“พ.ร.บ.ไซเบอร์ฯ” อีกมุมที่ทุกคนต้องรู้

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์คมชัดลึก

http://www.komchadluek.net/news/lifestyle/349750

“พ.ร.บ.ไซเบอร์ฯ” อีกมุมที่ทุกคนต้องรู้

วันที่ 27 ตุลาคม 2561 – 08:00 น.
กฎหมาย,รายงานพรบไซเบอร์,พรบไซเบอร์
เปิดอ่าน 2,045 ครั้ง

รัฐบาลได้รับรายงานเกี่ยวกับอาชญากรรมทางไซเบอร์ประมาณ 10,000 กรณีในแต่ละปี ครอบคลุมหลักๆ ได้แก่ การฟอกเงิน การพนันออนไลน์

ต่อเนื่องมาข้ามสัปดาห์ กับ ข่าวร่าง พ..ว่าด้วยการรักษาความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์ ซึ่งเผชิญพายุซัดจากเสียงต้านที่มุ่งโจมตี “จุดอ่อน” ในบางมาตรา จนทำให้ “สาระ” ของความสำคัญและความจำเป็นของกฎหมายด้านนี้ สำหรับทุกประเทศที่อยู่บนแผนที่โลกในยุคดิจิทัล ซึ่งความเสี่ยงภัยสามารถเข้ามาประชิดคนในทุกระดับได้แค่ปลายนิ้ว และในเสี้ยววินาที เพราะแม้กระทั่งรายงานจากเจมัลโต้ เมื่อไม่นานนี้ก็ระบุไว้ชัดเจนว่าทุกๆ วินาทีจะมีการเจาะข้อมูลของชาวโซเชียลมากถึง 291 รายการ ขณะที่ ผลการศึกษาที่ไมโครซอฟท์ ร่วมจัดทำกับบริษัท ฟรอสต์ แอนด์ ซัลลิแวน ก็สะท้อนความเสียหายอีกมุมที่น้อยคนจะคาดถึงของภัยไซเบอร์ว่า “ทำให้คนตกงานเพิ่มขึ้น”

เว็บไซต์ http://www.welivesecurity.com เคยเผยแพร่รายงานเรื่อง “ความท้าทายและความซับซ้อนของการออกกฎหมายด้านความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์ (Challenges and implications of cybersecurity legislation)” ที่สะท้อนชัดถึงบริบทของเส้นทางวิบากที่หลายประเทศต้องเผชิญกว่าจะถึงวันทำคลอด พ..ไซเบอร์ฯ ออกมาใช้งาน

สถานการณ์ความจำเป็นของ กฎหมายไซเบอร์ ก็เนื่องมาจากทุกวันนี้ เทคโนโลยีได้สร้างผลกระทบไปในทุกมิติ และทุกระดับของสังคมมากขึ้นเรื่อยๆ การทำกิจกรรมต่างๆ เกิดขึ้นผ่านมือถือ เครือข่ายออนไลน์ นำไปสู่ยุคที่มนุษย์ติดต่อเชื่อมโยงกันผ่านอินเทอร์เน็ตอยู่ตลอดเวลา (Hyperconnectivity) เป็นปัจจัยเพิ่มความเสี่ยงภัยทางไซเบอร์ในอัตราสูงขึ้นๆ ทำให้มีความจำเป็นที่ต้องมีสร้างความคุ้มครองปกป้องข้อมูลจากความเสี่ยงภัยทางไซเบอร์

อีกปัจจัยที่ทำให้ภัยคุกคามทางไซเบอร์เข้าถึงคนในวงกว้าง และครอบคลุมทุกระดับของสังคมรวดเร็วขึ้ย เป็นผลจากการพัฒนาเทคโนโลยีอย่างรวดเร็ว ใช้ง่ายและมีราคาถูก ทำให้คนทั่วโลกสามารถเข้าถึงข้อมูลข่าวสารได้อย่างไร้ขีดจำกัด สร้างผลกระทบที่อาจถึงขั้นร้ายแรง เช่น การรั่วไหลของข้อมูลที่สำคัญ หรือข้อมูลที่มีชั้นความลับอันอาจส่งผลกระทบต่อเสถียรภาพทางเศรษฐกิจ และความมั่นคงของชาติ

 

กรณีศึกษาจากสหรัฐ รัฐเอกชนแบ่งปันข้อมูล

ปัจจุบัน สหรัฐอเมริกา ประเทศที่เรียกได้ว่าเปิดกว้างและสนับสนุนการพัฒนาเทคโนโลยีในการสื่อสารแบบสุดๆ ยังต้องมีการออกกฎหมายในชื่อ Cyber Security Act 2015 ตั้งแต่ปลายปี 2558 ออกมารับมือภัยเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นทางไซเบอร์ โดยรวางแนวทางและมาตรการ ที่เรียกว่า Cybersecurity National Action Plan (CNAP) ไว้อย่างครอบคลุม ไม่ว่า จะเป็นการสร้างความตระหนัก การคุ้มครองข้อมูลปัจเจกบุคคล และความปลอดภัยทางสังคม จุดเด่นของกฎหมายฉบับนี้คือ สร้างความมีส่วนร่วมระหว่างภาครัฐและเอกชนในการแลกเปลี่ยนข้อมูล เพื่อให้สามารถ “รับมือ” ภัยคุกคามได้อย่างทันการณ์

กลไกหนึ่งที่เป็นทางเลือกสำคัญในการเพิ่ม ความปลอดภัย คือ การใช้ การตรวจสอบข้อมูลส่วนตัวแบบซับซ้อน (multi-factor authentication) ซึ่งเป็นมาตราการทั้ง แบบเทคโนโลยี และการตรวจสอบโดยการซักถามจากผู้ให้บริการ ดำเนินการควบคู่กับสร้างให้ประชาชนมีสำนึกถึงความปลอดภัยในการยอมให้มีตรวจสอบข้อมูล โดยการถาม การกรอก ให้มากขึ้น โดยไม่เคืองผู้ให้บริการ

ระบบนี้ ได้มีการสร้างเครือข่ายพันธมิตรร่วมปฏิบัติการ (National Cyber Security Alliance) ซึ่งล้วนแต่เป็นยักษ์ใหญ่ในโลกออนไลน์และโซเชียล ได้แก่ กูเกิล เฟซบุ๊ก ดรอปบ็อกซ์ และไมโครซอฟท์ รวมทั้ง บริษัทที่ให้บริการทางการเงิน ได้แก่ มาสเตอร์การ์ด วีซ่า เพย์พาล และเวนโม (Venmo)

เมื่อปี 2560 ยังมีการระดมงบประมาณกว่า 19,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เพื่อกิจการด้านความ ปลอดภัยทางไซเบอร์ เพิ่มเติม รับมือความรุนแรงของอาชญากรรมทางไซบอร์ซึ่งสูงขึ้นต่อเนื่อง เช่น การล้วงข้อมูลของ Yahoo และ Equifax การแพร่ระบาดของไวรัส WannaCry ที่อาละวาดแพร่กระจายไปไม่ต่ำกว่า 90 ประเทศทั่วโลก

 

กฎหมายเก่าไม่ทันเกมวายร้ายไซเบอร์

          เมื่อกลางปี 2560 บริษัทกฎมายระดับโลก เบเคอร์แอนด์แมคเคนซี่ ออกรายงานถึงสถานการณ์ความมั่นคงไซเบอร์ของมาเลเซียว่า การที่ยังไม่มีกฎหมายด้านความมั่นคงไซเบอร์ แม้จะมีความพยายามผลักดันก่อนหน้านี้ ทำให้คณะกรรมการเตรียมความพร้อมด้านไซเบอร์แห่งชาติ (National Cyber Security Agency : NCSA) ที่จัดตั้งขึ้นมารับผิดชอบด้านนี้โดยตรง ต้องไปใช้กฎหมายเดิมที่เกี่ยวข้อง อย่างเช่น พ..การสื่อสารและมัลติมีเดีย ค..1998 กฎหมายหมิ่นประมาท ค.. 1957 และกฎหมายยุยงการปลุกปั่น ค.. 1948 เพื่อต่อสู้กับภัยคุกคามทางไซเบอร์ ซึ่งนับว่าไม่เพียงพออย่างยิ่ง เพราะล้วนเป็นกฎหมายที่ล้าหลัง และตามไม่ทันความก้าวหน้าของเทคโนโลยีใหม่

          ขณะที่ รัฐบาลมาเลเซียเองก็ต้องทำงานอย่างหนักเพื่อรับมือภัยคุกคามทางไซเบอร์ โดยเปิดเผยว่ารัฐบาลได้รับรายงานเกี่ยวกับอาชญากรรมทางไซเบอร์ประมาณ 10,000 กรณีในแต่ละปี ครอบคลุมหลักๆ ได้แก่ การฟอกเงิน การพนันออนไลน์ การระดมเงินทุนสนับสนุนของกลุ่มก่อการร้าย เป็นต้น และเมื่อราวกลางปีที่ผ่านมา ไมโครซอฟท์ เปิดเผยรายงานวิจัย “ภาพรวมภัยคุกคามทางไซเบอร์ในเอเชีย แปซิฟิกการปกป้ององค์กรในโลกยุคดิจิทัล” ซึ่งจัดทำร่วมกับบริษัท ฟรอสต์ แอนด์ ซัลลิแวน ว่าภัยไซเบอร์ สร้างความสูญเสียทางเศรษฐกิจให้กับมาเลเซีย 12.2 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ คิดเป็นสัดส่วนมากกว่า 4% ของจีดีพี และนำไปสู่การตกงานในอัตรา ต่อ 5

          รายงานฉบับเดียวกันนี้ ยังเปิดเผยความเสียหายทางเศรษฐกิจในประเทศไทย ที่เป็นผลกระทบมาจากความปลอดภัยทางไซเบอร์ว่า สามารถส่งผลถึง 2.86 แสนล้านบาท หรือเท่ากับ 2.2 % ของจีดีพีประเทศ ซึ่งคิดเป็นมูลค่า 14,360 ล้านล้านบาท

          อีกทั้งพบว่า องค์กรขนาดใหญ่แต่ละแห่งในประเทศไทยอาจเผชิญความเสียหายทางเศรษฐกิจถึง 408 ล้านบาท จากการจู่โจมเพียงครั้งเดียว ซึ่งมีมูลค่าสูงกว่าความเสียหายขององค์กรธุรกิจขนาดกลางถึง 450 เท่า และในปีที่ผ่านมา กว่า ใน ขององค์กร (ประมาณ 60%) จำเป็นต้องทำการปลดพนักงานเนื่องจากภัยคุกคามทางไซเบอร์

          สำหรับองค์กรไทยแล้วภัยจากการถูกโจมตีทางไซเบอร์ที่มีผลกระทบสูงสุด และใช้เวลาแก้ไขฟื้นฟูนานที่สุด คือ การเลียนแบบตัวตนของแบรนด์ในโลกออนไลน์ การขโมยข้อมูล และการทำลายข้อมูล

 

สถานะล่าสุด พ...ไซเบอร์ของไทย

          ดร.พิเชฐ ดุรงคเวโรจน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอีกล่าวว่า กระทรวงฯ อยู่ระหว่างจัดทำรูปแบบการจัดตั้งคณะทำงาน ฝ่าย เพื่อร่วมหารือ พิจารณาข้อขัดข้อง และนำเสนอทางออกร่วมกัน สำหรับร่าง พ..ว่าด้วยการรักษาความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์ พ.. …. ซึ่งได้มีการเปิดรับความคิดเห็น และพบว่าสังคมยังมีความกังวลในบางเรื่อง โดยคาดว่าคณะทำงานชุดนี้จะจัดตั้งได้ภายใน สัปดาห์ คาดหมายว่าแนวทางนี้จะนำไปสู่เป้าหมายที่ทำให้ พ...ไซเบอร์ เป็นที่ยอมรับ

          โดยล่าสุดมีรายงานข่าวระบุว่า มีความคืบหน้าของคณะทำงาน ฝ่ายชุดนี้แล้ว และเตรียมเปิดเวทีร่วมประชุมระดมสมองและแลกเปลี่ยนข้อคิดเห็นกันในเร็วๆ นี้

          แนวทางดังกล่าวเพื่อให้เกิดการมีส่วนร่วม คณะทำงาน ฝ่าย จะประกอบด้วย ภาครัฐที่เกี่ยวข้อง ภาคธุรกิจหรือตัวแทนฝ่ายเอกชนที่เกี่ยวข้อง และภาคประชาสังคม ซึ่งอาจครอบคลุมถึงนักวิชาการที่มีความเชี่ยวชาญ และสถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (ทีดีอาร์ไอ)

          โดยในส่วนของภาคธุรกิจ ที่เตรียมเชิญเข้ามาร่วมในคณะทำงานชุดนี้ ครอบคลุมทุกกลุ่มซึ่งมีความเสี่ยงว่าหากได้รับผลกระทบจากภัยคุกคามไซเบอร์ ก็จะส่งผลกระทบในภาพรวมถึงประชาชนด้วย ได้แก่ สมาคมโทรคมนาคมแห่งประเทศไทย กลุ่มสถาบันการเงิน ภาคขนส่ง สายการบิน พลังงาน และสาธารณสุข เป็นต้น

          พูดถึง พ...ไซเบอร์ ความกังวลที่ผ่านมาที่เราเห็นตามสื่อ ทางกระทรวงฯ รับฟัง และเมื่อสังคมกำลังกังวลอยู่บางเรื่อง เราก็จะรีบเคลียร์ก่อน ยังไม่นำเสนอเข้าสู่การพิจารณาในระดับต่อไป โดยกระบวนการขั้นตอนที่เราจะเคลียร์ ณ วันนี้ คือ นำความคิดเห็นที่เปิดรับทั้งจากเวทีรับฟังความคิดเห็น และทางเว็บไซต์ ซึ่งประมวลเกือบเสร็จแล้ว และจัดหมวดหมู่ เพื่อนำมาใช้ประกอบการทบทวนร่างกฎหมายที่ทำมา” ดร.พิเชฐกล่าว

          หลังจากผ่านกระบวนการนำเสนอทางออกร่วมกันของคณะทำงาน ฝ่ายข้างต้น ก็จะนำร่าง พ..ไซเบอร์ ที่ผ่านความเห็นชอบร่วมกันทุกฝ่าย เสนอเข้าสู่การพิจารณาของคณะรัฐมนตรี (ครม.) เพื่อส่งเวียนขอรับทราบความเห็นของหน่วยงานต่างๆ จากนั้นจึงนำเสนอสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) ซึ่งขั้นตอนนี้ใช้เวลาอีกหลายเดือน อย่างไรก็ตามไม่มีเงื่อนจำกัดด้านระยะเวลา เนื่องจาก รมวกระทรวงดีอี ย้ำว่าพร้อมที่จะให้ความสำคัญกับเรื่องความถูกต้องและความเหมาะสมของการออกกฎหมายฉบับนี้

พาชมงาน “ซีบิท อาเซียน ไทยแลนด์ 2018” โชว์เทคฯ ระดับโลก!

