บอกลา “หน้ามัน” ด้วย 8 วิธีง่ายๆ แบบธรรมชาติ #SootinClaimon.Com

#SootinClaimon.Com : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์คมชัดลึก

https://www.komchadluek.net/news/lifestyle/473345

บอกลา “หน้ามัน” ด้วย 8 วิธีง่ายๆ แบบธรรมชาติ

7 กรกฎาคม 2564 – 21:10 น.

“หน้ามัน” เป็นอาการที่ใบหน้ามีไขมันส่วนเกินเยอะเกินไป ซึ่งก่อให้เกิดปัญหาไม่มากก็น้อย สำหรับคนผิวมัน เพราะจะทำให้เกิดสิวอุดตัน หน้าหมองคล้ำระหว่างวันได้ง่าย แต่งหน้าไม่ค่อยติด ต้องคอยซับหน้าอยู่เสมอ

ยิ่งสภาพอากาศในบ้านเราที่ร้อนอบอ้าวขนาดนี้ ยิ่งง่ายมากที่จะทำให้ผิวหน้าของเรามันได้ตลอดเวลา ยิ่งแก้ก็เหมือนจะยิ่งเป็นหนักขึ้น ทำให้เสียความมั่นใจกันอย่างมาก โดยสาเหตุหลักๆแล้ว อาการ “หน้ามัน” จะมาจากกรรมพันธุ์เป็นหลัก ยังมีปัจจัยอื่นๆ เช่น อารมณ์ ความเครียด อากาศเปลี่ยนแปลง ความร้อน ฮอร์โมน การสัมผัส การใช้สกินแคร์ที่มากเกินความจำเป็น  

 บอกลา "หน้ามัน" ด้วย 8 วิธีง่ายๆ แบบธรรมชาติ

และสำหรับวิธีแก้ “หน้ามัน” สูตรธรรมชาติ แบบง่ายๆ มีอยู่ 8 วิธีด้วยกัน ที่อยากจะแนะนำ โดยใช้วัตถุดิบธรรมชาติใกล้ตัวของเรา และ มีสรรพคุณในการช่วยลดความมันบนใบหน้า ที่สามารถทำได้เองง่ายๆ และ ไม่เป็นอันตรายต่อผิวหน้า ดังนี้

1. “มะเขือเทศ” สรรพคุณจะทำให้ผิวพรรณสดใส ช่วยในเรื่องของการควบคุมความมันบนใบหน้าได้ ซึ่งสามารถทำได้ง่ายๆ เพียงนำมะเขือเทศสดมาล้างทำความสะอาด หั่นแล้วปั่นให้ละเอียด นำมาพอกให้ทั่วใบหน้าทิ้งไว้ 15- 20 นาที แล้วล้างออกด้วยน้ำสะอาด ทำอย่างน้อยอาทิตย์ละ 3 ครั้ง ก็จะสามารถลดอาการ “หน้ามัน” ลงได้

 บอกลา "หน้ามัน" ด้วย 8 วิธีง่ายๆ แบบธรรมชาติ

2. “มะละกอสุก” นำมาพอกหน้าจะช่วยลดความมันได้ เพราะในมะละกอสุก อุดมไปด้วยวิตามินซีและอีสูง มีส่วนช่วยในการลดความมันและรอยด่างดำบนใบหน้า ทั้งยังช่วยขัดเซลล์ผิวที่ตายแล้วให้หลุดลอกออกไปด้วย เพียงแค่นำมะละกอสุก 1 ชิ้น มาบดให้ละเอียด แล้วบีบน้ำมะนาวประมาณครึ่งลูกผสมลงไปให้เข้ากัน ใส่น้ำผึ้งอีก 2 ช้อนโต๊ะ คนให้เป็นเนื้อเดียวกัน นำส่วนผสมที่ได้มาพอกหน้าทิ้งไว้ประมาณ 20 นาที แล้วล้างออกด้วยน้ำอุ่น ต่อด้วยน้ำเย็น ก็จะช่วยได้

 บอกลา "หน้ามัน" ด้วย 8 วิธีง่ายๆ แบบธรรมชาติ

3. “น้ำมะนาว” นำน้ำมะนาวปริมาณ 1 ช้อนโต๊ะ มาผสมกับน้ำเปล่า 2 ช้อนโต๊ะ ผสมให้เข้ากันแล้วนำสำลีก้อนจุ่มลงไปแล้วนำไปเช็ดหน้าให้ทั่วทิ้งไว้ประมาณ 30 นาที แล้วล้างออกด้วยน้ำสะอาด แนะนำให้ทำสัปดาห์ละ 1 ครั้ง จะช่วยลดความมันบนใบหน้า

 บอกลา "หน้ามัน" ด้วย 8 วิธีง่ายๆ แบบธรรมชาติ

4. “แตงกวา” จะช่วยในเรื่องเติมความชุ่มชื้นให้กับผิวหน้า ลดความหมองคล้ำและริ้วรอย แค่นำแตงกวามาหั่นบางๆ แช่ลงในน้ำผึ้ง แล้วนำมาแปะตามใบหน้า ใช้เวลาครึ่งชั่วโมงแล้วล้างออก ให้ทำอาทิตย์ละ 2-3 ครั้ง ก็จะช่วยลดอาการ “หน้ามัน” ได้ดี

 บอกลา "หน้ามัน" ด้วย 8 วิธีง่ายๆ แบบธรรมชาติ

5. “ว่านหางจระเข้” ช่วยลดความมันบนใบหน้า เพียงแค่นำวุ้นว่านหางที่ล้างจนสะอาดไร้ยางแล้ว มาสไลซ์เป็นแผ่นบางๆ แล้ววางให้ทั่วใบหน้า ทิ้งไว้ 15 นาที แล้วล้างออก เพียงเท่านี้หน้าของคุณจะใสขึ้น นอกจากจะช่วยลดความมันแล้ว ยังช่วยให้หน้าชุ่มชื้นขึ้นอีกด้วย 

 บอกลา "หน้ามัน" ด้วย 8 วิธีง่ายๆ แบบธรรมชาติ

6. “มะขามเปียก” มีวิตามิน AHA กระตุ้นเซลล์ผิว ลดสิว ลดความมัน แค่เรานำมะขามเปียกมาพอกหน้าไว้ก่อนนอนทิ้งไว้ 10-15 นาทีแล้วล้างออกด้วยน้ำเย็น จะช่วยลดอาการ “หน้ามัน” ได้อย่างดี

 บอกลา "หน้ามัน" ด้วย 8 วิธีง่ายๆ แบบธรรมชาติ

7. “แอปเปิ้ล+น้ำผึ้ง” ให้เตรียมแอปเปิ้ล 1 ผล และน้ำผึ้ง 4 ช้อนโต๊ะ นำแอปเปิ้ลมาปอกเปลือกแล้วล้างให้สะอาด และ หั่นเป็นชิ้นเล็กๆ นำไปใส่ในเครื่องปั่น และ ใส่น้ำผึ้งลงไป ปั่นส่วมผสมทั้งสองให้ละเอียด แล้วนำมาพอกหน้าทิ้งไว้ประมาณ 15 นาที แล้วล้างออกให้สะอาด

