเสียงจากแอพ FindMy เพื่อให้ Airtag ส่งเสียงออกมาทำให้รู้ถึงสิ่งของนั้นตกหล่นอยู่ตรงไหน 

"Apple" Airtag  นวัตกรรมที่จะทำให้คนที่ขี้ลืม ไม่ลืมอีกต่อไป

แล้ว Apple Airtag ใช้งานอย่างไร ?

อย่างที่ได้บอกไปก่อนหน้านี้ว่า Airtag นี้จะถูกฝังไว้ด้วยชิพ U1 ซึ่งเป็นชิพเดียวกับที่ถูกฝังไว้ใน iPhone 11 และ iPhone 12 เท่านั้น ดังนั้นการใช้อุปกรณ์นี้ให้มีประสิทธิภาพที่สุดก็จะเป็นการใช้กับ iPhone สองรุ่นนี้เท่านั้น แต่ไม่ได้แปลว่ารุ่นอื่นใช้ไม่ได้นะ ใช้ได้ถ้าได้เป็นอัพเดต iOS เวอร์ชั่น 14.5ขึ้นไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว

"Apple" Airtag  นวัตกรรมที่จะทำให้คนที่ขี้ลืม ไม่ลืมอีกต่อไป

ส่วนวิธีการเชื่อมต่อก็ไม่ยาก เพียงเปิด wifi และ bluetooth จาก iPhone ของเราจากนั้นหน้าจอเราก็จะให้เชื่อมต่อกับ Airtag ส่วนวิธีการก็จะทำผ่าน แอพ FindMy ได้เลย

Apple Airtag มันหาของเราเจอจริง ๆ ใช่ไหม ?

สมมตินะคะ สมมติ สมมติเราทำกุญแจรถตกไว้ที่ไหนสักแห่ง พยายามคิดแล้วก็คิดไม่ออกจริง ๆ แต่เราพ่วง Airtag ไว้กับ กุญแจรถแล้วนี่หน่า ดังนั้น เราอาจจะเริ่มจากนึกว่าสถานที่ ล่าสุด ว่าเราวางกุญแจรถไว้คือที่ไหน เดินไปที่นั่น พร้อมเปิดแอพควบคู่ไปด้วย จากนั้นกด เลือกฟังก์ชั่น บอกเส้นทาง  บนแอพแล้วเดินตามไปทางที่แอพบอกเลย เมื่อยิ่งเข้าใกล้ของกุญแจรถ มือถือของ เราจะสั่นแรง ขึ้นตามลำดับ แต่ถ้ามองด้วยสายตาไม่เห็น ให้กดฟังก์ชั่น ส่งเสียง แล้วคุณจะ พบว่าคุณทำกุญแจรถตกอยู่ใต้ โซฟาตอนนอน ดูซีรีย์ก็ได้

เป็นอย่างไรกันบ้างคะกับเทคโนโลยีใหม่ ที่มีไว้สำหรับคนขี้ลืมใครเคยลองใช้หรือมีอุปกรณ์ Airtag ที่ว่านี่แล้วยังไงลองมาแชร์ประสบการณ์กันนะคะว่าใช้ถนัดมือไหม ประหยัดเวลา ในการหาของหรือเปล่า เผื่อคนอื่น ๆ จะได้นำแนวทางของแต่ละผู้ใช้ไปปรับใช้ได้ ทั้งนี้ทั้งนั้น นอกจากนวัตกรรมที่ได้เกิดขึ้นมาให้ช่วยแก้ ปัญหาชีวิตพวกเราแล้วอีกสิ่งหนึ่งที่ผู้เขียนคิดว่าถ้าเรามีไว้ติด ตัวตลอดก็จะช่วยให้เราไม่หลงไม่ลืมได้เหมือนกัน และสิ่งนั้นก็คือ สติ นั่นเองอันนี้ก็อาจจะเป็นอีกเรื่องที่ผู้อ่านต้องไปลองพิสูจน์กันว่า Airtag หรือ สติ อันไหนจะช่วยป้องกันของหายได้ดีกว่ากัน

"Apple" Airtag  นวัตกรรมที่จะทำให้คนที่ขี้ลืม ไม่ลืมอีกต่อไป

ภาพประกอบ https://www.apple.com/

หมอแนะ 2 วิธีรักษา “โรคสายตา” ในเด็ก “ตาเข-ตาเหล่” รู้ก่อนรักษาได้ #SootinClaimon.Com

#SootinClaimon.Com : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์คมชัดลึก

https://www.komchadluek.net/news/lifestyle/473420

หมอแนะ 2 วิธีรักษา “โรคสายตา” ในเด็ก “ตาเข-ตาเหล่” รู้ก่อนรักษาได้

8 กรกฎาคม 2564 – 13:27 น.

หมอแนะ 2 วิธีรักษา “โรคสายตา” ในเด็ก พ่อแม่คลายกังวล “ตาเข-ตาเหล่” รู้ก่อนรักษาได้

นายแพทย์วีรวุฒิ อิ่มสำราญ รองอธิบดีกรมการแพทย์ กล่าวว่า โรคตาเหล่ ตาเข คือ ภาวะที่การมองของตาทั้งสองข้างไม่ได้อยู่ในทิศทางเดียวกันและทำงานไม่ประสานกัน ผู้ป่วยจะใช้เพียงตาข้างที่ปกติจ้องมองวัตถุ ส่วนตาข้างที่เหล่อาจจะเบนเข้าด้านในหรือด้านนอก ขึ้นบนหรือลงล่างก็ได้ แนะนำว่าในเด็กเล็กตั้งแต่อายุ 1 – 3½ ปี ควรได้รับการตรวจตา หากมีประวัติคนในครอบครัวเป็นตาเข ตาเหล่ หรือผู้ปกครองเห็นว่าบุตรหลานมีภาวะตาเข ตาเหล่ ควรรีบนำมาพบจักษุแพทย์