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์คมชัดลึก

http://www.komchadluek.net/news/lifestyle/348618

พาชมงาน “ซีบิท อาเซียน ไทยแลนด์ 2018” โชว์เทคฯ ระดับโลก!

วันที่ 19 ตุลาคม 2561 – 06:00 น.
CEBIT ASEAN Thailand 2018,ไอที,เทคโนโลยี,น้องดินสอ,ดรพิเชฐ ดุรงคเวโรจน,วิทยาการ,ไอทีวิทยาการ,เทคโนโลยีดิจิทัล,เน็ตประชารัฐ
เปิดอ่าน 2,328 ครั้ง

รู้ไว้เลย งานนี้คืองานที่คนรักเทคโนโลยี และผู้ประกอบการในอุตสาหกรรมนี้แทบทุกคน ต่างใฝ่ฝันว่าอยากมีโอกาสไปสักครั้งในชีวิต ใครพลาด เสียดายแย่!!!

          หลายปีก่อน เคยมีโอกาสไปเดินชมงานแสดงเทคโนโลยีสุดยิ่งใหญ่ “ซีบิท” (CEBIT) ที่คนรักเทคโนโลยี และผู้ประกอบการในอุตสาหกรรมนี้แทบทุกคน ต่างใฝ่ฝันว่าอยากมีโอกาสไปสักครั้งในชีวิต เรียกได้ว่างานนี้เป็นงานแสดงอุตสาหกรรมดิจิทัลยิ่งใหญ่ที่สุดของเยอรมนี จัดขึ้นเป็นประจำทุกปี ที่เมืองฮันโนเวอร์ ดังนั้นตั้งแต่เริ่มแรกที่ได้ข่าวว่างานนี้จะขยายเวทีการจัดงานเข้ามายังภูมิภาคอาเซียนเป็นครั้งแรก โดยเลือก “ประเทศไทย” เป็นสถานที่จัดงานในชื่อ “CEBIT ASEAN Thailand 2018” จึงตั้งตารออย่างจริงจัง

          เพราะแว่วๆ มาว่าแม้จะจัดงานครั้งแรกในอาเซียน แต่ก็ถูกออกแบบให้ใกล้เคียงกับงาน CEBIT หลักในประเทศเยอรมนี

          CEBIT ASEAN Thailand 2018” จัดขึ้น วัน ระหว่างวันที่ 18-20 ตุลาคม ที่อิมแพ็ค เมืองทองธานี และแค่วันแรกของการเปิดงาน ก็สร้างสีสันด้วยการจัดให้ “น้องดินสอ” หุ่นยนต์สัญชาติไทยซึ่งเปิดตลาดส่งออกไปแล้วในหลายประเทศ จากฝีมือการพัฒนาของบริษัท ซีที เอเชีย โรโบติกส์ จำกัด ทำหน้าที่เสมือนเป็นแบรนด์แอมบาสเดอร์ของงาน และเป็นผู้ส่งกรรไกรตัดริบบิ้นให้แก่ ดร.พิเชฐ ดุรงคเวโรจน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอีประธานทำพิธีเปิดงานอย่างเป็นทางการ

          ภายในงาน CEBIT ASEAN ได้รวบรวมผู้ประกอบการในอุตสาหกรรมเทคโนโลยีสารสนเทศและดิจิทัลกว่า 200 แบรนด์ จากทั้งไทย จีน เกาหลี ไต้หวัน ญี่ปุ่น สิงคโปร์ อินเดีย มาเลเซีย บังกลาเทศ เป็นต้น มาร่วมจัดแสดงสินค้าครอบคลุม กลุ่มเทคโนโลยี ครอบคลุมการสื่อสาร โครงสร้างระบบเครือข่าย และความปลอดภัยข้อมูลและระบบคลาวด์ตัวช่วยทางธุรกิจอุปกรณ์ต่อพ่วง และอุปกรณ์เสริมอินเทอร์เน็ตในทุกสิ่ง (IOT) และเทคโนโลยีอัฉริยะเทคโนโลยีใหม่ เช่น AR/VR/UAV/หุ่นยนต์/การพิมพ์ มิติ

          สำหรับรายใหญ่ๆ ที่คุ้นหูคุ้นตาคนไทย และแน่นอนว่าเป็นเจ้าของพื้นที่บูธขนาดใหญ่ๆ ในงานนี้ ก็ได้แก่ ไมโครซอฟท์ ค่ายซอฟต์แวร์เบอร์ ของโลกแอลจี บริษัทด้านไอที เทเลคอม และสินค้าอิเล็กทรอนิกส์อันดับต้นๆ จากเกาหลีลอจิเทคทีซีซี เทคโนโลยี และเอ็นทีที คอมมิวนิเคชั่นส์ นอกจากนี้ ยังมีรายอื่นๆ ที่น่าสนใจ อย่างเช่น โซโห (Zoho) ผู้พัฒนาซอฟต์แวร์ด้านการดูแลลูกค้าผ่านออนไลน์ (Online CRM Software) ซึ่งมีฐานอยู่ที่แคลิฟอร์เนีย สหรัฐอเมริกา, Abeam จากญี่ปุ่นและมีเครือข่ายในหลายประเทศ รวมทั้งประเทศไทย, Cyberrex, Infinite เป็นต้น

          นอกจากนี้ ผู้สนใจยังสามารถแวะเยี่ยมชม แวะคุยตามพาวิลเลียนแสดงเทคโนโล ไอที ดิจิทัล จากนานาชาติทั้งทวีปยุโรปและเอเชีย

          อีกไฮไลท์ที่มีคนลงทะเบียนเข้าร่วมอย่างคึกคัก ก็คือ การสัมมนาวิชาการหัวข้อที่น่าสนใจ เช่น ไทยแลนด์ 4.0 การพัฒนาที่ต้องระวังภัยไซเบอร์ โดยเฉพาะเรื่องภัยไซเบอร์นั้น มีบาง session ผู้เข้าร่วมหลายร้อยคน แม้จะเป็นการสัมมนาแบบปิด เพราะถือเป็นประเด็นร้อนที่ภาครัฐ ภาคธุรกิจ และประชาชนทั่วไปตื่นตัวกันอย่างมากในยุคที่ภัยไซเบอร์อยู่ใกล้ตัวยิ่งๆ ขึ้นทุกวัน

ปักหมุดประเทศไทย เกตเวย์บุกตลาดอาเซียน

          โอลิเวอร์ ฟรีเซ่ Member of the Managing Board บริษัท ดอชเช่อ เมสเซ่ เอจี ผู้จัดงานแสดงสินค้าและเจรจาธุรกิจระดับโลก และผู้ร่วมจัดงาน CEBIT ASEAN Thailand 2018 กล่าวว่า ช่วงหลายปีที่ผ่านมาได้มองหาสถานที่ซึ่งมีศักยภาพในการเป็นประตูสู่อาเซียน เพื่อใช้จัดงานแสดงเทคโนโลยีระดับโลก “ซีบิท” (CEBIT) ขึ้นในภูมิภาคอาเซียน และตัดสินใจว่าประเทศไทยเหมาะสมที่จะเป็นเกตเวย์สู่ตลาดอาเซียน

          เนื่องจากเชื่อมั่นในความพร้อมจากการที่รัฐบาลขับเคลื่อนประเทศไทยสู่สังคมดิจิทัล และนโยบายไทยแลนด์ 4.0 โดยวางรากฐานครอบคลุมทุกด้าน ซึ่งศักยภาพข้อนี้ จะช่วยดึงดูดจำนวนผู้เข้าชมงาน ภาคธุรกิจที่เข้าร่วมตลอดช่วงเวลาจัดงาน วัน และเชื่อมั่นว่าความสำเร็จจากปีแรกของการจัดงาน จะปูทางไปสู่การสร้างให้ CEBIT ASEAN Thailand ก้าวขึ้นเป็น งานแสดงเทคโนโลยีด้านไอซีทีและดิจิทัลที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในภูมิภาคอาเซียนต่อไป

          เขาบอกด้วยว่า หลายปีก่อนหน้านี้ธีมหลักของงาน CEBIT ที่ฮันโนเวอร์ เน้นหนักเทคโนโลยีด้านคอมพิวเตอร์และฮาร์ดแวร์ อย่างไรก็ตาม ในยุคเปลี่ยนผ่านและการเปลี่ยนแปลงด้านเทคโนโลยี ธีมการจัดงานก็ค่อยๆ ปรับเปลี่ยนมาสู่การเป็น “งานแสดงเทคโนโลยีด้านดิจทัล” และประสบความสำเร็จในการเป็นจุดบรรจบกันของภาครัฐและเอกชน

          ทั้งนี้บริษัท ดอชเช่อ เมสเซ่ เอจี ก่อตั้งมายาวนานตั้งแต่ปี 2490 ติดอันดับ ใน ของบริษัทผู้จัดงานแสดงสินค้าและเจรจาธุรกิจที่ใหญ่ที่สุดในประเทศเยอรมนี ด้วยการจัดงานแสดงสินค้าส่งออกของประเทศเยอรมนีเป็นครั้งแรกของโลกมายาวนานถึง 70 ปี มีการจัดงานต่างๆ อีกมากมายในประเทศเยอรมนีและทั่วโลก ด้วยรายได้กว่ามากกว่า 300 ล้านยูโร มีพนักงานมากกว่า 1,200 คน รวมไปถึงเครือข่ายพันธมิตรใน 100 ประเทศทั่วโลก

โชว์เคสการขับเคลื่อนประเทศไทยสู่สังคมดิจิทัล

          ดร.พิเชฐ ดุรงคเวโรจน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม บอกว่า รัฐบาลสนับสนุนการพัฒนาประเทศไปสู่ยุคดิจิทัลผ่านนโยบายไทยแลนด์ 4.0 โดยกระทรวงดิจิทัลฯ ป็นหน่วยงานหลักในการขับเคลื่อนประเทศสู่ยุคดิจิทัลอย่างเป็นรูปธรรม ทั้งด้านเศรษฐกิจและสังคม

          ดังนั้น การที่ผู้จัดงาน CEBIT ของเยอรมนี ขยายการจัดงานนี้เข้ามาสู่ภูมิภาคอาเซียนเป็นครั้งแรก โดยเลือกประเทศไทยเป็นสถานที่จัดงาน อาจพูดได้ว่าเป็นศักดิ์ศรีของประเทศไทย โดยเฉพาะอย่างยิ่งจัดภายใต้ชื่องาน CEBIT ASEAN เนื่องจากปี 2562 ประเทศไทยจะเป็นประธานของอาเซียน จึงสามารถกล่าวได้ว่า งานนี้เป็นการคิกออฟบทบาทด้านดิจิทัลของไทยในภูมิภาคนี้

“น้องดินสอ” ทำหน้าที่บนเวที มอบกรรไกรตัดริบบิ้นให้กับ ดร.พิเชฐ ดุรงคเวโรจน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอี) ในพิธีเปิดงาน “CEBIT ASEAN Thailand 2018”

          ในรอบ 3-4 ปีที่ผ่านมา ของการทำงานของรัฐบาลสนับสนุนการพัฒนาประเทศไปสู่ยุคดิจิทัล ผ่านนโยบายไทยแลนด์ 4.0 ต่างประเทศโดยเฉพาะในภูมิภาคนี้ เริ่มได้ข่าวและเริ่มได้เห็นการปฏิบัติจริงเป็นรูปธรรม โดยเฉพาะอย่างยิ่งการขยับขยายในเรื่องดิจิทัล ทั้งในระดับภาครัฐ และภาคเอกชน รวมทั้งประชาสังคมมากยิ่งขึ้น เกิดโครงการใหญ่ๆ ที่ชัดเจนหลายโครงการ ตัวอย่างเหล่านี้ย้ำชัดว่ารัฐบาลไทยขับเคลื่อนอย่างจริงจัง ผู้ประกอบการต่างประเทศ จึงเริ่มเข้าใจและเห็นโอกาส” ดร.พิเชฐกล่าว

          ทั้งนี้ กระทรวงดิจิทัลฯ มุ่งดำเนินการใน เรื่องสำคัญ ได้แก่ 1.การดำเนินการด้านโครงสร้างพื้นฐาน อาทิ การขยายโครงข่ายอินเทอร์เน็ตให้ครอบคลุมทุกหมู่บ้านทั่วประเทศภายใต้โครงการ “เน็ตประชารัฐ” เป็นต้น 2.การพัฒนาคนให้เข้าถึงและรู้เท่าทันการใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยีดิจิทัล 3.การพัฒนาการใช้ประโยชน์ผ่านโครงการสำคัญต่างๆ เช่น สมาร์ทซิตี้ ดิจิทัล พาร์ค และการก่อตั้งสถาบัน IoT 4.ด้านความปลอดภัยทางไซเบอร์ และ 5.การเดินหน้าสู่การเป็นรัฐบาลดิจิทัล

          การที่เราสนับสนุนการจัดงาน CEBIT ASEAN Thailand 2018 เพื่อให้งานนี้ เป็นแหล่งรวบรวมเทคโนโลยี ดิจิทัล และผู้เชี่ยวชาญจากทั้งภาครัฐและเอกชน ทั้งยังเป็นศูนย์กลางการแลกเปลี่ยนความรู้ และเจรจาธุรกิจเพื่อเตรียมความพร้อมรับการปฏิรูปทางเศรษฐกิจเพื่อไปสู่เศรษฐกิจแบบดิจิทัลอย่างเต็มตัว”

“อาชีพบล็อกเกอร์” เขียนไป โพสต์ไป ก็รวยได้

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์คมชัดลึก

http://www.komchadluek.net/news/lifestyle/347079

“อาชีพบล็อกเกอร์” เขียนไป โพสต์ไป ก็รวยได้

วันที่ 8 ตุลาคม 2561 – 11:08 น.
บล็อกเกอร์,Blogger,การเขียนบล็อก,อินเทอร์เน็ต,สมาคมผู้ดูแลเว็บไทย,บล็อกยอดเยี่ยมแห่งปี
เปิดอ่าน 4,145 ครั้ง

โจทย์ข้อใหญ่สำหรับบล็อกเกอร์ที่ต้องถามกับตัวเอง ก็คือ ทำอย่างไรจึงจะ “โดดเด่น” และ “ขายได้” ท่ามกลางยุคที่ข้อมูลล้นโลก!