 บอกลา "หน้ามัน" ด้วย 8 วิธีง่ายๆ แบบธรรมชาติ

8. “หัวไชเท้า” อุดมด้วยวิตามินซี ฟอสฟอรัส และ วิตามินบี ทำให้ผิวมีความชุ่มชื้น เปล่งปลั่ง ฆ่าเชื้อแบคทีเรียบนผิวหน้าได้  เพียงใช้หัวไชเท้าแช่เย็น 2ช้อนชา นมสด 3 ช้อนโต๊ะ แตงกวาปั่น 1ช้อนชา คนให้เข้ากันพอกหน้าไว้ 10 นาที และ ล้างออกทำอาทิตย์ละ 2 ครั้ง จะช่วยลดความมันของหน้าได้

 บอกลา "หน้ามัน" ด้วย 8 วิธีง่ายๆ แบบธรรมชาติ

“5 จุด” ถ่ายภาพฤดูฝน ณ สังขละบุรี จ.กาญจนบุรี ที่นักท่องเที่ยวห้ามพลาด #SootinClaimon.Com

#SootinClaimon.Com : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์คมชัดลึก

https://www.komchadluek.net/news/lifestyle/473299

“5 จุด”ถ่ายภาพฤดูฝน ณ สังขละบุรี จ.กาญจนบุรี ที่นักท่องเที่ยวห้ามพลาด

7 กรกฎาคม 2564 – 21:00 น.

ฤดูฝนแบบนี้ผู้เขียน จึงนึกถึงภาพเก่า ๆ ที่ได้ไปทริป สังขละบุรี จ.กาญจนบุรี อีกหนึ่งที่ท่องเที่ยวที่ควรไปยลสัมผัสวัฒนธรรม ซึ่งช่วงหน้าฝนแบบนี้ใครบอกว่าถ่ายรูปไม่สวย เราเลยชี้พิกัด บอกเป้า 5 จุดถ่ายภาพ มาให้ชมกัน แต่ฤดูฝนนี้น่าจะลำบาก เพราาะติดเรื่องโควิด19

สังขละบุรี” จังหวัดกาญจนบุรี เป็นอีหนึ่งพิกัด สำหรับนักท่องเที่ยวที่ถือเป็นจุดหมายปลายทาง ที่จะได้ใกล้ชิดกับวัฒนธรรมของของคนพื้นถิ่นที่คาบเกี่ยววิถีชีวิตของคน 2 ชนชาติ เพราะเขตแดนของประเทศไทย และเพื่อนบ้านอย่างเมียนมา ที่มีคนไทยเชื้อสายมอญอาศัยอยู่ ส่งผลให้อารยธรรมที่หลากหลายได้ผนวก ผสานกัน ณ ที่แห่งนี้ กลายเป็นเอกลักษณ์และความน่าพิศมัยของชาวสังขละบุรี ที่นักท่องเที่ยวชื่นชอบ 

อย่างที่ทราบกันดีว่า หากเราตั้งต้นเดินทางจาก กรุงเทพมหานคร ไปยังห่าง สังขละบุรี นะยะทางคร่าว ๆ อยู่ที่กว่า 300 กิโลเมตร ใช้เวลาเดินทาง 5-6 ชั่วโมง ในรูปแบบนักท่องเที่ยว ที่ใช่ขนส่งสาธารณะ จากกรุงเทพฯ ไปยังปลายทาง

"5 จุด"ถ่ายภาพฤดูฝน ณ สังขละบุรี จ.กาญจนบุรี ที่นักท่องเที่ยวห้ามพลาด

จากประสบการณ์ของผู้เขียนเอง เราเดินทางโดยนั่งรถตู้ “หมอชิต-กาญจนบุรี“ประมาณ 05.30 น. ซึ่งรถจะไปจอดที่ ขนส่งกลางของจังหวัดกาญจนบุรี ในเวลาประมาณ 7.00 น.+ จากนั้นเราต่อรถตู้อีกที จาก”กาญจนบุรี-สังขละบุรี” ที่เขียนบอกไว้ ซึ่งเวลาเกือบ 8 โมง รถตู้คันดังกล่าวจะถึงยังปลาย”สังขละบุรี”ประมาณ 12.00 น.+ กว่าๆ แน่นอนว่าช่วงว่างในการนั่งรถตู้เกือบครึ่งวันนั้น ไม่ต้องทำอะไรหลับได้ยาว ๆ หรือ จะเตรียมเสบียงไว้ก็ได้ แต่อย่าทานเยอะถ้าปวดท้องขึ้นมาลำบากเอาเรื่อง

เมื่อเราถึงที่พักแล้วก็สามารถเช่ามอเตอร์ไซค์ไว้ขับเล่นได้ตามสบาย แน่นอนว่าครึ่งวันหลังใช้เวลาดื่มด่ำกับบรรยากาศตอนเย็น ๆ ของพื้นที่วางแผนเที่ยว หาเสบียงทานตอนกลางคืน เพื่อทริปตอนเช้าดีกว่า ลืมบอกไปว่าทริปนี้เรามาช่วงฤดูฝนพอดี ฉะนั้นภาพที่ออกมาจะดูเย็น ๆ แปลกตาไปอีกแบบ  

หลังจาเมาท์ไปเยอะแล้วเข้าเนื้อหาที่จะนำเสนอเลยแล้วกัน เพราะทริปนี้มีแต่ฝน เราเลยให้ชื่อว่า “ฤดูฝนมนต์ สังขละบุรี”เพราะเชื่อว่าน้อยคนที่อยากถ่ายรูปในช่วงนี้ ในจะกล้องที่ไม่ถูกกับน้ำ ไหนจะชุด หน้าผม นางแบบนายแบบ ไหนจะการเดินทาง 

https://www.facebook.com/PhoenBKK

1. สำหรับจุดแรกที่คุณจะได้ภาพเก๋ ๆ คือ “สถานที่พัก”เพราะเราต้องเปิดข้อมูลตามรีวิวแล้ว ว่าอยากพักแบบไหน ส่วนทริปของผู้เขียนเรานอนแพ ที่ถูกปลูกอยู่ริมเขื่อน บอกเลยฟินมาก 

2. ถัดมาเราต้องไปยัง”สะพานอุตตมานุสรณ์ หรือ สะพานมอญ” ซึ่งเป็นสะพานไม้ยาวที่สุดในประเทศไทยที่มีความยาวมากถึง 850 เมตร แถมแต่ละช่วงก็มีภาพถ่ายของนักท่องเที่ยวให้ชมต่างกันไป 

"5 จุด"ถ่ายภาพฤดูฝน ณ สังขละบุรี จ.กาญจนบุรี ที่นักท่องเที่ยวห้ามพลาด

3. ถัดมา “วัดวังก์วิเวการาม หรือ วัดหลวงพาออุตตมะ”วัดนี้เดิมเป็นวัดเก่าที่ตั้งใหม่ เพราะวัดเก่าเดิมนั้นโดนน้ำท่วมเนื่องจากการผลของการสร้างเขื่อน ชาวมอญจึงย้ายขึ้นมาสร้างใหม่ในพื้นที่ปัจจุบัน อันนี้เรามาในพื้นที่ทั้งทีต้องเข้าไปกราบไหว้ สักการะสิ่งศักดิ์กันสักหน่อยเพื่อความสบายใจ และสิริมงคล