หลายคนคงเข้าใจว่า โรคตาเหล่ ตาเขในเด็กสามารถหายได้เองเมื่อเด็กโตขึ้น เป็นความเข้าใจที่ผิด เพราะภาวะดังกล่าวอาจไม่สามารถหายได้เอง ในรายที่ไม่ได้รับการรักษาที่ถูกต้องในระยะเวลาที่เหมาะสม อาจส่งผลต่อประสิทธิภาพในการมองเห็นอย่างถาวร พัฒนาการในการมองเห็นเกิดภาวะตาขี้เกียจได้ ดังนั้นควรหมั่นสังเกตพฤติกรรมในการมองเห็นของบุตรหลาน หรือพาไปตรวจเช็กสายตากับจักษุแพทย์ก่อนวัยเข้าเรียนจะช่วยป้องกันปัญหาได้

นายแพทย์เกรียงไกร นามไธสง ผู้อำนวยการโรงพยาบาลเมตตาประชารักษ์ (วัดไร่ขิง) กล่าวเพิ่มเติมว่า ภาวะตาเข ตาเหล่ อาจเกิดได้หลายสาเหตุ เช่น เกิดจากพันธุกรรม ความผิดปกติของสายตา กล้ามเนื้อตาเป็นอัมพาต ประสบอุบัติเหตุ เนื้องอก ต้อกระจกหรือภาวะอื่น ๆ ที่ทำให้การมองเห็นเสียไป วิธีการรักษาขึ้นอยู่กับชนิดและสาเหตุของโรค ตาเหล่บางชนิดสามารถรักษาได้โดยไม่ต้องผ่าตัด บางชนิดรักษาโดยการผ่าตัดเท่านั้น หรืออาจต้องใช้หลายวิธีร่วมกัน ดังนี้

1.การรักษาโดยไม่ต้องผ่าตัด โดยใช้แว่นสายตาในผู้ป่วยที่มีสาเหตุจากสายตาผิดปกติ เช่น สายตายาวที่เป็นสาเหตุทำให้เกิดตาเหล่เข้า การฝึกกล้ามเนื้อตาการรักษาด้วยยาฉีดที่กล้ามเนื้อตา นอกจากนี้ตาเหล่อาจเป็นสาเหตุให้เกิดภาวะตาขี้เกียจในเด็กได้ ซึ่งหากตรวจพบต้องรีบรักษาทันที ก่อนที่จะผ่าตัดแก้ไขตาเหล่ หากเด็กอายุมากกว่า 10 ปี ผลการรักษาอาจมีประสิทธิผลลดลง อาจส่งผลให้ตาข้างนั้นมัวอย่างถาวรได้

2.การรักษาโดยการผ่าตัด เป็นการผ่าตัดกล้ามเนื้อตาทำให้ตาตรง เป็นผลดีต่อการทำงานของตาช่วยทำให้การมองเห็นมีประสิทธิภาพดีขึ้น และส่งผลดีต่อพัฒนาการและบุคลิกภาพของเด็กด้วย อย่างไรก็ตามการดูแลหลังผ่าตัดมีความสำคัญ ในช่วงสัปดาห์แรกควรหลีกเลี่ยงไม่ให้น้ำเข้าตา เพราะอาจทำให้เกิดการอักเสบหรือติดเชื้อได้ และควรหมั่นพบแพทย์ตามนัดเพื่อตรวจดูอาการอย่างต่อเนื่อง

Cr.thaihealth

“ปาท่องโก๋” กรอบนอกนุ่มในและความเสี่ยง #SootinClaimon.Com

#SootinClaimon.Com : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์คมชัดลึก

https://www.komchadluek.net/news/lifestyle/473414

“ปาท่องโก๋” กรอบนอกนุ่มในและความเสี่ยง

8 กรกฎาคม 2564 – 13:04 น.

ข้อมูลของศูนย์สารนิเทศทางอาหาร   สถาบันค้นคว้าและพัฒนาผลิตภัณฑ์อาหาร  อ้างอิงถึงอาหาร  10 อย่าง ที่ไม่ควรกินมากเกินไป ในจำนวนนี้ มี”ปาท่องโก๋” รวมอยู่ด้วย

“ ปาท่องโก๋”  กรอบนอกนุ่มใน  เหมาะกับทานคู่กับน้ำเต้าหู้,เครื่องดื่มร้อน หรือ กระทั่งโจ๊ก  เป็นเมนูขั้นพื้นฐานในเวลาเช้า   อย่างไรก็ตาม “ปาท่องโก๋” นอกจากความอร่อยแล้ว  แต่ก็ยังมีภัยของอาหารแฝงอยู่  ความอันตรายในอาหารทอดชนิดนี้  ไม่ได้อยู่ที่ส่วนผสมหรือ แป้งที่นำมาเป็นวัตถุดิบแต่อย่างใด  เพราะถึงแม้ว่าการทานแป้งจะทำให้อ้วน   แต่ในกระบวนการแล้วโรคอ้วน ถูกกำจัดออกไปได้ด้วยการออกกำลังกาย

อันตรายของ “ปาท่องโก๋” อยู่ที่ “น้ำมัน” ที่ใช้ในการทอดและการทอดซ้ำ    ในการทำการค้า  การควบคุมต้นทุนคือหัวใจสำคัญ   ดังนั้นการทอดอาหารเพื่อขาย จึงเป็นเรื่องที่หลีกเลี่ยงได้ยากว่าจะไม่ใช้น้ำมันเดิมนำกลับมาทอดซ้ำ   มีข้อมูลงานวิจัยที่ทำการสำรวจพฤติกรรมการใช้น้ำมันทอดซ้ำ  พบว่า มีการใช้น้ำมันทอดซ้ำโดยที่ไม่มีการเติมน้ำมันใหม่ถึงร้อยละ 65 และส่วนใหญ่มีการทอดซ้ำมากกว่า 30 ครั้ง  

ดังนั้นการจะซื้อ “ปาท่องโก๋”ที่ไม่ทอดน้ำมันซ้ำ หรือไม่มีการหมุนเวียนน้ำมันกลับมาใช้ใหม่ จึงน่าจะเป็นเรื่องยาก  ข้อมูลที่น่าสนใจอีกด้านหนึ่งก็คือ  ที่มาของโรคความดันโลหิตสูง , โรคหลอดเลือดหัวใจและสมองตีบ, โรคหัวใจวาย, โรคอัมพฤกษ์  และ โรคมะเร็ง ปัจจัยหนึ่ง เกิดจากพฤติกรรมการรับประทานอาหารที่ใช้น้ำมันทอดซ้ำ