บล็อกเกอร์ (Blogger)” กำลังเป็นอาชีพในฝันของคนรุ่นใหม่สายโซเชียล เพราะเห็นความสำเร็จจากนักเขียนบล็อกบางคนที่สามารถทะยานขึ้นเป็นเซเลบ หรือคนดังได้ชั่วข้ามคืนด้วย โพสต์โดนๆ และอีกหลายคนที่นำเสนอคอนเทนท์ที่เขียนจากประสบการณ์ความชอบ ความสนใจ และความรู้จริง จนเป็นที่ติดอกติดใจมีผู้ติดตามอ่านประจำกันเป็นหลักแสน หรืออาจถึงหลักล้านคน

          แต่โจทย์ข้อใหญ่สำหรับบล็อกเกอร์ที่ต้องถามกับตัวเอง ก็คือ ทำอย่างไรจึงจะ “โดดเด่น” และ “ขายได้” ท่ามกลางยุคที่ข้อมูลล้นโลก จากปริมาณเว็บไซต์หน้าใหม่ๆ ที่เกิดขึ้นทุกวันในหลักเกือบ 1,000 เว็บไซต์ต่อนาที

          เพราะในยุคนี้คนทุกคนที่เล่นอินเทอร์เน็ต ใช้สื่อโซเชียลเป็น ต่างก็สามารถสร้างการนำเสนอตัวตน หรือคอนเทนท์เรื่องราวตามความสนใจให้เข้าถึงผู้คนทั่วโลกได้โดยไม่มีอุปสรรคทางพรมแดนหรือเทคโนโลยีขวางกั้น และหากจังหวะดี คอนเทนท์โดน มียอดแชร์กระจาย เป็นที่พูดถึง สร้างประเด็นขบคิดให้กับสังคมในวงกว้าง ก็จะหนุนส่งให้ผู้เขียนโพสต์นั้นเป็นที่ติดตาม และกลายเป็นบล็อกเกอร์อาชีพโดยไม่ยาก

          กูรูการตลาดและสื่อโซเชียลให้คำตอบที่ตรงกันว่า คอนเทนท์ที่มี “คุณภาพสูง” คือคำตอบสำคัญที่สุด สำหรับคนที่อยากเป็นบล็อกเกอร์อาชีพที่มีรายได้งาม ถ้าขาดข้อนี้ไปไม่ว่าจะมีทุนเล็กหรือใหญ่แค่ไหนก็ไม่มีวัน “ปัง”

บล็อกรายได้หลักล้านดอล์ “ขายอะไร”

          เว็บไซต์นิตยสารฟอร์บส์ ได้ทำการจัดอันดับ 10 สุดยอดบล็อกที่ประสบความสำเร็จด้านรายได้เมื่อปีที่ผ่านมา น่าตื่นเต้นมากเมื่อดูจากรายได้ที่แต่ละรายทำได้ไม่ต่ำกว่า ล้านดอลลาร์สหรัฐ (หรือกว่า 30 ล้านบาทต่อปี โดยอันดับรั้งท้ายคือ Tuts+ บล็อกติวเตอร์การเขียนโปรแกรมคอมพิวเตอร์ มีรายได้อยูที่ 175,000 ล้านดอลลาร์ต่อเดือน จากการที่ขยายบทบาทเป็นมาร์เก็ตเพลสที่มีลูกค้าขาประจำจากทั่วโลกถึง ล้านราย สร้างรายได้หลักจากค่าสมาชิก และค่าคอมมิชชั่นจากสินค้าดิจิทัลที่เข้ามาวางขายผ่านช่องทางนี้

          ขณะที่ บล็อกอันดับ คือ Huffington Post ที่เติบโตจากการเป็นพื้นที่นำเสนอมุมมองเกี่ยวกับชีวิตและการเมือง ปัจจุบันสามารถสร้างรายได้แต่ละเดือนมากถึง 14 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ด้วยรายได้ค่าโฆษณาจากสปอนเซอร์ ทั้งในรูปแบบแบนเบอร์แอด ไปจนถึงสื่อโฆษณาดิจัลบนหลากหลายช่องทางของบล็อกนี้

          น่าสนใจที่ว่า ในกลุ่มบล็อกรายได้ต่อปีหลักล้านดอลลาร์ ส่วนใหญ่เป็นบล็อกแนวนำเสนอความรู้ ข้อมูลข่าวสาร มีรายได้หลักมาจากค่าสมาชิกของแฟนคลับที่ติดตามสนับสนุน และต้องการคอนเทนท์หรือบริการจากที่นำเสนอบนเว็บไซต์ จำนวนผู้ติดตามดึงดูดสินค้า บริการ และบริษัทใหญ่ๆ เข้ามาเป็นสปอนเซอร์ ในขณะเดียวกัน หลายบล็อกก็ต่อยอดไปสู่ธุรกิจด้านจัดการประชุมสำหรับคนในวงการ

          โดยมีเพียงรายเดียวที่เป็นบล็อกแนวบันเทิง ในสายซุบซิบคนดัง โดยบล็อกเกอร์ของ Perez Hilton เป็นดาราที่ไม่ประสบความสำเร็จในเส้นทางบันเทิง แต่กลับไปได้สวยกับอาชีพบล็อกเกอร์ จนทำรายได้ติดอันดับ ของกลุ่ม ด้วยตัวเลขมากกว่าครึ่งล้านดอลลาร์สหรัฐต่อเดือน

ตามไปดูการทำงานของบล็อกเกอร์มืออาชีพ

          บริษัทด้านการพัฒนาและออกแบบเว็บ Orbit Media Studios ได้เผยแพร่ผลการสำรวจเกี่ยวกับแนวโน้มการทำบล็อกของเหล่ามืออาชีพที่ทำต่อเนื่องเป็นปีที่ โดยผลในปีล่าสุด Blogging Statistics and Trends : The 2017 Survey ซึ่งรวบรวมคำตอบจากบล็อกเกอร์กว่า 1,000 คน พบว่า บล็อกเกอร์มีแนวโน้มใช้เวลาเขียนงานแต่ละโพสต์นานขึ้น โดยเฉลี่ยอยู่ที่ ชั่วโมง 20 นาทีต่อโพสต์ จากปีก่อนหน้าที่ใช้เวลาเฉลี่ยราว ชั่วโมงครึ่ง

          ส่วนความถี่ในการโพสต์ก็จะน้อยลงโดยตอบว่าหลายครั้งต่อเดือน จากเดิมที่มักโพสต์มากกว่า ครั้งต่อรายสัปดาห์ โดย 81% นั่งเขียนโพสต์ที่บ้านหรือโฮมออฟฟิศ และ 61% ทำงานในช่วงระหว่างวัน ความยาวของเนื้อหาในการโพสต์โดยเฉลี่ยต่อชิ้นอยู่ที่ 1,142 ตัวอักษร หรือประมาณ หน้ากระดาษ A4 รวมทั้งมีการใช้รูปภาพประกอบเนื้อหามากขึ้นกว่าปีที่ผ่านมา

          ทั้งนี้ ใน ของบล็อกเกอร์จะเขียนมากกว่า บล็อก โดย 55% จะมีการเข้าไปอัพเดทข้อมูลในโพสต์เก่าของตนเป็นระยะๆ และมากกว่าครึ่งยอมรับว่า ต้องมีผู้ที่ทำหน้าที่บรรณาธิการดูเนื้อหาที่เขียนก่อนการโพสต์

บล็อกเกอร์ไทยที่อยากเห็น

          นายวโรรส โรจนะ นายกสมาคมผู้ดูแลเว็บไทย ให้ความเห็นในเรื่องความรวดเร็วของสื่อโซเชียล ทำให้บล็อกเกอร์สามารถกลายเป็นผู้ทรงอิทธิพลต่อสังคมได้อย่างรวดเร็วว่า อาจกล่าวได้ว่า ปัจจุบันจำนวนบล็อกเกอร์ในไทยเท่ากับจำนวนประชากรไทย เนื่องจากแทบทุกคนมีเฟซบุ๊ก ทุกคนสามารถบ่นหรือร้องเรียนปัญหาหรือบริการบางอย่างผ่านช่องทางโซเชียลหรือออนไลน์ของตัวเอง โดยไม่จำเป็นต้องเป็นบล็อก (Blog) แล้วอาจมีคนเห็นเป็นหลักล้านคน ดังนั้นการกระตุ้นให้ตระหนักถึงการสร้างเนื้อหาที่รับผิดชอบต่อสังคมจึงต้องทำกับทุกคน

          อีกทั้ง ทุกวันนี้บล็อกเกอร์กลายเป็นอาชีพได้ มีในไทยอยู่หลายคน นอกจากเขียนบล็อกแล้ว ยังสามารถหารายได้จากการทำสปอนเซอร์รีวิวได้ หรือเป็นสื่อแนะนำผลิตภัณฑ์ใหม่ที่เกี่ยวข้องกับหมวดของบล็อกที่ทำ ดังนั้น ต้องมองว่าบล็อกเกอร์ เป็นสื่อหรือรายการหนึ่ง เสมือนการหารายได้รูปแบบเดียวกับสื่อแบบเดิม เพิ่มเติมคือ สามารถเอาตัวตนเข้าไปผูกกับตัวสินค้าหรือบริการได้ มีตัวตนเพิ่มมากกว่าสื่อทั่วๆ ไป

          มีความจำเป็นสำหรับสังคมไทย ที่จะต้องมีคอนเทนท์ที่มีคุณภาพ และการสนับสนุนให้มีจริยธรรมมากขึ้นในโลกออนไลน์”

          นอกจากนี้ องค์ประกอบ ข้อที่บล็อกเกอร์ที่ดีควรมี ก็คือ ต้องเป็นคนที่รู้ลึก รู้จริงในเรื่องนั้นๆ ต้องมีทักษะในการเล่าเรื่องเก่งและสอดคล้องกับแต่ละช่องทางการเล่าเรื่อง เช่น บนเฟซบุ๊กจะเล่าอย่างไร บนทวิตเตอร์จะเล่าอย่างไร เป็นต้น และสุดท้ายคือ ต้องนำเสนอตัวตนและมีความจริงใจ เพราะผู้อ่านไม่ได้อ่านเฉพาะเนื้อหาที่นำเสนอ แต่เป็นการอ่านผ่านมุมมองและสายตาของบล็อกเกอร์ด้วย

          รศ.ดร.จินตวีร์ เกษมศุข คณบดีคณะนิเทศศาสตร์ สถาบันการจัดการปัญญาภิวัฒน์ (พีไอเอ็มกล่าวว่า ในฐานะนักวิชาการ ทุกวันนี้โลกการสื่อสารรุดหน้าเร็วมาก ทุกคนเข้าถึงคอนเทนท์บนโลกออนไลน์ได้ผ่านอุปกรณ์สื่อสารในมือ คนเป็นบล็อกเกอร์ คนที่ทำงานบนโลกดิจิทัล ต้องมีจรรยารรณ มีความรับผิดชอบ

          โดยให้แนวคิดสำหรับ “บล็อกเกอร์ที่ดี” ว่าควรมีคุณสมบัติ 5+1 ได้แก่ ต้องสามารถสร้างคอนเทนท์ที่ตัวเองสนใจและเป็นสาระความรู้สื่อเรื่องราวออกมาได้อย่างน่าสนใจและสร้างความบันเทิงใจ ใส่ใจต่อสังคม สร้างเนื้อหาและนำเสนอที่เหเมาะสมกับกลุ่มเป้าหมาย เพราะคนเข้าถึงคอนเทนท์ได้ทุกเพศทุกวัย ต้องท้าทายการมีส่วนร่วม เพื่อร่วมกันสร้างสรรค์สิ่งดีๆ ให้กับสังคมไปด้วยกัน รวมทั้งข้อสำคัญที่สุดคือ ความมีจริยธรรม

Thailand Best Blog Awards 2018

          เชิญชวนบล็อกเกอร์ ส่งผลงานประกาศเข้าประกวด Thailand Best Blog Awards 2018 by CP ALL บล็อกกาภิวัตน์…NOW or NEVER’ ชิงรางวัลบล็อกยอดเยี่ยมแห่งปี 2561 ใน 10 สาขา ได้แก่

• Blog of the Year (บล็อกยอดเยี่ยมแห่งปี)

• Best New Blog (บล็อกหน้าใหม่ยอดเยี่ยม)

• Best Knowledge Blog (บล็อกให้ความรู้ยอดเยี่ยมสามารถนำไปใช้ประโยชน์หรือต่อยอดในชีวิตประจำวันได้

• Best Creative Blog (บล็อกสร้างสรรค์ยอดเยี่ยมในการนำเสนอเนื้อหาที่ทั้งแตกต่างและแปลกใหม่

• Best Social Responsibility Blog (บล็อกสร้างสรรค์สังคม)

• Best Food Blog (บล็อกเห็นแล้วหิวยอดเยี่ยมทั้งรูปแบบการรีวิวและทำอาหาร ที่รูปแบบการนำเสนอโดดเด่นไม่เหมือนใคร

• Best Travel Blog (บล็อกสะพายเป้ยอดเยี่ยมนำเสนอเนื้อหาและรูปแบบการนำเสนอเกี่ยวกับการท่องเที่ยวที่สร้างสรรค์