4. “เจดีย์พุทธคยา”สีทองอร่าม เป็นอีกหนึ่งพิกัดที่สามารถเดินทางไปถ่ายได้ นอกจากมีความสวยงามแล้ว ยังได้เห็นงานพุทธศิลป์รูปแบบวัดในประเทศเมียนมาให้เราได้เรียนรู้กันด้วย ซึ่งด้านหน้าทางเข้าก่อนถึงบันไดขึ้นเจดีย์มีสิงห์ 2 ตัว แบบมอญตั้งอยู่ทางเข้า 

5. สุดท้ายแล้วสำหรับคนมีเวลาน้อย “สังขละบุรี”นอกจากจะต้องล่องเรือแล้ว กิจกรรมยาวเช้าอย่างนุ่งชุดมอญตักบาตร ทานไข่กระทะ ต้องไม่ควรพลาด พลาด เราจะได้เห็นคนพื้นที่ ที่จะแต่งตัวมาต้อนรับ และได้เก็บภาพเป็นความประทับใจไว้ แน่นอนว่านี่คือ “ไฮไลท์”ของทริปเลยก็ว่าได้

"5 จุด"ถ่ายภาพฤดูฝน ณ สังขละบุรี จ.กาญจนบุรี ที่นักท่องเที่ยวห้ามพลาด
"5 จุด"ถ่ายภาพฤดูฝน ณ สังขละบุรี จ.กาญจนบุรี ที่นักท่องเที่ยวห้ามพลาด

จริงแล้วผู้เขียนยังได้ไปอีกหลายจุด แต่ขอบอกพิกัดพิเศษ ๆ ที่ต้องไปก็น่าจะเพียงพอ ซึ่ง “สังขละบุรี”ครั้งนี้ภาพรวมแม้ว่าเราจะทำกิจกรรมที่บอกกันอย่างฉุ่มฉ่ำ แต่ก็ถือว่าได้ภาพสวย ๆ อีกแบบที่อยากให้ไปสัมผัสกัน ลองแวะไปปักหมุดเช็คอินตามสไตล์ของแต่ละคนกันได้ 

“ไม่มีแผ่ว” 4 กลุ่ม “ไม้ใบ” ไม่มีวันตาย ผู้ค้ารายใหม่แห่เข้าตลาด “ไม้ด่าง” #SootinClaimon.Com

#SootinClaimon.Com : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์คมชัดลึก

https://www.komchadluek.net/news/lifestyle/473343

“ไม่มีแผ่ว” 4 กลุ่ม “ไม้ใบ” ไม่มีวันตาย ผู้ค้ารายใหม่แห่เข้าตลาด “ไม้ด่าง”

7 กรกฎาคม 2564 – 20:57 น.

วงการต้นไม้ กระแส “ไม่มีแผ่ว” 4 กลุ่ม “ไม้ใบ” ยอดนิยมราคายังพุ่งสูงขึ้น ดันผู้ค้ารายใหม่แห่เข้าตลาด “ไม้ด่าง”

กระแสต้นไม้ที่กำลังมาแรงในขณะนี้ ที่น่าจับตามอง คือไม้ในร่ม ไม้ด่าง ไม้เลี้ยงในบ้าน อย่างไม้ใบ ในตระกูล Monstera ตระกูลPhilodendron โดยเฉพาะในกลุ่ม Monstera full mint ที่กำลังเป็นที่ฮือฮา มีราคาสูงถึงหลักล้าน ตามติดมาด้วยไม้ในกลุ่ม Alocasia ต่างๆ และกลุ่มกล้วยด่างต่าง ๆ และยังมีแยกย่อยไปอีกเช่น ตระกูล Syngonium หรือตระกูลเงินไหลมา สำหรับเทรนด์ในช่วงนี้ จะไปอยู่ที่ความสวยงาม ด่าง และหยิบต้องได้ กลายเป็นกระแสแทบจะทั้งสิ้น และสิ่งที่ทำให้เกิดเป็นกระแสนิยม มักจะตามมาด้วยเรื่องราวดราม่า ซึ่งนั่น ยิ่งส่งเสริมให้กระแสของต้นไม้ กลายเป็นที่สนใจมากขึ้น 

"ไม่มีแผ่ว" 4 กลุ่ม "ไม้ใบ" ไม่มีวันตาย ผู้ค้ารายใหม่แห่เข้าตลาด "ไม้ด่าง"

ผู้ขายรายหนึ่ง ให้ข้อมูลว่า สถานการณ์ของโควิด-19 นับเป็นจุดเปลี่ยนที่ทำให้วงการต้นไม้ขยายตัวมากขึ้น หลายคนสนใจเพราะชื่นชอบในการปลูกต้นไม้ และมองว่าต้นไม้ราคาแพง เป็นหนึ่งในเครื่องประดับ ที่อวดโฉมความงามในบ้านเรือน ยิ่งไม้ราคาสูง ยิ่งเพิ่มบารมี ในขณะเดียวกัน อีกกลุ่มที่ก้าวเข้ามาในวงการต้นไม้  คือกลุ่มที่มองเห็นหนทางในการสร้างรายได้เสริม จากต้นไม้ที่มีราคาแพงเหล่านั้น ในช่วงเริ่มการระบาดโควิด-19 ระลอกแรก กระแสต้นไม้เริ่มมีมาครั้งแรก ดารามีชื่อเสียงหลายคน ส่งผลให้ราคาต้นไม้พุ่งสูงขึ้น แต่ก็เพียงในกลุ่มเล็กๆไม่กี่กลุ่มเท่านั้น แต่วงการต้นไม้ มีวงจรการหมุนเวียนของกระแสอย่างต่อเนื่อง จากไม้ใบ ไปยังไม้ด่าง มาสู่กล้วย หลายตัวเกิดมาอย่างรวดเร็ว และกระแสตกลงไป แต่มีอยู่เพียง 4 กลุ่มที่ ที่ยังคงมีราคาพุ่งสูงอย่างต่อเนื่อง และยาวนาน ได้แก่

ไม้ในกลุ่มMonstera ที่มียังมีราคาสูงขึ้น ตั้งแต่เริ่มขายใบละ 5 พัน ขยับตัวขึ้นมาถึง ใบละ 3-4 แสนบาท และยังคงมีความนิยมมากในกลุ่มMonsteraด่าง แทบทุกสายพันธุ์ ทั้ง Monstera albo variegata,monsteramint,Monstera Borsigiana Aurea Variegated,monsterawhitemint 

"ไม่มีแผ่ว" 4 กลุ่ม "ไม้ใบ" ไม่มีวันตาย ผู้ค้ารายใหม่แห่เข้าตลาด "ไม้ด่าง"

ไม้กลุ่ม Philodendron  ก็ไม่มีวี่แววว่าราคาจะตกลง ความนิยมยังคงเพิ่มสุงขึ้น และยิ่งเพิ่มมากขึ้น เมื่อมาในกลุ่มฟิโลด่าง เช่น  Philodendron billietiae variegated,Philodendron violin var

"ไม่มีแผ่ว" 4 กลุ่ม "ไม้ใบ" ไม่มีวันตาย ผู้ค้ารายใหม่แห่เข้าตลาด "ไม้ด่าง"