การใช้น้ำมันในการทอดอาหาร ในขณะที่น้ำมันถูกดัดแปลงรูปร่าง หลังจากผ่านการให้ความร้อนสูงเป็นเวลายาวนาน ทำให้โครงสร้างของน้ำมัน  ถูกบิดไปเป็นสารประกอบที่เป็นอันตรายต่อร่างกาย เช่น “สารโพลาร์” สารประกอบที่เป็นสาเหตุของโรคความดันโลหิตสูงและหลอดเลือดหัวใจตีบ

 ‘สารโพลีไซคลิก อะโรมาติก ไฮโดรคาร์บอน (PAH)’ ซึ่งเป็นสารก่อมะเร็ง โดยหากเป็นสาร PAH ไม่ได้มีอันตรายแค่เพียงการรับประทานเท่านั้น แต่การได้รับไอระเหยของน้ำมันที่เสื่อมสภาพก็มีโอกาสได้รับสารก่อมะเร็งอยู่ด้วยเช่นกัน  ผู้สูดดมไอระเหย  จึงเสี่ยงต่อการเป็นมะเร็ง ไม่ต่างไปจากการการรับประทานอาหารที่ใช้น้ำมันทอดซ้ำ

เพื่อเลี่ยงโอกาสเสี่ยงต่อการเป็นโรค การพยายามเลี่ยงการรับประทานอาหารที่ใช้น้ำมันทอดซ้ำให้น้อยลงมากที่สุดเท่าที่จะทำได้ คือการลดปริมาณการสะสมสารอันตรายดังกล่าวจากอาหารที่ใช้น้ำมันทอดซ้ำนั่นเอง  การเลือกร้านที่ใช้น้ำมันที่ดูสะอาด และสีเหลืองใส  อาจจะสร้างความมั่นใจได้ว่า    ปาท่องโก๋  ที่รับประทานเข้าไปมีความปลอดภัยจากการใช้น้ำมันคุณภาพดีที่   

"ปาท่องโก๋" กรอบนอกนุ่มในและความเสี่ยง

ไม่ใช่แต่”ปาท่องโก๋”เท่านั้นที่จะต้องระวังเรื่องน้ำมันที่ใช้  อาหารประเภทอื่นๆที่จำเป็นต้องใช้น้ำมันทอดในปริมาณมาก ก็ล้วนเสี่ยงต่อการวนเอาน้ำมันกลับมาทอดซ้ำเช่นกัน   อาหารเหล่านี้ จึงถือเป็นอาหารที่เสี่ยงต่อการเกิดโรคร้ายจากน้ำมันไม่ต่างกัน   ข้อมูลจาก กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข โดย นายแพทย์ศุภกิจ ศิริลักษณ์ อธิบดีกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์    ระบุว่า

"ปาท่องโก๋" กรอบนอกนุ่มในและความเสี่ยง

ปาท่องโก๋เป็นอาหารที่มีแป้งสูง และผ่านกระบวนการทอดด้วยน้ำมัน ใช้ความร้อนสูง ทำให้มีโอกาสที่จะพบสารอะคริลาไมด์ ซึ่งเกิดจากปฏิกิริยาระหว่างกรดอะมิโนชนิดแอสพาราจีนกับน้ำตาลรีดิวซิง เช่น กลูโคสและฟลุคโตสที่อุณหภูมิเกินกว่า 120 องศาเซลเซียส หรือใช้เวลาในการปรุงอาหารนานเกินไป จนอาหารมีความชื้นต่ำ ปฏิกิริยานี้มีชื่อว่า Maillard reaction มีผลให้อาหารมีสีน้ำตาล โดยมีรายงานการศึกษาด้านพิษวิทยา พบว่าถ้าได้รับปริมาณมากมีพิษต่อระบบประสาท จัดเป็นสารในกลุ่มที่อาจก่อมะเร็ง

เพื่อความปลอดภัยและเป็นการรักษาสุขภาพ ไม่ควรรับประทานปาท่องโก๋ต่อเนื่องติดต่อกันเป็นประจำทุกวัน ในกรณีที่รับประทานปาท่องโก๋เป็นอาหารเช้า ควรหาอาหารที่มีโปรตีน เช่น ไข่ดาวหรือไข่ต้ม เพื่อให้ร่างกายได้รับพลังงานโปรตีนจากอาหารอื่นเพิ่มเติมไปด้วย และที่สำคัญก่อนซื้อควรดูว่า ผู้ขายใช้น้ำมันทอดเป็นสีดำหรือไม่  ถ้าเห็นว่าน้ำมันเป็นสีดำเข้ม ควรเปลี่ยนไปซื้อจากร้านอื่น

"ปาท่องโก๋" กรอบนอกนุ่มในและความเสี่ยง

ขอขอบคุณเนื้อหาจาก :
สุขภาพน่ารู้.com

เช็กอาการลูกน้อย เข้าสู่ภาวะ “เป็นหนุ่มเป็นสาวก่อนวัย” หรือยัง #SootinClaimon.Com

#SootinClaimon.Com : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์คมชัดลึก

https://www.komchadluek.net/news/lifestyle/473415

เช็กอาการลูกน้อย เข้าสู่ภาวะ “เป็นหนุ่มเป็นสาวก่อนวัย”หรือยัง

8 กรกฎาคม 2564 – 12:22 น.

คลายหลายข้อสงสัยของพ่อแม่ ลูกเข้าสู่สภาวะ”เป็นหนุ่มเป็นสาวก่อนวัย” หรือยัง รู้เท่าทัน ป้องกันได้

ภาวะเป็นหนุ่มเป็นสาวก่อนวัย หรือสภาวะที่เด็กโตเร็วกว่าปกติ (Precocious Puberty) พบได้ในเด็ก ทั้งเพศหญิงและชาย โดยจะพบในเด็กหญิงมากกว่าเด็กชายประมาณ 8 – 20 เท่า พ่อแม่ผู้ปกครองจำเป็นที่จะต้องหมั่นสังเกต เพราะมักมีความผิดปกติแอบแฝงอยู่