• Best Health and Beauty Blog (บล็อกดูแลตัวเองยอดเยี่ยมด้านสุขภาพและความงาม

• Best Entertainment Blog (บล็อกแห่งความบันเทิงยอดเยี่ยมครอบคลุมทั้งหนัง ละคร เพลง ซีรีย์ หนังสือ

• Popular Blog (บล็อกยอดนิยมสำหรับบล็อกได้รับคะแนนโหวตมากที่สุดจากการเปิดโหวตในเพจ Blogger’s Society by CP ALL Blog Award

ผู้สนใจสามารถสมัครส่งผลงานได้ตั้งแต่ วันที่ 1 – 25 ตุลาคม 2561 ทางเว็บไซต์ https://tbba.in.th หรือ เฟซบุ๊ก https://www.facebook.com/blogger.cpall/ โดยจะประกาศรางวัล ในวันที่ 29 พฤศจิกายนนี้

“ยูเบา” ส่งพาวเวอร์แบงก์ 8 ลวดลายเอาใจวัยทีน

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์คมชัดลึก

http://www.komchadluek.net/news/lifestyle/346467

“ยูเบา” ส่งพาวเวอร์แบงก์ 8 ลวดลายเอาใจวัยทีน

วันที่ 3 ตุลาคม 2561 – 16:48 น.
ยูเบา,พาวเวอร์แบงก์,8 ลวดลาย,วัยทีน
เปิดอ่าน 2,693 ครั้ง

“ยูเบา” จับดีไซน์ใส่พาวเวอร์แบงก์ เจะกลุ่มลูกค้าวัยทีน ชี้เป็นตลาดที่เติบโตสูง ขณะยังบุกหนักกลุ่มวัยทำงานและคอเทคโนโลยี เปิดตัวพร้อมกัน 4 รุ่น

นายกิตติวุฒิ ศฤงคารบริบูรณ์ กรรมการบริหารบริษัท ทริปเปิล เอสเค จำกัด (หรือเฟรชแก็ตเจ็ต) ตัวแทนจำหน่ายแบตเตอรี่สำรองคุณภาพสูง ยูเบา (Yoobao) รายเดียวในประเทศไทย กล่าวว่า ยูเบาได้เปิดตัวพาวเวอร์แบงก์รุ่นใหม่ M25-V2 ซึ่งเป็นครั้งแรกที่มีการออกแบบเพื่อจับตลาดกลุ่มผู้บริโภควัยทีนโดยเฉพาะ มองลูกค้าเป้าหมายไว้ที่กลุ่มอายุ 15-23 ปี เป็นกลุ่มคนที่เปี่ยมพลังช่างเลือก อยากรู้อยากลอง รักความสดใสร่าเริงมีพลังบวก

ความโดดเด่นของรุ่นนี้คือ เป็นการเปิดตัวพร้อมกัน 8 ลวดลาย ทั้งที่เป็นคาแรคเตอร์ยอดนิยม เช่น แมว, สุนัขชิบะ, ลวดลายเหมือนของเล่น โดยให้สามารถครอบคลุมกลุ่มลูกค้าได้ทุกเพศในราคาที่จับต้องได้ ผนวกจุดแข็งพรีเมี่ยมแบรนด์ กำหนดราคารุ่นนี้ไว้ 890 บาท ด้วยราคาที่เข้าถึงได้นี้จะช่วยให้ขยายตลาดในกลุ่มแมสได้เพิ่มขึ้น

                                       ทั้งนี้ ทุกลวดลายได้มาจากผลการสำรวจที่ทำกับกลุ่มเป้าหมาย ทั้งจากบริษัทผู้ผลิตและตลาดในประเทศไทย ซึ่งในจำนวนนี้ 4 ลวดลาย เป็นผลสำรวจจากลูกค้าในประเทศไทย

“ยูเบา ให้ความสำคัญกับกลยุทธ์การทำตลาดแบบ segmentation ควบคู่การให้ความสำคัญกับคุณภาพมาโดยตลอด แม้จะเป็นผู้ผลิตพาวเวอร์แบงก์ระดับโลก แต่ให้ความสำคัญกับการทำตลาดแบบคัสโตไมเซชั่น ตลาดประเทศใดมีจุดเด่นอะไร ก็จะนำมาผสานไว้ในการออกแบบผลิตภัณฑ์ที่จะส่งมาทำตลาดในประเทศนั้น”

เขาประเมินว่า ขนาดตลาดกลุ่มวัยทีน มีประมาณ 20-30% ที่เป็นส่วนแบ่งตลาดของยูเบา เพราะเป็นกลุ่มที่ติดมือถือและอุปกรณ์ต่างๆ เชื่อมต่อตลอดเวลา ทำให้พาวเวอร์แบงก์ ไม่ใช่แค่แบตเตอรี่สำรอง แต่ยังเป็นอุปกรณ์สำคัญที่ช่วยให้การใช้งานหรือการเข้าถึงความบันเทิงไม่สะดุด ไม่ต้องกลัวว่าแบตเตอรี่จะหมด

นอกจากนี้ บริษัทยังได้เปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่อีก 3 รุ่น ได้แก่ รุ่นShare series สำหรับคนวัย 25 ปีขึ้นไป มีความทันสมัย มีสไตล์ ดูเรียบหรู สามารถแบ่งปันความรู้สึกดีๆ , รุ่น Q20C เหมาะกับคนวัยทำงานอายุตั้งแต่ 20 ปี ที่ชอบความแปลกใหม่ ค้นหาความท้าทาย มีฟังก์ชั่นพิเศษเทคโนโลยีชาร์จเร็ว ความจุเยอะ พกพาง่าย และเพาเวอร์แบงก์ระดับพรีเมี่ยม ในรุ่น 20W ราคา 1,190 บาทที่อัพเกรดให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น ลดความสูญเสียพลังงานในการชาร์จให้เหลือเพียง 20% จากรุ่นทั่วไปในตลาดที่มีค่าความสูญเสียอยู่ในระดับ 40-60% ดังนั้น ทำให้สามารถใช้พลังความจุได้เต็มที่ ทำให้ความจุ 20,000

มิลลิแอมป์ของรุ่นนี้ ชาร์จโทรศัพท์มือถือรุ่นใหม่ๆ อย่างเช่น ซัมซุง โน้ต 9 ได้ถึง 4 รอบ ขณะที่รูปทรงจะกะทัดรัดกว่าพาวเวอร์แบงก์ทั่วไปในความจุระดับเดียวกัน อีกทั้งเป็นการสร้างมาตรฐานใหม่ เพื่อสร้างความแตกต่างให้เห็นชัดเจนจากตลาดส่วนใหญ่ที่เป็นการนำเข้ามาแบบไม่มีมาตรฐาน

ด้านมร.บรูซ ชูวว์ ซีอีโอ บริษัท เซิ่นเจิ้น ยูเบา เทคโนโลยี จำกัด กล่าวว่า ตลาดรวมพาวเวอร์แบงก์ในประเทศไทยมีมูลค่าราว 1,000 ล้านบาทต่อปี ในจำนวนนี้มีสัดส่วนที่เป็นสินค้ามีแบรนด์ราวครึ่งหนึ่ง โดยปัจจุบัน ยูเบา มีส่วนแบ่งในไทยติดอันดับ 1 ใน 3 ของแบรนด์พาวเวอร์แบงก์ที่ได้รับความนิยม ขณะที่การขยายสู่ตลาดกลุ่มวัยทีน น่าจะช่วยให้ยอดขายในไทยเติบโตขึ้น 30%แซงหน้าการโตของตลาดโดยรวมซึ่งค่อนข้างคงที่ซึ่งเป็นแนวโน้มเดียวกับทั่วโลก

เปิดตัว “ไอโฟน” 3 รุ่นใหม่ – “แอปเปิล วอทช์” รุ่น 4

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์คมชัดลึก

http://www.komchadluek.net/news/lifestyle/343396

เปิดตัว “ไอโฟน” 3 รุ่นใหม่ – “แอปเปิล วอทช์” รุ่น 4

วันที่ 13 กันยายน 2561 – 08:05 น.
เทคโนโลยี,ไลฟ์สไตล์,ไอที,วิทยาการ,ไอโฟน,Apple,iPhone,iPhone 10 S Max,iPhone 10 S,iPhone 10 R,Apple Watch
เปิดอ่าน 4,288 ครั้ง

Apple เปิดตัว iPhone ใหม่ พร้อมกับทดสอบลิมิตครั้งใหม่ว่าผู้บริโภคพร้อมที่จะจ่ายสำหรับเทคโนโลยีรุ่นใหม่ล่าสุดมากน้อยแค่ไหน

ที่มา : Nation TV // ภาพ : AFP

โดยตัวท็อป iPhone 10 S Max จะขายที่ราว 1,100 ดอลลาร์ หรือมากกว่า iPhone 10 ที่ออกมาเมื่อปีที่แล้วราว 100 ดอลลาร์

iPhone 10 นั้นมียอดขายไม่สูงอย่างที่นักวิเคราะห์คาดหวัง แต่ก็ดีพอที่จะช่วยให้ Apple ดันราคาขายเฉลี่ยของ iPhone ขึ้นไปอีกเกือบ 20 เปอร์เซ็นต์ได้

               สำหรับ iPhone 10 S จะอยู่ที่ 1,000 ดอลลาร์ และสำหรับลูกค้าที่ไม่ประสงค์จะจ่ายมากขนาดนั้น ก็ยังมีรุ่น iPhone 10 R ที่ใช้วัสดุที่ถูกกว่า และมีราคาอยู่ที่ราว 750 ดอลลาร์ โดยหน้าจอของ iPhone จะมีขนาด 5.8 และ 6.5 นิ้ว ซึ่งถือว่าใหญ่ที่สุด ส่วนแบตเตอรีก็ให้กำลังมากที่สุด

สำหรับรุ่น 10 S จะออกวางขายวันที่ 21 กันยายน ส่วน 10 R จะออกมาวันที่ 26 ตุลาคม ขณะที่รุ่นที่เก่ากว่าก็จะมีการลดราคาลง

ทาง Apple บอกด้วยว่า ฟรีอัปเดตสำหรับระบบปฏิบัติการ iOS จะออกมาในวันอังคารหน้า ตามมาด้วยการอัปเดตซอฟแวร์สำหรับ Mac ในอีก 1 สัปดาห์ให้หลัง โดยระบบปฏิบัติการ iOS 12 มี features ใหม่ที่จะช่วยลดปัญหาการติดโทรศัพท์ อย่างการแจ้งเรื่องจำนวนครั้งในการจับโทรศัพท์ การใช้เวลาอยู่กับแอป หรือเว็บไซต์ ซึ่งผู้ใช้สามารถกำหนดขีดจำกัดในเรื่องเหล่านี้ได้ ผู้ปกครองสามารถได้รับรายงานการใช้โทรศัพทของลูก และสามารถกำหนดขีดจำกัดต่างๆ ได้

ซึ่งอุปกรณ์ตัวใหม่นี้ ทางบริษัทมุ่งหวังที่จะรักษาส่วนแบ่งของตลาดระดับพรีเมียม หลังจากที่ยอดขาย iPhone หล่นลงมาอยู่ที่ 3 ตามหลังแบรนด์จากเกาหลีและจีน

นอกจากนั้น ทาง Apple ก็ยังเปิดตัว Apple Watch รุ่น 4 ที่มีการออกแบบใหม่ครั้งใหญ่ เพื่อปรับปรุงสมรรถภาพการทำงานในฐานะที่เป็นอุปกรณ์ทางการแพทย์และสุขภาพ โดยราคาค่าตัวอยู่ที่ 399 ดอลลาร์ และจะออกวางขายวันที่ 21 กันยายน นี้

“แชทบอท” หุ่นยนต์น้อยที่มนุษย์เต็มใจให้เข้ามาแทนที่

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์คมชัดลึก

http://www.komchadluek.net/news/lifestyle/342948

“แชทบอท” หุ่นยนต์น้อยที่มนุษย์เต็มใจให้เข้ามาแทนที่

วันที่ 10 กันยายน 2561 – 10:44 น.
chatbot
เปิดอ่าน 3,969 ครั้ง

ไม่ใช่เรื่องน่าแปลกใจ ที่หลายธุรกิจหรือส่วนงานบางแห่ง เริ่มลงทุนกับการพัฒนาแชทบอท เพื่อทำหน้าที่ตอบคำถามลูกค้าหรือผู้ใช้บริการ ทดแทนพนักงานที่เป็นมนุษย์!!