ไม้กลุ่มAlocasia ก็ยังไม่มีวี่แววที่จะแผ่วลง จากที่มีความสวยงามจากใบที่แปลกตา ยังมีความด่าง เข้ามาทำให้ราคาพุ่งขึ้นอีกด้วย เช่น Alocasia serendipity variegated และที่น่าจับตามองอีกนึงกลุ่มคือ Syngonium

"ไม่มีแผ่ว" 4 กลุ่ม "ไม้ใบ" ไม่มีวันตาย ผู้ค้ารายใหม่แห่เข้าตลาด "ไม้ด่าง"

เนื่องด้วยตลาดของต้นไม้ เป็นตลาดที่ไม่มีราคากลาง ขึ้นอยู่กับความต้องการซื้อ และการหายาของต้นไม้แต่ละชนิด ทำให้อำนาจการต่อรองเรื่องราคาขึ้นอยู่กับผู้ขาย ขณะที่จำนวนของใบ ยิ่งมาก ยิ่งราคาสูง เนื่องจากผู้ซื้อไม่น้อยมองเห็นโอกาส ที่จะต่อยอดในการหารายได้พิเศษ ตลาดของต้นไม้ แต่เดิมนิยมส่งออกนอก เพราะได้ราคาดีกว่า แต่วันนี้ราคาในไทยพุ่งสูงขึ้น ทำให้ตลาดในไทยคึกคักมากขึ้น โดยเฉพาะ มอนสเตร่า กับฟิโล ที่สามารถส่งออกขายได้ โดยไม่ติดไซเตส

“วิธีกินให้ผอม” ด้วยการจัดจานที่แสนง่าย #SootinClaimon.Com

#SootinClaimon.Com : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์คมชัดลึก

https://www.komchadluek.net/news/lifestyle/473338

“วิธีกินให้ผอม” ด้วยการจัดจานที่แสนง่าย

7 กรกฎาคม 2564 – 20:24 น.

วิธีกินให้ผอม ด้วยการจัดจานที่แสนง่าย ทำร่วมกับ การเลือกกินในปริมาณที่เหมาะสม ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ

ซึ่งในส่วนของการจัดจานก็ไม่ยาก ลองมองจานออกเป็น 3 ส่วน

ส่วนที่ 1 ผักสดและผลไม้หวานน้อย 1:2 ส่วนของจาน

ในส่วนของผักผลไม้ เลือกผักใบเขียว คะน้า บล็อกโคลี่ ปวยเล้ง จะลวก จะผัดน้ำมันน้อย ๆ หรือเน้นผักสด อย่างผักสลัด ผักที่ทานดิบก็ได้ จากนั้นเสริมด้วยผลไม้หวานน้อย ๆ กากใยสูง 5-6 ชิ้น ต่อมื้อ ก็ช่วยให้มื้อนี้ได้วิตามิน และไฟเบอร์ครบถ้วนแล้ว

"วิธีกินให้ผอม" ด้วยการจัดจานที่แสนง่าย

ส่วนที่ 2 โปรตีนดี 1:4 ส่วนของจาน

เลือกกินอกไก่เลาะเอาหนังออก เนื้อปลา เนื้อวัวไม่ติดมัน ต่อมื้อ 120 – 150 กรัม อย่าลืมลดโซเดียมด้วยการปรุงรสอ่อน ๆ แนะนำให้ผัดด้วยน้ำ หรือจี่ไฟปานกลาง แต่ถ้าไม่ถนัด สามารถเลือกผัดด้วยน้ำมัน แต่ใส่เพียงเล็กน้อยพอ

ส่วนที่ 3 คาร์โบไฮเดรตดี 1:4 ส่วนของจาน

เราสามารถเลือกอาหารที่เป็นแป้งแบบไม่ขัดสี อย่างข้าวกล้อง ข้าวไรเบอรี่ ขนมปังโฮวีต  มันม่วง  หรือข้าวโอ๊ตได้ ซึ่งในสัดส่วนของคาร์โบไฮเดรตก็ต้องยอมรับว่า เป็นแหล่งพลังงานที่ร่างกายต้องการ ฉะนั้นไม่ควรมองข้าม หรือละเลย แค่เลือกให้เหมาะสมเท่านั้นก็พอ

สุดท้ายอย่าลืมว่า การกินอาหาร เราต้องกินในปริมาณที่เหมาะสมกับความต้องการของร่างกาย ซึ่งไม่ใช่แค่สัดส่วน การประกอบอาหารแต่ละประเภทก็สำคัญ ฉะนั้นในคนที่กำลังควบคุมน้ำหนัก แนะนำให้เลือกวิธีการปรุงที่ลดไขมันให้น้อยที่สุด เปลี่ยนมาลวก ต้ม ย่าง แทนการทอด ผัด ก็จะช่วยหลีกเลี่ยงไขมันที่ไม่จำเป็นได้ส่วนหนึ่งเช่นกัน

"วิธีกินให้ผอม" ด้วยการจัดจานที่แสนง่าย
"วิธีกินให้ผอม" ด้วยการจัดจานที่แสนง่าย
"วิธีกินให้ผอม" ด้วยการจัดจานที่แสนง่าย
"วิธีกินให้ผอม" ด้วยการจัดจานที่แสนง่าย
"วิธีกินให้ผอม" ด้วยการจัดจานที่แสนง่าย

23 ก.ค.นี้รู้กัน ใครอยู่เบื้องหลัง “โรคระบาด” จุดเริ่มต้นผีดิบยุคโชซอน #SootinClaimon.Com

#SootinClaimon.Com : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์คมชัดลึก

https://www.komchadluek.net/news/lifestyle/473312

23 ก.ค.นี้รู้กัน ใครอยู่เบื้องหลัง “โรคระบาด” จุดเริ่มต้นผีดิบยุคโชซอน

7 กรกฎาคม 2564 – 17:56 น.

ค้นพบที่มา “โรคระบาด” จากสมุนไพรคืนชีพ จุดเริ่มต้น “ผีดิบ” ในยุคโชซอน กับภาคพิเศษของซีรีส์ฟอร์มยักษ์ Kingdom ที่ Netfilx พร้อมให้ชม 23 ก.ค.นี้

Kingdom (ผีดิบคลั่ง บัลลังก์เดือด) ซีรีส์ซอบบี้เกาหลีทาง Netflix ที่มีแฟน ๆ ในไทย รอคอยตอนต่อไปมากที่สุด ล่าสุดได้ปล่อยทีเซอร์ตัวเต็มอย่างเป็นทางการออกมาแล้วในวันนี้ (8 ก.ค.64)

23 ก.ค.นี้รู้กัน ใครอยู่เบื้องหลัง "โรคระบาด" จุดเริ่มต้นผีดิบยุคโชซอน

ฮือฮามาตั้งแต่ตอนจบแค่ 2 นาทีในซีซั่น 2 ที่เปิดตัว “ชอนจีฮยอน” นางเอกเกาหลีชื่อดังจากภาพยนตร์โรแมนติกคอมเมดี้ My Sassy Girl “ยัยตัวร้ายกับนายเจี๋ยมเจี้ยม” มารับบท “อาชิน” ตัวละครใหม่ของ Kingdom (ผีดิบคลั่ง บัลลังก์เดือด) ที่น่าจะกุมเบื้องหลัง และเบาะแสที่ทำให้เกิดโรคระบาดคืนชีพกษัตริย์ จนนำหายนะมาสู่แผ่นดินโชซอน