สัญญาณเตือนแบบไหน ที่เรียกว่าเริ่มเข้าสู่สภาวะ เป็นหนุ่มเป็นสาวก่อนวัย ไปเช็คกัน

เช็กอาการลูกน้อย เข้าสู่ภาวะ "เป็นหนุ่มเป็นสาวก่อนวัย"หรือยัง

เด็กผู้ชาย

ลูกอัณฑะ และ องคชาติขยายตัว

เริ่มมีขนที่บริเวณอวัยวะเพศ และรักแร้

สิว หน้ามัน กลิ่นตัว และ เสียงแตก

ส่วนสูงเพิ่มขึ้น

เด็กผู้หญิง

– เต้านมเจริญขึ้น

– เริ่มมีขนบริเวณอวัยวะเพศ และรักแร้

– สิว หน้ามัน กลิ่นตัว

– สะโพกผาย

– มีตกขาว และประจำเดือน

– ส่วนสูงเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว

เช็กอาการลูกน้อย เข้าสู่ภาวะ "เป็นหนุ่มเป็นสาวก่อนวัย"หรือยัง

สาเหตุที่พบ 

– กรรมพันธุ์  ถ้าพ่อแม่มีประวัติเข้าสู่วัยหนุ่มสาวเร็ว เช่น พ่อเสียงแตกเร็ว หรือแม่มีประจำเดือนเร็ว ลูกก็อาจจะเป็นหนุ่มเป็นสาวเร็วได้
– สิ่งแวดล้อม ภาวะโภชนาการ ซึ่งปัจจุบันพบมากขึ้น จากการกินอาหารไม่ถูกสุขลักษณะ เช่น ชอบรับประทานของทอด ของมัน อาหารไขมันูสูง ก็มักจะเข้าสู่วัยหนุ่มสาวเร็วกว่าปกติ

– พยาธิสภาพ พยาธิสภาพในสมอง เช่น ก้อนเนื้องอก สมองเคยขาดออกซิเจน หรือเคยติดเชื้อมาก่อน หรือเคยได้รับการฉายรังสี ก็จะไปกระตุ้นให้ต่อมใต้สมอง สร้างฮอร์โมนเพศมาได้  หรือ พยาธิสภาพในต่อเพศ เช่น ถุงน้ำในรังไข่ในเด็กหญิง ก็จะทำให้มีการสร้างฮอร์โมนเพศมากขึ้น

** แต่พบว่า 90 เปอร์เซ็น ของเด็กหญิงที่เป็นสาวเร็วมักไม่มีสาเหตุ ส่วนอีก 10 เปอร์เซ็น คือมีพยาธิสภาพ ในขณะที่เด็กชายมักจะมีพยาธิสภาพถึง 90 เปอร์เซ็น ดังนั้น ในเด็กชายจึงต้องทำการตรวจเพิ่มเติมทุกราย

หากเด็กตกอยู่ในภาวะเป็นหนุ่มเป็นสาวก่อนวัย สิ่งที่พ่อแม่ผู้ปกครองควรทำคือ

  • บอกให้รู้ว่ากำลังเกิดอะไรขึ้น อธิบายตามจริง ห้ามโกหกเด็ดขาด
  •  ตรวจสอบข้อมูลและให้ความรู้อย่างถูกต้อง
  • ถ้าต้องเข้ารับการรักษาให้บอกถึงผลเสียหากไม่รีบรักษา
  • หมั่นให้ความรู้เรื่องเพศตามความเหมาะสม เพื่อให้เข้าใจเรื่องการเปลี่ยนแปลงของร่างกาย

รู้หรือยัง..วิธีช่วยผู้ได้รับ “สารพิษ” #SootinClaimon.Com

#SootinClaimon.Com : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์คมชัดลึก

https://www.komchadluek.net/news/lifestyle/473384

รู้หรือยัง..วิธีช่วยผู้ได้รับ”สารพิษ”

8 กรกฎาคม 2564 – 08:37 น.

หากคุณเข้าไปอยู่ในเหตุการณ์ที่มีคนได้รับ”สารพิษ” จะมีวิธีช่วยคนที่ตกเป็น”เหยื่อ”ได้อย่างไร

สารพิษ(Poisons) หมายถึงสารเคมีที่มีสภาพเป็นของแข็ง ของเหลวหรือก๊าซซึ่งสามารถเข้าสู่ร่างกายโดยการรับประทาน การฉีด การหายใจหรือการสัมผัสทางผิวหนังแล้วทำให้เกิดอันตรายต่อโครงสร้างและหน้าที่ของร่างกาย ด้วยปฏิกิริยาทางเคมี อันตรายจะมากหรือน้อยขึ้นอยู่กับคุณสมบัติ ปริมาณและทางที่ได้รับสารพิษนั้น

ชนิดของสารพิษ

สารพิษที่ทำให้เกิดอันตรายต่อมนุษย์มาจากหลายแหล่งด้วยกันอาจเป็นพิษจากสัตว์เช่น งูพิษ ผึ้ง แมลงป่อง พิษจากพืช เช่น เห็ดพิษ  พิษจากแร่ธาตุต่าง ๆ เช่น ตะกั่ว ฟอสฟอรัส สารหนูและพิษจากสารสังเคราะห์ต่างๆ เช่นยาฆ่าแมลง ยาปราบวัชพืช ยาอันตรายรวมทั้งสารสังเคราะห์ที่ใช้ในครัวเรือนเช่น น้ำยาฟอกขาว น้ำยาขัดห้องน้ำ  

สารพิษสามารถจำแนกตามลักษณะการออกฤทธิ์ได้ 4 ชนิด ดังนี้

-ชนิดกัดเนื้อ(Corrosive ) สารพิษชนิดนี้จะทำให้เนื้อเยื่อของร่างกายไหม้ พอง ได้แก่ สารละลายพวกกรดและด่างเข้มข้น น้ำยาฟอกขาว

-ชนิดทำให้ระคายเคือง(Irritants ) สารพิษชนิดนี้จะทำให้เกิดอาการปวดแสบ ปวดร้อนและอาการอักเสบในระยะต่อมาได้แก่ ฟอสฟอรัส  สารหนู อาหารเป็นพิษ  ซัลเฟอร์ไดออกไซด์

-ชนิดที่กดระบบประสาท(Narcotics ) สารพิษชนิดนี้จะทำให้หมดสติ หลับลึก ปลุกไม่ตื่น ม่านตาหดเล็ก ได้แก่ ฝิ่น  มอร์ฟีน พิษจากงูบางชนิด