ในขณะที่ความหวาดวิตกว่าเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (Artificial Intelligence : AI) หรือหุ่นยนต์ (Robotics) จะเข้ามาแย่งงานมนุษย์ แต่ในอีกแง่หนึ่ง “บางส่วน” ของเทคโนโลยีกลุ่มนี้ก็กำลังเริ่มเข้ามาอยู่ในชีวิตประจำวันของคนมากขึ้นเรื่อยๆ อย่างเงียบๆ และที่สำคัญ “ด้วยความเต็มใจ” ของมนุษย์เอง ซึ่งหนึ่งในนี้ก็คือ “แชทบอท” หรือโปรแกรมหุ่นยนต์สนทนา ก็คือหนึ่งในการประยุกต์ใช้ AI เพื่อใช้อำนวยความสะดวกให้กับมนุษย์ในเรื่องของการเข้าถึงคำตอบหรือข้อมูลที่ต้องการได้อย่างรวดเร็วในเสี้ยวนาทีหรืออาจจะระดับวินาที

          มีตัวเลขที่สำรวจโดย eMarketer พบว่า ชาวอเมริกัน มากกว่า 35 ล้านคนใช้โปรแกรมสั่งการด้วยเสียงเดือนละไม่ต่ำกว่า ครั้ง และมีตัวเลขว่าคนทั่วโลกราว 1.4 พันล้านที่ใช้งานพึงพอใจที่จะคุยกับแชทบอท

          จึงไม่ใช่เรื่องน่าแปลกใจถ้าทุกวันนี้ หลายธุรกิจหรือส่วนงานบางแห่ง เริ่มลงทุนกับการพัฒนาแชทบอท เพื่อทำหน้าที่ตอบคำถามลูกค้าหรือผู้ใช้บริการ ทดแทนพนักงานคอลล์เซ็นเตอร์ที่เป็นมนุษย์ อีกทั้ง แชทบอท ยังช่วยให้การจัดเก็บข้อมูลลูกค้าง่ายขึ้นกว่าเดิม เพราะทุกๆ บทสนทนาและคำถามที่เข้ามาจะถูกนำไปทำการประมวลผลเพื่อการวิเคราะห์โดยอัตโนมัติและอย่างต่อเนื่อง ซึ่งในอีกด้านหนึ่ง ลูกค้าหรือผู้ถาม ก็จะได้รับคำตอบที่แม่นยำหรือตรงกับความต้องการยิ่งขึ้นเรื่อยๆ

          มีรายงานของเฟซบุ๊ค ระบุว่า มีข้อความเชิงธุรกิจมากกว่า พันล้านข้อความ ถูกส่งผ่านโปรแกรมสนทนาแมสเซ็นเจอร์บนเฟซบุ๊ก ความนิยมนี้เพราะลูกค้าหรือผู้ใช้งานเชื่อแล้วว่า นี่คือหนึ่งในช่องทางการติดต่อกับผู้ขายสินค้าหรือผู้ให้บริการที่ได้ผล ได้ข้อมูลครบทุกความต้องการ

จากบอทน้อย สู่แชทบอทคอล์เซ็นตอร์ของดีแทค

          ในประเทศไทย แชทบอทซึ่งเป็นที่รู้จักอย่างกว้างขวาง โดยเฉพาะในหมู่เด็กรุ่นใหม่น่าจะไม่มีใครดังเกิน “บอทน้อย (BotNoi)” ซึ่งผู้พัฒนาให้นิยามไว้ว่าเป็น “เพื่อนหุ่นยนต์ตัวแรกของทุกคน” และเป็นแชทบอทสัญชาติไทย ที่ได้รับรางวัลบนเวที LINE BOT AWARDS ที่ประเทศญี่ปุ่นเมื่อปี 2560 ในหมวดแชทบอทที่คุยเก่งที่สุด (Conversation engine award)

          ดร.วินน์ วรวุฒิคุณชัย นักวิทยาศาสตร์ข้อมูลของกลุ่มบริษัท เทเลนอร์ ซึ่งเป็นผู้พัฒนาบอทน้อย เล่าว่า ทุกวันนี้มีคนเข้ามาพูดคุยกับโปรแกรมหุ่นยนต์อายุราว ปีตัวนี้ วันละไม่ต่ำกว่า 10 ล้านครั้ง มีคนแอดเข้ามาเป็นเพื่อน เพื่อคุยผ่านไลน์และเฟซบุ๊กแล้วกว่า ล้านคน ถือเป็นความสำเร็จจากจุดเด่นตั้งแต่ไอเดียเริ่มต้นการพัฒนาก็คือ การพูดคุยได้เหมือนเพื่อนคนหนึ่ง

          จึงไม่น่าแปลกใจว่า หลายครั้งมีวัยรุ่นวัยเรียนเข้ามาพูดคุยเรื่องและปรึกษาปัญหาการเรียน ปัญหาชีวิตกับบอทน้อย โดยหนึ่งในประสบการณ์ครั้งสำคัญที่ทำให้บอทน้อยเป็นมากกว่าหุ่นยนต์หรือแค่โปรแกรมคอมพิวเตอร์ก็คือ การให้คำปรึกษาแนะนำจนสามารถช่วยชีวิตคนให้ล้มเลิกความคิดที่จะฆ่าตัวตาย

          เคยมีผู้ใช้คนหนึ่งโพสต์ว่าอยากฆ่าตัวตาย แต่ว่าหลังจากที่มาคุยกับบอทน้อย เขาเปลี่ยนความคิด และมาขอบคุณ เรารู้สึกว่ามันช่วยคน และมีคนอีกเยอะมากที่รู้สึกว่าไม่รู้จะคุยกบใคร ไมรู้ว่าจะระบายกับใคร ก็มาระบายกับบอทน้อย ซึ่งตรงกับคอนเซปต์ที่เราอยากสร้างบอทสักตัวหนึ่งที่เขาเป็นเพื่อน”

          ปัจจุบัน เขาได้นำประสบการณ์ในบอทน้อย มาต่อยอดพัฒนาสู่แชทบอท ระบบ AI ตอบโต้อัตโนมัติที่จะเข้ามาเป็นเพื่อผู้ช่วยเหลือลูกค้ากว่า 21 ล้านรายของดีแทค แต่ละวัน ดีแทค ได้รับคำถามจากลูกค้า ล้านคำถาม แชทบอทตัวนี้จะฉลาดขึ้นเรื่อยๆ ด้วยการเรียนรู้จากรูปแบบคำถามที่เข้ามา ส่วนใหญ่มักเป็นเรื่องยอดค่าบริการโปรโมชั่น

          สามารถลดจากเวลาจาก นาทีที่เคยให้พนักงานคอลล์เซ็นเตอร์ตอบ เพราะต้องเข้าไปค้นหาข้อมูลก่อน เหลือเพียงให้คำตอบได้ในไม่กี่วินาที อีกทั้งประหยัดงบจ้างงาน เพราะดีแทคมีลูกค้าเป็นสิบๆ ล้านคน แต่คอลล์เซ็นเตอร์มีแค่หลักพัน เป็นไปไม่ได้เลย ว่าเราจะสามารถโต้ตอบกับลูกค้าได้ทันท่วงที การใช้แชทบอท จึงช่วยปิดช่องว่างระหว่างคนที่ต้องการถาม กับผู้เชี่ยวชาญที่จะเข้ามาตอบ”

น้องบัว” แชทบอทของนักลงทุนบัวหลวง

          อีกแชทบอทน้องใหม่ก็คือ แชทบอทสำหรับแวดวงนักลงทุน ที่ชื่อว่า “น้องบัวแชทบอท” ของหลักทรัพย์บัวหลวง ผู้ออกใบสำคัญแสดงสิทธิอนุพันธ์ (DW) ที่มีปริมาณการซื้อขายในระบบสูงสุดเป็นอันดับ ของประเทศไทย โดยถือเป็นแชทบอทแรกของไทย ที่จะให้ข้อมูลราคาแบบเรียลไทม์ ควบคู่กับโชว์ตารางราคาง่ายๆ เพียงไม่กี่คลิกใน Facebook DW01 เรียกได้ว่าออกแบบมาเอาใจนักลงทุนโดยเฉพาะ

          นายบรรณรงค์ พิชญากร กรรมการผู้จัดการ กิจการค้าหลักทรัพย์ บริษัทหลักทรัพย์ บัวหลวง จำกัด (มหาชนกล่าวว่า น้องบัวแชทบอท เป็นโครงการนำร่องที่บริษัทนำ AI มาประยุกต์ใช้เพื่อช่วยตอบคำถาม โดยในระยะแรกเน้นสำหรับลูกค้า DW01 กลุ่มที่เป็น option การจัดลำดับหุ้น

          เราก็คิดว่า เราจะมีทางเลือกว่าให้มีคอลล์เซนเตอร์ไปตอบคน หรือทำไมเราไม่มีเป็นแชทบอทที่ให้คนคุย แล้วมันจะดึงข้อมูลกลับมาให้เลย เราจึงพัฒนา “น้องบัวแชทบอท” ขึ้นมา”

          รูปแบบคำถามหลักๆ ที่คนต้องการข้อมูล ได้แก่ ณ ตอนนี้ DW ตัวนี้ราคาเท่าไร ราคาเหมาะสมหรือไม่ ข้อมูลอื่นๆ ที่เกี่ยวกับ DW ตัวนี้เป็นอย่างไร โดยทีมนักวิศวกรการเงินของหลักทรัพย์บัวหลวง พัฒนาแชทบอทตัวนี้ขึ้นมาเพื่อให้คนคุย และมีข้อมูลกลับได้เลย โดยความสามารถของ “น้องบัว” มาจากการที่นำใส่ชุดข้อมูลไปก่อนว่า สิ่งที่ควรตอบกับลูกค้าคืออะไรบ้าง เป็นข้อมูลเรียลไทม์

          ยกตัวอย่างว่า เช่น เราออก DW ปตทตอนนี้ราคาหุ้น ปตทเปลี่ยนแปลงไปเท่าไร เซิร์ฟเวอร์ก็จะคำนวณราคาให้เป็นราคาแบบเรียลไทม์ โดย AI ที่อยู่ข้างหน้า เราต้องสอน ต้องทำให้เรียนรู้ว่า ถ้าคนถามมาแบบนี้ แล้วควรจะตอบยังไง ถ้าถามแบบนี้ 10 คำถาม จะนำไปสู่คำตอบแบบไหน ให้คนสะดวกสบายมากขึ้นในการถาม”

          แม้เปิดบริการมาได้ไม่นาน แต่ละวันมีลูกค้าสอบถามผ่าน “น้องบัวแชทบอท” แล้วเป็นพันราย พร้อมกันนี้บริษัทก็มีการจัดทำไกด์เมนูให้ลูกค้า เพื่อเป็นคู่มือชุดคำถามที่จะช่วยให้ได้คำตอบได้เร็วขึ้นด้วย

โปลิศน้อย เพื่อนหุ่นยนต์เพื่อผู้หญิง

          ล่าสุด แชทบอท ยังขยายผลต่อไปเชิงสังคมได้ด้วย โดยเกิดโครงการ “โปลิศน้อย เพื่อนหุ่นยนต์เพื่อผู้หญิง” เป็นแชทบอทช่วยลดปัญหาความรุนแรงในครอบครัว เพราะจากข้อมูลพบว่า ผู้หญิง ใน ของผู้หญิง และ ใน ของชายไทย ยังตกเป็นเหยื่อความรุนแรงทางเพศและร่างกาย แต่ไม่ไปแจ้งความเพราะกลัวการเปิดเผยข้อมูลส่วนบุคคล และข้อมูลที่มีความอ่อนไหว คนจะไม่สะดวกที่จะพูดคุยกับคน แต่คุยกับโปรแกรมสะดวกใจกว่า

          โปลิศน้อย เกิดขึ้นจากไอเดียของตำรวจหญิงทีมหนึ่ง และดีแทค เข้าไปสนับสนุนเงินทุนเบื้องต้น โดยจะอยู่ในแอพพลิเคชั่นไลน์ เหมือนกับบอทน้อย เมื่อแอดเพื่อนกับโปลิศน้อย จากนั้นก็บอกปัญหาที่เกิดขึ้น โปลิศน้อยที่มีข้อมูลอยู่ก็จะให้คำแนะนำว่าควรทำอย่างไร เช่น จะแจ้งความ ขอการคุ้มครอง อีกทั้งสามารถส่งเบอร์ติดต่อกับทางผู้เชี่ยวชาญให้

10 แหล่งช้อปปิ้งออนไลน์ยอดนิยมของคนไทย

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์คมชัดลึก

http://www.komchadluek.net/news/lifestyle/342946

10 แหล่งช้อปปิ้งออนไลน์ยอดนิยมของคนไทย

วันที่ 10 กันยายน 2561 – 10:29 น.
ชอปปิงออนไลน์
เปิดอ่าน 4,852 ครั้ง

เชื่อหรือไม่ว่า คนไทยช้อปปิงออนไลน์เยอะมาก จนถือเป็นกิจกรรมยอดฮิตลำดับที่ 5 ที่ทำมากที่สุดบนโลกออนไลน์!!

หลายปีต่อเนื่องที่สำนักงานพัฒนาธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ (องค์การมหาชนหรือ ETDA มีการจัดทำผลสำรวจมูลค่าอีคอมเมิร์ซประจำปี ซึ่งถือได้ว่าเป็นตัวเลขคาดการณ์อย่างเป็นทางการสำหรับอุตสาหกรรมการซื้อขายผ่านออนไลน์ของประเทศไทย โดยล่าสุดได้เปิดเผยมูลค่าตลาดของรอบปี 2560 ที่ผ่านมา ทั้งในรูปแบบ B2B, B2C และ B2G รวมกันแล้วแตะหลัก 2.8 พันล้านบาท และที่ใกล้ตัวเราทุกคนก็คือการซื้อขายออนไลน์ของผู้บริโภคทั่วไป ที่ครองสัดส่วนถึงกว่า 28% หรือกว่า แสนล้านบาท เติบโตสูงสุดแซงหน้าอีคอมเมิร์ซอีกสองรูปแบบด้วยอัตรา 15.54% จากปีก่อนหน้า

          เว็บไซต์ https://aseanup.com ได้ให้เหตุผลของความเฟื่องฟูของตลาดอีคอมเมิร์ซในประเทศไทย ซึ่งเป็นประเทศที่มีขนาดทางเศรษฐกิจใหญ่เป็นอันดับ ของภูมิภาคอาเซียน ว่ามีปัจจัยหนุนจากจำนวนประชากรส่วนใหญ่ของประเทศมีการเชื่อมต่อผ่านออนไลน์ ทำให้ทั้งผู้เล่นที่เป็นผู้ค้าออนไลน์เต็มตัว ธุรกิจค้าปลีกที่มีหน้าร้านหรือสาขาอยู่แล้ว รวมทั้งคู่แข่งจากต่างประเทศ เข้ามาโหมลงทุนเพื่อชิงส่วนแบ่งตลาดในกลุ่ม “ดิจิทัล คอนซูเมอร์” ยิ่งแข่งดุ โปรแรง ก็ยิ่งกระตุ้นยอดขายออนไลน์ได้มากยิ่งขึ้น

          ข้อมูลที่เผยแพร่บนเว็บไซต์นี้ ระบุตัวเลข ณ เดือนมกราคม 2561 ว่า ประชากรไทยกว่า 69 ล้านคน มีผู้ใช้อินเทอร์เน็ต 57 ล้านคน ใช้โซเชียลมีเดีย 51 ล้านคน เชื่อมต่อโซเชียลผ่านมือถือ 46 ล้านคน