ก่อนหน้านี้ เมื่อวันที่ 4 มิ.ย. 2564 Netflix ได้ปล่อยตัวอย่าง ผีดิบคลั่ง บัลลังก์เดือด: อาชินแห่งเผ่าเหนือ (Kingdom: Ashin of the North)  ฉบับสั้นเพียงกว่า 20 วินาทีออกมาพร้อมประกาศวันฉายตอนพิเศษ 23 ก.ค.นี้

23 ก.ค.นี้รู้กัน ใครอยู่เบื้องหลัง "โรคระบาด" จุดเริ่มต้นผีดิบยุคโชซอน

ในตัวอย่างตอนพิเศษ เปิดภาพแรกด้วยหนูน้อยอาชินเดินถือคบไฟเข้าไปในถ้ำมืด ภายในถ้ำได้พบสัญลักษณ์แปลก ๆ บนก้อนหิน กับ “สมุนไพรคืนชีพ” ลึกลับ “จะปลุกคนตายให้คืนชีพ มีราคาที่ต้องแลก” จุดระทึกของโรคระบาด โดยทีเซอร์ทางการตัวล่าสุดได้ขยายเรื่องราวที่อาชินวัยเยาว์ได้เข้าไปขอร้องให้ “แก้แค้น” แต่ถูกปฏิเสธจากทางการโชซอน

23 ก.ค.นี้รู้กัน ใครอยู่เบื้องหลัง "โรคระบาด" จุดเริ่มต้นผีดิบยุคโชซอน

ผีดิบคลั่ง บัลลังก์เดือด: อาชินแห่งเผ่าเหนือ (Kingdom: Ashin of the North) ตอนพิเศษ จะทำให้ผู้ชมได้รู้เรื่องราวมากขึ้น ผ่านตัวละครอาชิน หญิงสาวจากแดนเหนือ ซึ่งน่าจะทำให้ได้รู้ที่มาของการแพร่เชื้อผีดิบในเรื่อง Kingdom ที่ยากต่อการควบคุม แถมระบาดรวดเร็ว

Kingdom: Ashin of the North ได้ “คิมซองฮุน” ผู้กำกับคนเดิมจากซีซั่นแรก และผู้ดูแลภาพรวมในซีซีน 2 กลับมานั่งแท่นผู้กำกับอีกครั้ง ส่วนมือเขียนบท “คิมอึนฮี” ที่ทำให้ทั้ง 2 ซีซั่นของ Kingdom ประสบความสำเร็จยังคงรับหน้าที่นี้เหมือนเดิม

23 ก.ค.นี้รู้กัน ใครอยู่เบื้องหลัง "โรคระบาด" จุดเริ่มต้นผีดิบยุคโชซอน

“โรคระบาด” ที่ไม่ได้มีจุดกำเนิดมาตามธรรมชาติ หรือไวรัสไม่ได้มาเอง แต่เป็นเพราะอะไร… อีกอึดใจเดียวได้รู้กัน 

“ไซฟ่อน” เครื่องชงกาแฟมีคลาสของคอกาแฟ #SootinClaimon.Com

#SootinClaimon.Com : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์คมชัดลึก

https://www.komchadluek.net/news/lifestyle/473310

“ไซฟ่อน”เครื่องชงกาแฟมีคลาสของคอกาแฟ

7 กรกฎาคม 2564 – 17:46 น.

“ไซฟ่อน” เครื่องชงกาแฟมีคลาส ของคอกาแฟ ให้รสสัมผัสนุ่ม ละมุนลิ้น ต้นกำเนิดจากฝรั่งเศส

คอกาแฟหลายคน คงรู้จักเครื่องชงกาแฟแมชชีน ดริป หรือ อีกกระแสที่กำลังมาแรง โมกาพอท แต่มีเครื่องชงกาแฟอีกรูปแบบ ที่พึ่งเริ่มเข้ามาเป็นกระแส คอกาแฟตัวจริง คงพอได้สัมผัสลิ้มลองบ้างแล้ว นั่นคือ เครื่องชงกาแฟแบบ“ไซฟ่อน” ซึ่งกำลังเป็นที่นิยมมากในขณะนี้

"ไซฟ่อน"เครื่องชงกาแฟมีคลาสของคอกาแฟ

เครื่องชงกาแฟ“ไซฟ่อน” คือการต้มกาแฟด้วยกาต้มแบบสูญญากาศ ที่ให้รสชาติกาแฟหอมแบกลมกล่อม นุ่มละมุน เนื่องจากการต้มแบบนี้ ได้สกัดเอาน้ำมันกาแฟออกมาจากเมล็ดกาแฟบดได้อย่างเต็มที่ 

ส่วนสิทธิบัตรที่เก่าแก่ที่สุด ที่เครื่องต้มแบบสุญญากาศ มีการบันทึกไว้ว่า Loeff of Berin เป็นผู้ที่จดทะเบียนคนแรกในปี ค.ศ. 1830 ซึ่งถือเป็นกาสูญญากาศต้นแบบ และต่อมาผู้ออกแบบ และจดสิทธิบัตรเครื่องต้มสุญญากาศที่ประสบความสำเร็จในเชิงพาณิชย์เป็นครั้งแรกในปี ค.ศ. 1840 เป็นผู้หญิงจากเมืองลียงประเทศฝรั่งเศสที่ชื่อว่า Marie Fanny Amelne Massot เธอเป็นผู้มีชื่อเสียงและเป็นที่รู้จักกันดีในนาม Mme Vassieux ซึ่งเป็นชื่อที่ใช้ยื่นขอจดสิทธิบัตร

"ไซฟ่อน"เครื่องชงกาแฟมีคลาสของคอกาแฟ

กาต้มของเธอชนิดนี้ ถือเป็นกาต้มที่หรูหราในสมัยนั้น แปลกใหม่ ซับซ้อน มีสไตล์ ให้รสชาติกาแฟที่กลมกล่อมแปลกใหม่ กาแฟที่ชงออกมามีรสชาติ และกลิ่นชัดเจนกว่าเครื่องชงกาแฟแบบอื่น ๆ และแม้กระบวนการชง จะทำยากกว่ากาแฟทั่วไปสักหน่อย แต่การต้มด้วยเครื่องสูญญากาศ ก็กลายเป็นที่นิยมของชนชั้นกลาง – สูง ในยุโรปในเวลาไม่นาน

เครื่องต้มกาแฟแบบไซฟ่อน แพร่หลายอยู่ในยุโรปกว่าครึ่งศตวรรษ จนกระทั้งในปี ค.ศ. 1910 Mrs. Ann Bridges and Mrs. Sutton สองพี่น้องจากรัฐแมสซาชูเซตส์ได้ยื่นจดสิทธิบัตรอุปกรณ์ที่เรียกว่า “Silex” ซึ่งเป็นแก้วสูญญากาศทำจากแก้ว Pyrex ที่ผลิตโดย Corning Glass Works ในนิวยอร์ก และพวกเขาได้รับสิทธิบัตรเครื่องต้ม Silex รวมถึงสัญญาการผลิตให้กับโรงแรมชั้นนำ รวมถึงสถานประกอบการเชิงพาณิชย์อื่น ๆ มากมาย