-ชนิดที่กระตุ้นระบบประสาท (Dililants) สารพิษชนิดนี้จะทำให้เกิดอาการเพ้อคลั่ง ใบหน้าและผิวหนังแดง ตื่นเต้นชีพจรเต้นเร็ว ช่องม่านตาขยายได้แก่  ยาอะโทรปีน ลำโพง 

การประเมินภาวะการได้รับสารพิษ

การได้รับสารพิษ เป็นภาวะฉุกเฉินที่ต้องได้รับการปฐมพยาบาลที่รีบด่วนและเฉพาะเจาะจง ดังนั้นสิ่งสำคัญที่สุดคือ จะต้องประเมินจำแนกให้ได้ว่าอาการผิดปกติต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นกับผู้ป่วยนั้นว่าเกิดจากสารพิษใด

นอกจากประเมินอาการแล้วยังจำเป็นต้องสังเกตสภาพการณ์ สิ่งแวดล้อมที่เกี่ยวข้องกับผู้ป่วยร่วมด้วย ดังนี้

-การคลื่นไส้ อาเจียน ปวดท้อง น้ำลายฟูมปากหรือมีรอยไหม้นอกบริเวณริมฝีปาก มีกลิ่นสารเคมีบริเวณปาก

-เพ้อ ชัก หมดสติ  มีอาการอัมพาตบางส่วนหรือทั่วไป  ขนาดช่องม่านตาผิดปกติ อาจหดหรือขยาย

-หายใจขัด หายใจลำบาก มีเสมหะมาก มีอาการเขียวปลายมือปลายเท้าหรือบริเวณริมฝีปาก ลมหายใจมีกลิ่นสารเคมี

-ตัวเย็น เหงื่อออกมาก มีผื่นหรือจุดเลือดออกตามผิวหนัง

สภาพการณ์หรือสิ่งแวดล้อมที่บ่งชี้ถึงภาวะการได้รับสารพิษ

-เกิดอาการผิดปกติขึ้นอย่างปัจจุบันทันด่วน โดยที่ผู้ป่วยเป็นคนที่แข็งแรงสมบูรณ์มาก่อน

-เกิดอาการขึ้นกับคนหลาย ๆ คน  หรืออยู่ในสิ่งแวดล้อมเดียวกัน

-ในบริเวณที่พบผู้ป่วยมีภาชนะบรรจุสารพิษหรือเป็นแหล่งของสัตว์มีพิษเช่น งูพิษ แมงป่อง แมงกะพรุนไฟ

-มีปัญหาทางด้านจิตใจ ได้แก่ เป็นโรคเรื้อรังรักษาไม่หาย มีประวัติพยายามฆ่าตัวตาย ผิดหวังในชีวิตหรือการทำงาน มีศัตรูปองร้าย

การปฐมพยาบาลผู้ที่ได้รับสารพิษ

จำแนกตามวีถีทางที่ได้รับ 3 ทาง ดังนี้

-การปฐมพยาบาลผู้ที่ได้รับสารพิษทางปาก
-การปฐมพยาบาลผู้ที่ได้รับสารพิษทางการหายใจ
-การปฐมพยาบาลผู้ที่ได้รับสารพิษทางผิวหนัง

การปฐมพยาบาลผู้ที่ได้รับสารพิษทางปาก

ผู้ช่วยเหลือต้องทำการประเมินผู้ที่ได้รับสารพิษก่อนแล้วจึงพิจารณาดำเนินการช่วยเหลือ ดังนี้

-ทำให้สารพิษเจือจาง  ในกรณีรู้สึกตัวและไม่มีอาการชักโดยการดื่มน้ำชาซึ่งหาได้ง่ายแต่ถ้าได้นมจะดีกกว่าเพราะว่าจะช่วยเจือจางสารพิษแล้ว ยังช่วยเคลือบและป้องกันอันตรายต่อเยื่อบุทางเดินอาหาร

-นำส่งโรงพยาบาล  เพื่อทำการล้างท้องเอาสารพิษออกจากกระเพาะอาหาร

-ทำให้ผู้ป่วยอาเจียนเพื่อเอาสารพิษออกจากกระเพาะอาหารในกรณีที่ต้องใช้เวลานานในการนำส่งผู้ป่วย เช่น ใช้นิ้วล้วงคอ ใช้ไม้พันสำลีกวาดคอซึ่งจะเป็นการกระตุ้นให้รู้สึกอยากขย้อน อยากอาเจียน

ข้อห้ามในการทำให้ผู้ป่วยอาเจียน

-หมดสติ
-ได้รับสารพิษชนิดกัดเนื้อ เช่น กรด ด่าง
-รับประทานสารพิษพวก น้ำมันปิโตรเลียม เช่น น้ำมันก๊าด เบนซิน
-มีสุขภาพไม่ดี เช่น โรคหัวใจ

-ให้สารดูดซับสารพิษในระบบทางเดินอาหารเพื่อลดปริมาณการดูดซึมสารพิษเข้าสู่ร่างกาย 

สารที่ใช้ได้ผลดีคือ Activated charcoal มีลักษณะเป็นผงถ่านสีดำใช้ 1 ช้อนโต๊ะ ละลายน้ำ 1 แก้วให้”ผู้ป่วย”ดื่ม ถ้าหาไม่ได้อาจใช้ไข่ขาว 3 -4 ฟองตีให้เข้ากัน ให้”ผู้ป่วย”รับประทานซึ่งควรใช้ในกรณีดังต่อไปนี้

-รับประทานสารพิษเข้าไปเกินครึ่งถึง 1 ชั่วโมงเพราะสารพิษผ่านกระเพาะอาหารลงไปยังลำไส้แล้ว การให้อาเจียนอาจไม่ได้ผล

-หลังจากทำให้อาเจียนแล้วไม่แน่ใจว่าสารพิษจะถูกขับออกมาหมดโดยการอาเจียน

-ไม่สามารถทำให้ ผู้ป่วยอาเจียนได้

-นำส่งโรงพยาบาลเมื่อให้การปฐมพยาบาลแล้วขณะนำส่งให้สังเกต อาการและอาการแสดง ตลอดเวลาและให้การช่วยเหลือถ้าผู้ป่วยหยุดหายใจและหัวใจหยุดเต้นโดยการนวดหัวใจและการผายปอด

การปฐมพยาบาลผู้ที่ได้รับ”สารกัดเนื้อ” (Corrosive substances )