+++10 เว็บไซต์อีคอมเมิร์ซครองตลาดออนไลน์ไทย

          เมื่อสิ้นสุดเดือนมีนาคม ที่ผ่านมา เว็บไซต์ https://aseanup.com ได้ทำการจัดอันดับเว็บไซต์อีคอมเมิร์ซรายใหญ่ 10 อันดับแรกในแต่ละประเทศของภูมิภาคนี้ รวมทั้งประเทศไทย โดยอ้างอิงจากตัวเลขที่มีการเข้ามาใช้งานในแต่ละเดือน (Monthly Traffic Estimate) ที่มีการเข้าใช้งาน ในส่วนของประเทศไทยอีเมิร์ซ 10 อันดับแรก ประกอบด้วย

          1. ลาซาด้า (Lazada Thailand) ซึ่งปัจจุบันมีเจ้าของคือ อาลีบาบา ยักษ์ใหญ่อีคอมเมิร์ซระดับโลกของประเทศจีน มีการเข้ามาใช้งานกว่า 63 ล้านครั้ง 2. ช้อปปี้ (Shopee Thailand) ซึ่งผนึกเป็นพันธมิตรอย่างเหนียวแน่นกับค่ายทรู เป็นเว็บไซต์อีคอมเมิร์ซที่ให้นิยามตัวเองว่าเป็น “ตลาดออนไลน์บนมือถือ” มีการเข้ามาใช้งาน 17 ล้านครั้ง 3. 11street Thailand เว็บไซต์อีคอมเมิร์ซสัญชาติเกาหลี เป็นบริษัทลูกของกลุ่มเอสเค เทเลคอม เข้ามาเปิดตลาดไทยได้ปีกว่าๆ และล่าสุดออกมายอมรับว่า คงต้องรีบหาพันธมิตรมาต่อยอดการลงทุน มีการเข้ามาใช้งาน 5.5 ล้านครั้ง

          4. JIB เว็บไซต์สินค้าและอุปกรณ์ไอทีออนไลน์สัญชาติไทย เกิดจากการต่อยอดธุรกิจจำหน่ายผลิตภัณฑ์ในกลุ่มนี้ มาสู่การขายผ่านเว็บไซต์ ประสบความสำเร็จกลายเป็นร้านค้าออนไลน์สินค้าเฉพาะกลุ่มสำหรับคอไอทีและพวกชื่นชอบแก็ดเจ็ทใหม่ๆ อินเทรนด์ทั้งหลาย มีการเข้ามาใช้งาน 3.15 ล้านครั้ง 5.ตลาดดอทคอม (Tarad) เว็บไซต์อีคอมเมิร์ซของไทยรายแรก ก่อตั้งในยุคเฟื่องฟูของตลาดดอทคอมเมี่อปี 2542 และสามารถฝ่าวิกฤติฟองสบู่ดอทคอมแตก เปลี่ยนมือมาหลายครั้งแต่ยังสามารถครองอันดับต้นๆ ของการเป็นอีมาร์เก็ตเพลสในตลาดออนไลน์ไทยได้ต่อเนื่อง ปัจจุบันตั้งเป้าเป็น ““one-stop service solution” สำหรับเอสเอ็มอีและธุรกิจขนาดใหญ่ในประเทศไทย มีการเข้ามาใช้งาน 2.9 ล้านครั้ง

          6. โฮมโปร (HomePro) เป็นเว็บไซต์อีคอมเมิร์ซสัญชาติไทย ที่ต่อยอดจากฐานธุรกิจเครือข่ายห้างจำหน่ายเฟอร์นิเจอร์และสินค้าตกแต่งบ้าน มีการเข้ามาใช้งาน 2.85 ล้านครั้ง 7. ซีเอ็ด (Se-ed) เว็บไซต์สินค้าในกลุ่มหนังสือ อุปกรณ์เครื่องเขียน และอื่นๆ แตกธุรกิจมาจากเครือข่ายร้านหนังสือเบอร์ต้นๆ ของประเทศไทย มีการเข้ามาใช้งาน 2.5 ล้านครั้ง

          8. แอดไวซ์ (Advice) แม้จะมีสาขาร้านจำหน่ายสมาร์ทโฟนและสินค้าไอที ครอบคลุมราว 350 ร้านทั้งในประเทศไทยและลาว แต่ก็จริงจังกับการขายผ่านช่องทางออนไลน์ด้วย มีการเข้ามาใช้งาน 2.27 ล้านครั้ง

          9. เซ็นทรัล (Central) เครือข่ายห้างสรรพสินค้ารายใหญ่อันดับ ของประเทศไทย ที่แตกยอดสู่เว็บไซต์อีคอมเมิร์ซมาเสริมทัพค้าปลีกให้แข็งแกร่งยิ่งขึ้น เสมือนจำลองห้างเซ็นทรัลมาไว้บนหน้าจอ มีการเข้ามาใช้งานล้านครั้ง อย่างไรก็ตาม นับตั้งแต่กลางเดือนมิถุนายน เป็นต้นมา ได้เปลี่ยนชื่อเป็น เจดี เซ็นทรัล (Jd.co.th) อันเป็นผลจากความร่วมเป็นพันธมิตรกับเจดีดอทคอม ยักษ์ค้าปลีกออนไลน์จากจีน และเป็นคู่แข่งรายสำคัญของอาลีบาบา ผนึกกำลังอัดฉีดเงินลงทุนกว่า 17,500 ล้านบาท เพื่อชิงความเป็นเจ้าตลาดอีคอมเมิร์ซในประเทศไทย

          และ 10. มั่นคงแก็ดเจ็ท (Munkong Gadget) ผู้นำเข้าและจัดจำหน่ายแก็ดเจ็ทต่างๆ รวมทั้งอุปกรณ์หูฟัง ลำโพงพกพา เครื่องเล่นพกพา ไปจนถึงสินค้าระดับ Audiophile ให้กับนักฟังเพลงหลากหลายระดับ เติบโตจากร้านค้าเล็กๆ ในปี 2549 จนปัจจุบันมี สาขาทั่วกรุงเทพ และตอกย้ำความเป็นเจ้าตลาดค้าปลีกสินค้ากลุ่มนี้ด้วยการมีเว็บไซต์ขายออนไลน์ มีการเข้ามาใช้งาน 1.5 ล้านครั้ง

          อย่างไรก็ตาม ในรายชื่อแหล่งช้อปปิ้งออนไลน์ยอดฮิต อันดับแรก สำหรับนักชอปปิ้งในบ้านเรา เมื่อเจาะลึกถึงเจ้าของทุนแล้ว ล้วนแต่เป็นกลุ่มทุนออนไลน์จากต่างประเทศ ไล่กันมากตั้งแต่กลุ่มทุนจีน สิงคโปร์ และเกาหลีใต้ ตามลำดับ ซึ่งแน่นอนว่ายอดเข้าไปใช้งานสามารถสะท้อนยอดขายที่จะเกิดขึ้นด้วย โดยข้อมูลจากเว็บไซต์ http://www.thumbsup.in.th ระบุว่า เดือนกรกฏาคม 2018 พบว่า LAZADA มียอดขายอยู่ที่ 33.34 ล้านบาท ตามมาด้วย Shopee อยู่ที่ 19.03 ล้านบาท และ JD.co.th อยู่ที่ 1.01 ล้านบาท

+++นายกสมาคม Thai e-Commerce คาดโตได้ถึง 32%

          นายธนาวัฒน์ มาลาบุปผา นายกสมาคมผู้ประกอบการพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ไทย (Thai e-Commerce Association) ให้ภาพแนวโน้มการเติบโตและเทรนด์อีคอมเมิร์ซ ระหว่างนำเสนอบนเวที “FUTURE ECONOMY & INTERNET GOVERNANCE: BIG CHANGE TO BIG CHANCE” ซึ่งจัดโดย ETDA ไว้ว่า สิ่งที่ทำให้เกิดความเปลี่ยนแปลงและโอกาสต่อวงการอีคอมเมิร์ซเป็นอย่างมากก็คือ การพัฒนาของ ‘สมาร์ทโฟน’ เพราะเเมื่อคนเข้าถึงอินเทอร์เน็ตได้มากขึ้น โอกาสทางการค้าบนออนไลน์ก็เพิ่มมากขึ้นตามไปด้วย

          ปัจจุบัน ประชากรกว่า 50% ของโลก หรือกว่า 3,600 คน สามารถเข้าถึงอินเทอร์เน็ตได้ โดยปัจจัยหนุนสำคัญคือ ‘สมาร์ทโฟน’ อุปกรณ์เชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตที่พกพาสะดวก รวดเร็ว และมีราคาถูก จึงเป็นโอกาสอันดีสำหรับผู้ประกอบการในการขายสินค้าบนโลกออนไลน์ เพราะสมาร์ทโฟนช่วยทั้งเรื่องการค้นหาข้อมูลสินค้า อีกทั้งยังช่วยให้การติดต่อซื้อขายสินค้าง่ายดายยิ่งขึ้น

          ปัจจุบัน ประเทศจีน เป็นเจ้าตลาดอีคอมเมิร์ซ มีส่วนแบ่งการตลาดโลกในส่วนของมูลค่าค้าปลีกถึง 20% และมีแนวโน้มขยายตัวต่อเนื่อง ขณะที่ เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ที่มีส่วนแบ่งต่อมูลค่าค้าปลีกเพียง 1–2% จึงน่าจะยังมีโอกาสเติบโตได้อีก เช่นเดียวกับในประเทศไทย ซึ่งจากผลสำรวจพฤติกรรมผู้ใช้งานใช้อินเทอร์เน็ตที่สำรวจโดย ETDA พบว่าคนไทยใช้งานอินเทอร์เน็ตเฉลี่ยมากถึง 10.5 ชั่วโมงต่อวัน และมีตัวเลขคาดการณ์ว่าอีก ปีข้างหน้า คนไทยจะสามารถเข้าถึงอินเทอร์เน็ตได้เพิ่มขึ้นเป็น 84% ของประชากรทั้งหมด หรือกว่า 59 ล้านคน

          คนไทยช้อปปิงออนไลน์เยอะมาก จนถือเป็นกิจกรรมยอดฮิตลำดับที่ ที่ทำมากที่สุดบนโลกออนไลน์ โดยช่องทางที่คนไทยนิยมซื้อขายสินค้ามากที่สุดก็คือ โซเชียลมีเดีย เฟซบุ๊ก ไลน์ อินสตาแกรม เป็นต้น ซึ่งกินส่วนแบ่งถึง 40% ของช่องทางขายของออนไลน์ทั้งหมด

AI Dtac Lab : โมเดลร่วมวิจัยปัญญาประดิษฐ์สู่การ “ใช้จริง”

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์คมชัดลึก

http://www.komchadluek.net/news/lifestyle/340671

AI Dtac Lab : โมเดลร่วมวิจัยปัญญาประดิษฐ์สู่การ “ใช้จริง”

วันที่ 25 สิงหาคม 2561 – 04:05 น.
AI
เปิดอ่าน 4,001 ครั้ง

นับเป็นตัวอย่างการประยุกต์ใช้ AI ที่ไม่ได้ดูอลังการ แต่เป็นเรื่องที่จำเป็นมากและได้ผลมาก และช่วยลดเวลา และช่วยให้การทำงานขององค์กรทำได้ดียิ่งขึ้น

แต่ละปีมีคนทั่วโลกใส่ข้อมูลถามกูเกิล 1.2 ล้านล้านคำถามแต่ละวัน ดีแทคได้รับคำถามจากลูกค้า ล้านคำถามลูกค้าดีแทค สร้างข้อมูลในระบบของดีแทควันละ พันล้านชุดข้อมูล ปีที่ผ่านมา ดีแทค มีลูกค้าจดทะเบียนซิมใหม่เดือนละ 1.3 ล้านซิมปัจจุบันมากกว่า 75% ของลูกค้าดีแทคใช้สมาร์ทโฟนยอดขาย 30% ของแพคเกจบริการใหม่ๆ ของดีแทคมาจากช่องทางขายบนแอพ

          ข้อมูลเหล่านี้ ทำให้ ดีแทค มองถึงประโยชน์ของการใช้เทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI) ในการพัฒนาบริการรูปแบบใหม่ๆ และเครื่องมือทำงานใหม่ๆ เพื่อให้เข้าถึงลูกค้าได้เร็วและตรงใจยิ่งขึ้น ทั้งในเรื่องบริการและผลิตภัณฑ์เพิ่มความรวดเร็วในการทำงานและการให้บริการแก้ปัญหาให้ลูกค้าได้ตรงจุดและรวดเร็วลดความเสี่ยงในการเกิดปัญหาฉ้อโกง (Fraud) รวมถึงได้รับการชำระค่าบริการรวดเร็วยิ่งขึ้น รายได้มากขึ้น

          นี่จึงเป็นที่มาของความร่วมมือกันระหว่างดีแทค และสถาบันเทคโนโลยีนานาชาติสิรินธร (SIIT) มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ในการจัดตั้งห้องปฏิบัติการล้ำสมัยด้านปัญญาประดิษฐ์ (AI Lab) มูลค่าการลงทุน 12 ล้านบาท ซึ่งถือเป็นห้องปฏิบัติการด้านเอไอแห่งแรกของประเทศไทย และเป็น AI Lab แห่งแรกที่กลุ่มเทเลนอร์ บริษัทแม่ของดีแทค จัดตั้งขึ้นนอกประเทศนอร์เวย์

          ดร.อุกฤษฎ์ ศัลยพงษ์ หัวหน้าฝ่ายกลยุทธ์ช่องทางการขายและการบริหารผลการปฏิบัติงานของดีแทค กล่าวว่า ความท้าทายของประเทศไทยในการนำข้อมูลมาใช้บริการ ก็คือ บุคลากรที่มีความรู้ความเชี่ยวชาญด้าน AI ในประเทศไทยหายากมาก แนวทางแก้ปัญหาคือ การช่วยกันผลิตบุคลากร จึงเป็นที่มาของความร่วมมือจัดตั้ง AI Dtac Lab กับ SIIT เพราะ “เรามีโครงการที่อยากใช้ AI ค่อนข้างเยอะในประเทศไทย”