และนั่นคือต้นแบบของกาต้นแบบ Siphon ก่อนจะแพร่หลายเข้าสู่ประเทศต่าง ๆ ทั่วโลก รวมถึงญี่ปุ่น ประเทศนักประดิษฐ์ที่ต่อมาได้พัฒนาสิ่งที่เรียกว่า Japanese Style Siphon ซึ่งออกแบบให้กาต้ม Siphon ต้มได้ง่าย และสะดวกขึ้น พร้อมทั้งให้รสชาติกาแฟชัดเจน ละมุน และดีเยี่ยมในทุกมิตินั่นเอง อ่านประวัติศาสตร์กันแล้ว หลายคนคงนึกอยากดื่มกาแฟดี ๆ สักแก้วกันแล้วใช่มั้ย 

ดื่ม “น้ำมะพร้าว” ช่วยเครื่่องฟิต สตาร์ทติดง่าย จริงหรือ #SootinClaimon.Com

#SootinClaimon.Com : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์คมชัดลึก

https://www.komchadluek.net/news/lifestyle/473273

ดื่ม “น้ำมะพร้าว” ช่วยเครื่่องฟิต สตาร์ทติดง่าย จริงหรือ

7 กรกฎาคม 2564 – 15:06 น.

ดื่ม “น้ำมะพร้าว” ช่วยเครื่่องฟิต สตาร์ทติดง่าย จริงหรือ

กลายเป็นประเด็นที่ถกเถียงกันมานาน เกี่ยวกับการดื่ม “น้ำมะพร้าว” เพื่อช่วยเพิ่มพลังสมรรถภาพทางเพศ เพราะในช่วงที่ผ่านมา หลังจากมีข่าวคึกโครมจนกลายเป็นกระแส กรณีคุณลุงวัย 64 อยู่กันกับภรรยามาถึง 14 ปี แต่แล้วจู่ๆ ภรรยากลับไปแจ้งความกับเจ้าหน้าที่ตำรวจ เพื่อขอเลิกกับสามี

ดื่ม "น้ำมะพร้าว" ช่วยเครื่่องฟิต สตาร์ทติดง่าย จริงหรือ

โดยมีสาเหตุหลักๆ มาจาก สามีเซ็กส์จัดเกินไป แถมขอมีเพศสัมพันธ์ถึงวันละ 4 รอบ  บางครั้งวันหยุด ขอมากถึง 5-6 รอบ ซึ่งคุณป้ารายนี้ได้อธิบายในรายละเอียดว่า เป็นเพราะสามีดื่ม “น้ำมะพร้าว” เป็นประจำทุกวัน และเชื่อว่าเป็นต้นเหตุทำให้เกิดพลังทางเพศ จนกลายเป็นเรื่องราวที่ถูกแชร์กันในโลกโซเชียล เมื่อครั้งอดีตที่ผ่านมานั้น

ดื่ม "น้ำมะพร้าว" ช่วยเครื่่องฟิต สตาร์ทติดง่าย จริงหรือ

ดังนั้น ในวันนี้จึงขอย้อนเรื่องราวที่เกิดขึ้น ว่าแท้จริงแล้ว การดื่ม “น้ำมะพร้าว” เป็นประจำทุกวันนั้น จะเกี่ยวข้องหรือช่วยให้เพิ่มพลังทางเพศ  ได้จริงหรือไม่

เกี่ยวกับเรื่องนี้ ศัลยแพทย์ระบบทางเดินปัสสาวะ ได้ไขคำตอบและข้อสงสัยที่เกิดขึ้นโดยระบุว่า สรรพคุณของ “น้ำมะพร้าว”  นอกจากจะใช้ล้างหน้าให้สะอาดสดชื่นแล้ว  “น้ำมะพร้าว” ยังมีสรรพคุณเป็นเครื่องดื่มบำรุงกำลังทางเพศได้ด้วยนะครับ

ดื่ม "น้ำมะพร้าว" ช่วยเครื่่องฟิต สตาร์ทติดง่าย จริงหรือ

เนื่องจากใน “น้ำมะพร้าว” จะมี “ฮอร์โมนไฟโตเอสโตรเจน” (phytoestrogen) ที่มีโครงสร้างและการออกฤทธิ์คล้ายคลึงกับฮอร์โมนเอสโตรเจน (ฮอร์โมนเพศหญิง) ครับ ซึ่งจะช่วยลดอาการร้อนวูบวาบ อารมณ์แปรปรวนผันผวน และเหงื่อออกกลางคืนในสตรีวัยทองได้

และ “ฮอร์โมนเอสโตรเจน” ก็จะทำให้สตรี มีผิวพรรณที่ “เปล่งปลั่ง เต่งตึง อวบอูม โหนกนูน” ดูมีน้ำมีนวลขึ้นมา ฉะนั้นสาว ๆ ที่ชอบดื่ม “น้ำมะพร้าว” เป็นประจำ ก็มักจะมีหน้าตาผ่องใส ผิวพรรณเต่งตึง 

ส่วนในผู้ชายนั้น หากดื่ม “น้ำมะพร้าว” เป็นประจำ ก็จะช่วยเพิ่ม ฮอร์โมนเทสโทสเตอโรน ซึ่งเป็นฮอร์โมนเพศชาย แต่ไม่มาก พร้อมกับทำให้เกิดความคึกคะนองได้บ้าง ทั้งนี้ นอกจากฮอร์โมนแล้ว “น้ำมะพร้าว” ยังมีแร่ธาตุอีกเป็นจำนวนมาก ที่ช่วยเพิ่มความฟิต ไม่ว่าจะเป็น แมงกะนีส โพแทสเซียม และวิตะมินต่าง ๆ ซึ่งเป็นตัวช่วย และกระตุ้นการไหลเวียนของโลหิต

และการกระตุ้นการไหลเวียนของโลหิต เนี่ยแหละครับ อาจเป็นเหตุผลหลัก ที่ทำให้ “น้ำมะพร้าว” กลายเป็นเครื่องดื่มที่ช่วยเพิ่มพลังให้กับคุณผู้ชายหลาย ๆ คน เพราะเมื่อเลือดไหลเวียนดี ก็จะทำให้สุขภาพแข็งแรง และจะส่งผลทำให้เกิดการตื่นตัวของน้องชายได้นะครับ

ขอบคุณข้อมูล “น้ำมะพร้าว” จาก  /  Sarikahappymen

เช็กลิสต์ด่วน อาการของ “ลูกน้อย” ป่วยเป็น โควิด-19 หรือแค่ไข้หวัดทั่วไป #SootinClaimon.Com

#SootinClaimon.Com : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์คมชัดลึก

https://www.komchadluek.net/news/lifestyle/473258

เช็กลิสต์ด่วน อาการของ “ลูกน้อย” ป่วยเป็น โควิด-19 หรือแค่ไข้หวัดทั่วไป

7 กรกฎาคม 2564 – 13:31 น.