กรด ด่าง เป็นสารเคมีที่พบในชีวิตประจำวันซึ่งนำมาใช้ในครัวเรือนและโรงงานอุตสาหกรรม เช่น กรดซัลฟริก  กรดไฮโดรคลอริก  โซเดียมคาร์บอเนต

อาการและอาการแสดง

ไหม้พอง  ร้อนบริเวณริมฝีปาก  ปาก  ลำคอและท้อง  คลื่นไส้ อาเจียน กระหายน้ำและมีอาการภาวะช็อค ได้แก่ ชีพจรเบา ผิวหนังเย็นชื้น

การปฐมพยาบาล

-ถ้ารู้สึกตัวดีให้ดื่มนม
-อย่าทำให้อาเจียน
-รีบนำส่งโรงพยาบาล

การปฐมพยาบาลผู้ที่ได้รับสารพวกน้ำมันปิโตรเลียม

เป็นผลิตภัณฑ์ที่พบได้ทั้งในบ้านและโรงงานอุตสาหกรรม สารพวกนี้ได้แก่ น้ำมันก๊าด เบนซิน ยาฆ่าแมลงชนิดน้ำมัน เช่น DTT

อาการและอาการแสดง

แสบร้อนบริเวณปาก คลื่นไส้ อาเจียนซึ่งอาจสำลักเข้าไปในปอดทำให้หายใจออกมามีกลิ่นน้ำมันหรือมีกลิ่นน้ำมันปิโตรเลียม อัตราการหายใจและชีพจรเพิ่ม อาจมีอาการขาดออกซิเจนซึ่งอาจรุนแรงมาก มีเขียวตามปลายมือ ปลายเท้า

การปฐมพยาบาล

-รีบนำส่งโรงพยาบาล
-ห้ามทำให้อาเจียน
-ระหว่างนำส่งโรงพยาบาล ถ้าผู้ป่วยอาเจียนให้จัดศีรษะต่ำเพื่อป้องกันการสำลักน้ำมันเข้าปอด

การปฐมพยาบาลผู้ที่ได้รับยาแก้ปวด ลดไข้

ยาแอสไพรินและพาราเซตามอล พบบ่อยในเด็กที่รู้เท่าไม่ถึงการณ์และผู้ที่มีปัญหาทางด้านจิตใจ

อาการและอาการแสดงของผู้ที่ได้รับยาแอสไพริน

หูอื้อเหมือนมีเสียงกระดิ่งในในหู การได้ยินลดลง เหงื่อออกมาก ปลายมือปลายเท้าแดง ชีพจรเร็ว คลื่นไส้อาเจียน หายใจเร็ว ใจสั่น

อาการและอาการแสดงของผู้ที่ได้รับยาพาราเซตามอล(ไทรีนอล )

ยานี้จะถูกดูดซึมเร็วมากโดยเฉพาะในรูปของสารละลาย ทำให้เกิดอาการคลื่นไส้ อาเจียน ง่วงซึม เหงื่อออกมาก ความดันโลหิตต่ำ สับสน เบื่ออาหาร

การปฐมพยาบาล

-ทำให้สารพิษเจือจาง
-ทำให้อาเจียน
-ให้สารดูดซับสารพิษ ที่อาจหลงเหลือในระบบทางเดินอาหาร
-ให้กำลังใจเพื่อให้ผู้ป่วยสงบ
-นำส่งโรงพยาบาล

การปฐมพยาบาลผู้ที่ได้รับสารพิษทางการหายใจ

สารพิษที่เข้าสู่ทางการหายใจได้แก่ ก๊าซพิษซึ่งแบ่งออกเป็น 3 ประเภทดังนี้

-ก๊าซที่ทำให้ร่างกายขาดออกซิเจน เกิดอาการ วิงเวียน หน้ามืด เป็นลมหมดสติถึงแก่ความตายได้ เช่น คาร์บอนมอนนอกไซด์ คาร์บอนไดออกไซด์ ไฮโดรเจน ไนโตรเจน

ปัจจุบันพบว่าก๊าซที่ทำให้เกิดปัญหาค่อนข้างบ่อยได้แก่ คาร์บอนมอนนอกไซด์โดยเฉพาะในเมืองใหญ่ ๆ ที่มีปัญหาการจราจรคับคั่ง อากาศเป็นพิษ

คาร์บอนมอนนอกไซด์ เป็นก๊าซไม่มีสี ไม่มีกลิ่น ไม่มีรส เกิดจากการเผาไหม้ที่ไม่สมบูรณ์ของน้ำมันเชื้อเพลิงเมื่อหายใจเข้าไปในร่างกายก๊าซนี้จะแย่งที่กับออกซิเจนในการจับกับฮีโมโกลบินในเม็ดเลือดแดงทำให้เม็ดเลือดแดงไม่สามารถไปยังเนื้อเยื่อทั่วร่างกายได้ร่างกายจึงมีอาการของการขาดออกซิเจนซึ่งถ้าช่วยเหลือไม่ทันจะทำให้ผู้ป่วยเสียชีวิต เช่น ในกรณีที่มีผู้เสียชีวิตในรถยนต์ 

ก๊าซที่ทำให้เกิดการระคายเคืองต่อระบบทางเดินหายใจ ได้แก่ คอ หลอดลม และปอด ถ้าได้รับในปริมาณมากอาจทำให้ตายได้ เช่น ซัลเฟอร์ไดออกไซด์ ไม่มีสีแต่มีกลิ่นฉุน พบได้ในโรงงานอุตสาหกรรม ใช้ทำกรดกำมะถัน 

ก๊าซที่ทำให้อันตรายทั่วร่างกาย ได้แก่ ก๊าซอาร์ซีน ไม่มีสีกลิ่นคล้ายกระเทียม พบได้ในโรงงานอุตสาหกรรมใช้ทำแบตเตอรี่ เมื่อเข้าสู่ร่างกายจะทำให้เม็ดเลือดแดงแตก ปัสสาวะเป็นเลือด ดีซ่าน ตาเหลือง ตัวเหลือง

การปฐมพยาบาล

-กลั้นหายใจและรีบเปิดประตู หน้าต่างเพื่อให้อากาศถ่ายเท มีอากาศบริสุทธิ์เข้ามาในห้อง ปิดท่อก๊าซหรือขจัดต้นเหตุของพิษนั้น ๆ