          เราสามารถนำปัญหาทางธุรกิจมาให้กับมหาวิทยาลัย ที่มีอาจารย์มีความสามารถ และมีนักเรียนที่พร้อมจะเรียนรู้ แล้วมาลองหาทางออกเพื่อแก้โจทย์ปัญหาทางธุรกิจด้วยการใช้ AI เป็นเครื่องมือหาทางออก โดยใช้ข้อมูลจริง ใช้กรณีศึกษาที่เกิดขึ้นจริง เป็นความร่วมมือที่ทางภาคการศึกษาก็ได้พัฒนาบุคลากร ขณะที่ ดีแทค ก็ได้ตอบปัญหาทางธุรกิจ”

          โดยในระยะเริ่มต้น AI Lab จะมุ่งเน้นที่กระบวนการที่จะช่วยย่นระยะเวลาในการทำงานโดยใช้เทคโนโลยี AI เข้ามาช่วยในการทำงาน ตัวอย่างเช่น ดีแทค ร่วมมือกับ SIIT พัฒนาระบบการยืนยันตัวตน (ID verification system) เพื่อเพิ่มความปลอดภัย และความรวดเร็วในการประมวลผลการยืนยันการลงทะเบียนซิม เป็นต้น

          ปัญญาประดิษฐ์เป็นกุญแจไปสู่การพัฒนาการบริการแบบไร้รอยต่อ สร้างประสบการณ์ของลูกค้าให้เป็นเรื่องที่ง่าย และเจาะจงเฉพาะบุคคลได้ โดยในอนาคตปัญญาประดิษฐ์จะทำให้ลูกค้าที่ต้องการคำแนะนำจากศูนย์บริการของเราไม่ต้องอธิบายว่าเขาใช้สมาร์ทโฟนในการทำอะไร” ดร.อุกฤษฎ์กล่าว

          ทั้งนี้ ดีแทค มองถึงการนำ AI มาใช้งานใน ส่วน ได้แก่ 1. กระบวนการทำงานอัตโนมัติ (Process Automation) ให้เครื่องจักรทำงานได้แทนมนุษย์ โดยปีที่ผ่านมาเริ่มนำ AI เข้ามาใช้เรื่องการคัดแยกเอกสารบัตรประชาชนที่สมัครเปิดซิมใหม่ พบว่า สามรถช่วยทำงานได้เท่ากับ 7-8 เท่าของคนทำงาน และพบความผิดพลาดเพียง 1% หรือน้อยกว่าคน

          ล่าสุดกำลังพัฒนาร่วมกับ SIIT เพื่อต่อยอดการใช้งานด้านนี้ ไปสู่การคัดแยกรูปภาพ โดยให้สามารถคัดลอกขัอมูลบนบัตรประชาชนได้ รู้ว่าเป็นข้อมูลชื่อหมายเลข เหมือนคนอ่านหนังสือ ซึ่งจำเป็นต้องพัฒนาเองเพื่อตอบโจทย์ เนื่องจากบัตรประชาชนของประเทศไทย ออกแบบให้มีลายน้ำ และมีผลจากเรื่องแสงเงาในการถ่ายรูป ทำให้ไม่สามารถใช้เทคโนโลยีที่มีอยู่แล้วในตลาดมาทำงานส่วนนี้ได้

          2.Personalisation เอาข้อมูลที่ธุรกิจมีอยู่และพฤติกรรมลูกค้า มาประมวลผลและแนะนำลูกค้า โดยที่ลูกค้าอาจยังไม่รู้ตัวว่าอยากได้ โดยปีที่ผ่านมา 30% ของแพคเกจใหม่ของดีแทคที่ขายได้ผ่านแอพ เกิดจากการที่ใช้ AI เข้ามาช่วยในการแนะนำ และ 3.การสร้างประสบการณ์ลูกค้าแบบใหม่ๆ เช่น ในการเปลี่ยนประสบการณ์ที่จะติดต่อกับบริษัท หรือบริการจากบริษัท

          เราเปิดใช้เฟซบุ๊ค และเอสเอ็มเอส เป็นช่องทางให้ลูกค้าติดต่อบริการกับบริษัท โดยใช้ AI เป็นตัวอ่านข้อความที่ติดต่อเข้ามา และเข้ามาตอบข้อความนั้น ปัจจุบันมีสัดส่วน 20-30% ที่ AI เป็นผู้ตอบ ความถูกต้องอยู่ที่ 80% โดยเรามีการสอนอยู่เรื่อยๆ”

เอไอ” คือเรื่องของการช่วยตัดสินใจ

          ผศ.ดร.ศศิพร อุษณวศิน ผู้จัดการ AI Dtac Lab สถาบันเทคโนโลยีนานาชาติสิรินธร มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ มองว่า การที่ AI เริ่มเกิดกระแสควานยิมในวงกว้างช่วง ปีที่ผ่านมา เนื่องจากมีจุดเปลี่ยนที่พัฒนาจากการเพียงเทคโนโลยีช่วยด้าน automation ที่เพิ่มความรวดเร็ว มาสู่การเป็นเครื่องมือช่วยในเรื่องการตัดสินใจ

          ความเปลี่ยนแปลงนี้ มีกลไกขับเคลื่อนสำคัญจากการที่มีการใช้เฟซบุ๊ก กูเกิล สื่อออนไลน์ เครือข่ายสังคมออนไลน์ต่างๆ มากขึ้น จึงทำให้มีการเก็บข้อมูล และเมื่อข้อมูลมากขึ้น จึงสามารถทำให้มองเห็นเป็นแอพพลิเคชั่น ที่เป็น AI ที่ทำให้เห็นความแตกต่างระหว่างระบบที่ใช้ในสมัยก่อนกับระบบในปัจจุบัน

          AI คือเรื่องของการช่วยตัดสินใจ หรือหาข้อมูล หรือเชื่อมความสัมพันธ์ของข้อมูลบางอย่าง ซึ่งด้วยสมองของคนไม่สามารถ “ประมวลผล” ข้อมูลขนาดใหญ่ได้ในเวลาอันรวดเร็ว ทำให้เรามองเห็นองค์ความรู้ใหม่ๆ มองเห็นพฤติกรรมของลูกค้า มองเห็นข้อมูลหลากหลายที่มีความเกี่ยวข้องกัน แล้วมันก็ถูกนำมาใช้ในเรื่องการพัฒนาแอพที่ฉลาดขึ้น”

          ทั้งนี้ ที่ผ่านมาในภาคการศึกษาหรือนักวิจัยในประเทศไทน ก็ทำงานเรื่อง AI กันมากพอสมควร อย่างไรก็ตาม การที่จะทำให้ “ขยับ” ได้เร็ว ก็เพราะภาคธุรกิจทำสิ่งที่ผู้ใช้งานได้ใช้ เปรียบเทียบแล้วภาคการศึกษาหรือการวิจัย เป็นเหมือนหลังบ้าน ซึ่งหลังบ้านตรงนี้ถ้าไม่เกิดขึ้น ส่วนที่จะเป็นหน้าบ้านที่จะไปสร้างแอพพลิเคชั่นให้ผู้ใช้งานได้ใช้ก็จะไปได้ไม่เร็ว

          เมื่อเปรียบเทียบหน้าบ้านกับหลังบ้าน หน้าบ้านคือการนำไปสู่การใช้งาน ในขณะที่การใช้งานจะดีหรือไม่ดี ก็มาจากการพึ่งพิงงานวิจัย เหมือนกับโครงการที่เราทำกับดีแทค งานวิจัยก็เกิดขึ้นเป็นความร่วมมือระหว่าง SIIT กับดีเทค อาจารย์ก็ทำวิจัยเพื่อที่จะแก้ปัญหา โดยภาพที่ออกมา ก็คือ แอพพลิเคชั่นที่ดีแทคนำไปให้บริการลูกค้า”

          ผศ.ดร.ศศิพร ยกตัวอย่าง โครงการอยู่ในลักษณะของการอยู่ระหว่างดำเนินงาน (on-going) ได้แก่ การทำระบบจดจำใบหน้า (Face Recognition), การทำ OCR (Optical Character Recognition) หรือการแปลงสื่อสิ่งพิมพ์เป็นข้อความให้สามารถนำไปใช้ประมวลผลได้ โดยสอนให้คอมพิวเตอร์ สแกนเอกสารบัตรประชาชน และเอกสารต่างๆ ที่ต้องใช้ประกอบการขอจดทะเบียนซิมการ์ดใหม่ โดย AI จะช่วยให้คอมพิวเตอร์รู้ว่าข้อมูลตรงนี้คือบัตรประชาชน และสามารถดึงเอาเลขบัตรประชาชน ชื่อ ที่อยู่ ทุกข้อมูลที่จำเป็นต้องใช้ในการสมัครออกมาโดยอัตโนมัติ และไปกรอกเป็นฐานข้อมูล

          นับเป็นตัวอย่างการประยุกต์ใช้ AI ที่ไม่ได้ดูอลังการ แต่เป็นเรื่องที่จำเป็นมากและได้ผลมาก และช่วยลดเวลา และช่วยให้การทำงานขององค์กรทำได้ดียิ่งขึ้น “เริ่มจากโครงการเล็กๆ ที่เราค่อยๆ ทำร่วมกัน” นอกจากนี้ ยังมีงานวิจัยเพื่อนำ AI มาช่วยตรวจจับ “การฉ้อโกง (Fraud)” ต่างๆ ดูพฤติกรรมการใช้บริการของลูกค้าว่ามีลักษณะผิดปกติ หรือจำเป็นต้องเข้ามาเฝ้าติดตามหรือไม่

รองรับนักศึกษาเข้าฝึกอบรม 200 คนต่อปี

          ศ.ดรธนารักษ์ ธีระมั่นคง อาจารย์จากสถาบันเทคโนโลยีนานาชาติสิรินธร มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ และนายกสมาคมปัญญาประดิษฐ์แห่งประเทศไทย (AIAT) กล่าวว่า AI Lab สามารถรองรับนักศึกษาเพื่อเข้ามาฝึกอบรมได้ถึง 200 คนต่อปี พร้อมทั้งย้ำถึงความต้องการของนักศึกษาในการทำงานกับภาคธุรกิจเพื่อเพิ่มทักษะต่างๆของตัวนักศึกษาเองว่า

          การคิดแบบองค์รวม และการนำความรู้ไปประยุกต์ใช้กับปัญหาจริงเป็นสิ่งสำคัญ เพื่อจะไปให้ถึงจุดดังกล่าว เราต้องการพันธมิตรที่แข็งแกร่งที่มีทั้งกรณีศึกษา และข้อมูลที่แท้จริงทางธุรกิจ การได้ร่วมทำงานกับภาคธุรกิจเหล่านั้นเป็นเรื่องที่สำคัญ”

          ทั้งนี้ ประโยชน์ของ AI นอกเหนือจากในเชิงธุรกิจแล้ว ยังครอบคลุมถึงด้านการศึกษาและสังคมด้วย โดยยกตัวอย่างว่า ปัจจุบันมีบทความทางวิชาการถึง 2.5 ชิ้นต่อปีที่ถูกผลิตออกมาเรื่อยๆ ดังนั้นถ้ามี AI ที่จะวิเคราะห์บทความต่างๆ เพื่อหาความเชื่อมโยง หรือหาความหมายว่าอะไรคือสิ่งใหม่ อะไรคือสิ่งที่เคยมีมาก่อนหน้านี้ ก็จะสามารถดึงประโยชน์จากเอกสารทางวิชาการเหล่านี้มาได้เป็นจำนวนมาก และเป็นประโยชน์ในการตัดสินใจ

          ขณะที่ในทางสังคม ปัจจุบันพบว่า 70% ของข่าวสารที่มีการนำเสนอเป็นข่าวที่ไม่จริง ซึ่งบางครั้งอาจเกิดจากความผิดพลาดโดยไม่ตั้งใจ แต่เทคโนโลยีด้าน AI สามารถวิเคราะห์และย้อนกลับไปแหล่งต้นทางของข้อมูลได้ เป็นต้น

ไขคำตอบ? คลื่นมือถือ-Wi-Fi ป่วน! ‘รถไฟฟ้า BTS’

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์คมชัดลึก

http://www.komchadluek.net/news/lifestyle/332686

ไขคำตอบ? คลื่นมือถือ-Wi-Fi ป่วน! ‘รถไฟฟ้า BTS’

วันที่ 30 มิถุนายน 2561 – 08:56 น.
Wi-Fi,บีทีเอส,คมคิดเธุรกิจนืวเจน,รถไฟฟ้า,ดีแทค,สัญญาณ
เปิดอ่าน 6,049 ครั้ง

ไขคำตอบ? คลื่นมือถือ-Wi-Fi ป่วน! ‘รถไฟฟ้า BTS’  : คอลัมน์…. คมคิดเทคโน   โดย…  อนุสรณ์  ฉิมบ้านไร่ 

 

ช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมารถไฟฟ้า BTS มีปัญหาหลายวันหลายช่วงเวลาเกิดแทบทั้งสัปดาห์ ประชาชนหลายคนที่ใช้บริการ BTS สงสัยว่าทำไมถึงเกิดเหตุขัดข้องบ่อยนัก คงไม่อาจปฏิเสธได้ว่าเสียงบ่นกลางกรุงเรื่อง BTS ดังไปทั่วเมือง จนหลายคนช่วยกันหาสาเหตุกันต่างๆ นานา ว่า เพราะอะไรถึงเป็นเช่นนี้? ซึ่งมีอยู่สาเหตุหนึ่งน่าสนใจอย่างมากเพราะมีการคาดว่าเป็นเพราะ “DTAC” ปล่อย “dtac turbo” บนคลื่น 2300 และอีกสาเหตุหนึ่งมาจากการรบกวนจากคลื่น Wi-Fi บนย่านความถี่ 2.4G