เช็กลิสต์ด่วน เทียบอาการชัด ๆ “ลูกน้อย” ป่วยเป็น โควิด-19 หรือแค่ไข้หวัดทั่วไป หากมีประวัติเสี่ยงร่วมด้วยควรรีบปรึกษาแพทย์

คุณพ่อคุณแม่หลายท่านคงเป็นกังวลเป็นห่วง “ลูกน้อย” ขณะที่มีการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรน่า 2019 หรือ โรคโควิด-19 (COVID-19) อาการแบบนี้ของลูกน้อย ติดเชื้อ “โควิด-19” หรือเป็น “ไข้หวัด” กันแน่ มาเช็กอาการเบื้องต้นกันก่อนเลย

อาการบ่งชี้ โควิด-19 (COVID-19)

  • มีไข้สูงมากกว่า 37 องศาเซลเซียส
  • ไอ มีเสมหะ เจ็บคอ เกิน 4 วัน
  • คลื่นไส้ อาเจียน ท้องเสีย
  • หายใจลำบาก (กรณีปอดอักเสบ ปอดบวม)
  • ปวดเมื่อยตัว ทานข้าวไม่ค่อยได้

อาการบ่งชี้ ไข้หวัด ทั่วไป

  • ไข้สูง แต่อาการจะค่อย ๆ ดีขึ้น
  • อาจมีไอ จาม
  • ไม่มีอาการท้องเสีย
  • คัดจมูก หายใจไม่สะดวก
  • อ่อนเพลีย ปวดตามตัว

สำหรับเด็กที่มีอาการทางเดินหายใจร่วมกับมีประวัติเสี่ยงต่อการติดเชื้อ โควิด-19 (COVID-19) ควรปรึกษาแพทย์ เพื่อประเมินความเสี่ยง หากพบว่ามีความเสี่ยงจริง แพทย์อาจพิจารณาส่งตรวจเพิ่มเติม เช่น ตรวจหาสารพันธุกรรมของเชื้อไวรัสจากสารคัดหลั่งหลังโพรงจมูกและเอกซเรย์ปอดต่อไป

โควิด-19, เด็กน้อย, ไข้หวัด

ข้อมูล : โรงพยาบาลศิครินทร์

“ท้องไม่พร้อม” ขอ “ทำแท้ง” ได้หรือไม่ #SootinClaimon.Com

#SootinClaimon.Com : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์คมชัดลึก

https://www.komchadluek.net/news/lifestyle/473201

“ท้องไม่พร้อม”ขอ”ทำแท้ง”ได้หรือไม่ 

7 กรกฎาคม 2564 – 10:05 น.

มีข่าวให้เห็นกันอยู่เรื่อย ๆ กรณีการพบเด็กทารกถูกทิ้ง มีทั้งที่เสียชีวิตแล้วและยังมีชีวิตอยู่และแนวโน้มเรื่อง”ท้องไม่พร้อม” เพิ่มสูงขึ้นทุกปี หากผู้หญิงที่”ท้องไม่พร้อม” ขอทำแท้งได้หรือไม่

มีข่าวให้เห็นกันอยู่เรื่อย ๆ กรณีการพบเด็กทารกถูกทิ้ง มีทั้งที่เสียชีวิตแล้วและยังมีชีวิตอยู่และแนวโน้มเรื่อง”ท้องไม่พร้อม”เพิ่มสูงขึ้นทุกปี

ในช่วงการระบาดใหญ่ของ”โควิด 19″ มีหญิง“ท้องไม่พร้อม“เพิ่มสูงขึ้นอย่างมาก

จากสถิติในเดือนพฤษภาคม 2564 มีผู้ที่ท้องไม่พร้อมจำนวน 4,461 คนเฉลี่ยวันละ 149 คน โดยเป็นหญิงอายุต่ำกว่า 20 ปี ถึง 26 คน มากกว่าช่วงสถานการณ์ปกติอย่างเช่นเดือนตุลาคม 2563 ซึ่งมีเพียง 2,490 คน เฉลี่ย 83 คนต่อวัน 

ขณะที่สาเหตุการท้องไม่พร้อมยังคงมาจากหลายสาเหตุและหลายปัจจัยขึ้นอยู่กับความสัมพันธ์ คือ

-ไม่มีการคุมกำเนิดเลย

-วัยรุ่น เยาวชน รู้วิธีการป้องกันแต่รู้ไม่จริงยังขาดความเข้าใจที่แท้จริงกับการป้องกันเมื่อมีเพศสัมพันธ์

-ไม่ได้อยู่กับคู่หรือกับแฟนเป็นประจำ การเลือกวิธีการป้องกันหรือการคุมกำเนิดจึงไม่เหมาะสมหรือไม่ถูกต้องหรือบางครั้งการคุมกำเนิดไม่เอื้อต่อการดำรงชีวิต

เช่นการคุมกำเนิดแบบรายเดือน การคุมแบบฉุกเฉินขณะที่กลุ่มเด็กวัยรุ่นนิยมใช้วิธีการหลั่งข้างนอกทำให้มีโอกาสพลาดที่จะตั้งครรภ์สูงเนื่องจากบ้านเราถุงยางอนามัยราคาค่อนข้างแพงวัยรุ่นจึงไม่นิยมเลือกใช้ถุงยางอนามัย

-วัยรุ่นมีการเรียนรู้การมีเพศสัมพันธ์ผ่านสื่อต่างๆมากขึ้นจากเพื่อนและรุ่นพี่โดยขาดการดูแลชี้แนะในสิ่งที่ถูกต้อง

“ท้องไม่พร้อม”ขอทำแท้งได้หรื่อไม่ ผิดกฎหมายหรือเปล่า 

สำหรับพ.ร.บ.แก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญาฉบับที่ 28 พ.ศ. 2564 ในมาตรา 301 และ 305 ระบุว่า หญิงที่ตั้งครรภ์สามารถยุติการตั้งครรภ์ได้โดยไม่มีความผิดตามกฎหมายภายใต้เงื่อนไข 5 ข้อ ดังนี้

1.ปัญหาสุขภาพกายและสุขภาพจิต

2.ตั้งครรภ์จากการกระทำความผิดอาญาเกี่ยวกับเพศ

3.เสี่ยงคลอดทารกที่มีความผิดปกติถึงขนาดทุพพลภาพอย่างร้ายแรง

4. อายุครรภ์ไม่เกิน 12 สัปดาห์ยืนยันที่จะยุติการตั้งครรภ์

5. อายุครรภ์ 12-20 สัปดาห์ ยืนยันที่จะยุติภายหลังการตรวจและรับคำปรึกษาตามกฎหมาย

10 คุณประโยชน์ที่ได้จาก “หมากฝรั่ง” #SootinClaimon.Com

#SootinClaimon.Com : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์คมชัดลึก

https://www.komchadluek.net/news/lifestyle/473228

10 คุณประโยชน์ที่ได้จาก “หมากฝรั่ง”

7 กรกฎาคม 2564 – 09:59 น.