-นำผู้ป่วย ออกจากบริเวณที่เกิดเหตุไปยังที่มีอากาศบริสุทธิ์

-ประเมินการหายใจและการเต้นของหัวใจ ถ้าไม่มีให้ผายปอดและนวดหัวใจ

-นำส่งโรงพยาบาล

การปฐมพยาบาลผู้ที่ได้รับสารพิษทางผิวหนัง

สารพิษที่สามารถเข้าสู่ร่างกายทางผิวหนังที่พบบ่อย ได้แก่ สารเคมีและสารพิษที่เกิดจากการถูกสัตว์มีพิษกัดหรือต่อย เช่น ต่อ แตน ผึ้ง ตะขาบ แมงป่อง แมงกะพรุนไฟ  งูพิษ

การปฐมพยาบาลเมื่อสารเคมีถูกผิวหนัง

-ล้างด้วยน้ำสะอาดนาน ๆ  อย่างน้อย 15 นาที

-อย่าใช้ยาแก้พิษทางเคมีเพราะความร้อนที่เกิดจากปฏิกิริยาอาจทำให้เกิดอันตรายมากขึ้น

-บรรเทาอาการปวดและรักษาช็อค

-ปิดแผลแล้วนำส่งโรงพยาบาล

การปฐมพยาบาลเมื่อสารเคมีเข้าตา

-ล้างตาด้วยน้ำนาน 15นาทีโดยการเปิดน้ำก๊อกไหลรินค่อย ๆ
-อย่าใช้ยาแก้พิษทางเคมีเพราะความร้อนที่เกิดจากปฏิกิริยาอาจทำให้เกิดอันตรายมากขึ้น
-บรรเทาอาการปวดและรักษาช็อค
-ปิดตาแล้วนำส่งโรงพยาบาล

ที่มา : กรมแพทย์ทหารเรือ

เช็ค อิน กิน เที่ยว “สวนอินทผลัมคุณแอน” จ.สระแก้ว #SootinClaimon.Com

#SootinClaimon.Com : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์คมชัดลึก

https://www.komchadluek.net/news/lifestyle/473342

เช็ค อิน กิน เที่ยว “สวนอินทผลัมคุณแอน” จ.สระแก้ว

8 กรกฎาคม 2564 – 06:01 น.

เช็ค อิน กิน เที่ยว “สวนอินทผลัมคุณแอน” จ.สระแก้ว ขายถูก ขายดี ขายไว

สวนอินทผลัมคุณแอน” ที่เคยเป็นข่าวโด่งดังปีที่แล้วขายถูก ขายดี ขายไว” จนหมดสวนมาแล้ว โดยปีนี้เป็นปีที่ 2 คุณแอนเจ้าของสวนอินทผาลัมเล่าให้ฟัง ด้านผลผลิตของอินทผลัมปีนี้ถือว่าประสบความสำเร็จอย่างดี และราคาก็ยังอยู่ในช่วงขาขึ้น ส่งสั่งซื้อทางออนไลน์ จนแทบไม่พอในปีนี้  ทำให้ชาวสวนมีกำลังใจก็อยากเชิญชวนพี่น้อง มาชิมช็อปกัน ส่วนเรื่องมาตรการ covid 19 เรามีความพร้อม

สวนอินทผาลัมคุณแอน” เรามีการป้องกันอย่างดี โดยมาตรการคัดกรอง ล้างมือสวมหน้ากากอนามัย เว้นระยะห่าง ช่วงเยี่ยมชม และลงแปลงเยี่ยมชมการปลูกอินทผลัมที่เป็นพืชเศรษฐกิจชนิดใหม่ สร้างรายได้ให้กับเกษตรกรยุคใหม่ ได้อย่างดี”ด้านคุณปาณิสรา หรือแอนเศวตโชติธนากรและคุณสุรเชษฐ์ วัฒนพลพัน เจ้าของสวนอินทผลัม ทางเรามีกลุ่มบริษัทเลิศรส ที่มีการแปรรูปอินทผลัม เป็นน้ำอินทผลัม ทั้งผลสดและผลแห้ง 

เช็ค อิน กิน เที่ยว "สวนอินทผลัมคุณแอน" จ.สระแก้ว

สำหรับการปลูกอินทผลัม ต้องดูแล เอาใจใส่เป็นพิเศษทุกขั้นตอน เนื่องจากอินทผลัมเป็นพืช ที่ได้จากการเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อจากต่างประทศ ดังนั้น การดูแลจึงต้องดูแลเป็นพิเศษได้ปลูกอินทผลัม มีทั้งพันธุ์บาฮี พันธุ์โคไนซี่และพันธุ์อื่นอีกกว่า 50 สายพันธุ์ และพันธุ์ที่คนไทยกำลังนิยมกินกันในขณะนี้เป็นพันธุ์บาฮี ผลจะมีสีเหลืองกับพันธุ์โคไนซี่ ผลจะมีสีแดง 

นายสุรเชษฐ์ วัฒนพลพันธ์ และคุณแอน กล่าว ปีนี้ผลผลิต ดีกว่าปีที่แล้วก็อยากให้มาเยี่ยมชมและชิมที่สวนเลยครับ ว่ารสชาติเป็นอย่างไร สมคำร่ำลือไหม สำหรับตลาดอินทผลัม ส่วนใหญ่เชื่อว่าตลาดอินทผลัมยังไปอีกไกล และในช่วงนี้มีคนเข้ามาซื้อต่อเนื่อง ก่อนที่จะเปิดตัวเร็วๆนี้” อย่างเป็นทางการ” 

เช็ค อิน กิน เที่ยว "สวนอินทผลัมคุณแอน" จ.สระแก้ว
เช็ค อิน กิน เที่ยว "สวนอินทผลัมคุณแอน" จ.สระแก้ว