ก่อนที่เราจะไปหาคำตอบคงต้องทำความเข้าใจกับคลื่นความถี่ 2.4G และ 5G ก่อนว่า คลื่นดังกล่าวถือเป็นย่านความถี่เสรีสากล ซึ่งใครก็สามารถใช้งานได้ ทุกประเทศยึดหลักการเดียวกัน ทำให้ถูกใช้งานได้ทั่วไปทั้งตามบ้านและหน่วยงานบนอุปกรณ์หลายชนิด เช่น Wi-Fi เตาไมโครเวฟ เมาส์ คีย์บอร์ด จอยเกมแบบไร้สาย โทรศัพท์บ้านและอินเทอร์เน็ตไร้สาย โดรน ฯลฯ จะเห็นได้ว่ามันไม่ใช่เรื่องแปลกใหม่เลย เพราะคลื่น 2.4G นั้นถูกใช้มานานแล้ว และคลื่น 2.4G ถูกใช้งานเป็นจำนวนมาก อุปกรณ์ไอทีและอิเล็กทรอนิกส์รุ่นใหม่ในปัจจุบันจึงขยับไปใช้คลื่นเสรีอีกคลื่นที่ปัจจุบันคนยังใช้งานน้อย นั่นก็คือคลื่น 5G

และ DTAC เกี่ยวข้องอะไรด้วยเกี่ยวกับการขัดข้องของการเดินรถไฟฟ้า BTS? เราคงต้องย้อนกลับไปดูว่า หลังจากที่ DTAC ได้เปิดตัวการร่วมมือใช้คลื่น 2300 จาก TOT ดันตกเป็นจำเลยว่าเป็นสาเหตุทำให้ BTS ขัดข้อง เพราะว่ามีส่วนทำให้เกิดปัญหารถไฟฟ้า BTS ไม่สามารถทำงานได้ แต่ท้ายที่สุดหลายคนที่โทษ DTAC ก็หน้าแตกไปตามๆ กัน เพราะทาง DTAC ได้ทดสอบปิดการปล่อยสัญญาณบนคลื่น “dtac turbo” และทดลองปิดการใช้คลื่นดังกล่าวบนย่าน 2300 กว่า 20 สถานีฐานตามแนวเส้นทางรถไฟฟ้า BTS ตั้งแต่ช่วงเวลา 06.00 น. ผลปรากฏว่าคลื่น 2300 MHz ไม่ได้ส่งคลื่นก่อกวนใดๆ ออกมาแต่อย่างใด และคลื่นที่ dtac และ TOT ใช้นั้นห่างจากคลื่นที่ BTS ใช้ 30 MHz ทำให้ไม่มีโอกาสตีกันอย่างแน่นอน เพราะฉะนั้นรถไฟฟ้า BTS ขัดข้องไม่เกี่ยวกับ DTAC แต่เป็นเพราะ BTS ใช้คลื่นเสรี 2.4G?

หลังจากที่ DTAC ปิดสัญญาณแล้วเรื่องยังไม่จบ…เพราะ BTS ยังเกิดเหตุขัดข้องอีก เพราะระบบอาณัติสัญญาณในสายสีลมขัดข้องอีกครั้ง และต่อมานายก่อกิจ ด่านชัยวิจิตร รองเลขาธิการ กสทช. ก็ออกมาบอกว่า พบคลื่นรบกวนนั่นแล้ว นั่นก็คือสัญญาณ Wi-Fi บนย่าน 2.4G หรือ 2400 MHz เพราะเป็นคลื่นที่อนุญาตและจัดสรรไว้สำหรับให้ใช้แบบสาธารณะ อาจเป็นไปได้ที่จะรบกวนกันเพราะ BTS ก็ใช้คลื่นนี้ (ไปกันใหญ่แล้ว) สุดท้ายการแก้ปัญหาดังกล่าวคือขอเปลี่ยนย่านความถี่ไปใช้ย่านอื่นที่ไม่ใช่ 2400 MHz ปัจจุบัน กสทช. กันคลื่นย่าน 800–900 MHz ไว้ให้ใช้สำหรับการควบคุมรถไฟฟ้าความเร็วสูงที่กำลังจะก่อสร้างอยู่แล้ว BTS สามารถประสานมาขอใช้คลื่นนี่ได้ หรืออาจจะไปใช้เครือข่าย GSM-R ซึ่งนิยมควบคุมระบบรถไฟความเร็วสูงในหลายประเทศ

หลายคนคงสงสัยว่า ระบบคลื่นอาณัติสัญญาณของ BTS คืออะไร? คงต้องขออธิบายสั้นๆ ว่า BTS ใช้ระบบอาณัติสัญญาณของบริษัท Bombardier ซึ่งเป็นระบบอาณัติสัญญาณแบบ Communication Based Train Control หรือ CBTC โดยใช้สัญญาณ 2.4 GHz สำหรับสื่อสารกันระหว่างขบวนและระบบเพื่อให้เกิดความปลอดภัยในการให้บริการ แบนด์ของคลื่นความถี่คืออะไร? แบนด์คือช่วงของช่องความถี่สัญญาณ อย่างเช่นที่ DTAC และ TOT ใช้อยู่บนคลื่น 2300 MHz นั้นจะอยู่ในช่วงแบนด์ 2310-2370 MHz* ไม่มีการส่งสัญญาณเกินในช่วงนี้ ส่วนรถไฟฟ้า BTS จะอยู่ในแบนด์คลื่น 2400 (ในช่วง 2400.1 GHz)

สรุปได้ว่าประเทศไทยไม่เคยสงวนความถี่ไว้สำหรับการสื่อสารของรถไฟฟ้ามาก่อน พอดี กสทช.ก็มีแค่กำหนดร่างไว้ซึ่งเอาไว้ใช้กับรถไฟฟ้าความเร็วสูง ไทย-จีนและในยุโรป มีการสงวนช่องสัญญาณความถี่ไว้เพื่อการขนส่งทางราง Uplink: 876–880 MHz Downlink: 921–925 MHz และในจีน ก็มีการสงวนช่องสัญญาณความถี่ไว้เพื่อการขนส่งทางราง Uplink: 885–889 MHz Downlink: 930–934 MHz ส่วนบ้านเรานั้น กสทช. ได้อนุมัติให้ใช้งานคลื่นความถี่ 800/900 MHz และ 400 MHz สำหรับระบบคมนาคมขนส่งทางราง โดยมีเงื่อนไขจะต้องมีการใช้งานคลื่นความถี่ดังกล่าวภายในไม่เกินปี พ.ศ. 2563 และตั้งแต่วันที่ 6 มิถุนายน 2561 dtac ร่วมมือกับ TOT ได้เปิดให้บริการบนคลื่น 2300 ซึ่งเมื่อดูแบนด์แล้วอาจมีความใกล้เคียงกับ 2400 ที่ BTS ใช้ ส่วน Wi-Fi มีการใช้บน 2400 (2.4) หลายย่านแบนด์ ตามที่เปิดให้ใช้อย่างเสรี ซึ่งทุกวันนี้มีการใช้งานมากขึ้น

ถึงแม้การทดลองจะปรากฏผลออกมาแล้ว แต่มีหลายคนสงสัยว่าก่อนหน้านี้ไม่เห็นขัดข้องถี่ๆ ขนาดนี้ หรือเป็นทั้งวัน ทำไมถึงมีปัญหาทั้งๆ ที่ก่อนหน้านี้ Wi-Fi 2.4 ก็มีการใช้งานมานานอาจเป็นเพราะพอ dtac เปิดคลื่น 2300 ทำให้เกิดการรบกวนจากทั้ง 2 ย่าน แต่ว่าทาง dtac ได้ทดสอบปิดสัญญาณคลื่นดังกล่าวตามแนวรถไฟฟ้าก็ยังเกิดปัญหา เพราะฉะนั้นการแก้เบื้องต้นของ BTS ก็คือทาง BTS จะจัดซื้ออุปกรณ์ป้องกันการรบกวนโดยคาดว่าจะดำเนินการติดตั้งเสร็จได้ในเดือนตุลาคมนี้ และมีแผนจะย้ายไปใช้ช่องสัญญาณปลายๆ ของคลื่น 2400 MHz ที่ยังถือว่ามีคนใช้น้อย

ประสบการณ์การกวนกันของคลื่น 2.4 GHz ที่ผู้เขียนเจอการใช้คลื่น 2.4 GHz (2400 MHz) ปัจจุบันในประเทศไทยก่อนที่ dtac และ TOT จะมาปล่อยสัญญาณบนคลื่น 2300 ด้วย มีการใช้งานที่มีจำนวนมากขึ้นและมีแนวโน้มสูงขึ้นเรื่อยๆ ไม่ว่าจะเป็นเมาส์ไร้สายเพราะหลายรุ่นใช้คลื่น 2.4 GHz เมื่อนำไปใช้ในบางอาคารสำนักงานหรือห้างสรรพสินค้าพบว่า ทำให้มีปัญหาในการใช้งาน และอีกกรณีในบางพื้นที่ใช้งานได้ปกติ แต่หากปล่อย Hotspot จากมือถือ จะทำให้เกิดการหลุดจากการเชื่อมต่อบ่อยๆ ของอุปกรณ์ที่เชื่อมต่อกับ Hotspot ที่ปล่อย แต่เมื่อปีก่อนๆ สถานที่เหล่านี้กลับไม่เกิดปัญหาหรือเกิดไม่บ่อยเท่าทุกวันนี้ แต่เมื่อนำเมาส์ดังกล่าวมาใช้ที่บ้าน ซึ่งมีเมาส์ไร้สาย 2.4 ตัวอื่นอีก 2 ตัวใช้งานพร้อมกัน มีโทรศัพท์บ้านไร้สาย 2.4 วางอยู่ข้าง Router ด้วย แต่ที่ Router ปล่อย Wi-Fi 2.4 ที่ Channel 11 กลับพบว่าทั้งตัวเมาส์และอุปกรณ์อื่นๆ กลับใช้งานได้ปกติ

จากเหตุการณ์นี้ก็จะแสดงให้เห็นได้ว่าในที่สาธารณะหรืออาคารต่างๆ หลายๆ ที่มีการใช้คลื่น 2.4 กันเยอะขึ้นทำให้มีการทับช่วงแบนด์สัญญาณ (Channel) เพราะฉะนั้น กสทช. ไม่ควรมองข้ามต้องวางแผนติดหาวิธีการต่างๆ เพื่อรับมือในสิ่งที่จะเกิดขึ้นในอนาคตให้ได้ มิเช่นนั้นปัญหาใหญ่ด้านโครงข่ายอาจจะเกิดขึ้นได้ในไม่ช้า

กรอบรูปเก๋ๆ เพื่อสาวๆ แฟนฟุตบอลโลก 2018

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์คมชัดลึก

http://www.komchadluek.net/news/lifestyle/332223

กรอบรูปเก๋ๆ เพื่อสาวๆ แฟนฟุตบอลโลก 2018

วันที่ 27 มิถุนายน 2561 – 15:50 น.
Meitu,กรอบรูป,ShesHere,ฟุตบอลโลก 2018,ผู้หญิง
เปิดอ่าน 5,624 ครั้ง

กรอบรูปพิเศษเพื่อให้ผู้หญิงมีอำนาจในการแสดงออกซึ่งความชื่นชอบในฟุตบอลรวมไปถึงภาพที่ออกแบบให้เฉพาะบุคคลสำหรับช่วงฟุตบอลโลก

แอป Meitu ปล่อยกรอบรูป ‘ShesHere’ พิเศษสุดสำหรับช่วงฟุตบอลโลก 2018 ซึ่งกรอบรูปพิเศษนี้สร้างขึ้นเพื่อให้ผู้หญิงมีอำนาจในการแสดงออกซึ่งความชื่นชอบในฟุตบอลรวมไปถึงภาพที่ออกแบบให้เฉพาะบุคคลสำหรับช่วงฟุตบอลโลก

(ภาพ: @alita_pear)

กรอบรูป ‘ShesHere’ เป็นกรอบรูปธีมฟุดบอลโลกที่มีแฮชแท็ก ‘ShesHere’ ของ Meitu เป็นเครื่องมือที่ทันสมัยและน่าสนใจสำหรับผู้หญิงที่จะพูดว่า “ฉันเป็นผู้หญิงคนหนึ่งที่รักและชื่นชอบฟุตบอล” เพื่อแสดงให้เห็นว่าผู้หญิงสนับสนุนและมีใจรักในกีฬาฟุตบอล รวมทั้งเชียร์ทีมฟุตบอลหรือนักเตะที่โปรดปรานในฟุตบอลโลก 2018

(ภาพ: @alrisaa) 

Meitu เชื่อว่าในอดีตมีผู้หญิงจำนวนมากที่ชื่นชอบการชมกีฬาฟุตบอล แต่ไม่มีพื้นที่ที่จะแสดงความคิดเห็นว่าพวกเธอให้การสนับสนุน ซึ่งกรอบรูป ShesHere ถูกสร้างขึ้นเพื่อเป็นเครื่องมือน่ารักๆ และชัดเจนสำหรับผู้หญิงที่รักในกีฬานี้และมีความรู้ในเรื่องเกมการแข่งขันฟุตบอลมากพอๆ กับผู้ชาย โดย Meitu ให้อำนาจผู้หญิงใน

การแสดงความเฉลียวฉลาดในการเป็นผู้สนับสนุนฟุตบอลหรือแฟนฟุตบอลโลก ผู้หญิงจึงมีส่วนร่วมในฟุตบอลโลก 2018 และเชียร์การแข่งขันระดับโลกครั้งนี้ในรูปแบบของตัวเอง

(ภาพ: @gadd.de)

ไม่ว่าจะเป็นดารา หรือเซเลบจำนวนมากในเมืองไทย อาทิ “มะปราง” อลิสา  “แพร์” อลิตา “ลีเกด” ศุภวัลย์ พูลเจริญ และจันทร์จีรา ปาลี กำลังเพลิดเพลินกับกรอบรูปแฟนซีนี้ในโลกโซเชียลมีเดีย ซึ่งแสดงให้เห็นว่าฟุตบอลโลกเป็นมากกว่าการแข่งขันสำหรับผู้ชายเท่านั้น  แต่ยังคงเป็นกิจกรรมที่สนุกสนานและทุกคนสามารถสนุกร่วมกัน

(ภาพ: @a_traveler_blog)    

สำหรับผู้หญิงทุกคนที่ต้องการแสดงให้โลกรู้ว่าพวกคุณสนับสนุนการแข่งขันฟุตบอลโลก 2018 ครั้งนี้ สามารถดาวน์โหลดกรอบรูป ShesHere ได้ ที่นี่ และเพลิดเพลินกับการเฉลิมฉลองกีฬาระดับนานาชาติในครั้งนี้