“หมากฝรั่ง” ผลิตภัณฑ์สำหรับเคี้ยวเพื่อให้เกิดรสสัมผัส ความเข้าใจขั้นพื้นฐานคือ  หมากฝรั่ง  ช่วยดับกลิ่นปาก ทำให้ลมหายใจหอมสดชื่น   แต่แท้จริงแล้วประโยชน์ของหมากฝรั่งมีมากกว่านั้น

หมากฝรั่งในตลาดบริโภคมีทั้ง  หมากฝรั่งไม่มีน้ำตาล หมากฝรั่งสำหรับเลิกบุหรี่  รองรับผู้บริโภคที่รักสุขภาพ สำหรับ หมากฝรั่ง ไม่มีน้ำตาลนั้น ส่วนใหญ่เป็นหมากฝรั่งสำหรับเคี้ยวที่ใช้สารให้ความหวาน แทนน้ำตาล เช่น ไซลิทอล ซึ่งเป็นน้ำตาลแอลกอฮอล์ที่มีคาร์บอน 5 อะตอม ในโครงสร้าง เพราะเชื้อแบคทีเรียในช่องปากไม่สามารถย่อยสลายน้ำตาลแอลกอฮอล์เป็นอาหารได้ จึงช่วยลดปริมาณการเกิดคราบฟัน นอกจากนี้ น้ำตาลแอลกอฮอล์ยังช่วยกระตุ้นการหลั่งของน้ำลาย และเป็นตัวกลางในการนำแร่ธาตุที่มีประโยชน์มาหล่อเลี้ยงฟัน ช่วยลดอาการฟันผุ

ประเภท“หมากฝรั่ง”  หมากฝรั่งมี 2 ชนิด   คือ   หมากฝรั่งสำหรับเคี้ยว (Chewing Gum) และหมาก ฝรั่งสำหรับเป่า (Bubble Gum)   นอกจากหมากฝรั่ง  ทั้ง 2 ชนิด ยังมี  หมากฝรั่งนิโตตินหรือหมากฝั่งเลิกบุหรี่ เป็นหมากฝรั่งที่มีส่วนผสมของนิโคตินสำหรับเคี้ยวเพื่อการเลิกบุหรี่ โดยการลดพฤติกรรมการสูบบุหรี่ แต่ยังได้รับสารนิโคตินที่ผสมในหมากฝั่งเหมือนเดิม แต่สารนิโคตินที่ได้รับจะมีปริมาณน้อยกว่าที่ได้รับจากการสูบจริง จึงทำให้มีแนวโน้มที่ผู้สูบบุหรี่จะเลิกการสูบบุหรี่ได้ หลังการเคี้ยวหมากฝรั่ง  มีการศึกษาถึงประโยชน์ของการเคี้ยวหมากฝรั่งที่น่าสนใจ รวม 10 ด้าน

สร้างเสริมสมาธิและความจำ การศึกษาหลายชิ้นแสดงให้เห็นว่าการเคี้ยว“หมากฝรั่ง”  เพิ่มประสิทธิภาพทางจิต ความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับการทำงาน เช่นความแม่นยำในความจำและการตอบสนอง  การทดสอบเคี้ยวหมากฝรั่ง สามารถเพิ่มการไหลเวียนของเลือดไปยังสมองผ่านการเคี้ยวได้อีกด้วยซึ่งการศึกษาบางชิ้นแสดงให้เห็นถึงการเพิ่มขึ้น 25-40% ว่าการเคี้ยวหมากฝรั่งเพิ่มออกซิเจนไปยังสมอง เพิ่มประสิทธิภาพความจำการรับรู้และการเข้าใจ

เพิ่มความตื่นตัว จากการศึกษาพบว่า หมากฝรั่งสามารถเพิ่มความตื่นตัว การเคี้ยวของกราม ทำให้เกิดการเร้าปฏิกิริยาทางอารมณ์ และ การไหลเวียนโลหิต สิ่งนี้ช่วยให้ผู้คนรู้สึกตื่นตัวมากขึ้น  ลดความเครียดและความวิตกกังวล  หมากฝรั่งสามารถช่วยลดอาการทางประสาทและทำให้รู้สึกสงบ  การเคี้ยวหมากฝรั่งอาจเป็นทางเลือกที่ดีกว่าการกัดเล็บและการสั่นขาเมื่อรู้สึกเครียด การเคี้ยวหมากฝรั่งช่วยลดฮอร์โมนความเครียด

10 คุณประโยชน์ที่ได้จาก "หมากฝรั่ง"
10 คุณประโยชน์ที่ได้จาก "หมากฝรั่ง"
10 คุณประโยชน์ที่ได้จาก "หมากฝรั่ง"
10 คุณประโยชน์ที่ได้จาก "หมากฝรั่ง"
10 คุณประโยชน์ที่ได้จาก "หมากฝรั่ง"

ปกป้องฟัน  สมาคมทันตกรรมอเมริกันระบุว่า การเคี้ยวหมากฝรั่งที่ไม่มีน้ำตาล เป็นเวลา 20 นาที หลังมื้ออาหาร   สามารถลดคราบจุลินทรีย์ช่วยส่งเสริมเคลือบฟัน ลดฟันผุและลดโรคเหงือกอักเสบ   ลดกรดไหลย้อน   การเคี้ยวหมากฝรั่งหลังจากมื้ออาหารอาจช่วยลดกรดในหลอดอาหาร การผลิตน้ำลายที่เพิ่มขึ้น เพิ่มการกลืนซึ่งจะล้างกรดได้เร็วขึ้น     ช่วยเพิ่มลมหายใจที่ดี   หมากฝรั่งบางยี่ห้อ จะช่วยฆ่าแบคทีเรียในปาก และทำให้กลิ่นปากหอมสดชื่น 

ปรับปรุงนิสัยการกิน  หมากฝรั่งสามารถช่วยลดความอยากอาหารบางอย่าง และทำให้กินอาหารได้น้อยลง    ช่วยเลิกสูบบุหรี่  ผลิตภัณฑ์เช่น Nicorette gum   คือหมากฝรั่งที่ให้ปริมาณนิโคตินที่ควบคุมได้ การเคี้ยวหมากฝรั่งสามารถช่วยลดความอยากบุหรี่ในช่องปากได้อีกด้วย  บรรเทาอาการปากแห้ง  การเคี้ยวหมากฝรั่งปราศจากน้ำตาลเมื่อปากแห้ง ช่วยกระตุ้นน้ำลายได้ถึง 10 เท่าของอัตราการพักตัว   บรรเทาอาการปวดหูระหว่างเที่ยวบิน  อาการปวดหูเนื่องจากความดันอากาศเปลี่ยนแปลงระหว่างการบินขึ้นและลงจอดบน  วิธีที่รองรับคือ การเคี้ยวหมากฝรั่ง วิธีนี้จะช่วยในการผลิตน้ำลายเพื่อให้กลืนน้ำลายได้มากขึ้น  สามารถช่วยให้ความกดดันในหูดีขึ้น

ข้อเสียของหมากฝรั่ง:  หมากฝรั่งที่มีส่วนผสมของน้ำตาลมักทำให้เกิดอาการฟันผุได้ง่าย โดยเฉพาะการเคี้ยวในปริมาณมากในเด็ก   การเคี้ยวหมากฝรั่งมาก จะทำให้เกิดอาการเมื่อยล้าของกราม และการระคายเคืองของเยื่อกระพุ้งแก้ม  การเคี้ยวหมากฝรั่งบ่อยๆ อาจทำให้เกิดการติดด้วยพฤติกรรม   อาจมีการกลืนกินหมากฝรั่ง ทั้งที่ตั้งใจหรือไม่ตั้งใจ ซึ่งจะมีผลขัดขวางทางเดินในระบบอาหาร

ขอขอบคุณข้อมูลจาก

http://johjaionline.com/    

https://www.siamchemi.com/