สำหรับราคาอินทผลัมตอนนี้ ถ้าเป็นพันธุ์บาฮี อยู่ที่ 400-600 บาทต่อกิโลกรัม ถ้าเป็นพันธุ์โคไนซี่ อยู่ที่ประมาณ 650 บาทต่อกิโลกรัม และที่นี่จะขายต้นพันธุ์ด้วย เป็นต้นพันธุ์เนื้อเยื่อจากต่างประเทศ เรายังไม่สามารถเพาะเองได้ ราคาอยู่ที่ต้นละ 2,000- 2,500 บาท ข้อดีของพันธุ์ที่ได้จากเนื้อเยื่อคือไม่กลายพันธุ์ ดังนั้นต้นพันธุ์ที่นำมาขาย จะรับประกันได้ถึงรสชาติ หวาน กรอบ ถ้าลูกค้าต้องการพันธุ์นำไปปลูก สามารถติดต่อได้ที่ “สวนอินทผลัมคุณแอน”  ก็ตั้งจีพีเอส มาได้เลย หรือติดต่อได้ที่ โทร.084-5985888 สวนอินทผลัมคุณแอน มีเนื้อปลูกทั้งหมด 50 ไร่ ได้ปลูกมาเป็นเวลา 2 ปีแล้ว มีต้นพันธุ์กว่า 1,000 ตัน ทั้งนี้ อินทผลัมถือว่าเป็นพืชแนวทางใหม่ สร้างรายได้สูงให้แก่เกษตรกร สำหรับพันธุ์ที่ปลูกในประเทศไทย สำหรับกินผลสดและเป็นผลไม้ที่ส่งเสริมสุขภาพ มีกากอาหารเยอะ เป็นน้ำตาลเชิงเดี่ยว ” ไม่ก่อให้เกิดความอ้วน” อีกด้วย

ที่มา..นายยุทธนาพึ่งน้อย ผู้สื่อข่าวจังหวัดสระแก้ว 

เชื่อหรือไม่ว่า การ “เปิดไฟนอน” ขัดขวางเมลาโทนิน เสี่ยงเกิดโรค #SootinClaimon.Com

#SootinClaimon.Com : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์คมชัดลึก

https://www.komchadluek.net/news/lifestyle/473316

เชื่อหรือไม่ว่า การ “เปิดไฟนอน” ขัดขวางเมลาโทนิน เสี่ยงเกิดโรค

8 กรกฎาคม 2564 – 01:05 น.

เชื่อหรือไม่ว่า การทานอาหารมื้อใหญ่ภายใน 3 ชั่วโมงก่อนนอน รวมถึง การ “เปิดไฟนอน” ขัดขวางการหลั่งของสารเมลาโทนิน ทำให้มีความเสี่ยงเกิดโรค

คนที่หัวถึงหมอนแล้ว “หลับสะบาย” จัดได้ว่าโชคดีสะท้อนให้เห็นว่าสุขภาพกายและสุขภาพจิตแข็งแรงดี แต่ควรเปิดไฟนอน หรือควรเปิดเป็น Night Light หรือไฟหรี่ เหล่านี้สำคัญอย่างไรต่อสุขภาพ จริงหรือเปิดไฟนอนขัดขวางการหลั่งสาร “เมลาโทนิน”เสี่ยงเกิดโรค

เกี่ยวกับเรื่องนี้ รศ.พญ.นฤชา จิรกาลวสาน กรรมการบริหารศูนย์นิทราเวช โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ สภากาชาดไทย ได้ให้ความรู้ในเรื่องผลกระทบต่อสุขภาพจากการเปิดไฟนอนตอนกลางคืนว่า เป็นการขัดขวางการหลั่งของสารเมลาโทนินซึ่งหลั่งจากส่วนหนึ่งในสมอง มีความสำคัญต่อระบบต่างๆ ในร่างกาย ดังนั้นผู้ที่เปิดไฟนอนหรือมีการพักผ่อนที่ไม่ดีอาจเสี่ยงต่อการเกิดโรคต่างๆ เช่น โรคอัลไซเมอร์ โรคอ้วน

“เมลาโทนินเป็นฮอร์โมนที่หลั่งออกมาในช่วง 2 ชั่วโมงก่อนเข้านอน มีหน้าที่ควบคุมการนอนหลับ และระบบต่างๆ ในร่างกาย เช่น ระบบเมตาบอลิซึม ระบบประสาทอัตโนมัติ ความดัน ความจำ เมลาโทนินจะถูกยับยั้งโดยแสง ดังนั้นมีโอกาสที่การนอนเปิดไฟจะส่งผลให้เมลาโทนินถูกกด ส่งผลให้นอนไม่ดี และอาจทำให้เกิดโรคต่างๆได้” รศ.พญ.นฤชา ระบุ

การพักผ่อนที่ดีนั้นช่วยเรื่องความจำและการเรียนรู้ ดังนั้นหากเมลาโทนินถูกขัดขวางการหลั่ง อาจส่งผลต่อระบบความจำ ผู้ป่วยอัลไซเมอร์ในระยะแรกส่วนหนึ่งพบว่ามีการลดลงของสารเมลาโทนิน

นอกจากนี้ยังมีงานวิจัยที่ตีพิมพ์ในวารสาร JAMA Internal Medicine ที่ศึกษาในผู้หญิงกว่า 4 หมื่นคน เรื่องการเปิดและปิดไฟนอนที่อาจส่งผลต่อการเพิ่มขึ้นของน้ำหนักตัว หลังจากการติดตามในระยะ 5 ปี พบว่าคนที่เปิดไฟนอนมีน้ำหนักเพิ่มมากขึ้นกว่าคนที่ปิดไฟนอน

โดยน้ำหนักเพิ่มขึ้นถึง 5 กิโลกรัม ดังนั้นความสว่างจากการเปิดไฟนอนจึงมีความสัมพันธ์กับการเพิ่มขึ้นของน้ำหนักตัว

ศ.พญ.นฤชา ให้คำแนะนำว่า ควรปิดไฟให้สนิทก่อนนอน หลีกเลี่ยงอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ที่มีแสง เช่น โทรทัศน์ โทรศัพท์มือถือ ก่อนนอน 1 ชั่วโมง เพราะเป็นการกระตุ้นการตื่นตัวและเป็นการรบกวนการหลั่งสารเมลาโทนิน

ถ้าหากมีความจำเป็นที่จะต้องเปิดไฟนอน ควรเปิดเป็น Night Light หรือไฟหรี่ นอกจากนี้ควรจะเข้านอนและตื่นนอนในเวลาเดียวกับทุกวัน หลีกเลี่ยงการทานอาหารมื้อใหญ่ภายใน 3 ชั่วโมงก่อนนอน

ขอบคุณที่มา: ศูนย์นิทราเวช โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์